ตอนที่ 7
กล้าหาญ
‘มึงคิดว่าเราสองคนจูบกันจะเป็นไง’
‘เหี้ยท่าน นี่คือคำถามเหรอ!’
‘ตอบมา’
‘คนเยอะแยะ สัดเอ๊ย...’
‘ไม่มีนักเรียนโรงเรียนเราหรอก ที่นี่พารากอนนะ คนเป็นล้านเลย เขาไม่สนใจเราหรอก’
‘กูไม่น่าหลวมตัวมากับมึงเลย ทำไมต้องขอเปลี่ยนจากนมเปรี้ยวเป็นการมาเที่ยวสยามวะ’
‘ใจมึงก็อยากมา กูรู้’
‘มั่นมากไอ้สัด’
‘...’
‘สงสัยเบื่อนมเปรี้ยว’
‘มึงให้อ่ะกูไม่เบื่อหรอก แต่กูอยากมาเที่ยวกับมึงสองคนบ้างมากกว่า’
‘ปกติเที่ยวหลายคนหรือไงวะ’
‘ไม่ได้เที่ยวด้วยเลยต่างหาก คนบ้าอะไรเพื่อนเยอะฉิบหาย’
‘มึงช่วยกูจากไอ้พวกโรงเรียนช่างเพราะอยากมาเที่ยวกับกูว่างั้น’
‘ก็ส่วนหนึ่ง’
‘(มองอย่างไม่เชื่อ)’
‘แต่เหตุผลส่วนใหญ่คือกูไม่อยากเห็นมึงเจ็บต่างหาก’
‘(เริ่มทำสีหน้าไม่ถูก)’
‘ตกลงเราจูบกันจะเป็นยังไงวะ’
‘ยังไม่ลืมคำถามนี้อีกเหรอ!’
‘ก็อยากรู้’
‘ไปไกลๆ ตีนกูเลย’
‘ขอแค่ปากชนกัน’
‘ชาติหน้าเถอะ’
‘นี่ชาติหน้าแล้วไง’
‘โอยยย กูกลับตอนนี้เลยดีมั้ยเนี่ย’
‘มีค่าแท็กซี่เหรอ ได้ข่าวว่าแม่กับพี่สาวลงโทษ ให้มาแค่สามร้อยเอง’
‘พวกคนรวยจะไปรู้อะไร’
‘มึงขาดควิซเองทำไม’
‘...’
‘อยู่กับกูเถอะ วันนี้กูเลี้ยงมึงทุกอย่างเอง’
‘จะเป็นเสี่ยท่านเหรอ’
‘เรียกป๋าท่านกูก็ไม่ว่านะ’
‘...’
‘เรียกผัวด้วยก็ได้นะเออ’
‘พอ!’
ห้องของผม เวลา 03.24 น.
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ผมตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตอนตีสามครึ่ง ทว่าตอนนี้เสียงเคาะประตูดังแทนนาฬิกาปลุกของผมซะแล้ว ใครวะช่างกล้ามาเคาะประตูห้องผมตอนนี้
ลองไปเปิดดูสักหน่อย
คนที่อยู่อีกฝั่งของประตูไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเพื่อนที่ผมทำหน้าเหม็นเบื่อทันทีที่เห็น ไอ้เซียนอยู่ในชุดเสื้อสตาฟฟ์มหา’ลัยพร้อมกางเกงยีนส์เรียบร้อย หน้าตามันง่วงงุน ใกล้จะยืนหลับอยู่รอมร่อ
“มีเหี้ยอะไร” ผมถาม
“กูก็มารับดิวะ ไปด้วยกัน”
“ทำไมไม่เข้ามา” ปกติมันจะเดินชนไหล่ผมเข้าห้องไปแล้ว แต่ตอนนี้มันกลับยืนนิ่งๆ มองดูสิ่งที่วางอยู่หน้าห้องของผมอย่างสงสัย “มีอะไร”
“เชี่ยท่านเปย์นมเปรี้ยวให้มึงเหรอ”
“หืมมม” อยู่ดีๆ กูก็ตื่นเต็มตาเฉยยยย “ไหน”
ผมยื่นหน้าออกไปดู เห็นลังนมเปรี้ยวห้าลังวางซ้อนกันอยู่ข้างประตูห้องผม ทุกลังเป็นรสผลไม้รวม...ผมกลืนน้ำลายดังเอื้อก ทั้งอยากดื่มทั้งดีใจผสมประหลาดใจปนๆ กันไป
“ดีกันแล้วเหรอ” ไอ้เซียนได้ฤกษ์ที่จะเข้ามาในห้องผมแล้ว
“ไม่เชิงว่ะ” คนตอบอย่างผมถอนหายใจ มีอย่างที่ไหนที่คนงอนจะดูแลคนง้อได้ดีกว่าคนง้อแบบนี้ รู้สึกผิดไปที่ขั้วหัวใจเลย “แต่ก็ถือว่าสถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่ผ่านๆ มา”
“มึงไปทำไร ไปถอดเสื้อให้มันดูเหรอ”
“บ้า”
“งั้นก็ถอดกางเกง”
“ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย” ตีสามกว่าๆ แบบนี้มันยังมีอารมณ์มาต่อปากต่อคำกับผมอีกเนอะ
“เอาเป็นว่าพวกกูสงสัยตั้งแต่มันมาลากมึงออกไปจากห้องประชุมเมื่อวานแล้ว แม่งคนจริงฉิบหาย มึงไปทำอะไรเอาไว้ล่ะ”
“อืมมมม” ผมทำท่านึก ระหว่างที่เดินออกไปหน้าห้องเพื่อขนลังของโปรดเข้ามาเก็บ “มันจะมีอะไรนอกจากโดนพวกมึงทิ้ง”
คิดว่ามันจะรู้สึกผิดมั้ยครับ...ไม่มีทาง มันทำหน้าอยากเสือกต่อ ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของผมเลย
“กูรู้แล้ว” เซียนเริ่มตื่นตัวมากขึ้น สงสัยเพราะเรื่องของผมอย่างแท้ทรู “เพราะไอ้เชนมันเป็นคนออกไปรับมึง”
“เอ่อ...”
“เพื่อนกูแม่งร้ายว่ะ” มันทำหน้าเจ้าเล่ห์
“กูร้ายยังไง”
“ใช้ผู้ชายคนอื่นมาทำให้ผู้ชายอีกคนหึง มึงนี่แม่งสุดยอดดดด”
โอ้โห...ความแมนที่สั่งสมมานานของผมหายไปกับประโยคเดียวของไอ้เหี้ยเซียน
“กูเปล่าสักหน่อย!”
“เสน่ห์แรงเอง ช่วยไม่ได้ว่างั้น”
“ไปนั่งรอเลย กูจะอาบน้ำแล้ว”
“เหลืออีกกี่ลังเนี่ย” มันเดินอ้อมตัวผมเพื่อมาขนช่วย สรุปแม่งก็ยังมีความดีอยู่ ถึงแม้จะปากเสียไปหน่อยก็ตาม
กว่าผมจะออกมาจากห้องได้ก็กินเวลาไปอีกหลายสิบนาทีเพราะต้องอาบน้ำแต่งตัว ในที่สุดผมกับไอ้เซียนก็มาปรากฎตัวอยู่ที่จุดนัดพบของคณะเศรษฐศาสตร์ พวกปีสองทุกคนที่เป็นสตาฟฟ์ของมอต่างก็พากันคิดเหมือนกันนั่นก็คือดูแลน้องคณะตัวเองก่อน พอไปถึงงานใหญ่แล้วค่อยแยกตัวไปอีกที สตาฟฟ์มอคนค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว ไม่ช้าก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ยังไงทุกคนก็ต้องเอาน้องคณะตัวเองมาก่อนอยู่แล้ว
แต่ถ้าสวัสฯ พวกนั้นดันคิดเหมือนกันหมดล่ะ...ช่างมันก่อนก็แล้วกัน
วันนี้เอ้เสียงแหบครับ ไม่รู้เพราะแม่งแอบไปกรี๊ดพวกเดือนปีนี้ที่ซ้อมจนดึกดื่นหรือเปล่า เพราะงั้นคนที่รับหน้าที่ถือโทรโข่งจะเป็นใครไม่ได้ นอกจากคนที่เป็นที่รักของน้องๆ ทุกคนซึ่งนั่นก็คือผมนั่นแหละ
“เหนื่อยมั้ยเนี่ย” ผมที่นั่งม้านั่งอยู่ข้างหน้าพูดผ่านโทรโข่งโดยที่ข้างหน้ามีน้องๆ คณะตัวเองนั่งหลับนั่งหงอยกันหมด “เป็นปีหนึ่งก็งี้แหละนะ แต่พี่บอกเลยว่าขึ้นปีสองเหนื่อยกว่าอีก”
“ทำไมครับพี่” หนึ่งในเด็กไม่กี่คนที่ตื่นยกมือขึ้นถาม ดีใจฉิบหาย นึกว่าจะไม่มีเล่นกับผมแล้ว
“เพราะต้องดูแลพวกหนูเหรอ” มีน้องผู้หญิงอีกคนร้องคุยกับผมด้วย
“เปล่า” ผมตอบ “ต้องขยันอ่านหนังสือเพราะตอนเรียนปีหนึ่งทำเกรดแย่ไง”
“โห่” น้องๆ ส่งเสียง
“เรียนยากเหรอคะ”
“ซิ่วทันมั้ย”
“ตอนสอบเข้าก็ยากแล้ว ฮือออ”
พวกมึงถอดใจกันง่ายจังวะ ต้องลองดูด้วยตัวเองดิเฮ้ยยยยย
“หันไปมองหน้าสวัสฯ คนนั้นดูซิ” ผมพูดพร้อมผายมือไปทางไอ้เซียนที่ยืนกอดอกมองดูน้องอยู่ “หน้าอย่างนั้นเกือบติดเอฟตั้งหลายตัวยังรอดมาได้”
-วย ไอ้เซียนมองหน้าผมพร้อมพูดคำนี้แบบไม่มีเสียง
“มึงอยากกินกล้วยเหรอ เช้าๆ แบบนี้หายากหน่อยนะ”
“รำคาญมันมั้ย พี่โคตรรำคาญ เชี่ยเอ้มึงก็ไม่น่าเสียงแหบวันนี้เลย” เซียนร้องถามน้องๆ
“ไว้หน้ากูหน่อยไอ้สาด”
“ไม่ไว้แม่งแล้ว พูดแต่ละอย่างชวนง่วงเป็นบ้า”
“ใครยังไม่ได้กินข้าวเช้ายกมือเลยนะ ตงมึงดูมือน้องด้วย” ผมเปลี่ยนเรื่องไปเลย เพราะผมก็รำคาญไอ้เซียนเหมือนกัน
ไม่มีน้องๆ คนไหนยกมือ ทุกคนเอาแต่นอนแบบก้มหน้าซบหลังคนข้างหน้า ท่าทางน่าสงสารซะจนผมนึกถึงผมเมื่อปีที่แล้วไม่ได้ กิจกรรมรับน้องมันยาวนานติดกันอีกทั้งยังต้องตื่นเช้า บอกเลยว่าเป็นซุปเปอร์แมนก็ยังต้องหอบอ่ะ
ระหว่างที่ชวนน้องคุยโน่นนี่นั่นไร้สาระไปเรื่อยๆ สายตาของผมก็หันไปเห็นขบวนมนุษย์เสื้อยืดสีน้ำเงินซึ่งแต่ละคนออร่าจับมาก วันนี้น้องปีหนึ่งถูกกำหนดให้ใส่เสื้อยืดประจำคณะซึ่งสั่งทำมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ของน้องๆ คณะผมจะเป็นเสื้อยืดสีขาว (มอผมใช้สีขาวเป็นสีประจำคณะเสดสาดครับ) เพราะงั้นไอ้พวกกองทัพสีน้ำเงินที่เดินต่อแถวกันหน้าง่วงๆ เหมือนซอมบี้นี่ก็คือ...พวกคณะนิเทศฯ
สาบานได้ว่าพวกน้องๆ ผู้หญิงเริ่มตาสว่าง ใครหลายคนเริ่มสะกิดชี้ชวนกันดูแก๊งคุณชายลูกค่ายละครกันยกใหญ่ ผมมองตามจนเห็นว่านายท่านมันเดินอยู่หน้าแถวเลยครับ (พวกเป็นหน้าเป็นตาก็งี้)
ผมหยิบโทรโข่งขึ้นมาพูดเพื่อทำการสอนน้องๆ
“เอาล่ะ เรามีเพื่อนคณะอื่นเดินผ่านอยู่ข้างหลัง ทุกคนหันไปส่งเสียงทักทายนายท่านหน่อย” น้องดูงงๆ เพื่อนและก็รุ่นพี่ผมดูงงๆ พวกนิเทศฯ ที่เดินผ่านก็ดูงง ส่วนผม...ก็งงตัวเองเหมือนกัน
เผลอหลุดปากเหี้ยไรเนี่ยกู
ฉิบหายแล้ววววววววววววววววววว
สติโว้ยกล้า สติ!
“คือเอ่อ...” พยายามแก้ไขสถานการณ์ที่น่ามุดแผ่นดินหนีนี้ แต่จะทำยังไงดี ตอนนี้ทุกคนเริ่มมองมาที่ผมกันใหญ่แล้ว
“สามสี่”
“นิเทศศาสตร์ สวัสดีครับ/ค่ะ”
มีคนไหวพริบปฏิภาณดีกว่าผม คนๆ นั้นคือคนที่ผมเอ่ยปากพูดชื่อผ่านโทรโข่งให้คนหลายร้อยคนได้ยินนี่แหละ ไอ้นายท่านเป็นคนให้สัญญาณเพื่อนๆ ของมันเองว่าให้ทักทายชาวเสดสาดก่อนที่ผมจะอายไปมากกว่านี้
มันหันมามองพร้อมทำสีหน้ากลั้นขำผมด้วย
อยากวิ่งหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด ผมยกโทรโข่งขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง ดีนะที่แม่งใหญ่จนปิดหน้าผมไว้เกือบหมด
“สามสี่” ได้ยินเสียงไอ้เซียนให้สัญญาณน้องๆ แว่วๆ
“เศรษฐศาสตร์ สวัสดีครับ/ค่ะ”
น้องแม่งตื่นขึ้นมาจากอาการงัวเงียเพราะเหตุการณ์ต๊องๆ นี้ บางคนก็ขำ บางคนก็หันมามองผมอย่างสงสัย ระหว่างนั้นพวกนิเทศฯ ก็เดินผ่านไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ยางอายของผมที่ละลายลอยอยู่ในอากาศรอบๆ บริเวณนี้
แม่ครับ ผมอยากร้องห้ายยยยย
“พี่กล้ารู้จักนายท่านเหรอ”
“เหมือนรู้จักกันเลย”
“มองหน้าสบตากันปิ๊งๆ ด้วยอ่ะ”
ขอตัวขึ้นไปแก้ตอนที่ผมบรรยายว่าน้องมันง่วงได้มั้ยครับ เห็นขนาดนี้นี่แม่งไม่น่าเรียกว่าง่วงแล้วล่ะ
“ก็...เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน” ไม่พูดก็ไม่ได้แล้วสินะกู
“จริงง่ะ!”
“ตอนมอปลายนายท่านหล่อมากเลยยยย เคยเห็นรูปแล้ว”
“ตอนนี้ก็หล่อเนอะ”
“นี่ๆๆ ไปหลงปีหนึ่งด้วยกันทำไม มาหลงปีสองอย่างพี่นี่” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง
“โห่” น้องแม่งส่งเสียงไม่เห็นด้วยใหญ่เลย
“นาทีไม่มีใครสู้นายท่านอีกแล้วค่ะ”
“อยากเป็นไพร่กันหมดแล้วเนี่ย”
“หล่อมากอ่ะวันนี้ ฮือออ”
ต้องขอบคุณนายท่านที่ทำให้น้องคณะผมตื่นตัวขนาดนี้ ผมไม่ต้องชวนน้องคุยให้เหนื่อยแล้วล่ะ ระหว่างนั้นผมพยายามหลบสายตาพวกแก๊งชายโฉดโหดเยี่ยงหมาที่มองมา พวกมันดูฮาผมเอามากๆ คิดว่าผมน่าจะโดนล้อเรื่องนี้ไปจนถึงงานรับปริญญาผมเลยล่ะมั้ง
พอพาน้องๆ คณะเดินเข้าโรงยิมใหญ่เสร็จ ผมกับเพื่อนในกลุ่มก็แยกตัวจากชาวคณะตัวเองเพื่อไปเป็นกรรมกรแบกหามให้กับน้องๆ ทั้งมหา’ลัย โชคดีที่งานสวัสฯ ของมอเพิ่งเริ่มพอดี พอไปถึงปุ๊บ ผมกับเพื่อนก็เริ่มขนแพ็คน้ำและก็ขนมเบรกปั๊บ ภารกิจในวันนี้คือต้องรีบตรวจนับของกินเหล่านี้ให้พอเหมาะพอเจาะกับน้องคณะต่างๆ ซึ่งทุกคนก็น่าจะทราบกันดีว่ารวมกันแล้วก็เรือนหมื่น
งานช้างเลยมั้ยล่ะ
แค่นั่งนับนั่งจัดของเข้าถุงก็กินเวลาไปเยอะแล้ว แม้จะมีคนจากคณะอื่นมาช่วยกันหลายสิบก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะทันหรือเปล่า ระหว่างนั้นผมนั่งทำงานมือเป็นระวิง ได้ยินเสียงกิจกรรมภายในหอประชุมเป็นระยะๆ มั่นใจว่าปีที่แล้วผมหลับในกิจกรรมนี้ แถมยังหลับคาอัฒจรรย์ในโรงยิมใหญ่นี่แหละ
หมูหันมันสงสัยว่าทำไมไม่แยกคณะใครคณะมัน ผมก็เพิ่งรู้จากปากของปีสองคณะอื่นนี่แหละว่างานรับน้องมหา’ลัยจะใช้งบของมหา’ลัยทั้งหมด พวกขนมเบรก ข้าวกลางวัน และข้าวเย็นในบางวันทางมหา’ลัยจะเป็นคนรับผิดชอบ เพราะฉะนั้นก็เลยต้องมีสตาฟฟ์ของมอเป็นฝ่ายๆ แบบนี้เพื่อช่วยกันดูแลน้องทุกคนในมอ
“แพทยฯ ทันตฯ เอาไปแล้วใช่มั้ย” หัวเรือใหญ่ของสวัสดิการปีนี้นามว่ามูมู่กำลังตรวจเช็ก เธอเป็นสาวสวยปีสองคณะนิเทศฯ ซึ่งไอ้ตงกับไอ้เซียนยอมรับว่าเป็นสาวน่ามองที่สุดของฝ่ายสวัสดิการ “เหลือของนิเทศฯ อ่ะ มีใครว่างช่วยเอาไปส่งให้นิเทศฯ น้องเรามั้ยคะ”
ไอ้เซียนไวมาก มันคว้ามือผมแล้วยกขึ้นจนสุดแขน
“พวกเราว่างครับ!”
“ขอบคุณมากค่ะ” มูมู่รีบจัดแจง “มีทั้งหมดสามร้อยห้าสิบชุดนะคะ”
“รับทราบ” เซียนขยิบตาให้ผม ไม่รู้ว่ามันยินดีที่ได้ช่วยมูมู่หรือยินดีที่จะได้สร้างโอกาสให้ผมกันแน่ “ลุกสิวะไอ้กล้า รอให้ใครมาตัดริบบิ้นเหรอครับ”
มึนไปเลยผม...เพราะนั่งแพ็คของอยู่นานผมก็เลยคิดอะไรไม่ค่อยออก ไอ้ตงกับไอ้หมูหันช่วยกันนับของในรถเข็นทั้งหมดอยู่นาน จนในที่สุดก็ครบตามที่จำนวนนิเทศฯ ต้องการ
“ไปเลยค่ะ อีกห้านาทีจะเบรกแล้ว”
“ฉิบหาย” ผมร้อง ระยะทางจากนี่ไปยังจุดที่นิเทศฯ นั่งแม้จะใกล้แต่ก็ยังน่าหวั่นใจอยู่ดี “วิ่งเลยพวกมึง วิ่งเลย”
ตุ๊ดอมรเพื่อนรักเห็นท่าไม่ดีก็วิ่งแยกจากแก๊งตุ๊ดสวัสฯ มาช่วยด้วย ผมกับเพื่อนช่วยกันเข็นรถ พยายามวิ่งไปให้ทันเวลาที่เขาจะเบรกพอดี
ตอนที่เข้าไปข้างในโรงยิม ผมสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่หาดูได้ยากนั่นก็คือนักศึกษาใหม่ปีหนึ่งนั่งแยกกันเป็นคณะจนเต็มโรงยิมไปหมด ทุกอย่างดูแน่นและยิ่งใหญ่มากจนอดอ้าปากค้างไม่ได้
ขนลุกขนพองไปหม๊ดดดดดดด
“นิเทศฯ อยู่ขวา ขวามือเว้ยไอ้กล้า” ไอ้ตงส่งเสียง
ผมหันไปทางขวา เห็นอัฒจรรย์ของคณะนิเทศฯ ที่มีพวกเด็กๆ ใส่เสื้อยืดสีน้ำเงินหันไปมองข้างหน้ากันหน้าสลอน มีไม่กี่คนที่มองมาทางผม หนึ่งในนั้นคือไอ้นายท่าน คุณชายแห่งค่ายเอสเอ็นนี่แหละครับ
แม่งนั่งแถวหน้าล่างสุดเลย มันนั่งกับเพื่อนมันอีกสองคนที่ขนาบมันคนละข้าง โคตรยืนยันความเป็นหน้าตาเป็นตาให้นิเทศฯ อ่ะ
“มาทางนี้เลยค่ะสวัสฯ” พวกปีสองกวักมือเรียกยิกๆ “เริ่มแจกได้เลยค่ะ เด็กๆ คะ ส่งต่อให้เพื่อนด้านหลังก่อนนะโอเคมั้ย”
ผมมาถึงตอนเบรกพอดี ทันทีที่ได้งานผมก็เริ่มตั้งใจทำงานอีกครั้งหนึ่งโดยมีพวกปีสองของนิเทศฯ มาช่วยด้วย น้องๆ ดูหิวและดูโหยมาก ไอ้งานที่ต้องนั่งนิ่งๆ มองดูพวกพิธีกรของมอคุยกันในตอนเช้าก็น่าเบื่ออย่างงี้แหละ
มันจะเริ่มสนุกตอนบ่ายเพราะพิธีกรจะให้แต่ละคณะไฟต์กัน บอกเลยว่าโคตรมันส์ ทุกคณะแม่งจะงัดเอาทุกอย่างออกมาเพื่อเรียกเสียงฮือฮาแบบโคตรมีสีสัน ปีที่แล้วสนุกมาก ผมกับพวกเพื่อนแม่งตะโกนแหกปากกันจนคอแหบ พอมานึกถึงปีนี้ก็อยากมาเกาะกำแพงดูเหมือนกันนะ
หวังว่าตอนบ่ายงานสวัสฯ จะไม่หนัก เพราะผมก็ยังอยากดูกิจกรรมนี้อยู่
ตัดภาพมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน...ผมกำลังช่วยส่งต่อขนมเบรกให้น้องๆ คณะนิเทศฯ ไม่รู้ว่ามีใครตั้งใจหรือผลักไสไล่ส่งผมมั้ย ทำไมผมถึงได้มายืนอยู่ข้างหน้าไอ้นายท่านอย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะงั้นมือของผมจึงต้องถือส่งขนมเบรกผ่านไอ้ท่านโดยที่มันต้องส่งไปให้เพื่อนอีกที
กูจะไม่เขินอะไรเลย ถ้ามันไม่เอาแต่จ้องหน้ากูอยู่ตลอดแบบนี้
มองอย่างอื่นบ้างก็ได้ครับ...โธ่
น้องคณะนี้นั่งจนเต็มอัฒจรรย์ซึ่งย่อมหมายความว่ามีคนอยู่ในแถวสิบกว่าคน ไอ้นายท่านมันก็เลยต้องอยู่ใกล้ๆ ผมนานหน่อย
“เหนื่อยมั้ย” มันถาม ตาของมันก็ยังจ้องหน้าผมอยู่เหมือนเดิม “หน้ามึงดูเหนื่อยมาก”
“สบ๊าย” ผมตอบ “มึงเอาสองชุดมั้ย เดี๋ยวกูกั๊กไว้”
“มึงจะบ้าเหรอ” ถ้าไม่เก๊กอยู่ ผมคิดว่ามันคงหลุดขำผมอ่ะ
“จะได้รู้ว่าพิเศษไง” เสียงของผมฟังดูธรรมดาๆ แต่ก็ทำให้ดวงตาของคนที่จ้องมองผมอยู่นั้นมีแววลึกซึ้งมากขึ้น
“ไม่เอาดีกว่า แม่งไม่ใช่นมเปรี้ยว”
ทำไมมันฟังดูมีอะไรทั้งๆ ที่มันก็เป็นประโยคที่ไม่พิเศษ ผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้ม แต่เพราะมีไอ้นายท่านจ้องผมอยู่แบบนี้มันก็เลยห้ามยากนิดนึง
กูยิ้มก็ได้
“เมื่อเช้าอ่ะ”
“...”
“ถ้ามึงอยากทักกู มึงไม่ต้องใช้น้องคณะมึงก็ได้นะ”
ผมหุบยิ้มฉับ สีหน้าของคนข้างหน้าดูมีความสุขขึ้นมากจนน่าหมั่นไส้
“กูหลุดไปเฉยๆ!”
“หลุดได้ตลกดี”
“...”
“น่ารัก”
“เดี๋ยว” ผมกระแอมแก้เขิน “อะไรเข้าสิงมึง อยู่ดีๆ มาชม ไม่โกรธกูแล้วหรือไง”
“ไรวะ ชมก็ไม่ชอบ มึงชอบให้โกรธ ชอบให้ด่าเหรอ”
“ก็...” อะไรก็ได้อ่ะ ขอแค่มึงพูดกับกูเนี่ย “โทษทีนะ โคตรไม่ว่างเลย”
“ถ้าว่างแล้วมึงจะทำอะไร” เหมือนแม่งถามเพื่อเอาสิบแต้มให้เรเวนคลอ (กริฟฟินเดอร์เล่นไปแล้ว)
“ก็คงซื้อนมเปรี้ยวให้”
“แค่นั้นอ่ะนะ”
“มาหาบ่อยๆ ด้วยมั้ง”
“...”
“ทำเหมือนที่มึงเคยทำเมื่อสมัยก่อน”
พวกปีสองรอบข้างผมเริ่มขยับเพราะแจกขนมเบรกให้น้องครบแล้ว นายท่านรับขนมชุดสุดท้ายจากมือผม ก่อนจะใช้นิ้วก้อยยาวๆ ของมันเกี่ยวนิ้วของผมเอาไว้ด้วย
“แค่บอกว่าอยากมาหา กูก็ดีใจแล้ว”
เซียนดันหลังผมให้เดินกลับ ผมไม่ทันได้ตอบอะไรไอ้นายท่านก็โดนดันให้ออกไปจากด้านหน้าของน้องๆ คณะนิเทศฯ แล้ว
เมื่อกี้นายท่านแม่งเสียงโคตรหวาน นี่ผมไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย
“น่ารัก”
“...”
“แค่บอกว่าอยากมาหา กูก็ดีใจแล้ว” คนพูดก็คือตง มันไม่ได้ด้วยน้ำเสียงล้อเลียน แต่มันพูดอย่างสงสัย “ถามจริง...นี่คือคำพูดของคนที่โกรธมึงอยู่เหรอกล้า”
“นี่มึงได้ยินเหรอ”
“ได้ยินทุกอย่างแหละ” ตงเอ่ย “มึงเองก็น้ำเน่าไม่แพ้กันเลยนะกล้า”
“ไอ้บ้าเอ๊ย” อายไม่ทันแล้วล่ะครับ ก็ในเมื่อมันได้ยินทุกอย่างขนาดนั้น
“หลังงานรับน้องนี่ไอ้กล้ากับไอ้ท่านคงได้จัดงานแต่งงานอ่ะ” เซียนเดินมาโอบรอบหลังของผมกับตง มีไอ้หมูหันยื่นคอมาฟังอยู่ข้างๆ “ดีใจโว้ยยยยยย ในที่สุดทีม RoV ของเราก็จะเทพสักที”
ตงกับหมูหันไฮไฟฟ์ไอ้เซียนกันใหญ่
พวกแม่งไม่ได้ดีใจเรื่องที่ผมกับนายท่านคืนดีกันเลย...
แต่เอาไว้คืนดีกันจริงๆ ก่อนเถอะค่อยว่ากัน
[มีต่อนะคะ]