::: ตอนที่ 21 :::
เพียงพลิกมือ
ตฤณกลับมาคฤหาสน์ตอนเกือบจะห้าทุ่มแล้ว เขาพบเจอความวังเวงและเปล่าเปลี่ยวราวกับสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีใครอยู่เหมือนเช่นทุกครั้งแต่เมื่อได้พบกับจ้าวที่ยืนรออยู่หน้าประตูคฤหาสน์ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ แม้จะไม่ได้อบอุ่นและคลุ้งเคล้าไปด้วยแสงตะวันรุ่งแต่ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกประหลาดราวกับสถานที่แห่งนี้อวลไปด้วยความอณูอบอุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาจางๆ
รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้ากลมมนจะกล่าวว่าเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งก็ว่าได้แต่ทว่าพอรับรู้ว่าเป็นรอยยิ้มของจ้าว ตฤณกลับรู้สึกว่านั่นเป็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่มอบให้เขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
“พี่ตฤณกลับดึกมากเลยนะครับ”
น้ำเสียงตัดพ้อของเด็กชายผู้กอดตุ๊กตาขนปุยตัวปอนเอาไว้แนบอกเรียกรอยยิ้มตรงมุมปากจากตฤณได้เป็นอย่างดี “เป็นห่วงพี่เหรอครับ”
“ครับ จ้าวเป็นห่วงพี่จนนอนไม่หลับแล้ว”
ตฤณเดินเข้าไปหาแล้วเอื้อมมือลูบเส้นผมอ่อนอันอ่อนนุ่มนั้นอย่างเบามือก่อนจะจูงมือเล็กให้เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน
“แล้วพี่ต้องทำยังไงให้จ้าวหลับล่ะครับ”
“นอนกอดจ้าวเหมือนทุกคืนได้ไหม หรือไม่ก็... ทำแบบนั้นอีกครั้งก็ได้ครับ”
“จ้าว...”
ตฤณพูดอะไรไม่ออก เขาพยายามไม่ใส่ใจในประโยคสุดท้ายนั่นและจ้าวก็ดูเหมือนจะไม่เซ้าซี้อะไรต่อ เด็กคนนั้นทำท่าปิดปากหาวหวอดๆ พลางขยี้ตาที่ฉ่ำเยิ้มคล้ายว่าคงถ่างตารอให้กลับมานานมากแล้ว
“ง่วงแล้วใช่ไหม ทำไมไม่นอนก่อน”
น้ำเสียงคล้ายว่าจะดุแต่ก็สงสารที่อดตาหลับขับตานอนรอเขากลับมา ตฤณไม่กล้าทำเสียงเข้มไปมากกว่านี้อีกแล้วด้วยเพราะใบหน้ายามง่วงเหงาหาวนอนของคนที่เดินอยู่ข้างๆ นั้นช่างน่ารักน่าชังเสียจนอยากจับมาฟัดให้แก้มช้ำไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“ก็... จ้าวคิดถึงพี่ตฤณนี่ครับ”
“พี่ก็คิดถึงจ้าวเหมือนกัน แล้วพี่ก็มีเรื่องอยากถามด้วยเหมือนกันแต่เห็นว่าจ้าวง่วงขนาดนี้แล้ว ไว้พี่ค่อยถามพรุ่งนี้ก็ได้”
“ถามตอนนี้ก็ได้ครับ จ้าวตอบได้”
จ้าวไม่รู้หรอกว่าคำถามที่ตฤณจะถามนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่ถ้าลองคาดเดาดูแล้วล่ะก็คำถามนั้นคงวกกลับไปเรื่องเดิมๆ อาทิ ปริศนาคำใบ้, ประวัติคฤหาสน์ตระกูลคัลเลน เป็นต้น แต่พอได้ยินสิ่งที่ตฤณถามออกมาจริงๆ เข้ากลับทำเขาชะงักไปเสียดื้อๆ “จ้าวช่วยอธิบายให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมภาพในกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลถึงไม่มีจ้าวอยู่ในนั้นเลย”
“เอ่อ... พี่ตฤณพูดเรื่องอะไรครับ”
“ตามพี่ขึ้นมาบนห้อง เดี๋ยวจะเปิดไฟล์ให้ดู”
จ้าวเดินตามตฤณขึ้นไปบนห้องเงียบๆ คิดหาทางให้ภาพวงจรปิดนั้นมีตัวเขาอยู่ให้ได้แต่มันเป็นไปไม่ได้ เครื่องมืออิเลคทรอนิกส์กับสิ่งลี้ลับมันไปด้วยกันไม่ได้ มีทางเดียวที่พอจะเคลื่อนปัญหานี้ให้ออกไปก่อนได้ นั่นคือ... หาเรื่องเบี่ยงประเด็นซะ!
“พี่ตฤณครับ”
“ครับ”
“ทำไมพี่ตฤณต้องทำเสียงดุใส่จ้าวด้วย จ้าวทำอะไรไม่ดีตรงไหนเหรอครับ”
ดวงตาสีเพลิงเอ่อคลอด้วยหยาดหยดน้ำใสเต็มหน่วยช้อนมองร่างที่อยู่ข้างๆ ความเศร้าสลดที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำให้ตฤณชะงักไปชั่วครู่ น้ำเสียงราวกับตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ ริมฝีปากรูปกระจับขบกัดกันจนเกิดเป็นรอยแนวฟัน
“เอ่อ...”
“พี่ตฤณไม่รักจ้าวแล้วเหรอครับ”
“คือ... ไม่ใช่แบบนั้นนะ”
ตฤณพยายามอธิบายเหตุผล เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ดุดันอะไรเลย เป็นแค่น้ำเสียงราบเรียบแตกต่างจากทุกครั้งที่ใช้พูดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วไหงถึงได้ถูกอีกฝ่ายน้อยใจอย่างนั้น
“เอาเป็นว่าคืนนี้จ้าวจะไปนอนกับพี่เจตนะครับ ฝันดีครับ”
เด็กน้อยหมุนตัวเตรียมเดินหนีจากแต่ทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่ดึงรั้งเอาไว้ก่อน รอยยิ้มเยียบเย็นราวกับผู้ถือชัยชนะไว้ในมือถึงครึ่งหนึ่งปรากฏอยู่บนใบหน้ากลมมนเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นง้ำงอ เขาเบือนหน้าหนีเล็กน้อยเมื่อถูกมือหนาประคองใบหน้าให้สบสายตา
“โกรธพี่เหรอ”
“เปล่าครับ จ้าวจะไปโกรธพี่ตฤณเรื่องอะไรได้”
“ไม่โกรธแล้วทำไมคืนนี้ถึงไม่ยอมนอนกับพี่อีกล่ะ ไม่ใช่ว่าที่ยืนรออยู่นี่เพราะคิดถึงอ้อมกอดพี่หรอกเหรอ”
“ไม่อยากนอนกอดพี่ตฤณแล้วครับ”
“แต่พี่อยากนอนกอดจ้าวนี่ครับ”
จ้าวทำหน้ามุ่ย ขยับตัวเล็กน้อยแสดงอาการฮึดฮัดไม่พอใจออกมา เบี่ยงตัวหลบอ้อมกอดอันแข็งแกร่งที่ทำท่าจะเข้ามาโอบกอดร่างเขาเอาไว้
“แล้วพี่ต้องทำยังไงถึงทำให้จ้าวอยากกอดพี่ล่ะ”
“พูดจากับจ้าวด้วยน้ำเสียงเพราะๆ เชื่อในสิ่งที่จ้าวพูด แค่นี้ก็พอแล้วครับ”
ดวงหน้ากลมมนกลับมาประดับด้วยรอยยิ้มได้อีกครั้งเมื่อตฤณพยักหน้าพร้อมกับตอบรับในลำคอเสียงเบา จ้าวไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่เพียงตฤณไม่ระแคะระคายสงสัยในสิ่งที่เขาเป็นเพียงเท่านี้ เขาก็สามารถรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ดีมีสุขอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างปลอดภัย
“แล้วพร้อมที่จะให้พี่นอนกอดหรือยังครับ”
“ยัง พี่ตฤณต้องไปอาบน้ำก่อน เหม็นเหงื่อ”
จ้าวพลิกตัวหันกลับแล้วเดินขึ้นเตียงไปนอนรออยู่ใต้ผ้าห่มโดยที่มือข้างหนึ่งยังคงกอดตุ๊กตาหมีขนปุยแนบอกเอาไว้แน่น เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนี้แล้วตฤณก็มีแต่ต้องเดินเข้าห้องน้ำไป ไม่อย่างนั้นคงอดที่จะได้กอดเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มราวกับตุ๊กตาที่พรมน้ำหอมกลิ่นหวานตัวนั้นแน่
จ้าวนอนรออยู่นิ่งๆ บนเตียงจวบจนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากฝักบัว เขาจึงก้มหน้าลงแนบชิดกับตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเก่าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบา “จ้าวรู้นะครับว่าพี่เจตมีเรื่องอยากพูด”
‘คิดว่าเขาเริ่มสงสัยแล้วหรือเปล่า’“ไม่แน่ใจ แต่ถ้าเขาอยากได้คำตอบ จ้าวก็จะตอบ”
‘แล้ว... เริ่มรักเขาบ้างแล้วใช่ไหม’
“พี่เจตพูดเรื่องอะไร จ้าวจะรักใครได้นอกจากตัวเองกับพี่เจต”
‘ไม่ได้รักงั้นเหรอ แล้วที่ทำถึงขนาดนี้เรียกว่าอะไร’จ้าวตอบไม่ได้ ที่ทำขนาดนี้กับผู้ชายคนหนึ่งเรียกว่าอะไรนั้นเจ้าตัวเองก็ไม่สามารถตอบได้ แต่เขารู้แค่ว่าตั้งแต่ที่พบเจอหน้าครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก แรกเริ่มเดิมทีก็แค่อยากชักชวนให้อยู่ด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรอื่นไกลจนกระทั่งความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัว
“จะเรียกว่าอะไรไม่สำคัญหรอกครับ”
‘แต่พี่ก็ยังอยากบอกว่าจ้าวดูเปลี่ยนไปนะ ตอนที่อยู่กับเขา... เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น’“พี่เจตจะไปไหนก็ไปเถอะครับ”
‘งั้นก็ปล่อยพี่สิ’จ้าววางตุ๊กตาหมีเอาไว้ข้างหัวเตียง แต่วิญญาณของเจตรินก็ยังไม่ไปไหน ถึงแม้จะบอกให้จ้าวปล่อยแต่เจตรินก็เลือกที่จะอยู่ในตุ๊กตาหมีตัวนั้น
“บอกให้จ้าวปล่อย แล้วทำไมไม่ไปล่ะครับ”
‘เป็นห่วง’“ไม่ต้องห่วงหรอก จ้าวดูแลตัวเองได้”
ไม่ต้องเป็นห่วง อย่างไรเจตรินก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี เขาไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในความคิดของน้องชายบ้าง ถ้าจะบอกว่าจ้าวเป็นเด็กร้ายกาจนั่นก็ใช่แต่ในบางครั้งเด็กคนนั้นก็เป็นเด็กดี มีใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทว่าความดีที่มีอยู่กลับถูกบดบังด้วยสิ่งชั่วร้ายที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ
‘จ้าว... รับปากพี่ได้ไหมว่าจะไม่ทำร้ายตฤณ’“จ้าวเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าพี่ตฤณจะเป็นคนเพียงคนเดียวที่จ้าวจะทำดีด้วย เป็นคนเพียงคนเดียวที่จ้าวคิดจะปกป้องจากทุกสิ่งทุกอย่าง จ้าวไม่ผิดคำพูดของตัวเองแน่นอน พี่เจตมีอะไรจะไปทำก็ไปเถอะครับ จ้าวอยากพักแล้ว”
มือเล็กดึงเอาปลายผ้าห่มมาคลุมจนมิดหัวแล้วทำทีเป็นไม่สนใจเจตรินอีก แต่ทว่าภายในใจกลับยังมีเรื่องราวมากมายให้ต้องคิดทบทวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พระภูมิเจ้าที่หน้าโรงพยาบาลได้พูดเอาไว้ หรือแม้แต่สิ่งที่เจตรินพูดกับเขาเมื่อครู่นี้ ยังรวมไปถึงคำตอบที่จะต้องตอบตฤณอีกมากมายเกี่ยวกับข้อสงสัยนั้น
การเอาตัวเองไปยุ่งกับสิ่งที่อยู่คนละภพภูมิไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆแรงยวบบนเตียงนอนทำให้จ้าวรู้ว่าตฤณกลับมาแล้ว เขาแสร้งทำเป็นหลับตาอยู่อย่างนั้นคล้ายว่าทนต่อความง่วงเหงาหาวนอนที่พยายามดึงรั้งให้สติหลุดลอยไปเอาไว้ไม่อยู่ จังหวะลมหายใจแผ่วเบาบอกให้อีกฝ่ายรู้ได้ว่าคนตัวเล็กที่อยู่อีกฝากของเตียงนอนนั้นเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
ตฤณสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน โอบกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างถนุถนอมพลางซุกหน้าลงกับท้ายทอย ปรอยผมนุ่มนิ่มแตะสัมผัสลงบนปลายจมูกส่งกลิ่นหอมชวนให้จิตเตลิดอีกครั้งแต่เขาต้องหักห้ามใจแล้วทำได้เพียงแค่กล่าวกระซิบ “พี่รักจ้าวมากนะ หายโกรธพี่เถอะนะ คนดี”
‘จ้าวไม่ใช่คนดี’ นี่เป็นคำตอบที่จ้าวกล่าวตอบในใจ
เด็กน้อยในอ้อมกอดขยับตัวเล็กน้อยแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับตฤณ ดวงตาสีเพลิงสะท้อนแววแห่งความตัดพ้อช้อนมองใบหน้าคมคายที่อยู่เหนือขึ้นไป ริมฝีปากรูปกระจับขมุบขมิบเปล่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อยจนจับใจความสำคัญแทบไม่ได้
“บอกพี่ได้ไหมว่าหายโกรธแล้ว”
ดวงตาสีเพลิงเสมองไปทางอื่น น้ำเสียงที่ติดจะแข็งกระด้างอยู่เล็กน้อยผิดกับคำพูดที่ถูกกล่าวออกมา “จ้าวบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ”
“งั้นก็หายงอนพี่เถอะนะครับ”
“จ้าวไม่ได้งอน”
“ถ้าอย่างนั้น... บอกพี่ได้ไหมว่าเรื่องอะไร”
เด็กน้อยในอ้อมกอดผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ปรับน้ำเสียงให้สั่นเครือคล้ายว่าจะร้องไห้แต่ก็ยังไม่ได้ร้อง “จ้าวไม่ได้โกรธแล้วก็ไม่ได้งอน แต่แค่น้อยใจ พี่ตฤณเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาถามจ้าวว่าทำไมในนั้นถึงไม่มีจ้าวอยู่ แม้ว่าจ้าวจะยังไม่เห็นภาพแต่พี่ตฤณทำแบบนี้ก็เหมือนว่าพี่ตฤณกำลังสงสัยในตัวจ้าว พี่ตฤณพูดมาตรงๆ เลยดีกว่าครับ”
“คือ... พี่ไม่ได้สงสัย แค่แปลกใจเฉยๆ”
“แล้วพี่ตฤณไม่คิดว่ากล้องวงจรปิดนั่นมันจะเสียบ้างเหรอ พี่พูดแบบนี้เหมือนพี่คิดว่าจ้าวไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ กล้องวงจรปิดนั่นมันถึงจับภาพไม่ได้ พี่ตฤณไม่คิดบ้างเหรอครับว่าจ้าวได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของคนที่รักแล้วมันสะเทือนใจแค่ไหน”
น้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสายฉับพลันราวกับสั่งได้ นิ้วเรียวเล็กรีบยกขึ้นปาดมันออกจากใต้ขอบตาแล้วซุกหน้าลงกับหน้าอกของอีกฝ่าย
“พี่ก็คิดว่าระบบกล้องวงจรปิดมันอาจจะมีปัญหา แต่พี่ไม่ได้คิดว่าจ้าวไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้เลยนะ”
เพียงแค่เห็นน้ำตาของคนตัวเล็กกว่าไหลออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นไห้เพียงเบาๆ หัวใจของตฤณนั้นเจ็บปวดแทบเจียนตาย เพราะเด็กคนนี้เป็นคนที่เขารักและเพราะรักจึงเข้าข้างปกป้องทุกอย่าง ไม่คิดว่าแค่ข้อสงสัยของเมฆจะทำให้เขากับจ้าวต้องมาทะเลาะกันอยู่อย่างนี้
“แล้วถามแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ตฤณรู้สึกสงสัยในตัวจ้าว”
“เชื่อพี่หรือเปล่าว่าพี่ไม่เคยสงสัยอะไรเลย”
“ไม่เชื่อ! จ้าวไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น”
จ้าวขยับตัวหนีไปอีกทาง ดวงตาสีเพลิงฉายแววแห่งชัยชนะที่เหนือกว่าแต่น้ำตากลับหลั่งออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นไห้ยังคงมีให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบเอื้อนเอ่ยความน้อยอกน้อยใจที่พรั่งพรูอยู่ในอกราวกับเขื่อนที่เริ่มแตกร้าว “พี่ตฤณใจร้ายกับจ้าวมากเลย จ้าวให้พี่ตฤณอยู่ที่นี่โดยไม่เคยถามหรือสงสัยอะไรในตัวพี่เลยสักอย่าง แล้วดูสิ... ดูสิ่งที่พี่ทำกับจ้าวสิ แค่เรื่องกล้องวงจรปิดไม่จับภาพของจ้าว พี่ก็เอามาตั้งคำถามใส่แล้ว ถ้าไม่ให้คิดว่าพี่ไม่เชื่อในตัวตนของจ้าวแล้วจะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไง”
ตฤณขยับตัวตามแล้วโผเข้ากอดจากทางด้านหลังแล้วซุกจมูกลงบนเรือนผมนุ่มสีน้ำตาล จ้าวไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด เขายอมให้ตฤณนอนกอดอยู่อย่างนั้น
“พี่ขอโทษ”
“ขอโทษเหรอครับ พี่ตฤณทำลายความจริงใจที่จ้าวมีด้วยมือของพี่เอง รู้ตัวหรือเปล่าครับ”
เป็นตฤณเสียเองที่อยากจะร้องไห้ออกมา ถ้าหากเขาไม่รับปากกับเมฆว่าจะเอาเรื่องนี้มาถามก็คงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้ เขาที่ทั้งปวดใจที่เห็นดวงตาสีเพลิงคู่นั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำแห่งความน้อยอกน้อยใจ ริมฝีปากรูปกระจับที่สั่นเครือคล้ายกับพยายามกลั้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเอาไว้ภายใน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความผิดของเขาทั้งสิ้น
“พี่ขอโทษ”
“พี่ตฤณพูดว่าขอโทษถึงสองครั้ง ถามจริงๆ เถอะ... คำขอโทษที่พูดออกมามันลบคำถามที่อยู่ในใจพี่ไปด้วยหรือเปล่า”
ตฤณชะงักไปเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ได้สงสัยในตัวตนที่แท้จริงของจ้าวแต่คำถามที่เมฆตั้งขึ้นมามันก็ยังคงอยู่
“ถ้ามันลบคำถามตั้งแง่ของพี่ออกไปไม่ได้ มันจะไปต่างอะไรกับคำขอโทษที่พูดออกมาเพื่อหวังความจริงใจกลับคืน”
“จ้าว...”
จ้าวลุกขึ้นจากเตียงนอน ยืนหันหลังให้ด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายอย่างปิดไม่มิด เกมนี้คนที่จะชนะและดูเหมือนว่าจะถือไพ่เหนือกว่าไม่ใช่ตฤณอีกแล้ว “คืนนี้พี่ตฤณก็นอนไปคนเดียวเถอะครับ จ้าวจะย้ายไปนอนกับพี่เจต”
“จ้าวนอนกับพี่นะ”
“ไม่ดีกว่าครับ จ้าวไม่อยากนอนกับคนที่ระแวงสงสัยในตัวจ้าวอีกแล้ว”
“จ้าว...”
ตฤณร้องเรียกพร้อมกับคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ แต่ฝ่ายนั้นกลับสะบัดทิ้งอย่างไม่ใยดี ไม่หันมองหน้า ไม่มีแม้แต่คำพูดราตรีสวัสดิ์ก่อนเข้านอนเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่มีหน้าผากกลมมนให้จูบ ไม่มีร่างเล็กอยู่ในอ้อมแขน ไม่มีอะไรเหลือให้ตฤณอีกแล้วในห้องนี้ นอกจากความเสียใจที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของตัวเอง
----------------------------------
จ้าวกลับเข้าห้องของตัวเองก็เห็นว่าเจตรินยืนรออยู่ที่ริมหน้าต่างด้วยสีหน้าวิตกกังวล ไม่มีใครหยั่งรู้ความคิดของเด็กคนนี้ได้แม้แต่พี่ชาย นึกอยากจะดีก็ดีเสียจนน่าใจหาย เวลาจะร้ายก็ร้ายเสียจนต้องร้องขอชีวิต
‘ไหนว่าจะดีกับเขา แล้วที่ทำไปนี่มันยังไง’
“ดึงเกม”
เจตรินไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องชายได้ทำลงไปเลยจริงๆ วันนี้ทั้งวันตั้งแต่ที่ตฤณกลับเข้ามาก็เจอทั้งโหมดน่าสงสารของน้องชาย โหมดน่ารักจนอยากเข้าไปงับแก้มเบาๆ โหมดร้ายที่ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างเลือดเย็น
“อยากให้เขาอยู่ด้วยตลอดไปก็ต้องทำให้เขารู้ว่าขาดไปไม่ได้”
‘พี่ก็หวังนะว่าเขาจะรู้ ไม่ใช่คนที่รู้จริงๆ จะกลายเป็นคนแถวนี้แทน’
“พี่เจต!!”
จ้าวตะโกนลั่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวแต่เจตรินกลับไม่สนใจ เขายังคงยืนพิงขอบหน้าต่างอย่างใจเย็น
‘ถ้าหากเขารู้ว่าจ้าวเป็นอะไรขึ้นมา จะรับมือยังไง ปล่อยเขาหรือให้เขาอยู่ที่นี่กับเราตลอดกาล’ “จ้าวอยากให้พี่เจตลุ้นเอาเอง”
เจตรินจนปัญญาที่จะพูดด้วยจริงๆ ตราบใดที่จ้าวไม่บอกออกมาเองก็จะไม่มีวันได้รู้ เด็กคนนี้จากที่ดีแสนดีสามารถกลายเป็นร้ายเหลือคณานับได้เพียงแค่ชั่วพริบตา ใครดีมาก็ย่อมดีตอบแต่หากใครร้ายมาก็จะร้ายกลับ นั่นคือสิ่งที่เด็กอย่างจ้าวเป็น ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็ไม่เคยเปลี่ยนไป แต่ทว่าคนที่ทำให้เปลี่ยนไปได้แม้เพียงน้อยนิดกลับเป็นตฤณ ผู้ชายคนนั้นที่บังเอิญผ่านทางมา
‘จ้าว...’“พี่เจตอยู่เฉยๆ เถอะครับ จ้าวรู้ว่าควรทำยังไง ถ้าเขาสงสัยขึ้นมาจริงๆ คำตอบที่จะให้เขามันก็อยู่ในสิ่งที่จ้าวทำไปทั้งหมดอยู่แล้ว และถ้าเขาคิดได้มันก็คงจะทำให้เขาหมดข้อสงสัยไปเอง พี่เจตว่าจริงไหม”
‘คือ... ยังไง’“มีวิญญาณที่ไหนจับต้องได้ เห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขนาดนี้ แล้ววิญญาณที่ไหนเขาออกไปไหนต่อไหนตอนกลางวันกัน ใครๆ ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลากลางวันเป็นของคนเป็น ส่วนช่วงเวลากลางคืนเป็นของคนตาย แล้วพี่เจตเห็นแบบนี้จะยังสงสัยอะไรอยู่อีกไหมล่ะครับ”
เจตรินไม่สงสัยเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าน้องชายเป็นอะไร แต่ถ้าเป็นคนที่พยายามหาข้อกังขาได้ทุกเรื่องนั่นย่อมต้องมีคำถามตามมาอีกเป็นพรวนแน่
‘พี่ไม่สงสัยแล้วจ้าวคิดว่าเขาจะไม่สงสัยอะไรเพิ่มอย่างนั้นเหรอ’“ไม่หรอกมั้งครับ”
‘แล้วถ้าเขาต้องการจะพิสูจน์ขึ้นมาจริงๆ คนที่จะแย่ที่สุดก็คือจ้าวเองนะ ระวังเรื่องนี้เอาไว้ด้วย’จ้าวนิ่งไปอยู่ชั่วอึดใจ เขาเผลอนึกถึงตอนที่ตฤณชวนเข้าวัดไปงานศพเนตรแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี วัดเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับวิญญาณ สัมภเวสีผีเร่ร่อนอยู่แล้ว แม้ว่าวิญญาณตนนั้นจะมีอำนาจแกร่งกล้ามากเพียงใดแต่ก็ต้องยอมสยบแก่อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยทั้งปวง
“ครับ”
‘ที่พี่พูดมาทั้งหมดก็เพราะว่าเป็นห่วง’“จ้าวรู้ครับ พี่เจตดีกับจ้าวเสมอ”
ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบยกยิ้มน้อยๆ อย่างจริงใจที่สุด แล้วเดินตรงไปยังเตียงนอนที่มีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น ร่างกายที่เหลือเพียงแค่โครงกระดูกไม่อาจระบุตัวตนได้ว่าเป็นใคร มือเรียวเล็กเอื้อมออกไปลูบไล้โครงหน้านั้นอย่างเบามือ ดวงตาสีเพลิงทอดมองร่างนั้นด้วยความรัก ร่างที่เคยเป็นของเขาแต่บัดนี้ไม่อาจครอบครองมันได้อีก
“ถ้าวันนั้นพี่เจตไม่ทำกับจ้าวแบบนี้ บางทีจ้าวอาจต้องอยู่คนเดียวบนโลกก็ได้”
คำพูดของจ้าวทำเอาเจตรินสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบเดินเข้ามาหาแล้วกอดปลอบจากทางด้านหลัง
จู่ๆ ก็รู้สึกถึงรังสีแห่งความอำมหิตไร้ปราณี กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวลไปทั่วทั้งคฤหาสน์ในคืนวันที่ไร้แสงจันทร์ ค่ำคืนงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดสิบหกปีของจ้าวหรือที่ใครมักเรียกว่าวินเซ้นท์ เพียงแค่ชั่วข้ามคืนคฤหาสน์ที่บอกเล่าถึงความสุขของผู้คนในนั้นก็กลายเป็นที่กล่าวขานถึงความน่ากลัว สถานที่ที่มีแต่ศพคนตายนอนเกลื่อน สถานที่ที่ในที่สุดก็รกร้างไร้ผู้คน
“ถ้าพี่เจตไม่เอาขวานจามคอ...” ราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ จ้าวนิ่งไปอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดขึ้นต่อ “จ้าวก็คงไม่ต้องมานั่งมองศพตัวเองอย่างนี้”
‘ยังโกรธพี่อยู่เหรอ’“เรื่องมันผ่านมาตั้งร้อยกว่าปี หายโกรธไปนานแล้ว แต่พอเห็นร่างนี้ทีไรมันก็อดนึกถึงวันนั้นไม่ได้”
เจตรินได้แต่นิ่งเงียบอีกครั้ง เขาพูดอะไรไม่ได้เพราะคนที่ทำให้จ้าวตายก็คือเขา ถ้าเหตุการณ์วันนั้นไม่พาไปจนกระทั่งถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกัน จ้าวอาจไม่ติดอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้
‘พี่เสียใจที่ทำแบบนั้น’“ความเสียใจไม่สามารถทดแทนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้หรอก คราวหลังจะทำอะไรก็ไตร่ตรองให้ดีก่อนนะครับ”
‘จ้าว...’“พอเถอะครับ ไม่ต้องโทษตัวเองอีกแล้วเพราะยังไงสิ่งที่เกิดไปแล้วมันก็ไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้อีก มีแต่ปัจจุบันที่เราสองคนยังคงต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ไปชั่วนิรันดร์”
ไม่มีอะไรเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจหรือความรู้สึกผิด จะกลับไปแก้ไขอดีตก็ไม่ได้อีกแล้ว
‘ทิ้งเขาไว้ในห้องแบบนั้นคนเดียวจะดีเหรอ’คำพูดของเจตรินเหมือนเสียงระฆังเริ่มยก จ้าวเงยหน้าจากโครงกระดูกบนเตียงนอนแล้วออกไปดูที่ระเบียงทางเดิน ถ้าตฤณไม่ก้าวเท้าออกมาจากห้องก็จะไม่เป็นอะไรแต่มันกลับไม่ใช่อย่างทีหวังเอาไว้ เพียงครู่เดียวที่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองจึงเผลอทิ้งการรับรู้ตัวตนของตฤณในคฤหาสน์นี้ไป
-----------------------------------
ตฤณออกมาที่ระเบียงทางเดินตามหาจ้าวเพื่อกล่าวขอโทษอีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาพบเจอคือความว่างเปล่าที่แสนเงียบเหงาราวกับมันไม่เคยมีใครอยู่ เขาเดินไปตามทางที่มืดมิด มีเพียงแสงจากไฟฉายทางโทรศัพท์ส่องให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้บ้าง “จ้าว!! จ้าว!!”
แค่เพียงเรียกชื่อไม่กี่คำ ขนแขนของเขาก็ตั้งชันราวกับมีแม่เหล็กขนาดใหญ่ดูดมันขึ้นฟ้า ในขณะที่ก้าวเดินไปแต่ละก้าว บ่าข้างซ้ายดูเหมือนจะหนักอึ้งราวกับมีอะไรบางอย่างกดทับจนปวดไปหมด จะขยับเขยื้อนทีก็ยังลำบาก แต่แล้วขาขวาก็คล้ายกับถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นจับเอาไว้ มันเย็นเสียจนสะดุ้งเล็กน้อย ตฤณส่องไฟลงที่เท้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่อากาศเย็นจับขั้วหัวใจ ที่ปลายเท้าของเขายังคงไว้ซึ่งความว่างเปล่า
“จ้าว!! อยู่ไหน!! พี่ขอโทษ”
จ้าวเปิดประตูออกมาจากห้องหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า ตฤณไม่ทันได้สังเกตว่าห้องนั้นเป็นห้องที่อยู่ในฝั่งที่ห้ามเข้าทุกกรณี เด็กคนนั้นรีบสาวเท้าตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเพลิงคู่นั้นยังคงส่องสว่างในความมืดจนดูคล้ายกับปีศาจตนหนึ่งแต่ตฤณไม่เคยนึกกลัว
เมื่อจ้าวก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลันนั้นมวลอากาศรอบตัวก็ดูจะอบอุ่นขึ้น บ่าซ้ายที่คล้ายว่าจะมีอะไรบางอย่างคอยกดทับเอาไว้ก็หายไป ข้อเท้าที่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งสัมผัสก็หลงเหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยจางๆ
“พี่ตฤณเข้าห้องเดี๋ยวนี้เลยครับ”
“จ้าว... ฟังพี่พูดก่อน”
“เข้าห้องเดี๋ยวนี้! แล้วค่อยไปคุยกันข้างใน”
ระเบียงทางเดินในคฤหาสน์คือสิ่งต้องห้ามสำหรับมนุษย์เพราะมันเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณที่ตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด เช่นเดียวกับในแต่ละห้องที่มีเจ้าของของมัน ต่างแค่เพียงว่าห้องที่ตฤณพักอยู่นั้น เจ้าของเดิมเป็นเด็กผู้หญิงน่าตาน่าเอ็นดูที่มีจิตใจดีคนหนึ่งมันจึงไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก
ตฤณยอมเดินกลับเข้าห้องไปแต่ยังไม่วายหันหลังกลับมามอง
เมื่อตฤณลับตาไปแล้ว ความน่ากลัวของวิญญาณทั้งตายโหง ทั้งตายเพราะถูกฆาตกรรมก็ฉับพลันหายไปจากหน้าห้องพักของตฤณ เพียงแค่จ้าวใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือข่มขู่ ความชั่วร้ายที่แฝงเร้นกายอยู่ในร่างเด็กวัยสิบหกคือหายนะอันใหญ่หลวงของเหล่าดวงวิญญาณพวกนั้นเมื่อคิดจะต่อกรลองดี
“ถ้าคิดจะรบกวนคนของจ้าวอีก จ้าวจะทำให้แม้แต่นรกก็จะไม่ยอมรับวิญญาณของพวกแก”
จ้าวถอนหายใจออกมา คืนนี้ดูเป็นคืนที่ยุ่งยากวุ่นวายจนรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจไปหมด เขาเปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นว่าตฤณยังคงยืนรออยู่ไม่ห่างจากหน้าประตูเท่าไรจนรู้สึกกลัวว่าตฤณจะได้ยินสิ่งที่พูดอยู่ข้างนอกนั่นทั้งหมด แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นไม่ได้คิดอะไร ตีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่ายังคงทีท่าของความไม่พอใจเอาไว้
“พี่ตฤณออกมาข้างนอกห้องทำไม ไม่มีใครบอกเหรอว่าห้ามออกจากห้องหลังเที่ยงคืน”
“จ้าว... ข้างนอกห้องนั่นมัน...”
จ้าวแสดงสีหน้าลำบากใจที่เห็นว่าตฤณยังคงตกใจไม่หายกับเหตุการณ์แค่ไม่ถึงนาทีที่เกิดขึ้น เขาแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไรดี
“ข้างนอก... ข้างนอกมีอะไร”
“พี่ตฤณ จ้าวขอโทษที่ปิดบังพี่มาตลอด จ้าวกลัวว่าถ้าพี่ตฤณรู้ความจริงเข้าแล้วจะไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป... คฤหาสน์หลังนี้มีวิญญาณอยู่จริง เป็นวิญญาณที่ตายมานานแล้วตั้งแต่อดีตแต่ยังไม่ไปผุดไปเกิด”
ตฤณนิ่งงันไปชั่วครู่ ข่าวลือที่เขาลือกันมันคือเรื่องจริง คฤหาสน์หลังนี้มีสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาอยู่จริง
“ถ้าพี่ตฤณได้ยินแบบนี้แล้วจะไม่อยากอยู่ก็เข้าใจครับ จ้าวไม่ห้ามหรอกถ้าพี่ตฤณจะย้ายออกไป พี่ตฤณจะเก็บของแล้วออกไปตอนนี้เลยก็ได้นะครับ เดี๋ยวจ้าวเดินไปส่งที่หน้าประตูเอง มีจ้าวอยู่ด้วย พี่ตฤณจะปลอดภัยแน่นอนครับ”
“ไม่... พี่จะอยู่”
“ถ้าพี่ตฤณตัดสินใจแน่แล้วว่าจะอยู่ จ้าวก็จะนอนเป็นเพื่อนครับ”
แม้ว่ามันจะผิดจากที่คาดไปนิดหน่อย แต่ตฤณก็ยังทิ้งจ้าวไม่ลง นั่นนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
“จ้าวจะไม่ทิ้งพี่ไปอีกใช่ไหม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่พี่รักจ้าวมากนะ แค่คิดว่าวันหนึ่งจะไม่ได้นอนกอดจ้าว จะไม่ได้จูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์ จะไม่ได้ยินเสียงจ้าวอีก ใจพี่มันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทงไปทั่ว มันเจ็บมากเลยนะ”
“จ้าวไม่ทิ้งพี่ตฤณไปหรอกครับ จะกลัวก็แต่ว่าคนที่ถูกทิ้งจริงๆ จะเป็นจ้าวเองมากกว่า”
จ้าวเดินขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย ซุกตัวลงในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหมือนเช่นหลายวันที่ผ่านมา เขาได้รับรอยจูบที่หน้าผากเหมือนอย่างที่พูด ได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นของคนตรงหน้าที่หาไม่ได้จากพี่ชาย ได้รับรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้จะยอมในทุกสิ่งที่เขาพูด เพียงเท่านี้... จ้าวก็อิ่มเอมและนอนหลับได้อย่างสบายแล้ว
** ติดตามตอนต่อไป **