๙
ใบหน้าขาวซีดบนหมอนใบใหญ่พลิกไปมา ริมฝีปากแห้งลอกขยับส่งเสียงเบาๆในลำคอ น้ำตาไหลรินจากเปลือกตาปิดสนิทเป็นสัญญาณของการฝันร้าย
ทเวนซึ่งนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงยกผ้าแห้งขึ้นซับเหงื่อตามไรหน้าผากและสันจมูกให้แผ่วเบา ผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะยังมีคราบโลหิตซึมประปราย เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถูกตัดจนสั้น เปลี่ยนบุคลิกของชายหนุ่มข้างกายให้ดูอ่อนเยาว์ลงอย่างน่ามหัศจรรย์
‘ลูกกระสุนเจาะกะโหลกเข้าไปฝังอยู่ในขมับขวา แต่คนไข้ยังมีชีวิตอยู่ ปาฏิหาริย์จริงๆครับ’
แว่วเสียงหมอผ่าตัดผู้นั้นดังมาจากที่ไกลแสนไกล
“หมอบอกว่าเพราะปาฏิหาริย์...นายเลยรอดมาได้ แต่ฉันว่าไม่ใช่หรอก...การมีชีวิตอยู่ของนายต่างหาก ที่ทำให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น...เอ็ดเวิร์ด”
ทเวนบอกอย่างปิติ ทั้งที่น้ำตายังกลบหน้า
...ใช่ ลมหายใจของเอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอล สามารถดลบันดาลได้แม้กระทั่งรอยยิ้มจากปีศาจเลือดเย็นที่มีนามว่า...แม็กเกล...
แม้จะกำชับตัวเองนักหนาแล้วว่าทำตัวให้สบาย แต่แม็กเกลก็ยังผุดลุกผุดนั่งด้วยความร้อนใจอยู่หน้าห้องผู้ป่วยพิเศษตลอดเวลา โดยที่มิอาจละสายตาไปจากบานประตูสีขาวเบื้องหน้าได้เลย
“ห่วงมากขนาดนั้นเลยหรือ เดอะ สการ์เฟส?”
ได้ยินเสียงแมทธิวนั่นละ ถึงได้รู้ตัวว่าไม่เพียงแต่จะทำตัวงุ่นง่าน หากยังเผลอ
ถอนหายใจหนักๆซ้ำกันหลายต่อหลายครั้งอีกด้วย
ชายหน้าบากทรุดกายลงนั่งอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก สะบัดเสียงถาม
“ตกลงจะบอกได้รึยัง เรื่องไอ้คนทรยศนั่น”
“ผมบอกคุณไปแล้ว สตีฟไม่เคยทรยศคุณ”
ยิ่งได้สดับฟังวาจาอ้อมค้อมเหมือนจงใจแกล้ง เส้นด้ายแห่งอารมณ์ที่บิดเกลียวเขม็งตึง จวนเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อก็ขาดผึงออกจากกันทันที!
แม็กเกลฉุนกึก สะบัดหน้าขวับมามองจะเอาเรื่อง แล้วกลับกลายเป็นฝ่ายชะงักไปกับคำพูดต่อมาของแมทธิว
“ว่าแต่คุณเถอะ เป็นห่วง ‘น้องชายต่างพ่อ’ ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แก...”
...รู้ได้ยังไง? ชายร่างสูงเก็บกลืนคำถามที่เหลือลงลำคอ พร้อมเบือนหน้าหนี ขณะที่ใจร้อนรนราวนั่งอยู่กลางกองเพลิง
...ร้ายนัก แมทธิว ซายส์
“...เซอร์เซสล่ะ ไม่มาอยู่เป็นสุนัขเฝ้ากระดูกแล้วหรือไง”
ในเมื่อแมทธิวพูดฉีกหน้าเขาได้ แม็กเกลจึงแสดงให้เห็นว่าตนก็ทำได้เหมือนกัน
อดีตสารวัตรหนุ่มแห่งเรดโซนเพียงแค่ยิ้มตาพราว รับว่า ไป ‘เที่ยว’ กับเพื่อน
“หึ...เที่ยว...ตลกจริงนะ ซายส์ ไม่กลัวหายหรือไง”
“ทำไมต้องกลัวล่ะครับ ในเมื่อผมให้เกียรติเขาได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง ส่วนเขาก็ให้เกียรติผมได้มีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเราต่างก็เคารพในสิทธิของกันและกัน...บอกตามตรง ผมภูมิใจที่มีคนรักแบบนั้น”
แม็กเกลนั่งอึ้งชะงักตรึง ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือตกใจดี สิ่งที่ได้ยินนั้นบาดลึกลงในความรู้สึก แปลบปลาบไปทั้งใจ
...ไม่มีใครกล่าววาจาใดออกมาอีก ทั้งสองหันสบตา ดูเชิงกันเงียบๆ
ทันใดนั้น ประตูห้องผู้ป่วยพิเศษพลันเปิดออก ทเวนวิ่งออกมาแจ้งข่าวใหญ่ด้วยสีหน้าร้อนใจ
“เอ็ดเวิร์ดฟื้นแล้วครับ! แต่...”
เพราะมัวแต่อ้ำอึ้ง มาเฟียหนุ่มเลยลุกพรวดจากเก้าอี้และวิ่งสวนกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยพิเศษทันที ทิ้งทเวนไว้กับสายตาสงสัยของแมทธิวตามลำพัง
“แต่อะไร ทเวน”
ดวงตาสีน้ำตาลเจือทองฉายแววคาดคั้นอย่างที่คนถูกถามเข้าใจได้ทันทีว่าเขาต้องตอบ...เดี๋ยวนี้เลย
“เอ็ดเวิร์ด”
สิ่งแรกที่แม็กเกลเห็นเมื่อก้าวพ้นกรอบประตูเข้ามาคือดวงตาว่างเปล่าของร่างที่นอนอยู่บนเตียง ไม่มีความโกรธชิงชังหรือแม้แต่ความเศร้า ชายหนุ่มผู้นั้นเบือนหน้ากลับมามองเขาช้าๆ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยทวนนิ่ง...เลื่อนลอย
“...เอ็ด...เวิร์ด...?”
“แกเล่นอะไรของแก มันไม่ตลกนะ!” แม็กเกลแผดเสียงอย่างหมดความอดทน ตรงเข้าไปคว้าต้นแขนอีกฝ่ายแน่น ก่อนกระชากให้ลุกขึ้นนั่งประจันหน้ากับตัวเอง
“...กลัว...กลัวแล้ว...อย่า....อย่าทำอะไรผม”
ดวงตาสีเทาอ่อนเบิกโพลง เอ็ดเวิร์ดตะเกียกตะกายลนลานจะไต่ลงจากตักชายหน้าบาก พร้อมกันนั้น ยังส่งกำปั้นรัวกระหน่ำไปบนแผงอกกว้างตุบตับเต็มแรง
“อย่านะ ปล่อย!!”
“หยุดเดี๋ยวนี้ เอ็ดเวิร์ด”
“ไอ้บ้า...อุ๊บ!”
ริมฝีปากถูกบดขยี้รุนแรงราวกับถูกขืนใจ มือสองข้างถูกจับรวบไพล่หลังด้วยมือเพียงข้างเดียว เรือนกายสูงใหญ่ที่แนบชิดส่งให้ลมหายใจร้อนระอุโดยไม่มีสาเหตุ
...นานเหลือเกิน กว่าการกระทำอันดิบเถื่อนนั้นจะผละจากไป
แว่วเสียงแหบแผ่วกระซิบปลอบประโลม
“อย่าร้องไห้”
นั่นละ เอ็ดเวิร์ดจึงค่อยรู้สึกถึงความเปียกชื้นบนใบหน้า เขารีบใช้สันมือปาดเช็ดน้ำตาออก
“สรุปว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”
ชายแปลกหน้าหันไปมองชายสองคนที่เพิ่งตามเข้ามาในห้องอย่างคาดคั้น
เกิดความเงียบขึ้นทันใด ก่อนชายหนุ่มที่เอ็ดเวิร์ดจดจำได้ว่าเห็นเป็นคนแรกตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจะตอบเสียงอ่อนอ่อย
“คาดว่าเป็นความจำเสื่อมจากผลข้างเคียงของแรงอัดกระสุน หรือไม่ก็เกิดจาก...ความสะเทือนใจ”
“สะเทือนใจ! จะบอกว่าเป็นความผิดของฉันอีกแล้วใช่ไหมวะ”
แม็กเกลแผดเสียงออกมาทันที
เงียบกันไปอีกชั่วอึดใจ ก่อนใครคนหนึ่งจะตอบ
“อย่าลืมสิ เดอะ สการ์เฟส...เอ็ดเวิร์ดไม่ได้มีสติอยู่ดูจนรู้ความจริงทั้งหมด”
ใครคนนั้นคือชายหนุ่มรูปงาม เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเจือทองที่ทอดมองมายังเอ็ดเวิร์ด อย่างอ่อนโยน แล้วบอกด้วยน้ำเสียงคาดหวังว่า**
“ทำตัวเป็นเด็กดีแล้วไปอยู่กับพี่ชายแม็กเกลซะนะ”
สิ้นคำ ในห้องพลันเกิดความเงียบขึ้นเป็นคำรบที่สาม ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่กลางห้องเป็นตาเดียว
และทันทีที่เอ็ดเวิร์ดพยักหน้ารับ...
ทเวนหน้าเลิ่กลั่ก เต้นผางเป็นคนแรก “พี่แมทธิว! ไม่ได้นะพี่”
ตามมาด้วยสุ้มเสียงระแวงปนอ่อนใจของแม็กเกลที่รู้ความนัยของ ‘พี่ชาย’ อย่างแจ่มแจ้ง “...คิดจะทำอะไรของแกอีกล่ะ แมทธิว ซายส์”
คนคิดจะทำอะไรยิ้ม ก่อนเอ่ยชื่อใครบางคนเสียงนุ่ม
“เอ็ดเวิร์ด”
ร่างสูงโปร่งสะดุ้ง มองแมทธิวที่โน้มตัวลงบอกถ้อยคำหนึ่งซึ่งจะฝังแน่นอยู่ในหัวใจของเขาไปอีกนานแสนนาน
“รักกันเข้าไว้นะ”
เจ้าตัวถอยกลับไปยืนหน้าประตู แล้วหันมาสบตาแม็กเกลตรงๆ
“ถ้าวันใดที่คุณทำเอ็ดเวิร์ดร้องไห้ วันนั้นคือวันสุดท้ายที่คุณจะได้เห็นหน้าเขา”
อุ่นวาบในอกทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดจากแมทธิว เอ็ดเวิร์ดจึงหลุดปากถามออกไป
โดยไม่ทันเห็นสีหน้าเจ็บปวดของคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย
“ผม...ไปอยู่กับพี่...ได้ไหมครับ?”
ทเวนกำลังจะตอบตกลง แต่กลับถูกแมทธิยกมือปิดปากไว้
“...ไปอยู่กับพี่แม็กเกลซะ เชื่อพี่ แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
“โธ่เอ๊ย! ไม่อยากจะเชื่อเลย พี่คิดยังไงถึงได้ส่งเนื้อเข้าปากหมาครับเนี่ย ป่านนี้ไอ้แม็กเกลมันตีปีกพึ่บพั่บไปถึงไหนต่อไหนแล้วมั้ง”
ทเวนอดถอนใจแรงๆไม่ได้ เมื่อนึกว่าศึกชิงตัวเอ็ดเวิร์ดในห้องผู้ป่วยจบลงด้วยการที่แม็กเกลได้ตัวชายหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำไว้ในการดูแล
อีกฝ่ายหัวเราะ พลางแหงนมองไปยังหน้าต่างชั้นบนสุดของโรงพยาบาลที่พวกเขาเพิ่งกลับออกมา
“ความจริง...คนที่โชคร้ายที่สุดน่ะ ต้องบอกว่าเป็นเดอะ สการ์เฟสต่างหาก”
“เอ่อ...ขอโทษนะครับ พี่แมทธิว แต่ผมสงสัยจริงๆ” อัยการหนุ่มที่เดินตามมาเอ่ยถามเสียงแผ่วลึก “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมเห็นเอ็ดเวิร์ดต้องทนทุกข์ทรมานจากผู้ชายคนนั้นมาตลอด แล้วการทำแบบนี้...ไม่เรียกว่าเสี่ยงไปหน่อยหรือครับ?”
คำตอบคือรอยยิ้มลึกลับของแมทธิว
สายลมเย็นยะเยือกพัดกรูเข้ามาทางกระจกรถที่เลื่อนเปิดไว้กว้าง ปลุกให้คนที่นอนหลับสนิทลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด...
นี่เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน? ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองขณะหันมองไปรอบตัว...ความทรงจำสุดท้ายคือเตียงสีขาวสะอาดและสัมผัสอบอุ่นของชายที่มีนามว่า‘แม็กเกล’
เอ็ดเวิร์ดนิ่วหน้า จู่ๆอาการปวดศีรษะก็รุมเร้าขึ้นมากะทันหัน เกิดจากภาวะที่จิตใต้สำนึกต่อต้านการรื้อฟื้นความทรงจำ เจ้าตัวเองก็พอจะเดาได้จึงสูดลมหายใจเข้าลึกยาว พยายามผลักความคิดนั้นออกไป
ทว่ายิ่งเจ็บยิ่งสงสัย ยิ่งสงสัยยิ่งอยากรู้ ความเศร้าในใจนี้คืออะไร ทำไมถึงต้องเกิดขึ้นทุกครั้งยามคิดถึงหรือมองเห็น ‘เขา’ คนนั้นในสายตา
ตอนนั้นเองที่กลิ่นควันบุหรี่ที่โชยเข้ามาใกล้ เอ็ดเวิร์ดหลับตาลงทันใด เป็นเวลาเสี้ยววินาทีก่อนประตูรถจะเปิดออก ใครบางคนก้าวเข้ามานั่งบนเบาะข้างชายหนุ่ม
“เข้ามาสิ ไอรีน”
สิ้นเสียงชักชวนกึ่งคำสั่ง กลิ่นน้ำหอมกรุ่นจางจากเรือนกายงดงามก็ลอยอวลตามเข้ามา หญิงสาวทรุดกายลงบนเบาะฝั่งตรงข้ามคู่สนทนา พลางถอนใจหนักหน่วง
“เอ็ดเวิร์ดยังไม่ตื่นอีกหรือคะ?”
เธอมองเขาอย่างเป็นห่วง ส่งให้มือหยาบกร้านของใครบางเอื้อมไปปัดผมที่ปรกหน้าผากออกด้วยความอ่อนโยน
“ปล่อยให้หลับไปก่อนดีกว่า”
แล้วคนที่แกล้งหลับก็ต้องเกือบร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อถูกวงแขนช้อนขึ้นนั่งบนตักอย่างนุ่มนวล การกระทำของแม็กเกลก่อเกิดรสขมปร่าในอกขึ้นอย่างน่าประหลาด
เกิดความเงียบขึ้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนเสียงหวานไพเราะปานดนตรีจะดังขึ้น
“แม็กเกล เรื่องที่คุณเสนอมา ฉันยินดีค่ะ...ฉันจะช่วยดูแลเอ็ดเวิร์ดให้เอง”
“ขอบใจมากไอรีน แล้วก็ขอโทษด้วยที่โทรตามตัวกลับด่วน ขึ้นเครื่องตรงมาถึงนี่คงลำบากไม่น้อยเลยสินะ”
ใบหน้างดงามฉายแววสงสัยเพียงแวบเดียว ก่อนคิ้วที่เลิกขึ้นสูงจะคลายลงอย่างเร็ว มันเร็วพอๆกับคำถามที่หลุดออกจากปากเธอนั่นละ
“เรื่องเล็กน้อยค่ะ แม็กเกล ว่าแต่คุณล่ะ จะทำยังไงเรื่องสตีฟ”
วาจานั้นเบาแสนเบา หากคนฟังกลับนิ่งงันไปคล้ายไม่คาดคิดว่าจะโดนถาม
แม็กเกลกัดฟันแน่น เค้นเสียงตอบด้วยความแค้นเคือง
“ฉันจะฆ่ามัน”
“อย่างนั้นหรือคะ...แต่ก่อนหน้านั้น ฉันขอเวลาในการสืบหาความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ก่อนได้ไหม”
“สืบหาความจริงหรือยืดเวลาตายให้มันกันแน่ไอรีน เห็นแก่ความเป็นผู้ปกครองเก่าหรือไง”
แม็กเกลกล่าวกระแทกกระทั้น แต่สตรีคู่สนทนาของเขากลับเฉยเสีย ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว
“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เพราะถูกเลี้ยงมาโดยมือคู่นั้น เลยทำใจค่อนข้างยากที่จะต้องเชื่อว่าเขาทรยศคุณ ฉะนั้นก็ขอเวลาให้ฉัน...แค่หนึ่งอาทิตย์ก็ยังดี...นะคะ?”
“...หึ! ถ้าครบกำหนดเวลาแล้วยังหาข้อแก้ตัวที่ดีพอไม่ได้...ก็อย่ามาโทษว่าฉันใจดำก็แล้วกัน!”
นั่นคือคำตอบสุดท้าย ก่อนเขาจะหันไปส่งสัญญาณมือเรียกคนขับรถผู้ยืนรออยู่ข้างนอก เป็นอันว่าการเจรจายุติลงแต่เพียงเท่านี้
เอ็ดเวิร์ดทนทำเป็นหลับสนิทต่อไปจนกระทั่งกลับมาถึงคฤหาสน์ ความอึดอัดและร้อนรุ่มของอ้อมกอดก็ทำให้เขาขยับตัวยุกยิกด้วยความอดรนทนไม่ไหว
“ตื่นแล้วหรือคะเอ็ดเวิร์ด ฉัน...ไอรีน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
หญิงสาวผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรีบแนะนำตัวอย่างกระตือรือร้น เมื่อเห็นชายหนุ่มลืมตามองมาที่เธอ
ในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็ดิ้นรนลงจากตักแม็กเกลได้สำเร็จ และเขาไม่รอช้าเลยที่จะตะเกียกตะกายตามไปอยู่เคียงข้างไอรีนผู้ก้าวนำลงไปเป็นคนแรก ใช้หล่อนเป็นเกราะกำบังจากใครบางคนที่เพิ่งลงจากรถ และเดินช้าๆตามมาเป็นคนสุดท้าย
“เกะกะ”
ร่างสูงใหญ่เดินแซงเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยท่าทีหงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุ ปล่อยให้คนที่เหลือหันมองหน้ากันเองอย่างงุนงง
“พวกเราก็เข้าไปกันเถอะจ้ะ” ไอรีนเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
เอ็ดเวิร์ดพยักหน้ารับคำพูดนั้นก็จริง แต่สายตากลับกลอกมองสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เบื้องหน้าด้วยความกลัวเกรง มือไม้เย็นเฉียบ หัวใจเต้นแรงราวจะกระดอนออกจากอก แม้ไม่อาจจดจำได้ว่าเคยมีความหลังใดในอดีตกับคฤหาสน์หลังนี้ แต่ลึกๆแล้ว
ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เข้าไปสักที”
ความอุ่นวาบอันเกรี้ยวกราดส่งให้เอ็ดเวิร์ดละสายตาแล้วหันกลับไปมองข้างหลัง
แม็กเกลย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ แต่เขาไม่ชอบกระไอร้อนระอุจากเนื้อตัวชายผู้นี้เลย คิดดังนั้นชายหนุ่มจึงมองหาความช่วยเหลือ ซึ่งมันก็ตกอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายตลอดนั่นละ
ชายหน้าบากคว้าแขนเขาไว้เสียแน่น กันไม่ให้หนีรอดไปได้
“ไม่ต้องหาหรอก ฉันสั่งให้ยัยนั่นไปพักตั้งนานแล้ว ส่วนแก...มานี่”
“เดี๋ยว จะพาฉันไปไหน” เอ็ดเวิร์ดขืนตัวสุดฤทธิ์ สัญชาตญาณกำลังเตือนว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายจะพาตนไปนั้นมันไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย
“หุบปาก”
เพียงคำพูดเดียว ทำให้คนที่พยายามบิดแขนให้เป็นอิสระจากมือหยาบกร้านชะงักงันไปทันที เปิดโอกาสให้แม็กเกลคว้าต้นแขนดึงตัวชายหนุ่มอุ้มพาดบ่า
และเอ่ยช้าชัด “ลองดิ้นดูสิ”
คำท้าทายราบเรียบ แต่เอ็ดเวิร์ดกลับรู้สึกว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าคำตะคอกรุนแรงไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า ด้วยไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า คนพูดจะทำอะไรต่อจากนั้น
เมื่อตุ๊กตาตัวสวยยินยอมให้ความร่วมมือแล้ว แม็กเกลจึงลงมือทำตามแผนเดิมของตนคือพาเอ็ดเวิร์ดไปเปลี่ยนชุด
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้อง ชายทั้งสองก็เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่พับอยู่บนเตียง ช่วยแบ่งเบาภาระพี่เลี้ยงเด็กของมาเฟียหนุ่มไปได้มากเลยทีเดียว
“เอ้า...หยิบไปเปลี่ยนเองได้ใช่ไหม”
ถามแล้วก็ไม่คิดอยู่รอฟังคำตอบด้วยซ้ำ แม็กเกลเดินหนีไปนั่งรอตรงมุมโปรดสบายใจเฉิบ ปล่อยเอ็ดเวิร์ดให้ยืนงกๆเงิ่นๆอยู่หน้ากองเสื้อผ้าเพียงลำพัง
ดวงตาสีเทาอ่อนจ้องมองสลับระหว่างกองผ้าตรงหน้ากับชายเจ้าของห้องอย่างชั่งใจ ท่าทางของเขาเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหอบเสื้อเข้าไปเปลี่ยนเพียงตัวเดียว
ลับร่างเอ็ดเวิร์ด แม็กเกลผู้นั่งเฝ้าอยู่ห่างๆจึงเดินมาสำรวจสิ่งของที่เหลือทิ้งไว้บนเตียง ซึ่งก็คือกางเกงและกางเกงชั้นในด้วยความพิศวง
“เฮ้ย...บอกให้ไปแต่งตัวแล้วทำไมกางเกงในยังอยู่นี่ล่ะ”
ยังไม่ทันหาคำตอบให้แก่ตัวเอง ประตูห้องน้ำกํพลันเปิดออก ร่างสูงเพรียวกลับออกมาพร้อมหอบชุดเก่าติดมือมาด้วย บนเรือนกายขาวสะอาดมีแค่เชิ้ตแขนยาวสีครีมเพียงตัวเดียว
“เอ็ดเวิร์ด! ทำไมแกไม่เอาไอ้พวกนี้เข้าไปแต่งตัวด้วยวะ”
ชุดที่ขาดเหลือถูกขว้างใส่เปะปะ ด้วยเหตุที่ว่ามือขว้างหันหน้าหนี กัดฟันสงบสติอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในอกลงอย่างยากเย็น
“แต่ว่านี่...บอกไว้อย่างนั้น” มือเรียวส่งกระดาษยับย่นมาให้ พร้อมอธิบายเสร็จสรรพ “ข้างในนั้นเขียนว่าให้เอาเสื้อไปใส่ ส่วนที่เหลือไว้มาใส่ข้างนอก”
“เดี๋ยว เอาไปใส่ข้างในนู้นไป”
“หมายถึงไอ้นี่น่ะเหรอ?” ไม่เพียงแค่ถาม หากเอ็ดเวิร์ดยังยกชั้นในสีขาวขึ้นระดับสายตาให้เห็นกันชัดๆอีกต่างหาก
บ้าฉิบหาย ยัยไอรีน ยัยเพื่อนทรยศ!
แม็กเกลสาปแช่งเจ้าของกระดาษชนิดที่เรียกว่าหากคำสาปแช่งมีจริง หล่อนคงตายคาปากเขาไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว ซ้ำร้ายเขายังเผื่อแผ่กระแสอาฆาตไปยังคนต้นคิดให้แม็กเกล เดอะ สการ์เฟสเล่นบทพี่ชายที่แสนดีอีกคนด้วย
“เห็นความทรมานของคนอื่นเป็นเรื่องตลกหรือไง” เสียงทุ้มเค้นลอดไรฟัน
“ฝากไว้ก่อนเถอะ แมทธิว ซายส์ กล้าทำให้ฉันตกนรกทั้งเป็นแบบนี้...บ้าจริง...”
คำพูดที่เหลือเลือนหายไปพร้อมๆกับสติสำนึกสุดท้ายปลิวกระจายหายไปหมด นับแต่วินาทีที่เห็นต้นขาเรียวยกขึ้นเพื่อสวมชั้นใน
มาเฟียหนุ่มเบือนหนีภาพนั้นแล้วซบหน้ากับฝ่ามือ ความโกรธความขุ่นเคืองเลือนหายไปหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความพยายามในการยับยั้งชั่งใจ มิให้ลงมือกระทำการอุกอาจหักหาญน้ำใจคนตรงหน้าแบบไร้สติเท่านั้น
“...เป็นอะไรไป?”
แว่วน้ำเสียงเจือความห่วงใยเหลือล้น เอ็ดเวิร์ดแตะปลายคางของเขาให้หันมาสบตากัน วี่แววแปลกใจระคนสงสัยฉายชัดในดวงตาสีเทาอ่อนคู่งาม
ในที่สุด แม็กเกลก็ไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป
มือกร้านคว้าบ่าชายหนุ่มแน่น ผลักด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มลงบนเตียง ก่อนตามไปปิดริมฝีปากที่เผยออ้าขึ้นจนแนบสนิท ลิ้นอุ่นกวาดแทรกเข้าไปควานหาความหอมหวานราวผีเสื้อดอมดมน้ำหวานจากดอกไม้ แม็กเกลจูบเอ็ดเวิร์ดอย่างตะกรุมตะกราม บดขยี้เรียวปากอิ่มสวยจนรู้รสเลือด ขณะที่มือสองข้างช่วยกันฉีกทึ้งเสื้อ และรูดกางเกงในขว้างทิ้งไปแห่งหนใดก็มิอาจรู้ได้
“...อย่า...”
“เงียบซะ”
แม็กเกลหอบหายใจหนัก เขาต้องการเอ็ดเวิร์ด...เดี๋ยวนี้!
ชายหน้าบากยกสะโพกขาวขึ้นสูงก่อนทิ่มแก่นกายลงไปเต็มแรง ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดลั่นห้อง แต่เรือนกายแข็งแรงกลับขยับสวนต่อต้าน เบิกทางคับแคบเข้าไปจนสุด รับรู้ถึงสัมผัสตอดรัดแน่นระอุจนเผลอสูดปากด้วยความเจ็บ แทบถึงจุดสุดยอดในคราวเดียว
เสียงร่ำไห้วิงวอนดังกังวานนานนับชั่วโมงกว่าจะเงียบลง
เอ็ดเวิร์ดผู้ซึ่งยามนี้นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงได้แต่กัดปากกลั้นเสียงร้องสะอื้นจนเลือดซึม คราบน้ำตาบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาบ่งบอกชัดว่าชายหนุ่มผ่านช่วงเวลาอันหนักหนาสาหัสมาม่ากแค่ไหน ขาสองข้างสั่นระริกหากยังมิอาจนอนราบไปบนฟูกนุ่มได้อย่างใจ เนื่องจากถูกมือหนาจับเอวไว้แน่นราวคีมเหล็ก
แม็กเกลกระแทกกายเข้าไปเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นเลอะเต็มช่องทาง
ยามนั้นเอง สติที่เคยกระเจิดกระเจิงก็กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์อีกครั้ง นัยน์ตาสีมรกตจับจ้องใบหน้าแห่งความทุกข์ทรมานของคนรักด้วยความตกใจ
นี่เขา...ขาดสติทำร้ายคนสำคัญของตัวเองได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ?
ไม่มีคำตอบ...
ไม่ว่าใคร...ก็ไม่สามารถตอบได้
ชายหน้าบากค่อยๆถอนกายออกเชื่องช้า ระวังมิให้กระเทือนบาดแผลสดใหม่ที่เกิดจากฝีมือของตน ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ยิ่งเห็นเอ็ดเวิร์ดนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แม็กเกลยิ่งเจ็บช้ำ
“เอ็ดเวิร์ด...”
มือใหญ่ยกขึ้นหมายจะลูบศีรษะอีกฝ่าย แต่กลับถูกเบี่ยงหนีด้วยความรังเกียจ
แม็กเกลนิ่งงันไปเป็นครู่ ก่อนฝืนยิ้ม ปล่อยมือตกลงข้างตัวแล้วลุกเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบงัน
...โดยไม่รู้สักนิดเลยว่า มีสายตาคู่หนึ่งมองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับตา
“อะไรนะ! คุณไปข่มขืนเอ็ดเวิร์ดเสียยับ แล้วกลับมานั่งสำนึกผิดอยู่ตรงนี้เนี่ยเหรอ! คุณบ้าไปแล้วหรือไงแม็กเกล กลับไปอยู่กับเอ็ดเวิร์ดเดี๋ยวนี้เลยนะยะ กลับไปรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำไว้เสียดีๆ คนบ้า!”
ไอรีนสาดใส่คำพูดร้อนแรงกราดเกรี้ยว คล้ายระเบิดใกล้ปะทุ
แต่ไม่ว่าจะยกคำพูดมาโน้มน้าว ขู่เข็ญ อย่างไร คนตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามที่เธอสั่งเลยแม้แต่น้อย กลับเอาแต่นั่งจมจ่อมอยู่หลังโต๊ะทำงาน ติดอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเพียงลำพัง ปล่อยไอรีนให้ยืนคว้างอยู่กลางห้อง เหมือนรอคอยให้เธอเป็นฝ่ายทนไม่ไหว แล้วล้มเลิกความคิดไปเอง
แลเห็นเขาหมุนเก้าอี้หันหลังให้คล้ายรำคาญใจ กระนั้นก็ยังยกมือขึ้นโบกกลางอากาศประกอบคำพูด
“จะให้ฉันบอกเธออีกสักกี่รอบกัน ไอรีน ว่าเจ้านั่นไม่อยากเห็นหน้าฉัน”
...แหม ทีอย่างนี้ละเชื่อกันดีนัก แต่พอเอ็ดเวิร์ดขอให้หยุดละไม่ ไม่ ไม่!
ผู้ชาย! ทำไมถึงชอบทำตัวมีปัญหากันนักนะ ทิฐิบ้าบออะไรกัน ถ้ามีปัญหาก็แค่หันหน้าเข้าหากันแล้วคุยกันก็จบแล้ว ไอรีนเดินกระทืบเท้าไปเปิดประตู กระชากลูกบิดออกเต็มแรง ...เดี๋ยวหล่อนไปดูแลเอ็ดเวิร์ดเองก็ได้! เชอะ ไอ้ผู้ชายใจดำ!
“ฝากด้วยนะ” เสียงสั่งดังไล่หลังมาแว่วๆ
“ค่ะ!”
หญิงสาวจีบปากจีบคอประชด ก่อนออกเดินเร็วๆไปตามระเบียง ไปหยุดอยู่หน้าห้องนอนของมาเฟียหนุ่ม ซึ่งหล่อนไม่รอช้าเลยที่จะผลักบานประตูเข้าไปข้างใน
ภาพแสนเศร้าที่มองเห็นทำเอาไอรีนถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตาคลอเบ้า
...ใจร้ายเกินไปแล้วนะ แม็กเกล คุณทำแบบนี้กับเขาได้อย่างไรกัน
อย่างรวดเร็ว ร่างบางระหงปรี่เข้าไปยืนชิดขอบเตียงทันที ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววตื่นตระหนกมากกว่าใจเสีย ไอรีนรับรู้เพียงว่ามือไม้ของเธอสั่นไปหมด
เรือนกายเปล่าเปลือยนอนสงบนิ่งเหมือนหลับสนิท คราบน้ำตาบนผิวแก้มผสมปนเปกับน้ำขุ่นขาวยังไม่ชวนสะอิดสะเอียนเท่าหยาดโลหิตแห้งกรังตามแนวขาเรียวขาวเลย รอยจ้ำสีแดงทั่วร่างเต็มไปหมด เอ็ดเวิร์ดในยามนี้ดูราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิตวิญญาณกระไรกระนั้น
ไอรีนทรุดกายลงนั่งเคียงข้างชายหนุ่ม ยกนิ้วเกลี่ยไรผมออกจากใบหน้าคมสันแผ่วเบา แผลเป็นเล็กๆข้างขมับขวายังคงเห็นเด่นชัด
พูดถึงที่มาของมันแล้ว...โอ...ทำไมความวุ่นวายทั้งหมดมันถึงได้ถาโถมกลุ้มรุมใส่คนตรงหน้าหล่อนอย่างโหดร้ายขนาดนี้นะ
สวรรค์ไร้เมตตา แล้วคนรักยังไร้หัวใจอีก
ริมฝีปากบางใสเม้มแน่น ความตั้งใจเดิมที่จะออกไปสืบข้อมูลเป็นอันล้มเลิก
เธอเปลี่ยนใจอยู่ช่วยชายหนุ่มรุ่นน้องผู้นอนสลบไสลไม่ได้สติเท่าที่กำลังของผู้หญิงคนหนึ่งพึงมีและลงมือกระทำได้ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ไอรีนคิดว่าเธอมี แผนเด็ดสำหรับดัดนิสัยเดอะ สการ์เฟสโดยเฉพาะจัดเตรียมไว้แล้วเรียบร้อย
สิ่งที่ต้องทำคือการรอคอยแค่นั้น
รอเอ็ดเวิร์ดฟื้นคืนสติเมื่อไรละก็...
เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่ แม็กเกล!
--จบตอน--