ตอนที่ 17
กล้าหาญ
Naaytan Aroonkittiniwat
นายกอง อยู่ไหน ออกมา อย่ากวนตีน (104 Likes) “พี่มีเรียนทั้งวันนะ”
“อ่าฮะ”
“แน่ใจนะว่าอยู่ในห้องทั้งวันได้”
“ห้องพี่อยู่ง่ายสบายมาก”
“แต่พี่ไม่สบายใจเลยว่ะ”
“พี่จะแวะมาดูผมก็ได้ ผมอยู่ตลอดอยู่แล้ว”
“เปล่า ที่ไม่สบายใจคือสิ่งที่พี่กำลังทำอยู่เนี่ย”
“...”
“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้บอกนายท่าน”
“ยังไงผมก็ยังไม่ยอมกลับบ้านในตอนนี้หรอก”
“แปลว่าอีกไม่นานก็จะกลับใช่มั้ย”
“มีเรียนไม่ใช่หรือไง รีบไปสิ”
เข้าใจแล้วว่าทำไมนายกองถึงเป็นน้องชายคนที่พีคที่สุดของนายท่าน
เพราะไอ้เด็กนี่มันแสบมากกกกกกกกกกก (ก.ไก่สองพันล้านตัว) จริงๆ
มันไม่ใช่เด็กนิสัยแย่หรือเลวร้าย แต่เป็นเด็กที่ไม่ยอมฟังผู้ใหญ่อย่างผมเลย ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาผมนอนไม่หลับ กลัวฉิบหายว่านายท่านจะเข้าห้องมาแล้วเห็นว่านายกองอยู่กับผม หากเป็นอย่างนั้นผมคงจะงงว่าผมควรขอโทษใครก่อน นายท่านหรือว่านายกองดี
บททดสอบของไอ้เด็กนายกองนี่ถือว่าเป็นอะไรที่ผมโคตรจะปวดหัว นับว่ามันเก่งเอาเรื่องที่ทำให้คนอย่างผมเครียดได้
ผมออกจากห้องหลังจากที่คุยกับนายกอง ตอนที่ผมลงลิฟต์ ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสี่ คนที่เข้ามาในลิฟต์ก็คือนายท่าน
ตกใจยิ่งกว่าเห็นผีก็คือเห็นแฟนตัวเองนี่แหละ!
“ไง” นายท่านโผเข้ามากอดผมเมื่อเห็นว่าผมอยู่ในลิฟต์แค่คนเดียว “กูเหนื่อยจัง”
สภาพนายท่านดูไม่จืดเสียจริงๆ มันคงจะขับรถตามหาน้องมาเกือบตลอดทั้งคืน ผมสงสารมันจับใจ ได้แต่กอดปลอบมันอย่างหลวมๆ รู้สึกผิดฉิบหายแต่ไม่รู้จะอธิบายยังไง
“กูก็เหนื่อยเหมือนกัน”
เราผละออกจากกันเมื่อลิฟต์ถึงชั้นหนึ่ง
“วันนี้ไปเรียนยังไง”
“เดี๋ยวเหี้ยเซียนมารับ” ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “แต่บอกยกเลิกมันได้”
“เยี่ยม” นายท่านจับข้อมือผม “เดี๋ยวกูไปส่งเอง”
เพราะเวลานี้เป็นเวลาเช้าตรู่จึงไม่ค่อยมีใครอยู่ นายท่านจูงมือผมมายังรถของมัน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นว่าใบหน้าของนายท่านอิดโรยเพียงใด
“มีอะไรหรือเปล่า” เซ้นส์แม่งไวอีกแล้ว
“เปล่า”
“โกหก” นายท่านเลิกคิ้ว “แต่ถ้ามึงโกหกกู...มึงก็น่าจะมีเหตุผล”
“...”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงมาก...พร้อมเมื่อไหร่ค่อยบอกกูก็ได้”
ผมยังคงยืนยันคำเดิมว่านายท่านสมควรได้รับโล่รางวัลแฟนดีเด่น ตอนนี้มันคงเหนื่อยมากเกินกว่าจะแบกเรื่องเครียดอะไรอีกแล้ว
ระหว่างทางผมนึกขึ้นมาได้ว่านายท่านมักสติหลุดง่ายเวลาที่ขับรถ หลังจากส่งนมเปรี้ยวรสผลไม้รวมที่ผมพกมาให้มันดื่ม ผมก็เอาแต่จ้องใบหน้าด้านข้างของมันโดยที่ไม่ยอมพูดอะไร
ถ้าแฟนคนนี้คือสาเหตุที่ทำให้มึงเหนื่อยขนาดนี้...มึงจะโกรธเขามากมั้ยวะ
“ยังรักกูอยู่ใช่มั้ยกล้า” นายท่านรำพึง
“เฮ้ย ถามอะไรอย่างนั้น”
“ไม่รู้สิ กูกลัวเป็นเรื่องโกหกของมึงร้ายแรง”
“ทำไมขี้กังวลจังวะ”
“มึงก็รู้ว่ากูเคยเจออะไรมา”
“...”
“คนเราเจ็บได้มากที่สุดแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิตนะ”
เอาปืนมายิงกูเลยเถอะ...ผมรีบคว้ามือนายท่านที่จับเกียร์เอาไว้พร้อมกับบีบแน่น
“มึงอย่าพูดแบบนี้กับกูได้มั้ย”
“...”
“กูรักมึง กูโคตรรักมึงเลย ให้กูย้ำเป็นหมื่นเป็นแสนรอบก็ได้ แต่อย่าพูดอะไรนี้กับกู”
นายท่านหันมามองหน้าผม ผมเริ่มทำหน้าเบ้...คล้ายกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้คงต้องคุยกันอย่างจริงจังนายท่านจึงตัดสินใจจอดรถข้างถนน
“ขอโทษ” นายท่านจับแก้มผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจมากที่สุด “กูจะไม่พูดแบบนั้นอีกแล้ว”
“มึงคงคิดว่ากูรักมึงน้อยกว่าที่มึงรักกูแน่ๆ แต่กูก็พยายามอยู่ พยายามให้มึงเชื่อใจ”
“กูเชื่อใจมึง”
“เรื่องที่กูต้องโกหก ไม่ใช่เรื่องที่กูเลิกรักมึงแน่ๆ มึงจำคำพูดของกูไว้เลยนะ”
นายท่านยิ้มก่อนจะจูบที่ริมฝีปากของผม เราจูบกันนานหลายนาทีกว่าจะถอนริมฝีปากออก
น้ำลายของผมยืดติดปากของนายท่าน...น่าอายฉิบหาย แต่แทนที่มันจะใช้กระดาษทิชชูเช็ด มันกลับใช้ลิ้นของมันเช็ดแทน
น้องชายของผมเริ่มมีความรู้สึก...แต่ผมรู้ว่ามันจะไม่มีอะไรมากกว่านี้ ผมจึงกล่อมให้มันสงบในใจ
“พร้อมเมื่อไหร่ก็รีบเล่าให้ฟังนะ”
“...”
“ปล่อยไว้นานกูร้อนใจ”
“เชื่อเถอะ อีกไม่กี่วันนี้มึงได้รู้แน่ๆ” ผมทำสีหน้าปวดหัว นายท่านได้แต่ลูบหัวผม จากนั้นเราก็รีบพากันไปเรียน
ระหว่างเรียน
Klahanboy : จะอยู่อีกกี่วัน
Klahanboy : พี่กลัวพี่ทะเลาะกับนายท่าน
Naaykong : อย่าป๊อดหน่อยเลยน่า
Naaykong : ผมจัดการได้
Klahanboy : เชื่อพี่ ไปบอกท่านเรื่องนี้เถอะ
Klahanboy : มันเป็นห่วงนายกองมากนะ
Naaykong : ผม ไม่ บอก
ไอ้เด็กกวนตีนเอ๊ยยยยยยยยยย
ผมพยายามหว่านล้อมแด็กคนนี้ต่างๆ นานาเรื่องให้มันเปลี่ยนความคิด แต่มันเป็นเด็กที่แปลกอย่างที่หมูหันเคยบอก มันไม่ยอมฟังคนอื่นเลยนอกจากตัวของมันเอง
ใจผมเริ่มอยู่ไม่สุข ยิ่งปล่อยไว้นานๆ ผมก็กลัวว่าจะเป็นอย่างที่ผมได้บอกนายกองไป...ผมกลัวฉิบหายว่านายท่านมันจะโกรธถือผมปิดบังเรื่องนายกองเอาไว้ แต่ผมก็ทำเชี่ยไรไม่ได้
นายท่านผมก็แคร์แต่นายกองผมก็อยากทำให้มันไว้ใจ
แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม... (เพลงมา #เสียงวงซาซ่า)
เมื่อผมไม่สามารถเปลี่ยนใจนายกองได้ ผมจึงเริ่มศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวมันว่ามันใช้ชีวิตแบบไหนหรือชอบอะไร เผื่อผมจะได้ซื้อไปล่อ...ล่อให้มันยอมกลับบ้าน
บทสัมภาษณ์ของนายกองมีจำนวนกระจึ๋งเดียวเมื่อเทียบกับนายท่านที่มีจำนวนมากกว่าบรรดาพี่น้องทั้งหมด (สมัยที่มันกับผมห่างกันไอ้นายท่านมันก็ไม่ยอมออกสื่อที่ไหนเหมือนกัน...จะว่าไปคนพี่มันก็แสบพอๆ กับคนน้องนะ) แม้นายท่านจะมีจำนวนบทสัมภาษณ์มากที่สุดแต่ก็ถือว่าน้อยอยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงนายกองครับ อีกนิดนึงมันก็แทบจะกลายเป็นมนุษย์ล่องหนอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นลูกชายคนที่สามของเจ้าของค่ายละครเอสเอ็น
หรือไอ้เด็กคนนี้มันจะไม่เอาครอบครัวของมันจริงๆ
ลองชั่งน้ำหนักในใจดูแล้ว...ผมคิดว่าผมควรจะบอกนายท่านว่ะ ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ข้อความไปบอกแฟนของผมที่กำลังเรียนอยู่เหมือนกันนั่นเอง...ข้อความจากนายกองก็เด้งขึ้นมาราวกับรู้จังหวะอยู่ก่อนแล้ว
Naaykong : ห้ามบอกนายท่าน!
Naaykong : สัญญาลูกผู้ชายไง ลืมแล้วเหรอ ผมถึงกับชะงักไปเลย...
หลังจากที่ลังเลอยู่นาน ผมก็เลิกลังเลอีกต่อไป ตอนนี้ผมคงทำได้แค่เพียงดูแลน้องชายของนายท่านให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เผื่อว่ามีดราม่าอะไรเกิดขึ้นนายท่านมันจะได้ไม่โกรธผมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ถ้ามันจะโกรธ...ก็ขอให้โกรธน้อยๆ ก็พอ
ผมหวังฉิบหายว่ามันจะเข้าใจผม...
ตอนที่เพิ่งเรียนเสร็จ ผมต้องหลบพลังกอดจากไอ้อมรที่แม่งรวบรวมพลังตัวเองเพื่อมากอดผมตั้งแต่อยู่ตั้งไกลโน่น
“ขอดมกลิ่นนายท่านหน่อย!”
เหี้ยอะไรนะ...
ผมหลบเพื่อนตุ๊ดไม่ทันจึงได้ไปอยู่ในอ้อมแขนของมันเต็มๆ มันทำจมูกฟุดฟิดๆ อยู่แถวๆ บริเวณซอกคอผม
“กูชื่อกล้า ไม่ใช่นายท่าน”
“มึงสนิทกับน้องและอาจจะคบกับน้อง กูเชื่อว่ามึงต้องได้นอนกกน้องมาแล้ว” อมรยังคงพยายามตามหากลิ่นของนายท่านอย่างเต็มที่
“เมื่อคืนไม่ได้นอนด้วยกัน!” ผมหลุดปากเพราะผมกำลังพยายามเอาชีวิตรอด
สิ้นเสียงของผม...อมรก็กรี๊ดดังลั่น ทำท่าเหมือนจะดิ้นแด่วๆ ลงไปกับพื้น
“ทั้งอิจฉาทั้งฟิน...เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้จริงๆ” มันกวักมือเรียกประธานชั้นปีอย่างไอ้เอ้เข้ามาใกล้ “กล้าหาญมันนอนกับนายท่านแล้วโว้ย เด็กอีคอนเราไม่ธรรมดาเด้อคุณแม่”
“แม่สอนมาดีไงลูก...” เอ้ทำหน้าภูมิใจ “เป็นไง...นายท่านเผ็ดสะเด็ดสะแด่วไปเลยมั้ย”
กูต้องมาตอบคำถามนี้ของพวกมึงจริงๆ เหรอ...
ผมหันไปมองพวกชายโฉดอย่างขอความช่วยเหลือ พวกมันทำเป็นเนียนอย่างไม่เนียน ไอ้เซียนทำเป็นคุยโทรศัพท์ ไอ้ตงทำเป็นพูดกับคนที่หันหลังให้มัน ส่วนไอ้หมูหัน...มันกระโดดตบ
นี่เพื่อนหรือผีวะ...
“กูไม่ตอบหรอก” ผมทำเป็นเนียนเก็บของในกระเป๋าบ้าง
“เชอะ” อมรเบ้ปาก “นึกว่าจะได้เคล็ดลับอะไรจากอิกล้าซะอีก”
“ใช่มะ” เอ้รับคำ
“ก็เห็นน้องท่านทั้งรักทั้งหลงมันขนาดนั้น...ลีลาแม่งต้องเด็ดสิวะ”
“เฮ้” ผมอดไม่ได้ที่จะประท้วง “มันไม่ได้หลงกูเพราะเรื่องนั้นสักหน่อย”
“น้องหลงมึงเพราะเรื่องอะไรพวกกูยังไม่รู้เลย” เอ้กอดอก
“มึงได้แฟนดีมากอย่างกับถูกล็อตเตอรี่แจ็กพ็อต” อมรเสริม
“โชคดีแบบหนึ่งในพันล้าน”
“ชู่วว” ผมทำการปิดปากเพื่อนทั้งสองของผมอย่างรวดเร็ว “อย่าเพิ่งพูดเสียงดังให้ใครรู้สิ”
อมรกับเอ้มองตากัน...จากนั้นก็พร้อมใจกันเลียมือของผมอย่างแกล้งๆ แบบรวดเร็ว ผมต้องรีบเอามือตัวเองออกทันที
“พวกกูรู้ว่ามึงต้องคบกับน้องแน่ๆ” เอ้เอ่ย
“น้องแม่งดูง่ายจะตาย” อมรเสริมอีก “พวกกูไม่บอกใครหรอก อย่าเพิ่งกังวลไป”
ผมกับนายท่านยังไม่ได้คิดวิธีรับมือกับสาธารณะชนเรื่องที่เราทั้งคู่คบกันเลยครับ ถ้าผมกับมันเป็นคนธรรมดา ผมคงไม่ต้องมาคิดเยอะแบบนี้หรอก แต่นายท่านมันเป็นคนที่มีตัวตนอยู่ในสังคม อีกทั้งยังมีชื่อเสียงหนักมากทั้งที่มาจากที่บ้านและก็ตัวเอง ผมยังไม่อยากให้มันโดนจับตามองในเรื่องนี้ตอนนี้
ผมเอ่ยขอบคุณเพื่อนทั้งสอง มันทั้งคู่กอดคอกันแล้วเดินไปจัดการแต๊ะอั๋งไอ้เหี้ยเซียน ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกห้อง บริเวณที่มีคนยืนอยู่กันเต็มไปหมด
ผมมองไปที่หน้าประตูห้องเรียนอย่างงงๆ เพราะเพื่อนผมยืนออกันอยู่ ไม่ยอมขยับไปไหนสักที
ควีนออฟอีโคโนมิกอย่างเชี่ยเอ้และก็ควีนออฟอะไรก็ไม่รู้อย่างไอ้อมรที่เพิ่งเดินไปสมทบก็ยังไม่ยอมขยับไปไหนเลยเหมือนกัน
“มีห่าไรกัน” เซียนเอ่ยถามอย่างสงสัยตอนที่พวกเราจะออกไปจากนอกห้อง แต่ออกไปไม่ได้ “เกะกะนะเนี่ย”
แทนที่เพื่อนร่วมคณะของเราจะหันมาด่าสวนเหมือนอย่างเคย แต่พวกมันกลับเงียบ ดวงตาของพวกมันทุกคนแทบจะเป็นรูปหัวใจอยู่แล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” ผมถามบ้าง
เมื่อมองไปยังสิ่งที่คนเหล่านั้นมอง ผมก็ถึงกับบางอ้อ นายท่านกำลังนั่งรอผมอยู่ระเบียงฝั่งตรงข้ามประตูห้องเรียนของผม มันปลดกระดุมชุดนักศึกษาออกพร้อมกับดึงเสื้อออกนอกกางเกงด้วย เป็นการออกนอกระเบียบของปีหนึ่งขั้นสุด
ดูดีจนถึงกับต้องตะลึง
ภาพที่มันหันกลับมาหาผมนั้นเนิบนาบเชื่องช้าเพราะผมกดสโลว์โมชั่นเองในใจ คิ้วเข้มๆ ของมันจากที่วางตัวเรียงกันนิ่งๆ เริ่มขมวดเป็นปมมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน
ผมสะบัดใบหน้าตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ
“มานี่สิ” นายท่านกวักมือเรียกผม
ลองเหลือบมองเพื่อนๆ ที่จ้องมองนายท่านเหมือนมองลิงในสวนสัตว์...รู้สึกแปลกๆ ถ้าผมจะเดินเข้าไปตอนนี้ ผมกลัวจะเป็นลิงอีกตัวให้พวกมันได้ส่องดู หรือไม่ก็เป็นอะไรที่พวกมันเรียกว่าของขวางหูขวางตา
“เร็วๆ” นายท่านเร่ง มันยังคงตื่นกลัวตุ๊ดเหมือนอย่างที่เคยเป็น
“เอ่อ...”
“เขาเรียกแล้วทำไมไม่ไปอีกล่ะ ลีลาไปอีก สวยไปอีกกกก” อมรเริ่มแซะพร้อมเบ้ปากมองบนใส่ผม “หรือจะให้กูเข้าไปแทน”
“กูเอง” ผมรีบเข้าไปหานายท่านเพราะกลัวอมรมันจะเข้าไปหาเด็กนิเทศฯ เพียงหนึ่งเดียวในนี้จริงๆ
“ฮือออ เขาได้กันแล้วค่ะชีแม่เอ้” เสียงแกล้งร้องไห้ของอมรดังไปทั่วบริเวณ
“ถึงเขาไม่ได้กัน หนูก็ไม่ได้เขาหรอกลูก...ทำใจซะ”
“ฮือออ อิแม่เอ้ อิดอกกกกก”
ผมนั่งลงข้างๆ นายท่าน สบตากับเพื่อนอีกนับสิบที่มองมาอย่างสนใจ ไอ้เซียนเห็นสถานการณ์มันแปลกๆ จึงรีบต้อนเพื่อนๆ ให้ออกไปจากหน้าประตูเพื่อที่ผมกับนายท่านจะได้เป็นส่วนตัว
ที่จริงผมดึงนายท่านไปจากตรงนี้ก็ได้...แต่ดูจากเหงื่อและอาการเหนื่อยหอบ มันสมควรได้นั่งพักอยู่ตรงนี้จริงๆ
เซียนใช้เวลาไม่นานมันก็ทำให้เพื่อนเสดสาดปีสองทุกคนหายไปจนหมด ก่อนจะเดินไปมันยังมีการหันมาถามผมว่าคาบบ่ายจะเข้าหรือเปล่าหรือว่าจะไปเอากันที่อื่น
ฟายจริงๆ ดีนะที่นายท่านไม่ได้ยิน
เมื่ออยู่กันตามลำพัง...ผมจึงได้มีโอกาสส่งกระดาษทิชชูที่จิ๊กมาจากกระเป๋าไอ้อมรส่งให้นายท่าน
“ตึกมึงนี่ร้อนจริงๆ” มันปลดกระดุมลงอีกเม็ด...อีกนิดแม่งก็จะถอดเสื้อแล้วล่ะผมว่า
ความขาวของลำตัวนายท่านที่โผล่ออกมาทำเอาผมถึงกับสติหลุดไปอีกรอบ
“ใคร...ใครจะเหมือนตึกมึงวะ นิเทศฯ มันคณะไฮโซ ต้นไม้ก็เยอะ ตึกก็ทันสมัย” ผมพูดเพื่อกลบเรื่องการแอบส่องที่น่าอายของตัวเอง
“นี่น้อยใจอะไรป่ะเนี่ย” นายท่านกลั้นขำ มันยังคงขยับเสื้อไปมาเพื่อระบายความร้อน
“ไปทำอะไรมา ดูมึงเหนื่อยมากเลยนะ”
“น้องชายกูหายไป”
ความรู้สึกผิดระลอกใหญ่เริ่มสาดสู่หัวใจของผม...ดวงตาของผมหลุบลงต่ำเพราะผมลืมที่จะควบคุมมัน
“ไม่ใช่น้องชายอันนี้” นายท่านขยับเป้าของมันไปทางอื่น “นายกองอ่ะ”
ผมถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ทำไมมึงดูไม่ตกใจเลย”
“เฮ้ยยยย จริงดิ หายไปได้ยังไง” ผมควรลงวิชาเลือกเป็นอย่างวิชาเกี่ยวกับการแสดงบ้างอะไรบ้าง
“ช้าไปแล้วกล้า” นายท่านส่ายหน้าเบาๆ ใส่ผม “กูบอกให้คุณแม่แจ้งตำรวจ แต่ท่านไม่อยากให้เป็นข่าวใหญ่ ให้ตายเถอะ นั่นลูกชายทั้งคนนะ”
มันเอนตัวลงไปพิงกับระเบียง ท่าทางของมันเหนื่อยมากจนเหมือนอยากละลายหายไปจากตรงนี้
“นายพลมันคิดว่านายกองคงหนีมาหากู แต่จะมาหากูได้ยังไง ในเมื่อกูยังไม่เจอตัวมันเลย”
“...”
“มึงคิดว่าตอนนี้มันจะปลอดภัยมั้ย”
“...”
“กูร้อนใจเป็นบ้าเลย เมื่อคืนก็นอนไม่หลับ”
“...”
“นี่มึงไม่มีความเห็นอะไรเลยเหรอ”
นายท่านทั้งเครียดและก็ซีเรียสมาก ผมรู้ว่ามันคงโดดเรียนตลอดทั้งเช้าเพื่อตามหาน้อง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ว่าผมควรทำยังไง
บอกความจริงไปให้พี่น้องเขาได้เจอกันนั่นแหละถูกต้องแล้ว
“คือว่า...”
เสียงโทรศัพท์นายท่านดังขึ้นกลบเสียงของผม
“แป๊บนะ” มันกดรับสาย “ฮัลโหลฝัน”
“...”
“เจอตัวแล้วเหรอ!”
ผมไม่รู้จะอึ้งเรื่องไหนก่อนดี เรื่องที่มีคนเจอตัวนายกองแล้วหรือว่าเรื่องที่ใครเป็นคนโทรมารายงานนายท่าน
แฟนของผมลุกขึ้นยืน สายตาที่มองมาที่ผมนั้นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันจ้องเขม็งมาขณะที่ตัวผมนั้นเริ่มแสดงสีหน้ารู้สึกผิด
ดราม่าแน่ๆ ดราม่าแน่นอน...
“ดึงตัวไว้นะอย่าให้ไปไหน”
“...”
“รออยู่ตรงนั้นนั่นแหละ”
นายท่านหันมาหาผม ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่พูด ผมได้แต่อ้าปากค้างเติ่ง มองดูนายท่านที่เริ่มหงุดหงิดหัวเสียมากขึ้นทุกชั่วขณะ
“คือ...” ผมพยายามพูด
สุดท้ายแล้วนายท่านก็ไม่พูดอะไร มันมองผมเป็นแวบสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป
ผมได้แต่มองตามมันอย่างตาละห้อย นึกภาวนาในใจขอให้มันโกรธผมน้อยๆ เหมือนที่ผมหวัง
สายตาของมันทำเอาผมเจ็บปวดมาก ยิ่งรู้ว่ามันมองผมอย่างนั้นก่อนที่มันจะไปหาใครผมก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม
จะห้ามไม่ให้มันโกรธผมเลย...มันก็คงเป็นไปไม่ได้
“มันเป็นไรของมัน”
“ผัวคลอดลูก”
“ไอ้บ้า ผัวคลอดลูกได้ที่ไหน”
“อ้าว ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่เว้ย”
“...”
“มันเป็นเมียมันต้องคลอดสิ”
“มันก็คลอดไม่ได้ ไอ้บ้า”
ไอ้เซียนกับไอ้ตงกำลังถกกันเรื่องที่ผมซึมกะทือไปเลยหลังจากที่เจอนายท่าน ผมไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ แต่เชื่อว่าเพื่อนๆ มันน่าจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะถ้าพวกมันไม่รู้ พวกมันคงไม่เล่นมุขบทสนทนาไร้สาระอย่างนี้ให้ผมได้ยินหรอก
“นี่” หมูหันส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผม ผมจำได้ว่ามันเขียนยุกยิกตลอดทั้งคาบเรียนโดยที่ไม่สนใจสิ่งที่อาจารย์สอนเลย
“อะไรวะ”
“ห้าเหตุผลที่นายท่านสมควรโกรธมึง”
ผมมองหมูหันด้วยสายตาว่างเปล่า บางทีเวลามันทำอะไรสักอย่างผมก็ไม่ค่อยจะเก็ตเท่าไหร่นัก
“แล้วข้างล่างนี่อะไร”
“ห้าเหตุผลที่นายท่านไม่ควรโกรธมึง”
“มึงเว้นไว้ทำไม”
“ให้มึงเติมเอง”
“...”
“แล้วเอาสิ่งที่มึงเขียนไปอธิบายให้นายท่านฟัง”
ป๊าดดดดดดดด...อย่างน้อยหมูหันก็มีสาระกว่าไอ้เซียนกับไอ้ตงเยอะ
“ขอบคุณมากนะ” ผมตบไหล่เพื่อนก่อนจะตั้งใจอ่าน เชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้ผมได้คิดอย่างมีสติก่อนจะได้ไปชี้แจงทั้งเหตุและผลให้นายท่านได้รับรู้
ห้าเหตุผลที่นายท่านสมควรโกรธไอ้เหี้ยกล้า
1. มันเป็นห่วงน้องมาก
2. เหี้ยกล้าปิดบังความจริง
3. เป็นเรื่องภายในครอบครัวที่กล้าต้องพูด ไม่ใช่อุบเงียบ
4. กูไม่รู้
5. เหี้ยกล้าเซ็กซี่ไม่พอ
หมูหันยิ้มแฉ่งราวกับเพิ่งรังสรรค์ผลงานชิ้นโบว์แดงให้คนทั่วโลกได้ตกตะลึง
“ถ้าจะเขียนแบบนี้มึงเขียนมาแค่สามข้อก็ได้” ผมเหน็บเพื่อน
“ก็มึงเซ็กซี่ไม่พอ...นายท่านก็เลยเบื่อเร็ว”
“พ่อง” มึงแช่งให้กูตายกูยังเจ็บน้อยกว่า
ผมมองอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้อง ก่อนจะเริ่มบรรจงเขียนในสิ่งที่หมูหันว่างเอาไว้เพื่อให้ผมเติมเอง
ห้าเหตุผลที่นายท่านไม่ควรโกรธไอ้เหี้ยกล้า
1. กล้าอยากซื้อใจนายกอง
2. หากได้ใจนายกอง กล้าจะได้คบกับนายท่านได้อย่างสะดวกโดยมีคนในครอบครัวนายท่านสนับสนุน (บ้าง)
3. กล้าพยายามเปลี่ยนความคิดนายกองแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
4. กล้ารู้ตัวอยู่แล้วว่าตัวเองผิด แต่ก็ยังพยายามดูแลนายกองอย่างดีที่สุด
5. กล้ารักท่านมาก...ได้โปรดอย่าโกรธนาน กล้าใจคอไม่ดีเลย “ข้อห้านี่มึงควรไปกระซิบข้างหูนายท่านนะกูว่า” หมูหันยื่นหน้ามาอ่าน
“ไอ้นี่!” ผมร้อง ไม่คิดว่าเพื่อนมันจะยังสนใจกระดาษใบนี้อยู่
“ลิเกดี กูชอบ”
“กูนึกว่ามึงชอบหมอลำ”
“อันนั้นกูก็ชอบ”
“...”
“กูชอบศิลปะหลายแขนง มึงมีปัญหากับกูหรือไงกล้า”
“ไม่มีจ้า ไม่มีปัญหาเลยครับน้องหมูฝอย”
“หมูหันโว้ย หมูหัน!”
“รู้ตัวมั้ยว่าทำอะไรลงไป”
“ยัยนี่ใคร”
“...”
“มึงควงสองแบบนี้ก็ได้เหรอ”
“มึงตอบคำถามกูก่อน ไอ้น้องบ้า”
“พี่กล้าล่ะ”
“ไม่รู้ เรียนอยู่มั้ง”
“ถ้ามึงจะโกรธเขา ก็ขอให้โกรธกูก่อน เขาแคร์มึงมากกว่าที่มึงคิด กูพูดแค่นี้”
“เลิกพูดเรื่องคนอื่นแล้วก็พูดแต่เรื่องของตัวเองซะ”
“...”
“มองหน้ากูทำไม”
“ยัง”
“...”
“ยังไม่โทรเรียกพี่กล้ามาอีก ไอ้พี่เหี้ยนี่”
TBC*นายกองคงเปิดใจให้กล้าแล้วล่ะ ถ้าจะขนาดนี้ 5555