เงารักในรอยแค้น โดย Omittchi :: ตอนที่ 16 + แถมท้าย (The End)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เงารักในรอยแค้น โดย Omittchi :: ตอนที่ 16 + แถมท้าย (The End)  (อ่าน 17937 ครั้ง)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

                                        //////////////////////////////////////////////////////////////


จากผู้เขียน

            ความรัก ความแค้น คืออะไร
            ใครเป็นผู้กำหนดเส้นคั่นนิยามคำว่ารัก
            ในเมื่อความแค้นยังเกิดขึ้นได้ในทุกหัวใจ  แล้วไยความรักจึงต้องการเงื่อนไข
            ประสบการณ์การเขียนนิยายเรื่อง ‘เงารักในรอยแค้น’ กว่าสองปี ได้ให้ข้อคิดแก่ดิฉันว่า ขอแค่เรามีความสุขในสิ่งที่ได้กระทำ นั่นก็เพียงพอแล้ว เช่นเดียวกับเหล่าชายหนุ่มที่ต้องเผชิญต่อความรู้สึกที่ถูกต้องในใจ แต่ผิดในสายตาผู้อื่น สุดท้ายพวกเขาทุกคนก็เลือกหนทางแห่งความสุขให้ตัวเอง นั่นคือการก้าวเดินไปคว้าความรักนั้นมา

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามผลงานค่ะ

Omittchi
:pig4:

                                           //////////////////////////////////////////////////////////////

ผลงานชิ้นนี้มีลิขสิทธิ์และได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2558
ได้รับอนุญาตจากผู้แต่งอย่างถูกต้องให้มาลงนิยายเรื่องนี้แทน
 

***มีข้อสงสัยหรือติดต่อเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยนะคะ https://www.facebook.com/narikasaii/***
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-12-2017 16:47:01 โดย narikasaii »

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: เงารักในรอยแค้น โดย Omittchi
«ตอบ #1 เมื่อ24-09-2017 19:39:57 »



    เอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอลกำลังหงุดหงิดอย่างที่น้อยครั้งจะเป็น
     ถนนยามดึกว่างเปล่า  ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งเต็มฝีเท้า  ขับรถไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย 
     นานเพียงใดก็ไม่รู้  กระทั่งเจ้าพาหนะคันงามเริ่มประท้วงด้วยการส่งเสียงกุกกักเหมือนหมดแรงนั่นละ  เจ้าของรถถึงยินยอมเบนพวงมาลัยเข้าจอดชิดริมฟุตบาทหน้าโรงแรมแห่งหนึ่งท่ามกลางหิมะโปรยปราย
     “มาดับอะไรเอาตอนนี้วะ ไอ้รถเส็งเคร็ง!”
โชคดีที่มาดับตรงหน้าโรงแรมซึ่งเขามักแวะมาดื่มเป็นประจำ เอ็ดเวิร์ดกดรีโมตล็อครถอย่างหงุดหงิด แล้วเดินผ่านลานต้นคริสมาสต์เข้าไปในส่วนร้านอาหาร
 
      ภายในนั้นทั้งกว้างหรูหราและอบอุ่น แสงไฟส่องสว่างละมุนตาไปทั้งห้อง หากในคืนคริสมาสต์อีฟเช่นนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหามุมสงบและผ่อนคลายได้ตามที่คาดหวังเอาไว้ในคราวแรก  ชายหนุ่มยืนมองความคลาคล่ำของผู้คนในห้องอาหารอยู่เพียงครู่เดียว ก็แลเลยไปยังเคาน์เตอร์อีกด้านหนึ่ง  ก่อนผ่อนลมหายใจยาวด้วยความพึงใจเมื่อเห็นว่าที่นั่งประจำของเขายังไม่มีใครจับจอง
     ร่างสูงเดินไปยังเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ สั่งเสียงนุ่ม
     “ขอจิน แอนด์ โทนิคส์ครับ”
     รออีกไม่นานนัก  แก้วใสทรงเหลี่ยมก็เลื่อนมาวางตรงหน้า เขายกขึ้นจิบอย่างใจลอย ทีท่าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
     “คืนนี้ก็ชนะใช่ไหมครับ มิสเตอร์โรจส์ฟอล?”
     เสียงทักทายดังขึ้นเหนือศีรษะ เอ็ดเวิร์ดเงยหน้ามองก็เห็นพนักงานผสมเครื่องดื่มที่คุ้นหน้าคุ้นตากันส่งยิ้มมาให้ ประกายตาคมวาวไม่ซ่อนเร้นความชื่นชม แสดงออกถึงความหลงใหลอย่างตรงไปตรงมา   
     แต่สำหรับชายหนุ่ม มันไม่ต่างอะไรกับมีดคมกริบสะกิดแผลเก่าเลยสักนิด
     เขาสั่นศีรษะเนือยๆ   “วันนี้ฉันแพ้...หลักฐานอ่อนไป กักตัวไว้ไม่ได้”   
     หลักฐานอ่อน เจอกับทนายมือแข็ง ถ้าไม่แพ้วันนี้ จะไปแพ้เอาตอนไหน
ความโกรธแกมฉุนเฉียวลึกๆซ่านขึ้นมาในใจอีกครั้งยามนึกถึงหน้าทนายความที่ช่วยให้ฆาตกรใจบาปพ้นผิด  ชายหนุ่มกำมือแน่นจนขึ้นข้อขาว  เจ็บใจความเห็นแก่เงินของคน แต่คงไม่เจ็บใจเท่าตอนถูกจำเลยตัวแสบหลิ่วตาล้อเลียนก่อนสะบัดหน้าจากไปอย่างผู้ชนะหรอกกระมัง
     เอ็ดเวิร์ดปัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัว  พยายามหักใจไม่คิดถึงเรื่องนี้อีก 


     ภาพชายหนุ่มหล่อเหลาในชุดสูทสีเทาเรียบกริบดูโดดเด่นจับตาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้อง  เกือบทุกสายตาล้วนจับจ้องมองเขาด้วยความชื่นชมประทับใจ  หากบุรุษผู้นั่งอยู่ในเงามืดของร้านกลับใช้สายตาดุดันจับจ้องร่างนั้นจนแทบมอดไหม้เป็นจุณ
     “จะให้ผม‘เก็บ’มันไหมครับ บอส”
     เสียงใครสักคนที่ดังขึ้นช่างตรงกับใจ แต่...เรื่องจบแค่นี้ง่ายไป ต้องให้มันได้รับรู้รสชาติของความทรมานอย่างถึงที่สุดก่อน...นี่สิ จึงจะสาสมกับความแค้นของเขา
     “สตีฟ เอาตัวมันมาให้ฉัน...แบบมีลมหายใจนะ”
     “ครับ”
     ร่างชายในชุดสูทดำสนิทหายไปจากโต๊ะ เป็นเวลาเดียวกับที่มือใหญ่กร้านหยิบแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจ่อริมฝีปากประดับรอยยิ้มหยามหยัน

     หลังจากปล่อยตัวเองให้ค่อยๆ ละเลียดลิ้มรสหวานอมเปรี้ยวของค็อกเทลหลากชื่อหลายสีสันจนเริ่มรู้สึกว่ามึนนิดๆ และคงจะเมา เอ็ดเวิร์ดก็คิดได้ว่าถึงเวลาที่เขาควรจะต้องกลับไปพักผ่อนเสียที
     ...ทิ้งรถไว้ที่นี่สักคืน แล้วโบกรถกลับ สมองที่หนักอึ้งบอกว่าควรทำเช่นนั้น
     เขาชำระเงินค่าเครื่องดื่มแล้วพาร่างอันเบาโหวงเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ
     ในความพร่าเลือนนั้นเอง  ที่รับรู้ว่ามีผ้าผืนหนึ่งโปะลงบนใบหน้า ฉุดกระชากสติสัมปชัญญะที่เหลือออกไปจนหมดสิ้น 
ร่างชายหนุ่มร่วงวูบราวกับนกปีกหัก และเหตุการณ์ต่อจากนั้น เขาจดจำอะไรไม่ได้อีกเลย


     เวลาล่วงเลยไปนานเพียงใดก็สุดจะรู้ ตอนที่เปลือกตาปิดสนิทค่อยๆลืมขึ้นอย่างสับสนมึนงง ก่อนกลิ่นฉุนเอียนที่ยังติดค้างในความทรงจำจะทำให้สติหวนคืนสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว
     เอ็ดเวิร์ดขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง  แล้วกลับต้องล้มเลิกความคิดนั้นเมื่อพบว่ามือทั้งสองข้างถูกมัดไพล่อยู่ด้านหลัง ทั้งหมดทั้งปวงที่ทำได้ในยามนี้มีเพียงการหันมองสำรวจไปรอบๆเท่านั้น
     ตอนนั้นเอง ที่รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ท้ายทอยขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เหมือนถูกใครสักคนจ้องมองมาจากข้างหลัง  ขณะเดียวกัน  สัญชาตญาณก็สั่งอย่างเข้มงวดว่าอย่ามอง ห้ามหันกลับไปมอง...โดยเด็ดขาด!
     “ตื่นแล้วหรือ เอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอล”
     คำทักทายแสนราบเรียบ หากดังก้องไปทั่วทั้งใจของชายหนุ่ม เอ็ดเวิร์ดมองเพ่งฝ่าแสงไฟสลัวไปยังเงาดำตะคุ่มบนโซฟามุมห้อง ความสงสัยอัดแน่นอยู่เต็มอก
     “คุณ...เป็นใคร?”
     แม้จะมองไม่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย  แต่ชายหนุ่มรู้แน่ชัดว่าสำหรับคนที่อยู่ในเงามืดแล้ว คำถามนี้ร้ายกาจเหลือคณานับ เพราะในวินาทีต่อมา สุ้มเสียงคำรามดุดันพลันดังขึ้น ตามมาด้วยวาจาเกรี้ยวกราดร้อนแรงที่ทำให้อุณหภูมิในห้องสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
     “อยากรู้นักใช่มั้ยว่าฉันเป็นใคร!  เอ้า! ดูซะสิ ดูมันให้เต็มตา”
     เรือนกายสูงใหญ่ปรากเข้ามายืนใต้แสงเลือนรางของโคมไฟ   อาศัยรัศมีจันทร์นวลลออที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาสาดสว่างให้เห็นทุกรายละเอียดบนใบหน้าชัดเจน รอยแผลเป็นพาดยาวจากคิ้วขวาลงมาจรดแก้มทำให้ใจของเอ็ดเวิร์ดร้อนลุกราวอยู่กลางกองเพลิง ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
     “...แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส”
     เสียงทุ้มพึมพำแห้งโหย
     “ทำไม...ถึงมาอยู่ที่นี่ได้...”
     ใบหน้าโกรธแค้นที่เคลื่อนเข้าใกล้ทำให้เขาเบี่ยงหลบ ก่อนกลายเป็นผงะหนีเมื่อได้ยินเสียงเรียบเย็นกระซิบอยู่ข้างหู
     “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้  ทั้งๆที่แกก็จับฉันโยนเข้าคุกไปแล้ว...แล้วทำไมฉันถึงมายืนอยู่ตรงนี้ได้อีก...อย่างนั้นสินะ ไอ้บัดซบ!”
แม็กเกลตวัดหลังมือใส่เอ็ดเวิร์ดอย่างเดือดดาล ชายหนุ่มไม่ทันหลบ ถูกฟาดเข้าที่แก้มเต็มแรงจนหงายล้มลงบนเตียง ใบหน้าชาร้าว เห็นดาวระยิบพร่าตาไปหมด
     คราวนี้มือหยาบกร้านตามมากระชากผมให้ลุกขึ้น ก่อนชกท้องเปรี้ยง เอ็ดเวิร์ดสำลัก ตัวงอด้วยความจุก ร่างอ่อนทรุดหมดแรงทันที
     โทสะของแม็กเกลเริ่มคลายลงเมื่อเห็นอีกฝ่ายหมดท่า  แต่ไฟแค้นที่เผาผลาญใจยังไม่มอดลงง่ายๆ นัยน์ตาคมทอประกายโทสะไม่ต่างจากวันนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

     ...ย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาที่ครั้งหนึ่ง เส้นทางชีวิตซึ่งเป็นดั่งทางเดินคู่ขนานของพวกเขาพาดผ่านมาบรรจบกัน เอ็ดเวิร์ดในตอนนั้นเพิ่งอายุได้เพียง 20 ปี จำต้องยื่นฟ้องแม็กเกล เดอะ สการ์เฟส ผู้ต้องสงสัยคดีค้าอาวุธในตลาดมืด และยังเป็นพ่อค้าที่อาศัยบารมีไม่โปร่งใสพาตัวเองเล็ดลอดหนีกฎหมายไปได้ทุกครั้ง
     ทว่าหลังจากเอ็ดเวิร์ดเข้ามารับคดีนี้ อัยการหนุ่มมือใหม่ก็ทำให้วงการตุลาการสั่นสะเทือน เขาค้นหาหลักฐานที่รวบมัดตัวแม็กเกลไว้จนไม่มีทางดิ้นหลุด
     แม็กเกลได้รับโทษติดคุกตลอดชีวิต!
     โดยก่อนชายผู้ได้รับสมญานามเป็นพ่อค้าปีศาจจะถูกคุมตัวออกไปจากศาล...คำพูดสุดท้ายของเขาทำให้เอ็ดเวิร์ดที่ยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับหัวใจชาดิก
     ‘อีกไม่นานเราจะต้องได้เจอกันอีก คุณอัยการคนเก่ง แล้ววันนั้น...จะเป็นวันตายของแก’

     เอ็ดเวิร์ดจำภาพนั้นได้ติดตา ทั้งสีหน้าท่าทางของแม็กเกลตอนที่เอ่ยประโยคนั้นส่วนเสี้ยวหนึ่งในใจชายหนุ่มกลัวแรงแค้นของอีกฝ่ายเหลือเกิน
     จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึง 5 ปี  ชายตรงหน้าดูสุขุมขึ้นด้วยวัยที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ส่วนสูงกว่า 190 เซนติเมตรยิ่งส่งให้ร่างนั้นดูน่าเกรงขามกว่าที่เคย
     อย่างไม่รู้ตัว เอ็ดเวิร์ดมองไล่ไปตามมัดกล้ามใต้เสื้อเชิ้ต พยายามคาดเดาว่าเขาจะถูก ‘เก็บ’ ด้วยวิธีไหน
คล้ายว่าแม็กเกลจะรับรู้ถึงกระแสสายตาคู่นั้นเช่นกัน ริมฝีปากหยักบางจึงกดเม้มเป็นรอยยิ้มหยัน มือใหญ่เอื้อมกดสวิตช์ไฟตรงหัวเตียงจนสว่างไปทั่วทั้งห้อง
     แสงเจิดจ้ายิ่งขับเน้นให้เห็นถึงดวงหน้าคมสันซีดราวกระดาษขาว โดยเฉพาะในยามที่ถูกมือใหญ่กระชากเสื้อบนร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสงไฟนวลตาสาดกระทบแผ่นอกขาวจัดซึ่งสะท้อนรุนแรงตามจังหวะการหายใจ
     “ฉันเฝ้ารอเวลานี้มานานถึง 5 ปี...ในที่สุด...”
     ดวงตาสีมรกตคมวาวมองสำรวจเอ็ดเวิร์ดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า คล้ายกำลังไตร่ตรองหาวิธีที่ทำให้อัยการหนุ่มผู้ทะนงตนปวดร้าวยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
     ภายใต้หน้ากากปีศาจมีความคิดต่ำช้าใดซุกซ่อนอยู่ก็มิอาจรู้ได้ เพราะเงียบงันไปเพียงแค่อึดใจ ชายหน้าบากก็หัวเราะดังกึกก้อง เขาเดินไปหยิบเทปกาวจากลิ้นชักข้างเตียงออกมา
     “หึ...คุณอัยการตัวน้อย เคยแต่สั่งปิดปากคนอื่น  ถ้าลองโดนปิดปากเองบ้างจะเป็นยังไงนะ”
     เสียงกระซิบทุ้มต่ำเยือกเย็นส่งให้เอ็ดเวิร์ดกระถดกายหนีอย่างรวดเร็ว แม็กเกลไวกว่า คว้าจับข้อเท้าของเขาไว้มั่น แล้วลากเข้าหาตัวอย่างง่ายดาย
     “แกจะทำ...อื้อ!”
     เทปกาวปิดลงบนริมฝีปากอย่างแน่นหนา พร้อมกับร่างสูงคร่อมทับ  ปิดหนทางหนีไปจนหมดสิ้น ก่อนเดอะ สการ์เฟสจะก้มลงมาจนใบหน้าของพวกเขาชิดกัน
     “ปิดเอาไว้ จะได้ไม่ตัดใจกัดลิ้นฆ่าตัวตายตอนที่รู้คำเฉลยไงล่ะ”
     ดวงตาสีมรกตในยามนี้อัดแน่นไปด้วยเพลิงปรารถนาที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจ
     “ตัวสั่นเชียว แกกลัวหรือ?”
     ใครจะไปกลัวคนอย่างแก...นึกอยากย้อนกลับไปเช่นนั้น แต่ทั้งหมดที่ทำได้กลับเป็นแค่การครางเสียงต่ำเมื่ออีกฝ่ายแทรกตัวลงมา 
     วินาทีนั้นเอง  ที่สัมผัสได้ถึงความแข็งขึงอันร้อนระอุตรงหว่างขา  เอ็ดเวิร์ดสะดุ้ง  มองแก่นกายที่ผงาดลุกชูอยู่เบื้องหน้าด้วยความตกใจ  แล้วกลับกลายเป็นขาวซีดเมื่อค้นพบคำตอบ
     อย่างไร้ค่า...ยามอยู่ต่อหน้าปีศาจในคราบมนุษย์ตนนี้ จำเลยหนุ่มพยายามหนี ส่ายหน้าวิงวอน
แว่วเสียงหัวเราะมาจากที่ไกลแสนไกล
     “แกจะต้องเป็นเมียฉัน ไม่ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่แกต้องการหรือไม่ก็ตาม”
     กางเกงและชั้นในถูกถอดออกจนหมด  ก่อนอวัยวะที่กำลังตื่นตัวเต็มที่จะจ่อชิดเข้ามาจนหายใจไม่ออก
     “ฉันจะข่มขืนแก”
     ร่างขาวผ่องสั่นระริกอย่างไร้ทางสู้ สีหน้าหวาดกลัวของเอ็ดเวิร์ดยิ่งกระตุ้นความหื่นกระหายของแม็กเกลให้จวนเจียนระเบิดอยู่รอมร่อ
     “อื้อ!”   
     แก่นกายที่แทรกทะลวงเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งให้กล้ามเนื้อบิดเกร็งต่อต้านอัตโนมัติ  ผลที่ตามมาคือเนื้อเยื่อบริเวณนั้นฉีกขาดทันที 
     แต่ถึงอย่างนั้น  ขนาดอันใหญ่โตกลับยังพยายามกระแทกกระทั้นดั้นด้นเข้าไปจนสุดบนความไม่เต็มใจของผู้รองรับอารมณ์
แม็กเกลมองเอ็ดเวิร์ดดิ้นทุรนทุรายอย่างเฉยชา ทางสวรรค์ที่เพิ่งฝ่ารุกล้ำเข้ามากำลังตอดรัดสิ่งแปลกปลอมเพื่อขับไล่ แต่มันกลับกลายเป็นการปลุกกระตุ้นที่แสนจะเร้าใจยิ่งกว่าครั้งไหน
     “อึก...อื้อ!”
     อาวุธอันร้ายกาจที่เสียดแทรกเข้ามาในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ก่อเกิดเสียงชุ่มฉ่ำน่าอับอายประสานกับแรงโหมกระหน่ำสอดแทงลงมา คล้ายปรารถนาจะให้ร่างของเขาแหลกสลายไปกับการโจมตีระลอกนี้
     เอ็ดเวิร์ดมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่า...ท้ายที่สุดแล้ว เส้นทางแห่งความอัปยศจะนำพาเขาไปยังแห่งหนใด
     ท่ามกลางสติอันพร่าเลือน...ภาพสุดท้ายที่มองเห็นคือแววตาอาฆาตเกลียดชังเริงโรจน์ ก่อนความรวดร้าวเบื้องล่างจะเริ่มห่างไกลออกไปทุกทีๆ  จนทุกอย่างมืดสนิท



     “ผมไปตรวจสอบมาแล้วครับ  เอ็ดเวิร์ด โรจส์ฟอลหยุดพักการทำงานอย่างไม่มีกำหนด เขาไม่ได้บอกเหตุผลสำคัญกับใครไว้ แม้แต่เพื่อนสนิท ดูเหมือนจะมีสาเหตุมาจากคดีที่เพิ่งแพ้มาครับ”
     “ขอบใจสำหรับข่าว ค่าแรงอยู่บนโต๊ะ แกไปเอาเองก็แล้วกัน...ถ้ามีอะไรอีกฉันจะให้สตีฟไปเรียก”
     “ขอบคุณมากครับ บอส”
     การเจรจาจบลงในเวลาอันสั้น  แม็กเกลเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น ผ่านแถวลูกน้องผู้ภักดีขึ้นไปยังห้องนอนซึ่งอยู่ชั้นสอง โดยไม่ลืมหันไปถามสตีฟที่ยืนรออยู่ตรงปลายบันไดอย่างอารมณ์ดี
     “ตื่นหรือยัง?”
     “เมื่อครู่นี้ตอนที่เปลี่ยนเวร มีลูกน้องรายงานมาว่าได้ยินเสียงจากข้างใน คาดว่าคงตื่นแล้วครับ”
     คำตอบจากลูกน้องคนรู้ใจทำให้แม็กเกลยิ้ม  หันมองบานประตู  ทั้งดวงตาและปากกำลังยิ้มราวกับว่าพึงพอใจเหลือเกิน
ของเล่นชิ้นใหม่ที่เพิ่งได้มา ไม่เคยคิดเลยว่าจะตอบสนองต่อความต้องการของเขาจนเต็มอิ่มอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน  จากแผนเดิมที่คิดว่าข่มขืนเสร็จแล้วจะจัดการให้เงียบที่สุด เขาเปลี่ยนใจเก็บคู่นอนรายนี้ไว้จนกว่าจะเบื่อ
     เมื่อมาถึงหน้าห้อง ก็ได้ยินเสียงเหมือนที่สตีฟรายงานทุกประการ  แม็กเกลเปิดประตูเข้าไป   ก่อนกลายเป็นยืนตะลึงค้างราวกับถูกหอกแหลมคมที่มองไม่เห็นปักตรึงขาสองข้างเอาไว้ ยามเห็นภาพเบื้องหน้าเต็มตา
     เอ็ดเวิร์ดกำลังรีดเร้นน้ำกามปีศาจออกจากร่าง เรือนกายขาวเปลือยเปล่าคุกเข่าหันหน้าออกมาทางประตูขณะสอดนิ้วเข้าไปในช่องพรหมจรรย์ แลเห็นหยาดน้ำสีขาวขุ่นปนเลือดไหลย้อนกลับมาตามร่องนิ้วจนเปรอะเปื้อนไปทั้งมือ ริมฝีปากแดงช้ำเม้มแน่นขณะส่งเสียงครางแผ่วต่ำอยู่ในลำคอ
     ภาพที่เห็นช่างเย้ายวนจนผู้เฝ้ามองรับรู้ถึงสัมผัสตึงคับใต้เนื้อผ้า
     ไวเท่าความคิด ร่างสูงโหมเข้าประชิดทันควัน พร้อมๆกับคว้ามือข้างที่คาอยู่ในส่วนซ่อนเร้นออกมาสุดแรง แววตาเล้าโลมจาบจ้วง
     “โอ๊ย!”
     ด้วยความตกใจปนเจ็บ เอ็ดเวิร์ดสะดุ้งเบี่ยงกายหลบ  แต่ถูกเรี่ยวแรงมหาศาลกระชากเข้าหาจนเอนซบกับแผ่นอกกว้าง มือข้างที่ถูกจับไว้ถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากบางแห้งผาก ก่อนลิ้นอุ่นร้อนจะและเล็มรอยเชือกบาดบนข้อมืออย่างหิวกระหาย
     “แกอยู่เฉยๆดีกว่า เดี๋ยวฉันทำให้ จะเอาน้ำข้างในออกใช่ไหมล่ะ”
     “ไม่ต้อง...อุ...อื้อ!”
     นิ้วชี้กับนิ้วกลางสอดเข้าไปในจุดชื้นแฉะอย่างไม่ปรานี ก่อนแหวกแยกออกจากกันยิ่งทำให้บริเวณที่อักเสบเจ็บร้าวเจียนตาย
     “แยกขาให้กว้างกว่านี้”
     สุ้มเสียงเยียบเย็นนั่นคือคำสั่ง และเขาต้องทำตาม
     ...หมดสิ้นแล้ว ศักดิ์ศรีและหัวใจของเอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอล
     น้ำสีขาวขุ่นปนเลือดไหลออกมาช้าๆหยดลงบนผ้าปูที่นอนขาวสะอาด ยิ่งตอกย้ำถึงความอัปยศอดสูเมื่อคืนก่อนเป็นอย่างดี
เอ็ดเวิร์ดก้มหน้าต่ำด้วยความอับอาย สองมือจับแขนผู้รุกรานขอความเมตตา
     ยินเสียงถอนหายใจหนักหน่วง พร้อมกับมือที่ถอนออกไปอย่างอ้อยอิ่ง
     หากอัยการหนุ่มยังไม่ทันนึกถึงสิ่งใด ลางสังหรณ์อันเลวร้ายก็ไล่ลามขึ้นมาในความคิด  และเมื่อรู้ตัวว่าต้องหนีก็สายไปเสียแล้ว  แม็กเกลกดร่างของเขาลงบนเตียงพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนความร้ายกาจเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม
     สีหน้าและแววตาหื่นกระหายที่ได้เห็น ส่งให้ลมหายใจสะดุดห้วง...ความทรงจำอันน่าขยะแขยงค่อยๆหวนคืนสู่ห้วงความทรงจำทีละน้อย พร้อมกันกับที่สัญชาตญาณสั่งให้ร่างกายตอบโต้อัตโนมัติ...เรี่ยวแรงน้อยนิดที่เหลือถูกใช้ไปกับการผลักไสแผ่นอกหนาสุดกำลัง
     “ไม่...”   
     “อ้อนวอนสิ”
     ...ไม่มีวัน บอกตัวเองแล้วเอ็ดเวิร์ดก็นิ่งเงียบ ดวงตาคมกริบจ้องเขม็ง
     “ไอ้พวกเจ็บไม่จำ”   เสียงห้าวบอกเหยียดๆ
     ทันใดนั้น  ขาสองข้างพลันถูกรั้งขึ้น ท่อนเอ็นแข็งขึงขยายตัวถึงขีดสุดจ่อชิดกลีบเนื้อนุ่ม   ปลายขนาดใหญ่บดเบียดรุกเร้าแหวกผ่านทางคับแคบที่เกร็งรัดอย่างท้าทาย เป็นการย้ำเตือนถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหากเขายังฝืนปากแข็งต่อไป
     “อย่า...”   ครั้งนี้เท่านั้นที่กลั้นเสียงไม่ได้จริงๆ
     ดวงตาสีเทาอ่อนซุกซ่อนความปั่นป่วนใจไว้ไม่มิดยามเอ่ยถ้อยคำนั้น
     “ขอร้องสิ”
     แก่นกายสั่นระริกด้วยความกระสัน  ขณะปลายยอดฉ่ำน้ำจมหายเข้าไปจนมิด   คาค้างไว้ที่ส่วนรอยคอดหยักตรงคอราวจะยั่วเย้า   นัยน์ตาสีมรกตพราวระยับจับจ้องเอ็ดเวิร์ดที่กัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซึม
     รอคอยอยู่เนิ่นนาน กว่าถ้อยคำที่ต้องการจะดังออกมาแผ่ว...ราวเสียงกระซิบ
     “...ได้...โปรด...”
     “หึ...นึกว่าจะดื้อด้านกว่านี้แท้ๆ...หรือว่าที่จริงก็ชอบถูกผู้ชายกอดอยู่แล้ว”
     แม็กเกลหัวเราะเบาๆ  จับเอวเอ็ดเวิร์ดไว้แน่นแล้วกระแทกกายเข้าใส่รวดเดียวมิดด้าม 
     กลิ่นคาวเลือดที่ไหลย้อมแผลฉีกขาด เสียงร้องด้วยความทรมานแสนสาหัสยิ่งกระตุ้นสันดานดิบในร่าง แปรเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสัตว์ป่าโดยสมบูรณ์!
     ชายหน้าบากจับพลิกร่างขาวซีดสั่นสะท้านนอนคว่ำเพื่อให้อาวุธของตนสอดใส่เข้าไปได้ลึกกว่าเดิม
     “อะ...อ๊า!  ไหนว่า...จะไม่...ทำอะไร...ไงเล่า!”
     “แล้วใครบอกล่ะว่า ถ้าแกวิงวอนแล้วฉันจะหยุดให้น่ะ”
     น้ำเสียงทุ้มมีเสน่ห์กรีดร้อง และใบหน้าคมสันที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด...   
          นี่คือความหฤหรรษ์ที่ไม่อาจหาได้จากที่ใดอีกแล้ว
     นิ้วเรียวยาวที่เคยชี้ปรามาสเขาในอดีต บัดนี้กำลังกำผ้าปูยับยู่ยี่จนขึ้นข้อขาว
     เอ็ดเวิร์ด...ความทรมานของแกคือรางวัลของฉัน
     จงร้องเข้าไปเถอะ ร้องไห้...วิงวอน...จนชีวิตของแกตกต่ำ ไม่เหลือค่าอะไรเลย
     แม็กเกลกระแทกกายเข้าเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับปลดปล่อยหยาดน้ำสีขาวขุ่นออกมาจนหมดสิ้น เขาผละจากเรือนร่างเปล่าเปลือยของเอ็ดเวิร์ด ลุกขึ้นจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แล้วเดินหัวเราะกึกก้องออกไปด้วยความสุขสม ปล่อยทิ้งผู้พ่ายแพ้ไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง
     ร่างสูงโปร่งนอนขดนิ่งอยู่บนเตียง หยาดน้ำตาแห่งความเจ็บแค้นวาววับขังคลอ  ความปวดร้าวใจทรมานเขายิ่งกว่าตายทั้งเป็น
     การแก้แค้นของเดอะ สการ์เฟส ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
     
(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: เงารักในรอยแค้น โดย Omittchi
«ตอบ #2 เมื่อ24-09-2017 20:03:51 »

.
.
(ต่อ)

     แสงตะวันในเช้าวันใหม่ส่องลอดบานหน้าต่างเข้ามาเป็นลำเฉียง  สาดกระทบร่างที่นอนหลับสนิทให้ลืมตาตื่นจากฝันร้ายมาพบกับความจริง...ที่โหดร้ายยิ่งกว่า
     เอ็ดเวิร์ดใช้เวลาไม่นานในการเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร อาการร้าวล้าของร่างกายพาให้เขาก้าวลงจากเตียง นำร่างบอบช้ำไปยังตู้เสื้อผ้าเป็นลำดับแรก
     ...ตู้ล็อค
     ไม่ใช่ฝีมือใครอื่น คือแม็กเกลผู้เป็นเจ้าของห้องนั่นเอง
     “ไอ้เลวแม็กเกล!”
     เอ็ดเวิร์ดระเบิดออกมาด้วยความขุ่นแค้นแน่นอก แล้วหยุดกึกเมื่อตั้งสติได้
     นัยน์ตาสีเทาอ่อนกวาดมองไปรอบตัวจนพบประตูเชื่อมอีกบานใกล้ๆกัน เขาลองเปิดเข้าไป และค้นพบห้องน้ำส่วนตัวขนาดใหญ่
     แทบไม่ต้องเสียเวลาหยุดคิด  นอกจากตรงเข้าไปเปิดฝักบัว  ปล่อยให้น้ำรินไหลชำระคราบมลทินทั้งปวงออกจากร่างอย่างที่อยากทำมานาน
     สายน้ำอุ่นช่วยให้ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย  ชายหนุ่มหันมองเงาในกระจก  ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม  เขายังเป็นคนเดิม  ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง 
     ยกเว้นดวงตาคู่นั้น...มันอัดแน่นไปด้วยความสิ้นหวังและทุกข์ทน  ขณะเดียวกัน ไฟแค้นที่เคยโชนแสงอยู่ในดวงตาคู่เดิมคู่เดียวกันนี้ก็คล้ายจะมอดดับไปหมดแล้ว 
     ราวกับว่าเอ็ดเวิร์ดคนเดิมได้ตายจากโลกใบนี้ไปแล้วจริงๆ



     ‘จากหลักฐานและพยานตามคำให้การของอัยการฟ้องร้อง ศาลขอสั่งตัดสินให้จำเลยมีความผิดต้องโทษจำคุก 2 ปี โดย     
     ไม่มีการลดหย่อนโทษใดๆทั้งสิ้น...ปิดศาล!’
     คำตัดสินจากผู้พิพากษาบนบัลลังก์เป็นดั่งสัญญาณบ่งบอกว่าช่วงเวลาอันตึงเครียดกว่าสามชั่วโมงจบลงด้วยดีสำหรับเขา อัยการหนุ่มเดินออกมาจากห้องพิจารณาคดีพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้า
     ‘เยี่ยมมาก เอ็ดเวิร์ด’
     เขาเหลียวไปตามเสียงทักทาย ก่อนยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
     ‘อาจารย์ฮันส์ มาด้วยหรือครับ?’
     ‘ฉันนั่งดูเธออยู่ตลอดนั่นแหละ เหนื่อยหน่อยนะ แต่ก็จบลงด้วยดี’
     ‘ขอบคุณครับ อาจารย์...ผมมีวันนี้ได้ก็เพราะคุณแท้ๆ’
     เอ็ดเวิร์ดมองผู้เป็นทั้งอาจารย์และหัวหน้าด้วยความตื้นตันจนหมดหัวใจ
     ฮันส์ โรจส์ฟอลรับเด็กกำพร้าอย่างเขามาเลี้ยงดูในฐานะบุตรบุญธรรม คอยส่งค่าเล่าเรียนให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน กว่าสิบปีที่พ้นผ่าน ฮันส์ทุ่มเทความรักความเอาใจใส่ให้เอ็ดเวิร์ดดุจเป็นลูกแท้ๆคนหนึ่งเลยทีเดียว  เอ็ดเวิร์ดเองก็รักฮันส์มาก  ขอเพียงชายวัยกลางคนเอ่ยปาก เขาก็พร้อมที่จะทำตามคำสั่งโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
     ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ฮันส์ไม่เคยขอสิ่งใดจากเขาเลยสักครั้ง...
     พลันนั้นเอง ที่ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นแฟ้มในมือบิดาบุญธรรมเข้า
     ‘มีคดีใหม่อีกแล้วหรือครับ’   เขาถามพร้อมแย่งมาถือเองเสร็จสรรพ
     ปกติฮันส์จะแค่ยิ้มรับแล้วปล่อยให้เขาทำอย่างใจ หากคราวนี้บุรุษสูงวัยกว่ากลับกระชากแฟ้มคืน บอกเสียงเข้ม
     ‘เดี๋ยวฉันจัดการเอง’
     ‘เอ๋...แต่ว่า...’
     ยังไม่ทันจบคำดีเลย ตอนที่ฮันส์เดินหนีไปเสียดื้อๆ ปล่อยเอ็ดเวิร์ดให้ยืนสับสนกับท่าทีมึนตึงผิดวิสัยของบิดาบุญธรรมอยู่เบื้องหลัง
     หลังจากวันนั้น ชายวัยกลางคนก็ทุ่มเทให้กับงานมากกว่าเก่า นอนค้างที่ทำงานบ่อยขึ้น กลับบ้านน้อยลง เหมือนต้องการทิ้งระยะห่างจากบุตรชาย
     แต่ ‘อันตราย’ ของฮันส์ไม่ยอมเล่นตามกฎ  มันตามรังควานเอ็ดเวิร์ดในรูปแบบโทรศัพท์ลึกลับที่ทำให้ชายหนุ่มแทบประสาทเสีย  แต่จำต้องอดทนรับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยไม่รู้ว่าเมื่อไรจะจบลง
     บิดาบุญธรรมเองก็ตระหนักดีถึงความอัดอกอัดใจที่ว่า  จึงให้เอ็ดเวิร์ดย้ายบ้าน แล้วหลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยเจอโทรศัพท์ลึกลับอีกเลย
     การดำเนินชีวิตที่หวนคืนสู่ความราบรื่นดังเดิม ทำให้ความกังวลใจใน ‘อันตราย’ จางหายและถูกลืมเลือนไปในที่สุด...
จวบจนวันที่ชีวิตของอัยการหนุ่มถึงคราวผกผันไปตลอดกาล
     ...ย้ายเข้าอยู่ในบ้านเช่ามาได้หนึ่งเดือน  วันนั้นเอ็ดเวิร์ดเดินฝ่าลมหนาวออกไปหาเพื่อนที่นัดกันไว้ พอดีเจอฮันส์บนลานบันไดหน้าศาล จึงโบกมือทักทายให้ด้วยความเคยชิน...
     เปรี้ยง!
     เสียงดังก้อง   ก่อนร่างของชายสูงวัยจะทรุดลงบนพื้นท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคน โดยเฉพาะเอ็ดเวิร์ดที่เอาแต่ยืนนิ่งตรึงกับที่จนถูกฝูงชนโกลาหลชนล้มไปนั่งกองบนพื้น
นับแต่วินาทีที่เห็นบิดาบุญธรรมถูกยิง เขาก็ไม่อาจละสายตาไปที่ใดอีกเลย
     ‘...พ่อ...’
     ริมฝีปากสั่นระริก ภาพตรงหน้าคล้ายพร่าเลือนไปชั่วขณะ
     ‘พ่อ!’
     ชายหนุ่มถลาเข้าไปหาร่างที่นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง แล้วใช้มือช้อนศีรษะอีกฝ่ายขึ้นอย่างนิ่มนวล
     ‘...เอ็ด...เวิร์ด...’
     ‘พ่ออย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ เดี๋ยวผมจะเรียกรถพยาบาล’
     ฮันส์ส่ายหน้าช้าๆให้กับคำพูดนั้น ก่อนอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายเหนี่ยวคว้าคอเสื้อบุตรชายเอาไว้แน่น บอกลมหายใจขาดห้วง
     ‘ที่บ้าน....โต๊ะ..ข้าง..เตียง......ใต้...ลิ้นชัก...สอง....’
     สิ้นคำ  มือเหี่ยวย่นก็คลายออกช้าๆ  ปล่อยร่วงหล่นลงวางแน่นิ่งข้างกาย...
     มัจจุราชพรากลมหายใจสุดท้ายของนายฮันส์ โรจส์ฟอลไปตลอดกาล
     ‘ไม่...ไม่จริงใช่ไหม พ่อครับ พ่อฟื้นสิ พ่อครับ...พ่อ!’
     เหตุการณ์หลังจากนั้น จำได้เลือนรางว่าถูกตำรวจเชิญไปสอบปากคำเป็นเวลาหลายชั่วโมง กว่าจะยอมปล่อยให้กลับบ้าน
คืนนั้น ชายหนุ่มตัดสินใจเข้าไปในห้องทำงานของบิดาผู้ล่วงลับตามคำสั่งเสีย สิ่งแรกที่สะดุดตาคือโต๊ะไม้เก่าๆ ที่มีลิ้นชักเสริมสามชั้น  เอ็ดเวิร์ดเอื้อมมือเปิดลิ้นชักชั้นที่สองออก แล้วก้มดู พบว่ามีซองเอกสารถูกแปะติดอยู่ด้านล่าง
     ‘นี่มัน...’
     หลักฐานคดีฉ้อโกง  แผนฆาตกรรม รวมไปถึงใบรายการสินค้าเถื่อน
     ทุกสิ่งทุกอย่างชี้ตัวไปยังเดอะ สการ์เฟส ซึ่งเป็นคนบงการเบื้องหลังทั้งสิ้น!
     ชัดแน่แก่ใจแล้วว่ามือปืนที่คร่าชีวิตบิดานั้นอยู่ใต้อาณัติใคร เอ็ดเวิร์ดสาบานต่อหน้าเอกสารทั้งหมดนี้ว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ฆาตกรเลือดเย็นลอยนวลจากอำนาจตุลาการไปได้โดยเด็ดขาด!
     ‘ฉันจะต้องจับแกเข้าคุกได้ให้...แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส’



     ความโหดเหี้ยมอำมหิตเพิ่งจะเริ่มต้น
     กองรูปถ่ายที่วางอยู่บนเบาะข้างกายเต็มไปด้วยภาพศพนับไม่ถ้วน ใบหน้าของเหยื่อทุกคนล้วนแต่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด  ดวงตาเหลือกโพลง  บอกบ่งชัดเจนถึงความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดในยามห้วงสุดท้ายของชีวิต
     แม็กเกลเลือกรูปใบหนึ่งขึ้นมาใส่ลงกระเป๋าเสื้อ สายตาปราดมองไปยังร้านรวงริมทาง
     “จอด”
     รถเลียบจอดทันทีตามคำบอก  บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกมืดก้าวลงมายืนหน้าร้านขายของสัตว์เลี้ยงอย่างสง่างาม แล้วเดินนำคนทั้งหมดเข้าไปข้างใน
     “ยินดีต้อนรับค่ะ....”
     พนักงานสาวในร้านยิ้มแย้มต้อนรับเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋ง ก่อนรอยยิ้มสดใสในตอนแรกกลายเป็นยิ้มค้างทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มและผู้ติดตามร่างใหญ่อีกสองคนก้าวเข้ามา
     เขาสวมสูทและโค้ทสีดำสนิทที่ดูเรียบจนดูกลมกลืนไปกับฝูงชนได้อย่างง่ายดาย...แต่บรรยากาศหนักอึ้งรอบกายนั้นไม่ใช่เลย
     คนพวกนี้เป็นมาเฟีย
     ไม่ใช่มาเฟียปลายแถวอย่างที่เห็นอยู่ดาษดื่นตามถนนยามค่ำคืน
     แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้คือมาเฟียตัวจริง
     แม็กเกลมองผ่านดวงหน้าซีดเผือดของพนักงานหญิงคนนั้นไปยังชั้นปลอกคอ ก่อนชี้ริบบิ้นสีชมพูสวยติดกระดิ่งโดยไม่พูดอะไร เพียงแค่นั้น ผู้ติดตามคนหนึ่งก็หยิบปลอกคอเส้นที่เขาหมายตาไว้ไปชำระเงินที่เคาน์เตอร์ทันที
     ดวงตาสีมรกตวาววามเมื่อจินตนาการพาเขาไปไกลถึงขนาดเห็นริบบิ้นประดับอยู่บนลำคอขาวผ่องของเอ็ดเวิร์ด... เค้าโครงหน้าสมบูรณ์แบบ คิ้วแก้มรับกับจมูกอย่างพอเหมาะพอเจาะ นัยน์ตาสีเทาอ่อนยามเอ่อรื้นน้ำตายิ่งส่งให้ใบหน้านั้นมีเสน่ห์ปลุกเร้าอย่างที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำให้เขารู้สึกเช่นนั้นได้ ทั้งร่างสูงสมส่วน ผิวขาวจัดลื่นมือ... 
     ให้ตายเถอะ เขาต้องกลับ...เดี๋ยวนี้!
     “ได้ของแล้วครับ บอส”
     “กลับ!”
     แม็กเกลตะคอกด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นอย่างหักห้ามใจไม่อยู่ ชายหน้าบากเดินดุ่มกลับมานั่งประจำที่แล้วสั่งคนขับรถให้ ‘ซิ่ง’ กลับคฤหาสน์ทันที
     เสียงพูดคุยสับสนดังผ่านพื้นไม้ชั้นล่างขึ้นมาในห้องเป็นระยะปลุกคนที่เพิ่งหลับไปได้ไม่นานให้ลืมตาตื่นขึ้นช้าๆอย่างง่วงงุน  เอ็ดเวิร์ดมองไปยังทิศทางของเสียงโครมครามเมื่อครู่
     ทันใดนั้น  บานประตูพลันเปิดผางออกโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า  แม็กเกลเดินเข้ามา จดจ้องเขาด้วยแววตาหยันเหยียดดุจมองกรวดหินที่ไร้ค่าก้อนหนึ่ง
     “มานี่”
     สุ้มเสียงเรียบเย็นชา หากสะท้อนสะท้านยิ่งในความรู้สึกของคนฟัง
     ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ไม่ยินยอมทำตามคำสั่งนั้น หากก็มิได้ก้าวหนีลงจากเตียง
     ตาสบตา ก่อนดวงตาสีมรกตที่อาบโชนไปด้วยเพลิงปรารถนาจะเลื่อนช้าๆไปตามเรือนร่างเปลือยเปล่า  ยิ่งได้เห็นร่องรอยแดงช้ำบนผิวขาวละเอียด  อารมณ์ที่ปะทุมานานก็ยิ่งคุกรุ่น
     สายตาร้อนแรงคู่นั้นทำให้คนที่ถูกจ้องมองถึงกับสั่นสะท้าน
     แต่แม็กเกลก็ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่ายิ้มดูแคลน  มือกร้านหยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โยนลงบนเตียง
     สุ้มเสียงตื่นตระหนกของเอ็ดเวิร์ดดังลั่น เมื่อเห็นคนในภาพโพลารอยด์เต็มตา
     “วิลเลี่ยม!”
     ไม่ผิดเลยสักนิดเดียว วิลเลี่ยม แอนเดอร์สัน...อดีตทีมงานของฮันส์ โรจส์ฟอลที่กล้าประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อ แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส
     เอ็ดเวิร์ดเงยหน้าซีดสลดขึ้นมองคนที่นำรูปของอดีตรุ่นน้องมาให้ดู  คล้ายกำลังระงับอารมณ์ลงอย่างยากเย็น
     “ทำไม...”   เสียงกระซิบสั่นเครือ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธจัด
     “ทำไมต้องฆ่าเขาด้วย ไอ้ปีศาจ...!”
     ถ้อยคำที่เหลือแผ่วหายไปกลางคันเมื่อถูกปืนพกจ่อชิดปลายคาง แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตาสีเทาอ่อนแข็งกร้าวกลับกลายเป็นไหวระริกก็คือ มือหนาที่โอบเอวเปล่าเปลือยเข้ามาแนบชิด สัมผัสจากฝ่ามืออันร้อนระอุส่งให้ดวงหน้าขาวแดงซ่าน 
     ปากกระบอกปืนค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจรดริมฝีปากแห้งผากของเอ็ดเวิร์ด   แล้วโดยไร้ซึ่งคำพูดใด   ร่างสูงใหญ่ก็โน้มลงทาบทับครอบงำชายหนุ่มไปทั้งร่าง  ก่อนเสือกแทงท่อนอาวุธอันร้ายกาจเข้าใส่อย่างไร้ความปรานี!
     “อ๊า...อึ้ก!”
     เอ็ดเวิร์ดอ้าปากร้องด้วยความเจ็บ แต่กลับถูกกระบอกเหล็กเย็นชืดสวนยัดเข้ามาในปาก...ลึกเข้าไปจนปิดกั้นเสียงทั้งหมดเอาไว้
     “เลียให้เหมือนหมาประจบเจ้านายมันสิ แกถนัดนักไม่ใช่หรือ”
     แม็กเกลยิ้มหยัน ขยับปืนไปมาด้วยท่าทางกวนประสาทเป็นที่สุด
     ใจอยากจะชกหน้ายียวนนั่นให้สมความตั้งใจนัก เอ็ดเวิร์ดกำมือแน่นด้วยความโกรธ  แต่ความเป็นจริงที่เผชิญอยู่นี้บอกบ่งชัดเจนว่าใครเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า
     สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่ทำได้คืออดทนอดกลั้น ลากลิ้นผ่านลำกล้องปืนขึ้นมาช้าๆตามคำสั่ง  ไล่ระมาจนถึงข้อนิ้วเรียวยาวที่เหนี่ยวไกอยู่
     แล้วกัดลงไปเต็มแรง!
     ยินเสียงสบถเกรี้ยวกราด พร้อมมือข้างนั้นหดกลับไปรวดเร็ว
     ปืนถูกปาทิ้งไปยังส่วนใดของห้องก็ไม่อาจรู้ได้ ทว่าสำหรับเอ็ดเวิร์ดแล้ว ที่ชัดเจนมีจริงเวลานี้ คือชายร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าเท่านั้น ชายคนที่บีบต้นแขนของเขาแน่นอย่างโกรธจัด 
     “เก่งนักใช่ไหม!”
     แม็กเกลตวาดลั่น คว้าร่างเชลยหนุ่มคร่อมตัก ก่อนเริ่มขยับกายอย่างบ้าคลั่ง...



     เอ็ดเวิร์ดถูกขืนใจไปสามครั้ง
     บทสวาทร้อนแรงที่เพิ่งจบลงไปไม่นานนั้นคล้ายดั่งดูดกลืนพละกำลังของเขาออกไปจนสิ้น ชายหนุ่มรู้สึกอ่อนปวกเปียก หมดเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านใดๆอีกแล้ว แม้ว่าในยามนี้มือหยาบกร้านและริมฝีปากรุกรานของใครบางคนจะกำลังกระทำการหยาบโลนต่อร่างกายอันบอบช้ำของเขาสักเพียงใดก็ตาม 
     “...อย่าฆ่าใครอีกแล้ว...ได้ไหม...”
     สุ้มเสียงแหบแผ่วหมดสิ้นชีวิตชีวาเรียกแม็กเกลให้หยุดความหฤหรรษ์ลงชั่วคราว แล้วมองสบตาอย่างสงสัยสายตาของเอ็ดเวิร์ดเหม่อลอย ประกายตามีเพียงความเจ็บช้ำ
     “จะทรมานฉันอีกเท่าไหร่ก็ได้ แต่ได้โปรด...หยุดฆ่าคนที่เคยเกี่ยวข้องกับคดีนั้นเสียที...”
     และโดยไม่รอฟังคำตอบ  ชายหนุ่มพาจิตใจอันอ่อนล้าจมดิ่งลงสู่นิทรารมณ์ไปในทันทีที่กล่าวจบ ไม่มีใครรู้ว่าบุรุษผู้ได้รับฉายาว่าเป็นปีศาจคิดสิ่งใดอยู่ นัยน์ตาสีมรกตทอดมองคนที่หลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน   แล้วนิ่งไปในท่านั้น  ก่อนพลิกตัวกลับมานั่งพิงหัวเตียง ควักบุหรี่ขึ้นมาสูบ อีกมือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรออก กรอกคำสั่งลงไปราบเรียบ
     “จัดการเก็บคนที่เหลือให้หมด อย่าลืมถ่ายรูปมาให้ฉันดูเป็นหลักฐานด้วยล่ะ”
     รอยยิ้มบางเบาฉาบแต้มบนใบหน้าคมเข้ม
     นี่แหละ...การแก้แค้นที่เจ็บปวดที่สุด



     “สวัสดีค่ะบอส วันนี้ต้องการจองตัวใครหรือเปล่าคะ เดี๋ยวหนูไปลัดคิวให้”
     หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้ทำหน้าที่ต้อนรับแขกถามอย่างคล่องแคล่ว  เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ราวกำแพงเดินผ่านประตูไม้หนาสลักลวดลายงดงามเข้ามาในร้าน
     สบตากัน  แม็กเกลก็ส่ายหน้า
     “ไปตามไอรีนให้หน่อยได้ไหม บอกว่าเป็นเรื่องด่วน”
     “ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูไปบอกมาม่าให้ เชิญบอสเลือกที่นั่งได้ตามสบายเลยนะคะ”
     สตรีร่างบางก้มศีรษะให้อย่างสุภาพ ก่อนหมุนกายกลับเข้าไปหลังร้าน
     ด้วยความเคยชิน  แขกคนพิเศษไปนั่งยังโต๊ะวีไอพีบนชั้นลอยทันทีโดยไม่ต้องรอให้ใครเชิญ ชายหนุ่มเลือกโซฟาชุดข้างในสุด ห่างไกลสายตาคนอื่น  แล้วนั่งรอเงียบๆ
     ตอนนั้นเอง ที่สาวเสิร์ฟชุดกระต่ายเข้ามาขัดจังหวะ หล่อนวางถาดและแก้วไวน์ลงตรงหน้าเขา  ยิ้มหวาน
     “ของขวัญจากมาม่าค่ะ”
     แม็กเกลยังไม่ทันปฏิเสธ เสียงหวานทรงอำนาจก็ขัดขึ้นเสียก่อน
     “รับไว้เถอะ ถือเสียว่านานๆทีคุณจะมาที่นี่”
     เขาหันไปมองสตรีที่เดินออกมาจากหลังม่าน  ชุดราตรีสีน้ำตาลทองช่วยขับเน้นผิวสีน้ำผึ้งของหล่อนให้นวลลออน่ามอง เรือนผมสีดำมันยาวสลวยเคลียใบหน้าหวาน รับกับดวงตากลมโตที่จ้องมองชายหนุ่มราวกับกำลังค้นหาว่า  “เรื่องด่วน”  ของเขาในค่ำคืนนี้คืออะไร
     “ไอรีน”   แม็กเกลลุกขึ้นต้อนรับ ผายมือเชื้อเชิญอย่างเต็มใจ
     หญิงสาวขอบคุณเบาๆ ก่อนนั่งลงบนเบาะราคาแพงพร้อมอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถามโดยไม่มีการอ้อมค้อม
     “สืบเรื่องใครอีกแล้วหรือคะ?”
     “ก็ไม่เชิงหรอก”
     คำตอบกึ่งปฏิเสธกึ่งยอมรับของเขาส่งให้คิ้วโก่งสวยเลิกสูงอย่างมีคำถาม
     “ฉันจะมาขอตัวยา K-186 แล้วก็อยากให้เธอช่วยสืบประวัติของเอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอลให้หน่อย”
     ไอรีนฟังจนจบ แล้วตอบรับงานแทบไม่ต้องคิด
     “ประวัติของเอ็ดเวิร์ดหาไม่ยาก  เพราะเขาโด่งดังมากในกลุ่มศาล แต่...ยานั่น คุณจะเอาไปทำอะไรหรือ แม็กเกล ในเมื่อคนอย่างคุณ...แค่กระดิกนิ้วเรียก ผู้หญิงก็มาหาแล้วนี่...หรือยังมีสาวคนไหนที่ต้านทานเสน่ห์ของคุณได้อีก?”
     พร้อมกับถาม หล่อนเปิดฝาตลับเหล็กดำจากถาด หยิบซิการ์ส่งใส่ปากแม็กเกล แล้วจุดไฟให้
     คนถูกถามยักไหล่ พ่นควันออกมาเป็นสาย
     “ซิการ์ดี...”   
     เขาหยิบมีดที่วางเคียงกล่องตลับขึ้นเฉือนปลายไหม้ทิ้ง ส่งส่วนที่เหลือคืนไอรีน
     “ว่าแต่เธอเถอะ เห็นกี่ทีก็ยังให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับ ‘มาม่า’ สักทีนะ”
     แม็กเกลเย้าหล่อน
     ความสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาวเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไอรีนคือหนึ่งในกลุ่มคนอันน้อยนิดที่ชายหนุ่มให้ความไว้วางใจจนหมดหัวใจ ทว่าเขากลับไม่รู้ประวัติของหล่อนแน่ชัด แม็กเกลรู้เพียงว่าบ้านเกิดของไอรีนอยู่ทางแถบเอเชีย ส่วนชื่อ ‘ไอรีน’นั้นได้มาจากสตีฟ...ลูกน้องมือขวาของเขาที่รับเลี้ยงเธอเป็นบุตรสาวบุญธรรม
     หญิงสาวเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งอมยิ้ม เก็บมวนซิการ์ไว้ที่เดิม และลุกขึ้น
     “รอเดี๋ยวนะคะ ฉันจะไปหยิบยามาให้”
     ไอรีนเดินหายเข้าไปหลังม่านอีกครั้ง ปล่อยแม็กเกลให้มองลงไปยังชั้นล่างแก้เบื่ออยู่คนเดียว สายตาชายหนุ่มเหม่อมองไปเรื่อยจนไปสะดุดลงที่โต๊ะหนึ่ง ดวงตาสีมรกตจับจ้องอยู่แต่ตรงนั้นจนไม่สังเกตว่าเพื่อนสาวของตนเดินกลับออกมาแล้วด้วยซ้ำ
     “แม็กเกล ฉันให้ยาไปทั้งขวดแต่ใช้คุณใช้แค่ปลายช้อนชาก็พอนะ...นี่คุณดูอะไรอยู่น่ะ?”
ด้วยความสงสัย   ไอรีนจึงชะโงกหน้าลงไปดูบ้าง   แล้วหัวเราะคิกเมื่อค้นพบว่าอีกฝ่ายมองอะไร
     “แม็กเกล...ฉันนึกว่าคุณสนใจแต่ผู้หญิงเสียอีก เปลี่ยนสเป็คตั้งแต่เมื่อไหร่จ๊ะ”
     “ไม่ตลกนะ ไอรีน”
     “โธ่..ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง ทำเป็นจริงจังไปได้”
     ริมฝีปากหญิงสาวผุดรอยยิ้มพรายขำๆ แต่แม็กเกลรู้สึกเหมือนถูกความจริงยันติดข้างฝา เขามองลงไปยังลูกค้ากลุ่มเดิมอีกครั้ง เห็นชายร่างบางหน้าสวยหวานนั่งอิงแอบซบแขกชายที่มาเที่ยว ใจก็ชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง เพราะอย่างน้อยเอ็ดเวิร์ดก็ไม่ตัวบางร่างเล็กแบบนั้น
     ...ผอมกะหร่องอย่างนั้นกอดไปแล้วมันดีตรงไหนกันวะ
     มาเฟียหนุ่มหันหนีเมื่อเห็นหนึ่งในนั้นเริ่มจูบกัน... ขนาดแค่จูบยังขนลุกเกรียวได้ขนาดนี้  แม็กเกลแทบไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเห็นไปถึงขั้นสุดท้ายจะเป็นอย่างไร
     “ฉันกลับดีกว่า เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะแวะมาหาอีก”
     “ค่ะ ถึงตอนนั้นจะหาข่าวเอาไว้ให้พร้อม”
     ไอรีนยืนมองสหายหนุ่มเก็บยาลงกระเป๋าเสื้อโค้ท  ถามอย่างสงสัย
     “แม็กเกล คุณมีคนรักแล้วหรือ?”
     คำถามนี้สิ ทำเอาคนฟังแทบทำยาร่วงจากมือ   แม็กเกลสะบัดหน้ากลับมามองหล่อนตาขวางเลยทีเดียว
     “จะบ้าหรือไง เธอเอาอะไรมาพูดน่ะ”
     “อ้าว...ก็พักนี้ไม่ค่อยแวะมาเลยนี่นา เด็กๆของฉันร้องไห้น้ำตาตกในกันเป็นแถว  ฉันเลยคิดว่าคุณคงเจอใครที่ดีกว่า...หรืออย่างน้อย ก็คงเติมเต็มความต้องการของคุณได้ดีกว่าเด็กๆพวกนี้แน่”
     ชายหนุ่มอ้าปากจะค้าน   แต่ภาพเอ็ดเวิร์ดที่ถูกเขาทรมานย่ำยีทำให้การแก้ตัวจบไปโดยปริยาย ขณะที่ไอรีนผู้มองเห็นสีหน้าคั่งแค้นสะใจของเพื่อนสนิทเต็มตาถึงกับก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
     “แม็กเกล...”
     ใบหน้าตอนที่หันกลับมาแทบจะทำให้หญิงสาวถอนใจออกมาดังๆด้วยความโล่ง อก หล่อนรีบบอกลาไม่รีรอ
     “ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ...เมอรี่คริสมาสต์ค่ะ”
     “อืม...อย่าลืมเรื่องข่าวล่ะ ไอรีน เมอรี่คริสมาสต์”
     แม็กเกลเอออวยรับคำ ก่อนหันกลับผละไปขึ้นรถ
     คำทิ้งท้ายของมาเฟียหนุ่มกระตุ้นความสงสัยของไอรีนได้ไม่น้อยเลย
     ความรู้สึกอันละเอียดอ่อนบอกหล่อนว่า ชายที่ชื่อเอ็ดเวิร์ดคือผู้อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงทั้งปวงของแม็กเกล 
และความเปลี่ยนแปลงที่ว่านั่น คงหมายรวมถึงใบหน้าอันเข้มเครียดของชายหน้าบากเมื่อสักครู่นี้ด้วย

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

     ค่ำคืนนี้ก็เป็นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา  ไม่มีแม้สักวินาทีที่เอ็ดเวิร์ดจะสลัดความหวาดกลัวซึ่งเกาะกุมจิตใจออก แล้วหลับตานอนลงอย่างผ่อนคลายเต็มตื่นสักครา
     รอคอยอยู่จนค่อนคืนบนความหวั่นใจ และหวาดหวั่น ทว่าใครคนนั้นกลับยังไม่ปรากฏกายขึ้นในห้อง ท้ายที่สุด ชายหนุ่มจึงค่อยๆลุกนั่งอย่างเชื่องช้า มือเรียวยกแตะกระดิ่งเย็นเฉียบบนลำคอ ริมฝีปากเม้มแน่นยามมองคราบเลือดแห้งกรังบนผ้าปูที่นอน
เอ็ดเวิร์ดตวัดขาลงจากเตียง ก้าวไปยังตู้เสื้อผ้า เช่นเคย...มันถูกล็อคเอาไว้ 
     แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเปิดตู้ได้เลยนี่นา...นัยน์ตาคมกริบทอดมองไปทั่วห้อง จนไปปะทะเข้ากับลวดเสียบกระดาษบนโต๊ะเขียนหนังสือ
     “นี่แหละ”   
     ชายหนุ่มอมยิ้ม  ดัดลวดเสียบแล้วสอดเข้ารูกุญแจ  ขยับไปมาด้วยความชำนาญอย่างที่เคยทำบ่อยๆสมัยเด็ก จนได้ยินเสียงสลักถูกปลด ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย
     เอ็ดเวิร์ดคว้าเสื้อและกางเกงมาใส่ ก่อนหมุนกายกลับไปเลื่อนบานหน้าต่างขึ้น
พร้อมกับความหนาวเสียดจับใจยามสายลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้า  เขาก็ก้าวออกไปยังชานระเบียง เหลียวซ้ายแลขวาหาช่อง               
     ทางลงจากชั้นสองอย่างปลอดภัย
     ความเคลื่อนไหวรอบคฤหาสน์เงียบผิดปกติ ไม่มีใครสักคน นอกจากพุ่มไม้หนาทอดทิวเรียงรายไปตามแนวระเบียงเท่านั้น
แม้จะยังสงสัย   แต่เวลาให้คิดก็มีไม่มาก  ชายหนุ่มก้าวขาพ้นจากพื้นหินอ่อนเย็นเยือกทันที
     เสียงสวบเมื่อร่างตกยวบลงในดงไม้   กิ่งก้านเล็กๆ และขอบใบคมกริบบาดตามเนื้อตัว ทั้งยังมีอาการปวดระบมแล่นร้าวไปตามกระดูกสันหลัง แต่ถึงจะอ่อนล้าแค่ไหนพอคิดว่าอิสระกำลังรออยู่อีกฟาก เขาก็ยังกัดฟันปีนข้ามรั้วไปอย่างทุลักทุเล
     พลันคำถามแรกผุดขึ้นในใจเมื่อผ่านรั้วเหล็กสูงหนามาได้สำเร็จ
     ไม่น่าจะใช่กับดัก เพราะคนระดับแม็กเกลไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีรอดไปได้แน่ สิ่งเดียวที่เป็นไปได้  คือกลุ่มพ่อค้ามืดกำลังตกลงทำสัญญาการค้าที่สำคัญอยู่  ทุกคนจึงละความสนใจในตัวเขาไป...ชั่วคราว
     เถอะ...เพียงพ้นจากที่แห่งนั้นมาได้ ก็ราวกับหลุดจากนรกแล้ว
     เอ็ดเวิร์ดเหลียวมองหลังอีกครั้งอย่างหวาดระแวง...พอไม่เห็นใคร อัยการหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก 



     บุรุษในความคิดของเอ็ดเวิร์ดเพิ่งเดินออกมาจากคาสิโนพร้อมรอยยิ้มลึกลับที่ประดับอยู่บนใบหน้าคม เขาหยิบบุหรี่มาคาบไว้ในปาก แล้วหันไปจุดไฟจากมือลูกน้องที่ถือไฟแช็กรออยู่
     สัญญาวันนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
     ความคิดที่ทำให้แม็กเกลหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ  ปลายบุหรี่ในมือแดงวูบวาบเพราะลมหนาวยามใกล้รุ่ง เขาก้มดูนาฬิกา เกือบตีสี่แล้ว
     “สตีฟ...กลับ”   เสียงทรงอำนาจสั่งลูกน้องคนสนิทของตน ก้าวฉับๆต้านแรงลมราวกับไม่รู้สึกถึงความเย็นที่บาดลึกไปถึงกระดูกเลยแม้สักนิด
     แต่แล้วตอนที่กำลังจะก้าวขึ้นลีมูซีนคันงามนั่นเอง ดวงตาสีมรกตพลันเหลือบไปเห็นกลุ่มคนที่ไม่สมควรมาอยู่ที่นี่เข้าเสียก่อน
     “นั่น...ไอ้โรนัลด์มันมาทำอะไรที่นี่ ฉันสั่งให้เฝ้าคฤหาสน์เอาไว้ไม่ใช่รึ”
     คำพูดที่ฟังดูเหมือนคำถามนั้นส่งให้สตีฟตะโกนเรียกชายเจ้าของชื่อให้มาพบ
     เมื่อร่างในสูทดำเดินเข้ามาใกล้ ชายผู้เป็นมือขวาของแม็กเกลก็เอ่ยถามทันทีว่า
     “ทำไมมาอยู่ที่นี่ บอสสั่งให้เฝ้าคฤหาสน์ไม่ใช่หรือ?”
     “เอ้อ...ก็...เห็นเขาลือกันว่ามิสเตอร์หยาง...ผมหมายถึงมาเฟียจีนคู่สัญญาของบอสในวันนี้...ชอบเล่นไม่ซื่อ พวกผมเป็นห่วงก็เลยตามมาครับ”
     “มันว่าอย่างนั้นครับ บอส”
     ใบหน้าคมสันไม่ส่ออารมณ์ใดๆทั้งสิ้น  ปีศาจหนุ่มสูบบุหรี่จนหมดมวนท่ามกลางความหวาดหวั่นพรั่นกลัวของทุกคนในที่นั้น
นานเท่านาน กว่าน้ำเสียงเรียบเย็นจะถามขึ้น
     “ฉันหรือแกกันแน่ที่เป็นคนออกคำสั่ง”
     ก้นบุหรี่ถูกโยนลงพื้น ก่อนรองเท้าหนังมันวับจะขยี้ให้ไฟดับสนิท
     ชายที่ได้รับมอบหมายงานเป็นหัวหน้าดูแลคฤหาสน์มองกิริยานั้นตาเหลือกลาน บอกละล่ำละลัก   
     “ผม...ผมเป็นห่วงบอสจริงๆนะครับ ไม่ได้มีเจตนาจะขัดคำสั่งเลย บอส...บอส!”
     “สำหรับฉัน คำสั่งก็คือคำสั่ง”   แม็กเกลหันหลังให้อย่างเย็นชา
     “เก็บมัน”
     เสียงกัมปนาทดังก้องตามติด  แทบเป็นเวลาเดียวกันกับร่างสูงหงายหลังล้มลงบนพื้น รอยกระสุนเจาะเข้ากลางหน้าผากอย่างเหมาะเหม็ง เลือดไหลทะลักไม่หยุด
     เหตุการณ์ถูกจัดฉากให้กลายเป็นการทะเลาะวิวาทแล้วพลั้งมือฆ่ากันตาย 
     แต่ศพมีรอยมีดบนใบหน้าซีกขวาเพิ่มขึ้นมา...สัญญาณลับจากเดอะ สการ์เฟสถึงตำรวจ  ซึ่งตีความได้ว่า  อย่าสอดรู้สอดเห็นเกี่ยวกับการตายของชายผู้นี้



     ระหว่างทางกลับคฤหาสน์   แม็กเกลสั่งสตีฟให้สอบถามลูกน้องใต้บัญชาของโรนัลด์ ว่าพวกเขาลงมือทำอะไรไปบ้างก่อนออกมายังสถานที่นัดพบ
     “เอ่อ...เห็นบอกว่าเอาอาหารผสมยานอนหลับส่งเข้าไปที่ช่องประตูล่างครับ”
     สตีฟบอกอย่างไม่ค่อยแน่ใจนักเมื่อเห็นสีหน้าเหี้ยมเกรียมของนายตน
     ในที่สุด ความอดทนของแม็กเกลก็หมดลง ชายหน้าบากตวาดลั่นชนิดที่เรียกว่าบุคคลผู้ซึ่งถือสายคุยอยู่กับสตีฟยังได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำ
     “จะบ้าหรือไง มันไม่โง่กินอาหารเน่าๆที่พวกแกประเคนให้หรอกโว้ย!”
     สมควรแล้วที่มันตายไปได้! ไม่อย่างนั้นก็เขานี่แหละที่จะกระหน่ำพรุนร่างมันให้เละเป็นกองเนื้อ...แม็กเกลสาปแช่งคนที่เพิ่งตายไปหมาดๆอย่างเหลืออด
     คล้ายรับรู้ถึงกระแสอารมณ์อันร้อนแรงของมาเฟียหนุ่มในยามนี้  คนขับรถจึงเหยียบคันเร่งจนมิด
     “ดีมาก! เคน เอาให้ถึงในห้านาที”
     คำสั่งจากหัวหน้าส่งให้เท้าที่กำลังจะเหยียบเบรกตรงโค้งหน้าเปลี่ยนเป็นเหยียบคันเร่งอีกหน  ปาดหน้ารถตำรวจจราจรที่ซุ่มอยู่ข้างทางราวจะเย้ย 
     ไม่มีใครคิดสนใจเสียงสัญญาณไซเรนจากข้างหลังเลยสักคน ด้วยรู้ว่าหากรถเจ้าหน้าที่ติดตามมาจนเห็นคฤหาสน์ ก็จะเป็นฝ่ายถอยกลับไปเอง
     เมื่อครบห้านาทีตามกำหนดการ ลีมูซีนคันหรูก็จอดสนิทหน้าประตูทางเข้าเป็นที่เรียบร้อย
     แม็กเกลแทบกระโจนลงจากรถ ไปเปิดห้องคุมขังนักโทษด้วยความร้อนใจ
     เสียงเคร้งเรียกสายตาชายหนุ่มให้มองตาม จานอาหารผสมยาถูกประตูชนจนหกเละเทะไปหมด
     “ไอ้โง่ ก็บอกแล้วว่ามันไม่กิน”   เขาคำรามอย่างโกรธจัด 
     สายลมพัดพาเสียงกรุ๋งกริ๋งแว่วมาจากนอกหน้าต่าง แม็กเกลชะโงกมองออกไปตรงระเบียง เห็นริบบิ้นห้อยกระดิ่งขาดอยู่บนพื้น ครั้นแลเลยลงไปยังพุ่มไม้ชั้นล่าง ก็มีร่องรอยเหมือนถูกอะไรสักอย่างหล่นทับ
     “สตีฟ หาให้เจอ อย่าให้หนีไปได้เด็ดขาด”
     “ครับ”   สตีฟรับแค่นี้ก็วิ่งกลับลงไปด้านล่าง ถ่ายทอดคำสั่งให้รับรู้โดยทั่วกัน
     แม็กเกลเองก็วางแผนจะออกไปตามหาด้วย
     ...เอ็ดเวิร์ด  ถ้าจับแกกลับมาได้เมื่อไร ฉันสาบานว่าจะสั่งสอนแกจนแกไม่กล้าหนีไปจากเดอะ สการ์เฟสอีกเป็นครั้งที่สองเลยเชียว
     ความนึกคิดหยุดลงกะทันหันตอนที่มองเห็นฝาตู้เสื้อผ้าเปิดแง้มอยู่
     เสื้อและกางเกงหายไป
     นัยน์ตาสีมรกตเหลือบมองลวดเสียบหงิกงอบนพื้นห้อง นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนหยิบมันขึ้นมาช้าๆ
     “เพราะความบ้าไม่พอของแกนี่แหละ ที่จะทำให้ฉันหาแกเจอ”



     “หนาว...”
     ไอสีขาวพวยพุ่งออกจากริมฝีปากสั่นซีดของชายหนุ่ม  ใบหน้าหล่อเหลาแดงจัดเพราะความโหดร้ายของอากาศ  ตั้งแต่ท่อนแขนท่อนขาลงไปจนถึงปลายนิ้วล้วนชาไร้ความรู้สึก สติที่ยังหลงเหลืออยู่สั่งให้นั่งซุกตัวกับกำแพงเพื่อรักษาความอบอุ่นให้มีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
     ...เราจะตายทั้งๆอย่างนี้หรือ
     เอ็ดเวิร์ดอยากหัวเราะให้สมกับความบัดซบของชีวิตเหลือเกิน ถูกผู้ชายข่มขืนแล้วหนีออกมาหนาวตายข้างนอก
     อากาศเย็นกว่าที่คิดไว้ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ อาณาจักรของแม็กเกลกว้างไกลกว่าที่คิดไว้มาก เดินหาจนล้า เรี่ยวแรงหดหาย ก็ยังไม่เจอบ้านคนจริงๆสักที
     ลงท้ายก็ต้องเสาะหามุมตึกรกร้างริมทางเข้าไปซุกกายอย่างหมดท่า
     เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังแว่วเข้ามาในห้วงสติ เรียกนัยน์ตาสีเทาอ่อนให้ปรือขึ้นมองฝ่าหมอกหนาไปด้วยความสงสัย...ใครออกมาเดินตั้งแต่เช้ามืดอย่างนี้กัน?
     คำตอบนั้นมาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ในโค้ทหนายืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
     เอ็ดเวิร์ดมองสบตาคมๆคู่นั้น แทบไม่เชื่อตาตัวเอง 
     “ทำไม...”
     ผู้มาใหม่คุกเข่าลง  ก่อนยกโทรศัพท์มือถือให้ดู  หน้าจอเล็กๆแสดงจุดสัญญาณสีแดงกระพริบตลอดเวลา
     “นี่คือสัญญาณ GPS ใช้สำหรับตามตัวฉันเผื่อมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ไมโครชิพถูกฝังอยู่ในเม็ดกระดุมเสื้อที่แกใส่อยู่”
     “หมาย...ความว่า...ที่ไม่ให้ฉันใส่เสื้อ...ก็เพราะอย่างนี้เอง...หรอกหรือ”
     เสียงขาดห้วงถามเดือดดาล เขาหลงกลอีกฝ่ายมาตั้งแต่ต้น
     “ค่อยฉลาดขึ้นหน่อยแล้วสินะ ถ้าจะหนีให้พ้น แกก็ต้องบ้าพอที่จะเดินล้อนจ้อนกลางหน้าหนาวนั่นล่ะ” 
     แม็กเกลตอบเสียงเยาะ ก่อนขยับกายเข้าหาจนสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากร่างหนา 
     การกระทำนั้นส่งให้คนที่นั่งตัวสั่นยิ่งกดแนบตัวจมติดผนังเย็นเฉียบ  ด้วยรู้ดีว่า
 


     ปีศาจตนนี้ไม่เคยคิดหวังดีกับเขาสักครั้ง
     ดวงตาสีมรกตมองท่าทางอวดดีของเอ็ดเวิร์ดอย่างหงุดหงิด
     “ทำอะไรของแก”
     “ปะ...ไปให้พ้น...”
     จะตายแล้วยังปากดีอีก!
     ความคิดที่ทำให้เส้นเชือกสุดท้ายแห่งความอดทนขาดผึงลง แม็กเกลคว้าจับต้นแขนเย็นชืดไว้แน่น ฉีกกระชากเสื้อและกางเกงของเอ็ดเวิร์ดออกอย่างไม่ปรานีปราศรัย ได้ยินเสียงครางแผ่วเบาด้วยความขัดใจมาจากอีกฝ่าย  ก่อนที่เขาจะผลักไสร่างเปล่าเปลือยเข้าไปในซอกตึก แล้วยืนขวางจังก้าอยู่ตรงทางออก
     “ฉันให้แกเลือก...ว่าจะเอาอ้อมกอดของยมฑูต หรืออ้อมกอดของปีศาจ!”
     ร่างขาวซีดขดงอคุดคู้อยู่บนพื้น  สายตาเริ่มพร่าเลือนจากความง่วงงุนที่ถาโถม
     ...ถ้าหลับไปทั้งๆอย่างนี้ล่ะก็...
     ...ไม่...ยังไม่อยากตาย...   
     แต่...ไม่มีใครที่พอจะช่วยเขาได้อีกแล้ว นอกจากปีศาจใจอำมหิตที่ยืนอยู่ตรงนี้
     ยิ่งชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองจากมุมต่ำ  ร่างสูงใหญ่ของแม็กเกลก็ยิ่งดูสูงทะมึนราวปีศาจจำแลงจริงๆ
     ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เอ็ดเวิร์ดส่งมือไปให้ชายที่เขาเกลียดชังอย่างไม่มีทางเลือก วินาทีเดียวเท่านั้น ร่างก็ถูกฉุดลอยขึ้นจากพื้น  วงแขนรัดแน่น บดเบียดแนบชิดจนรับรู้ถึงความร้อนและแรงปรารถนาอันเข้มข้นภายใต้ผิวเนื้ออุ่นระอุ
     ในม่านหมอกหนาทึบ แม็กเกลคุกเข่าลง จับชายหนุ่มนั่งตัก แล้วทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะทำ
     “โอ๊ย! เจ็บ”
     สติสัมปชัญญะหวนคืนสู่ร่างเร็วปานสายฟ้าแลบ เมื่อสิ่งแปลกปลอมเสียดแทงเข้ามาอย่างถือวิสาสะ ความรวดร้าวปวดแปลบแทบขาดใจ
     มือสั่นระริกผลักบ่าหนากว้าง แต่ไร้ผล มันไม่ขยับเขยื้อน
     “เอา..ออกไป! ไม่เอาแล้ว”
     “อย่าดื้อสิวะ วิธีนี้แหละ ทั้งหายหนาวแล้วก็ไม่ง่วงด้วย”
     “คะ...คนอย่างแกมัน...บัดซบ!”
     เขาดิ้นรนจะลงจากร่างนั้น แต่แม็กเกลไม่ยอมง่ายๆ ริมฝีปากเรียวฉกจูบปิดปากที่ร้องโวยวายจนมิด ก่อนบดขยี้ดุจลงทัณฑ์
มือไม้ปัดป่ายไปทั่ว จิกทึ้งเส้นผมผู้รุกรานสุดชีวิต
     ในยามเผลอตัว เอ็ดเวิร์ดตอบโต้ด้วยวิธีที่คิดออกในตอนนั้น
     ได้ผล ริมฝีปากรุนรานยอมถอย ดวงตาคมปรายมองอย่างกินเลือดกินเนื้อ
     แม็กเกลยกมือเช็ดเลือดที่มุมปาก  ก่อนกระชากเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนจนอีกฝ่ายหน้าหงาย ลิ้นร้อนเลียไปตามแนวคาง ขบหูเบาๆเป็นการสั่งสอน
     “อย่าอวดดีให้มันมากนัก”
     แล้วเขาก็แสดงให้เอ็ดเวิร์ดเห็น ว่าการอวดดีนั้นจะได้รับผลตอบแทนเช่นไร
     “อื้อ...อ๊ะ...!”
     ชายหนุ่มพยายามกลั้นเสียงเอาไว้ด้วยความยากเย็น แต่ก็ยังมีเสียงครางกระเส่าเล็ดลอดมาให้ผู้รุกรานย่ามใจเล่นอยู่ดี
     “หึ...แกนี่มันร่านดีจริงๆเอ็ดเวิร์ด  คิดถูกแล้วที่เอามาทำเมีย ดีกว่าฆ่าทิ้งให้เสียของเปล่าเป็นไหนๆ”
     ถ้อยคำวิจารณ์หมิ่นแคลนยังไม่บาดใจเท่าสายตาและสัมผัสเร่าร้อนอวลราคะนั่นเลยสักนิดเดียว  เอ็ดเวิร์ดไม่มีแม้โอกาสจะอ้าปากตอบโต้ เพราะถูกริมฝีปากปิดทับไว้ถนัดถนี่
     อ้อมกอดปีศาจ...ยังน่ากลัวยิ่งกว่าอ้อมกอดของยมฑูตเสียอีก
     แต่กว่าจะสำนึกได้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว



     ละอองหมอกสีขาวบริสุทธิ์ที่แผ่ขยายปกคลุมตัวเมืองมาทั้งคืนยังหลงเหลืออยู่บางเบา แม้แสงแห่งอรุณรุ่งจะสาดส่องสู่ผืนดินแล้วก็ตาม
     ในฤดูหนาวเยี่ยงนี้  โลกทั้งใบคล้ายถูกห่อคลุมด้วยสีขาวโพลน   
     แต่หัวใจชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่ในวงแขนอบอุ่นกลับมืดมิด ดุจฉาบทาด้วยสีดำ
     แม็กเกลห่อคลุมร่างเอ็ดเวิร์ดด้วยโค้ทตัวยาว  อุ้มเดินกลับคฤหาสน์  พาเข้ามาจนถึงห้อง ก่อนวางชายหนุ่มลงบนเตียงราวกับผ้าเก่าๆผืนหนึ่ง  แม้จะไม่ถึงกับโยนทิ้ง  แต่ก็ไม่มีความทะนุถนอมให้เลย 
     ทันทีที่แผ่นหลังสัมผัสกับฟูกนุ่ม   ดวงตาสีเทาอ่อนเปียกชื้นก็ลืมขึ้นจ้องหน้าเขา ก่อนตะแคงหนีอย่างรังเกียจ  ท่าทีนั้นทำให้ชายร่างสูงถึงกับกัดฟันแน่นจนขึ้นสันนูน
     ถ้าไม่ติดว่าเห็นใบหน้าหล่อๆนั่นแดงก่ำด้วยพิษไข้อย่างหนักละก็...
     ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!   แม็กเกลคำรามอย่างหงุดหงิด สะบัดโค้ทสุดแรงเหมือนจะรีดเสนียดที่ติดอยู่บนผ้าออกไป 
     ตอนนั้นเอง ที่ขวดเล็กๆกระดอนหล่นลงบนพื้น มาเฟียหนุ่มก้มเก็บ พอเห็นฉลากข้างขวดเขาก็กระตุกมุมปากเหมือนจะยิ้ม ก่อนหันไปแขวนโค้ทเข้าตู้
     “เดี๋ยวจะเอาอาหารมาให้”   แม็กเกลเอ่ยขึ้นลอยๆ
     “ไม่หิว”   เสียงอ่อนระโหยตอบทันควัน
     ...หึ จะตายแล้วยังปากกล้า
     “ต่อให้ไม่หิวแต่ถ้าฉันสั่งให้กินแกก็ต้องกิน ถ้าไม่อยากให้มีรายต่อจากวิลเลี่ยม เข้าใจไหม?”
     และโดยไม่รอฟังคำตอบ มือหนากระชากประตูปิดเป็นการตัดบท



     เอ็ดเวิร์ดนอนเงียบๆอยู่ไม่ช้านาน ชายหน้าบากก็ยกชามซุปและแก้วน้ำเข้ามาในห้อง ก่อนส่งให้ด้วยท่าทีหมางเมิน
คนรับก็รับมาแบบไม่ซาบซึ้งใจสักนิด
     กลิ่นหอมของน้ำซุปที่ลอยมาแตะจมูกทำให้เชลยหนุ่มรู้ตัวว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องมาสองวันแล้ว จึงลงมือรับประทานทันที โดยไม่ทันเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของแม็กเกลที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆเลย
     กระทั่งอาหารพร่องไปหมดจาน เขาดื่มน้ำ แล้วล้มตัวลงนอนอย่างเหน็ดเหนื่อย  เมื่อความหิวหมดพิษสง พิษไข้ก็เริ่มแผลงฤทธิ์ ในหัวคนป่วยตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่าและอ่อนล้า
     ทว่าทำได้แค่หลับตา จู่ๆความร้อนรุ่มแสนแปลกก็ก่อตัวขึ้น
     ...ร้อน...
     ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง  เอ็ดเวิร์ดสะดุ้งลุกจากที่นอน
     “อึก...ไม่จริง”
     ส่วนอ่อนไหวเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองเป็นลำดับต่อมา ชายหนุ่มต้องใช้มือปิดบังมันไว้อย่างสุดความสามารถ พยายามสูดลมหายใจเข้าลึกยาว หวังให้ร่างกายสงบลงดังเดิม  แต่...ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
     “นี่มัน...อะไรกัน...”   ร่างสูงโปร่งบิดเร่าด้วยความกระสัน 
     ลำพังแค่กลั้นเสียงยังยากเย็นขนาดนี้ ถ้าหากแม็กเกลได้ยินเข้าละก็...
     แม็กเกล...อย่างนั้นหรือ?
     เอ็ดเวิร์ดใจหายวาบ มืออ่อนเปลี้ยขึ้นมาทันที พอหันไปมอง ก็เห็นแม็กเกลนั่งยิ้มละไมอยู่แล้ว  ชายร่างสูงยังยกมือขึ้น    ประสานบนตักอย่างสบายๆ พร้อมคำพูดที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ
     “ฉันชักจะเบื่อบทข่มขืนนี่เต็มทนแล้ว”
     เอ็ดเวิร์ดรู้สึกราวกับถูกถ่านแดงร้อนสาดเต็มหน้า  ได้แต่นอนอึ้ง มองแม็กเกลด้วยสายตาเจ็บปวด
     “อ๊ะ...อะ...อื้อ!”
     เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกแล้ว  ความปรารถนาไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป หยาดน้ำสีขาวฉีดพุ่งออกมาจนเปื้อนเต็มร่าง ชายหนุ่มขยำผ้าปูแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อเมื่อรู้สึกถึงอาการร้อนวูบวาบในร่าง กับความปรารถนาที่โถมซัดมาไม่หยุดยั้ง
     “แม็กเกล...แกทำอะไรกับอาหาร”
     “ยังฉลาดเหมือนเดิม แต่เฉลียวใจช้าไปหน่อย...เอาเถอะ เห็นแก่ความน่าสมเพชของแก ฉันจะบอกอะไรดีๆให้ฟัง ”   อีกฝ่าย     บอก พลางหยิบขวดเปล่าขึ้นมาดู
     “ฉันได้ยาตัวนี้มาจากเพื่อนอีกที  ก็น่าจะรู้กันนะ...ว่าเป็นยาอะไร  แต่บังเอิญจำไม่ได้ว่าให้ใช้ครั้งละเท่าไหร่ ก็เลยล่อซะหมดขวดแค่นั้น”
     “แค่นั้น...ตรงไหนวะ...อ๊า!”
     ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนอนทุรนทุรายอยู่บนเตียง  กายร้อนราวถูกแผดเผา มือขาวเรียวเอื้อมจับแก่นกายของตนแล้วเร่งทำการรีดปล่อยความต้องการออกมา เพียงเพื่อให้พ้นไปจากความทรมานนี้เสียที
     ในเวลาไม่นาน  น้ำสีขาวขุ่นก็พวยพุ่งขึ้นมาเป็นคำรบสอง เอ็ดเวิร์ดนอนหายใจหอบ ตามองต่ำไปยังส่วนที่ไม่ยอมสงบอย่างสับสน
     ผิดกับดวงตาสีมรกตลุกวาวเจิดจ้า แม็กเกลมองภาพตรงหน้าอย่างสุขสราญใจ
     “มาเป็นทาสบำเรอกามของฉันเสียเถอะ เอ็ดเวิร์ด”

 (มีต่อ)
.
.
.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2017 17:28:59 โดย narikasaii »

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
.
.
(ต่อ)

     ความปรารถนาของอัยการหนุ่มในยามนี้มีเพียงประการเดียว นั่นคือการเปลี่ยนอาชีพไปเป็นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ข้อหาฆาตกรรมแม็กเกล เดอะ สการ์เฟส
     ระบุชัดลงไปว่าเป็นคดีฆ่าหั่นศพ
     หากความเป็นจริง ที่ทำได้กลับมีเพียงการจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลักนั่นอย่างแค้นเคือง ขณะที่ร่างกายบิดเร่าด้วยความทรมาน
     “อะ...อึก...”
     แววตาของเอ็ดเวิร์ดบอกถ้อยคำที่มีเพียงแม็กเกลคนเดียวที่อ่านออก 
     มันคือคำพูดจากหัวใจดวงที่หม่นไหม้ไปด้วยความเกลียดชัง
     แต่เอ็ดเวิร์ดไม่รู้เลยว่าตัวเองในยามนี้น่าเอ็นดูแค่ไหน
     ดวงตาสีมรกตฉายชัดถึงความพอใจในดวงตาฉ่ำชื้นวาวจ้าคู่นั้น  แม็กเกลทรุดกายลงนั่งตรงปลายเตียง พลางเอ่ยเรียก 
     “มานี่สิ”
     ไม่มีทาง!...เอ็ดเวิร์ดบอกตัวเอง พร้อมพลิกตัวหลบ หากถูกคนที่ไหวตัวทันตะปบคร่อมทับราวเสือขย้ำเหยื่อ ก่อนและเล็มหาความหอมหวานจากริมฝีปากแดงเรื่ออย่างถือสิทธิ์
     จุมพิตหนักหน่วงรุนแรงแผดเผาสติของชายหนุ่มจนแทบมอดไหม้กลายเป็นจุณ หลงเหลือเพียงอารมณ์ปรารถนาที่ยากจะยับยั้ง และยั่วยวนใจเหลือเกิน
     มือที่ผลักไสกลับกลายเป็นสอดประสานกับฝ่ามือกร้าน  ออกแรงพลิกร่างสูงให้
 


     นอนหงาย บดเบียดกายแนบชิดเป็นเนื้อเดียวกัน
     ความเปลี่ยนแปลงคราวนี้เหนือความคาดหมายไปมากนัก ถึงขนาดแม็กเกลยังนิ่งอึ้งไปด้วยความคาดไม่ถึง 
     สีหน้าตะลึงลานของชายหน้าบากฉุดรั้งสติของเอ็ดเวิร์ดกลับคืนมา เขาก้มมองสภาพตนเองด้วยใบหน้าซีดเผือด ตาแดงก่ำ
ต้องใช้ความพยายามหักห้ามใจมากเพียงใดก็ไม่รู้จึงจะหลีกหนีจากเส้นทางเสน่หาอันหอมหวานนี้ได้   เอ็ดเวิร์ดผุดลุกจากมาเฟีย         
     หนุ่มอย่างรวดเร็ว ความเจ็บร้าวแผ่ซ่าน อาการหนักศีรษะเริ่มรุมเร้า ร่างอ่อนเปลี้ยโงนเงนเหมือนจะล้มและคงล้ม...ถ้าไม่มีมือคู่หนึ่งเอื้อมมารับไว้
     “ฆ่าฉันเถอะ...” 
     เขาวิงวอนเสียงสั่น ด้วยมิอาจทานทนต่อความรวดร้าวรุนแรงนี้ได้อีกแล้ว
     “ไม่”
     ยินเสียงกร้าวตอบทันควัน พร้อมแรงบีบที่ข้อมือแน่น คล้ายปรารถนาจะบดขยี้มือของเขาให้เป็นผุยผง
     “ฉันจะไม่ฆ่าแก เอ็ดเวิร์ด”
     “...ทำไม...?”
     นั่นสิ ทำไม...แม็กเกลเองก็ตอบคำถามนี้ให้แก่ตัวเองไม่ได้เช่นกัน จะเพราะอะไรก็ไม่รู้ เขากลับนึกชอบท่าทางอวดดีของเอ็ดเวิร์ดมากกว่า...มากกว่าที่จะเห็นสภาพสิ้นหวังแบบนี้
     ชายหน้าบากซุกหน้าลงที่ซอกคอขาว ผ่านไหล่ลาด เรื่อยมาจนถึงตุ่มเล็กๆตรงยอดอกก็ขบกัดเอ็นดู สาละวนแทะเล็มจนขึ้นไตแข็ง
     “อา...ไม่...”
     เสียงร้องทัดทานของเอ็ดเวิร์ดเปรียบประดุจถ่านแดงร้อน เร่งกระพือไฟฟอนให้ลุกโหมกว่าเดิม แม็กเกลเสือกไสความแข็งแกร่งเข้าไปในหลืบแคบเต็มแรงจนเห็นร่างขาวจัดแอ่นกายสะดุ้ง
     “อ๊า...เจ็บ!” 
     ใบหน้าคมบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด กระนั้นหยาดน้ำสีขาวกลับหยดจากปลายส่วนอ่อนไหวคล้ายดั่งอิ่มเอมในกามรสที่ได้รับ
     “เจ็บหรือ...แต่ทำไมส่วนนี้ถึงสั่นระริก เหมือนบอกว่า ต้องการอีก ขนาดนี้ล่ะ”
     ชายหน้าบากเย้าแหย่แดกดัน ก่อนกระแทกกายซ้ำ
     คราวนี้น้ำสีขาวไหลพุ่งออกมาจนเต็มหน้าท้องของเอ็ดเวิร์ด ท่ามกลางความอับอายของเจ้าตัวและความสะใจยิ่งนักของแม็กเกล  ชายสูงวัยกว่าอัดแรงทิ่มแทงรัวเร็วอย่างได้ใจ ยินเสียงร้องครางครวญตามแรงกระแทก
     “อะ..อา...อา..อื้อ...อื้ม!”   
     ท้ายประโยคแปรเปลี่ยนเป็นร้องด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆก็ถูกสลับตำแหน่งมาอยู่ข้างบนอีกครั้ง 
     เอ็ดเวิร์ดทำหน้างวยงง  ไม่เข้าใจว่าแม็กเกลต้องการอะไร
     “ขยับสิ” 
     คำสั่งห้วนสั้น แต่คนฟังแก้วตาหดวูบเมื่อทวนซ้ำ
     ...จะให้เขาขยับเอง?
     คำประกาศิตมาพร้อมการเร่งเร้าของมาเฟียหนุ่ม  แรงกระแทกเบาๆส่งให้คนที่นั่งคร่อมอยู่ข้างบนเม้มปากแน่น กลั้นเสียงน่าอายเอาไว้
     ตาสบตา และคราวนี้ แม็กเกลมองเห็นประกายกร้าวโชนฉายอยู่ในแววตาของอีกฝ่ายชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใด
     ‘ดื้อ!’
     พลันที่ความคิดแล่นผ่านเข้ามาในสมอง  ชายร่างสูงใหญ่ถอดเข็มขัด แล้วใช้มัดมืออีกฝ่ายไพล่หลังอย่างรวดเร็ว
     ...ดูซิ ฤทธิ์ยาก็ยังอยู่ แล้วมันจะยังมีฤทธิ์เดชอะไรเหลืออีก!
     เอ็ดเวิร์ดดิ้นรนจนถูกเข็มขัดบาดเนื้อ ดวงหน้าคมหล่อเหลาซีดลงด้วยโทสะ
     “ไอ้แม็กเกล ฉันไม่ใช่ตัวเมียของแกนะ!”  ไม่พูดเปล่า หากเจ้าตัวยังผุดลุกหนีมาจากท่อนเอ็นแข็งขึง แล้วกระแทกส้นเท้าใส่อกหนากว้างเต็มแรง
     เสียงคำรามลั่น ร่างสูงงองุ้มด้วยความจุก ปล่อยให้เหยื่อลุกพรวดหนีไปตั้งหลักได้สำเร็จ  แม็กเกลสะบัดหน้า สาดสายตาอย่างมุ่งร้าย
     “แก...เอ็ดเวิร์ด”
     “...ทะ...ทำไมวะ ที่ฉันทำอย่างนี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
     สวนกลับไปก่อนจะคิด แล้วเอ็ดเวิร์ดก็กลับเป็นฝ่ายลมหายใจสะดุดเสียเองยามสัมผัสได้ถึงความโกรธขึ้งของคนตรงหน้า
     ชายหนุ่มมองร่างที่ย่างสามขุมเข้าหาด้วยใจระทึก    กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ...คงได้แต่หวังพึ่งโชคชะตาว่าการกระทำเมื่อครู่นี้จะไม่ทำให้แม็กเกลโกรธจนพลั้งมือฆ่าเขาตายไปก่อนเท่านั้น


   
     หากความทุกข์ใจ ร้อนใจของเอ็ดเวิร์ดยามนี้เปรียบเสมือนไฟสุมอก ความโกรธเกรี้ยวของแม็กเกลคงเป็นดั่งพายุที่พร้อมกวาดล้างทำลายทุกสิ่งลงในพริบตา อารมณ์อันรุนแรงของบุรุษนามเดอะ สการ์เฟสแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของห้องอันเงียบกริบ
     และนั่น...ส่งให้สมองอันชาญฉลาดรีบคิดหาทางรอดอย่างเร็วรี่
     ยานั่น...พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เบี่ยงเบนความสนใจของแม็กเกล กดนิสัยชอบระแวงสงสัยเอาไว้ด้วยเพลิงปรารถนาที่เร่าร้อนยิ่งกว่า
     การเดิมพันคราวนี้  เขาต้องชนะ
     ความคิดทั้งหมดสะดุดลงเมื่อมือกร้านคว้าไหล่ผู้อ่อนวัยกว่าไว้แน่น ก่อนฟาดลงไปบนซีกหน้าคมสันดังฉาด!
     ร่างสูงโปร่งเซซวนล้มลงบนเตียง ไม่หลงเหลือความเก่งกล้าดังเมื่อครู่อีกแล้ว
     แม็กเกลเดินตามไปติดๆ หวังจะระบายอารมณ์ใส่เอ็ดเวิร์ดให้สาแก่ใจ  แต่แล้วกลับต้องยืนชะงักนิ่งงัน ตามองจ้องชายหนุ่มราวกับไม่เคยเห็นกันมาก่อน
     แม้มือจะถูกพันธนาการเอาไว้ หากร่างที่นอนทอดกายราวจะ...เชิญชวน เย้ายั่ว กลับมีแรงดึงดูดแสนแปลก ปลุกกระตุ้นเร่งเร้าความดิบเถื่อนที่เคยสงบนิ่งให้ลุกขึ้นมาเต้นเร่าได้อย่างน่าอัศจรรย์
     “ช่วยด้วย...”   เสียงครางแผ่วขาดหาย พร้อมกันกับที่ขาข้างหนึ่งแยกออกอย่างเชื่องช้า...กึ่งเอียงอาย กึ่งเย้ายวน       
     “ทรมาน...ช่วยที  แม็กเกล”
     หากใครได้มาเห็นสีหน้าของแม็กเกลในยามนี้   คงไม่มีทางคิดและเชื่อว่าเขาจะเป็นแม็กเกล เดอะ สการ์เฟสจอมเลือดเย็นคน    นั้นไปได้อย่างแน่นอน  ทั้งดวงตาเบิกโต  ปากอ้าค้าง ร่างแข็งนิ่งราวกับรูปปั้น ไม่ว่ามองอย่างไร ก็เป็นแค่ชายคนหนึ่งที่ตกอยู่ในความตะลึงจนพูดไม่ออกเท่านั้น
     เมื่อตั้งสติได้ นัยน์ตาสีมรกตก็เปลี่ยนเป็นฉายแววสงสัยแกมระแวงทันทีทันใด
     จะมาไม้ไหนอีก...ความนัยที่ถ่ายทอดออกมาทางสายตาบอกให้รู้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ  ดังนั้นจึงเหลืออีกเพียงทางเดียว...คือต้องขุดให้ลึกลงไปอีก...ลึกจนคนที่ตกลงไปนั้นไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้อีกเลย
     เอ็ดเวิร์ดกัดริมฝีปากแน่น สัญชาตญาณกำลังร่ำร้อง ทว่ามือถูกพันธนาการอยู่ทำให้ไม่สามารถปลดเปลื้องความเจ็บปวดนี้ได้ จำต้องวิงวอนขอร้องผู้ที่อยู่เหนือกว่า...อย่างแม็กเกล
     “เจ็บ...ช่วยที...”
     แลเห็นความลังเลปรากฏขึ้นฉาบฉวย ก่อนชายร่างสูงจะเดินเข้าหยุดมองเหมือนกำลังไตร่ตรอง
     “เร็ว...เร็วเข้า...คนใจร้าย”   
     เอ็ดเวิร์ดกลิ้งเกลือกใบหน้ากับฟูกนุ่ม นอนขดคู้อยู่ภายใต้ความรวดร้าวทารุณ
     พลันนั้นเอง ที่รู้สึกถึงแรงอ่อนยวบใกล้ๆ มือกร้านเอื้อมมาลูบใบหน้าเกลี้ยงเกลาแผ่วเบา และชายหนุ่มไม่รอช้าเลยที่จะเบี่ยงหน้าให้ฝ่ามือข้างนั้นไถลมาอยู่ที่ปาก ระดมจูบอย่างกระหายโหย
     แต่แล้วแม็กเกลกลับหดมือหนี  เอ็ดเวิร์ดส่งสายตาประท้วงพลางทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ พร้อมกับตวัดขารัดเอวหนา ออกแรงดึงให้ล้มมานอนคร่อมทับอยู่ด้านบน
     อาการนิ่งค้างและความเงียบของผู้รับสารเชิญชวนคือคำตอบ
     ยังไม่รู้ว่าผลจะออกมาแบบไหน แต่ความรู้สึกที่ต้องบดขยี้ศักดิ์ศรีตัวเองเพื่อชัยชนะก็ทำให้อัยการหนุ่มประสบกับอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกครั้ง แม้ไม่รุนแรงเท่า แต่ก็ไม่ต่างกับทุกครั้งที่ต้องถูกแม็กเกลขืนใจเลยแม้แต่น้อย
     “หึ...”
     อยากล้มเลิกแผนกลางคัน แต่พอได้ยินเสียงทุ้มหยัน เอ็ดเวิร์ดก็ตั้งใจให้ลืมอาย  แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มน้อยๆประดับใบหน้าเมื่อรับรู้ว่าแผนการขั้นต้นประสบความสำเร็จ
     ดวงตาสีเทาอ่อนตวัดมองหากระเป๋ากางเกง  แล้วทำทีเป็นเสียดสีต้นขาเข้ากับต้นขาอีกฝ่าย เขยิบร่นทีละนิด...ละนิด...จนวัตถุบางอย่างร่วงหล่นมาสัมผัสผิวกาย
     “อ๊ะ...”
     เสียงอุทานทำให้แม็กเกลหันมองตาม พอเห็นว่าเป็นโทรศัพท์หล่นลงบนเตียง สาเหตุมาจากขาขาวๆซุกซนที่ปัดป่ายไปทั่วตัวเขา ชายหน้าบากก็กระตุกยิ้ม ปัดของเกะกะไปให้พ้นสายตา
     การกระทำนั้นยิ่งส่งให้ดวงตาของเอ็ดเวิร์ดพราวระยับแวมวาว
     ...ที่เหลือ ก็แค่รอเวลา กับอดทน



     ร่องรอยของเข็มขัดบนข้อมือเด่นชัด อาการร้าวระบมตามร่างกายสาหัสยิ่งกว่าครั้งไหน ชายหนุ่มพลิกร่างลุกขึ้นช้าๆ กัดฟันแน่น มิให้เสียงใดเล็ดลอดออกมา
     มือสั่นระริกควานหาโทรศัพท์ กว่าพิศวาสจะบรรเทา กว่าปีศาจหนุ่มจะหลับสนิท เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่ายของวันใหม่แล้ว
มือเรียวกวาดหาตามผ้าปูยับย่นจนสัมผัสเข้ากับผิวเรียบเย็นเฉียบ อัยการหนุ่มไม่รอช้า  รีบกอดกกมันไว้กับตัว เลื่อนขาลงจากเตียงอย่างเงียบกริบ ก่อนกดหมายเลขของใครสักคนลงไป
     เพียงไม่นาน ก็ได้ยินเสียงนุ่มทุ้มมาจากปลายสาย 
     ‘ฮัลโหล’
     “ทเวน นี่ฉันเองนะ...เอ็ดเวิร์ด”
     ‘เอ็ด! นั่นนายจริงๆหรือเนี่ย  นายหายไปไหนมา ฉันติดต่อไปที่บ้านก็ไม่มีคนอยู่ โทรตามตัวก็ไม่มีคนรับสาย นี่คิดจะกลับมาทำงานอีกเมื่อไหร่กัน?’
     ฟังคำบ่นยาวเป็นชุดของเพื่อนชายแล้วเอ็ดเวิร์ดก็ต้องหัวเราะประชดตัวเอง
     ...อย่าว่าแต่ไปทำงานเลย เอาตัวให้รอดไปจากตรงนี้ได้ยังไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า
     เมื่อเห็นเขาเงียบไปนานผิดปกติ ทเวนจึงถามขึ้น
     ‘...เอ็ดเวิร์ด เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไป?’
     สุ้มเสียงห่วงใยทำให้ชายหนุ่มเม้มปากแน่น บอกเสียงสั่น
     “...ช่วยด้วย...”
     ‘เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน มันเกิดอะไรขึ้น เอ็ดเวิร์ด นายจะให้ฉันช่วยอะไร?’
     “...ช่วยฉัน...หนีไปจากแม็กเกลที”
     ‘แม็กเกล?’   สุ้มเสียงทเวนฟังดูอึ้งมากกว่าตกใจ 
     ‘...แม็กเกล เดอะ สการ์เฟสคนนั้นน่ะหรือ...’
     “...ใช่”
     เสียงขยับตัวจากร่างบนเตียงทำให้เอ็ดเวิร์ดรีบตัดสายทิ้ง กดลบเบอร์ที่เพิ่งโทรออกแล้วจัดแจงวางกลับไปบนเตียงอย่างเดิม  ก่อนพลิกกายจะลุกขึ้น  แต่เขาลืมไปว่าสภาพร่างกายยังไม่สมบูรณ์พร้อม
     “โอ๊ย!”
     วินาทีที่คำอุทานหลุดจากปากชายหนุ่ม ชายหน้าบากก็งัวเงียตื่นขึ้นมาทันที
     “อะไรกันวะสตีฟ เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าอย่าเข้ามาตอนที่ฉันกำลังนอน”
     แต่แทนที่จะได้เห็นลูกน้องคนสนิทยืนก้มหน้ารับผิดอยู่หน้าประตูห้อง   แม็กเกลกลับพบเอ็ดเวิร์ดนั่งซบหน้าอยู่ปลายเตียงแทน 
     มาเฟียหนุ่มหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เขายิ้มกระหยิ่มพลางเลื่อนตัวเข้าไปใกล้ร่างนั้น มือเชยคางได้รูปของอีกฝ่ายขึ้น  แล้วบรรจงจูบหนักๆลงไปโดยไม่ทันเห็นอาการต่อต้านจากคนตรงหน้า แต่ถึงสังเกตเห็น แม็กเกลก็ไม่คิดสนใจอยู่ดี เขาบดเบียดริมฝีปากเข้ากับกลีบปากนุ่มที่ส่งเสียงประท้วงอู้อี้ในลำคอด้วยความเบิกบาน
     ...เอ็ดเวิร์ด แกเป็นตุ๊กตาของฉัน...ของฉันคนเดียวเท่านั้น


   
     “เฮ้ย! ฮัลโหล...ฮัลโหล เอ็ดเวิร์ด! ปัดโธ่เว้ย!”
     ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทปามือถือลงบนโต๊ะทำงานอย่างมีอารมณ์  ก่อนรับรู้ถึงสายตาแสดงความสงสัยที่ส่งตรงมาจากทั่วทั้งห้อง
     ทเวนยิ้มแห้งๆแล้วรีบนั่งกลับลงไปอย่างเดิม ใจประหวัดไปถึงคำพูดสุดท้ายของเพื่อนสนิทที่ทำให้เขาขนลุกเกรียว ก่อนจะถูกตัดสายทิ้งไปทั้งๆอย่างนั้น
     โอ๊ย! ป่านนี้เอ็ดเวิร์ดมันจะเป็นไงวะเนี่ย
     และแล้วความห่วงเพื่อนสนิทก็มีมากกว่างานตรงหน้า ทเวนคว้าโทรศัพท์ที่เพิ่งโยนทิ้งเดินลิ่วไปยังห้องข้างเคียงเพื่อขอความช่วยเหลือจากตำรวจที่คุ้นเคยกัน
     เขาเคาะประตูเรียกพอเป็นพิธีแล้วยิงคำถามใส่เหล่าชายหนุ่มในห้องทันที
     “นี่...พวกนายพอรู้วิธีที่ทำให้ฟังบทสนทนาย้อนหลังจากโทรศัพท์ได้หรือเปล่า” 
     เครื่องโทรศัพท์บุบบี้ถูกชูให้เห็นกันทั่ว
     “แล้วคุณทเวนมีระบบบันทึกบทสนทนาในเครื่องเปิดใช้อยู่มั้ยละครับ?”
     เสียงใครสักคนย้อนถามเร็วพอกัน
     ทเวน เทมส์นิ่งคิด ก่อนผงกศีรษะรับ
     “ถ้าอย่างนั้นทำแป๊บเดียวก็เสร็จ ขอมือถือหน่อยครับ”
     ชายหนุ่มส่งเครื่องให้ตำรวจนายหนึ่ง แล้วยืนรอผลที่ส่งผ่านมาจากลำโพง
     ‘ฮัลโหล’
     เสียงอัดถูกเล่นซ้ำ ก่อนตำรวจหนุ่มน้อยจะกดปุ่มหยุด แล้วหันมาถามเขา
     “ใช่อันนี้หรือเปล่าครับ” 
     “อันนั้นแหละ เปิดต่อเลย”
     เห็นได้ชัดว่าแทบทุกคนต่างเงี่ยหูฟังด้วยความสนอกสนใจ  แล้วเมื่อเทปเริ่มเล่นอีกหน เสียงฮือฮาด้วยความตกใจก็ดังกระพือไปทั่วห้อง
     ‘ทเวน นี่ฉันเองนะ...เอ็ดเวิร์ด’
     “เฮ้ย ...คุณเอ็ดเวิร์ดว่ะ”
     “หายไปไหนกันนะ เขาควานหาตัวกันให้ควั่ก เกือบแจ้งความคนหายแล้วเชียวเพิ่งติดต่อกลับมาหรือนี่”
     เกิดความโกลาหลย่อยๆขึ้น  กว่าจะเรียกความสงบกลับคืนมาได้ก็เสียเวลาไปพอสมควรเลยทีเดียว ทันทีที่ทุกสิ่งกลับมาสู่ความเงียบ ชายร่างสูงก็สั่งให้กรอเทปแล้วเปิดใหม่อีกรอบ
     ‘ทเวน นี่ฉันเองนะ...เอ็ดเวิร์ด’
     ‘เอ็ด! นั่นนายจริงๆหรือเนี่ย  นายหายไปไหนมา  ฉันติดต่อไปที่บ้านก็ไม่มีคนอยู่โทรตามตัวก็ไม่มีคนรับสาย นี่คิดจะกลับมาทำงานอีกเมื่อไหร่กัน?’
     ‘…’
     ‘ ...เอ็ดเวิร์ด เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไป?’
     ‘...ช่วยด้วย... ’
     ‘เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน มันเกิดอะไรขึ้น เอ็ดเวิร์ด นายจะให้ฉันช่วยอะไร?’
     ‘...ช่วยฉัน...หนีไปจากแม็กเกลที’
     ‘แม็กเกล?...แม็กเกล เดอะ สการ์เฟสคนนั้นน่ะหรือ...’
      ‘...ใช่’
     ทเวนมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของทุกคนอย่างชัดเจนแม้ในยามที่เทปบันทึกจะเล่นจบไปนานแล้ว  ข้อเท็จจริงที่ถูกบอกเล่าผ่านน้ำเสียงสั่นสะท้านของเอ็ดเวิร์ดผู้เย็นชา กับการเอ่ยอ้างนามของบุรุษแห่งอาณาจักรมืดที่ไม่ควรแตะต้องอย่างเดอะ สการ์เฟสทำให้ความเงียบคลี่คลุมและกดทับไปทั่วทั้งห้อง
     เรื่องราวชักเริ่มจะบานปลายขึ้นไปทุกที จากคนหายกลับกลายเป็นถูกลักพาตัว  ซ้ำร้ายยังเป็นฝีมือของกลุ่มอาชญากรที่ตำรวจไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยมากที่สุด
     ทำไมจู่ๆปัญหามันถึงได้พร้อมใจกันหล่นทับลงมาบนบ่าสองข้างของเขาทีเดียวอย่างนี้นะ
     แค่คิด ทเวนก็อยากจะล้มฟาดลงไปเสียตรงนั้น

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



“อา...พอแล้ว...หยุด...”เสียงวิงวอนครางกระเส่าและร่างสูงที่นั่งระทดระทวยยึดเกาะบ่ากว้างเป็นที่พึ่งคือสิ่งที่เขาได้ยินและเห็นจนเป็นปกติเสียแล้ว ทว่ากลับไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเจ้าของร่างอันหอมหวานและสายตาที่แสดงออกถึงความเกลียดชังคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย มันกลับจุดปลุกความต้องการเอาชนะของแม็กเกลได้อย่างไม่รู้จบสิ้น

ชายหนุ่มตวัดปลายลิ้นเลียยอดอกสีสวยพร้อมชำเลืองมองเอ็ดเวิร์ดที่ขมวดคิ้วเหมือนสะกดความกระสันเสียวทรมาน

“ตรงนั้น...ไม่...”   มือเรียวพยายามดันใบหน้าคร้ามออก แต่แม็กเกลเหมือนปลิงเกาะหนึบ ขบดูดเหนียวแน่นราวจะกัดเม็ดเล็กแข็งๆนั่นให้ขาดคาปาก

เอ็ดเวิร์ดร้องครางเบาๆด้วยความเจ็บปวดระคนสุขสม แม้จะวอนขอให้ผู้รุกรานหยุดการกระทำนั้น หากร่างกายกลับเคยคุ้นต่อสัมผัสหยาบกระด้าง และริมฝีปากอุ่นร้อนที่และเล็มสำรวจไปทุกซอกมุมของร่างกาย

“แม็กเกล หยุดนะ ไม่เอาแล้ว”

รู้ดีว่าไร้ผล แต่อัยการหนุ่มยังลองดึงดันเป็นครั้งสุดท้าย เขาพยายามลุกหนีจากตักของคนตัวใหญ่กว่า แต่ถูกแขนแข็งแรงรัดไว้ให้ใบหน้าของพวกเขาจ้องเผชิญกันจนรับรู้ถึงลมหายใจของปีศาจหนุ่ม นัยน์ตาสีมรกตที่จ้องมองมาช่างสงบดุจผืนน้ำนิ่ง

“อย่าหนี อย่าดื้อ”

เรียบ และชัดเจนทุกถ้อยคำ คือประกาศิตของแม็กเกลที่ใช้กับเขาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

“แต่มันเจ็บ”  เอ็ดเวิร์ดอุทธรณ์ ก่อนรับรู้ถึงสัมผัสมือซึ่งเลื่อนต่ำลงไปยังบริเวณที่เขาอ้างถึง...ที่ซึ่งถูกปีศาจครอบงำไปหมดสิ้นแล้ว  อะไรบางอย่างทำให้หัวใจทั้งดวงราวตกอยู่ในหล่มน้ำแข็งเย็นเยียบ เมื่อสานสบสายตากับแม็กเกล

“อย่า...ไม่!”

สายเกินไปเสียแล้ว ชายหน้าบากแทงนิ้วพรวดเข้าไปจนเกือบสุด ความใหญ่โตของเขาและนิ้วที่สอดใส่เพิ่มเข้ามายิ่งทำให้ช่องทางคับแน่นเสมือนจะฉีกทึ้งร่างออกเป็นสองส่วน   ชายหนุ่มกล้ำกลืนเสียงร้องเอาไว้ในลำคอ   น้ำตาเอ่อล้นยามรับฟังถ้อยคำปรามาสจากเขา...แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส

“แกเองก็น่าจะรู้ ว่าฉันไม่ชอบคนที่พูดจาไม่รู้เรื่อง ตุ๊กตาที่ไม่ฟังคำสั่งต้องถูกลงโทษ”

สันจมูกโด่งแนบลงซุกไซ้ซอกคอหอมกรุ่น ริมฝีปากขบเม้มจนขึ้นรอยซ้อนทับกับรอยเก่าเต็มไปหมด แม็กเกลเก็บเกี่ยวความหอมหวานจากร่างขาวตรงหน้าจนเต็มอิ่ม แล้วเริ่มขยับกายช้าๆ

“อา...อา...อ๊า”

ยินเสียงครางแผ่วโหยอ่อนล้าเพราะถูกบังคับให้ร่วมหลับนอนด้วยทั้งวันทั้งคืนดวงหน้าหล่อเหลาที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดทำให้แม็กเกลผ่อนแรงลง จูบไล่ไปตามคางและริมฝีปาก มือโอบประคองเอวคอดเข้าหาจนอกแนบอก แล้วเขาก็ได้เห็นสายตาแสดงความสงสัยจากชายที่เขากำลัง ‘ข่มขืน’

ไม่...นี่มันไม่ใช่การข่มขืนเลยไม่ใช่หรือ...ชายหน้าบากประหลาดใจกับกิริยาเมื่อครู่ของตนนัก เขาผลักร่างอ่อนระทวยลงบนเตียงแล้วตามกระแทกกายซ้ำ

“อ๊า!  แม็กเกล เจ็บ!”    เอ็ดเวิร์ดร้องสุดเสียง มือไม้ป่ายปัดไปตามใบหน้าและลำตัวของผู้รุกรานสุดกำลัง  ภาพเหตุการณ์คราวนี้เหมือนกับเมื่อครั้งแรกที่ปีศาจหนุ่มบังคับให้เขามีอะไรด้วยทุกอย่าง จะขาดก็เพียงแต่เชือกและเทปกาวเท่านั้น

“โอ๊ย...อ้า....อ๊า!”

ความเจ็บปวดระลอกสุดท้ายมาพร้อมกับหยาดน้ำสีขาวขุ่นพวยพุ่งเข้ามาในร่าง ก่อนอาวุธร้ายกาจจะถอนออกไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาสีเทาอ่อนหรี่ปรือลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงโทรศัพท์ของแม็กเกลดังขึ้น ชายร่างสูงเดินไปรับสาย

“ฮัลโหล”

เห็นเขาเงียบไปนาน ก่อนตอบแบบส่งๆ

“เออๆ เดี๋ยวไปเอา รู้แล้วน่า ก็มันลืม...”

ตลอดเวลานั้น เอ็ดเวิร์ดนอนหลับตา ฟังครึ่งไม่ฟังครึ่ง  จับใจความไม่ได้มากนัก แต่แล้วประโยคหนึ่งกลับสะดุดหูเข้าอย่างจัง

“ถามถึงทำไม? ก็อยู่ นอนอยู่ตรงนั้น”

เปลือกตาปิดสนิทลืมขึ้นทันใด  ทันเห็นชายร่างเปลือยเปล่ากำลังยืนเท้าเอวคุยโทรศัพท์ พร้อมทั้งหันมามองเขาคล้ายขัดใจอะไรบางอย่าง  แว่วเสียงแว้ดมาจากปลายสาย ตามมาด้วยสีหน้าบึ้งสนิทของคนฟัง

เห็นเขาพยายามเถียงใครคนนั้นอยู่หลายประโยค แต่สุดท้ายก็จบลงตรงที่ชายทั้งสองต่างได้ยินเสียงแหลมปรี๊ดตะโกนลั่นออกมานอกโทรศัพท์   พร้อมกับความดึงดันที่จะเอาชนะของแม็กเกลแห้งเหือดไปจนหมดจากจิตใจ  เขาพยักหน้าช้าๆอย่างจำยอมทั้งที่รู้ว่าคู่สนทนาไม่มีทางเห็น

“ก็ได้ เดี๋ยวพาไป แค่นี้นะ”   พร้อมกดสายทิ้งอย่างหัวเสีย

แม็กเกลสะบัดหน้ากลับมานอนเอกเขนกเคียงข้าง สายตาจับจ้องใบหน้าคมสันซีดเผือดเขม็ง บอกเสียงห้วนว่า

“เตรียมตัวให้ดีล่ะ! เดี๋ยวคืนนี้จะพาไปเที่ยว”

...ไม่รู้ทำไม เอ็ดเวิร์ดถึงรู้สึกไม่อยากไปเลยสักนิดเดียว

แล้วก่อนที่ชายหนุ่มจะได้พักผ่อนดังที่หวังไว้ในคราวแรก เขาก็ถูกผู้ชายที่ยามนี้กลายเป็นเด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่งงัดขึ้นจากเตียง บังคับให้ใส่เสื้อและกางเกงตัวหลวมแก้ขัดก่อนพาออกไปซื้อชุดใหม่  แม้จะไม่เต็มใจเพียงใด เอ็ดเวิร์ดก็ต้องรับชุดนั้นมาอย่างไม่มีทางเลือก เขาใส่เสื้อกลัดกระดุมจนครบทุกเม็ด และกำลังจะเอื้อมมือไปหยิบกางเกงชั้นในมาสวม  แม็กเกลมือไว จัดการฉกเครื่องแต่งกายที่เหลือมาไว้กับตัวเสร็จสรรพ นัยน์ตาสีเขียวปราดมองท่อนขาขาวที่โผล่พ้นชายเสื้อออกมา   แล้วเริ่มไล่ไปตามทุกสัดส่วนดุจจะกลืนกินเอ็ดเวิร์ดไปทั้งตัว

“แกนี่เซ็กซี่จริงๆ เอ็ดเวิร์ด รู้ไหม...ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้ฉันเกิดอารมณ์ได้เพราะใส่เสื้อตัวเดียวแล้วมานั่งคุกเข่าบนเตียงเหมือนจะรอท่าอย่างนี้หรอกนะ”

ร่างสูงใหญ่เคลื่อนเข้าหา  พร้อมๆกับขว้างกางเกงทิ้งไปด้านหลัง...เหมือนบอกเป็นนัยว่า...หากต้องการ ก็ต้องผ่านเขาไปก่อน

เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้าให้กับการกระทำนั้นอย่างอ่อนแรง

“ฉันเหนื่อยแล้ว  ได้โปรดเถอะ”

ชายหนุ่มหมายความตามที่บอกจริงๆ การไม่ดิ้นรนแม้จะถูกกดร่างให้นอนหงายลงบนฟูกนุ่ม หรือไม่ขัดขืนริมฝีปากร้อนที่ลากเลียไปตามลำคอขาวไม่ได้หมายความว่ายินยอมรับทุกสิ่งแต่โดยดี   แต่เป็นเพราะไม่เหลือแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นผลักไสแผ่นอกล่ำสันที่ทาบชิดลงมาต่างหาก

“แกน่าจะรู้ ว่าคำอ้อนวอนของแกมันไร้ค่าสำหรับฉัน”

...เสียงหัวเราะของปีศาจคือสิ่งสุดท้ายที่เอ็ดเวิร์ดได้ยิน ก่อนเขาจะถูกครอบงำด้วยความเจ็บปวดที่แสนชัง





ณ ย่านถนนชื่อดังใจกลางเมืองแห่งหนึ่ง

ร้านค้าแบรนด์เนมเรียงรายตั้งแต่หัวถนนไปจนสุดปลายถนน  ผู้คนแต่งกายสวยงามเดินกันขวักไขว่  มีตำรวจคอยเดินตรวจตราอย่างใกล้ชิด

แสงสะท้อนจากตัวรถที่ตีวงเลี้ยวเข้ามาเรียกทุกสายตาให้หันมองกันเป็นตาเดียว  รถเก๋งสีดำติดฟิล์มดำเลียบจอดริมทางฝั่งหนึ่ง ก่อนคนขับจะลงมาเปิดประตูให้ผู้ที่ก้าวลงมาจากเบาะหลังด้วยความนอบน้อม  เขาเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่สวมสูทสีเงินเข้ม ใบหน้าคมคร้ามสมชายชาตรีถูกบดบังไว้ด้วยแว่นกันแดดราคาแพง   ริมฝีปากหยักสวยพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นสายขณะหันมองสำรวจไปโดยรอบ ทีท่าเช่นนั้นก่อให้เกิดความเงียบขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ

ทั้งที่อากาศเย็นจัด ทว่านับตั้งแต่เขาปรากฏกายบนถนนสายนี้ บรรยากาศรอบตัวก็กลับกลายเป็นร้อนระอุขึ้นมาทันใด ยิ่งเมื่อมีผู้ติดตามอีกสองคนก้าวมาหยัดยืนอยู่เบื้องหลังด้วยความซื่อสัตย์ภักดี  บรรยากาศก็ผิดแผกแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด  ความรื่นเริงที่เคยมีมาจนถึงเมื่อครู่มลายหายไปจนสิ้น เหลือทิ้งไว้แต่ตะกอนความสงสัยและครั่นคร้ามในตัวชายผู้นั้น  ทั้งยังสอดแทรกไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ในทีว่าบุรุษที่เต็มไปด้วยรัศมีแห่งอำนาจเช่นเขามาทำอะไรที่นี่

คำตอบสำหรับคำถามนั้นมาพร้อมกับร่างที่ก้าวลงมาเป็นคนสุดท้าย

เขามาพร้อมบรรยากาศแห่งความเหงาเศร้าที่ไม่มีใครเข้าใจ  ชุดแต่งกายบนร่างมีเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสแล็คสีดำ ธรรมดาเรียบง่ายจนเหมือนจะถูกกลืนหายไปอย่างง่ายดายท่ามกลางฝูงชน ทว่าด้วยเครื่องหน้าสมบูรณ์แบบ ทั้งเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเป็นประกาย นัยน์ตาสีเทาอ่อนสวยเศร้า และจมูกโด่งได้รูปรับกับริมฝีปากเรียวสวย นับเป็นการรวมตัวที่พอเหมาะพอเจาะจนเรียกได้ว่าเป็นความงามอย่างชายอันไร้ที่ติ กลับเป็นจุดเด่นมากพอที่จะทำให้เขาโดดเด่นเหนือใคร

“มาทางนี้”

ชายคนแรกเรียกเสียงห้วน เปิดโค้ทออกแล้วรวบร่างบางกว่าเข้าไปอยู่ใต้เนื้อผ้าอุ่นหนาด้วยกัน  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทั้งห่วงทั้งหวงขนาดไหน...

แม็กเกลถอนใจแรงอย่างไม่สบอารมณ์ยามรับรู้ถึงสายตาที่จดจ้องเอ็ดเวิร์ดราวเห็นตัวประหลาด

...แล้วคนที่ถูกมองเล่า จะรู้ตัวบ้างไหม

ดวงตาสีมรกตเลื่อนต่ำลงมามองร่างที่ยืนสโลเสลอยู่ในอ้อมอกของตน ก่อนพาเดินเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าเมื่อเห็นว่าปลายจมูกอีกฝ่ายเริ่มแดงเพราะความโหดร้ายของอากาศ

เสียงกระดิ่งหน้าประตูดังขึ้นเมื่อชายทั้งคู่ก้าวเข้ามา  และโดยไม่รอให้พนักงานเข้ามาถาม ชายที่ตัวสูงกว่าก็รุนหลังคนในอ้อมแขนออกมา บอกความต้องการชัดเจน

“เอาชุดที่ดูดีที่สุด”

“ค่ะ ไม่ทราบจะรับวันไหนคะ?”   พนักงานสาวถามอย่างคล่องแคล่ว

“วันนี้”   คำตอบสั้นราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วง

หญิงสาวหันมองเอ็ดเวิร์ดอย่างคิดคำนวณ ก่อนถามอีกครั้ง

“เอาแบบเป็นทางการหรือเปล่าคะ?”

แม็กเกลส่ายหน้า ไม่ปรารถนาจะต่อความยาวออกไปอีก เขามองส่งชายหนุ่มที่ถูกกลุ่มพนักงานในร้านพาไปวัดตัว แล้วเดินไปนั่งยังเก้าอี้นวมที่จัดตั้งไว้สำหรับลูกค้าโดยเฉพาะ  ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเอ็ดเวิร์ดแต่งตัวเสร็จแล้วจะเป็นอย่างไร ลำพังแค่หน้าตาของชายหนุ่มก็ดึงดูดสายตามากขนาดนั้น

ความคิดของแม็กเกลหยุดลงตอนที่ได้ยินเสียงประตูเปิดอีกครั้ง  เอ็ดเวิร์ดกลับออกมา ประจวบกับมีลูกค้าสาวกลุ่มใหม่เข้ามาในร้านพอดี  สายตาของผู้หญิงกลุ่มนั้นเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าความหนักใจของเขาเป็นจริงขึ้นมาแล้ว

ไม่มองเปล่า ตอนเดินสวนกับเอ็ดเวิร์ด พวกหล่อนยังหัวเราะคิกคักพร้อมแอบชี้ชวนกันดูชายหนุ่มในชุดสูทสไตล์แฟชั่นกันเป็นที่สนุกสนาน

นัยน์ตาสีมรกตทอดมองร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้า กางเกงสแล็คสีน้ำตาลเข้มเข้ากับเสื้อนอกสีเดียวกัน  และเพราะไม่ได้ติดกระดุม  จึงเห็นว่าเสื้อตัวในเป็นสีเนื้ออ่อน  เอ็ดเวิร์ดดูราวกับนายแบบหล่อเหลาในนิตยสารไม่มีผิด

“ปกติสีนี้เล่นยากมากเลยนะคะ  เพราะหาคนที่ใส่แล้วเหมาะไม่ได้จริงๆสักที   แต่คุณชายคนนี้ใส่แล้วเรียกว่าไม่มีที่ติเลยจริงๆค่ะ แถมยังรับกับสีผมของเขาด้วย”

เสียงโฆษณาสินค้าจากพนักงานหญิงคนเดิมทำให้แม็กเกลจำต้องละสายตาจากเอ็ดเวิร์ด และหันไปจ่ายเงิน ซึ่งนับว่าราคาแพงกว่าสูทที่เขาใส่อยู่ตอนนี้เสียอีก  แต่ชายหน้าบากก็ไม่ได้ว่าอะไร  จะขุ่นข้องหมองใจก็แค่กลุ่มผู้หญิงในร้านที่ทำเป็นส่งสายตาให้ท่าตุ๊กตาตัวโปรดของเขาเท่านั้นละ
.
.
(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2017 17:12:14 โดย narikasaii »

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)

“แม็กเกล!”

สตรีในชุดราตรีสีแดงสดโบกมือต้อนรับแขกคนพิเศษอยู่หน้าบาร์สุดหรู พลางวิ่งเข้ามาหาด้วยความตื่นเต้น

“เดี๋ยวก็ล้มหรอก ค่อยๆเดินก็ได้”   แม็กเกลขัดด้วยความหมั่นไส้นิดๆ ก่อนเบี่ยงตัวหลบให้หล่อนยืนประจันหน้ากับเอ็ดเวิร์ด

“ไอรีน นี่คือเอ็ดเวิร์ด โรจส์ฟอล...เอ็ดเวิร์ด ยัยผู้หญิงรู้มากนี่ชื่อไอรีน”

เขาทำหน้าที่แนะนำคนทั้งสองอย่างง่ายๆ   เอ็ดเวิร์ดผงกศีรษะรับตามมารยาท ขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลของหญิงสาวเบิกกว้าง  ไอรีนหันไปส่งยิ้มให้แม็กเกลอย่างรู้ทัน

แววตาของหล่อนทำให้ชายร่างสูงรีบเปลี่ยนเรื่องทันควัน

“เข้าไปกันได้แล้ว ตรงนี้หนาว”

ไอรีนอาสาพาคนทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน ซึ่งแน่นอนว่าเลี่ยงไม่ได้ที่จะตกเป็นเป้าสายตาของแขกเหรื่อในร้านที่มาเที่ยวตั้งแต่หัวค่ำ

“นี่ แม็กเกล ทำไมมาช้านักล่ะคะ”

เสียงหวานถามโดยไม่หันกลับมามอง

“ไปหาซื้อของอยู่น่ะ”

แม็กเกลชำเลืองมองของปลอกคอหนังห้อยจี้เพชรที่ประดับอยู่บนลำคอขาวของเอ็ดเวิร์ดโดยอัตโนมัติ ไม่กล้าบอกความจริงว่า เสียเวลาไปกับการนั่งรอปลอกคอแสนพิเศษเส้นนี้นี่แหละ

“พวกเรานั่งตรงนี้ละกัน วันนี้ฉันขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง”

ไอรีนกวักมือเรียกสาวเสิร์ฟมาสั่งออเดอร์ ก่อนชวนเอ็ดเวิร์ดคุย

“เคยลองหรือยังคะ เอ็นข้อไก่ทอดคั่วพริก”

“...ยังครับ”

“อ้อ...งั้นก็ดีเลยค่ะ นี่นะเป็นแกล้มชั้นดีทีเดียว แถมทำไม่ยากด้วย พวกวงเหล้าแถวบ้านฉัน...หมายถึงประเทศของฉันน่ะค่ะ ชอบของประเภทนี้กัน ขนาดแม็กเกลลองยังติดใจเลยนะคะ”  หล่อนหัวเราะเสียงใส หันไปมองเพื่อนชายที่นั่งหน้าตึงอยู่ข้างๆ

แม็กเกลยังเงียบ ไม่ยอมพูดจา

“เอ่อ....ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”

บรรยากาศที่เริ่มเลวร้ายลงทุกขณะทำให้เอ็ดเวิร์ดหนีออกมาตั้งหลัก

เขาหันกลับไปดูสาวสวยที่ยิ้มหวานละลายหัวใจ...ไม่รู้ว่าหล่อนจะรู้ถึงสัญญาณอันตรายบางอย่างที่แผ่พุ่งมาจากสายตาแม็กเกลหรือเปล่า

แต่ที่แน่ๆ...เขาคนหนึ่งละ ที่ไม่คิดอยู่ลองของ

คล้อยหลังชายหนุ่มรูปงาม หญิงสาวที่ตีหน้ายิ้มมาตลอดก็หันไปฟาดเผียะเข้า  ที่ต้นแขนคนข้างตัวทันที

“อะไรของคุณคะเนี่ย อารมณ์เสียเรื่องอะไรกันฮึ!”

ชายหน้าบากขมวดคิ้ว ไม่ยอมตอบ

เห็นดังนั้น ไอรีนจึงลองสุ่มเดาเองเท่าที่นึกออก

“เห็นคนอื่นมองเอ็ดเวิร์ดแล้วไม่พอใจหรือคะ?”

คำถามนั้นคงพอดีฟาดตรงจุด เพราะทันทีที่สิ้นเสียงถาม คู่สนทนาก็หันขวับมามองอย่างขุ่นเคือง ปะปนไปกับปรามทางสายตาให้หยุดพูดไอรีนเห็นดังนั้นจึงนิ่ง  ความฉับไวในเรื่องต่างๆเคยทำประโยชน์ให้หล่อน แต่ดูเหมือนคราวนี้สถานการณ์จะพลิกกลับ กลายเป็นสร้างโทษไปโดยไม่เจตนา  ความที่คนทั้งคู่พากันปิดปากสนิท เสียงจากโต๊ะข้างหลังจึงดังชัดเจน

“คุณทเวนจะรับคดีต่อไปเมื่อไหร่หรือครับ?”

‘คดี’ ที่แว่วมาเข้าหูทำให้หนุ่มสาวลืมเรื่องเบื้องหน้า แล้วเทความสนใจไปยังบทสนทนาเบื้องหลังราวนัดกันไว้

เห็นชายหนุ่มหน้าตาดีจัดยกแก้วน้ำสีอำพันขึ้นจิบ ตาเหม่อมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย สุ้มเสียงตอบเหนื่อยล้า

“ยังไม่รู้เลย ตอนนี้...มีเรื่องอื่นต้องทำอยู่พอดี”

แม้อยู่ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนฝูง แต่ความสง่าน่ามองในตัวเขาก็ยังเปล่งประกายมากกว่าความโดดเด่น  แม็กเกลมองชายหนุ่มคนนี้แล้วรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก  แต่ก็ยังไม่ทันได้ใช้ความคิด  ก็หันไปเห็นเอ็ดเวิร์ดเดินมาพอดี คนบนโต๊ะนั้นคล้ายจะรับรู้ถึงการมาของอัยการหนุ่มเช่นกัน จึงพากันหันไปมองก่อนชายนามทเวนจะตะโกนลั่น

“เอ็ดเวิร์ด!”

คนถูกเรียกชะงักเท้า หันไปมองคนเรียกตื่นๆ แล้วนิ่งเงียบ ไม่ตอบคำใด

“เอ็ด...นาย...นายมาที่นี่ได้ยังไง?”

“ขอโทษ คุณคงจำคนผิดแล้วล่ะ”  เอ็ดเวิร์ดตัดบทเสียงขรึม ก่อนเดินกลับมานั่งเก้าอี้ท่ามกลางสายตาระแวงของแม็กเกล

โต๊ะที่ไอรีนเลือกให้นั้นมีความเป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก เพราะกระถางต้นไม้วางกั้นแยกจากโต๊ะอื่นๆ  หากไม่สังเกตก็จะไม่มีทางมองเห็นเลย ดังนั้นจึงไม่นับว่าแปลกอะไรหากทเวนจะเพิ่งสังเกตเห็นชายหญิงที่นั่งหลบอยู่ในเงามืด

แม็กเกลตบเบาะเรียกให้เอ็ดเวิร์ดมานั่งข้างตน และใช้มือโอบเอวผู้อ่อนวัยกว่าไว้ ประกาศความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชัดเจน

“นั่นใคร?”

“ไม่รู้...คงจำคนผิด”

“....แน่นะ?”

ดวงตาคมทอประกายกล้าคือคำตอบ...มาเฟียหนุ่มหัวเราะแผ่วลึกอย่างพึงพอใจ แล้วกลับไปให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าแทน

“นี่อะไรของเธอน่ะไอรีน เล่นเอาของรสจัดมาอย่างนี้ อยากให้พวกฉันกระเพาะทะลุตายหรือไงกัน”   เสียงทุ้มว่าอ่อนอกอ่อนใจนัก

“เปล่านะคะ ฉันก็แค่อยากให้เอ็ดเวิร์ดลองทานอาหารขึ้นชื่อของที่นี่เท่านั้นเอง”

ไอรีนขยิบตาให้เอ็ดเวิร์ด พลางคะยั้นคะยอให้เขาลองตักชิม

ในเมื่อหมดทางเลี่ยง ชายหนุ่มจึงเลือกจานหมูชั้นทอดกรอบ คลุกเคล้ากับหอมใหญ่และพริกสีแดงสด ซึ่งดูปลอดภัยที่สุด เป็นจานแรก

เมื่อตกลงใจได้แล้ว  จึงส่งอาหารชิ้นนั้นเข้าปาก

ความกรุบกรอบแปลกลิ้นและรสจัดจ้านลงตัวทำให้พยักหน้าทันทีเมื่อไอรีนถาม

“อร่อยไหมคะ...ว้าว! ยำหมูกรอบผ่านไปหนึ่งแล้ว”

หล่อนรินเหล้าให้อย่างเอาอกเอาใจ บรรยากาศที่ดูอึดอัดในตอนแรกจึงคลายลงทีละน้อย เอ็ดเวิร์ดลองชิมอาหารจนครบหมดทุกจาน  ก่อนพบว่าอาหารแต่ละชนิดต่างมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง มิน่าล่ะ...แม็กเกลถึงติดใจผับของไอรีนนักหนาแล้ว

กระทั่งอาหารในจานถูกตักพร่องไปจนหมด จู่ๆหญิงสาวเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งก็หันมาทางเพื่อนสนิทยิ้มๆ

“แม็กเกล ฉันมีของอยากให้คุณช่วยตรวจสอบให้นิดนึง...ได้ไหมคะ” เพียงสบตา คนที่มีธุระกับหล่อนก็พยักหน้า

“เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ...อยู่นิ่งๆ อย่าทำตัววุ่นวาย เข้าใจหรือเปล่า” ประโยคหลังหันมาสั่งชายหนุ่ม ก่อนเขาและไอรีนจะลุกจากโต๊ะไปพร้อมกัน

เมื่อถูกทิ้งอยู่เพียงลำพัง  เอ็ดเวิร์ดเหลียวกลับไปยังที่นั่งว่างเปล่าของทเวนและพรรคพวกอย่างเงียบเหงา

หลังจากเห็นแม็กเกลเข้าไปเต็มตา ตำรวจที่มาด้วยกันคงจัดการลากอัยการหนุ่มอารมณ์ร้อนออกไปก่อนที่เขาจะก่อเรื่อง...เหมือนที่คาดไว้ไม่มีผิด   แต่ความหนักหน่วงร้าวรานเหมือนถูกทอดทิ้งยังไม่ยอมหายไปง่ายๆ มือเรียวยกแก้วสีสวยขึ้นจ้องมองอย่างครุ่นคิด



ของที่ไอรีนต้องการให้แม็กเกลช่วยตรวจสอบก็คือ  ข้อมูลส่วนตัวของเอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอลที่หล่อนหามาได้เท่าที่ความกว้างขวางของหล่อนจะทอดยาวไปถึง  ซองสีน้ำตาลถูกส่งใส่มือของมาเฟียหนุ่มที่ยื่นส่งต่อให้ลูกน้องคนสนิทอีกที  แต่ก่อนที่สตีฟจะได้หันหลังเดินกลับออกไปรอที่รถ บอดี้การ์ดร่างใหญ่ก็ถูกเรียกตัวไว้  แม็กเกลส่งโทรศัพท์มือถือให้

“ตรวจสอบมาให้หมด ว่ามีการโทรออกแล้วลบเบอร์ทิ้งบ้างหรือเปล่า”

“ครับ บอส”

แม้จะสงสัยเพียงใด หากเขาเชื่อว่าเจ้านายต้องมีเหตุผลบางอย่าง จึงไม่ถามไถ่ให้มากความ เพียงแค่รับงานไปทำอย่างซื่อสัตย์เท่านั้น แต่ไอรีนเลือกที่จะถาม ด้วยถือเอาความสนิทเป็นที่ตั้ง

“นี่ แม็กเกล ทำไมถึงต้องเอามือถือไปตรวจด้วยล่ะคะ”

“เธอได้ยินหรือเปล่าล่ะ  คำพูดที่ผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นพูดกับเอ็ดเวิร์ด...ถึงแม้จะเป็นการทักคนผิด แต่หากเป็นการทักทายระหว่างเพื่อนฝูง ก็น่าจะใช้คำว่า ‘นายก็มาด้วยหรือ’ มากกว่าที่จะใช้คำว่า ‘มาที่นี่ได้ยังไง’ มากกว่า มันเหมือนคนถามรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนคนนั้นอยู่ในสถานะที่ไม่อาจออกไปไหนมาไหนโดยอิสระได้”

“นั่นก็เข้าใจนะคะ แต่ฉันงงว่าทำไมคุณต้องเช็คโทรศัพท์ด้วยล่ะ...หรือว่า...”

“อืม...ตอนที่อยู่กับฉัน เอ็ดเวิร์ดไม่สามารถติดต่อใครได้ทั้งนั้น คนที่เข้าถึงตัวเจ้านั่นมีแค่ฉันคนเดียว เพราะฉะนั้นก็อาจมีตอนไหนที่ฉันถูกดัดหลังแล้วไม่รู้ตัวก็ได้”

ความจริง แม็กเกลหงุดหงิดแทบบ้า  แต่เพราะไม่อยากให้เพื่อนสาวต้องมารับรู้หรือรองรับอารมณ์ของตน จึงข่มใจเอาไว้

“กลับไปที่โต๊ะเถอะ เดี๋ยวนานไปแล้วเอ็ดเวิร์ดจะสงสัยเอา”

เขาชวนหล่อนแล้วพากันเดินกลับออกมาบริเวณหน้าร้าน

ท้ายที่สุด ปัญหาก็เกิดขึ้นจนได้  แต่สิ่งหนึ่งที่เกินคาดก็คือคู่กรณีของเอ็ดเวิร์ดคราวนี้เป็นเพียงเด็กหนุ่มร่างบางหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเท่านั้น

“นี่...คุณคะ ตรงนั้นเป็นส่วน...”

“ชู่ว์ เดี๋ยวก่อน”

แม็กเกลกางมือกั้นเพื่อนสาวที่กำลังจะออกไปห้าม เพราะอยากรู้ว่าอัยการหนุ่มจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร โดยเขาและไอรีนจะคอยยืนมองอยู่ห่างๆ

“พี่ชาย หล่อจริงๆเลยนะ บอกหน่อยสิ ทำยังไงถึงตกเบ็ดคุณแม็กเกลติดล่ะ”

“...”   เอ็ดเวิร์ดไม่สนเสียงหวานที่หัวร่อต่อกระซิกอย่างมีจริต ไม่แม้แต่จะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

“นี่...พี่ชาย คิดจะเมินผมอย่างนี้เหรอ หรือว่า...พี่ชายเป็นพวกขายตัว”

เล่นแบบนี้เลยเชียว...แม็กเกลที่ยืนฟังเลิกคิ้วสูง รู้สึกสนใจความกล้านั่นเพิ่มขึ้นกว่าเก่าเล็กน้อย แต่เขาสนใจมากกว่าว่าเอ็ดเวิร์ดจะตั้งรับและตอบโต้แบบไหน

อย่างผิดคาด  ชายหนุ่มวางอาวุธ...วางแก้วน้ำสีอำพันในมือลง ไม่ได้ยกสาดใส่ใครอย่างที่ใครๆคิด ความสงบดังผืนทะเลนิ่งส่งให้ดวงตากลมโตจ้องมองเขาด้วยความแปลกใจ

“ว้าว! สุดๆเลยแฮะ พี่ชายคนนี้ ถูกว่าขนาดนี้ยังไม่รู้สึกอะไรเลยหรือเนี่ย”

“หึ...รู้สึกงั้นหรือ...”  เอ็ดเวิร์ดขยับยิ้ม เขาเอนกายพิงเบาะนุ่มด้านหลัง แย้งเบาๆแต่ได้ยินกันทั่วว่า

 “ใครกันแน่ที่ไม่รู้สึก  อย่างน้อยผมก็รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนระดับไหน ไม่จำเป็นต้องให้‘คนชั้นต่ำ’อย่างคุณมาบอกหรอก”

ชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างกอดอกหลังตรงเป็นสง่า ตาชำเลืองมองเสื้อผ้าน้อยชิ้นของอีกฝ่ายด้วยความสมเพชอย่างไม่ปิดบัง

ถึงขั้นนี้  เด็กหนุ่มหน้าหวานพลันระเบิดคำผรุสวาทออกมาลั่น พร้อมง้างมือขึ้น  หากเอ็ดเวิร์ดหลบวูบราวนกรู้ ทำให้ฝ่ามือพลาดไปโดนกระถางล้มครืนลงมาแทน

ทุกคนในร้านหันมามองความเคลื่อนไหวนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ   แล้วพากันนิ่งอึ้ง  เมื่อเห็นชายรูปงามคมสันถูกเด็กหนุ่มนับสิบยืนล้อมอยู่กลางร้าน แต่ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่โต เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“พวกแกมีธุระอะไรกับคนของฉัน”

ร่างสูงใหญ่เดินออกมาสู่แสงไฟ ดวงตาทอประกายจ้าราวสัตว์ป่า เบื้องหลังคือไอรีน...หญิงสาวผู้มีอิทธิพลในโลกมืดไม่เป็นรองใคร ซึ่งตอนนี้กำลังกรีดร้องด้วยความขัดใจเมื่อเห็นกระถางราคาแพงแตกเปรื่องอยู่บนพื้น

“ต๊าย  ร้านฉัน พังหมด เห็นไหมล่ะแม็กเกล บอกให้รีบออกมาก็ไม่เชื่อ”

เพียงเห็นชายหนุ่มหญิงสาวชัดเจน แก้วตาของกลุ่มวัยรุ่นก็เริ่มหดวูบ คล้ายเพิ่งสำเหนียกได้ว่าตนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร แต่เด็กหนุ่มหน้าสวยที่ถูกเอ็ดเวิร์ดหยามเหยียดไว้แต่ทีแรกนั้น รับไม่ได้กับความพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่ม

ดังนั้นคำพูดต่อมาจึงระเบิดใส่เป้าหมายใหม่ไม่มียั้ง

“คุณคิดว่าตัวเองแน่อยู่คนเดียวหรือไง แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส  ทั้งๆที่ตัวเองก็เคยถูกจับเข้าคุกมาแล้วแท้ๆ!”

สิ้นประโยค กระแสความกราดเกรี้ยวพลันแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของร้าน

แต่แม็กเกลราวกับไม่ได้ยินเสียงที่แผดออกมา มุมปากจึงมีรอยยิ้มนิดๆ  ซึ่งมีแต่คนสนิทเท่านั้นที่มองออกว่า เขากำลังหาทางเอาคืนให้เจ็บแสบที่สุด รอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่มีความหมาย แท้จริงแฝงไว้ด้วยความร้ายกาจสุดบรรยาย

“แสนรู้”   มาเฟียหนุ่มเอ่ยเหมือนจะชื่นชม  แต่หางเสียงกลับเยาะ

“ฟังจากคำพูดแล้ว...ดูเหมือนแกต้องการจะสื่อว่ากฎหมายอยู่เหนือทุกอย่างอย่างนั้นสินะ...ถ้าพูดถึงกฎหมาย ก็ต้องนึกถึงเขาคนนั้น”

และ ‘เขา’ ที่ว่า ตอนนี้อยู่ในวงแขนคนพูดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ดวงตาสีมรกตเริงโรจน์ เจิดจ้า กวาดมองทุกใบหน้าอย่างรื่นรมย์

ถึงตอนนี้ ไฟโทสะของชายหน้าบากเริ่มเย็นลง   แต่เพราะความเจ้าคิดเจ้าแค้น เลยไม่ยอมจบความง่ายๆ

“ใครๆก็รู้ว่าบุคคลในแวดวงกฎหมายที่ไม่สมควรไปยุ่มย่ามด้วยมากที่สุดก็คืออัยการ โดยเฉพาะอัยการหนุ่มที่ชื่อเอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอล...”  แม็กเกลเปลี่ยนเสียงเป็นจริงจังขึ้น แต่ดวงตากลับทอระยับเหมือนกำลังหัวเราะกึกก้องอยู่ในใจ มือซึ่งโอบเอวใครบางคนไว้รวบแน่นเข้าโดยอัตโนมัติ ตอนบอก  “...คนที่ยืนอยู่หน้าพวกแกไงล่ะ”

เพียงเท่านั้น กลุ่มวัยรุ่นถึงกับอ้าปากค้าง ตาเบิกโพลง

บทสรุปพลิกผันในเสี้ยววินาที  ผู้ล่า...กลับกลายเป็นเหยื่อเสียเอง!

ความปิติในชัยชนะเล็ดลอดออกจากสีหน้าจนกลายเป็นยิ้มหยัน มาเฟียหนุ่มพูดลอยๆกับคนในอ้อมกอดสุ้มเสียงสะใจ

“แกเป็น...ของฉัน”

ดวงหน้าคร้ามคมโน้มลงหมายจะจุมพิตริมฝีปากเรียวบาง  แต่กลับรู้สึกชาร้าวบนหน้าไปซีกหนึ่ง ชายร่างสูงยืนอึ้งไปเป็นครู่ กว่าจะสำนึกได้ว่าถูกเชลยศักดิ์ตบหน้า และคราวนี้คือต่อหน้าสาธารณชน!

ผู้ร่วมเหตุการณ์ต่างนั่งอ้าปากค้างด้วยไม่เคยเห็นใครใจกล้าเหมือนชายผู้นี้มาก่อน ขณะที่อีกหลายคนรีบเบือนหน้าหนี  เพราะทนมองจุดจบของอัยการหนุ่มไม่ไหว

“เอ็ดเวิร์ด!”   ชายหน้าบากตวาดลั่น มือโอบเอวคอดแน่น ก่อนฉกริมฝีปากลงไปจูบอย่างดุเดือดเป็นการลงทัณฑ์

เอ็ดเวิร์ดส่งเสียงอู้อี้ประท้วงในลำคอ ทุบตีหลังไหล่เขาอย่างโกรธแค้น  แต่ยิ่งทำก็ยิ่งกระตุ้นให้อีกฝ่ายมีอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น

ลิ้นอุ่นร้อนกวาดเข้ามาในโพรงปาก แล้วควานหาลิ้นของชายหนุ่มอย่างบ้าคลั่งตวัดพันนัวเนียไม่ยอมห่าง พอสบโอกาสก็ใช้ปากดูดลิ้นของเอ็ดเวิร์ดออกมาจนถึงระยะที่ถนัด...แล้วกัด!

“โอ๊ย!”

เจ็บนะโว้ย!

“โอ๊ะ!”

เสียงของแม็กเกลดังขึ้นบ้างเมื่อถูกเล่นงานในทำนองเดียวกัน  ชายร่างสูงกลืนเลือดในปากลงลำคอไปจนหมด ความเจ็บร้าวที่ริมฝีปากล่างทำให้อารมณ์คุกรุ่นอัดอั้นอยู่เป็นทุนเดิมไหลหลากทะลักทลายออกมาราวเขื่อนทำนบแตก

“ฮึ่ม...”   เขาผลักร่างเพรียวสมส่วนลงบนเบาะหนัง ก่อนนอนทับตามลงไป

เพียงจ้องตากัน ชายทั้งสองก็ล่วงรู้ในทันทีเลยว่า สงครามใหญ่อุบัติ!

ผู้อ่อนวัยกว่าเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีด้วยการกัดลำคอที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่แม็กเกลสะบัดจนหลุด แล้วเอาคืนที่เดียวกัน

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน!

คราวนี้ อัยการหนุ่มใช้มือช่วย เขากระชากผมอีกฝ่ายสุดแรง  เล่นเอาหน้าคมดุผงะหงายไปด้านหลัง  แม็กเกลแก้เกมส์ด้วยการกดข้อมือเรียวขาวลงบนเบาะ บีบเค้นแน่นจนคนที่นอนอยู่ข้างล่างหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ  ก่อนมาเฟียหนุ่มจะใช้ปากปลดกระดุม  แล้วไซ้จมูกผ่านสาบเสื้อเข้าไปกัดยอดอกสีสวยเต็มแรง

“อ๊า...”

ร่างกายที่แอ่นสะดุ้งตอบรับสัมผัสทำให้ความโกรธของเดอะ สการ์เฟสบางเบาลง เขาผงกศีรษะขึ้นเพื่อมองเอ็ดเวิร์ด แต่กลับถูกฟันคมๆของคนข้างล่างงับเข้าที่ใบหู

“เอ็ดเวิร์ด! หยุดเดี๋ยวนี้”  รับรู้ถึงลมหายใจถี่กระชั้น ซึ่งมาพร้อมกับเสียงครางแผ่วต่ำราวสัตว์บาดเจ็บ

“ไอ้...”   เอ็ดเวิร์ดตอบเสียงอู้อี้

“ไม่?”

แม็กเกลงงงันวูบ ยังไม่ทันได้ตีความคำพูดนั้นให้กระจ่าง คู่กรณีก็ยอมปล่อยเขาให้เป็นอิสระ  พร้อมเสียงประท้วงขาดห้วงจากริมฝีปากแดงช้ำ  ดวงตาหรี่ปรือฉายแววร้าวรานตรึงใจ

“เลวระยำ...ที่สุด...ไอ้...แม็กเกล...บ้า...”   เสียงค่อยๆแผ่วหายไปในที่สุด

ดวงตาสีมรกตทอดมองใบหน้าคมสันยามหลับสนิทอย่างมึนงง ก่อนแลปราดไปยังเพื่อนสาวที่ทรุดกายลงบนเก้าอี้ตัวใกล้ๆ  ไอรีนส่งแก้วไวน์แดงเย็นฉ่ำให้เขาโดยไม่ถามอะไรเลย

“พวกมันไปไหนหมดแล้ว”   ชายร่างสูงขยับตัวลุกนั่ง และเป็นฝ่ายทำลายความอึดอัดลงเมื่อไม่เห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มนั้นสักคน

หญิงสาวเสยผมอย่างเอือมระอา

“ฉันไล่ไปหมดแล้ว ตั้งแต่ตอนที่คุณถูกเอ็ดเวิร์ดตบหน้านั่นแหละ”

หล่อนมองร่องรอยบาดแผลจากการต่อสู้เมื่อครู่ด้วยความเป็นห่วง แต่ตัดสินใจไม่เอ่ยถึง

“คุณดื่มไวน์แก้วนี้หมดแล้วก็พาเอ็ดเวิร์ดกลับไปนอนเถอะค่ะ เขาคงเพลียมาก”

แม็กเกลก้มมองร่างที่นอนอยู่บนเบาะ ริมฝีปากขมุบขมิบพึมพำ  “น้ำ...หิวน้ำ...”

เรื่องมาก...เขานึกรำคาญ ก่อนทำใจให้ช่างมัน...เหมือนครั้งก่อนๆ  ทว่าก็มองหาแก้วน้ำใกล้มือมากระดกขึ้นดื่ม แล้วโน้มใบหน้าลงไปป้อนน้ำผ่านริมฝีปากให้

ไอรีนนั่งมองเพื่อนชายแสดงความอ่อนโยนอย่างตกตะลึง  ก่อนความตระหนกในคราวแรกจะแปรเปลี่ยนเป็นความเริงโลดสุขล้น
รอยยิ้มของหล่อนทำให้แม็กเกลที่อุ้มเอ็ดเวิร์ดไว้แนบอกถึงกับวางหน้าไม่ถูก

“ยิ้มอะไรของเธอน่ะ ไอรีน”

“...เอ็ดเวิร์ดนี่ทำแต่เรื่องยุ่งให้คุณสินะคะ”

“ที่สุดเลยล่ะ ตัวปัญหาชอบก่อเรื่อง”

เขาตอบไม่ต้องคิด และนั่น ทำให้คนฟังยิ้มกว้าง

...ยังไม่รู้ตัวสินะคะแม็กเกล  แต่อีกไม่นานหรอก

“แล้วเจอกันค่ะ ขอให้คุณโชคดี”   หญิงสาวเอ่ยร่ำลาชายร่างสูงที่ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถคันงาม  แลเห็นเขาโคลงศีรษะรับเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัวรถจะเคลื่อนออกไป ไอรีนยังคงยืนอยู่ตรงนั้น  หล่อนแหงนมองทะเลดาวจรัสแสงบนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม  แล้วคลี่ยิ้มหวาน อ่อนโยน




“ตัวหนักชะมัด เจ้าบ้านี่”เสียงบ่นปนหอบดังมาจากแม็กเกลที่เพิ่งเข้าห้อง

มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ เอ็ดเวิร์ด โรจส์ฟอล ฉันสั่งให้แกลืมตาขึ้นมาเดี๋ยวนี้!

แต่แทนที่จะทำอย่างใจคิด แม็กเกลกลับวางร่างในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวลผิดกับน้ำเสียงกรุ่นโกรธในอกและท่าทีรำคาญที่แสดงออก

ชายร่างสูงถอดถอนใจ   นึกหงุดหงิดการกระทำของตัวเองอย่างเหลือจะกล่าวเขาละจากเอ็ดเวิร์ด แล้วเดินไปหยุดยืนมองผลงานของลูกน้องคนสนิทบนโต๊ะทำงาน

การจัดเรียงของของสตีฟมันแปลกพิกล...แม็กเกลขมวดคิ้ว หยิบซองเอกสารที่วางทับโทรศัพท์มือถือออก ก่อนนิ่งไปเมื่อเห็นเครื่องเล่นเทป

โดยไม่รู้ตัว เขาหันไปทอดสายตามองคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียง เสียงหนึ่งในอกกำลังร้องเตือนว่า หากความลับในม้วนเทปถูกเปิดเผยออกมา บางสิ่งจะแปรเปลี่ยนไป

แต่เป็นอะไรนั้น ก็สุดที่จะรู้ได้

แม็กเกลกดปุ่มเล่นทันที





บรรยากาศยามดึกหนาวจัด อากาศเย็นยะเยียบแทรกลึกเข้าไปถึงในนิทรารมณ์ ปลุกชายหนุ่มให้ฟื้นตื่นขึ้นมามองรอบตัวด้วยความงุนงง ก่อนนึกได้ว่าเผลอหลับไปในผับของไอรีนหลังจากทะเลาะกับแม็กเกล

แล้วห้องนี้...?

นัยน์ตาสีเทาอ่อนเพ่งมองฝ่าความมืด จนไปสะดุดเข้ากับร่างสูงที่ปลายเตียง

เอ็ดเวิร์ดสะดุ้งเฮือก กระเถิบไปนั่งติดหัวเตียงโดยอัตโนมัติ

“แม็กเกล?”

ไม่มีคำตอบ หากวี่แววความเคืองขุ่นกลับไหลซ่านออกมาจากแผ่นหลังกว้างนั้นชัดเจน  แม้มิต้องเห็นหน้า เพียงคำเรียกหา  ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าสาเหตุของความโกรธ

ความโมโหนั้นมาจากใคร

“เอ็ดเวิร์ด”

ใบหน้าคมสันหันกลับมาเชื่องช้า นัยน์ตาคมวาวจนคนถูกมองหนาวเยือกจับใจ

“อะ...อะไร...”   เอ็ดเวิร์ดย้อนถาม เสียงสั่นเล็กน้อย

อีกฝ่ายไม่ตอบ หากหลุบตาลงต่ำ เครื่องเล่นเทปวางนิ่งอยู่ตรงนั้น

แม็กเกลรู้แล้ว!

พลันความคิดดังขึ้นในสมอง ร่างสูงก็กระโจนเข้าใส่ วางมือคร่อมราวเหล็กที่หัวเตียง ปิดทางหนีไปจนสิ้น

ลมหายใจร้อนรุ่มเป่ารดใบหน้า กลิ่นน้ำหอมบางเบาลอยอวลรอบตัว และดวงตาสีมรกตราบเรียบคู่นั้น  ก่อให้เกิดความเงียบคลอบคลุมตัวห้องอย่างเชื่องช้า

“ทำไม?”

สุ้มเสียงทุ้มห้าวโยกคลอนจิตใจคนฟังจนไหวโยน  ดวงตาสีเทาอ่อนตวัดขึ้นมองสบตา แล้วกลับกลายเป็นต้องก้มหน้าลงต่ำเมื่อเห็นวี่แววคล้ายเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้น

“ตอบมาซิ เอ็ดเวิร์ด อยู่กับฉัน...”

...แล้วคำพูดก็หายไป ยินเสียงเครื่องเล่นเทปถูกบีบพังคามือ

แต่เอ็ดเวิร์ดก็ยังคงก้มหน้านิ่ง มิเช่นนั้นเขาอาจมองเห็นคำถามนับร้อยนับพันที่ผุดพร่างผ่านสายตาของใครบางคนดุจตาน้ำผุดขึ้นที่กลางใจ

...อยู่กับฉัน...แล้วมันทรมานมากหรือไร

“...แกรังเกียจฉันมากขนาดอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้เลยใช่ไหม?”

น้ำเสียง...ประชดแดกดัน เรียกคนฟังให้แหงนมองทันที

แม็กเกลยังคงจดจ้องอย่างมึนตึง แม้แต่คำพูดยังดูถูกกันถึงเพียงนั้น

“ฉันสนองแกไม่พอหรือไงถึงได้ร่ำร้องแต่จะกลับไปหาเพื่อน...หรือว่าของชั้นต่ำมันดีไม่เท่าของในเครื่องแบบ...”

เผียะ!

“ฉันเกลียดแก  ไอ้คนใจสัตว์”

อาการชาหนึบบนใบหน้าของแม็กเกล  ไม่รู้ว่ามาจากฝ่ามือที่ฟาดลงบนซีกหน้าเต็มแรงจนหน้าหัน หรือเป็นเพราะวาจาที่ลิดรอนหัวใจจนแห้งผากดังที่เป็นอยู่ในยามนี้ แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด แม็กเกลก็จะไม่มีวันยอมให้ใครล่วงล้ำเข้ามาทำร้ายหัวใจของเขา แล้วจากไปอย่างง่ายดายโดยเด็ดขาด

คนที่ทำให้เขาเจ็บปวด...สมควรได้รับค่าตอบแทนที่เท่ากัน

ความอดทนอดกลั้นของเดอะ สการ์เฟสหมดสิ้นลงในวินาทีนั้นเอง!





บุหรี่ถูกขยี้ลงในถ้วยกระเบื้องเคลือบสีชา ก่อนมือใหญ่จะหยิบบุหรี่ใหม่จากซอง แม็กเกลก้มมองภาพตรงหน้านัยน์ตาพราว

“ถูกใจกับของเล่นชิ้นใหม่มากขนาดนั้นเชียว?”

“ไปตายซะ ไอ้สารเลว...อึก...”

“หึ... ถึงจุดไปตั้งหกรอบแล้วแท้ๆ ยังเหลือแรงต่อว่าฉันอีกหรือนี่”

ชายหน้าบากหัวเราะลั่นห้อง   มือจิกทึ้งเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนให้ก้มลงไปสำเร็จความใคร่ให้ตนต่อ   เอ็ดเวิร์ดพยายามขัดขืน  เขาจึงเลื่อนมือไปจับอาวุธเทียมที่สอดคาอยู่ในร่างอีกฝ่ายแล้วกระแทกลึกเข้าไปจนร่างสูงโปร่งสั่นระริกด้วยความกระสัน

“อื้อ! อ๊ะ...อา...”    ชายหนุ่มครางเสียงสั่น ดิ้นหนักจนเชือกบาดข้อมือเป็นแผลเกรอะกรัง ทว่าเมื่อสำนึกได้ว่าหมดหนทางต่อต้าน ริมฝีปากเรียวสวยจึงอ้าออกช้าๆ

“ดี...ดีมาก  ต้อง ‘เชื่อง’ อย่างนี้สิ”   แม็กเกลยกไฟแช็คขึ้นจุดบุหรี่  ขณะที่อีกมือคอยสาละวนถูไถยอดอกที่ขึ้นไตแข็ง

“เจ็บ...”   เอ็ดเวิร์ดละจากงานตรงหน้าเพื่ออุทธรณ์ต่อการกระทำนั้น

“หุบปาก รีบๆทำไปซะ”   เสียงทุ้มบอกราบเรียบไร้อารมณ์

ดวงตาสีมรกตมองมือที่ถูกไพล่หลัง มองแววตาปวดร้าวและใบหน้าคมสันด้วยความรู้สึกที่โรมรันพันตูกันในอก มันปนเปไปด้วยความสมใจ เยาะหยัน และ...เจ็บปวด

ของเล่นชิ้นที่เคยคิดว่าจะสร้างความหฤหรรษ์ได้ไม่มีวันจบสิ้น มันกลับไม่ทำให้เขารู้สึกสนุกอีกต่อไป แม็กเกลไม่อาจหลีกหนีคิดเป็นอื่นได้อีกแล้ว

ชายร่างสูงกดศีรษะเอ็ดเวิร์ดให้อาวุธของเขาจมเข้าไปสุดโคน  แล้วปลดปล่อยความต้องการเข้าไปในลำคอขาวเกร็ง

และโดยไม่สนใจชายหนุ่มที่นอนไอโขลก กล้ำกลืนกินของเหลวสีขาวขุ่นเข้าไปเลยแม้สักนิด มือหยาบกร้านดึงอาวุธเทียมที่เสียบคาอยู่ตรงนั้นออก แล้วแทงแก่นกายของตนเข้าไปรวดเดียวมิดด้าม หมายจะให้เอ็ดเวิร์ดจดจำความเจ็บปวดนี้ไปจนวันตาย

“โอ๊ย! เจ็บ พอแล้ว!”

เสียงทุ้มเอ่ยวิงวอนผู้รุกราน  แต่คำตอบที่ได้รับกลับมีแต่จุมพิตแสนเร่าร้อน

กระไอร้อนจากสองร่างที่แนบชิดแอบอิงกันอยู่ราวจะดับความเย็นยะเยือกของฤดูหนาวไปจนสิ้น ความเจ็บปวดสุขสมอันยาวนานจบลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า  นัยน์ตาสีเทาอ่อนเหลือบมองแม็กเกลอย่างเงียบงัน เขาเพิ่งเคยเห็นใบหน้าขาวจัดของชายหน้าบากมีร่องรอยความกังวลแวบวาบ  ไม่มีรังสีคุกคามใดๆนอกจากริมฝีปากร้อนที่พรมจูบไปทั่วใบหน้าอย่างอ่อนโยน ทั้งยังเลื่อนต่ำลงมายังไหล่ลาดขาวสะอาด ขบกัดยอดอกสีสวยอย่างเอ็นดู

แต่แล้วก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเลยเถิดเตลิดเปิดเปิงจนยากจะหวนคืน  ผู้รุกรานกลับหยุดยั้งลงกะทันหัน มีเพียงดวงตาคมที่จ้องมองมาอย่างสงบ

แม็กเกลไม่ละสายตาไปจากใบหน้าคมพิศวงเลยสักวินาที ทั้งตอนที่ปลดเชือกให้ ตราบจนกระทั่งวางร่างชายหนุ่มลงบนเตียง

เอ็ดเวิร์ดมองเขาด้วยความไม่ไว้วางใจ  เพิ่มขึ้นทุกขณะ

ชายหน้าบากเองก็ใช่ว่าจะไม่เห็น  จึงหัวเราะเสียงแผ่ว นุ่มลึก และเอ่ยตัดบทเพียงสั้นๆว่า

“ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น...เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่ฉันจะยอม อ่อนข้อให้แก”

“ครั้งสุดท้าย?”

เผลอหลุดปากออกไปแล้ว คนถามก็รีบระงับกิริยา กลับมานิ่งเฉยเสมือนไม่เคยได้ยินถ้อยคำกระทบอารมณ์เช่นนั้นมาก่อน

ปิดหูปิดตาไม่อยากรับฟัง เอ็ดเวิร์ดเบือนหน้าหนี  แต่คำพูดอันทรงพลังนั้นกลับกระแทกลงถึงก้นบึ้งลึกของหัวใจชายหนุ่ม ดังเกินกว่าที่จะปิดใจไม่ให้รับรู้ได้เลย

“การแก้แค้นของฉันมันจบแล้ว จากนี้ไปแกเป็นอิสระจากฉัน เอ็ดเวิร์ด”

--จบตอน--
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2017 17:08:21 โดย narikasaii »

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



“เฮ้ย...แกคิดเหมือนฉันหรือเปล่าวะ ตั้งแต่คุณเอ็ดเวิร์ดกลับมาเนี่ย ทำไมโหดขึ้นยังไงก็ไม่รู้”

“เออ...จริงว่ะ อย่างคดีฆาตกรรมชิงทรัพย์เมื่อวานนี้นะ  แม่งเอ้ย...น่ากลัวฉิบ...ถ้ากูเป็นไอ้หนุ่มนั่นละก็ แทบจะแหกคอกจำเลยออกไปเชือดคอตายเลยว่ะ วาจาเชือดเฉือนใจยิ่งกว่าคำสั่งประหารของศาลอีก ฮู้ย...พูดแล้วขนลุก”

“แล้วพวกแกรู้หรือเปล่าละว่า คุณเอ็ดเวิร์ดหยุดงานเกินกำหนด  แล้วทำไมถึงไม่ถูกเบื้องบนไล่ออกน่ะ?”

“ทำไมวะ?”

“...ก็ไม่ทำไมหรอกว่ะ  แต่พวกคุณๆทั้งหลายที่มานั่งนินทาคนอื่นเวลางานก็จะถูกตัดโบนัสเอาน่ะสิโว้ย”

เสียงทุ้มเย็นเยียบเอ่ยขึ้น   พร้อมกับกำปั้นสวยๆที่ประเคนลงบนหัวนายตำรวจช่างคุยจนร้องโอดโอยไปตามๆกัน ทเวนถลึงตาใส่แต่ละคนจนหนีป่าราบไปเสียหมด

“เฮ้อ...บัดซบจริงๆ กินเงินประชาชนแล้วยังมานั่งปากสว่างโร่กันอยู่ได้ งานการไม่มีทำหรือไง”   ชายหนุ่มบ่นไม่หยุดขณะเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของตน

“ไปหมดแล้วหรือ?”

สหายหนุ่มที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ตรงโซฟารับรองทักขึ้นขำๆเมื่อเขาปิดประตูลง

“เออ! น่าหงุดหงิดชะมัด  ให้ตายเถอะ...นายทนไปได้ยังไงกันนะ เอ็ด”

คนถูกถามยิ้ม ส่ายหน้าอย่างไม่ถือสาหาความ

“ช่างเถอะ ที่พวกเขาพูดมามันก็มีส่วนจริงอยู่เหมือนกันล่ะนะ...ที่ว่าพักหลังมานี้

...ฉันดูแปลกไป”

นับตั้งแต่แม็กเกล เดอะ สการ์เฟสพร้อมลูกน้องอีกสิบกว่าคนตบเท้ามาส่งเขาที่สำนักงานตำรวจ  แล้วสวนสนามเข้าไปยังห้องอธิบดีกรมตำรวจอีกครู่ใหญ่ ก่อนลาจากไปพร้อมรอยยิ้มของผู้ชนะนั่นละ

หลังจากนั้น  เอ็ดเวิร์ดก็ถูกเรียกตัวเข้าพบเพื่อแจ้งว่าเขายังได้ทำงานต่อ  ทั้งที่ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มหยุดงานโดยไม่มีสาเหตุเป็นอาทิตย์  ไม่ต้องบอกก็พอจะดักเดาได้ถูกว่าเป็นฝีมือใคร เพียงแต่...แม็กเกลทำแบบนี้...เพื่ออะไร?

‘การแก้แค้นของฉันมันจบแล้ว จากนี้ไปแกจะเป็นอิสระจากฉัน เอ็ดเวิร์ด’ ถ้อยคำราบเรียบไม่ยินดียินร้าย คล้ายแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล

เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้าแรงๆ พยายามลบความคิดไร้สาระออกไปจากสมอง  เขาไม่เชื่อ ว่าคนอย่างเดอะ สการ์เฟสจะยอม ‘จบ’ ง่ายๆแบบนั้น  ขนาดจดจำใบหน้าของอัยการที่จับตัวเองเข้าคุกได้แม้เวลาจะผ่านมาถึง 5 ปี...บ่งบอกชัดว่าหัวใจอันดำมืดของแม็กเกลเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังมากเพียงใด

“เอ็ดเวิร์ด  นายเลิกคิดถึงผู้ชายคนนั้นได้แล้ว”

คำพูดของทเวนแทรกเข้ามาในภวังค์ความคิดได้อย่างน่าอัศจรรย์  เอ็ดเวิร์ดหันมองเพื่อนสนิท  พยายามอย่างยิ่งที่จะกดข่มความรู้สึกขมขื่นเอาไว้ในใจ ตอนที่ย้อนถามเรียบๆว่า

“หน้าตาของฉัน มันบอกว่าเป็นอย่างนั้นหรือ?”

“ก็...จะว่าไงดีล่ะ”   สุ้มเสียงของทเวนลังเล เขายกมือขึ้นวาดกลางอากาศไปมาคล้ายพยายามหาคำอธิบายที่ดีที่สุดเท่าที่คิดออกตอนนั้น

“มีแต่ตอนที่นายพูดหรือคิดถึงคนๆนั้นเท่านั้นล่ะ...ที่นายทำท่าเหมือนเจ็บปวด”

คำอธิบายคงจะดีที่สุดอย่างที่หวังจริงๆ  เอ็ดเวิร์ดที่รับฟังถึงได้นิ่งอึ้ง สีหน้าหม่นไหม้เข้มเครียดราวถูกมีดคมกริบพุ่งปักลงกลางใจ...และอาจเข้มข้นดุดันกว่านี้ก็เป็นได้ ถ้าหากชายร่างสูงจะไม่รีบกล่าวแก้ขึ้นเสียก่อน

“ฉันก็แค่พูดไปตามที่คิดเท่านั้นเอง  อย่าคิดมากสิเอ็ดเวิร์ด ฉันขอโทษ”

นั่นละ เพลิงโหมลุกในอกจึงมอดลง เหลือไว้แต่ตะกอนขุ่นแห่งความสงสัย เขาดูเจ็บปวดมากเลยหรือไร ยามคิดถึงคนโฉดแม็กเกลคนนั้น





ดวงหน้าคมสันบนจอมอนิเตอร์ถูกควันบุหรี่โขมงใหญ่กลบเลือนราวตกอยู่ในม่านหมอก นัยน์ตาคมจับจ้องไปยังริมฝีปากเรียวบางของชายหนุ่มคนนั้นราวต้องมนต์ อารมณ์กระหายโหยอันแสนรัญจวนกำลังลุกไหม้อยู่ในกายของเขาอย่างเชื่องช้า

อยากฉกเม้มจูบปากสวยได้รูปนั่นจนมันแดงเห่อ ใช้มือลูบไล้ผิวกายขาวสะอาดที่ตอบสนองต่อสัมผัสอันเร่าร้อนที่เขามอบให้ อยากครอบครองเรือนกายหอมกรุ่นที่เติมเต็มอารมณ์ปรารถนาของเขา...ของเขาแต่เพียงผู้เดียว

...เอ็ดเวิร์ด

แม็กเกลอัดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่อย่างหนักใจ  ห่างกันไม่ถึงห้าวันแท้ๆ แต่แล้วฉันกลับ...เป็นไปได้มากขนาดนี้

“บอสครับ สูบมากไปแล้วนะครับ”

เสียงห้ามปนสำลักควันของสตีฟดึงห้วงคำนึงของปีศาจหนุ่มให้กลับคืนสู่รถคันหรูอย่างโหดร้าย เขาชำเลืองมองลูกน้องคนสนิทและคนขับรถด้วยแววตาเย็นเยียบ

“เสือก”

แม็กเกลอารมณ์เสียตลอดนับตั้งแต่ปล่อยเอ็ดเวิร์ดไป   ใครทำอะไรก็รกหูรกตาไปหมด นานวันเข้าก็มีแต่ยิ่งโมโหร้ายจนใครหน้าไหนก็เอาไม่อยู่  ท้ายที่สุด สาวสวยไอรีนจึงเสนอความคิดให้ซื้อรถใหม่แบบติดตั้งกล้องสอดแนมระยะไกล แล้วพาแม็กเกลออกมา ‘ชมวิว’ คลายเครียด  เกือบดีอยู่แล้วเชียว ถ้าเคนจะไม่ปากมากขึ้นเสียก่อน

“ปล่อยไปทำไมครับบอส”

“อะไรของแกอีกวะ ไอ้เคน”

“ก็...ของสำคัญมากขนาดต้องตามมาถึงที่นี่ ทำไมไม่เก็บเอาไว้กับตัวล่ะครับ”

คำพูดนั้นกระแทกใจคนฟังโครมใหญ่  ดูจากอาการตีสีหน้าทะมึนของผู้เป็นนายก็รู้  บอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่นึกอยากจับเจ้าคนขับรถมาเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอนนัก  สตีฟรีบเบี่ยงประเด็นทันที

“อา...เดี๋ยวเย็นนี้บอสต้องไปร่วมงานเลี้ยงกับสภาสูงนี่ครับ พวกเรา...”

“หุบปาก! แกเงียบไปเลย แล้วก็ไม่ต้องกดปิดจอมอนิเตอร์ด้วย!”

พูดยังไม่ทันจบดีเลยด้วยซ้ำตอนที่ถูกเจ้านายตวาด แล้วเอาบุหรี่จี้มือที่กำลังจะปิดหน้าจอเล็กๆลง

เจ็บปลาบ กระนั้นก็ยังเงียบกริบ  สตีฟถอนมือกลับไปวางบนตักราวกับไม่เคยเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก่อน เหลือเพียงความเงียบระหว่างชายทั้งสามในรถ

ความเงียบงันดำเนินไปเนิ่นนาน กว่าแม็กเกลจะเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง...ด้วยการหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกนับสิบมวนในรถปิดกระจกทึบทั้งคัน  ไม่มีคำสั่งให้เปิดหน้าต่าง ไม่มีการไล่ลงจากรถ ไม่มีใดๆทั้งสิ้น

กระทั่งเคนและสตีฟออกอาการสำลักควันนั่นละ รอยยิ้มชั่วร้ายถึงผุดพรายขึ้นบนใบหน้ามาเฟียหนุ่ม คนเป็นลูกน้องก็ใช่ว่าไม่เห็น แต่เห็นแล้วพูดไม่ได้ จึงได้แต่ลอบสบตากันอย่างเคร่งเครียดเท่านั้น 
แต่ก่อนที่ขุมนรกจะดำเนินต่อไปยาวนาน ระฆังสวรรค์ก็ดังขึ้น...ดังก๊อกๆ

คนเคาะกระจกไม่ใช่ใครอื่น เป็นเอ็ดเวิร์ดที่กำลังยืนมองรถไม่คุ้นตาคันนี้อยู่อย่างระมัดระวัง ส่วนเพื่อนที่เดินออกมาพร้อมกันยืนคอยอยู่อีกฟากถนนแล้ว  การมาถึงของชายหนุ่มทำให้ความเคลื่อนไหวในรถกลายเป็นอัมพาตไปทันที

“เอาไงครับ บอส”   เคนโพล่งถามขึ้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้านายจะทำเช่นไร

วินาทีต่อมา ประตูรถเปิดออกแทนคำตอบ ควันบุหรี่ม้วนตัวลอยโขมงออกไปจนคนภายนอกตกใจ แต่ยังมีแก่ใจเอ่ยเตือนว่า

“คุณห้ามจอดตรงนี้นะครับ มันเป็นส่วนราชการ”

สุ้มเสียงหัวเราะลึกๆหยันๆ ดังมากระทบใจเอ็ดเวิร์ดในวูบแรก ก่อนตามมาติดๆด้วยความหวาดหวั่นยามเห็นร่างที่เดินฝ่าควันลงมา นัยน์ตาสีเทาอ่อนปราดมองไปทางเพื่อนสนิทเพื่อขอความช่วยเหลือทันที  แต่สายเกินไป มือหยาบกร้านคว้าแขนชายหนุ่มเซถลาเข้าปะทะแผ่นอกกว้าง กลิ่นบุหรี่และน้ำหอมที่คุ้นเคยทำเอาใจสั่น

“เคร่งครัดสมกับเป็นแกจริงๆนะ...เอ็ดเวิร์ด”

กับคำทักทายนั้น คนฟังเอาแต่เก็บปากเก็บคำไม่ตอบคำใด  เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายรุกไล่ จูบกระแทกกระทั้นบดขยี้ริมฝีปากเรียวบางจนปากแตกด้วยความเข่นเขี้ยว ก่อนค่อยๆผ่อนแรงลงกลายเป็นและเล็มชิมรสเลือดอย่างอ้อยอิ่ง

“ชอบหรือเปล่า ของขวัญที่ฉันให้แก”

“ของขวัญอะไร?”

“อ้าว...ก็ชื่อเสียงอันย่อยยับของแกไง  ดูเหมือนจะโดนหนักไม่น้อยเลยนี่นะ”

รอยยิ้มชั่วร้ายยังไม่ร้ายเท่ากับคำว่าย่อยยับนั่นเลยสักนิดเดียว  เอ็ดเวิร์ดอ้าปากค้าง เขาจ้องแม็กเกลอย่างเดือดดาล เค้นคำพูดแทบไม่เป็นคำ

“ไอ้ปีศาจ  แก...คิดจะยืมมือคนอื่นมาทำร้ายฉันแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”

ที่แท้เหตุผลของการทำดีทั้งหมดในวันนั้น ก็เพื่อรอคอยผลตอบแทนเช่นนี้นี่เอง

มิน่าเล่า...สายตาตลอดห้าวันที่ผ่านมาถึงแปลกไป  ทุกคนเสียความเชื่อมั่นในตัวเขาไปหมดแล้ว เพราะปีศาจตนนี้ตนเดียว!

“ทำไมแกถึงไม่ตายคาคุกไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อนนะ จะอยู่ให้รกโลกไปทำไม!”

ผู้สูงวัยกว่ายิ้มรับเฉยชา บอกตัวเองว่าเขายังเหลือ ‘ไพ่ตาย’ ที่จะทำให้เอ็ดเวิร์ดลงไปนอนด่าวดิ้นสิ้นใจอีกมากมายนัก

“โง่บัดซบเลยนะไอ้ลูกหมา ฉันไม่เคยรักษาคำพูดอยู่แล้ว”

“...ไอ้ชั่ว”

อีกครั้ง...ที่แม็กเกลแสยะยิ้ม เขาผลักร่างสูงโปร่งเข้าไปในรถ แล้วตามเข้าไป  อัยการหนุ่มส่งเสียงฮึดอัดพร้อมตั้งท่าจะหนี หากถูกคำพูดต่อมาทำให้ชะงักงัน

“ถ้าแกหนี เพื่อนแกไม่ใช่แค่สลบแน่”

นั่นเป็นเพียงคำขู่หรือความตั้งใจจริงก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ หลังจากมองเห็นทเวนนอนสลบไสลอยู่บนพื้น  โดยมีสตีฟยืนพร้อมที่จะ ‘ลงมือ’ อยู่ใกล้ๆ  เอ็ดเวิร์ดก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด...ดังที่ชายหน้าบากต้องการให้เป็น  ดวงตาสีมรกตฉายแววพึงพอใจยามอุ้มตุ๊กตาตัวงามขึ้นนั่งตัก

“เลือกที่ที่มันไกลสายตาคนหน่อยนะเคน”

เขาสั่งเรียบๆก่อนหันกลับมาให้ความสนใจกับเรือนกายตรงหน้าอีกครั้ง  ความหิวกระหายดิบเถื่อนที่ซุกซ่อนเอาไว้ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเริ่มปลุกเร้าความเป็นชายให้แข็งขึงชูชันจนคนที่นั่งอยู่บนตักรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

แม็กเกลทิ้งกายจมลงในเบาะหนัง มือกร้านแตะดวงหน้าหล่อเหลา รั้งเอนซบแผ่นอก และกระซิบถ้อยคำที่ทำให้หัวใจแข็งเยือก

“มาสนุกกันเถอะ”





น้ำเย็นจัดที่ไหลผ่านลำคอแห้งผากช่วยเรียกสติสัมปชัญญะของชายหนุ่มให้กลับคืนมาทีละน้อย เปลือกตาขยับลืมขึ้นสบกับนัยน์ตากลมโตสีฟ้าใสที่จดจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว

ทเวนเพ่งมองใบหน้าที่ตกอยู่ใต้เงาแสงอาทิตย์อย่างสับสน พึมพำเสียงแผ่ว

“ใคร...”   พร้อมกับถาม ชายร่างสูงพยายามลุกขึ้น ฤทธิ์ยาที่ยังหลงเหลือทำให้ก้าวซวนเซไปเล็กน้อยกว่าจะยืนตรงได้สำเร็จ

“คุณอาจะไปไหนหรือครับ?”

เสียงเด็กหนุ่มแปลกหน้าเอ่ยถามห่วงใย เรียกให้เขาก้มมองคล้ายเพิ่งรู้สึกตัว  แทนคำตอบ ทเวนส่งยิ้มไปให้ พร้อมคำพูดที่ทำให้หัวใจดวงหนึ่งพองโต

“ขอบใจมากนะเจ้าหนู...สำหรับน้ำขวดนั้น และน้ำใจของเธอ”

ดวงตาสีไพลินคู่งามละจากขวดน้ำในมืออีกฝ่าย กวาดมองเก็บทุกรายละเอียด  ถี่ถ้วน  เด็กหนุ่มอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี เจ้าของดวงตาสีฟ้าใสรับกับเรือนผมสีดำสนิท ทั้งรูปคิ้ว แก้ม และจมูกโด่งเป็นสันพองาม  แสดงถึงการผสมผสานระหว่างความแตกต่างทางเชื้อชาติอันไร้ที่ติ

...เป็นลูกครึ่งที่หน้าตาสวยจริงๆ

“ชื่ออะไรนะเรา”   เขาถามด้วยความเอ็นดูพลางรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“...จาเรฟ โอมาลนอฟ”

“จาเรฟสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอเรียกเธอว่าเรฟได้ไหม?”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ปฏิเสธ จึงรีบถามถึงสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจทันที

“เรฟ ตอนที่เธอช่วยฉัน เธอเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ยืนอยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า?”

“ไม่ฮะ...”   เด็กหนุ่มส่ายหัวประกอบคำพูด   “ผมเห็นคุณแค่คนเดียว”

คำพูดของจาเรฟแล่นเข้าสู่ความรับรู้ของทเวน  แต่กลับต้องใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะนึกรู้ว่าต้องลงมือทำอะไรต่อไป เขาดูนาฬิกาแล้วพบว่าตัวเองหมดสติไปเกือบยี่สิบนาที  ฉุกใจแรกที่นึกถึงคือเอ็ดเวิร์ด

“เจ้าบ้านั่น...”   ชายหนุ่มชกต้นไม้ด้วยความเจ็บใจ ไม่คิดเลยว่าแม็กเกลจะกล้าล้วงคองูเห่า บุกมาลักพาตัวเอ็ดเวิร์ดไปทั้งๆแบบนี้

เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ  แต่มันก็เป็นไปแล้ว  นั่งเสียใจไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ทเวนตัดสินใจจะไปขอความช่วยเหลือจากนักสืบและตำรวจที่รู้จักกันในกรม

“เดี๋ยวครับ”  จริงสิ เขาลืมจาเรฟไปเสียสนิท ชายร่างสูงหันกลับมาบอกรัวเร็ว

“โทษทีเรฟ แต่ฉันมีธุระด่วน ไว้คราวหน้าจะพาไปเลี้ยงไอศกรีมก็แล้วกัน”

เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง  จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาติดต่อหาใครสักคนในสำนักงาน  แต่กลับหาไม่เจอ

“ให้ตายเถอะ หายไปไหนอีกวะ”

“หาเจ้านี่อยู่หรือเปล่าครับ มิสเตอร์เทมส์”   จาเรฟเอ่ยถาม

โทรศัพท์ที่กำลังตามหา วางนิ่งอยู่บนมือเด็กหนุ่มลูกครึ่ง  ทเวนถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนเฉลียวใจขึ้นมาว่าคนตรงหน้ารู้จักชื่อของเขาได้อย่างไร...

“อ้าว? ไม่เข้ามาเอาหรือครับ มือถือของคุณ...แล้วก็นี่ด้วย”

กระเป๋าสตางค์ของทเวนอยู่กับจาเรฟจริงอย่างที่คาด

“นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ เรฟ เอาคืนมา”

“ก็เดินเข้ามาเอาเองสิครับ”

วะ...ไอ้เด็กนี่ คนยิ่งรีบๆอยู่!

อัยการหนุ่มรับคำท้าด้วยการเดินดุ่มเข้าไปหาอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่แล้วกลับกลายเป็นยืนนิ่งจังงังในประโยคถัดมา

“อ้อ...เกือบลืม...แม็กเกลฝากมาบอกว่าห้ามคิดตามหาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะไม่รับประกันความปลอดภัยของเอ็ดเวิร์ด”

ในวินาทีอันเงียบงัน ทเวนได้แต่ใช้สายตาสับสนจ้องมองจาเรฟ

เด็กหนุ่มดูถูกใจที่ปั่นหัวเขาได้สำเร็จ  จึงหัวเราะคิกคักเริงร่า ร่างเพรียวสมส่วนก้าวเข้ามายืนเคียง  แววตาเจ้าเล่ห์สุดประมาณ

“...แต่ถ้าทเวนอยากรู้ ฉันจะบอกให้ก็ได้นะ...แบบมีข้อแลกเปลี่ยน”

สรรพนามใหมมาชนิดไม่ให้ทันตั้งตัว  ผู้สูงวัยกว่าต้องสูดลมหายใจยาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า สงบสติอารมณ์อยู่เป็นนานกว่าจะทำใจตอบรับข้อเสนอนั้น...ครึ่งๆกลางๆ

“ขอฟังเงื่อนไขก่อน” เด็กหนุ่มทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคอด้วยความขัดใจ

“ฮึ! พวกผู้ใหญ่นี่เรื่องมากชะมัด ไม่ล่ะ...ฉันให้แค่เยสกับโน นอกนั้นไม่นับ”

...แล้วแกไม่เจ้าเล่ห์เลยสินะ ทเวนประชดในใจขณะกัดฟันตอบ

“ก็ได้ ฉันรับข้อเสนอ”  นั่นละ รอยยิ้มสดใสจึงระบายแต่งแต้มทั่วใบหน้าของจาเรฟ เด็กชายคืนกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ให้แต่โดยดี พร้อมเงื่อนไขที่ว่า

“ทเวนต้องตามใจฉัน ห้ามขัดขืนเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเพื่อนนายไม่ปลอดภัยแน่”

“โอเคๆ ตามใจเรฟทุกอย่าง”  ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะขำให้กับความคิดแบบ ‘เด็กๆ’ ของอีกฝ่าย  เขาถามเสียงนุ่ม ติดจะเย้าเสียด้วยซ้ำไป

“เอาล่ะ จะให้ฉันทำอะไรล่ะ”

“ไปนั่งเล่นกัน”

จาเรฟลากแขนทเวนให้ไปนั่งใต้ต้นไม้ แต่แทนที่จะนั่งเคียงข้าง เด็กหนุ่มกลับโดดขึ้นคร่อมตักเขาแทน

“เฮ้ย!”

ชายร่างสูงนั่งตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นใบหน้าเล็กติดจะคมคายยื่นเข้ามาหา ลำพังแค่นั่งตักก็ตกใจจะแย่อยู่แล้ว ดันจ่อหน้าเข้ามาใกล้ๆอีก...

“ชู่ว์...เบาหน่อยสิ ทเวนทำฉันตกใจหมด แต่ช่างเถอะ...จะเริ่มล่ะนะ”

“เริ่มอะไร...เฮ้ย!”

ทเวนร้องลั่นอีกครั้งเมื่อถูกน้ำราดใส่ตัวจนหมดขวด สายลมเย็นพัดวูบวาบหนาวสะท้าน มือเรียวรีบดึงเสื้อเปียกชุ่มออกตามสัญชาตญาณ  หากถูกเด็กชายปัดทิ้ง

“ไม่ได้นะ!  ไหนว่าจะตามใจฉันไง”

นั่นแหละ เลยต้องคลายมือออก ปล่อยให้จาเรฟละเลงมือกับเสื้อเปียกๆของเขาจนพอใจ

“อ๊ะ...”   ชายหนุ่มสะดุ้ง ครางแผ่วหวิว เมื่อมือของเด็กหนุ่มสัมผัสโดนยอดอกที่เริ่มแข็งเป็นไตเพราะความเย็น

...ช่างเถอะ จาเรฟคงแค่จะแกล้ง แต่เผอิญมือไปโดนตรงนั้นเข้า

ทเวนปลุกปลอบใจตัวเอง  พยายามยึดความคิดนั้นไว้อย่างแรงกล้า  ก่อนที่มันจะพัดผ่านใจอัยการหนุ่มไปดุจสายลมเมื่อคนในความคิดรูดเนคไทของเขาออกแล้วจับเขามัดมือไพล่หลังด้วยเงื่อนตาย

“เดี๋ยว ทำไมต้องมัดด้วย”   ทเวนเริ่มโวย

“เด็กไม่ดีก็ต้องโดนลงโทษสิ”   จาเรฟพูดยิ้มๆ ก่อนใช้นิ้วเขี่ยยอดอกผ่านเสื้อ

“อึก...เฮ้ย! ใครใช้ให้จับตรงนั้นวะ”

“ทำไมล่ะ ดูสิ มันตั้งขนาดนี้ เพราะน้ำนั่นแน่ๆเลย  ฮิๆ”

อัยการหนุ่มเดือดขึ้นมาทันที  ไม่อยากเชื่อเลยว่าปากเล็กๆน่ารักจะพูดประโยควิตถารแบบนั้นออกมาหน้าตาเฉย  แต่ทั้งๆที่คิดเช่นนั้น  สายตากลับเลื่อนมองต่ำตามถ้อยคำชี้นำของอีกฝ่าย แล้วเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน

“ทเวนน่ารักจัง”

เนื้อผ้าเปียกชุ่มแนบแผ่นอกจนเห็นตุ่มเม็ดสีสวยรำไรแข็งชูชันท้าสายตา

หน้าอกสะท้อนขึ้นลงราวกับเชิญชวนผู้รุกรานให้กระทำการน่าอับอายมากกว่าจะให้หยุดอยู่เพียงแค่นี้

จาเรฟบีบยอดอกทั้งสองข้างอย่างมันมือ ถูไถนวดเฟ้นรุนแรงจนได้ยินเสียงหอบกระเส่าจากร่างที่กำลังสั่นเทา   มือซึ่งถูกพันธนาการพยายามดิ้นรนไขว่คว้าอิสรภาพอย่างไร้ความหมาย ในที่สุดทเวนก็จำต้องกัดฟันขอร้องออกมา

“เรฟ...หยุดเถอะ มันเจ็บ”

“เหรอ? แต่ทำไมตรงนี้มันถึงยิ่งแข็งขึ้นเหมือนจะบอกว่า ‘ผมชอบ’ เลยล่ะ”

จาเรฟปลดประดุมแล้วล้วงมือเข้าไปในเสื้อ ยอดอกของทเวนแดงเห่อ...ดูจะเจ็บจริงอย่างที่บอก ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงก้มลงไปเลียให้แผ่วเบา

“ไม่...อย่า”   ผู้ถูกกระทำเบี่ยงกายหลบ  แต่กลับเป็นการเปิดโอกาสให้ริมฝีปากอุ่นร้อนขบเม้มยอดอกอีกข้างแทน   “อ๊ะ...ฮ้า”

เผลอแอ่นกายสะดุ้งร้องเสียงเครือ ซึ่งนับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์เมื่อมันกลายเป็นการเติมไฟฟืนในตัวเด็กชายให้ลุกโพลง  มือเล็กอ้อมไปรูดซิปกางเกงลง แล้วคว้าส่วนอ่อนไหวขึ้นมากอบกุมไว้

“เอามือออกไป...”   ทเวนเปล่งเสียงแหบแห้ง กร้าวกว่าทุกครั้ง

แต่ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม   ทั้งมือที่สัมผัสปรนเปรอ  หรือแม้แต่กองไฟร้อนแรงที่ทำให้เลือดทุกหยดในกายของเขาเดือดพล่าน

และแล้วความพยายามของจาเรฟก็สัมฤทธิ์ผล   แก่นกายของทเวนตอบสนองต่อการรุกเร้าในที่สุด   ความสงบราบเรียบแปรเปลี่ยนเป็นชูชันผงาดกล้า  ปลายยอดมีน้ำไหลออกมาจนฉ่ำเยิ้มเป็นมันวาว

โลกของจาเรฟสว่างไสวขึ้นมาทันใดตอนที่เห็นภาพนั้น  แต่โลกทั้งใบของทเวนดับลงในวินาทีนั้นเอง

“เอ๋...มีอารมณ์แล้วนี่นา”

คนตาวาวแสร้งทำเป็นดีดท่อนเนื้อตรงหน้าด้วยความมันเขี้ยว พร้อมกับเหลียวมองชายร่างสูงที่นั่งหอบหายใจถี่กระชั้น เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ด้วยแววตาพร่างพราว...ทเวน เทมส์ในสภาพอันน่าอดสูเช่นนี้กลับยิ่งเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เหลือล้นจนยากจะละสายตา

จาเรฟใช้มือช่วยให้ทเวนถึงจุดสุดยอด และก็ด้วยมือเดียวกันนั่นละ ที่ปาดป้ายน้ำขาวขุ่นลงบนใบหน้าหล่อเหลา  วาดละเลงงานศิลปะแห่งกลกามไปจนทั่วเรือนกาย

สง่างาม ก่อนผละออกมาชื่นชมผลงานของตน

แต่...ส่วนมุมหนึ่งในหัวใจกลับยังไม่อิ่มเต็ม  รู้สึกอยากกลั่นแกล้งคนตรงหน้าให้มากกว่านี้ อยากเห็นสีหน้ารัญจวนใจอย่างเมื่อครู่นี้อีก...

ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองโทรศัพท์มือถือซึ่งหล่นอยู่ใกล้ๆ  พลันความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจราวสายฟ้าแลบ

จาเรฟเปิดระบบกล้องถ่ายรูปพร้อมหันหน้าจอเล็กๆไปยังชายหนุ่มที่นั่งหลับตาอยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มหมายมาด
.
.
(มีต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2017 17:30:01 โดย narikasaii »

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)

เอ็ดเวิร์ดมองแผ่นหลังคนขับรถที่เดินหายลับไปจากสายตาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เสียงหนึ่งดังกึกก้องในอก

...เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งไป!

ไม่ทันการณ์เสียแล้ว  ชายนามว่าเคน ‘หายตัวไป’ ตามคำสั่งของปีศาจใจโฉด หลังจากพาพวกเขามาหยุดยังส่วนไหนสักแห่งในป่าใหญ่ริมชานเมือง

อัยการหนุ่มดิ้นลงจากตักแม็กเกล  และพยายามเปิดประตูด้วยการกระแทกตัวใส่กระจกหน้าต่างรถสุดแรง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เปล่าประโยชน์  รถคันนี้สร้างมาเพื่อกันระเบิดและกระสุนโดยเฉพาะ  ลำพัง  แค่แรงผู้ชายอย่างแกไม่มีทางทำลายมันได้หรอก เลิกคิดหนีซะเถอะ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำมาพร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนข้างใบหู  เอ็ดเวิร์ดได้แต่กลั้นลมหายใจนิ่ง ไม่กล้าหันกลับไปสบตาเจ้าของเสียงนั้นด้วยกลัวว่าจะถูกเปิดศึกเร็วเกินกว่าทันได้ตระเตรียมใจ

แต่อัยการหนุ่มลืมเสียสนิท เดอะ สการ์เฟสไม่เคยชื่นชอบหรือชื่นชมการรอคอย

มือใหญ่กร้านจับร่างสูงเพรียวให้พลิกหันกลับมา ก่อนฉกชิงจูบหอมหวานอย่างกระหายหิวและถือสิทธิ์...ตามที่เขาควรจะได้รับ

“ผู้ชายที่มากับแก...เป็นใคร”   แม็กเกลเอ่ยถามกับริมฝีปากปิดแน่นสั่นระริก

“เพื่อน”

“เพื่อนร่วมงาน หรือเพื่อนร่วมเตียงกันแน่ หืม?”

“ทเวนไม่ใช่คนแบบนั้น!”

เอ็ดเวิร์ดตะคอกด้วยความโกรธ ก่อนชะงักงันไปเมื่อเห็นแววตาลุกวาบ

“อย่า! ...พูดชื่อผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉันเด็ดขาด เอ็ดเวิร์ด”

แล้วจุมพิตลงทัณฑ์ก็บดเบียดประทับลงมา   แย่งชิงลมหายใจของชายหนุ่มไปจนสิ้น เอ็ดเวิร์ดทำได้เพียงส่งเสียงประท้วงไม่เป็นศัพท์อยู่ในลำคอ

“รู้ใช่ไหม ว่าต้องพูดยังไง”

ริมฝีปากหยักหนาจูบไล้ไปตามซอกคอหอมกรุ่น จุดประกายความปรารถนาของชายหนุ่มอย่างช่ำชอง

ความเร่าร้อนที่คุ้นเคยกำลังแผดเผาลุกไหม้อยู่ในกาย  และเอ็ดเวิร์ดไม่อยากยอมรับเลยว่า...แม้สติสำนึกดีงามของเขาพยายามจะปฏิเสธไฟปรารถนานี้สักเพียงใด  หากร่างกายกลับรำพันหาไออุ่นจากเรือนกายคนตรงหน้าเหลือเกิน

“...ไม่...”

คำตอบนั้นส่งให้คิ้วเข้มขมวดอย่างขัดใจ   แม็กเกลเปลี่ยนจากรุกเป็นรวบกอดร่างสูงสมส่วนไว้ทั้งตัว ให้รับรู้ถึงความต้องการของตนชัดเจน

“ฉันต้องการขนาดนี้แล้ว ยังจะปฏิเสธอีกหรือ เอ็ดเวิร์ด”  เสียงทุ้มทอดอ่อนหวานราวบทสนทนาของคนรัก ทั้งอ่อนโยนทั้งนุ่มนวล ปลุกปลอบหัวใจดวงที่แกว่งไกวให้โน้มอ่อนผ่อนตาม...จนแทบลืมเลือนว่าเคยถูกกระทำสิ่งใดเอาไว้จนสิ้น

ขณะที่ใจกำลังถูกคลื่นอารมณ์สาดซัดไกลออกมาทุกที เหตุผลสุดท้ายกลับดึงรั้งเขาไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดแห่งความคิด

กับดัก!

ชายหนุ่มเหมือนคนที่เพิ่งลืมตาตื่นในวินาทีนั้นเอง มือเรียวผลักอกกว้างออกห่าง ก่อนยันกายลุกขึ้นนั่งดวงตาวาววาม

“คิดจะมาไม้ไหนอีกล่ะ บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่โง่หลงกลแกอีกแล้ว”

ได้ผล แม็กเกลชะงัก มองเขาเต็มตาด้วยความประหลาดใจ

และชั่ววินาทีที่ดวงตาสองคู่สบปะทะกัน ความจริงที่เปรียบประดุจน้ำเย็นจัดถังใหญ่ก็เทคว่ำราดรดลงตรงกลางใจทันที

ต่อจากความตื่นตกใจ คือความสงสัยและอัดอั้น แววตาเคียดแค้นชิงชังที่พวกเขาต่างใช้จ้องมองกันและกัน ดุจจะฟาดฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่ง  แล้วก็เป็นแม็กเกลที่ทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“ทำเป็นเล่นตัว แต่ที่จริงอยากถูกกอดใจจะขาดละสิ”

“หยุดคำพูดไร้สาระของแกเอาไว้แค่นั้นแหละแม็กเกล!”  เอ็ดเวิร์ดแผดเสียงอย่างหมดความอดกลั้น

 “ฉันต้องทำยังไงแกถึงจะเลิกแค้นฉันสักที! บอกซิว่าต้องทำยังไง”

“แกอย่าพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ดีกว่า เอ็ดเวิร์ด เรายังมาไม่ถึงครึ่งทางของการแก้แค้นเลยด้วยซ้ำ”

มือหยาบกระชากร่างโปร่งให้ลงไปนอนจมเบาะหนัง ก่อนพาร่างสูงใหญ่ของตนขึ้นทาบทับอย่างรวดเร็ว แม็กเกลเอ่ยเสียงกร้าวด้วยความสะใจ

“เกมส์ของพวกเราเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น”





อากาศกลางป่าฉ่ำชื้นเย็นจัด ไอน้ำเกาะเป็นฝ้าขาวบนกระจกรถ คล้ายตัดขาดบรรยากาศร้อนรุ่มในรถออกจากทิวทัศน์ภายนอกโดยสิ้นเชิง

แววตาของเอ็ดเวิร์ดยามจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคมสีมรกตคู่นั้นฉายความโกรธเกลียดชัดเจนหมดหัวใจ...และหากทำได้ เขาอยากฆ่าคนตรงหน้าให้ตายเหลือเกิน จะกรีดรอยบากนั่นให้ยับเยินจนจำกันไม่ได้อีกเลยทีเดียว โทษทัณฑ์หรือการแก้แค้นของแม็กเกลจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหนก็ยังน้อยกว่าโมหะของชายหนุ่มในยามนี้

“ไปตายซะ ไอ้สัตว์นรก”

หากคำพูดนี้เป็นดาบ เอ็ดเวิร์ดคงฟันแม็กเกลขาดสะพายแล่งในดาบเดียว

ชายหน้าบากเงียบกริบ ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน ไม่มีคำต่อว่าถากถางกลับ ไม่มีการลงมือทำร้ายที่อีกฝ่ายเรียกมันว่า ‘บทลงโทษ’ อย่างที่คิด

คำตอบมาพร้อมฝ่ามือหยาบกร้านที่รวบร่างเขาเข้าไปตระคองกอดแนบชิดด้วยพละกำลังอันมหาศาล ยามที่ริมฝีปากหยักบางขยับอ้าช้าๆ...

เดอะ สการ์เฟสคิดจะกำจัดเขาด้วยวิธีไหนกัน   หยิบมีดออกมาแทงจนมิดด้าม กระหน่ำยิงกระสุนใส่ร่างเพื่อระบายความแค้น...หรือจับถ่วงน้ำลงทะเลสาบ

ความคิดทั้งมวลสะดุดลงเมื่อริมฝีปากแห้งผากจรดลงมาบนริมฝีปากอ่อนนุ่ม กลิ่นบุหรี่จากเรือนกายแข็งแรงและหนวดเคราครึ้มสากมือทำเอ็ดเวิร์ดนิ่งไป  นึกตกใจว่าคนอย่างแม็กเกลไม่น่าปล่อยปละละเลยตัวเองขนาดนี้

“ปากดีไม่เปลี่ยนเลยนะ...ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน”

ชายหน้าบากเอ่ยแผ่วเบา ก่อนจับอัยการหนุ่มถอดกางเกงและชั้นใน แล้วยกขาขึ้นไปชิดแผ่นอกราบของเจ้าตัวจนเห็นกลีบนุ่มสีชมพู

“อย่านะ...ตะ..ตรงนั้นมัน...”

ใบหน้าของเอ็ดเวิร์ดซับสีเลือดเรื่อขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อรู้สึกตัวว่าถูกครอบงำจนขยับตัวไม่ได้ มือที่พยายามเอื้อมบดบังส่วนเร้นลับถูกฟันคมกริบกัดจนเจ็บแปลบ

“เจ็บนะ  ไอ้เลว”

มาเฟียไม่สนใจคำประท้วง  เขาก้มหน้าลงไปเลียกลีบเนื้อสีสวย  สลับกับขบย้ำหลายครั้ง กระทั่งได้ยินเสียงหอบกระเส่าหวานหู

“ไม่...อย่า....”

ร่างสูงโปร่งบิดเร่าทุรนทุราย และเอ็ดเวิร์ดตระหนักดีถึงความทรมานนั้น มันทำให้เขารู้สึกตัวว่าแม็กเกลกำลังจะเป็นผู้ชนะ...อีกครั้ง เหมือนที่ผ่านมา

มือเรียวซึ่งใช้จิกหน้า แขน และทึ้งเส้นผมดกหนาย้ายมาปิดปากตัวเองเพื่อกลั้นเสียงร้องครวญน่าอาย แต่มันแทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย

ลมหายใจอุ่นที่เป่ารินรดส่วนอ่อนไหว  ลิ้นร้อนจัดที่กวาดเลียลามราวกับลิ้มชิมอาหารเลิศรสตรงหน้า และเคราสากระคายเสียดสีเข้ากับผิวกายบริเวณนั้นส่งให้เลือดในกายเดือดพล่าน ท้ายที่สุด เอ็ดเวิร์ดก็ส่ายหน้าไปมาเหมือนไม่อาจต้านทานต่อความปรารถนาที่เริ่มลุกโชนขึ้นในร่าง เขางุดหน้าลงกับฝ่ามืออย่างอับจนหนทาง

นั่นละ จึงเรียกให้แม็กเกลก้มลงมองส่วนอ่อนไหวซึ่งลุกชูชัน  และมีน้ำใสๆไหลออกมาจำนวนมาก

“ผ่านมาห้าวันนี่แกไม่ได้ช่วยตัวเองเลยหรือไง”

“คะ..ใครจะไปทำ”

“หึ!”

ชายร่างสูงแค่นหัวเราะ ยิ้มที่มุมปากอย่างซ่อนเร้นความหมาย เขาเอื้อมจับท่อนเนื้อแข็งขึงสู้มือเอาไว้แล้วลูบวนปลายยอดชุ่มน้ำเบาๆ

“อืม...อะ...ไม่...”

เอ็ดเวิร์ดเบี่ยงหน้าลงซบเบาะหนัง หลับตาแน่น ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว

“เคยสอนไว้แล้วใช่ไหม...ว่าตอนที่ทำกับฉัน ห้ามหลับตาเด็ดขาด”

เสียงกระซิบเย็นเยียบเป็นดั่งสัญญาณเตือนว่าทัณฑ์แรกกำลังจะเริ่มขึ้น!

เปลือกตาปิดสนิทลืมตาขึ้นทันใด แต่ช้าไป ชายหน้าบากกดปลายนิ้วชี้ลงไปตรงยอดอ่อนไหวเต็มแรง

“อ๊า! อะ...เจ็บ! เอาออกไป!”

“ถ้าแกยังดิ้นอยู่อย่างนี้ มือฉันลงไปลึกกว่านี้แน่”

แม็กเกลไม่ได้ทำแค่ขู่เพียงอย่างเดียว หลังจากเห็นเอ็ดเวิร์ดยังดิ้นพราดด้วยความเจ็บ ทั้งยังพยายามขับไล่ไสส่งเขาด้วยการยกขายันโครมเต็มท้องจนจุกไปหลายรอบ ปีศาจเลือดเย็นก็กระทำตามที่ลั่นวาจาไว้ทันที

“โอ๊ย! เข้าใจ...เข้าใจแล้ว เอามันออกไป”

“ไม่ แกต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ดื้อกับฉันอีก”

แทบไม่ต้องคิด  เอ็ดเวิร์ดพยักหน้ารัวเร็ว ศักดิ์ศรีและความทะนงถูกขว้างทิ้งไปจนหมดสิ้น...ความเจ็บปวดตรงหน้าเท่านั้นที่มีตัวตนอยู่จริงสำหรับชายหนุ่มในยามนี้

“ถ้างั้นก็ต้องพิสูจน์...”   รอยยิ้มเย้ยหยันของแม็กเกลบาดตานัก

“...เอามือจับขาตัวเองไว้ แล้วถ่างออกให้เห็นตรงนั้นชัดๆซิ”

“ไม่...”   อัยการหนุ่มยังไม่ทันอ้าปากเถียง ความเจ็บแปลบรานร้าวจากเบื้องล่างก็ตักเตือนถึงข้อตกลงของพวกเขาเสียก่อน

อย่างหมดสิ้นหนทาง  เอ็ดเวิร์ดหลับตาแน่น  ฝืนใจแยกขาออกด้วยความเอียงอายระคนเจ็บช้ำสุดทน ยอมปราชัยให้แก่ความร้ายกาจนั้น

“เอามือ...ออกไป”

เขากลั้นใจบอกเสียงสั่น

“เดี๋ยวก่อนสิ จะให้เห็นวิวสวยๆอย่างนี้ก็ต้องมีเสียงช่วยประสานหน่อย”

เสียงทุ้มกล่าวอารมณ์ดี

“เงยหน้าแล้วมองตาฉัน ทั้งที่น้ำตาคลอเบ้าอย่างนั้นแหละ...ใช่ แล้ว จากนั้นพูดออกมาชัดๆว่า...‘ทำให้ผมร้องไห้ที’ ”

กับคำสั่งนั้น  เอ็ดเวิร์ดได้แต่ข่มตาลงด้วยความปวดร้าว  นิ่งอั้นไปคล้ายกำลังระงับความรู้สึกที่พรั่งพรูออกมาจากหัวใจดวงที่ทุกข์ท้อ ร้าวระทม ความเจ็บช้ำที่ถูกกดขี่แน่นตื้อในอก เขาทำอะไรผิด ทำไมถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย...

‘ความยุติธรรมคืออะไร?’

เสียงถามของอาจารย์ท่านหนึ่งในห้องเรียนคาบบรรยายเมื่อหลายปีก่อนดังขึ้น คำตอบมากมายพรั่งพรูหลั่งไหล หลายคนหลายความคิด แต่ยังไม่มีใครตอบถูก

สุดท้าย ท่านเฉลยออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ติดจะหมองเศร้า

‘รู้ไหมว่าผิดตรงไหน ที่พวกเราตอบผิด...คิดผิดกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เพราะเราเชื่อในคำสั่งสอนที่ถูกถ่ายทอดต่อๆกันมา แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีอยู่...หรือไม่เคยมีจริง ความยุติธรรมไม่อาจมองเห็นในรูปวัตถุ แต่ต้องมองในแง่การกระทำเพราะเป็นเพียงคำที่มนุษย์สมมติขึ้นเพื่อใช้ในสังคมเท่านั้น...’

และในห้วงเวลานี้...คำพูดประโยคนั้นกลับดังขึ้นอีกครั้ง...ราวจะตอกย้ำซ้ำเติมหัวใจชายหนุ่มว่า ความยุติธรรมที่เขาใฝ่ฝันหา...ไม่เคยมีอยู่จริง


--จบตอน--
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2017 17:30:24 โดย narikasaii »

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



บัดซบ!

ทเวนขยี้สูทสุดรักสุดหวงของตนด้วยอารมณ์ที่ร้อนเร่าดั่งเพลิงผลาญ   ไฟแค้นสุมอกจนต้องมาระบายกับเสื้อผ้าโดยนึกเอาว่าเป็นใบหน้าของเด็กอวดดีคนนั้น

เขาทั้งขยำทั้งฟาด...ทำทุกสิ่งที่อยากทำใส่จาเรฟลงบนเสื้อจนมันย้วย

“บ้าชิบหาย...หนาวโว้ย”

ลมเย็นพัดวูบ  ละอองน้ำกระเซ็นมาต้องผิวกายท่อนบนที่เปล่าเปลือยจนสั่นสะท้าน   ชายหนุ่มรีบจัดแจงสะบัดเสื้อบิดหมาดสวมลงบนร่าง   ก่อนวิ่งปราดเข้าไปในอาคารอบอุ่นแสนสบายจากฮีทเตอร์

“อ้าว คุณเทมส์...ไปเล่นน้ำท่าไหนมากันครับนั่น เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเชียว”

เสียงร้องทักจากใครสักคนดังขึ้นเหมือนเรียกให้ทเวนหันไปพ่นไฟใส่

แต่เอาเข้าจริง  ชายร่างสูงกลับเดินจ้ำอ้าวหนีเข้าห้องตัวเองไปเสียเฉยๆ ปล่อยคนร้องทักเอาไว้กับความงุนงงในความรีบร้อนของชายหนุ่ม

โครม! – เสียงประตูปิดดังลั่นเปรียบเสมือนเสียงระฆังสัญญาณศึกก้องกังวาน

ถึงเวลาแล้ว ที่ตัวตนของจาเรฟ โอมาลนอฟจะต้องถูกเปิดเผย!

ทเวนเปิดคอมพิวเตอร์คู่ใจที่พร้อมให้เขาใช้งานด้วยความจงรักภักดีโดยไม่รอช้า นิ้วเรียวเคาะแป้นพิมพ์ลงไปในไฟล์สืบค้นข้อมูล กดปุ่มเอ็นเทอร์ แล้วรอ

กรอบเหลี่ยมสีเขียวไล่ผ่านตัวอักษรบนหน้าจอไปอย่างรวดเร็ว ก่อนไปหยุดยังแถวรายชื่อหนึ่งแล้วกระพริบถี่ รูปภาพกับข้อมูลค้นหาพลันถูกเรียกแสดงโดยอัตโนมัติ

“...จาเรฟ โอมาลนอฟ...ไม่ผิดแน่ หน้าตาเหมือนไอ้เด็กนั่นชะมัด”

เขาไล่อ่านประวัติคนตรงหน้าอย่างละเอียด ทว่ายิ่งอ่าน...ก็ยิ่งพบว่าทุกสิ่งผิดไปจากที่คิด

จาเรฟเป็นบุตรชายคนเล็กของเอเฟ็ท โอมาลนอฟ...เศรษฐีบ่อน้ำมันผู้ร่ำรวยติดอันดับโลก และมีคดีพัวพันเกี่ยวกับการค้ายาเสพติดข้ามชาติอยู่ ปัจจุบันมีภรรยาสี่คน ภรรยาคนที่สี่คือลีเด็น ควอตส์

“ลีเด็น...ชื่อมันคุ้นๆนะ...เฮ้ย! เวรแล้ว ยัยลีเด็นหรอกรึนั่น”

ภาพอดีตเพื่อนสาวร่วมงานหน้าตาสะสวยน่ารักเหมือนตุ๊กตาแต่นิสัยยังกับม้าดีดกะโหลกผุดขึ้นมาในความคิด ดวงตาสีฟ้าใส...เหมือนใครบางคน กับเรือนผมสีทองอร่าม และนิสัยขี้แกล้งที่ทเวนแสนเกลียด

ดวงตาเข้มดุเลื่อนลงมาอ่านประโยคสุดท้ายแล้วแทบร้องลั่นห้อง

มารดาของจาเรฟ โอมาลนอฟ...บุตรชายคนสุดท้องที่เอเฟ็ทรักที่สุด

“โธ่...มิน่าล่ะ  นิสัยเหมือนกันยังกับแกะ แต่ทำไมคนลูกมันถึงออกแนวหื่นแบบนั้นวะ”

ทางที่ดีขออย่าได้เจอกันอีกจะดีกว่า...เขาปิดหน้าจอลง  เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

“เข้ามา”

สิ้นคำอนุญาต นายตำรวจหนุ่มก็เดินเข้ามาพร้อมซองเอกสารในมือ

“ผมโทรตามคุณทเวนตั้งหลายครั้ง ทำไมไม่รับสายเลยล่ะครับ”

คำฟ้องนั่นส่งให้ทเวนเอามือตะปบกระเป๋ากางเกงอย่างลืมตัว ก่อนนึกได้ว่าถูกใครบางคนยึดโทรศัพท์ไปแล้ว เขาได้แต่แก้ตัวเสียงขุ่น

“มันหายน่ะ ขอโทษที”

“ครับ ไม่เป็นไรครับ”

“ว่าแต่...ฉันยังไม่ได้สั่งให้ใครไปหาข้อมูลของคดีล่าสุดมาเลยไม่ใช่หรือ”

ตำรวจคนนั้นทำหน้าพิศวง   “อ้าว...แต่เจ้าหนูนั่นบอกว่า...”

“เจ้าหนู!”   อัยการหนุ่มพรวดพราดลุกขึ้นจนผู้ที่มีศักดิ์ต่ำกว่าถึงกับสะดุ้ง

ทเวนไม่สนใจ รีบรุกคืบต่อทันที

“แล้วมัน...เอ้ย...เด็กนั่นว่าไงบ้าง หน้าตาล่ะ เด็กคนนั้นดูเป็นยังไง”

คำถามที่รัวมาเป็นชุดส่งให้คนถูกถามต้องเรียบเรียงความคิดอยู่นานทีเดียวกว่าจะตอบได้

“ก็...ผมสีดำสนิท ผิวขาว ตาสีฟ้า อายุประมาณสิบสามปีเห็นจะได้ครับ หน้าตาเหมือนลูกครึ่ง น่ารักมากทีเดียว”

...น่ารักตายล่ะ

“อ้อ...เด็กคนนั้นฝากบอกว่า ให้ดูเอกสารแล้วค่อยตัดสินใจน่ะครับ”

ทเวนพยักหน้ารับ ขณะที่ตามองวัตถุตรงหน้าราวจะแผดเผาให้เป็นเถ้าธุลี

รอจนคล้อยหลังอีกฝ่ายและได้ยินเสียงปิดประตูแล้วนั่นละ  ชายร่างสูงถึงยอมหยิบเอกสารขึ้นมาช้าๆ

เอ็ดเวิร์ดหลับตาแน่น กัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซึม...เนิ่นนาน  กว่าถ้อยคำน่าอายจะหลุดออกมาจากริมฝีปากแผ่วเบา

“...ทำให้ผม..ร้องไห้ที...”

เท่านั้นละ มือหยาบกร้านก็ถอนออก และช้อนร่างเอ็ดเวิร์ดขึ้นไปกอดแนบแน่น

“ทำตัวน่ารักอย่างนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว”

แม็กเกลพรมจูบซอกคอหอมกรุ่น ขบจนขึ้นรอย  มือสองข้างจับสะโพกขาวให้กดลงบนท่อนแข็งตึงที่พร้อมออกรบอยู่นานแล้ว

“อื้อ...”

เสียงทุ้มครางแนบใบหูยิ่งโหมกระพือเพลิงปรารถนาของปีศาจหนุ่มจนใกล้ระเบิดเต็มที  แม็กเกลไม่รอช้า กดเอ็ดเวิร์ดลงบนเบาะ แล้วเสือกอาวุธเข้าใส่เต็มแรง

“เจ็บ!”   คำอุทธรณ์ดังลั่น เรือนกายขาวสะอาดเกร็งสะท้าน  นัยน์ตาสีเทาอ่อน ไหวระริก น้ำตาคลอหน่วย มองชายหน้าบากดุจขอความเห็นใจ

แม้จะรำคาญ แต่ร่างนั้นกลับหยุดการเคลื่อนไหวอันป่าเถื่อนลงชั่วครู่ แล้วลูบไล้มือไปตามผิวเรียบเนียนของเขาแทนคำปลอบโยน

คิดไปเองหรือไรนะว่า บทรักเร่าร้อนคราวนี้  มิได้มีเพียงเพลิงแค้นแผดเผาหัวใจ

หากยังเจือไว้ด้วยเพลิงพิศวาสเลิศล้ำเบาบาง

“เอ็ดเวิร์ด”

เดอะ สการ์เฟสเรียกเขาอย่างอ่อนโยนเป็นครั้งแรก  เสียงนั้นราวจะก้องสะท้อนลงกลางใจของชายหนุ่ม เอ็ดเวิร์ดเงยหน้ามองเขา และถูกปิดปากด้วยจุมพิตที่หวานซึ้งยิ่งกว่า

การกระทำของแม็กเกลในลักษณะนี้ทำให้อีกฝ่ายปวดหนึบไปทั้งใจ

‘ฉันยังมาไม่ถึงครึ่งทางของการแก้แค้นเลยด้วยซ้ำ’

เสียงหยามหยันแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล...ชายหนุ่มนอนหลับตานิ่ง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินจากขอบตาร้อนผ่าว

อาจบางที คงถึงเวลาแล้ว...ที่เขาจะต้องขอความช่วยเหลือจากชายผู้นั้น

แมทธิว ซายส์





“นี่มัน...ข้อมูลของเอ็ดเวิร์ดทั้งหมดเลยนี่ หมายความว่าไงวะ”

ทเวนอ่านข้อความในกระดาษด้วยความตระหนก อดีตของเพื่อนสนิทที่พวกเขาพยายามปกปิดตลอดมา...เรื่องที่เอ็ดเวิร์ดเป็นลูกโสเภณี เป็นเด็กไม่มีพ่อ...จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด!  แค่ทุกวันนี้เพื่อนของเขาก็เจ็บปวดมากพออยู่แล้ว ขออย่าให้ใครรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกเลย

ข้างในซอง  นอกจากข้อมูลเหล่านั้นแล้ว  ยังมีกระดาษพับใบเล็กที่ถูกเปิดอ่านเป็นลำดับต่อมา...ซึ่งก็จริงดังคาด เป็นข้อความประเภทสั่ง และต้องได้!

ที่นายได้เห็นไปทั้งหมดนั่นเป็นแค่ตัวสำเนา แต่ฉบับจริงทั้งหมดอยู่ที่ฉัน ถ้าไม่อยากให้ความลับของเพื่อนนายถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน มาเจอกันที่ดาดฟ้าตึกร้างข้างตึกเอ็มแสท ฉันให้เวลาถึงแค่สี่โมงเย็นวันนี้เท่านั้น

แล้วจะรอ...จาเรฟ

“เวรเอ๊ย อีกสิบนาที ทันไหมวะเนี่ย”

ร่างสูงหอบของฝากจากจาเรฟขึ้นกอดไว้มั่น  แล้ววิ่งกระโจนออกจากห้องด้วยความเร็วที่แม้แต่ตัวเองยังตกใจ...เพราะขืนไปไม่ทัน งานนี้มีเรื่องแน่!





“นายมาช้าไปสองนาที”

ถ้อยคำตำหนิดังขึ้นทันทีที่ขาสองข้างเหยียบย่างเข้าสู่เขตดาดฟ้า

ทเวนยืนพิงกำแพงอย่างหมดแรง พลางมองจาเรฟด้วยสายตาที่บ่งบอกชัดเจนว่าเขาอยากต่อยปากมันมากแค่ไหน

“แต่อย่างน้อยนายก็มา”

...เออสิ อย่างมากเลยแหละ

ชายหนุ่มจ้องร่างสมส่วนที่เดินใกล้เข้ามาทีละนิดอย่างหมั่นไส้ อดปากไม่อยู่ต้องถามเสียดสีไปว่า

“มัวแต่มาเที่ยวเล่นอย่างนี้เดี๋ยวก็ถูกตัดออกจากกองมรดกหรอก”

จาเรฟชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในแบบที่ทเวนไม่ชอบเอาเสียเลย

“สนใจเรื่องฉันด้วยหรือ?”

“ไม่เลยโว้ย แต่เพราะแกมันเป็นตัวอันตรายมาจากไหนก็ไม่รู้ต่างหาก”

“นั่นแหละ ที่เรียกว่าสนใจ”

กว่าจะรู้ ร่างของเด็กหนุ่มก็มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ทเวนเบี่ยงกายหลบ  แต่ถูกอีกฝ่ายเอาแขนเท้ากำแพงไม่ให้หนี พร้อมคำขู่ที่ทำให้เขาต้องหยุดจริงๆ

“ถ้าหนีไปล่ะก็ ภาพนายที่ถูกฉันเก็บไว้จะลงไปอยู่ในอินเทอร์เน็ตแน่นอน”

“...ไอ้เด็กบ้า”

คำต่อว่าอย่างเหลืออด ส่งให้รอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้ากลายเป็นยิ้มกว้าง จาเรฟแนบตัวเข้าไปกอดทเวนเอาไว้อย่างถือว่าเหนือกว่า

“ฉันฟ้องแม่นายแน่ รับรองได้”   ยินเสียงห้วนกระชากบอก

“ฮึ...ก็แม่นั่นแหละ  ที่เป็นคนอนุญาตให้ฉันมาหาทเวน   แถมยังฝากบอกมาอีกว่า แกล้งเท่าไรก็ได้”

โอ...ยัยลีเด็น เจอกันคราวนี้ฉันฆ่าเธอแน่ ไปสอนลูกอีท่าไหนให้มันกลายเป็นตัวหื่นแบบนี้วะ!

อัยการหนุ่มคาดโทษอดีตเพื่อนสาวคนสนิทอยู่ในใจโดยไม่รู้เลยว่า  ในอนาคตอันใกล้นี้เขาต้องเผชิญหน้ากับอะไร

“แล้วตกลงแกไปได้ข้อมูลของเอ็ดเวิร์ด...เพื่อนของฉันมาจากไหน?”

“อืม ความจริงแล้วมันเป็นของเดอะ สการ์เฟสน่ะ”

“หา! นี่แกมีความสัมพันธ์ยังไงกับไอ้มาเฟียนั่นกันแน่วะ”

กับคำถามนั้น จาเรฟช่างยักไหล่ได้กวนอารมณ์เหลือเกิน

“เปล่า ไม่รู้จักหรอก แต่สนิทกับพ่อมาก”

...เรื่องค้ายาเสพติดข้ามชาติ

ทเวนรับรู้ความจริงในคราวนี้เอง  ว่าใคร...ที่เสริมอำนาจให้แม็กเกลผงาดขึ้นมาได้ไกลถึงเพียงนี้

ความคิดหยุดลงกลางคันเมื่อสัญญาณระแวงภัยสัมผัสได้ถึงอันตรายคุกคาม อัยการหนุ่มเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากที่กำลังจะจูบคางเขา  กลายเป็นการยื่นซอกคอให้ความอุ่นร้อนรุกรานนั้นจู่โจมแทน

“เฮ้ย! อย่า”   ใบหน้าคมสันถอดสีเมื่อรับรู้ถึง ‘อะไร’ ใต้กางเกงของตน

มือมันไวอะไรอย่างนี้!

ทเวนมือหนึ่งกกกอดเอกสารแน่น  อีกมือก็พยายามดันร่างเล็กออก

หากไร้ผล จาเรฟยังคงเกาะหนึบราวกับตุ๊กแก

“ไอ้เด็กหื่น ถอยไปไกลๆเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย”

“ไม่”

คำยืนยันสำหรับคำตอบนั้นคือรอยยิ้มหวาน และมือซึ่งล้วงเข้าถึงกางเกงชั้นในอันเป็นปราการด่านสุดท้ายของทเวน

“ก็บอกให้หยุด!”

“เอาสิ ฉันหยุด ข้อมูลพวกนั้นกับภาพของนายหลุดออกไปแน่”

ชายร่างสูงสะอึก ขณะที่เด็กหนุ่มยิ้มกริ่มในชัยชนะที่ลอยลำมาแต่ไกล  มือเล็กดึงขอบกางเกงในของเขาลงทีละนิดอย่างยั่วเย้า

“ทเวนนี่น่ารักจริงๆเลยน้า”

...ไม่มีคำตอบโต้ ทเวนยังคงนิ่งเฉย หากมือกำแน่นจนขึ้นข้อขาว

ภาพนั้นทำให้ใครบางคนถึงกับซ่อนยิ้มในหน้าเอาไว้ไม่อยู่

นี่สิ น่ารักที่สุด สมแล้ว...ที่ฉันอยากได้นักหนาจนบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่ ซ้ำยังเสี่ยงชีวิตไปขโมยข้อมูลของอัยการหนุ่มคนนั้นมาจากคู่ค้าของพ่ออีกต่างหาก

“ทเวนน่ารักจัง”

“อ๊ะ!”

กางเกงในหลุดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่มือสองข้างที่กำลังเค้นคลึงแก้มก้นนุ่มนิ่ม...ดุจจะขยำขยี้ให้แหลกเละคามือทำให้เขาตัวสั่นเทาอย่างมิอาจระงับ เผลอปล่อยมือจากหนังสือมาจับไหล่คนตรงหน้าแทน ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายออกแรงแหวกแยกผิวกายด้านหลังจนรู้สึกถึงความเย็นในส่วนซ่อนเร้น  ใบหน้าที่เคยบึ้งตึงอยู่เป็นนิจก็เรื่อสีจัดจนดูน่ารักมากในสายตาใครบางคน

“อะ...เอามือออกไป เรฟ”

ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใสอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“อย่างนี้หรือ?”

“ฮึก...”

แทนที่จะทำตาม นิ้วข้างหนึ่งกลับแตะตรงกลีบนุ่มราวจะเย้ยหยัน ทเวนจิกเสื้อจาเรฟแน่น ขุ่นแค้นจนแน่นอก แต่กลับตอบโต้ใดๆไม่ได้เลย นอกจากทรุดกายลงดั่งจะยอมรับว่าตนพ่ายแพ้ให้แก่เด็กหนุ่มรุ่นเยาว์ตรงหน้าเสียแล้ว





ดวงตาสีเทาอ่อนมองส่งรถคันงามแล่นจากจนลาลับสายตา เอ็ดเวิร์ดประหวัดใจนึกถึงรอยยิ้มหยามเหยียดเจือเสน่หาของแม็กเกลด้วยความปวดร้าว

สุ้มเสียงกระด้างแว่วผ่านเข้ามาในห้วงคำนึง

‘วันมะรืนนี้จะมารับ’

ชายหนุ่มรูปงามก้มหน้าลงต่ำ บอกตัวเองว่า

วันนั้นจะไม่มีวันมาถึง...อย่างที่แม็กเกลต้องการ

เขาเดินกลับเข้าไปในตึกช้าๆ  ขาสั่นระริกจากเพลิงพิศวาสแผดเผา หากใจกลับเฝ้าพะวักพะวงคิดถึงชายหนุ่มอีกคน...คนที่แม็กเกลให้คำรับรองว่ายังปลอดภัยดีอยู่ และยามนี้คงกำลังรอการกลับมาของเขาอย่างกระวนกระวายอยู่เป็นแน่

“ทเวน”   เอ็ดเวิร์ดเรียกหาเพื่อนสนิท  พร้อมผลักประตูเข้าไปในห้อง  ก่อนนิ่งไปอย่างประหลาดใจเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในห้องนั้นเลย

“ทเวน...”

ออกไปที่ไหนกันนะ?
.
.
(มีต่อ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)

“อื้อ...อ๊า...ไอ้เด็กบ้า...ฉันจะ...ฆ่าแกแน่...โอ๊ย!”

ถ้อยคำบาดหู  ผิดกับน้ำเสียงครางกระเส่ารัญจวนใจ  ดังออกมานับครั้งไม่ถ้วนจากปากทเวนผู้หมดหนทางและจนแต้ม

จาเรฟหัวเราะแผ่วเบาในลำคอพร้อมกับดันมือพรวดเข้าไป กดวนตรงจุดกระสันจนเห็นร่างสูงชุ่มเหงื่อสะดุ้งเฮือก

“นี่แค่มือเองนะทเวน จะไปอีกแล้วหรือ?”

“พะ...พอได้แล้ว!”   ทเวนนึกสาปแช่งจาเรฟในใจไม่รู้กี่หน  ขณะเอามือที่ถูกมัดด้วยเนคไทจิกแผ่นหลังคนตรงหน้าเป็นการระบายอารมณ์

“เจ็บนะ”   จาเรฟประท้วง

“ก็เออสิ! เอามือออกไป”

ฝันไปเถอะ...นัยน์ตาสีฟ้าใสจับจ้องสีหน้าทรมานเปี่ยมสุขของอัยการหนุ่มพร้อมกับชั่งใจว่าเขาควรลงมือถึงขั้นสุดท้าย รวบหัวรวบหางไปเลยดีไหม

เสียงเพลงดังขึ้นขัดจังหวะความเร่าร้อนลงฉับพลัน จาเรฟล้วงโทรศัพท์ของทเวนที่บัดนี้กลายเป็นของเขาแล้วขึ้นมาดู ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นชื่อบนหน้าจอเล็กๆ

“ใครกันล่ะนี่...เอ็ดเวิร์ด”

“ไม่ต้องรับ!”   คำสั่งดุดัน

เด็กหนุ่มกดรับ  แล้วส่งโทรศัพท์ไปจ่อหูทเวนที่หน้าซีดลงด้วยความโกรธ ทำให้ชายร่างสูงต้องพูดลงไป ทั้งที่ใจจริงนั้นเขาอยากบีบคอใครสักคนให้ตายคามือจริงๆ

“ฮะ...ฮัลโหล”

‘ทเวน นายอยู่ที่ไหนน่ะ  ทำไมรับสายช้าจัง’

กับคำถามนั้น ทเวนได้แต่หาข้อแก้ตัวเป็นพัลวัน

“เอ่อ...พอดี...ฉันถือของอยู่น่ะ เลยต้องหาที่วางก่อน ฉัน...ฉันก็อยู่แถวนี้แหละ อย่าถามเลย อ๊ะ!”

‘นั่นนายทำอะไรอยู่น่ะ ทเวน’

เอ็ดเวิร์ดถามเหมือนจะจับผิด

“ปละ...เปล่า ไม่มีอะไร...”   ทเวนนึกอยากฆ่าปีศาจลามกที่ยามนี้กำลังขยับมือรุกรานพรหมจรรย์ของเขาอยู่นัก   “โทษที...เมื่อกี้นายว่าไงนะ เอ็ด”

‘อืม...ฉันแค่จะถามว่านายยุ่งอยู่หรือเปล่าน่ะ’

“หา...อ๋อ ไม่ ไม่เลย... เพียงแต่ฉันจะกลับไปช้าหน่อยแค่นั้นเอง”

หลังจากจับไอ้เด็กบ้านี่กดน้ำตายแล้ว...เขาต่อในใจสุ้มเสียงเกรี้ยวกราด

ได้ยินคนปลายสายตอบรับราบเรียบ

‘ฉันรอนายที่ห้องนะ...เดี๋ยวเจอกัน’

ได้ เจอกันที่ไหนก็ได้ แต่รีบวางสายไปเถอะ แล้วอย่ารู้เลย...ว่าเวลานี้ เขากำลังทำอะไรอยู่

คล้ายดักเดาความคิดของชายร่างสูงออก   ดังนั้นมือที่กำลังรุกรานช่องทางคับแคบอยู่ด้านหลังจึงถอนออกทันควัน ตามติดมาด้วยเสียงปลดตะขอเร็วรี่

“อย่า! ไอ้บ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ”

เสียงตะเบ็งร้องของอัยการหนุ่มยิ่งโหมกระพือความดิบเถื่อนให้พลุ่งพล่าน

จาเรฟไม่รอช้า  จับสะโพกอีกฝ่ายไว้มั่น แล้วเสือกแทงอาวุธเข้าไปสุดแรง

ทเวนตัวสั่นสะดุ้ง ร้องด้วยความเจ็บปวดระคนตกใจ

“โอ๊ย! เจ็บ! มันเจ็บ เอาออกไป!”

ตวาดลั่นอย่างเดือดดาล แต่กลับบีบรัดตัวตนของจาเรฟแน่นจนเขาแทบถึงจุดสุดยอดในคราวเดียว เด็กหนุ่มดึงโทรศัพท์กลับมาแนบหู แล้วกรอกเสียงลงไปห้วนสั้น

“แค่นี้นะ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม”   ก่อนตัดสายทิ้งไปอย่างไม่ใยดี

“อึก...ไอ้เด็กบ้า ฉันจะฆ่าแก”

ทเวนปรามาสทั้งน้ำตา   หัวใจดวงที่บอบช้ำยิ่งร้าวระบมสาหัสยามถูกแก่นกาย

ชำแรกแข็งขึง บุกรานย่ำยี จนโลหิตไหลย้อมต้นขาขาวเป็นทาง...

ผิดกับหัวใจของจาเรฟที่เบิกบาน พองฟู ราวจะลอยได้  ยามที่รับรู้ว่าคนรักของตัวเองยังบริสุทธิ์และไร้เดียงสา   ผิดกับภาพลักษณ์ที่มองเห็นว่าเขาเป็นบุรุษผู้ช่ำชองเจนจัดในกามปรารถนามากเพียงใด

และนั่น ยิ่งทำให้เขาหลงรักชายหนุ่มที่ชื่อทเวน เทมส์มากกว่าเดิม





ทเวนวางสาย...ไม่สิ...ถูกใครบางคนตัดสายทิ้งไปนานแล้ว แต่เสียงสุดท้ายที่ได้ยินนั้น...เป็นเสียงของเพื่อนหนุ่มจอมเฮี้ยวไม่ผิดแน่ ที่สำคัญคือ มันฟังเหมือนกับ...

“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอก”  เอ็ดเวิร์ดปรารภกับตัวเอง

แต่ความคิดกลับพาเขาเตลิดไปเห็นภาพเพื่อนสนิทถูกผู้ชายจู่โจมเข้าจนได้

“โธ่...ทเวน ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”   เอ็ดเวิร์ดรำพึงด้วยความเป็นห่วง

สิ้นคำ เสียงประตูพลันเปิดออก  ชายเจ้าของชื่อปรากฏกายที่หน้าห้องคล้ายถูกมนต์เสกเรียกตัวมา ดวงหน้าคมเข้มบึ้งสนิทเหมือนโกรธใครมาสักสิบชาติ

“ขอโทษที่มาช้า”

ฟังสิฟัง แม้น้ำเสียงยามเจรจาพูดคุยกับเขายังติดจะห้วนสั้นถึงเพียงนั้น

เอ็ดเวิร์ดมองท่าทางการเดินอันแปลกประหลาดของเพื่อนสนิทด้วยความสงสัยใคร่รู้ ปากถามไถ่ว่า

“นายไปทำธุระที่ไหนมาหรือ ทเวน”

“ที่...ตึกเอ็มแสทน่ะ”

“อ้าว ก็ใกล้แค่นี้เอง แล้วทำไมถึงนานจังล่ะ”

คำนี้ไล่ต้อนอีกฝ่ายเสียจนมุม ทเวนอึกอักเป็นนานกว่าจะตอบได้

“เอ็ด ตอนนี้ฉันคิดว่าเข้าใจความรู้สึกนายแล้วว่ะ สยองฉิบ...”

แล้วก็จบประโยคไว้เพียงแค่นั้น แต่สำหรับเอ็ดเวิร์ด ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากปากทเวนได้บอกเล่าทุกสิ่งแก่เขาแล้ว มันชัดเจนยิ่งกว่าดวงตาหม่นมัวคู่นั้นเสียอีก

“...กับใคร?”

ทเวนเงียบ เฉกเช่นทุกครั้งที่เขาต้องการให้จบเรื่องไว้เพียงเท่านี้ และไม่ต้องการให้ใครเอ่ยถึงมันอีก

ทว่าสำหรับเอ็ดเวิร์ด...คราวนี้เขา ‘ยอม’ ไม่ได้จริงๆ

“กับใคร...ทเวน”

“มันจบไปแล้ว จะไม่มีอีกแล้ว สาบานได้ เอ็ดเวิร์ด นายต้องเชื่อฉัน”

“ฉันรู้ว่าสำหรับนายมันคงจบ แต่คนคนนั้นของนายล่ะ เขาจะจบด้วยหรือ”

ทเวนได้แต่นิ่งอึ้ง เถียงไม่ออกสักคำ

เอ็ดเวิร์ดเห็นดังนั้น  จึงแตะบ่าเพื่อนให้กำลังใจ ถามเสียงอ่อนลงมากทีเดียว

“ทเวน...คนที่ ‘ทำร้าย’ นาย มันมีความเกี่ยวข้องกับแม็กเกลใช่ไหม?”

คนถูกถามทำท่าจะปฏิเสธ แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ ยินยอมบอกเล่าเรื่องราวอันซับซ้อนวุ่นวายออกมา ยามเห็นสายตาคาดคั้นจริงจังของอีกฝ่าย

“คนที่นายถามถึงคือจาเรฟ โอมาลนอฟ เป็นบุตรชายคนเล็กของตระกูลเศรษฐีเจ้าของบ่อน้ำมัน  หนึ่งในกลุ่มคนที่หนุนหลังให้เดอะ สการ์เฟสนั่นละ ส่วนฝ่ายแม่...ก็ยัยลีเด็น ควอตส์ อดีตเพื่อนร่วมอาชีพเก่าของฉันกับนายคนนั้นไง”

แต่เขาไม่ได้บอกเรื่องเอกสาร ที่ถูกใครบางคนฉกฉวยกลับไปได้อีกครั้ง

“ดูเหมือนนายจะแพ้ทางทั้งแม่ทั้งลูกเลยนะ...”

เสียงเอ็ดเวิร์ดแสดงความเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะขยายความแบบกำกวม

“ฉันเองก็ไม่ต่างไปจากนายนักหรอกทเวน  เพียงแต่...ต่างคน ต่างเวลา...แล้วก็ต่างวิธีการ เท่านั้นเอง”

แต่คนฟังกลับ เข้าใจ ขึ้นมาทันที

“แม็กเกลทำอะไรนาย! มัน...มันข่มเหงนายหรือ”

โพล่งไปแล้ว ก็เพิ่งรู้ตัวว่าพลาด...เพราะความห่วงใย จึงเผลอคายความลับที่ไม่ควรเอ่ยถึงออกมา และเมื่อสำนึกได้ ก็อยากคว้าคำพูดนั้นกลับคืนเหลือเกิน

กลับกลายเป็นเอ็ดเวิร์ดเสียอีก ที่ตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน

“เป็นอย่างที่คิดจริงๆ นายเองก็ถูกจาเรฟอะไรนั่นรังแกมาเหมือนกันสินะ”

พอเห็นคนถูกรังแกงุดหน้าหนี เขาก็ยิ้มเหี้ยม บอกเสียงลอดไรฟันว่า

“แม็กเกลมันข่มเหงฉัน ทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิงของมัน  แต่ฉันจะไม่ขอทนอีกต่อไปแล้ว...ว่าไง ทเวน นายจะเอากับฉันด้วยไหม...เอาคืนไอ้พวกนั้นด้วยกัน”

ทเวนมองท่าทีมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยมนั่นแล้วอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า เอ็ดเวิร์ดมีแผนอะไรซุกซ่อนอยู่ในหัวใจกัน

...แต่ที่แน่ๆ เห็นรอยยิ้มอย่างนี้ทีไร ไม่เห็นมันจะเป็นความคิดที่ ‘ดี’ เลยสักครั้ง





แมทธิว ซายส์คือใคร?

สำหรับเอ็ดเวิร์ด ชายหนุ่มรุ่นพี่คนนั้นมิได้เป็นเพียงสหายเก่าหรือคนรู้จักธรรมดา แมทธิวเป็นเป้าหมาย เป็นหลักชัยแห่งความสำเร็จที่ทำให้เขามีทุกวันนี้ได้

และแน่นอน เอ็ดเวิร์ดยังจดจำสถานที่ที่พวกเขาพบกันครั้งแรกได้เป็นอย่างดี

บ้านเด็กกำพร้า

นับแต่วินาทีแรกที่ได้พบ ความโดดเด่นของสองพี่น้องตระกูลซายส์..แมทธิวและมาเรส...ก็ดึงดูดสายตาของเขาจนไม่อาจละไปที่ใดได้อีกเลย  เอ็ดเวิร์ดรู้ดีว่าเด็กผู้ชายทุกคนต่างพากันหลงใหลรอยยิ้มสว่างไสวของเด็กสาวสวยจอมงอแงติดพี่คนนั้น

เขาเองก็คอยชื่นชมหล่อนอยู่เงียบๆเช่นกัน เอ็ดเวิร์ดเฝ้ามองรอยยิ้มอ่อนโยนจากมาเรสอยู่ห่างๆอย่างเจียมตน ยิ่งสาวน้อยมีพี่ชายที่สมบูรณ์แบบอยู่ข้างกาย มนุษย์คนอื่นจึงแทบไม่ต่างอะไรกับก้อนกรวดไร้ค่าในสายตาของมาเรส

ขณะเดียวกัน ยิ่งแมทธิวเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลา เฉลียวฉลาดโดดเด่นมากเท่าไร ความชังน้ำหน้าที่เด็กร่วมบ้านมีให้ก็ยิ่งมากตามไปด้วย

ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน  ความเป็นอัจฉริยะของเด็กหนุ่มคนพี่ก็เปล่งประกายออกมาให้ทุกคนได้ชื่นชม พรสวรรค์ของแมทธิวส่งให้ตัวเองและน้องสาวได้รับอิสรภาพจากกรงขังที่เรียกว่าสถานสงเคราะห์ท่ามกลางสายตาริษยาจากเด็กคนอื่น

มีรถคันงามขับมารับ ได้เสื้อผ้าชุดใหม่เป็นของขวัญสำหรับสวมใส่ในวันที่ลาจากบ้านแห่งนี้ไป ทุกฉากทุกตอนที่เกิดขึ้นกับสองพี่น้องตระกูลซายส์นั้นราวกับเทพนิยายที่กลายเป็นจริง...

เอ็ดเวิร์ดมองภาพตรงหน้าด้วยความขมปร่าในหัวใจ  แววตายามจดจ้องแมทธิวฉายความริษยาอย่างชัดเจน  และคล้ายว่าอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงสายตานั้นเช่นกัน  จึงเดินเข้ามาหา และกระซิบถ้อยคำที่ได้ยินเพียงพวกเขาสองคน

‘พยายามเข้านะ’

นับตั้งแต่นั้นมา แมทธิว ซายส์ก็มิใช่เพียงเพื่อนหรือคนรู้จักของเอ็ดเวิร์ดอีกต่อไป





ความคิดคำนึงทั้งหมดหวนกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง ดวงตาสีเทาอ่อนชำเลืองมองสีหน้าอยากรู้แกมระแวงของสหายสนิทอย่างขบขัน

“ทเวน นายเคยได้ยินชื่อ ‘สามตำนานแห่งเรดโซน’ หรือเปล่า?”

คำนี้สิ  ที่ทำให้คนตรงหน้าเบิกตาโต เลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ

“เคยสิ เคยแน่นอน...ให้ท่องชื่อรายตัวก็ยังได้เลย...เซอร์เซส เรคซ์ ซันโกคุ ต่อให้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมาก็ต้องเคยได้ยินทั้งนั้นนั่นละ”

ใช่ ไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยิน ชื่อที่ทุกคนรู้จัก...นามของอาชญากรผู้คุมกฎแห่งเมืองเรดโซน...อดีตสามราชาแห่งอาณาจักรฆาตกรอันโด่งดัง

เอ็ดเวิร์ดขุดค้นความทรงจำของตนอย่างเงียบๆ ขณะที่ทเวนเริ่มอธิบายยืดยาว

“...พูดถึงสามคนนั้นนะเอ็ด ฉันได้ยินมาว่าจู่ๆก็หายเงียบไปเลย แต่ก่อนจะไปพวกเขายังได้บัญญัติกฎใหม่ขึ้นมาใช้แทนกฎดั้งเดิมของเรดโซนด้วย...อ๊ะ!  ไม่ต้องถามนะว่ากฎอะไร เพราะไม่มีใครรู้หรอก...ไม่มีใครอยากเสี่ยงชีวิตเข้าไปสืบสาวความลับของเรดโซนเท่าไหร่ ฉะนั้นข่าวลือก็เลยยังเป็นแค่ข่าวลือมาจนทุกวันนี้  ส่วนฉันก็จำได้แค่ตอนที่พวกเขาบุกมาถล่มสำนักงานตำรวจจนกลายเป็นข่าวใหญ่ดังระดับชาติคราวนั้นแหละ ทำยังไงก็ลืมไม่ลงสักที...นี่ถ้าได้ตัวมาช่วยงานละก็ จะต้องเจ๋งมากแน่ๆเลย”

“แล้วนายอยากรู้หรือเปล่าล่ะทเวน ว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”

“นายพูดเหมือนรู้ที่ซ่อนตัวพวกเซอร์เซสงั้นแหละ”   ชายร่างสูงค่อนขอด

เอ็ดเวิร์ดยิ้มๆ ไม่ถือสาคำพูดเหน็บแนมนั้น  เขากดโทรศัพท์โทรหาใครบางคน  ระหว่างรอสาย ยังมีน้ำใจบอกทเวนเป็นนัยๆอีกว่า

“คนที่จะตอบคำถามนั้นได้ไม่ใช่ฉันหรอก แต่เป็น ‘เขา’ คนนั้นต่างหาก...วีรบุรุษผู้ปิดฉากตำนานเรดโซน อดีตตำรวจฝีมือเยี่ยมที่ใครๆต่างก็ต้องการตัว และ...ช่างเถอะ เดี๋ยวนายก็รู้เองแหละ





‘เขา’คนนั้นที่เอ็ดเวิร์ดพูดถึงจะเป็นใครก็ตาม  ทเวนอยากจะถามเสียให้มันรู้แล้วรู้รอดไปนักว่า ก็แล้วไอ้คนที่แกพูดมาทั้งหมดนั่นมันหมายถึงใครกันวะ!

น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังแว่วมาจากปลายสายแทบไม่ช่วยไขข้อสงสัยให้กระจ่างเลย  มีแต่ทำให้คน ‘มารยาทงาม’ อย่างเขาต้องยืนหงุดหงิดอยู่ก็เท่านั้น

และในที่สุด ความอดทนของทเวน เทมส์ก็ขาดสะบั้นลง!

ชายร่างสูงเหวี่ยงขาเตะโต๊ะดังสนั่นหวั่นไหว  และ...มันได้ผล!

คนปลายสายเงียบไปด้วยความอึ้ง ส่วนเพื่อนของเขาก็รีบเอ่ยขอโทษไม่หยุดปาก ก่อนตัดการติดต่อไปอย่างรวดเร็ว

“นายทำบ้าอะไร”

เอ็ดเวิร์ดหันมาต่อว่าอย่าง ‘พื้นเสีย’ ผิดปกติจนทเวนเริ่มเอะใจ  แต่ยังเลือกที่จะเถียงกลับด้วยสุ้มเสียงดุจเดียวกัน

“ไหนล่ะ คนที่นายบอกว่ารู้น่ะ...หา”

“เดี๋ยวมาแล้ว พอดีว่าเขามาส่งนมแถวๆนี้...”

“ส่งนม! นายจะยืมถังนมไปดักตีหัวไอ้แม็กเกลหรือไง นี่มันไม่ตลกเลยนะโว้ย”

“หยุด...ไม่ต้องพูดไปมากกว่านี้แล้วล่ะทเวน มากับฉันนี่  แล้วฉันจะให้นายได้รู้ ว่าไอ้ ‘คนส่งนม’ ของนายน่ะมันเป็นใคร”

ว่าแล้ว  เอ็ดเวิร์ดก็จัดการลากแขนเจ้าคนปากดีให้เดินออกไปพร้อมกัน  โดยไม่สนใจคำสบถที่ดังมาเข้าหูเป็นระยะๆ


​--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



ภาพเบื้องหน้าไม่ใช่รถกระบะบุโรทั่งที่บรรทุกถังนมไว้เต็มคัน กับคนขับที่สวมชุดฟาร์มโคเก่าย้วยตามที่ทเวนจินตนาการไว้เลยสักนิด

รถสปอร์ตสีแดงที่จอดเทียบอยู่ริมฟุตบาทหยุดตรึงทุกความสนใจเป็นตาเดียว ลวดลายอาชาดำผยองบนตราหน้ารถคือสัญลักษณ์แห่งมูลค่าอันมหาศาลที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี  แต่สิ่งที่คนบนถนนสายนี้มองเห็นชัดเจนที่สุดกลับเป็นชายร่างสูงเพรียวในชุดลำลองที่เพิ่งก้าวลงมา แม้แว่นตากันแดดจะปกปิดใบหน้าเรียวไปกว่าครึ่ง แต่เรือนผมสีส้มสว่างทอประกายกลับส่งให้บุรุษผู้นั้นดูเด่นสง่าอย่างน่าประหลาด

อัยการหนุ่มคล้ายคนเพิ่งตื่นจากภวังค์  เขาตั้งสติ ตวัดสายตาไปมองคนข้างตัวด้วยความสงสัยเหลือล้น

“แกแน่ใจนะ ว่านี่เป็นคนส่งนมอย่างที่แกว่าจริงๆ?”

เอ็ดเวิร์ดยังไม่ทันตอบ สุ้มเสียงทุ้มไพเราะดุจดนตรีก็เอ่ยทักขึ้นเสียก่อน

“เอ็ดเวิร์ดใช่ไหม”

ทเวนไม่อยากบอกเลยว่ากลุ่มผู้หญิงที่เดินสวนไปมาเริ่มหันมามองขึ้นเรื่อยๆ

...สาเหตุก็มาจากชายสวมแว่นดำคนนี้นี่ละ

“ครับ พี่แมทธิว อ้อ...นี่เพื่อนผมเอง ชื่อทเวน เทมส์ครับ เป็นอัยการเหมือนกัน”

“ทเวนหรือ? ผม...แมทธิว ซายส์นะครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

แมทธิว ซายส์...คนที่ปิดคดีสามตำนานแห่งเรดโซนอันลือลั่นคนนั้นน่ะนะ!

ถ้าไม่ติดว่าจะทำเพื่อนอับอายขายขี้หน้าแล้วล่ะก็...ทเวนแทบจะควักกระดาษกับปากกาขึ้นมาขอลายเซ็นเขาเสียเดี๋ยวนั้น ไม่คิดหรือคาดคิดเลยว่าคนที่เอ็ดเวิร์ดพูด

ถึงมาตลอดจะเป็นแมทธิว

ชายผมส้มมองสายตาอึ้งค้างของคนตรงหน้าผิดไปอีกทาง  เขารีบเอ่ยขอโทษเป็นพัลวัน

“ผมนี่เสียมารยาทจัง ไม่ยอมถอดแว่นซะได้”

“อย่าครับพี่แมทธิว”

ยินเสียงเอ็ดเวิร์ดร้องห้าม แต่ช้าเกินไป แว่นกันแดดถูกถอดออก ใบหน้าหล่อเหลางดงามราวรูปสลักปรากฏสู่สายตาทุกคน ดวงตาสีน้ำตาลเจือทองพราวระยับคล้ายดั่งมีดวงดาวนับร้อยนับพันอัดแน่นอยู่ในนั้น

ทเวนยืนอ้าปากค้างเป็นหนที่สอง ...เพิ่งรู้เพิ่งเข้าใจในนาทีนี้เอง  ว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงไม่อยากให้คนตรงหน้าถอดแว่นกลางสถานที่สาธารณชน

พูดก็พูดเถอะ...ขนาดเอ็ดเวิร์ดที่ว่าเป็นหนุ่มรูปหล่อแล้ว เจอแมทธิวเข้าไปทีเดียว ถึงกับชิดซ้ายไปเลย

“แถวนี้คนเยอะ พวกเราไปหาที่นั่งคุยสบายๆกันดีกว่า”

แมทธิวบ่นเมื่อเห็นว่าคนเริ่มเยอะขึ้น โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองคือต้นเหตุ

เขาชักชวนชายหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองไปนั่งคุยกันในคาเฟ่ใกล้ๆ

เพียงก้าวขาเข้าไปข้างใน  แมทธิวที่เดินนำหน้าก็ตกเป็นเป้าสายตาคนทั้งร้าน เอ็ดเวิร์ดและทเวนจึงตัดสินใจรอให้เขาหาที่นั่งได้ก่อน ค่อยตามไปสมทบทีหลัง

ระหว่างรอเครื่องดื่ม เอ็ดเวิร์ดมองผ่านกระจกไปข้างนอก เห็นกลุ่มคนยืนมุงรถเฟอรารี่ด้วยความตื่นตาตื่นใจ จึงถามขึ้นว่า

“รถคันนี้...พี่แมทธิวได้มาจากตระกูลหรือครับ”

“ใช่”   แมทธิวโคลงศีรษะรับ มองเขาอย่างแปลกใจ   “...นายรู้?”

“โธ่...รู้สิครับ เรื่องของพี่น่ะดังมาก หนังสือพิมพ์ทุกฉบับประโคมลงข่าวกันใหญ่  ไม่มีใครคิดว่า เด็กที่โตมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจะกลายเป็นทายาทแห่งโลเวลล์  ตระกูลขุนนางเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของอังกฤษไปได้หรอกครับ”

ชายหนุ่มรุ่นพี่หัวเราะเสียงเบิกบาน เห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ

“ใครจะคิดล่ะ ขนาดเจ้าตัวยังไม่คิดเลยนี่นะ”

ตลอดเวลานั้น ทเวนผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยได้แต่นั่งรับฟังเงียบๆ...หากจำไม่ผิด เขาคิดว่าเคยอ่านข่าวนี้อยู่เหมือนกัน...ข่าวของทายาทคนสำคัญ...เอิร์ล แม็กซิมิเลียน เจมส์ โลเวลล์ คนนั้น

บริกรสาวยกเครื่องดื่มมาที่โต๊ะ บทสนทนาจึงสะดุดลงไปชั่วขณะ

แมทธิวยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ก่อนตัดบทว่า

“พี่ไม่สนหรอก ชื่อเสียงเงินทองมันก็แค่สิ่งของนอกกาย...แต่คงดีกว่านี้ถ้ามาเรสได้รับรู้ความจริงว่าตัวเองเป็นใครอย่างที่เธอใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต”

“เรื่องมาเรส ผมเสียใจด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรหรอก เธอไปสู่สุขคติแล้วล่ะ”

บทสนทนาชักห่างไกลไปจากประเด็นสำคัญทุกที   ทเวนคนแก้วชาเขียวปั่นนมในมืออย่างเบื่อๆ  ชายร่างสูงเอนกายลงฟุบไปบนโต๊ะ  เป็นเวลาเดียวกับที่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น

“ฮัลโหล”

กดรับสายด้วยความลืมตัวไปแล้ว ก็นึกอยากกัดลิ้นตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดนัก   ตอนได้ยินเสียงหัวเราะใสๆแว่วมาตามลม

“ทเวน อยู่ที่ไหนน่ะ”

ชายหนุ่มหันขวับ เขาได้ยินเสียงไอ้เด็กเปรตอยู่แถวนี้แน่ๆ

“เอ้อ...อยู่กับ...เอ็ดเวิร์ด”

จำต้องป้องมือกระซิบตอบอย่างไม่มีทางเลือก  แต่ดูเหมือนแมทธิวแล้วเอ็ดเวิร์ดที่นั่งสนทนาย้อนความหลังกันอยู่จะไม่รู้สึกถึงความลุกลี้ลุกลนของเขาเลย

“อืม...ทำไมเสียงทเวนเหมือนอยู่ใกล้ๆเลยล่ะ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันไปหา บอกมาสิว่าอยู่ตรงไหน”

...กูยอมตายซะดีกว่าที่จะต้องบอกว่าอยู่ตรงนี้

ทเวนสวนกร้าวทันควัน...อยู่ในใจ  ยกโทรศัพท์ออกจากหูช้าๆ กลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ  แล้วแอบปีนดูอีกฝั่งด้วยใจระทึก

“ทเวน ทำไมไม่ตอบ อย่าให้ฉันต้องโมโหนะ”

นั่นละ  ทำเอาไถลตัวกลับมานั่งที่เก่าแทบไม่ทัน

เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะเป็นจาเรฟ โอมาลนอฟไม่ผิดแน่

คล้ายมองเห็นอนาคตอันมืดมัวมาแต่ไกล อัยการหนุ่มตัดใจยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูอีกครั้ง และกรอกเสียงตอบลงไปแผ่วเบา

“ฉันเดินซื้อของอยู่แถวๆนี้แหละ พอดีเห็นรถสปอร์ตเฟอรารี่สีแดงคันนึงสวยมากก็เลยเผลอมองนานไปหน่อย”

“จริงเหรอ ฉันก็นั่งอยู่แถวนี้พอดี เดี๋ยวเจอกันตรงหน้าร้านกระเป๋านะ”

จาเรฟตัดสายทิ้ง ก่อนทเวนจะได้ยินเสียงใครบางคนลุกจากเบาะ แล้วเดินหายไปตรงเคาน์เตอร์ชำระเงิน

เขาถอนใจออกมายาวเหยียด หันไปบอกลาแมทธิวและเอ็ดเวิร์ดอย่างเสียดาย

“ขอโทษนะครับ เผอิญว่ามีงานด่วนเข้ามาพอดี ผมขอตัวก่อน”

แล้วก็จากไปท่ามกลางความงุนงงของผู้ที่เป็นทั้งเพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานอย่างเอ็ดเวิร์ด จนอดเปรยขึ้นเบาๆไม่ได้

“แปลกจัง...งานก็เพิ่งทำเสร็จ  แล้วมีงานใหม่ตอนไหน ไม่เห็นรู้เลย”

“พี่คิดว่าเพื่อนของนายที่ชื่อทเวนไม่ได้มีงานด่วนหรอก”

เอ่ยข้อสันนิษฐานจบ แมทธิวก็ยิ้มที่มุมปาก

“พี่เห็นเขาลุกลี้ลุกลนตั้งแต่รับโทรศัพท์แล้วล่ะ เขาถูกใครข่มขู่อยู่หรือเปล่า”

ความอึ้งคือคำตอบของอัยการหนุ่ม

เอ็ดเวิร์ดแน่ใจว่า  ตั้งแต่เจอหน้ากัน  เขายังไม่เคยปริปากบอกปัญหาออกไปเลยสักคำ...แล้วทำไมคนตรงหน้าถึงรู้ได้

ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบ แมทธิวจึงมองดวงหน้าซีดขาวอย่างแปลกใจ

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะเอ็ดเวิร์ด  เอ๊ะ! หรือว่านายก็ถูกข่มขู่อยู่เหมือนกัน”

คราวนี้  คนฟังหน้าเปลี่ยนเป็นถอดสีทันที  การคาดเดาที่แม่นยำราวกับตาเห็นทำให้เอ็ดเวิร์ดเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า  เขาควรจะดีใจหรือเสียใจดี...ที่คิดขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มผู้ฉลาดเป็นกรดอย่างแมทธิว





จาเรฟนั่งรออยู่บนฟุตบาทตอนที่ทเวนไปถึง พอเห็นชายหนุ่มเดินฝ่าฝูงชนเข้ามาก็รีบลุกขึ้นทันที

“มาเร็วจัง นึกว่าจะช้ากว่านี้ซะอีก”   ดวงตาสีฟ้าใสมองทักกลับไป

“ก็บอกแล้วว่าอยู่แถวนี้ ว่าแต่ใครใช้ให้ไปนั่งตรงนั้นกัน...สกปรก”

ทเวนบ่น พลางเอื้อมมือไปปัดกางเกงให้อย่างลืมตัว

“ทเวนเป็นห่วงฉันหรือ?”

คำพูดที่ได้ยินส่งให้เขานิ่งอึ้งไปเป็นครู่ ชักมือกลับแทบไม่ทัน

“เปล่า”   บอกเสียงห้วนฉุนจัด พร้อมกับปรายตามองไปที่อื่นอย่างเบื่อหน่าย

จาเรฟกระตุกแขนเสื้อเรียก แต่เขายังวางท่าทีหมางเมินจนดูน่าหมั่นไส้มากกว่าจะต้องงอนง้อ

“ทเวน”

“อะไรอีกล่ะ มีธุระอะไรก็รีบๆพูดมาได้แล้ว”

“หึ...ทำเป็นไม่สนใจฉันหรือ...ได้!”

แล้วชายหนุ่มอกสามศอกอย่างทเวนก็ต้องร้องเฮ้ยออกมาดังลั่น  เมื่อมือเล็กๆคว้าหมับเข้าที่แก้มก้น เขาปัดมือของไอ้เด็กเวรออกไปอย่างเร็ว มันเร็วพอๆกับที่ใบหน้าคมขาวซีดหันมองไปรอบตัวนั่นละ

ใครมันเห็นไปบ้างวะ!

รอจนชัดแน่แก่ใจแล้วว่าไม่มีใครเห็นจริง ทเวนจึงเลื่อนสายตากลับมายังจาเรฟ

นัยน์ตาสีฟ้าใสพราวพร่างเสียจนน่าควักออกมาย่ำซ้ำเสียให้เข็ด ริมฝีปากหยักสวยที่บิดยกขึ้นน้อยๆเป็นรอยยิ้มสาสมใจนั่นก็อีก!  แม่งโว้ย!

อัยการหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกยาวก่อนเอ่ยถามสิ่งที่เขาคิดว่างี่เง่าที่สุดในโลกออกมา

“เมื่อกี้จับก้นฉันทำไม”

ดวงหน้าใสยังคงยิ้ม...อย่างที่เขาอยากนึกต่อให้จริงๆว่า ‘กวน’

“ก็...เป็นห่วง กลัวเจ็บ เดินไม่ไหว เผื่อต้องให้ฉันช่วยพยุง”

“นี่แก ก็แล้วใครกันที่มันเป็นต้นเหตุวะ”

จาเรฟทำหน้านิ่งไปนิด แล้วตอบเสียงไม่เบานักว่า

“ก็ผัวนายไง”

“เฮ้ย!”

ทเวนตะครุบปากอีกฝ่ายแทบไม่ทัน เห็นสายตาหลายคู่มองมาที่เขากับจาเรฟเหมือนมองตัวประหลาด  บางคนอาจคิดว่าเขากำลังล่อลวงผู้เยาว์อยู่ด้วยซ้ำไป

ทั้งที่ความจริง...ไอ้คนที่ถูกล่อลวงและพรากพรหมจรรย์น่ะ มันเขาต่างหาก

คิดอย่างเจ็บช้ำน้ำใจแล้ว ทเวนก็ลากแขนจาเรฟออกมาทันที  ก่อนที่ความปากเสียของใครบางคนจะทำให้เขาติดคุกในข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนา





บรรยากาศเย็นย่ำในย่านชุมชนต่างจากที่คิดไว้พอสมควร

ชายหนุ่มเคยคิดว่าร้านค้ามากมายบริเวณใจกลางเมืองจะดึงดูดนักท่องราตรีจำนวนมากให้มาเดินเที่ยวชมสีสันแสงไฟยามค่ำคืน แต่ในค่ำวันเสาร์เช่นนี้ จำนวนคนกลับดูบางตาจนน่าแปลกใจ

และนั่น  ยิ่งส่งให้คู่ของชายฉกรรจ์ในชุดสูท หิ้วถุงกระดาษพะรุงพะรัง กำลังจูงเด็กชายวัยแตกเนื้อหนุ่มเดินเคียงคู่กันกลายเป็นที่จับตามองมากที่สุดบนถนนแห่งนี้

มีคำวิจารณ์มากมายแว่วมากระทบหู   แต่ส่วนใหญ่จะออกไปในแนว ‘พ่อลูก’ กันเสียมากกว่า

“นี่...”   ทเวนกระตุกมือเตือนจาเรฟผู้หันไปค้อนใส่กลุ่มหญิงสาว เมื่อเห็นเด็กหนุ่มอ้าปากจะ ‘ย้อน’ คำวิพากษ์วิจารณ์นั้นกลับไป ซึ่งเขารู้ดีเลยละว่า คำพูดทั้งหมดจะออกมาในรูปแบบไหน

“เขาจะว่ายังไงก็ช่างเถอะนะ”

“แต่ฉันไม่ชอบนี่!”   จาเรฟกระแทกเสียง

“ทเวนไม่ได้เป็นพ่อของฉันซะหน่อย แต่ทเวนเป็น...”

ถ้อยคำที่เหลือถูกกลืนกลับลงไปในลำคอเมื่อเห็นสายตาดุเตือน

จาเรฟหน้างอง้ำเมื่อไม่ได้พูดอย่างใจ แต่แล้วความหงุดหงิดงุ่นง่านนั้นก็ราวกับถูกสายลมโบกพัดหายไปจนสิ้นจากจิตใจ ยามรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆเป่ารดใบหน้า

“ก็ให้พวกเรารู้กันแค่สองคนสิ ...ว่าเราเป็นอะไรกัน”

เด็กหนุ่มมองทเวนผู้โน้มศีรษะลงมาจนปลายจมูกของพวกเขาเกือบชนกัน

และก่อนจะห้ามตัวเองได้ทัน จาเรฟก็ชะโงกหน้าจูบปากเขาเต็มแรง ไม่คิดสนใจสายตาของคนรอบข้างอีกต่อไป

...ถ้าใครถาม...ก็บอกว่าพ่อลูกจูบกันสิ...

“เฮ้ย!”

ชายร่างสูงยืดตัวตรงโดยอัตโนมัติ คำรามลั่นในใจ

ไอ้เด็กบ้า! เห็นฉันอ่อนข้อให้หน่อยเป็นไม่ได้เลยนะแก!

“ทเวน ฉันเมื่อยแล้วล่ะ...พวกเราไปหาโรงแรมพักกันเถอะ”

ริมฝีปากที่อ้าขึ้นเพื่อสั่งสอนกลายเป็นการอ้าค้างไปทันใด เขาตวัดสายตามองเจ้าเด็กแสบตรงหน้าอย่างรู้ทัน หนอย...ไอ้เด็กแก่แดด หาทางเอาตัวรอดอยู่ล่ะสิ

ทเวนยอมรับว่าเขาโกรธมาก แต่พอเห็นสายตาวิบวับของจาเรฟแล้ว ผู้สูงวัยกว่าก็นึกต่อในใจทันทีว่า เขายินดียืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวยามค่ำคืนมากกว่าที่จะต้องไปอยู่ในห้องสองต่อสองกับคนข้างตัว





สีหน้ากระอักกระอ่วนใจของทเวน ทำให้คนที่แอบยืนสังเกตการณ์มาตั้งแต่ต้นถึงกับหลุดหัวเราะอย่างอดใจตัวเองไม่อยู่ เอ็ดเวิร์ดไม่คิดเลยว่า ภาพเด็ด ที่แมทธิวพูดถึงจะหมายถึงความพ่ายแพ้อย่างเต็มรูปแบบของทเวนจอมหยิ่งคนนั้น

แต่แล้วกลับมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาต้องละสายตาจากภาพตรงหน้า หันมามองชายหนุ่มรูปงามอย่างพินิจพิจารณา แล้วถามว่า

“พี่แมทธิวสูบบุหรี่ด้วยหรือครับ มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ”

แมทธิวชะงักเมื่อได้ยินคำเตือน ก่อนถอนใจออกมาเฮือกใหญ่  เก็บกล่องบุหรี่ลงในกระเป๋ากางเกง

“เลิกสูบไปตั้งนานแล้ว แต่ก็ติดไว้เพราะเวลาไปคุยธุระก็มีคนถามหาอยู่ดี”

“พี่สูบหลังจากที่มาเรส...เอ่อ...ไม่อยู่แล้วใช่ไหมครับ”

“อืม ช่วงนั้นมันทั้งเครียดทั้งสับสนไปหมด เห็นอะไรคว้าได้ก็คว้า กระโจนเข้าใส่

แทบไม่คิดเลยละ”

มาเรส ซายส์คือเหยื่อรายแรกของฆาตกรชื่อดังที่มีนามว่า ‘เซอร์เซส’...ผู้นำคนสำคัญและหนึ่งในสามเสาหลักแห่งเรดโซน...ศัตรูคู่แค้นตลอดกาลของแมทธิว

เขาเอื้อมมือไปจับมือชายหนุ่มรุ่นพี่เอาไว้อย่างให้กำลังใจ ปลอบเสียงนุ่ม

“แต่สุดท้ายพี่ก็ปิดตำนานเรดโซนลงได้แล้วนี่ครับ  ทุกอย่างจบลงอย่างสวยงาม...สำหรับทุกๆคน”

คิดไปเองหรือไร...ว่าเห็นดวงตาสีน้ำตาลเจือทองหม่นแสงลงวูบหนึ่ง ก่อนกลับเป็นเรียบเฉยดังเดิม

แมทธิวกระชับมือตอบแน่น ยิ้มนิดๆ

“บางที...สิ่งที่เราเห็น อาจไม่ใช่ความจริงอย่างที่เราคิดก็ได้ เอ็ดเวิร์ด”

ว่าแล้ว ก็ดึงร่างชายหนุ่มเข้าไปกอดพาดบ่าด้วยความสนิทสนม

“ดูเหมือนจะนอกเรื่องกันไปเยอะมากแล้วนะ เอาล่ะ...คำถามแรก นายเชื่อใจพี่หรือเปล่า”

คนถูกถามเหลียวมาสบตาอย่างงุนงง จมูกเฉียดผิวแก้มขาวละเอียดของแมทธิวไปนิดเดียว แต่เขาไม่สนใจ กระซิบถามต่อเสียงร้อนรน

“ถ้าไม่เชื่อ  ผมจะเล่าให้พี่ฟังทำไมล่ะครับ...ถึงแม้ว่าเรื่องกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะมาจากการคาดเดาที่แม่นมากๆของพี่ก็ตามทีเถอะ”

ท้ายประโยคแอบเสียดสีเล็กน้อยในความเก่งเกินคนของชายรูปงามตรงหน้า

เพราะแมทธิว ‘รู้’ มากกว่าที่เขาเล่าให้ฟังแน่ๆละ อย่างเช่นคำถามหนึ่ง ที่ทำให้เอ็ดเวิร์ดร้อนวาบไปทั้งตัว

‘แม็กเกลคงไม่ได้รุนแรงกับนายมากหรอกใช่ไหม?’

หรืออีกคำกล่าวที่ว่า

‘หึ...ใจจริงมันก็คงอยากจัดการนายให้เสร็จๆไปนั่นแหละ เพียงแต่...นายมี ‘ดี’ เกินกว่าที่มันคิดเอาไว้ แผนที่ว่าก็เลยต้องโยนทิ้งลงทะเลไปหมด’

หรือไม่ก็

‘ทิฐิของลูกผู้ชายมันก็ดีนะเอ็ดเวิร์ด  แต่บางที...การที่ยอมอ่อนข้อลงบ้าง อาจจะ

เจ็บตัวน้อยลงนะ’

ตอนนั้นล่ะ ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าถูกแมทธิวปั่นหัวเข้าให้แล้ว!

แถมกว่าจะพาตัวเอง ‘รอด’ ออกมาได้ เอ็ดเวิร์ดแทบกระอักเลือดตาย!

ทุกคำพูดที่ออกมาจากปากแมทธิวคมยิ่งกว่ามีดเสียอีก

.
.
(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)

แมทธิวลอบมองดวงหน้าหล่อเหลามึนตึง แล้วนึกย้อนไปถึงใบหน้าซีดเผือดตอนถูกคำพูดไล่ต้อนให้จนมุม

อดีตสารวัตรคนเก่งแห่งสถานีเรดโซนถึงกับส่ายหน้าช้าๆ

...เพราะยังอ่อนหัดแบบนี้น่ะสิ  แสดงทุกความคิดออกมาทางสีหน้าให้ศัตรูอ่านใจออก  ซื่อจนเรียกได้ว่าไม่รู้อะไรเลย ถึงได้ถูกแม็กเกล เดอะ สการ์เฟสปั่นหัวอยู่นั่น...แต่บางที...การแสดงออกทางร่างกายอาจจะดีกว่าสำหรับคนปากแข็งอย่างเอ็ดเวิร์ดก็เป็นได้

คล้ายมองเห็นแสงสว่างรำไรบนปลายทางเดินอันมืดมิด  แมทธิวเอามือลงจากบ่าชายหนุ่มรุ่นน้อง ครุ่นคิดหาวิธีการบางอย่าง

ก่อนถูกขัดด้วยเสียงรายงานของเอ็ดเวิร์ดที่หันไปดูลาดเลา

“แย่แล้ว พี่แมทธิว...ทเวนมันถูกลากไปไหนแล้วก็ไม่รู้”

มือของอัยการหนุ่มเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ซ้ำใบหน้าคมสันยังเอนซบลงบนบ่า ของเขาอย่างสิ้นเรี่ยวแรง

เอ็ดเวิร์ดคงเผลอเอาความทรงจำอันเลวร้ายของตัวเองซ้อนทับเข้ากับทเวนโดยไม่รู้ตัว จึงมีท่าทีตื่นตระหนกขนาดนี้...

มือเรียวจับศีรษะได้รูปโยกเบาๆเป็นเชิงปลอบประโลม

“ใจเย็นๆนะ...”

“เอ็ดเวิร์ด!”

สุ้มเสียงกระด้างกลบเสียงกระซิบนุ่มทุ้มไพเราะของแมทธิวไปจนสิ้น

ชายทั้งสองหันกลับไปมองผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง   ร่างสูงใหญ่ทรงอำนาจในยามนี้ราวกับคลื่นพายุอันเกรี้ยวกราดบ้าคลั่ง นัยน์ตาสีมรกตเต็มไปด้วยเพลิงพิโรธ

อย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน

“นั่น...”

ชายผมสีส้มสว่างเอ่ยถาม  สายตาไม่ละไปจากรอยแผลเป็นบนใบหน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ

“...แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส...”

เสียงสั่นระริก และมือที่บีบมือของเขาแน่นจนกลายเป็นเค้น คล้ายต้องการบอกให้แมทธิวลงมือทำอะไรสักอย่าง มิใช่ยืนนิ่งเพื่อหยั่งเชิงดังที่ทำอยู่ในตอนนี้!

เดอะ สการ์เฟสก้าวเดินเข้ามาหาพวกเขาทีละก้าว ใกล้เข้ามาทุกที

ยิ่งใกล้ ยิ่งเห็นชัด

ทั้งร่องรอยความโกรธและความแค้น  ในแววตารานร้าวเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ

แม็กเกลจ้องมองเอ็ดเวิร์ดที่ยืนหลบอยู่ข้างหลังชายแปลกหน้ารูปงามชวนตะลึงด้วยความปั่นป่วนในอก รับรู้ถึงคลื่นอารมณ์ที่บีบคั้นหัวใจของเขาอยู่ในขณะนี้

“เดี๋ยวนี้ริอาจคบชู้รึ...หึ  เป็นแค่เมียฉันยังไม่พอ ร่าน”

ระคายหูเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน   นี่แหละ...คำปรามาสที่แม็กเกลใช้กับเอ็ดเวิร์ด...และได้ผลตลอดมา

“มานี่!”

ชายหน้าบากกระชากแขนอัยการหนุ่มออกมาโดยไม่สนใจแมทธิวที่ยืนนิ่งดุจรูปปั้นหินเลยสักนิด

“พี่แมทธิว!”

เอ็ดเวิร์ดร้องเสียงหลง แต่คนที่ชะงักกลับกลายเป็นแม็กเกล

นัยน์ตาคมกริบกวาดมองศัตรู ‘หน้าใหม่’ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ความพลุ่งพล่านใจตีมั่วกันในอกจนแยกแยะไม่ออก ทั้งหมดทั้งมวลที่ต้องการทำคือ...กำจัดสวะชิ้นโตนี่ทิ้งไปซะ!

แต่แล้วเศษขยะในความคิดของเขากลับหัวเราะนุ่มลึกในลำคอ เดินอาดๆเข้าหา และฉวยมือของเอ็ดเวิร์ดกลับไปอย่างง่ายดาย

“รู้สึกว่าแถวนี้ลมหึงจะพัดแรงเอาเรื่องเหมือนกันนะ คุณคิดเหมือนผมหรือเปล่า

...แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส”

วาจาอวดดีจนเรียกได้ว่ากล้าเกินตัวสำหรับชายร่างสูงโปร่งตรงหน้าไม่ได้ทำให้แม็กเกลรู้สึกขบขันหรือสมเพชเลยแม้แต่น้อย อะไรบางอย่างในแววตาคมกล้าที่สานสบกันก่อให้เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะ

ชายตรงหน้าเป็นใคร?

เมื่อรู้จักตัวตนของเขาแล้ว น้อยคนนักที่สามารถหยัดยืนอยู่ได้โดยไม่หนีหน้าไปเสียก่อน แต่ชายคนนี้...นอกจากจะไม่หันหลังให้เขาแล้ว ยังอาจหาญมองอย่างท้าทายด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น

มาเฟียหนุ่มเพิ่งเคยพบคนแบบนี้เป็นครั้งแรก

ดังนั้น แม้จะไม่ถึงกับล้มคว่ำ แต่ความมั่นใจก็ถูกโยกคลอนไปบ้างเป็นธรรมดา

“แก...เป็นใครกันแน่”

เขาเอ่ยเสียงต่ำคุกคาม แฝงความอำมหิตไว้ฉาบฉวย

ทันเห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเจือทองฉายประกายวาบด้วยความขบขัน ก่อนหมัดลุ่นๆจะสวนชกเข้าใบหน้าคร้ามคมของแม็กเกลท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคน!





“บอส!”

ลูกน้องมือขวาของชายหน้าบากเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ สตีฟล้วงปืนในสูทออกมาหมายจะดับชีวิตชายแปลกหน้าอวดดีให้สาสมกับความอุกอาจนั้น

“ไม่ได้กินหรอกโว้ย”

แมทธิวยกขาถีบถังขยะจนคว่ำ    ก่อนเตะกระป๋องน้ำอัดลมใส่มืออีกฝ่ายอย่างแม่นยำราวจับวาง

เปรี้ยง!

เสียงปืนลั่นขึ้นฟ้าดังสนั่นหวั่นไหวก่อให้เกิดความตระหนกโกลาหลทั่วบริเวณ อดีตสารวัตรหนุ่มรีบฉวยโอกาสคว้าแขนเอ็ดเวิร์ดวิ่งปะปนไปกับกลุ่มคนบนท้องถนนที่หนีกันอลหม่าน

สตีฟและลูกน้องอีกนับสิบทำท่าจะวิ่งตาม แต่ถูกเจ้านายยกมือห้ามไว้

“ปล่อยมันไป”

แม็กเกลลูบโหนกแก้มช้าๆ ทุกคราที่ขยับริมฝีปาก ความเจ็บร้าวจะแทรกลึกเข้าไปถึงกระดูก แต่นั่นยังเทียบไม่ได้กับภาพบาดตาบาดหัวใจที่ได้เห็นเลย

ภาพของชายหนุ่มรูปงามสองคนที่ยืนพูดคุยหยอกล้อกันด้วยท่าทีสนิทสนมเกิน เพื่อนธรรมดา

เพียงแค่คิด  แม็กเกลก็ปวดร้าวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

มือกร้านกำแน่นจนขึ้นข้อขาว เล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนเจ็บแปลบ

...เอ็ดเวิร์ด

“บอสครับ...”

“อะไรอีกล่ะ ไอ้เคน”

ดวงตาสีมรกตตวัดกลับไปมองคนขับรถของตนอย่างกินเลือดกินเนื้อ ก่อนนิ่งอึ้งไปเมื่อเห็นคนที่เพิ่งวิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตากลับมายืนอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง

และเช่นเคย  เอ็ดเวิร์ดหลบอยู่หลังแมทธิวเหมือนเดิม

“เขาบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับบอสครับ”   แว่วเสียงลูกน้องรายงานมาอีก

แม็กเกลก้าวยาวๆไปยืนสบนัยน์ตาสีน้ำตาลเจือทอง ดุจปรารถนาจะผลาญไหม้ให้กลายเป็นจุณ

“กลับมาทำไม ...จะเอามาคืนหรือไง”   พร้อมกับบอก เขาหันไปมองอัยการหนุ่มที่ยืนตัวลีบอยู่ข้างๆ

เอ็ดเวิร์ดหน้าซีด บีบมือแมทธิวแน่นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว

การกระทำทั้งหมดนั้นส่งให้หัวใจอันบอบช้ำของผู้เฝ้ามองยิ่งร้าวระบม

คำตอบชัดเจน เอ็ดเวิร์ดเลือกชายคนนั้น...ไม่ใช่เขา

แม็กเกลแค่นเสียงหัวเราะ ใจหนึ่งอยากชักปืนออกมาระเบิดสมอง ‘คนรัก’ ของเอ็ดเวิร์ดเสียให้สิ้นเรื่อง หากยังอดทนเก็บกักความคิดนั้นเอาไว้

“จะพูดอะไรก็รีบๆพูดมา...ก่อนจะไม่มีปากให้พูด”

รอยยิ้มหยันๆถูกส่งตรงไปยังแมทธิว

เดอะ สการ์เฟสแน่ใจว่า ‘เขา’ ที่เคนหมายถึงไม่มีทางเป็นเอ็ดเวิร์ดไปได้แน่นอน

เพราะอัยการหนุ่มรูปงามไม่แม้แต่จะเหลือบแลมาทางนี้เลยด้วยซ้ำ

“เออ...จะบอกว่าพูดก็ไม่ถูกหรอกนะ แต่พอดีเอ็ดเวิร์ดเป็นห่วงที่เมื่อกี้ผมรุนแรงกับคุณไปหน่อย ก็เลยอยากย้อนกลับมาดูอาการว่าใกล้ ‘ช้ำใจ’ ตายหรือยังน่ะ”

แมทธิวโยนระเบิดลูกใหญ่ไปให้ชายหนุ่มรุ่นน้องที่บัดนี้ยืนโงนเงนราวจะล้มผางลงไปตรงนั้น ดวงตาสีเทาอ่อนเหลือบมองรอยเขียวจ้ำบนใบหน้าคมสันแวบเดียว และรีบหันไปทางอื่นทันที

ถูกพี่แมทธิวปั่นหัวเล่นอีกแล้ว...เอ็ดเวิร์ดคิดอย่างเคืองๆ...อุตส่าห์พาเขาหนีไปเสียไกล แล้วจู่ๆก็พาวิ่งย้อนกลับมาหาแม็กเกลซะอย่างนั้น

ก็รู้อยู่หรอก ว่าคนระดับแมทธิว ซายส์น่าจะมีแผนบางอย่างอยู่ในใจ

แต่การทำแบบนี้มันเรียกว่ารนหาที่ชัดๆ!

ชายหนุ่มไม่รู้เลยสักนิดว่า คำพูดของแมทธิวนั้นทำให้ใจดวงที่แห้งเหือดไปแล้วถึงกับชุ่มฉ่ำขึ้นอีกครา เพลิงในอกมอดสนิท แทนที่ด้วยความสุขปรี่ล้นจนพองคับใจ

“ผมไม่เคยพูด หรือคิดอย่างนั้นเลยนะ พี่แมทธิวใส่ความผมทำไม!”

ในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็อดรนทนไม่ไหว เข้าร่วมวงด้วยอีกคน

ถ้อยคำนั้นทำเอาความพองอกพองใจของใครบางคนฟุ่บแฟบลงทันใด

“นี่พวกแกกล้าปั่นหัวฉันเล่นรึ!”

แม็กเกลตวาดลั่นจนทุกคนผงะ ด้วยรู้ว่าความอารมณ์ของชายหน้าบากใกล้ถึงขีดสุดแห่งความอดทนเต็มที

หากแมทธิวกลับหัวเราะร่านัยน์ตาพราว  ดุจว่าอาการโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงของคู่สนทนาคือสิ่งที่เขามองเห็น และเกิดขึ้นเป็นประจำ

“เพิ่งรู้ตัวหรือ?”

“นี่แก ปากดีนักนะ!”

เอ็ดเวิร์ดอยากแทรกตัวหายไปกับแผ่นดินเสียบัดเดี๋ยวนั้น มือขาวเรียวพยายามกระตุกชายเสื้อรุ่นพี่หนุ่มเป็นการเตือน แต่ไร้ผล แมทธิวยังเถียงต่อไปอย่างมีความสุข

“อดไม่อยู่น่ะ ขอโทษที”   ขณะที่พูด อดีตสารวัตรหนุ่มก็หันมองไปรอบตัว

ปืนทุกกระบอกเล็งแน่วนิ่งมาที่ตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว

ขอเพียงได้รับสัญญาณสั่งให้โจมตี แมทธิวคงต้องลงไปนอนทอดร่างเป็นศพอยู่กลางถนนเป็นแน่แท้

แต่สิ่งที่ทำให้ปีศาจเลือดเย็นรีรอ...คือเอ็ดเวิร์ด

ความโลเลนั่นบ่งบอกให้รู้ชัด ว่าการเปลี่ยนใจกะทันหันของเขาไม่สูญเปล่า

แววตาเจ็บปวดของแม็กเกลยามจ้องมองเอ็ดเวิร์ดเป็นของจริง

แสงสัญญาณลับวอบแวบจากมุมตึกสะท้อนเข้าตาแมทธิว ทำให้ชายหนุ่มหยุดความคิดลงแต่เพียงเท่านั้น

“มาแล้วสินะ”

เขาหันไปดึงเอ็ดเวิร์ดให้หมอบลงพร้อมกัน เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงกัมปนาทดังสะเทือนกึกก้อง

แรงอัดจากคลื่นอากาศแผ่กระแทกรุนแรงจนข้าวของกระเด็นกระดอนปลิดปลิว ประกายไฟสีแดงสว่างไสวไหม้ลามเลียไปตามถนนเร็วราวไฟป่า การลุกลามที่ผิดปกติและกลิ่นฉุนใต้เท้าส่งให้แม็กเกลก้มมองของเหลวสีดำสนิทบนพื้นทันที

น้ำมันดิบ!

“บอส! รีบไปจากที่นี่เถอะครับ”

สตีฟและบอดี้การ์ดรีบเข้ามาคุ้มกันแม็กเกล  ก่อนที่ชายทั้งหมดจะได้ยินเสียงระเบิดดังติดๆมาอีกสามสี่ครั้ง

ชายร่างสูงหันกลับไปมอง และพบว่าซากรถคันหรูกำลังลุกไหม้อยู่ในกองเพลิง

เอกสารสำคัญหลายฉบับอยู่ในรถคันนั้น...ความคิดที่ทำให้เขาแทบกระอัก ดวงตาสีมรกตวาวโรจน์ด้วยความคั่งแค้น  ชายหน้าบากสบถสาบานกับตัวเองว่านี่จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนไปจากที่เกิดเหตุ





****เอ็ดเวิร์ดและแมทธิวยืนมองตามแผ่นหลังกว้างสง่าที่หายลับไปไวๆตรงมุมตึก แล้วเหลียวมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย****

“...ฝีมือพี่ใช่ไหมครับ”

คำถามแรก หลังจากยืนนิ่งเงียบกันมาเนิ่นนาน

“ทั้งใช่  และไม่ใช่”

ชายร่างสูงเพรียวตอบ ตามองจ้องกองไฟลุกโชนราวกับมองหาใครสักคนในนั้น

“พี่เป็นคนต้นคิดเรื่องระเบิด แต่ว่ามือระเบิดเป็นเพื่อนพี่เอง”

“เพื่อนพี่...คนไหนกันครับ”

“นั่นไง มากันแล้ว”

เอ็ดเวิร์ดมองตามสายตาชายหนุ่มรุ่นพี่ไปยังรถทหารซึ่งกำลังวิ่งฝ่ากองเพลิงมาด้วยความเร็วสูง แรงระเบิดเมื่อครู่ส่งให้ไฟทั้งถนนดับสนิท มีเพียงประกายไฟสว่างสาดกระทบใบหน้าคนเหล่านั้น

แต่ก่อนที่จะมาถึงจุดที่พวกเขายืนอยู่  รถคันนั้นกลับหยุดนิ่ง คล้ายรอให้แมทธิวและเอ็ดเวิร์ดเป็นฝ่ายเข้าไปหาเอง

“ไปกันเถอะ ก่อนที่ตำรวจจะมา”

มือเรียวสะอาดคว้าแขนเอ็ดเวิร์ดให้เดินไปด้วยกัน

อัยการหนุ่มยินยอมตามไปแต่โดยดี แต่ก็อดที่จะถามคนข้างตัวด้วยความกังวลไม่ได้ว่า

“แล้วต่อจากนี้พวกเราจะทำยังไงล่ะครับ   แม็กเกลต้องไม่ยอมปล่อยพี่ไปแน่ๆ...ที่สำคัญ อิทธิพลของเขากว้างขวางมาก”

ละคำพูดไว้แค่นั้น  แต่ทั้งสองเข้าใจไปในทางเดียวกันว่าตอนนี้แมทธิวตกอยู่ในอันตรายเพียงใด

“กว้างขวางมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแผ่อำนาจไปได้ทุกที่นี่นา...พี่เองก็มีหลุมหลบภัยชั้นเลิศที่จัดเตรียมไว้เพื่อการนี้อยู่แล้วด้วย”

แมทธิวหัวเราะในลำคอ ดวงตาคมวามวาวอย่างหมายมั่น

“อย่างน้อยก็มีที่นั่นล่ะ ที่แม็กเกลไม่คิดจะเข้าไป”

“ที่นั่น? หรือว่า...พวกเราจะไปที่เมืองนั้นกัน...อย่างนั้นหรือครับ”

เอ็ดเวิร์ดสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ เมื่อข้อสันนิษฐานเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนในหัว

ไม่เพียงแต่แม็กเกลเท่านั้นหรอก ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าสุ่มเสี่ยงเข้าไป ‘ที่นั่น’ ด้วยกันทั้งนั้น...แดนคนเถื่อน อาณาจักรแห่งฆาตกร!

เสียงไซเรนที่ดังใกล้เข้ามาฉุดสติสำนึกของอัยการหนุ่มคืนสู่ปัจจุบันทันที

ปัจจุบันที่ว่า..แมทธิวขึ้นไปบนรถของกลุ่มผู้ช่วยเหลือนิรนามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้กำลังตะโกนเรียกเขาเสียงลั่น

“เร็วเข้า เอ็ดเวิร์ด ทางนี้!”

เฟี้ยว!  ปุ!

เสียงกระสุนยิงอัดเนื้ออิฐดังอยู่ข้างหู เศษผงสีส้มกระเด็นเฉียดหน้าไปนิดเดียว

เอ็ดเวิร์ดชะงักอึ้ง มองตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษที่วิ่งกรูตรงเข้ามาตาแข็งค้าง

“เวรละสิ”

เขาตัดสินใจได้ในบัดดล

ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า!

ทันใดนั้น เสียงล้อบดถนนพลันดังลั่น รถทหารคันนั้นวิ่งสวนห่ากระสุนตรงมาทางเขาด้วยความเร็วราวกับติดปีก  ซึ่งเอ็ดเวิร์ดเชื่อหมดใจว่านั่นไม่ใช่แค่การแวะรับก่อนจะวกอ้อมกลับไปทางเก่าแน่ๆ นอกจากคนพวกนี้คิดจะฝ่าหน่วยปฏิบัติการออกไป

“ยะฮู้!  ไม่ได้มันส์แบบนี้มานานแล้วโว้ย!   เฮ้ย! ไคโตะ...แกช่วยแมทธิวลากเจ้าหนุ่มนี่ขึ้นรถ เดี๋ยวฉันคุ้มกันให้เอง”

ใครสักคนสั่งการด้วยน้ำเสียงสนุกเหลือล้น

ก่อนจะทันรู้ตัว ร่างของเขาก็ถูกกระชากขึ้นไปนอนแผ่หลาบนรถแล้ว

นัยน์ตาสีเทาอ่อนตวัดมองแมทธิวและเด็กหนุ่มผมดำด้วยความสับสน  หากยังไม่ทันคิดทำสิ่งใด ชายวัยกลางคนผู้มีแผลเป็นทั่วร่าง เจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงก็หันมายิ้มแยกเขี้ยวให้อย่างอารมณ์ดี  ในปากของเขาคาบบุหรี่พ่นควันเป็นสาย  ขณะที่มือกราดยิงปืนเอ็มสิบหกด้วยความชำนาญ

“สวัสดี เจ้าหนูนี่ก็อดีตบ้านเด็กกำพร้าเหมือนกันใช่ไหม”

“ใช่ ชื่อเอ็ดเวิร์ด โรจส์ฟอล เป็นรุ่นน้องฉันที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า”

คนตอบคือแมทธิวที่รีบหยิบหมวกขึ้นมาสวม ด้วยเกรงว่าเรือนผมสีส้มของตนจะ

โดดเด่นเกินไป

“พวกนายหยุดคุยกันก่อนเถอะ หาที่จับให้ดีล่ะ ฉันจะฝ่าออกไปแล้ว”

เสียงดังมาจากชายร่างสูงที่ขับรถอยู่ด้านหน้า  ก่อนเขาคนนั้นจะเหยียบคันเร่งจนมิด พุ่งเหินผ่านกำแพงมนุษย์ไปอย่างง่ายดาย พร้อมโยนระเบิดไปให้อีกหนึ่งลูกเป็นของกำนัล

ตูม!

แรงสั่นสะเทือนจากระเบิดในระยะใกล้ส่งให้รถทั้งคันลอยเด้งขึ้นในอากาศก่อนกระแทกพื้นอย่างแรง  ศีรษะของเอ็ดเวิร์ดไปฟาดเข้ากับตัวรถ หมดสติไปทันที

ชายหนุ่มรู้สึกตัวหลังจากนั้นไม่นาน รับรู้ได้ว่ามีมือของใครสักคนช่วยพยุงให้ลุกขึ้นนั่งท่ามกลางความพร่าเลือนของห้วงสติ พวกเขาหนีออกมาได้สำเร็จ  รถกำลังแล่นฝ่าถนนอันมืดมิดไปโดยมีเด็กหนุ่มนามไคโตะขับรถสปอร์ตคันเก่งของแมทธิววิ่งเคียงคู่กันบนถนนอันว่างเปล่า

“ว่าไง ไอ้หนู  สนุกหรือเปล่า... ฝ่าดงตีนพวกสุนัขรับใช้รัฐบาลครั้งแรกในชีวิตกับเอาหัวโขกรถจนสลบน่ะ”

ชายผมแดงทักอย่างเอ็นดู  ขณะที่เอ็ดเวิร์ดเริ่มนึกออกแล้วว่าเหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นตากับอีกฝ่ายนัก

“ก็...คงงั้นแหละครับ”

“ฮ่าๆ พูดอย่างนี้ค่อยคบได้หน่อย เออ...ไอ้ฮาโรลด์ อีกนานเท่าไหร่กว่าจะถึงวะ”

ท้ายประโยคอีกฝ่ายหันไปพูดกับคนขับรถ

“ประมาณชั่วโมงนึงมั้ง? แกจะถามไปทำไม เรคซ์”

...เรคซ์

ชื่อที่คุ้นหูราวจะกระตุ้นเตือนเศษเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำของเอ็ดเวิร์ด

บทสนทนาเบื้องหน้าห่างออกไปทุกที  แทนที่ด้วยภาพอดีตบางส่วนซึ่งย้อนกลับเข้ามาในห้วงคำนึง

‘ทเวน นายเคยได้ยินชื่อ ‘สามตำนานแห่งเรดโซน’ หรือเปล่า?’

‘เคยสิ เคยแน่นอน...ให้ท่องชื่อรายตัวก็ยังได้เลย...เซอร์เซส เรคซ์ ซันโกคุ ต่อให้

ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมาก็ต้องเคยได้ยินทั้งนั้นนั่นละ’

“จะว่าไป...ทำไมเหลือไอ้หนูนี่คนเดียวล่ะ อีกคนหายไปไหน”

คำถามของเรคซ์ดังมาอีก ทันได้ยินเสียงนุ่มคุ้นหูตอบว่า

“ไม่ทัน หลังจากที่โทรบอกนายแล้วสะกดรอยตามไปก็ถูกจาเรฟ โอมาลนอฟชิงตัวไปก่อน”

“โอมาลนอฟ...ลูกของไอ้เอเฟ็ทเรอะ! เฮ้อ...กูยิ่งไม่ถูกโรคกับมันอยู่ด้วยสิวะ”

ชายผมสีแดงเพลิงตบหน้าผากแปะ ก่อนทำท่านึกขึ้นได้

“แล้วไปทำอีท่าไหนถึงเสียท่ามันเอาได้ล่ะ”

“ถ้าเดาไม่ผิด...อีกฝ่ายคงอาศัยความเป็นเด็กทำให้ประมาทน่ะ ฉันเห็นกับตาว่าทเวนถูกลวนลาม”    แมทธิวตอบชัดถ้อยชัดคำ

“ไอ้เด็กนั่นร้ายขนาดนั้นเชียว”   เรคซ์พึมพำด้วยความตกใจปนทึ่ง   “แล้วป่านนี้เพื่อนนายจะไม่แย่เอาหรือ ไอ้หนูเอ็ดเวิร์ด เท่าที่รู้มา กิตติศัพท์ความเอาแต่ใจของพวกโอมาลนอฟใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ”

“แล้วแกจะถามให้เขาเสียความรู้สึกทำซากอะไร ไอ้เรคซ์ ...มาถึงตอนนี้พวกเราจะตามไปช่วยก็ไม่ได้แล้ว ไอ้พวกตำรวจมันล้อมเมืองตั้งด่านแน่นหนาอย่างกับอะไรดี”

เงียบกริบกันไปทั้งรถกับคำพูดตัดบทของชายที่ชื่อฮาโรลด์   ร้อนถึงแมทธิวต้องรีบแก้ไขสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ด้วยการอธิบายเพิ่มเติม

“เอาน่ะ...อย่าเพิ่งเถียงกัน เท่าที่ดู ทางนั้นคงไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ เพราะเด็กตระกูลโอมาลนอฟเองก็มีใจเมตตากว่าเดอะ สการ์เฟสพอตัวเลยทีเดียว  จะห่วงก็แต่พวกเรานี่แหละ ที่ต้องมาเจอของแข็งกันเอง โดยเฉพาะฉัน...ที่ตอนนี้แม็กเกลคงอยากจับไปฆ่าหั่นศพใจจะขาดแล้วแน่ๆ”

“นายอย่าให้ไคโตะได้ยินคำพูดนี้เด็ดขาดเลยนะแมท ถ้ายังไม่อยากให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นซากเหมือนสำนักงานตำรวจคราวนั้น ขนาดเมื่อกี้แค่นายวิ่งกลับออกไปจากจุดนัดพบ มันยังแทบจะฆ่าฉันชิงรถเพื่อตามนายมาให้ทัน”

แมทธิวหัวเราะรับคำปรามของฮาโรลด์ ถอดหมวกทิ้ง ก่อนกระโดดออกจากรถที่กำลังวิ่งด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงไปทิ้งตัวลงนั่งข้างไคโตะในรถเฟอรารี่

กายกรรมโลดโผนในเวลาอันสั้นเกือบทำให้เอ็ดเวิร์ดเป็นลมไปอีกหน

ก้าวพลาดไปเพียงนิดเดียว...แมทธิว ซายส์เหลือแต่ชื่อทิ้งไว้บนโลกใบนี้แน่

“ไม่ต้องตกใจหรอก มันทำแบบนี้บ่อยไป”

คำพูดของเรคซ์ก่อให้เกิดคำถามขึ้นในอก

...คนระดับท่านเอิร์ลทำเรื่องอันตรายแบบนี้เป็นปกติหรือไร

...เกิดอะไรขึ้นในช่วงสามปีที่ผ่านมา?

ไร้คำตอบสำหรับหัวใจของชายหนุ่ม มีเพียงความง่วงงุนแสนอ่อนหวานที่ห่อหุ้ม ก่อนความรับรู้จะถูกตัดออกจากร่างราวปิดสวิตช์นับจากวินาทีนั้น

แผ่นอกขยับขึ้นลงสม่ำเสมอเป็นจังหวะบ่งชัดว่าเขาหลับสนิท นั่นล่ะ เรคซ์จึงย้ายจากเบาะหลังไปนั่งข้างคนขับแทน

“ยานอนหลับได้ผลสินะ”   ฮาโรลด์ถามขึ้นลอยๆ

“อืม... ให้เวลาเจ้าหนูมันนอนหลับฝันดีไปก่อนเถอะ  เพราะไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะ ต้องเจออะไรบ้าง”

เรคซ์ตอบขรึมๆ ไม่มีร่องรอยความสนุกสนานบนใบหน้าหลงเหลืออีกแล้ว

“...ไม่รู้ว่าต้องเจออะไรบ้าง”   เสียงทุ้มทวนคำพูดอีกฝ่ายช้าชัด ฮาโรลด์มองผ่านกระจกส่องหลังไปยังชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันด้วยความเห็นใจ

“นายพูดถูกเรคซ์   หลังจากถูกพวกเราทำไว้เจ็บแสบขนาดนั้น   คนอย่างเดอะ สการ์เฟสคงไม่มีทางยอมอยู่เฉยเป็นแน่  ทางที่ดีเราควรวางแผนรับมือกันให้พร้อมแต่เนิ่นๆ และบอกเอ็ดเวิร์ดให้เตรียมใจรับผลกระทบจากเรื่องนี้เอาไว้ด้วย”

​--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



อาหารตรงหน้าแม้เลิศรส  แต่ทเวนกลับวางมีดและส้อมในมือลงหลังตักทานไปได้เพียงไม่กี่คำ สร้างความแปลกใจให้แก่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นอย่างมาก

“อาหารไม่ถูกปากหรือ ทเวน”

“เปล่า”

...แค่ไม่แน่ใจ ว่าอาหารจะปลอดภัยสำหรับเขาหรือเปล่า...เท่านั้นแหละ

ชายร่างสูงต่อในใจจนจบ เหลือบมองป้ายทองคำแท้แกะสลักตัวอักษรสวยงามตรงเคาน์เตอร์ด้านหน้าที่เขียนไว้ว่า ‘โอมาลนอฟ’ อย่างหมดอาลัยตายอยาก

พอเขาไม่ยอมเช็คอินท์โรงแรมตามที่ชวน ก็ดื้อด้านจะพามาทานอาหารให้ได้

ตอนแรกก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องลงทุนถึงขนาดนั่งรถมาเมืองเนรีสซึ่งเป็นเมืองเก่าแบบนี้ด้วย กระทั่งหันไปเห็นป้ายทองคำแผ่นนั้นนั่นละ คำถามทุกอย่างกระจ่างแก่ใจเลยทีเดียว

...รู้อย่างนี้ยอมเข้าโรงแรมตั้งแต่แรกยังจะดูเข้าท่าซะกว่า

ทเวนถอนใจเฮือกๆอย่างจนปัญญา หันมองจอโทรทัศน์ในห้องอาหารที่ตัดภาพข่าวด่วนเข้ามากะทันหันแทนละครที่กำลังฉายอยู่

ภาพอาคารร้านค้าที่นักดับเพลิงและตำรวจกำลังช่วยกันดับไฟอยู่นั้นดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาด  และพลันที่ชื่อสถานที่กับเวลาเกิดเหตุฉายขึ้นบนมุมจอด้านล่าง ชายหนุ่มก็แทบจะลุกเดินออกไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ติดตรงเด็กชายที่เดินอ้อมมานั่งตักเขาเหมือนขัดขวางนี่สิ

“ลุก ฉันจะกลับ”   ทเวนบอกเสียงแข็ง จับคนตรงหน้าโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี

ผิดคาดที่จาเรฟลงมายืนได้อย่างสวยงามแทนที่จะลงไปนั่งจ้ำเบ้ากับพื้น

เด็กหนุ่มเหลียวกลับมามอง และคำขู่ที่ทเวนเกลียดก็ลอยมากระทบหูอีกครั้ง

“ลองทำเสียมารยาทกับฉันอีกครั้งสิทเวน  รับรองเลยว่าความลับทั้งหมดที่นายปกปิดมาตลอดโดนประจานแน่”

รวมถึงเรื่องของเอ็ดเวิร์ดด้วย

อัยการหนุ่มแปลความจากสายตาคู่นั้นด้วยความโกรธจัด แต่ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ

พอจาเรฟกระดิกนิ้วเรียกให้เดินตามไป เขาก็จำต้องตามไปอย่างไม่มีทางเลือก ทเวนสาบานได้ว่าเขาคิดวิธีฆาตกรรมออกเกือบร้อยวิธี

ชายต่างวัยสองคนเดินออกจากห้องอาหาร  กลับมาในส่วนล็อบบี้หน้าโรงแรม ขึ้นลิฟท์มายังชั้นบนสุดซึ่งใช้รับรองคนในตระกูลโอมาลนอฟโดยเฉพาะ

จาเรฟเดินไปยังห้องฝั่งซ้ายสุดทางเดิน แล้วแนบฝ่ามือลงบนแผ่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหนือประตู

ทเวนที่เฝ้าดูอยู่เห็นเส้นไฟสีเหลืองวิ่งผ่านมือของเด็กหนุ่มสองที ได้ยินเสียงสลักหลุดจากกลอน พร้อมสัญญาณไฟสีแดงบนแผ่นกระดานแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว

บานประตูปลดล็อคอัตโนมัติ

“เข้ามาข้างในสิ มาดูห้องของฉัน”

“เออ”   เขารับคำชวนพลางเดินเข้าไปช้าๆ พร้อมกันนั้นก็หันกลับไปมองประตูที่ปิดสนิทอยู่เบื้องหลังเป็นการสำรวจทางหนีทีไล่ไปในตัว

ชายหนุ่มปะทะสายตาเข้ากับแผ่นแม่เหล็กไฟฟ้าอีกเครื่อง ไฟสีแดงส่องสว่าง แสดงว่ามีการเปิดเครื่องพร้อมทำงาน...

“...ระยำแล้วกู”

ทเวนสะบัดหน้ากลับมาทันที เจอเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสพราวระยับขบขัน

“มีอะไรตลกนักหรือไง ไอ้เด็กบ้า”

พูดไปแล้วก็แทบตะครุบปากตัวเองไม่ทันเมื่อถูกจาเรฟที่นาทีนี้นอนทอดกายอยู่บนเตียงกระดิกนิ้วเรียก ประกายตาวาววับหมายมั่น

...ให้ตายก็ไม่ไปโว้ย!

ทเวนเสมองพื้นด้วยใจร้อนรน แต่ร่างกายกลับทรยศเดินเข้าไปหายามได้ยินเสียงปึกกระดาษถูกกรีดไล่ทีละหน้า

ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่าเอกสารที่อยู่ในอุ้งมือของจาเรฟคืออะไร

“ไอ้เด็กวิปริตหื่นกาม  ไปตายซะ”

ประโยคปรามาศเข้มข้นร้อนแรง ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบเลยสักนิด

ร่างสูงเพรียวในชุดสูทขยับก้าวมายืนนิ่งอยู่ปลายเตียง รอให้อีกฝ่ายฉุดแขนลงไปนอนบนฟูกนุ่มด้วยกัน

ดวงตาสีฟ้าใสมองเขาศีรษะจรดปลายเท้า  แล้ววกมาหยุดนิ่งที่ดวงหน้าคมสันเนิ่นนาน จาเรฟพลิกกายลุกขึ้นช้าๆ โอบทเวนลงนอนเคียงข้าง ทุกสัมผัสนิ่มนวลราวกับว่าเขาเป็นแก้วเปราะบางพร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเมื่อ

“เป็นของฉันเถอะนะ...”

เจอไม้นี้เข้าไป ชายหนุ่มเองก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ส่งเสียงหึในลำคอแล้วหลับตาเหมือนยอมจำนน

จาเรฟอมยิ้ม  โน้มศีรษะลงจูบประทับริมฝีปากนุ่มที่เม้มแน่น ยิ่งเห็นคนที่เขารักหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัวก็ยิ่งอยากแกล้งจนทนไม่ไหว

มือเรียวเล็กปลดสูทออก ก่อนล้วงเข้าใต้เชิ้ตเนื้อบาง คลอเคลียยอดอกเป็นการหยอกเย้า

“อือ...ไม่นะเรฟ”

ทเวนพลิกตัวหนี แต่นั่นคือเปิดทางให้ริมฝีปากรุกรานได้จุมพิตลำคอขาวแนบสนิท ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดผิวกายทำให้ชายหนุ่มเนื้อตัวอ่อนเปลี้ยเป็นเทียนไขลนละลาย เผลอส่งเสียงครางหวานหูให้ได้ยินเป็นระยะ

หลังจากขยี้ยอดอกแดงช้ำจนพอใจ มือเรียวเล็กก็จัดแจงถอดเสื้อผ้าอีกฝ่ายออก เผยผิวเนื้อเนียนละเอียดเปล่าเปลือยสู่สายตาเด็กหนุ่มที่แทบกลั้นหายใจกับความงามสง่าในเรือนกายตรงหน้า

“ทเวนสวยที่สุดเลย”

“สวยบ้าอะไรวะ ฉันเป็นผู้ชาย...อ๊ะ”

ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อเรียวนิ้วแตะกลีบนุ่มแผ่วเบา จาเรฟลากลิ้นลงต่ำ ไล้เลียเปิดช่องทางคับแคบอย่างใจเย็น  มือจับรูดแก่นกายเชื่องช้า สาละวนปรนเปรอให้จนเห็นท่อนเอ็นลุกชูขึ้นทีละน้อย หยาดน้ำใสไหลลงมาจากปลายยอด

มืออีกข้างที่ยังเหลืออยู่ป้ายน้ำลงมาจนถึงทางสวรรค์ อาศัยเป็นตัวหล่อลื่นเบิกทางเข้าไปภายใน

“อื้อ! อย่า...พอแล้ว”

ทเวนห้ามเสียงกระเส่า แอ่นกายสุดตัวเมื่อถูกนิ้วเรียวทิ่มพรวดจนสุดรวดเดียว

“โอ๊ย...ไอ้เรฟบ้า! มันเจ็บโว้ย!”

“แล้วอย่างนี้ล่ะ”

จาเรฟควานหาจุดกระสันจนเจอ แล้วกดเน้นคลึง พลางมองชายร่างสูงบิดตัวเร่าด้วยความทรมานปนสุขสม  เพียงครู่เดียว หยาดน้ำขุ่นข้นก็ฉีดพุ่งเปื้อนเลอะเทอะเต็มไปหมด

“อะ...อา...ขอโทษ”

เสียงทุ้มบอกอย่างหมดแรง ก่อนดวงตาคมดุสีไพลินจะปรือขึ้นสบกับเด็กหนุ่มที่กำลังเลียเก็บกวาดทำความสะอาดให้เขาอยู่

จาเรฟอมยิ้ม ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นแก่นกายขนาดใหญ่เกินอายุชูตระหง่านสั่นระริก  มือเรียวเล็กจับขาของทเวนแยกออกจนเห็นช่องทางชัดเจน  โดยไม่รอช้า จาเรฟดุนดันเบียดกายเข้าไปภายในความแคบอุ่นจัด รับรู้ถึงแรงตอดรัดแน่น

ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง จึงเห็นใบหน้าคมคายบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด เหงื่อซึมชื้นเกาะพราวบนสันจมูกโด่ง ริมฝีปากขบแน่นเพื่อสะกดกลั้นเสียงแห่งความรวดร้าว

“ทเวน เจ็บหรือ?”

“มะ...ไม่เป็นไร...”   น้ำเสียงสั่นพร่าบอกปัด ทั้งที่ความจริงเจ็บปลาบสุดทานทน ราวกับว่าร่างกายกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง   “รีบ...รีบทำให้เสร็จเถอะ...”

“...อืม...ทนหน่อยนะ”

เด็กหนุ่มตัดสินใจค่อยๆดันกายเข้าไปจนสุด  หวังจะเสร็จกามกิจให้เร็วที่สุดเพื่อไม่ให้คนที่ตนรักต้องทนทรมานมากไปกว่านี้

แรงเสียดสีกลายเป็นความทรมานฉกาจฉกรรจ์ที่ทำให้อัยการหนุ่มแทบสิ้นสติ  ไปหลายครั้ง ช่องทางถูกรุกรานจนฉีกขาด โลหิตข้นเหนียวช่วยให้ขยับกายได้ง่ายขึ้น

ในที่สุด  จาเรฟก็ออกแรงกระแทกกายเข้าไปเป็นครั้งสุดท้าย  พร้อมปลดปล่อยสายน้ำสีขาวออกมาเต็มทางคับแคบชอกช้ำ

ทเวนหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน  ก่อนสิ้นสติไปในทันทีที่ความเจ็บร้าวซึ่งโบยตีเขาอยู่ทุกห้วงลมหายใจหยุดลง

สีหน้าอ่อนเพลียของชายหนุ่ม และหยาดน้ำสีขาวขุ่นปนโลหิตเปรอะเปื้อนต้นขาขาวสะอาดเป็นดั่งเครื่องตีตราความอ่อนหัดในเชิงรักของเด็กหนุ่มสูงศักดิ์ผู้นี้ยิ่งนัก

จาเรฟเอนกายลงนอนกอดตระคอง เฝ้ามองใบหน้ายามหลับสนิทของทเวนด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้เขาต้องทุกข์ทรมานราวตกนรกทั้งเป็น

นิ้วเรียวเกลี่ยปอยผมเปียกชื้นให้อย่างรักใคร่   ก่อนก้มหน้าลงกระซิบถ้อยคำแสนหวานตราตรึงทุกหัวใจ

“คราวหน้าผมจะอ่อนโยนกว่านี้...ผมสัญญา”

“...ผมรักคุณครับ ทเวน”







แสงตะวันยามเช้าส่องลอดกรอบหน้าต่างบานยาวเข้ามาเป็นลำเฉียง ไอร้อนสาดกระทบลงบนร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง  ปลุกชายหนุ่มให้ลืมตาตื่นขึ้นรับเช้าวันใหม่อย่างอ่อนโยน

ในศีรษะหนักอึ้ง แต่ทุกสิ่งนอกจากนั้นยังปกติดีอยู่

เขายกมือขึ้นป้องแสงที่ส่องแยงตา ขณะลุกขึ้นนั่ง หันมองไปรอบตัว

ผ้าม่านสีฟ้าอ่อนรับกับผนังห้องสีครีมนวลตา  เครื่องเรือนทุกชิ้นทำจากขนสัตว์ บ่งบอกถึงรสนิยมและฐานะของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี

ทันทีที่ลุกออกจากผ้าห่ม  ความหนาวเหน็บอันโหดร้ายก็ชำแรกลึกจนถึงกระดูก

เอ็ดเวิร์ดห่อตัวสั่นสะท้าน   ดวงตาสีเทาอ่อนกวาดมองหา  และพบว่าสาเหตุมา

จากลมเย็นที่พัดจนผ้าม่านปลิวไสว

อย่างรวดเร็ว ร่างสูงโปร่งพุ่งไปยังหน้าต่าง มือคว้ากรอบไม้สีขาวไว้มั่น

แล้วตอนที่กำลังจะเลื่อนกระจกใสปิดลงมานั่นเอง

“นี่มัน...”

ภาพที่เห็นทำให้เขาถึงกับลืมเลือนความหนาวอันทารุณไปชั่วขณะ

ถนนเบื้องล่างพาดตัดกลางใจเมืองยาวสุดสายตา  แลเห็นผู้คนเดินกันขวักไขว่  หากไร้ซึ่งวี่แววของรถแม้สักคัน

ชื่อของถนนเส้นหนึ่งผุดขึ้นในความคิดทันที

“...แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ แห่งเรดโซน”

นานเท่านาน กว่าสติที่หลุดลอยจะถูกเรียกคืนมา...หากคราวนี้ มันมาพร้อมกับความสงสัยในเรื่องราวที่ขาดหายไปจากความทรงจำ

ในความสับสนต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มบ่ายหน้าไปยังประตู  หวังหมดใจว่าแมทธิวหรือใครสักคนคงสามารถให้คำอธิบายแก่คำถามในหัวใจของเขาได้





กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟและอาหารลอยอวลมาแตะจมูกทันทีที่เอ็ดเวิร์ดลงมาถึงชั้นล่าง และมันทำให้เขานึกออกว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เมื่อค่ำวาน

อัยการหนุ่มเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูที่คาดว่าเป็นห้องครัว สองจิตสองใจว่าจะเข้าไปข้างในหรือรออยู่ข้างนอกดี

“อรุณสวัสดิ์”

เสียงทักทายที่มาพร้อมแรงตบบนบ่าส่งให้คนถูกทักสะดุ้งโหยง ยืดหลังไหล่ตรงอัตโนมัติ  นัยน์ตาสีเทาอ่อนตวัดมองผู้มาใหม่งวยงง ความสงสัยฉายชัด

คนหนึ่งเป็นชายร่างบางหน้าหวานจนติดจะสวย อีกคนคือชายหนุ่มหน้าตาดีจัดผู้มีรอยยิ้มอารมณ์ดีประดับบนใบหน้าตลอดเวลา

ความโดดเด่นที่ลงตัว...ต่อให้เคยพบแค่ครั้งเดียวก็ไม่น่าจะลืมได้ง่ายๆ

...เหมือนเคยพบที่ไหนมาก่อน

คล้ายรับรู้ถึงสายตาของเอ็ดเวิร์ด หนึ่งในสองคนนั้นจึงเอ่ยแนะนำตัวขึ้น

“ฉันชื่อคริส ส่วนเจ้าหน้าสวยนี่ชื่อดันแคน”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผม...เอ็ดเวิร์ด”

อัยการหนุ่มพูดจบ ท้องของเขาก็ร้องประท้วงเสียงดัง สร้างความอับอายให้แก่เจ้าตัวจนแทบจะมุดพรมหนี  แต่เพื่อนใหม่ดูจะไม่สนใจอาการนั้น  เขารุนหลังเอ็ดเวิร์ดให้เดินนำเข้าไปในครัว

“ตั้งแต่เมื่อวานเย็นยังไม่กินอะไรเลยใช่ไหมล่ะ  รับรองเลยว่ามื้อนี้นายจะไม่ผิดหวัง พี่แมทธิวทำอาหารอร่อยมากเลยนะ”

ดันแคนชวนคุย  ดวงตาสีฟ้าใสวาววับด้วยความชื่นชมยามเอ่ยถึงชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนเคารพนับถือ

ทั้งสามก้าวเข้าไปในห้องครัวกว้างขวางพร้อมกัน ก่อนคริสจะร้องบอกเสียงใส

“อรุณสวัสดิ์ครับทุกคน ผมพาแขกคนพิเศษของเรามาแล้ว”

คำพูดนั้นเรียกให้สายตาทุกคู่จ้องมองมายังชายหนุ่มเป็นตาเดียว

ท่ามกลางความเงียบ  ฮาโรลด์เป็นคนแรกที่ขยับตัว  เขาพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านจบแล้วลงบนโต๊ะพร้อมส่งยิ้มมาให้

“เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหม?”

เอ็ดเวิร์ดได้แต่พยักหน้ารับคำอย่างงุนงง

แล้วก่อนที่ใครจะทันได้พูด หรือทำสิ่งใดมากไปกว่านั้น ประตูไม้อีกบานพลันถูกกระแทกออก แมทธิวเดินถือหม้อใบใหญ่ส่งกลิ่นตลบอบอวลเข้ามา

“อื้อหือ...หอมขนาดนี้ นายทำอะไรน่ะ แมทธิว”

เรคซ์...ชายวัยกลางคนที่นั่งก้มๆเงยๆอยู่อีกมุมถามขึ้น

“บุยยาเบส...เห็นว่าไม่ได้ทำอาหารฝรั่งเศสนานแล้วเลยลองทำดู  ไม่รู้ว่าน้ำซุปจะอร่อยหรือเปล่านะ เพิ่งเคี่ยวเมื่อคืนนี้เอง”   แมทธิวบอกอย่างถ่อมตัว

“แค่ได้กลิ่น ฉันก็ว่าเกินพอแล้วล่ะ”

ไม่เพียงแต่พูด หากชายวัยกลางคนยังกุลีกุจอไปช่วยยกชามยกช้อน มาจัดโต๊ะอย่างรู้ใจ

“ไปที่โต๊ะเถอะ”   คริสชวน แล้วดึงแขนเอ็ดเวิร์ดให้ไปนั่งด้วยกัน

โต๊ะอาหารที่สหายหนุ่มพามานั้นถูกตกแต่งไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยและดูอบอุ่น แต่ละที่นั่งจะมีจานแยกซึ่งใส่ขนมปังกรอบและกระเทียมสดเป็นเครื่องเคียง ใกล้กันคือซอสข้นสีส้มที่เรียกว่าลาฮุยย์สำหรับทานกับบุยยาเบส

แมทธิวทำหน้าที่เป็นเชฟใหญ่ตักซุปในหม้อแจกจ่ายจนทั่ว ก่อนทุกคนจะลงมือรับประทานกันอย่างหิวโหย ต่างกินไปชมฝีมือชายหนุ่มไปจนกระทั่งอิ่ม แม้แต่เอ็ดเวิร์ดที่นั่งทานไปเงียบๆ ยังตักซุปและเครื่องเคียงจนหมดเกลี้ยงโดยไม่รู้ตัว

จบจากอาหารจานหลัก จานเค้กรูปร่างแปลกตาก็ถูกยกมาเสิร์ฟโดยชายหนุ่มเชื้อสายลูกครึ่งเพียงคนเดียวในกลุ่ม

แม้รูปกายภายนอกจะดูเด็กกว่าคนอื่น แต่รัศมีแห่งอำนาจที่แผ่ออกมาจากร่างนั้นสะดุดใจเอ็ดเวิร์ดเข้าอย่างจัง จนต้องเอ่ยปากถามคนข้างตัวว่า

“คริส ผู้ชายคนนั้นเป็นใครหรือ?”

คริสหันมาตามคำเรียก แล้วเลิกคิ้วสูง

“นายถามมาก็ดีแล้ว ว่าจะแนะนำอยู่พอดี...เจ้านั่นชื่อไคโตะ เห็นเงียบๆแบบนี้แต่ก็ปากร้ายใช่เล่นทีเดียว”

ก่อนบุ้ยใบ้ไปยังชายอีกสองคนที่เหลือ

“สำหรับเรคซ์...คงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก ส่วนไอ้ผู้ชายท่าทางขี้เก๊กที่นั่งเยื้องออกไปทางขวานั่นชื่อฮาโรลด์”

อัยการหนุ่มผงกศีรษะรับรู้ พลางเสริมความเห็นอยู่ในใจว่า คริสดูไม่ค่อยชอบน้ำหน้าฮาโรลด์เท่าไร

ถ้าบอกว่าเป็นคู่กัดกันก็คงเชื่อไปแล้ว

“เออนี่...ถ้าเป็นไปได้นายก็อยู่ห่างๆฮาโรลด์ไว้ล่ะ  ไอ้หมอนั่นน่ะนิสัยห่วยบรม แถมยังเห็นแก่ตัว ขี้งกจนทะเลเรียกพ่อเลยละ”

...นั่นอย่างไรล่ะ

แต่คนที่ได้ยินไม่ได้มีแค่เอ็ดเวิร์ดคนเดียว  ดันแคนที่ได้ยินคำพูดขวางหูนั้นเข้า หันมาค้อนเพื่อนตาเขียวปัด

“คริส!  หยุดเอาความคิดเพ้อเจ้อไร้สาระของนายไปยัดใส่สมองเอ็ดเวิร์ดได้แล้ว

มีอย่างที่ไหนกัน พูดให้คนรักของตัวเองเสียหายแบบนี้”

นั่นแหละ  เอ็ดเวิร์ดและคริสถึงค่อยรู้สึกตัวว่าเพิ่งนินทาคนระยะเผาขนไปสดๆร้อนๆ  ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หัวข้อนินทาในคราวนี้มีศักดิ์เป็นถึง ‘คนรัก’ ของคริส

“โธ่...นิดหน่อยเอง ให้ใจมันกระชุ่มกระชวยบ้างเถอะนะ...ดันแคน นายก็ช่วยทำหูทวนลมสักครั้งก็แล้วกัน”

ชายร่างผอมสูงก้มหัวขอร้องอย่างร้อนรน

เห็นดันแคนเม้มปากแน่นคล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ยอมอ่อนข้อให้เมื่อเห็นสายตาวิงวอนแกมขอร้องของคริส

“ก็ได้ แต่คราวหน้าคราวหลังจะทำอะไรก็ระวังปากบ้างเถอะ นายก็รู้ว่าตัวเองเป็นพวกปากพาซวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ คิดบ้างสิว่าถ้าเกิดฮาโรลด์มาได้ยินเข้าจะเป็นยังไง”

“คร้าบ...คุณเพื่อนบังเกิดเกล้า”

“ดู... ยังจะมาทำเล่นอีก ถ้าคราวนี้โดนดีอะไรฉันไม่ช่วยแล้วนะ”

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า  คำพูดข่มขู่ดุดันนั่นจะกระซิบออกมาจากริมฝีปากดันแคนที่กำลังยิ้มหวานรับจานขนมจากแมทธิว ความขัดแย้งที่มองเห็นทำเอาคนที่เหลือถึงกับปรับสีหน้าตามไม่ทัน

“เอ้านี่ ทานให้อร่อยนะ”

ชายหนุ่มรูปงามวางจานลงตรงหน้ารุ่นน้อง เป็นอันยุติข้อตกลงของสองสหายไว้เพียงแค่นั้น ทุกคนต่างมุ่งความสนใจของตนไปยังขนมหวานตรงหน้าแทน

ส่วนฐานของขนมคือเนื้อเค้กนุ่มรองเนื้อไอศกรีมสตรอเบอรี่สีชมพูหวาน  ลักษณะโดมสีขาวข้างนอกทำจากเมอแรงค์...หรือครีมไข่ขาวที่ตีจนขึ้นฟูแล้วพ่นไฟให้เกรียมนั่นเอง

...อย่างที่คิด  ขนมหวานฝีมือแมทธิวอร่อยและหวานนุ่มลิ้นจนไม่น่าเชื่อ
.
.
(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)

เอ็ดเวิร์ดและเพื่อนร่วมโต๊ะมีเวลาสุขใจกับขนมตรงหน้าได้ไม่นาน  จู่ๆฮาโรลด์ก็วางส้อมในมือลง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงขรึมเครียดว่า

“เอ็ดเวิร์ด ฉันคิดว่าคงถึงเวลาที่เราจะต้องพูดถึงปัญหาของนายกันแล้วล่ะ”

...ไม่เพียงชายหนุ่มเจ้าของชื่อที่ชะงักไปกับคำกล่าวนั้น  หากบรรยากาศบนโต๊ะกลับกลายเป็นอึมครึมภายในเวลาเสี้ยววินาที สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดราวกับแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ

หากฮาโรลด์ไม่พูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมา พวกเขาก็แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ายังมีปัญหาที่รอการสะสางค้างอยู่เป็นกองพะเนิน

“เฮ้อ...จะเครียดไปทำไม ปัญหาน่ะ เอาไว้แก้ทีหลังก็ได้ แต่ตอนนี้ไอศกรีมเริ่มจะละลายแล้วนะ”

เสียงขัดตาทัพนั่นจะเป็นของใครไปไม่ได้อีก  นอกจากแมทธิวที่ใช้ช้อนตักขนมหวานฝีมือตัวเองเข้าปากอย่างสบายใจ ท่ามกลางสายตาสงสัยของทุกคน

คำตอบตามมาหลังจากนั้นไม่นาน มันมาพร้อมกับดวงตาสีน้ำตาลเจือทองที่แลตรงไปยังเอ็ดเวิร์ดอย่างมีเลศนัย

ฮาโรลด์เป็นคนแรกที่แปรเจตนาของเขาออก จึงหัวเราะขำ ยิ้มออกมาได้

เพียงไม่นาน  คนเกือบทั้งโต๊ะก็เริ่มเข้าใจความคิดของแมทธิวแล้ว

เหลืออยู่ก็แค่เอ็ดเวิร์ด...ที่จนบัดนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่คนเดียว

ยิ่งเห็นทุกคนส่งสายตาไม่น่าไว้ใจมาให้ ขนแขนของอัยการหนุ่มรูปงามก็พร้อมใจกันลุกเกรียวโดยอัตโนมัติ  เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาครามครันว่า...ระหว่างแม็กเกลกับคนกลุ่มนี้ ใครกันแน่ที่เป็นตัวอันตรายต่อสวัสดิภาพของเขามากกว่ากัน





ข้อมูลของเอ็ดเวิร์ดหายไป...แม็กเกลบอกตัวเองขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่ มันถูกขโมยไปด้วยฝีมือของเด็กร้ายกาจคนหนึ่ง

แต่ไอรีนก็สมกับอาชีพคนหาข่าว  หล่อนรู้เรื่องเอกสารที่ถูกขโมย  และศัตรูใหม่ของมาเฟียหนุ่มอย่างรวดเร็ว เอกสารชุดใหญ่ถูกส่งมายังคฤหาสน์เร็วทันใจ

ดวงตาสีมรกตไล่อ่านตัวอักษรในหน้ากระดาษ...เริ่มจากข้อมูลของอัยการหนุ่มก่อน  นอกจากตัวหนังสือ  ยังมีภาพถ่ายแนบติดมาด้วย

สายตาของแม็กเกลแลไปปะทะหญิงผู้หนึ่ง หล่อนยืนเอียงอาย ยิ้มน้อยๆ มาให้

พอเห็นรอยยิ้มนั้นเต็มตา เขาก็ชะงัก

ดวงหน้างามชวนมองเผยรอยยิ้มจริงใจ  ความทะเยอทะยานที่แท้จริงถูกปกปิดเอาไว้ภายใต้เปลือกของความสงบเสงี่ยมเจียมตัวซึ่งเป็นภาพมายาที่เธอสร้างขึ้น

เบียทริซ โรจส์ฟอลเป็นสตรีประเภทที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อตัวเอง

ใช่...หล่อน ‘ทำ’ ทุกอย่าง...ทำแม้กระทั่งการ ‘พยายาม’ ฆ่าบุตรโทนที่เป็นตัวถ่วงแข้งถ่วงขาในชีวิตอย่างเลือดเย็น...

มือหยาบกร้านยกขึ้นลูบรอยแผลอันเป็นผลจารึกจากเหตุการณ์พยายามฆ่าในครั้งนั้นแผ่วเบา

นี่สินะ...เหตุผลที่ทำให้เขาจงเกลียดจงชังอัยการหนุ่มรูปงามคนนั้นเหลือเกิน

มิใช่เพียงความแค้นที่อัดแน่นไปทั้งหัวใจ หากแววตาหยามเหยียดของเอ็ดเวิร์ดยามจ้องมองเขา...มันเหมือนกับนังผู้หญิงแพศยาคนนั้นไม่มีผิด!

แม็กเกลขบกรามแน่น สูดลมหายใจเข้าลึกยาว หลับตาสงบสติอารมณ์

ภาพแห่งความหลังเริ่มชัดเจนขึ้นทีละน้อยราวม้วนวีดิโอที่ฉายย้อนกลับ





...หลังถูกมารดาทอดทิ้ง  เด็กชายแบกพาร่างกายและหัวใจอันบอบช้ำซมซานหนีไปท่ามกลางความหนาวเหน็บยามค่ำคืน

สายโลหิตที่รินย้อมใบหน้าส่งให้ร่างเล็กสั่นสะท้านด้วยความตระหนกระคนหวาดกลัว จิตใจอันพิสุทธิ์ยังไร้เดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจโลกแห่งความคิดของผู้ใหญ่  สิ่งหนึ่งสิ่งเดียวที่รับรู้ในยามนี้คือ เขาเป็นบุคคลที่ไม่มีใครต้องการอีกต่อไป

‘แม่โกหก...ไหนบอกว่าจะมีความสุขด้วยกัน  จะหาบ้านสวยๆ ซื้อเสื้ออุ่นๆให้ใส่...แล้วทำไมถึงทำกับผมแบบนี้’

เด็กชายล้มคว่ำลงกลางลานหิมะสีขาวบริสุทธิ์ หยาดโลหิตยังคงหลั่งริน

ดวงตาที่ใช้งานได้เพียงข้างเดียวตวัดมองแสงไฟหลากสีสันเบื้องหลังด้วยความทุกข์ระทมในโชคชะตาของตน ก่อนความโกรธจะเริ่มปะทุขึ้นในหัวใจดวงน้อย  ไฟแค้นแผดลามไปทั่วร่าง

สักวัน...ผู้หญิงคนนั้นต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าเขา...

ความคิดสุดท้ายจบลง เด็กหนุ่มก็หมดสติไปท่ามกลางหิมะที่ถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน





ตลอดเวลาที่ติดอยู่ในห้วงความฝัน  ภาพที่เด็กชายเห็นกลับมีแต่ฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนไม่รู้จักจบสิ้น**

ภาพมารดาที่ยื่นมือไปรับถุงเงินก้อนโตด้วยดวงตาเป็นประกาย ไม่มีแม่ผู้แสนใจดีคนนั้นอีกแล้ว คนที่เหลืออยู่มีเพียงสตรีที่ขายทั้งชีวิตและวิญญาณให้แก่ซาตานเพียงเพื่อแลกกับความสุขสบายของตัวเองเท่านั้น

รอยยิ้มอิ่มเอมบนดวงหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อหันกลับมาเห็นเขายืนอยู่ใกล้ๆ  เบียทริซเยื้องย่างเข้ามาหา  มือเงื้อสูงจนเห็นประกายสีเงินวาววับ ก่อนเคียวคมกริบจะตวัดลงมา...

เด็กชายสะดุ้งตื่นพร้อมหยาดน้ำตานองหน้า   สติสัมปชัญญะหวนคืนแจ่มชัดเช่นเดียวกับอาการปวดปลาบที่กำเริบขึ้นอย่างรวดเร็ว

มือเล็กวางทับผ้าพันแผลเบาๆ หวังให้ไออุ่นจากฝ่ามือช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนนั้นลง แม้เล็กน้อยก็ยังดี

ตราบาปรอยแรก...เกิดจากน้ำมือของแม่ที่ไม่รักลูกตัวเอง

แผลในใจแผลแรก...กรีดลึกลงในหัวใจอย่างไม่มีวันจางหายตลอดกาล

‘ตื่นแล้วหรือ หนูน้อย’

สุ้มเสียงทรงอำนาจแฝงความห่วงใยแหวกเข้ามาในม่านความคิด

‘...ไปถูกใครทำร้ายมาหรือ บอกลุงได้ไหม’

เป็นชายแปลกหน้าวัยกลางคนผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า

นัยน์ตาคู่นั้นทอประกายอบอุ่น...แบบที่ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน  ดังนั้นจึงเผลอตอบกลับไปโดยลืมเลือนคำสอนของแม่ที่ว่า ‘ห้ามพูดกับคนแปลกหน้า’ ไปจนหมด

‘...แม่ทำ’

‘หืม? แม่ของหนูน่ะหรือ’ เสียงถาม คล้ายไม่อาจปักใจเชื่อในคำตอบที่ได้ยิน

‘แม่บอกว่าผมเป็นตัวเกะกะ’

ยิ่งพูด น้ำเสียงก็ยิ่งสั่นเครือจนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ  หากเด็กชายใช้หลังมือปาดหยาดน้ำในดวงตาทิ้งไปเสียก่อน

ชายแปลกหน้าเอื้อมมือแตะไหล่ที่สั่นสะท้านเป็นเชิงปลอบใจ

‘แล้วพ่อของหนูล่ะ ไม่ปกป้องหนูเลย?’

‘ผมไม่มีพ่อฮะ เพราะแม่ของผม...เป็นผู้หญิงขายตัว’

เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ คล้ายว่าคู่สนทนาเองก็ไม่คิดว่าคำตอบจะออกมาในรูปแบบนี้  เขาผ่อนลมหายใจออกมายาวเหยียดหลังจากนิ่งคิดไปนาน  แล้วคำพูดที่ทำให้หัวใจดวงน้อยพองโตก็ดังขึ้น

‘ถ้าอย่างนั้น...ฉันจะเป็นให้พ่อให้หนูเองนะ’

นับแต่นั้นมา เด็กชายก็ได้รับชื่อใหม่ที่ ‘พ่อ’ ของเขาตั้งให้... ‘แม็กเกล’

ซึ่งบางครั้งพ่อยังเรียกเขาด้วยความเอ็นดูว่าแม็กเกล เดอะ สการ์เฟสอีกด้วย

แม็กเกลเคยถามถึงที่มาของแผลเป็นบนร่างบิดาบุญธรรม แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ  เขาได้ยินทุกคนเรียกหาพ่อเป็น ‘นายใหญ่’ แต่พอถามถึงความหมายของคำคำนี้ ก็ไม่เคยมีใครตอบเขา

แต่ไม่ว่าพ่อจะเป็นใครก็ตาม...หากพ่อเป็นคนที่ทำให้ชีวิตของเด็กหนุ่มโผบินออกมาจากเงามืดมิด พาก้าวสู่แสงสว่างอย่างที่ไม่เคยมีใครทำให้มาก่อน ทำให้เขาลืมความทุกข์และอดีตไว้แต่หนหลัง สอนให้ชีวิตก้าวเดินต่อไปข้างหน้า

ทว่า...วันเวลาแห่งความสุขช่างแสนสั้น

ฟันเฟืองแห่งชะตากรรมที่หยุดนิ่งไปเป็นเวลานานเริ่มหมุนเคลื่อนอีกครั้ง นำพาเส้นทางชีวิตของคนสองคนที่เคยแยกจากกันไปให้เวียนวนกลับมาบรรจบกัน...

พร้อมหนี้เลือดที่ต้องชดใช้!

แม็กเกลได้ยินเสียงตัวเองตะโกนก้องในอกยามมองร่างบางระหงที่นอนแทบเท้าอย่างเย็นชา ก่อนเลื่อนสายตาลงมองทารกในห่อผ้าด้วยความชิงชัง

เด็กน้อยในอ้อมกอดใช้ดวงตาสีเทาอ่อนสุกใสจ้องกลับมาด้วยความแปลกใจ

ดวงตาซึ่งเหมือนกับสตรีที่ทอดทิ้งเขาไปดุจพิมพ์เดียวกัน

‘เอาลูกฉันคืนมานะ อย่าทำอะไรเขา’

เสียงร้องอ่อนระโหยเรียกแม็กเกลให้ตื่นจากภวังค์  เขาหันไปมองแววตาวิงวอน คู่นั้นดุจมองอาจม

ปืนพกประจำตัวถูกโยนลงบนตักของสตรีเบื้องหน้า ตามมาด้วยประกาศิตจากปีศาจจำแลงในร่างเด็กหนุ่ม

‘เอาสิ...ฉันให้เธอเลือก ปืนกระบอกนั้นมีกระสุนอยู่นัดเดียว เลือกระหว่างชีวิตของเธอกับ...เด็กคนนี้’

จบคำ ร่างในห่อผ้าก็ถูกยื่นออกไปห้อยโหนเป็นเป้านิ่งกลางอากาศ เห็นอีกฝ่ายคว้าปืนขึ้นมาเล็งใส่อย่างโกรธแค้น แม็กเกลถึงกับยิ้มหยัน

‘อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า ก่อนที่เธอจะได้ลั่นไกใส่ฉัน เธอก็คงชิงลงนรกไปก่อนแล้วล่ะ’

เพราะมือปืนของพ่อคงไม่ยอมให้เขา...ทายาทคนสำคัญแห่งโลกมืดต้องบาดเจ็บแม้แต่ปลายก้อยแน่นอน

ยิ่งเห็นสีหน้าสิ้นหวังของหล่อน แม็กเกลยิ่งเหยียดยิ้มอย่างสาแก่ใจ

หากส่วนเสี้ยวหนึ่งในหัวใจกลับร่ำร้อง

...แม่จำผมไม่ได้หรือครับ

เบียทริซไม่แม้แต่จะมองมาที่เขาเลยด้วยซ้ำ  ภาพเดียวที่สะท้อนอยู่ในแววตาของหล่อนคือทารกน้อยที่ร้องไห้โยเยหาแม่ หวังจะได้กลับเข้าไปนอนซุกในอ้อมอกอุ่นๆ แล้วผล็อยหลับไปด้วยเสียงเพลงกล่อมนอน

‘แม่ขอโทษนะลูก...’

เสียงหวานกระซิบแผ่ว มือเรียวเปื้อนดินขมุกขมอมกระชับปืนแน่น

แม็กเกลนึกเห็นใจในความโชคร้ายของน้องชายร่วมสายเลือดนัก อีกใจก็นึกประณามความใจสัตว์ของสตรีตรงหน้าจนแทบอยากฆ่าหล่อนให้ตายคามือ

แต่ทุกสิ่งผิดไปจากที่คิด ปากกระบอกปืนถูกจ่อเข้าข้างขมับโดยไม่มีการลังเล

เบียทริซมองลูกน้อยของเธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความอาดูร

‘เอ็ดเวิร์ด แม่รักลูกนะ’

ทารกที่กำลังร้องไห้เงียบสนิทเพราะจำเสียงแม่ได้

จากแววตารักใคร่หมดหัวใจ  กลับกลายเป็นความพยาบาทคั่งแค้นยามหันมาสบตาแม็กเกล

‘เปรี้ยง!’

เสียงปืนดังก้อง พร้อมกับโลหิตกระเซ็นไปทั่วสารทิศ

แม็กเกลและเอ็ดเวิร์ดที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดถูกชโลมร่างด้วยเลือดสีแดงฉาน

ทารกน้อยเพศชายเริ่มร้องไห้อีกครั้งด้วยความตกใจ  ปล่อยพี่ชายให้ยืนตะลึงมองศพของอดีตมารดาแต่เพียงผู้เดียว

สรรพสิ่งรอบตัวเงียบกริบ   คล้ายโลกทั้งใบมีเพียงร่างไร้ลมหายใจของเบียทริซกับเขาแค่สองคน  และหนึ่งคำถามที่ลอยวนอยู่ในความคิดอย่างไม่อาจสลัดทิ้งไปได้

ทำไมแม่ไม่รักผม...เหมือนที่รักน้องบ้าง?

ในที่สุด แม่ก็เกลียดผมจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตจริงๆสินะ....

‘หึ...หึๆ...ฮ่าๆๆๆ’

เด็กหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีมรกตเจ็บช้ำรันทดตวัดมองผู้ติดตามที่ยืนตัวแข็งอยู่ข้างหลัง ก่อนสั่งเสียงเย็นชาว่า

‘เอาไอ้เด็กนี่ไป ไปยัดไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าตรงไหนก็ได้  แต่อย่าเอามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่ามัน’

ทารกในห่อผ้าเปื้อนเลือดถูกส่งต่อให้ชายฉกรรจ์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ก่อนร่างสมส่วนจะหันหลังเดินจากมา

ตราบาปที่สอง...บังคับมารดาบังเกิดเกล้าของตัวเองให้ฆ่าตัวตาย

ใบหน้าคมเปื้อนโลหิตยิ้มเย็น

...แล้วผมจะตามไปหาแม่ในนรกนะครับ

แม็กเกล เดอะ สการ์เฟสถือกำเนิดขึ้นอย่างแท้จริงในวันนั้นเอง





ทำไมถึงลืมไปได้นะ...เอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอล น้องชายผู้มีสายเลือดอันน่ารังเกียจไหลเวียนอยู่ในร่าง...เช่นเดียวกับเขา

น่าตลก!

แม็กเกลขว้างกระดาษลงถังขยะอย่างไม่ใยดี...สายไปเสียแล้ว เพลิงปรารถนาที่ถูกจุดขึ้นจากความแค้นได้แผดลามกลืนกินหัวใจของเขาไปทั้งดวง

ยิ่งเจ็บยิ่งแค้น...ยิ่งแค้นยิ่งรัก!

ต่อให้ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นน้องชายบังเกิดเกล้า แม็กเกลก็ยังยืนยันที่จะทำตามความคิดเดิม เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่ของของใครทั้งนั้น สิทธิ์ประโยชน์โดยชอบธรรมบนเรือนร่างอันงดงามนั่นต้องเป็นเขาแต่เพียงผู้เดียว!

นัยน์ตาคมตวัดไปมองแผ่นกระดาษที่เหลือบนโต๊ะ ...ข้อมูลลับของเมืองเรดโซนและ...ประวัติส่วนตัวของแมทธิว ซายส์

แม็กเกลคว้ากระดาษตรงหน้ามาอ่านอย่างรวดเร็ว

ทว่า...ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งสับสน

เรื่องราวความสัมพันธ์ของสามตำนานเรดโซนและชายหนุ่มรูปงามชวนตะลึงผู้นั้นซับซ้อนเกินกว่าใครจะคาดเดา แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดกลับเป็นการปิดตำนานของเซอร์เซสที่จบลงด้วยการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่ข่าววงในระบุชัดว่าเซอร์เซสถูกสายสืบของตำรวจฆ่า จึงสามารถปิดคดีลงได้

ไม่ใช่...แม็กเกลบอกตัวเอง...ตำนานของเซอร์เซสไม่ควรปิดฉากลงแบบนั้น

มันง่ายเกินไป...

ถ้าเช่นนั้น...คำถามต่อมา ‘ใคร’ คือตัวจริงเบื้องหลังคำร่ำลือโป้ปดทั้งปวง?

ใบหน้าของเด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาดำคมพลันฉายวาบขึ้นมาในความคิด

ลึกลงไปในแววตาสงบดุจผืนน้ำนิ่งคือประกายคมกล้าที่ราวกับสัตว์ป่า  แม้เมื่อมองผ่านรูปถ่าย หากสัญชาตญาณกลับกระตุ้นเตือนว่ามันคนนั้นคือตัวอันตรายที่สุด

เดอะ สการ์เฟสได้คำตอบให้แก่ห้วงหัวใจอันสับสนในนาทีนี้เอง

ไอ้เด็กนั่นคือตัวจริง!

ความคิดที่ทำให้มุมปากกระตุกยิ้มน้อยๆยามนึกถึงความสนุกที่กำลังจะเริ่มขึ้น

“มีแต่เรื่องให้น่าตกใจทุกทีเลยสิน่า...เรดโซนอย่างนั้นหรือ? อยากรู้เหมือนกันว่า ระหว่างมาเฟียมืดกับฆาตกรเลือดเย็น...ท้ายที่สุดแล้วใครจะแน่กว่าใคร”

​--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



“งานนี้ถ้าไม่ติดคุกหัวโตก็นอนตายห่าอยู่ตรงนี้ชัวร์”

เสียงสบถคร่ำครวญของชายวัยกลางคนผู้มีแผลเป็นทั่วร่างส่งให้ชายอีกสองคนถึงกับถอนหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนไคโตะที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มจะเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน

“เลิกบ่นสักทีเถอะ เรคซ์ ทำแบบนี้มาตั้งไม่รู้กี่หนยังไม่ชินอีกรึไง”

นั่นละ คนที่ถูกว่าถึงกับหันมาค้อนตาเขียวปัด

“ถ้างั้นแกจะมาทำเองมั้ยล่ะ ไอ้งาน ‘งามหน้า’ แบบนี้น่ะ ไอ้เด็กเปรตเอ๊ย”

“เอาน่ะ ทั้งสองคน พอเถอะ นายก็ด้วย...อย่าหงุดหงิดสิเรคซ์ มันก็เหมือนอย่างที่ไคโตะบอกนั่นแหละ  เพียงแต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ลงมือตอนกลางวันเท่านั้นเอง...ก็ในสามตำนานแห่งเรดโซน นายเป็นคนเดียวที่เปิดเผยใบหน้าได้นี่นะ”

แมทธิวชี้แจง...แต่ไม่รู้ว่าใช้คำพูดผิด หรือตีลงตรงจุดที่ ‘เรคซ์’ กำลังน้อยเนื้อต่ำใจอยู่พอดี เพราะทันทีที่ประโยคสุดท้ายจบลง เรคซ์ก็แหกปากลั่น

“โว้ย! อะไรๆก็กูอยู่คนเดียว ไม่ยุติธรรมว้อย! รับไม่ได้!”

เสียงร้องอย่างประสาทเสียเรียกทุกสายตาให้หันมามองพวกเขาเป็นตาเดียว

แมทธิวจำต้องออกหน้ารับความผิดแทน ขณะที่ไคโตะรีบพาชายผมแดงเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นก่อนใครจะทันสังเกตเห็น

...ก็น่าเห็นใจอยู่หรอก เพราะงานที่มีความเสี่ยงสูงมักจะเป็นของเรคซ์อย่างไม่มีทางเลือก ขณะที่งานใช้ความคิดเป็นของซันโกคุ ยิ่งเซอร์เซส...ไม่ต้องพูดถึง สบายที่สุด ตำรวจไม่รู้จักหน้าค่าตา ไม่มีร่องรอยเบาะแสใดที่จะสาวไปถึงตัวผู้นำคนนี้ได้

ดังนั้นจะถือว่าเรคซ์โชคร้ายที่สุดก็ไม่ผิดนัก...แมทธิวคิดอย่างเห็นใจ

ดวงตาสีน้ำตาลเจือทองมองสำรวจไปทั่วบริเวณ  ร่องรอยการระเบิดครั้งใหญ่ยังคงปรากฏเด่นชัดอยู่หลังแถบกั้นสีเหลืองที่ตำรวจประจำท้องที่มาติดตั้งไว้ เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งยืนเฝ้าซากรถซึ่งยามนี้ไหม้เป็นตอตะโกอย่างแน่นหนา  รอให้รถยกมาเคลื่อนย้ายรถคันดังกล่าวไปตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง เพื่อระบุว่าเป็นของใคร ซึ่งเจ้าของรถคงไม่มีทางยินยอมเป็นแน่

จะปล่อยให้หลักฐานแม้เพียงชิ้นเดียวไปตกอยู่ในมือตำรวจ   ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับเมื่อ 5 ปีก่อน...แม็กเกลคงไม่โง่ขนาดนั้น

พรายยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลากลายเป็นยิ้มกว้างเมื่อเห็นชายสวมสูทใส่แว่นดำหลายสิบคนยืนซ่อนตัวอยู่ตามมุมตึก

แมทธิวปัดปอยผมสีน้ำตาลอ่อนให้พ้นใบหน้า ดูเหมือนสีย้อมชั่วคราวจะใช้การได้ดีทีเดียว มันช่วยปกปิดสีผมที่โดดเด่นเกินไปของเขาจนหมด เพื่อให้พร้อมสำหรับปฏิบัติการในครั้งนี้

แต่นึกอีกที...ก็คงไม่มีใครคิดหรอกว่า ทั้งๆที่เพิ่งเกิดเหตุวางระเบิดเป็นข่าวพาดหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ไปเมื่อเช้า มาวันนี้กลุ่มผู้ร้ายที่ตำรวจกำลังตามล่าตัวอยู่จะกล้าแหย่หนวดเสือย้อนกลับมาอีกครั้ง

ร่างสูงโปร่งเดินกลับไปยังจุดนัดพบหลังกองขยะมหึมา แล้วพบว่าเรคซ์เปลี่ยนอารมณ์จากหมดอาลัยตายอยากมาเป็นหัวฟัดหัวเหวี่ยงแทน  ใกล้กันคือชายผู้รอการกลับมาของเขาอย่างใจจดใจจ่อ

“แมทธิว ทำไมกลับมาช้าจังเลยครับ”

คนถูกถามยิ้มรับ พยักหน้านิดๆไปทางด้านหลัง

“คนของเดอะ สการ์เฟสมาแล้ว อีกไม่นานก็คงถึงเวลา...”

ยังพูดไม่ทันจบคำดีเลยด้วยซ้ำ ตอนที่ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น สายลมกรรโชกพัดพุ่งมาพร้อมแรงอัดมหาศาลที่แทรกผ่านอณูอากาศมาปะทะร่างสมส่วนของแมทธิวจนซวนเซไปข้างหน้า โชคดีที่ไคโตะไวพอ  จึงอ้าแขนรับชายหนุ่มไว้ทันก่อนที่เขาจะคว่ำลงไปนอนจมกองขยะ

“อะไรวะ บ้าชะมัดไอ้พวกนี้”

เรคซ์ต่อว่าอย่างอดไม่อยู่ในความบ้าระห่ำของกลุ่มชายชุดดำที่บัดนี้เริ่มกราดกระสุนแข่งกับตำรวจ

ผิดคาดนัก  แทนที่จะเก็บกำลังฝ่ายตนเอาไว้ไปถล่มเรดโซน แม็กเกลกลับเลือก ที่จะพุ่งชนกับตำรวจอย่างเปิดเผย

ไม่มีใครเข้าใจว่ามาเฟียหนุ่มมีแผนการใดอยู่ในใจ

แม้แต่แมทธิวยังจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความพิศวง

ยังไม่ทันได้รับคำตอบว่าเพราะอะไร  จู่ๆเสียงสาดกระสุนที่ดังต่อเนื่องเกือบ 5นาทีก็ปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว  มันเร็วเกินกว่าที่คนซึ่งซ่อนอยู่หลังกองขยะจะทันตั้งตัวด้วยซ้ำไป

...เกิดอะไรขึ้น?

พร้อมกับที่ถามตัวเองเช่นนั้น ชายทั้งสามต่างมองไปยังจุดเกิดเหตุเป็นตาเดียว

ภาพที่เห็นแม้ชัดเจน  แต่กลับไม่สร้างความกระจ่างให้แก่หัวใจทั้งสามดวงได้เลย   ในทางกลับกัน  มันทำให้หัวใจทุกดวงที่อยู่ตรงนั้นมืดมน ราวกับชีวิตของพวกเขาได้เดินมาถึงจุดจบแล้ว

“แม็กเกล เดอะ สการ์เฟส”

ไคโตะเอ่ยนามของชายที่ยืนอยู่กลางสมรภูมิรบคล้ายไม่อยากเชื่อสายตา

...นี่เอง สาเหตุว่าทำไมตำรวจและกลุ่มชายนิรนามถึงหยุดยิงกันกะทันหัน

การปรากฏตัวของผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกมืดก่อให้เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้น

ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาฉาบด้วยรอยยิ้มนิดๆ คล้ายว่าเขากำลังยืนอยู่ในสวนป่าที่จัดแต่งไว้อย่างสวยงาม ราวกับเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นตรงหน้าล้วนไม่เกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย

ท่าทีเช่นนั้นก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นในใจ

“ไอ้บ้านั่น...มันคิดจะทำอะไรกันแน่?”

คำถามจากปากเรคซ์ดังก้องอยู่ในใจแมทธิวยามนี้เช่นกัน

แม็กเกลคิดจะทำอะไร?

ชายหนุ่มจับจ้องรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าคมไม่วางตา

...คล้ายว่าคนตรงหน้ากำลังรอคอยอะไรสักอย่าง

แต่รออะไรเล่า?

คำตอบสำหรับคำถามนั้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะสดใสของเด็กชายที่ลอยพัดมาตามสายลม

ท่ามกลางความเงียบ เป้าสายตาถูกเบนไปยังผู้มาใหม่โดยพร้อมเพรียง...

ชายหนุ่มร่างสูงหล่อคมเข้มกับเด็กหนุ่มลูกครึ่งเจ้าของเสียงหัวเราะเมื่อครู่ กำลังเดินออกมาจากโรงแรมหรูซึ่งตั้งอยู่หน้าจุดเกิดเหตุอย่างพอเหมาะพอเจาะ

เพียงแวบแรกที่เห็น แมทธิวก็จดจำชายหนุ่มผู้นั้นได้ทันที

“ทเวน”

คล้ายรับรู้ถึงกระแสสายตาร้อนแรงที่จับจ้องมายังตนเองเช่นกัน ทเวนชะงักเท้า เหลียวมองไปรอบตัวด้วยแววตาสงสัย  ก่อนกลายเป็นความตะลึงเมื่อเห็นแม็กเกลยืนส่งยิ้มมาให้ ฉากหลังเป็นศพตำรวจกับชายชุดดำนอนเกลื่อนพื้น โลหิตนองถนน

การปรากฏตัวของอัยการหนุ่มส่งให้เรคซ์ที่รอท่าอยู่นานเริ่มขยับ

เป้าหมายของภารกิจคือการพาทเวน เทมส์ไปยังเมืองเรดโซนตามแผนที่วางไว้

“ฉันไปล่ะ”

“เดี๋ยว!”   อดีตสารวัตรหนุ่มเอื้อมมือดึงแขนอีกฝ่ายเอาไว้สุดแรง

“อะไรอีกล่ะ ถ้าพลาดคราวนี้ก็ไม่รู้จะมีโอกาสครั้งไหนอีกแล้วนะเว้ย แมทธิว”

ชายผมแดงบ่น ยิ่งเห็นทเวนถูกจาเรฟจับจูงหายลับไปต่อหน้าต่อตา ก็ยิ่งทำให้เขาเดือด การลังเลเพียงเสี้ยววินาทีทำให้การรอคอยหลายชั่วโมงสูญเปล่าไปในพริบตา!

แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่แมทธิวทำ คือการนั่งนิ่งๆ แววตาครุ่นคิดหนักใจ

“นายไม่รู้สึกเลยหรือ...เรื่องมันชักจะลุกลามไปกันใหญ่แล้วนะ”

คำพูดนั้นส่งให้เรคซ์ชะงักกึก  นัยน์ตาสีแดงเพลิงตวัดกลับไปมองภาพตรงหน้า   ถี่ถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่ผู้อ่อนวัยกว่าต้องการสื่อถึงอยู่ดี

เขาระงับสติ ข่มอารมณ์เต็มที่ แล้วนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าแมทธิว

“ลุกลามยังไง  ไหนลองอธิบายมาซิ”

“...ลองคิดดูง่ายๆนะเรคซ์  แม็กเกลเป็นเหมือนตัวแทนของมาเฟียมืด ส่วนเด็กที่มากับทเวนก็เป็นถึงลูกชายของเอเฟ็ท โอมาลนอฟเชียวนะ”

“แล้วยังไง ไอ้เอเฟ็ทมันก็มาเฟียผู้ยิ่งหญ่าย...ที่ไม่มีใครกล้าแหยมด้วยอยู่แล้วนี่ ไม่เห็นจะแปลกอะไร”

ชายผมแดงลากเสียงประชดเพื่อนเก่าด้วยความหมั่นไส้  ไม่ได้มองเห็นสัจธรรม ที่คนข้างตัวพยายามจะชี้ให้เห็นเลย

แมทธิวไม่ตอบ แต่ถอนหายใจแรง

เคราะห์ดีที่ไคโตะตามความคิดทัน ดังนั้นคำถามที่เอ่ยขึ้นก็คือ

“หมายความว่าสิ่งที่แม็กเกลต้องการในวันนี้ไม่ใช่การเก็บซากหลักฐานที่จะมัดตัวเขาในศาล  แต่เป็นการรอให้หนึ่งในสามตำนานเรดโซนผู้หายสาบสูญไปปรากฏตัวใช่ไหมครับ”

“ถูกแล้วไคโตะ และถ้าเมื่อไหร่ที่หนึ่งในสามตำนานเรดโซนก้าวออกไปตอนนี้...ฉันรับรองได้เลยว่าต้องมีคนขำไม่ออกไปอีกหลายคนแน่  ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือฉันอย่างไม่ต้องสงสัย”   พร้อมกับบอก  ชายหนุ่มกวาดสายตาไปยังเรคซ์ซึ่งเป็นตัวหลักในภารกิจครั้งนี้อย่างนึกเสียดาย   

“ถ้าหากเรายังดึงดันที่จะส่งเรคซ์ไป นั่นก็เท่ากับว่าตัวแทนของสามขั้วอำนาจมืดมาพบกันโดยตรง...ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของพันธมิตรหรือศัตรูก็ตามแต่ ทว่าตำรวจที่เห็นเหตุการณ์ในวันนี้คงไม่ยอมนิ่งนอนใจเป็นแน่   และหากพวกเขาคิดที่จะปลิดขั้วอำนาจหนึ่งทิ้งไป...เรดโซนจะเป็นเป้าหมายแรก”

“ถ้ามันกล้า ก็ลองดูสิ”   ไคโตะว่าเสียงกร้าว

“ใจเย็นๆ ไคโตะ”   แมทธิวลูบมือเด็กหนุ่มอย่างปลอบประโลม พร้อมหันไปมองเรคซ์ที่ขบกรามแน่น   “ฉันเข้าใจดี...ว่าพวกนายรัก ‘บ้าน’ แห่งนั้นมากแค่ไหน...”

“แล้วทำไมไอ้บ้าพวกนี้มันถึงต้องตามจองล้างจองผลาญกันขนาดนี้ด้วยวะ!”

ไม่รอฟังจนจบ เรคซ์ก็ถามคำถามอันเกรี้ยวกราดกึกก้อง

ขึ้นชื่อว่าฆาตกร...ก็ถูกพิพากษาให้เป็นสิ่งมีชีวิตอันน่ารังเกียจเดียดฉันท์

แต่คนเหล่านั้นไม่เคยนึกบ้างเลยหรือไร  ว่าถึงแม้จะเป็นฆาตกร  แต่พวกเขาก็มีชีวิต มีลมหายใจ เป็นคนที่มีจิตใจ มีความรู้สึกคนหนึ่ง

คนบางคนไม่โชคดีถึงขนาดมีทางให้เลือกมากมายขนาดนั้น

ถ้าเลือกได้  ใครกันเล่า จะอยากถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกร

เป็นคนบาปหนา...ที่สักวันร่างทั้งร่างต้องอาบไฟนรก

คลื่นความปวดร้าว อดสู  คล้ายกระแทกลงกลางใจของแมทธิวที่เฝ้ามองเพื่อนทั้งสองด้วยความห่วงใย  ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกยาวดุจจะให้อากาศบริสุทธิ์เข้าไปเจือจางความรู้สึกอันเข้มข้นในอกลง

“ทั้งสองคน ฟังให้ดีนะ”

...ฟังให้ดีถึงความจริงที่โหดร้ายยิ่งกว่าการถูกมองว่าเป็นฆาตกรใจบาป

“ถ้าฉันเป็นตำรวจ  ฉันก็ต้องระแวงว่าการที่พวกนายมีคนระดับผู้นำมาเจอหน้ากันแบบนี้  แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเบื้องหลังไม่เคยมีข้อตกลงร่วมกัน  พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับให้เลือกระหว่างแม็กเกลที่มีกำลังคน กับเอเฟ็ทที่มีกำลังทุน  และ...เรดโซนที่ไม่มีอะไรเลย  นอกจากหัวใจของคนจริงกับความบ้าระห่ำจนน่ากลัว  ลำพังแค่สองสิ่งนี้ เรดโซนถึงเป็นฝ่ายอำนาจมืดที่อ่อนแอที่สุดในสายตาของตำรวจไงล่ะ”

หัวใจดวงที่กล้าแกร่งเคยแหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่หัวใจของพวกเขาต้องแหลกรานเจ็บช้ำเท่าครั้งนี้เลย

การถูกมองว่าอ่อนแอ  ต่ำต้อยไร้ค่าเพียงดิน  ยังก่อบาดแผลกรีดลึกลงในหัวใจยิ่งกว่าถูกตราหน้าเป็นคนบาปหนาหลายพันเท่านัก ไคโตะและเรคซ์จำต้องข่มอารมณ์ ที่พาลจะตีขึ้นให้สงบลงอย่างยากเย็น  พวกเขาขับไล่ความเจ็บแค้นที่แล่นพล่านไปทั่วอกด้วยการดึงตัวเองกลับมาสู่ภารกิจอีกครั้ง

“ถ้างั้นจะทำยังไง”   ชายวัยกลางคนมองอีกสองคนที่เหลือ...ในเมื่อเขาออกไปไม่ได้แล้ว ตัวละครหลักก็ต้องเปลี่ยนใหม่

“จากความคิดของฉัน คนที่จะต้องออกไปก็คือ...”

“ผมจะไป”

คำอาสาจากคนที่อายุน้อยที่สุดก่อให้เกิดความเงียบขึ้นทันใด

แมทธิวฟังแล้วจะเอ่ยห้าม  แต่กลับถูกมือใหญ่รั้งศีรษะเข้ามาเคล้าคลอแนบชิด...สัมผัสได้ถึงความร้อนรนที่แฝงมากับลมหายใจร้อน

แล้วริมฝีปากแห้งผากก็จรดลงมา  มอบสัมผัสหวานล้ำละมุนละไมให้แก่กันอยู่อึดใจหนึ่ง...ก่อนถอนกลับไปช้าๆ

“ตำรวจยังไม่รู้จักตัวตนของผม อย่าห่วงไปเลยครับ”   ไคโตะกระซิบ พร้อมกับลุกขึ้น  เดินออกไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

“นายไม่ต้องเป็นห่วงไคโตะมันหรอก เชื่อฉันเถอะ...ไอ้นี่มันรู้จักเอาตัวรอด”

เรคซ์ช่วยยืนยันให้อีกแรง

ความจริงชายหนุ่มมีคำพูดอยู่ในใจ  หากกล้ำกลืนมันไว้  เขาเพียงแต่พยักหน้ารับเร็วๆ  ก่อนหันหนีมาด้วยความรู้สึกที่แน่นตื้อขึ้นมาในอก

การกระทำนี้เอง ที่ทำให้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่กันตามลำพังอย่างที่คิด ดวงตาสีน้ำตาลเจือทองสบเข้ากับดวงตาสีเทาอ่อนวูบไหวสั่นระริก เสี้ยวหน้าคมคายขาวเผือดเหมือนเด็กทำผิดแล้วโดนจับได้

“พี่แมทธิว...”

“เอ็ดเวิร์ด!”

แมทธิวเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ก้าว ก็ประชิดตัวและคว้าแขนอีกฝ่ายไว้เต็มแรง

“ตามมาทำไม พี่บอกให้อยู่ที่เรดโซนกับพวกฮาโรลด์ไม่ใช่หรือไง”

“ผม...ขอโทษครับ”  เอ็ดเวิร์ดตอบเสียงแผ่ว ก้มหน้าลงต่ำดุจต้องการซ่อนแววตาปวดร้าวให้พ้นจากสายตาคมกริบของรุ่นพี่ที่บัดนี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

แต่นั่นกลับเป็นการบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แมทธิวได้รับรู้ จนต้องนึกคาดโทษกลุ่มเพื่อนทรยศเอาไว้ในใจ...โทษฐานที่พารุ่นน้องของเขาออกมาโดยไม่ปรึกษากันก่อน...ดีที่เอ็ดเวิร์ดไม่โง่ขนาดเดินทะเล่อทะล่าออกไปให้แม็กเกลเห็น  ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ต้องยืนสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ทีเดียว  กว่าจะหันมาสบดวงหน้าคมคายนั้นอย่างนึกอ่อนใจในความดื้อรั้นของคนตรงหน้านักแล้ว

“เรื่องแอบหนีออกมาพี่จะไม่ถือสาเรานะเอ็ดเวิร์ด แต่ต้องบอกเหตุผลมาตรงๆว่าทำแบบนี้ทำไม”

ถามออกไปแล้วก็กลับกลายเป็นตัวเขาเองเสียอีกที่พูดไม่ออกกับคำตอบที่ได้รับ

“ผมเป็นห่วงพี่ครับ...แต่ถ้าทำให้พี่ไม่สบายใจ...ก็ขอโทษด้วย”

“อ๋อ  งี้นี่เอง ไอ้เราก็นึกว่าเรื่องอะไร เอาน่าๆ ไม่ต้องคิดมาก  แมทธิวน่ะเห็นมันดุแบบนี้แต่ที่จริงแล้วใจกว้างจะตาย...”

เรคซ์ยั้งประโยคยาวเหยียดไว้แค่นั้น  เพราะหันไปเห็นดวงตาคมลุกวาบ  แต่ยังรำพึงรำพันต่อในใจ

...อะไรวะ คนอุตส่าห์มีน้ำใจช่วยแท้ๆ

“ขอบใจสำหรับน้ำใจของนายนะ แต่เก็บไว้เถอะ เพราะฉันคิดว่ามันไม่จำเป็น”

เสียงนี้ที่ตอบความคิดของเขาจะเป็นใครไปไม่ได้อีก นอกจากแมทธิว

ชายวัยกลางคนกระแอมก่อนทำหน้าไม่สะทกสะท้าน...ใจจริงอยากจะตอบโต้  แต่ยิ่งต่อปากต่อคำ ก็ยิ่งทำให้โดนถากถางหนักเข้าไปอีก เลยสงบปากคำไว้

แมทธิวเองก็ถอนใจเหนื่อยหน่าย...ป่วยการที่จะมาตั้งแง่ทุ่มเถียงกันตอนนี้

เขาตัดบทด้วยการเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นการเป็นงานว่า

“เรคซ์  ฉันจะพาเอ็ดเวิร์ดตามไปสบทบกับไคโตะนะ ฝากดูลาดเลาให้ที”

“เออ จะไปไหนก็ไปเหอะว่ะ”

หนุ่มใหญ่โบกมือไล่ตัดรำคาญ พยักหน้าให้เอ็ดเวิร์ดที่เข้ามากล่าวคำขอบคุณ และลากลับไปพร้อมแมทธิวอย่างเงียบๆ

เหลืออยู่ตัวคนเดียว เรคซ์ก็เหยียดยิ้มกึ่งยียวนกึ่งท้าทายออกมา

เขารู้...แมทธิวคิดที่จะเสี่ยง โดยมีเอ็ดเวิร์ดเป็นหมากสำคัญบนกระดานเดิมพันครั้งนี้

เสี่ยงนั้นเสี่ยงจริง เพราะถ้าคนเดินหมากเดินพลาด คิงล้ม เกมส์ก็จบ

แต่เรคซ์เชื่อในตัวแมทธิว เชื่อในการตัดสินใจของเพื่อน พร้อมที่จะเสี่ยงร่วมกัน

สำหรับชายวัยกลางคนแล้ว ความเชื่อมั่นในพลังของตัวเองและความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างมิตรสหายคือ ขุมพลังอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้พวกเขาสามารถฟันผ่าและผ่านพ้นอุปสรรคไปด้วยกัน ไม่ว่าปัญหาที่ต้องเผชิญนั้นจะหนักหนาสักเพียงใดก็ตาม

เรคซ์เชื่อมั่นในพลังแห่งเพื่อนตลอดมา







จาเรฟรู้ เฉกเช่นเดียวกับหมู่ผู้นำและปวงชนชั้นปกครองแห่งโลกมืดในยุคก่อนๆ รู้ว่า สักวันหนึ่ง ‘อำนาจ’ ซึ่งเคยถูกแบ่งแยกออกเป็นฝักเป็นฝ่ายจะกลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง เหมือนมีพลังที่มิอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า หรือเป็นเทพดลบันดาลให้พวกเขาเวียนวนมาบรรจบพบเจอกัน

จากตำนานนิยายปรัมปรา ล่วงมาจนถึงยุคแห่งประวัติศาสตร์ที่ถูกจารจารึกลงในกระดาษเป็นบทเรียนให้แก่ชนรุ่นต่อๆมา ก็ยังมิอาจใช้เป็นสติเตือนใจ หยุดยั้งความผิดพลาดในอดีตของบรรพบุรุษได้  การช่วงชิงแก่งแย่ง ‘อำนาจ’ เกิดขึ้นในทุกยุคสมัย มันไม่เพียงบ่งบอกถึงตัวตน เกียรติยศ ศักดิ์ฐานะของผู้ที่ได้ถือครอง หากยังแฝงไว้ด้วยหัวใจอันละโมบ ริษยา และไม่รู้จักพอของคนเหล่านั้น

เช่นนั้นแล้ว...แม้ว่าแม็กเกลและชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นั้นจบปัญหาลงได้ก็จริง แต่หาก ‘คนนอก’ ล่วงรู้ว่าชายนิรนามคนนั้นเป็นคนของเรดโซน ความกริ่งเกรง ‘พลัง’ จากการร่วมมือของสองฝ่ายอำนาจมืดจะเกิดขึ้น  นำมาซึ่งความคิดที่จะปลิดอำนาจขั้วที่อ่อนแอที่สุดทิ้งลงก่อน เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม

เด็กหนุ่มมองอย่างนึกรำคาญใจ...ก็ดูสิ พวก‘ไร้ค่า’ จะหดหัวหนีกลับก็ไม่ยอมทำ จะออกมายืนเปิดเผยตัวแบบแม็กเกลก็ไม่กล้า

“เจ้าพวกสวะ  สุดท้ายก็รักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น”

คำรำพึงแม้แผ่วเบา ทว่าฟังดูชันเจนนักในความรู้สึกของคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

“จาเรฟเป็นเด็กเป็นเล็ก ทำไมพูดไม่เพราะแบบนี้”   ทเวนดุ

คนที่อ้าปากกำลังจะบ่นต่อพลันชะงักกึก สะบัดหน้ามามองอย่างเอาเรื่องทันที

...คำก็เด็ก สองคำก็เด็ก จาเรฟคิดอย่างเคืองๆ

ใช่สิ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เขาก็ยังเป็นเด็กในสายตาของทเวนอยู่ดี

ไม่ชอบเลย...

“อย่ามาเรียกฉันว่าเด็กนะ”

“หืม? ทำไมล่ะ...งอนอะไร สะบัดเสียงห้วนเชียว...เรฟ”

ทเวนถามเสียงอ่อนโยน ยกมือขยี้หัวอีกฝ่ายจนผมฟูกระจาย

ทำแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่...จาเรฟคิดอย่างเซ็งๆ ก่อนตอบเสียงเรียบ

“เปล่า”

“จริงรื้อ? เห็นอยู่ชัดๆว่างอน แต่เอาเถอะ...ฉันไม่เซ้าซี้แล้วก็ได้”

สรุปให้ตัวเองฟังเสร็จสรรพ  อัยการหนุ่มก็ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ  โดยหารู้ไม่เลยว่าคำพูดนั้นจี้ใจดำคนฟังอย่างจัง

รู้ตัวว่าพลาดก็ตอนที่ถูกเจ้าเด็กขี้งอนขยับตัวเข้าประชิด แล้วโถมน้ำหนักทับใส่จนล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยกันทั้งคู่นั่นละ

ทเวนกำลังจะอ้าปากด่า ก็ถูกริมฝีปากบางฉกชิงจูบไปเสียแล้ว

“...ทเวนโกรธเรฟอีกแล้วหรือฮะ?”

ชายหนุ่มถึงกับลืมคำพูดที่ตระเตรียมไว้จนหมดเกลี้ยง สมองขาวโพลน มีเพียงความสับสนสงสัยที่รังแต่เพิ่มพูนขึ้นทุกที

ไอ้เด็กนี่...มันจะมาไม้เดิมอีกแล้ว

เสียงหนึ่งร้องเตือนขึ้นในใจ  แต่ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงไม่ยอมออกแรงผลักร่างเล็กนี่ออกไป...ทั้งที่จริง ถ้าจะทำก็ทำได้แท้ๆ

ขณะที่ทเวนกำลังรวบรวมสติซึ่งกระเจิงหนีไปไกลให้กลับเข้าร่าง จาเรฟก็กำลังรุกคืบต่ออย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

“เรฟรักทเวนนะฮะ แล้วเมื่อไหร่ทเวนจะบอกรักเรฟสักทีล่ะ”

“หยุดเล่นได้แล้ว จาเรฟ”

คิดว่าตัวเองตวาดออกไป แต่ทำไมเสียงที่ได้ยินถึงสั่นแบบนั้น

“ตอบเรฟมาก่อนสิ”

ถ้าหากทำได้...ก็อยากตอบอย่างใจเหลือเกิน แต่ริมฝีปากของจาเรฟที่กระซิบแตะแต้มแนบชิดอยู่กับริมฝีปากของเขา ทำให้มิอาจต่อว่าหรือปฏิเสธใดๆได้ทั้งนั้น

“ทเวนช่วยรักผม...อย่างที่ผมรักทเวนได้มั้ยฮะ?”

อีกครั้งแล้ว ที่คำพูดของจาเรฟทำให้ทเวนรู้สึกเหมือนรุกไล่ให้จนมุม

ชายหนุ่มดิ้นขลุกขลักลุกขึ้น จับบ่าอีกฝ่ายแล้วกระชากออกห่างสุดแรง

“ไม่”  ...ไม่รู้

“ทเวนรังเกียจเรฟ...หรือครับ?”   สุ้มเสียงสั่นสะท้านเอ่ยถาม ก่อนหยาดน้ำใสจะ

พากันไหลพรูจากดวงตาคู่งาม

ร่างเล็กหันหลังกลับหมายจะวิ่งหนีไปจากตรงนั้น ทว่าถูกมือแข็งแรงดึงไว้

“เรฟ เดี๋ยวก่อน...ฉัน...”

“...ปล่อย...”

ชายหนุ่มส่ายหน้า แววตาสับสน   “...อย่าไป...ได้ไหม?”

“ทเวน...เห็นแก่ตัวที่สุด...”   จาเรฟยกแขนเสื้อป้ายน้ำตา มองลึกเข้าไปในดวงตาสีไพลินฉายแววหมองเศร้าเหมือนจะค้นหาคำตอบ   “ในเมื่อทเวนเป็นคนตอบปฏิเสธแล้วทำไมถึงต้องเศร้าด้วยล่ะ”

“ไม่รู้...”

“ถ้าไม่รู้ แล้วจะเรียกเรฟไว้ทำไม ปล่อย!”

“ไม่! อย่าไป อยู่กับฉันก่อน!”

ทเวนขึ้นเสียงพร้อมกับกระชากร่างสมส่วนลงมาจนล้มกลิ้งไปชนผนัง

เด็กหนุ่มรีบตะกายลุกนั่ง แต่นั่นดูจะช้าเกินไป  เพราะยามนี้ เมื่อแหงนหน้ามอง ก็เห็นเงาดำทะมึนที่บดบังตัวเขาไปจนมิด

“หลบ! ผมจะกลับบ้านแล้ว เกลียดทเวนที่สุด ไม่อยากเห็นหน้าแล้ว!”

พร้อมกับบอกเสียงกร้าว จาเรฟมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาเดียดฉันท์

ไม่มีจาเรฟคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้คือจาเรฟ โอมาลนอฟที่ทเวนไม่รู้จัก...และคงพร้อมที่จะเขี่ยเขาทิ้งทุกเวลาเหมือนทิ้งตุ๊กตาตัวเก่าสิ้นราคานั่นละ

เพียงแค่คิด หัวใจของชายหนุ่มก็เจ็บร้าวสุดทานทน หากทเวนกลับกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นไว้แล้วโน้มต่ำลงจนใบหน้าของพวกเขาอยู่ระดับเดียวกัน

“โกรธฉัน...มากขนาดนั้นเลยหรือ เรฟ”

“ใช่”

“แล้ว...เกลียดฉัน...หรือเปล่า”

และโดยไม่รอคำตอบ ไม่ว่าคำตอบนั้นจำเป็นคำตอบรับ หรือปฏิเสธ ทเวนก็โน้มศีรษะลงไป  ให้ริมฝีปากของตนสัมผัสกับผิวแก้มเนียนละเอียดราวกระเบื้องเคลือบ...

ด้วยความลังเล...ไม่แน่ใจ...

“ขอโทษ”   เขาปิดเปลือกตาลงเพื่อปกปิดความอ่อนแอที่เอ่อท้น

ขอบตาร้อนผ่าว ทเวนปล่อยทิ้งมือลงข้างตัวอย่างหมดแรง

ยามนั้นเอง ที่เด็กหนุ่มผู้เฉยชาเริ่มมีปฏิกิริยาตอบโต้

จาเรฟเหยียดมุมปากออกเป็นรอยยิ้มหยันปนดูถูก นิ้วเรียวเชยคางได้รูปขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เห็นดวงตาสีไพลินฉ่ำชื้นมองมาที่ตนด้วยความสับสน

“ขอโทษแล้วคิดว่าผมจะหายโกรธงั้นหรือ...ง่ายเกินไปหน่อยมั้ง”

น้ำเสียงจาเรฟเรียบเกินไป เรียบจนน่ากลัว

“ถ้าอยากให้ผมหายโกรธมากขนาดนั้น ก็ลองทำให้ผม ‘พอใจ’ ดูสักครั้งสิ”

พร้อมกับบอก ร่างสมส่วนลุกยืนขึ้นช้าๆ มิได้เร่งร้อนจนทเวนอดคิดไม่ได้ว่าคนตรงหน้ากำลังล้อเล่นอยู่กระนั้น หน้าตาก็ไม่ได้ขึงขัง ฉายแววโกรธเกรี้ยวเลยสักนิด

นิ่งเฉย จนยากจะดักเดาใจถูก

เงียบงันไปเสี้ยวอึดใจ แล้วทั้งสองก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มถามอย่างอิดโรย

“...แล้วฉัน...ต้องทำอะไรล่ะ?”

“คุณก็รู้ดีนี่ ว่าตลอดมา...ส่วนไหนของคุณที่ทำให้ผมพอใจได้มากที่สุด”

รอยยิ้มสดใสอ่อนโยนยังคงระบายอยู่เต็มใบหน้าตอนที่จาเรฟเอ่ยคำนั้น

แต่สำหรับชายหนุ่ม พลันที่ได้ยินนั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องในใจ

ใช่แล้ว จาเรฟไม่เคยเห็นใครมีดีมากไปกว่าของเล่นแก้เบื่อที่สักวันก็คงหมดความสนใจ หากสิ่งที่ทำให้เขาอยู่เคียงข้างเด็กหนุ่มไร้หัวใจคนนี้ต่อ ทั้งหมดก็เพื่อหัวใจของตัวเองเท่านั้น
.
.
(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)

หัวใจของทเวนจะเย็นเยียบเพียงใดแต่บรรยากาศแห่งฤดูหนาวของการเผชิญหน้าที่ไม่คาดคิดดูจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง

แม็กเกลทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น ใช้รองเท้าหนังขยี้ให้เถ้าดับสนิท ขณะชายตามองเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายที่ยืนพิงกระจกร้านค้าอยู่อีกฝั่งถนน

“ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้พบกันตัวต่อตัวแบบนี้”

คำทักทายนั้นแฝงร่องรอยท้าทายอยู่ในที หากอีกฝ่ายยังคงเงียบ มีเพียงดวงตาวาวโรจน์ราวสัตว์ป่าที่จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเขาแน่วนิ่ง

แม็กเกลมองผู้อ่อนวัยกว่าด้วยแววตาชื่นชมขึ้นมาเล็กน้อย

“คิดจะเงียบไปถึงเมื่อไหร่กัน...”

“...ปกติฉันก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว”

สุ้มเสียงทุ้มห้าวตอบแดกดัน เพลิงแค้นที่ยังคุกรุ่นอยู่เต็มอกถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของแม็กเกลช่วยเร่งให้ไฟติดเชื้อลุกลามขึ้นมาอีกหน

ชายหน้าบากเสียอีกที่ใจเย็นจนผิดคาด เขาหยิบบุหรี่มวนใหม่ขึ้นมาจากซอง แล้วจุดไฟแช็ค

“ปากดีสมคำร่ำลือจริงๆเลยนะ ...เซอร์เซส”

“แก!”

เฟี้ยว! เพล้ง!

นัดกระสุนแหวกฝ่าอากาศโดนกระจกแตกไปอย่างน่าเสียดาย  เมื่อเป้าหมายกลิ้งตัวหลบฉากไปยังมุมตึกอย่างรู้ทัน

“...ไอ้แม็กเกล...”   เสียงห้าวสบถออกมาแทบไม่เป็นคำ

จากหางตา...เห็นเพียงรอยแย้มยิ้มของปีศาจหนุ่มที่ยืนลอยหน้าลอยตาอยู่กลางถนน แค่นั้นก็รู้ตัวว่าเสียท่าเข้าให้แล้ว แม็กเกลคิดจะให้เขาเป็นแพะรับบาปตั้งแต่แรก

...ไม่สิ ต้องบอกว่า เป็น ใครก็ได้  ในสามตำนานแห่งเรดโซนต่างหาก

เดอะ สการ์เฟสไม่เพียงแต่คิดยืมมือตำรวจมาทำลายล้างผลาญเรดโซนเท่านั้น หากยังลามไปถึงการลบล้างตำนานเรดโซนออกจากหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล!

“บ้าชิบ...ไอ้นักแม่นปืนพวกนี้ตื้อบัดซบเลยโว้ย”

เขาค้อมตัวลงหลบหลังกำแพงอิฐ  ใจก็ขัดเคืองพวกตำรวจที่ตื่นตูมไปตามแผนของแม็กเกลนัก ก็รู้อยู่หรอกนะว่าบทสนทนาสั้นๆเมื่อครู่นี้ถูกจับตาดูตลอด แต่...

“แบบนี้ก็ยิ่งเข้าทางมันใหญ่เลยสิวะ”

เสียงปืนยังคงสาดใส่ไม่หยุดยั้ง ข้าวของร้านค้าที่อยู่ในวิถีกระสุนล้วนแต่พังพินาศไม่มีชิ้นดี   การกระทำทั้งหมดนั้นทำให้รู้ว่า...สำหรับตำรวจทุกนาย  ไม่ว่าจะเป็น

ตำรวจยศธรรมดาหรือหน่วยปฏิบัติการพิเศษ  ‘เซอร์เซส’ คือฝันร้ายอย่างแท้จริง

ไคโตะตัดสินใจกระชากตัวหลบไปอีกฝั่งตึก  เป็นเวลาเดียวกับที่ห่ากระสุนเบนเป้าหมายจากตัวเขากลับไปบนดาดฟ้าแทน แว่วเสียงปะทะกันดุเดือดมาจากบนนั้น

“ไคโตะ”

เหลียวกลับไปมองตามเสียงเรียกแล้ว จึงสบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเจือทองของแมทธิว

ชายหนุ่มและเอ็ดเวิร์ดส่งยิ้มมาให้ แต่ไคโตะกลับมองเลยไหล่ทั้งสองไปด้านหลังด้วยความเคืองหนักกว่าเก่า...ทั้งฉุน ทั้งอ่อนใจ  เรคซ์ปล่อยมาได้อย่างไรกัน

ตอนนั้นเอง ที่เสียงสาดกระสุนกลับกลายเป็นเงียบลงไปเสียเฉยๆ แสดงว่าใครบางคนได้จัดการนักแม่นปืนฝั่งตำรวจไปหมดแล้ว  แต่คนที่เป็นเป้าหมายยังไม่กล้าขยับด้วยเกรงว่าอาจเป็นแผนลวงของศัตรู

“ฝีมือฮาโรลด์น่ะ ฉันโทรตามหมอนั่นมาเอง”

เสียงตอบจากอดีตสารวัตรหนุ่มทำให้ความจริงกระจ่างในที่สุด

มือดีที่มาช่วยเหลือในยามฉุกละหุกคือ ‘ซันโกคุ’

ไคโตะหันมองคนข้างตัว แมทธิวกำลังสำรวจเขาทุกกระเบียดนิ้ว หมายจะไม่ให้ มีร่องรอยบาดเจ็บใดพ้นจากสายตาไปได้เลย

ดวงตาดำคมมองความห่วงใยนั้นด้วยความรู้สึกที่ตันตื้นขึ้นมาในอก





รอจนแน่ใจว่าไคโตะปลอดภัยดีทุกอย่างแล้ว  แมทธิวจึงปัดความสนใจกลับไปยังชายหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งพิงผนังอยู่ใกล้ๆ ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า

“ไหวหรือเปล่า เอ็ดเวิร์ด”

“ครับ พี่แมทธิว” เมื่อเห็นสีหน้าไม่เขื่อของรุ่นพี่ เขาจึงเอ่ยต่อ “ผมจะไม่มีวันยอมให้ใครต้องมาสังเวยชีวิตเพราะความเห็นแก่ตัวของแม็กเกลอีกแล้วครับ”

ตอบเช่นนั้น  แต่เอ็ดเวิร์ดกลับรู้สึกถึงหยาดเหงื่อที่ไหลซึมออกมาตามไรหน้าผาก ไม่อยากบอกความจริงเลยว่า เพียงแค่ได้ยินชื่อของแม็กเกล...ใจทั้งดวงก็เต้นแรงราวจะกระดอนออกมาจากอกแล้วด้วยซ้ำ

“...หลังจากนี้จะไม่มีการถอยหลังกลับอีกแล้วนะ”

แมทธิวเตือน และเขาเริ่มลังเล ดวงตาสีเทาอ่อนกลอกไปมาคล้ายกำลังค้นหาคำตอบ แต่เอ็ดเวิร์ดก็ยังยืนยันความคิดเดิม เขาพยักหน้า

...ตลอดเวลานั้น ไคโตะแทบไม่ได้สนใจฟังบทสนทนาตรงหน้าเลย ผ่านพ้นความตายมาได้  เด็กหนุ่มก็ลงมือกระทำสิ่งที่ใจปรารถนามาเนิ่นนาน นั่นคือโอบกอดแมทธิวเอาไว้ในวงแขน สูดกลิ่นกายหอมกรุ่นจากร่างสูงโปร่งราวจะซึมซับมันลงในหัวใจดวงที่แห้งผากของตัวเอง

ตราบจนกระทั่งชายทั้งสองเจรจากันเสร็จนั่นละ แมทธิวถึงค่อยหันมาทางเขา

“ไคโตะ นายรออยู่ที่นี่ก่อนดีไหม...”

“ผมจะไปด้วยครับ ผมจะอยู่ทุกที่ที่มีคุณ”   พร้อมกับบอก ร่างสูงโน้มกายลงจูบขมับคนรักเบาๆอย่างทะนุถนอมและให้เกียรติ...ซึ่งเป็นสองสิ่งที่แม็กเกลไม่เคยมอบให้เอ็ดเวิร์ดเลยแม้สักครั้ง

อัยการหนุ่มมองภาพบาดตาบาดใจตรงหน้าด้วยความร้าวราน วูบหนึ่งที่เขานึกโหยหากระไออบอุ่นจากเรือนกายของปีศาจเลือดเย็นตนนั้น...

พอรู้สึกตัว เอ็ดเวิร์ดก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านนี้ออกไปจากสมองทันที

“พวกเราไปกันเถอะครับ”

คำพูดนั้นเรียกสายตาสองคู่ให้เบือนกลับมามองเขาเป็นตาเดียว

เอ็ดเวิร์ดในยามนี้เหมือนเด็กชายที่กำลังหลงทาง ความเข้มแข็งภายนอกที่แสดงให้คนอื่นเห็นนั้น... แท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่เกราะกำแพงที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องจิตใจอันแสนเปราะบางของตัวเองเท่านั้น

แมทธิวยิ้มอย่างเอ็นดูปนอ่อนใจ  จับมือของชายหนุ่มรุ่นน้องแบหงายขึ้น เผยให้เห็นว่ามือทั้งสองสั่นระริกและชื้นเหงื่อเพียงใด

เขาวางทาบมือลงบนฝ่ามือของเอ็ดเวิร์ดแผ่วเบา   สัมผัสนุ่มนวลปลอบประโลมคล้ายจะแทรกผ่านเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

...อบอุ่นเหลือเกิน

“จำไว้นะเอ็ดเวิร์ด...จงเลือกด้วยหัวใจ แต่อย่าให้หัวใจมาตัดสินชีวิตของเรา”

คำพูดนี้สิ ที่ทำให้คนฟังถึงกับเงยหน้ามองอย่างงุนงง

“หมายความว่าไงครับ”

“ไม่เข้าใจตอนนี้ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือก พี่แค่อยากให้นายตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง  ตัดสินใจทำในสิ่งที่เมื่อทำลงไปแล้วจะไม่นึกเสียใจในภายหลังอีก...สัญญากับพี่ได้ไหม”

พร้อมกันนั้น  แมทธิวก็ดึงร่างสูงโปร่งเข้ามาสวมกอดดุจจะถ่ายทอดความกล้าทั้งมวลไปให้เอ็ดเวิร์ด

การกระทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของไคโตะ...ที่นึกแปลกใจกับท่าทีของคนรักในวันนี้เหลือเกิน นัยน์ตาสีน้ำตาลเจือทองที่มองเห็นดูหม่นมัวเหมือนทุกครั้งที่แมทธิวสัมผัสได้ว่าจะมีความสูญเสียเกิดขึ้น

ดวงหน้าหล่อเหลาที่หมองเศร้ายิ่งดูขาวซีดไร้สีสัน มือเรียวกระชับร่างเอ็ดเวิร์ดกอดแน่น

“ขอโทษ”

“พี่แมทธิว?”

เอ็ดเวิร์ดพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดนั้น  แต่ถูกชายหนุ่มรุ่นพี่ยื้อไว้ ไคโตะเองก็ได้แต่เฝ้ามองภาพตรงหน้าด้วยความสับสน ในขณะที่แมทธิวหลับตาอย่างปวดร้าว...นึกเห็นใจ ‘ใคร’ คนนั้นจนหมดหัวใจ







“ขอโทษที่ทำให้รอนาน”

คำทักทายแรกหลังจากปล่อยให้ชายร่างสูงเจ้าของดวงตาสีมรกตยืนอยู่ท่ามกลางลมหนาวเพียงผู้เดียวเป็นเวลานานจน ‘คนรอ’ อดฉุนไม่ได้ ถึงกับโยนบุหรี่ทิ้งอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น

“นึกว่าตายไปแล้วซะอีก แล้วไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมา...”

ท้ายประโยคเบาลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบเมื่อเห็นชายหนุ่มที่เดินตามมาเป็นคนสุดท้ายเต็มตา

เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มสลวย และดวงตาสีเทาอ่อนที่แสนคิดถึง...

ประกายยินดีในดวงตาคมกริบฉายวาบก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว  ชายหน้าบากยิ้มสมเพช

“อ้อ...นึกว่าใคร ที่แท้ก็แมทธิว ซายส์ผู้โด่งดังนี่เอง สีผมใหม่สวยดีนี่”

“ขอบคุณที่ชม”

แมทธิวตอบเสียงหยันไม่แพ้กัน ตามองคนตรงหน้าด้วยแววตาหมิ่นแคลนอย่างไม่ปิดบัง

ริมฝีปากบางหักมุมโค้งขึ้นน้อยๆ  ดวงตาสีมรกตเบนเป้าหมายไปยังคนที่ยืนอยู่เคียงข้างชายหนุ่มรูปงามเป็นคนสุดท้าย

“ไงล่ะเอ็ดเวิร์ด  ไม่เจอกันแค่แป๊บเดียว  หึ...คนที่เรดโซนคงสนองตัณหาแกจนหนำใจเลยสินะ”

“ฉันจะไปนอนกับใครมันก็เรื่องของฉัน”

คำตอบโต้จากเอ็ดเวิร์ดนี่สิ ที่ทำให้แม็กเกลอึ้ง ก่อนสะบัดหน้าไปยังแมทธิวที่ตกเป็นจำเลยหลักด้วยสายตาเคืองแค้น

“เอ็ดเวิร์ด! นี่แก...”  มาเฟียหนุ่มปราดเข้าไปกระชากต้นแขนอีกฝ่ายไว้แล้วเขย่าอย่างบ้าคลั่ง  “มีผัวแค่คนเดียวมันไม่พอใช่มั้ย! อ้อ...จริงสินะ แกมันก็ลูกอีตัวเก่า...!”

แม็กเกลพลันรู้สึกหน้าชาวูบ รสเลือดเค็มปร่ากลบปาก

ในความมึนงงนั้นเอง ที่แว่วเสียงลูกน้องคนสนิทตะโกนก้อง

“ไอ้สารเลว!”

“...เก็บปืนซะ สตีฟ”

“บอสครับ  แต่ว่า...”

“เก็บปืนเดี๋ยวนี้!”

ชายร่างสูงใหญ่หันมองหัวหน้าของตนด้วยความแปลกใจระคนสงสัยอย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่ได้ทุ่มเถียงหรือขัดคำสั่งใดๆอีก เขาเพียงแค่จับจ้องไปยังเจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างอาฆาตมาดร้าย

เมื่อเห็นว่าสตีฟสงบสติอารมณ์ได้แล้ว  แม็กเกลจึงลดมือลง  ดวงตาคมจับจ้องคนตรงหน้านิ่ง เอ่ยทุกคำช้าชัด

“ชกหน้าฉัน...สองครั้งแล้วนะ”

...ทั้งที่ผ่านมา  ไม่เคยมีใครแม้สักคนที่ผิดใจกับแม็กเกล เดอะ สการ์เฟสแล้วจะรอดกลับออกไปโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ ลำพังแค่กล่าววาจาล่วงเกิน มันผู้นั้นก็ทอดกายเป็นศพอยู่ข้างทางแล้วด้วยซ้ำ

การออกคำสั่งห้ามฆ่าของแม็กเกลในคราวนี้ ส่งให้ทุกคนมองชายหนุ่มผู้โชคดีที่สุดในรอบสิบปีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

ภาพที่เห็นคือ  คนใจกล้าคนนั้นเดินดุ่มเข้าไปจับแยกแม็กเกลและเอ็ดเวิร์ดออกจากกัน ก่อนผลักอกชายหน้าบากเต็มแรง

“ชกหน้าสองครั้งแล้วมันจะทำไม หา...ไอ้คนใจสัตว์ เอ็ดเวิร์ดเสียน้ำตาให้คนอย่างแกไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังไม่สำนึกอีกรึไง!”

แมทธิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยอยากจะตามไป ‘ซ้ำ’ อีกฝ่ายให้สาแก่ใจนัก

เดอะ สการ์เฟสก็เดอะ สการ์เฟสเถอะวะ!

ชายหนุ่มแทบไม่รับรู้ถึงสายตาตกตะลึงโดยรอบเลยแม้สักนิด  เพราะมัวแต่หันมาถามไถ่เอ็ดเวิร์ดด้วยความห่วงใย

“ไม่เป็นไรนะ สีหน้าไม่ดีเลย”

“ไม่ครับ ผมไม่เป็นไร...”

แต่อาการกลับตรงกันข้าม ใบหน้าคมสันยามนี้เผือดไร้สี ริมฝีปากบางสั่นระริกด้วยความสับสน

เห็นดังนั้นแล้วแมทธิวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมายาวให้กับความปากไม่ตรงกับใจของคนข้างตัว

แต่การละสายตาจากปีศาจหนุ่มตนนั้นเป็นความคิดที่ผิดมหันต์  อดีตสารวัตรหนุ่มเพิ่งสำเหนียกได้ตอนที่น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากข้างหลังในระยะประชิด

“หมอนี่...เป็นของฉัน...”

“!”

ยินเสียงลมดังเฉียดผ่านหูไปเพียงนิดเดียว รู้สึกตัวอีกครั้ง เอ็ดเวิร์ดก็ตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงปนบังคับของแม็กเกลแล้ว

“หึ...รอดไปได้นะซายส์  ถ้าไม่มีเซอร์เซสอยู่ข้างๆละก็ ป่านนี้แกลงไปนอนคลุกฝุ่นบนพื้นแล้ว”

“อย่างน้อยก็ยังไม่ล่ะวะ”

แมทธิวย้อนเสียงเขียวปัด พร้อมนึกต่อในใจด้วยความโล่งอก...นี่ถ้าไม่ได้ไคโตะเข้ามาช่วยไว้ละก็...คงได้ลงไปนอนวัดพื้นอย่างที่ถูกสบประมาทเป็นแน่







ภาพทั้งหมดไม่พ้นจากสายตาของชายหนุ่มที่ยืนตัวแข็งอยู่ในอ้อมกอดปีศาจได้เลย เอ็ดเวิร์ดละสายตาจากไคโตะและแมทธิว แต่ไม่กล้าแหงนมองใบหน้าเข้มคมนั้น ลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ข้างหูบ่งชัดว่า ‘เขา’ อยู่ใกล้เพียงใด

“แกนอนกับคนอื่น...นอกจากฉัน...จริงหรือ?”

เป็นครั้งแรก ที่เอ็ดเวิร์ดจับน้ำเสียงของแม็กเกลได้ว่าเขากำลังไม่มั่นใจ

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นในที่สุด  ดวงตาสีมรกตคือสิ่งแรกที่มองเห็น แต่ครั้นไล่สายตาไปทั่วใบหน้าคมสัน จึงได้พบว่าแม็กเกลดูเหนื่อยอ่อนและอิดโรยลงไปจากครั้งสุดท้ายที่เห็นมากทีเดียว แล้วยังรอยคล้ำใต้ตานั่นอีก

เผลอไล้หลังมือกับเคราสากอย่างลืมตัว เมื่อนึกขึ้นได้ จึงรีบถอนมือออก

“ขอโทษ...”

ไม่มีน้ำเสียงหยามเหยียดหรือสายตาดูถูก นอกจากมือหยาบกร้านที่เชยคางขึ้นช้าๆให้สบตากัน

“ตอบมาเดี๋ยวนี้ว่าแกนอนกับใครไปบ้าง...ก่อนที่ฉันจะโมโห แกคงรู้นะว่าถ้าฉันโกรธแล้วจะเป็นยังไง”

“ถ้าอยากได้คำตอบมากขนาดนั้น เดี๋ยวฉันตอบให้ก็ได้”

เอ็ดเวิร์ดและแม็กเกลพร้อมใจกันหันไปมองเจ้าของคำพูดเมื่อครู่  แล้วจึงได้รู้ว่าน้ำเสียงยียวนกวนประสาทนั่นมาจากเด็กหนุ่มผู้ที่ยืนโอบเอวแมทธิวไว้อย่างหวงแหน ใบหน้าคมคายเกลี้ยงเกลามีรอยยิ้มนิดๆ ขณะมองพวกเขาด้วยแววตาเป็นประกาย

แม็กเกลไม่ตอบ แต่ดึงแขนเอ็ดเวิร์ดหมายจะพาเดินไปให้พ้นจากตรงนี้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เฮ้ย! จะมากไปแล้วนะ”

คราวนี้เป็นแมทธิวที่โพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออดเมื่อเห็นท่าทางการลากถูลู่ถูกังแสนป่าเถื่อนของเดอะ สการ์เฟส

แล้วชายหน้าบากก็แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็มีความรู้สึกนึกคิดเช่นกัน

ดวงตาสีมรกตเย็นชาตวัดกลับมามองใบหน้าขาวซีด  ก่อนมือที่กำต้นแขนแน่นจะค่อยๆคลายออก

เอ็ดเวิร์ดนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ หากเขายังคงฝืนยิ้มไปให้แมทธิว

“พี่แมทธิวไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ผมดูแลตัวเองได้”

ยังไม่ทันจบประโยคดีเลย ตอนที่ถูกอีกฝ่ายออกแรงกระชากแขนเป็นการเร่ง  ก่อนอัยการหนุ่มจะถูกพาหายลับเข้าไปในซอยแคบต่อหน้าต่อตา

“เฮ้ย! เดี๋ยว”

แมทธิวตั้งท่าจะวิ่งฝ่าวงล้อมชายชุดดำตามไป แต่ถูกคนข้างตัวรั้งแขนไว้

“อะไรของนายน่ะไคโตะ ไม่เห็นหรือไงว่าเอ็ดเวิร์ดถูกพาตัวไปแล้ว”

เขาหันไปต่อว่าอีกฝ่ายพลางพยายามงัดแงะมือหนาที่บีบแน่นราวคีมเหล็กออก

ไคโตะมองการกระทำนั้นด้วยความเฉยชา นานเท่านาน ก่อนคำถามที่ค้างคาใจมานานจะถูกเอ่ยขึ้น

“เรื่องของเอ็ดเวิร์ด...คุณกำลังปิดบังอะไรผมอยู่?”







ขณะที่แมทธิวถูกความสงสัยของไคโตะคุกคาม สภาพแวดล้อมรอบกายเอ็ดเวิร์ดในยามนี้กลับมีเพียงความเงียบและความเย็นเยียบของฤดูหนาวที่ชำแรกลึกเข้าไปถึงกระดูก แต่ความโหดร้ายของอากาศยังไม่อาจเทียบเท่ากับประกายตาคมวาววับคู่นั้นเลยแม้สักนิด

“เอ็ดเวิร์ด...” ท่ามกลางความเงียบ ข้อนิ้วเย็นเฉียบเริ่มไล้ระไปตามใบหน้าชายหนุ่มแผ่วเบา นัยน์ตาสีเทาอ่อนหรี่ปรือลงด้วยความสับสนระคนหวาดกลัวด้วยไม่รู้ว่าเจ้าของมืออยู่ในอารมณ์ใด กิริยาเช่นนั้นส่งผลให้มือหยาบกร้านรีบถอนกลับคล้ายกริ่งเกรงว่าการสัมผัสที่รุนแรงเกินไปจะทำให้ชายหนุ่มเจ็บ

แววตาของแม็กเกลยามนี้มีแต่ความเสียใจ

เขาไม่รู้จักการประคับประคองสิ่งที่เรียกว่าความรู้สึก ไม่รู้จักการทะนุถนอมเอาใจ ยิ่งไม่อาจเป็นผู้ชายอบอุ่น เป็นที่รักของผู้คนได้ เคยคิดแม้กระทั่งว่าต่อให้ถูกคนทั้งโลกประณามหยามเหยียดก็ไม่เป็นไร ทว่านับตั้งแต่ได้พบกับเอ็ดเวิร์ด  หัวใจอันด้านชาก็เริ่มเรียนรู้แง่มุมอารมณ์นึกคิดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน  สิ่งที่ตามมาคือความปรารถนาในสิ่งที่แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่เข้าใจ

แต่ทุกครั้งที่อยู่กับชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า ทั้งการกระทำและคำพูดของเขามีแต่ทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก

แม็กเกลทอดถอนใจนิดๆ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังคงหลับตาแน่นอยู่เช่นเดิม

ร่างสูงโน้มศีรษะลงจุมพิตริมฝีปากหยักสวยเบาๆทีหนึ่ง ถามเสียงอ่อน

“จะมีสักครั้งไหม...ที่เวลานายอยู่กับฉันแล้วนายจะไม่ทำสีหน้าเจ็บปวด...”

นี่สิ ที่ทำให้เอ็ดเวิร์ดลืมตามองเขาคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“ทำไม...”

อัยการหนุ่มอ้ำอึ้งไปนานทีเดียว เพราะเตรียมใจรับมือกับความเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหันของชายผู้นี้ไม่ทัน  อดคิดอย่างหวาดระแวงไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังล่อลวงให้เขาพลาดพลั้ง และฉวยโอกาสซ้ำเติมอย่างเจ็บแสบ

เอ็ดเวิร์ดเบี่ยงกายหลบริมฝีปากรุกราน   แต่ยังไม่ไวเกินกว่าที่ริมฝีปากเย็นชืด  จะประทับจูบบนซอกคอของเขาด้วยอารมณ์อันพลุ่งพล่าน เสียงกระซิบแหบพร่า

“ต่อให้หนีไปสุดขอบโลก ฉันก็จะตามไปเอาตัวนายกลับมา”

คำพูดนั้นช่างบาดใจนัก เอ็ดเวิร์ดขอบตาร้อนผ่าว หลักฐานแห่งความอ่อนแอกำลังจะรินไหลออกมา

ชายหนุ่มไม่กล้าคิด ทั้งยังไม่กล้าถามตัวเองต่อ...ว่าความรู้สึกที่แท้จริงที่เขามีให้แก่แม็กเกล เดอะ สการ์เฟสคืออะไร

ช่วงเวลาอันโหดร้ายหวนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง เมื่อมือหยาบรุกรานเข้าใต้เสื้อผ้า บีบเคล้นคลึงนวดเฟ้น ขณะที่ริมฝีปากซุกซนขบกัดไปทั่ว

“อย่า!”

เสียงร้องห้ามนั้นมิอาจหยุดยั้งสัญชาตญาณสัตว์ป่าในร่างได้   ชายหน้าบากถอนจูบออกจากใบหูแดงก่ำด้วยความหงุดหงิด ก่อนบดขยี้ริมฝีปากขาวซีดจนแดงช้ำ

“อย่าเสียงดัง ฉันไม่ชอบ”

“อื้อ!”

ร่างสูงเพรียวดิ้นรนสุดชีวิตเมื่อรับรู้ว่ากางเกงถูกถอดรูดลงไปกองลงบนพื้น

ไร้ผล เรี่ยวแรงอันมหาศาลฉุดดึงร่างเอ็ดเวิร์ดลงมานั่งคร่อมตักแข็งแรงได้อย่างไม่ยากเย็น  ริมฝีปากได้รับอิสระหลังจากถูกเก็บเกี่ยวดอมดมความหอมหวานไปจนแทบสิ้น  เรี่ยวแรงและพละกำลังคล้ายถูกดูดกลืนออกไปกับจุมพิตอันร้อนแรงนั้น กระทั่งต้องจับยึดไหล่กว้างไว้ด้วยความเหนื่อยอ่อน

“หึ...สิ้นฤทธิ์แล้วรึ? ถ้างั้นมาพิสูจน์กันดีกว่า ว่านอกจากฉันแล้ว แกไปนอนกับใครมาอีก”

แม็กเกลใช้มือแหวกผิวขาวจัดเข้าไปจนถึงทางสวรรค์คับแน่น ก่อนสอดทิ่มนิ้วเข้าไปควานลึกดุจจะสำรวจตรวจตราร่องรอยการบุกเบิกในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ตลอดเวลานั้นเอ็ดเวิร์ดได้แต่ส่งเสียงครางกระเส่าน่าอาย ขณะที่มือจิกโค้ทจนยับย่น

ยิ่งจุดกระสันถูกกระตุ้นซ้ำ แก่นกายที่เคยนอนสงบนิ่งก็เริ่มชูชันท้าสายตา

“พะ...พอแล้ว...แม็กเกล”

อัยการหนุ่มอุทธรณ์เสียงสั่น พยายามแกะมือใหญ่ออกจากท่อนเอ็นแข็งขึงของตน  ขณะที่เรือนกายขาวสะอาดแอ่นเกร็งหนีมือข้างที่ยังขยับอยู่ในร่างจนได้ยินเสียงน้ำเฉอะแฉะน่าอาย

ปีศาจหนุ่มถอนปากจากยอดอกสีสวย   ยิ้มยั่วเย้า  มองใบหน้าหล่อเหลาเรื่อสีด้วยความพอใจ

“พูดให้ชัดกว่านี้สิ”

“ปล่อยมือ...จากตรงนั้น...เดี๋ยวนี้...”

“ถ้างั้นต้องขอร้องน่ารักๆให้ฟังก่อน”

“สารเลว!”

อายก็อาย ทรมานก็ทรมาน  เอ็ดเวิร์ดหายใจกระฟัดกระเฟียดพร้อมกับบิดร่าง ด้วยความอัดอั้น  ปลายฉ่ำชุ่มน้ำสั่นระริกสู้มือ  ด้วยปรารถนาจะปลดปล่อยเต็มกลืน

ชายหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าและสุ้มเสียงอ่อนโยนราวกับเป็นคนละคนของอีกฝ่าย เพราะมัวแต่จิกข่วนงัดแงะมือกร้านอย่างเอาเป็นเอาตาย...แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจหนีพ้นไปจากสภาพอันน่าอดสูนี้ได้เลย

หากจู่ๆมาเฟียหนุ่มก็ใจอ่อนขึ้นมากะทันหัน เขาถอนมือจากช่องทางคับแคบ ก่อนกระซิบเสียงชั่วร้าย

“เห็นแก่ความน่ารัก คราวนี้จะให้ไปเองก็ได้...”

ว่าแล้ว ก็คลายมือออกท่ามกลางความตกใจของเอ็ดเวิร์ด

“เดี๋ยว! ไม่...อื้อ!”

สายเกินไปเสียแล้ว หยาดน้ำสีขาวฉีดพุ่งขึ้นมาเป็นสายจนเปรอะเปื้อนไปทั้งตัว ไม่เพียงเท่านั้น  ยามนี้ ใบหน้าของชายทั้งสองล้วนถูกแต่งแต้มด้วยน้ำคาวเต็มไปหมด แม้แต่แม็กเกลยังอดที่จะทึ่งไม่ได้กับปริมาณน้ำกามที่มากเป็นพิเศษ

“...เยอะขนาดนี้ ไม่ได้นอนกับใครมาจริงๆสินะ”

“ก็ใช่น่ะสิ!”

ทั้งที่ยังหอบอย่างหนัก อัยการหนุ่มก็ทวงความบริสุทธิ์ให้กับตัวเองสุดฤทธิ์

วูบหนึ่ง ที่อดคิดไม่ได้ว่า แม็กเกลนั่นละคือคนที่มีคู่นอนไม่ซ้ำหน้า

เอ็ดเวิร์ดเสมองไปทางอื่นอย่างปวดร้าว ปล่อยให้ผู้รุกรานได้ลงมือกระทำอย่างใจแม็กเกลขโมยหอมแก้มเขาฟอดใหญ่  แล้วกล่าวคำประกาศิตโดยที่ริมฝีปากยังบดเบียดชิดใกล้ถึงเพียงนั้น

“อย่าหนีไปจากฉันอีกแล้วนะ เอ็ดเวิร์ด”

คำสั่งแสนหวานส่งให้คนฟังหน้าร้อนวาบทันใด  ดวงตาสีเทาอ่อนจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีมรกตราวจะค้นหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในนั้น

เนิ่นนาน...กว่าชายหนุ่มจะค้นหาคำตอบเจอ

เอ็ดเวิร์ดซ่อนใบหน้าจากสายตาที่ราวจะกลืนกินเขาไปทั้งตัวอย่างเขินอาย

“ถ้านายไม่ทำร้ายฉัน...แล้วก็...เลิกนิสัยเจ้าเล่ห์ได้ล่ะก็...จะลองคิดดู”

ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธ นอกจากรอยยิ้มน้อยๆแต่งแต้มบนใบหน้าคมเข้ม

มิใช่รอยยิ้มหยามหยันดูแคลน หรือการเสแสร้งแกล้งทำใดๆทั้งนั้น

รอยยิ้มของแม็กเกลทำให้โลกสว่างไสวไปทั้งใบ

และเขา...อดที่จะคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้จริงๆ ว่ารอยยิ้มงดงามตราตรึงใจนี้ถูกมอบให้ศัตรูคู่แค้นอย่างเอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอลแต่เพียงผู้เดียว

ราวอ่านใจออก แม็กเกลคว้ามือเรียวขึ้นจุมพิต แล้ววางแนบแก้มสากของตนเอง

ไม่มีคำว่าศักดิ์ศรี ทิฐิใดๆหลงเหลืออยู่อีกแล้ว

ชายหน้าบากตัดสินใจจะขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา   และขอให้คนตรงหน้าเริ่มต้นใหม่กับเขาอีกครั้ง เหนืออื่นใด เขาคิดที่จะบอกความรู้สึกที่แท้จริงให้เอ็ดเวิร์ดได้รับรู้ ว่าเขา...

“เปรี้ยง!”

เสียงปืนดังสะเทือนฟ้า ชำแรกอากาศเข้าไปในทุกห้วงหัวใจที่ได้ยิน

สิ้นเสียง ภาพที่มองเห็น คือเอ็ดเวิร์ดค่อยๆทรุดลงอย่างไม่อาจทรงกายไว้ได้อีกต่อไป

หลังปืนเงียบเป็นเวลาเนิ่นนาน กว่าแม็กเกลจะเปล่งเสียงออกมาได้

“...เอ็ดเวิร์ด?”

ร่างในอ้อมอกยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง ลิ่มเลือดอุ่นไหลอาบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน หลั่งรินไปบนเรือนร่างเปลือยเปล่าจนแดงฉาน บ่งบอกชัดเจนว่าอาการของคนตรงหน้าสาหัสเพียงใด

“เอ็ดเวิร์ด!” แม็กเกลหน้าซีดเผือด รีบกดปากแผลห้ามเลือด พร้อมถอดโค้ทออกห่อร่างชายหนุ่มอุ้มพากลับไปที่รถ

ทว่าเส้นทางที่ทอดออกสู่ถนนใหญ่กลับมีใครบางคนยืนขวางอยู่

การปรากฏตัวของเขาคนนั้นมาพร้อมกับคำตอบที่ว่า...เจ้าของกระสุนนัดสังหารที่หมายคร่าชีวิตอัยการหนุ่มคือใคร

หัวใจดวงที่ปวดร้าวแหลกสลายลงในวินาทีนั้นเอง

แม็กเกลไม่เคยคิดเลยว่าใครคนนั้นจะเป็นคนคนเดียวกันกับผู้ชายที่ได้รับความไว้วางใจจากเขามาตลอดยี่สิบปี

“สตีฟ...แกทรยศฉัน...”

​.
.
(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)

“อย่าให้ผมต้องรอนานนักนะฮะทเวน เพราะผม...ก็มีขีดจำกัดเหมือนกันนะ”
เสียงของจาเรฟที่เขาไม่เคยลืม เสียงที่ทำให้ทเวนผู้นั่งคุกเข่าก้มหน้าถึงกับชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเริ่มปลดกระดุมอย่างเชื่องช้า แหวกสาบเสื้อออกจนเห็นแผ่นอกเปลือยเปล่าและร่องรอยหลักฐานจากบทรักอันร้อนแรงเมื่อคืนชัดเจน เขาปล่อยให้จาเรฟมองยอดอกสีกุหลาบบวมช้ำอย่างจาบจ้วง  ขณะที่ตัวเองหลับตาหนีลมหายใจที่เป่ารดลงบนผิวกายดุจจะยั่วเย้า

เป็นเวลานาน กว่าเปลือกตาปิดสนิทจะลืมขึ้น แล้วสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสแจ๋วที่จ้องเป๋งในระยะประชิด

“อ๊ะ...”   ทเวนเบิกตาโพลงด้วยความตกใจในแวบแรก ผงะหนีในเวลาต่อมา และพบตัวเองนอนอยู่บนพื้นปูนเย็นเฉียบในนาทีนี้เอง

ท่ามกลางแสงตะวันเจิดจ้า ชายหนุ่มบังคับมือดึงเสื้อปิดเรือนกายเปล่าเปลือย ไม่กล้าขยับตัว หรือแม้แต่จะสบนัยน์ตาที่ฉายประกายแสนแปลกชวนให้อกใจไหวระรัวคู่นั้น เขากลัว...กลัวเหลือเกิน

“...อย่า...มอง...”

จาเรฟไม่ตอบ แต่กลับคลานสี่ขาไต่ขึ้นมาบนตัวทเวนด้วยทีท่าราวกับแมวน้อยแสนเชื่อง มือเล็กกดแขนคนที่กำลังจะลุกกระโจนพรวดพราดไว้แน่น แล้วใช้ปากคาบผ้าเนื้อบางให้พ้นจากแผ่นอกขณะตามองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีไพลิน

“...เสียงหัวใจทเวน...จะดังแค่ไหนกันนะ?”

ถามอย่างไร้เดียงสาแล้ว  ริมฝีปากแดงสดก็งับเข้ากับยอดอกสีสวยจนอัยการหนุ่มสะดุ้ง

ทเวนเบี่ยงกายหนี ส่ายหน้าเป็นพัลวัน...ไม่รู้ว่าเป็นจากความรู้สึกต่อต้านหรือความพยายามที่จะขับไล่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในยามนี้กันแน่

“อย่า...อย่าทำแบบนี้...”   พูดได้เพียงเท่านั้น วาจาที่เหลือก็ถูกกลืนหายกลับไปในลำคอ เมื่อลิ้นร้อนซุกซนเริ่มจู่โจมอย่างเมามัน

“ทำแบบไหนล่ะ?”   จาเรฟขบฟันเบาๆตรงยอดอกแข็งนูน ยิ่งเห็นทเวนแอ่นกายตอบรับสัมผัสด้วยท่วงท่าที่ดูน่ารักและเซ็กซี่ที่สุดในความคิดของตนแล้ว เพลิงประกายที่เพิ่งมอดสนิทไปตอนรุ่งสางก็คล้ายดั่งจะติดเชื้อไฟขึ้นอีกครั้งโดยพลัน

เด็กหนุ่มยินยอมปลดปล่อยแขนอีกฝ่ายให้พ้นจากพันธนาการ และเริ่มบรรเลงบทเพลงพิศวาสท่อนใหม่โดยรุกรานจุดอ่อนไหวที่ทำให้คนใจแข็งอย่างทเวนถึงกับอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงปัดป้องสัมผัสหยาบกระด้างใดๆทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือการร้องเรียกชื่อคนตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนเสียสติ

“พอแล้วเรฟ ไม่เอาแล้ว”

เสียงสุดท้ายมาพร้อมกับความอดทนที่ขาดสะบั้น!

ทเวนพลิกกายลุกหนี จาเรฟไวกว่า คว้าข้อเท้าอัยการหนุ่มไว้ด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลเกินกว่าเด็กวัยสิบสามสิบสี่พึงมี ก่อนขู่เสียงกร้าว

“ถ้าลองเดินต่อไปอีกแม้แต่นิดเดียวล่ะก็...ผมจะดึงขาจริงๆด้วย”

แรงบีบเค้นหนักหน่วงบนข้อเท้าบอกชัดว่า หากก้าวออกไปอีกแม้เพียงก้าวเดียว จาเรฟกระชากเขาล้มคว่ำไม่เป็นท่าแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ...ชายหนุ่มเริ่มมั่นใจขึ้นทุกทีว่า อาการแสนแง่งอนทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงเมื่อครู่นี้ของจาเรฟ...เอาเข้าจริงแล้วมันก็แค่ละครตบตาหวังกอบโกยผลประโยชน์จากเขาเท่านั้นแหละ

ไอ้เด็กนรก ร้ายกาจที่สุด!

...นี่มันก็ยังหวังจะได้ดึงข้อเท้าเขาให้หน้าคะมำอยู่ละสิ

ทเวนเชื่อหมดใจเลยว่าอีกฝ่ายไม่หยุดอยู่เพียงแค่ทำให้เขาล้มแน่ๆ

แต่ก่อนที่ใครจะได้พูดหรือทำสิ่งใดต่อ   เสียงกัมปนาทคำรามก็แว่วมาให้ได้ยินชัดเต็มสองหู

“เปรี้ยง!”

เสียงนั้นช่างแผดดังกึกก้องเหลือเกินในความรู้สึกของคนทั้งสอง

จาเรฟถึงกับยอมปล่อยมือจากข้อเท้าของเขา แล้วลุกขึ้นนั่ง หันมองไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงกระสุนครั้งสุดท้ายด้วยแววตาสงสัยหลากล้น

“เดอะ สการ์เฟสอยู่ตรงนั้นไม่ใช่หรือ?”

คำพูดลอยๆ ทำให้ชายหนุ่มนิ่งงันไปในทันที

เอ็ดเวิร์ด!

ชื่อที่ผุดขึ้นในความคิดยิ่งส่งให้ใจทั้งดวงราวกับจมลงไปในบ่อน้ำแข็ง

ทเวนหมุนกายกลับและเริ่มออกวิ่งทันที  ไม่สนเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยจนอาจเข้าข่ายอนาจารกลางสถานที่สาธารณะของตัวเองเลยด้วยซ้ำไป

“ทเวน!”

นี่สิ  ใจที่โบยบินนำลิ่วไปไกล...คิดว่าไกลเกินกว่าจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดในอกดังที่เป็นอยู่ยามนี้  คล้ายมีเส้นเชือกที่มองไม่เห็นดึงรั้งเท้าสองข้างให้ตรึงแน่นติดพื้น ทเวนหยุดวิ่ง หันกลับมามองจาเรฟ

ทั้งๆที่เสี้ยวหนึ่งในหัวใจมีคำตอบแล้วว่า...ใคร...คือคนที่เขาเลือก

อัยการหนุ่มกล้ำกลืนก้อนแข็งที่จุกแน่นอยู่ในลำคอลงไป ก่อนเอ่ยชื่อของ ‘ใคร’คนนั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหย

“...จาเรฟ”

ดวงตาสีมรกตปรากฏแววหวั่นไหววูบหนึ่ง เอ่ยเรียกชื่อนั้นดุจต้องการจดจำมันเอาไว้ในความทรงจำตลอดกาล

“นายยังมีคนที่รักนายอยู่ นายยังมีครอบครัว และใครอีกหลายคนที่พร้อมจะให้ความสำคัญกับนาย แต่เพื่อนของฉันไม่เหลือใครแล้ว ได้โปรดเข้าใจด้วย...”

ฉันเลือกเอ็ดเวิร์ด...ขอโทษนะ เรฟ

ว่าแล้วก็รีบสะบัดหน้าหนีกลับมาทันใด แต่เพราะหันมาช้าไป...จึงทันเห็นใบหน้าขาวซีดของเด็กหนุ่มผู้ยืนนิ่งงันอยู่เบื้องหลังเต็มตา

ใจที่ว่าแข็ง กลับแกว่งไกวโดยไม่รู้ตัว

หากเขายังคงแข็งใจ...วิ่งต่อ  ไม่หันกลับไปมองอีกเลย

แม้ว่าจาเรฟจะตะโกนร่ำร้อง เรียกหาสักเพียงใดก็ตาม





จากซอยเล็กๆทอดสู่ถนนสายหลักกลางใจเมือง ทเวนชะลอฝีเท้าลงทีละน้อยขณะกวาดตามองหาร่างสูงโปร่งคุ้นตาอย่างรวดเร็ว

เอ็ดเวิร์ดกับแม็กเกลหายตัวไป!

พลันที่ยินเสียงนั้นก้องกังวานในอก  ภาพที่เห็นคือ เดอะ สการ์เฟสอุ้มร่างไร้สติของอัยการหนุ่มเดินออกมาจากซอยเปลี่ยวแคบเพียงลำพัง...คราบเลือดบนร่างคนทั้งสองทำให้ใจของเขาเจ็บแปลบราวกับมีใครมาตอกลิ่มลงตรงกลางอก ทเวนรับรู้ได้ในทันทีว่าโลหิตเข้มข้นเหล่านั้นเป็นของผู้ใด

จะเป็นของใครได้อีก  นอกจากเอ็ดเวิร์ดที่นอนคอพับคออ่อนอยู่ในอ้อมอกปีศาจตนนั้นนั่นละ

“เอ็ดเวิร์ด!”

ชายร่างสูงออกวิ่งทันที มุ่งหน้าไปหาคนในอ้อมอกแม็กเกลด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่  ห้วงความคิดทั้งปวงในยามนี้มีเพียงเรื่องเดียวคือ ความปลอดภัยของเอ็ดเวิร์ด

เขาวิ่งผ่าน ชน กระแทกใครไปบ้างก็ไม่รู้  กระทั่งปะทะร่างเข้ากับชายคนหนึ่ง...คนที่เอื้อมมือมาจับต้นแขนของเขาไว้แน่น  ทำให้ชายหนุ่มผงะหนีอย่างตกใจ  พยายามสลัดหนีจากการเกาะกุมนั้น หากมิอาจหลบไปทางใดได้เลย

“ใจเย็นๆก่อนทเวน อย่าเพิ่งผลีผลาม”

“...คุณแมทธิว?”

โทนเสียงนุ่มทุ้มส่งให้ทเวนชะงัก เหลียวมองดวงหน้าคมสันด้วยความสับสน

ครั้นเห็นดวงตาอ่อนโยนคุ้นตาเจนใจของแมทธิว ถึงค่อยยินยอมลดท่าทีกระด้างลง คงเหลือไว้เพียงความร้อนรนกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแค่นั้น

“เอ็ดเวิร์ดเป็นอะไรไปครับ ผมได้ยินเสียงปืน...อย่าบอกนะว่า...”

ก่อนที่ความคิดจะเตลิดมากไปกว่าที่เป็นอยู่ มือแข็งแรงที่จับยึดแขนของทเวนไว้ตั้งแต่แรกก็บีบเบาๆคล้ายเตือน

“ตั้งสติก่อนเถอะครับคุณ ใจร้อนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา สู้รอให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแน่ แล้วถึงตอนนั้นค่อยว่ากันดีกว่า”

ฟังแล้ว คนถูกเตือนก็พยักหน้าช้าๆ ก้มมองมือของไคโตะที่เป็นคนเตือน  ไม่กล้าสู้หน้าเด็กหนุ่ม

ได้ยินเสียงแมทธิวบอกอย่างปลอบใจ

“เอ็ดเวิร์ดไม่เป็นไรหรอก”

“คุณ...”

“เรียกพี่ดีกว่า เหมือนที่เอ็ดเวิร์ดเรียก ฟังดูสนิทใจกว่าเยอะ”

“...พี่แมทธิว”

ดวงตาสีไพลินจับจ้องรอยยิ้มอบอุ่นอย่างค้นหา...อะไรบางอย่างในรอยยิ้มสว่างไสวที่มองเห็นดุจจะขับไล่ความมัวมนในใจให้ปลาสนาการไปจนสิ้น

ในความเงียบงันนั้นเอง ที่ชายทั้งสามได้ยินเสียงดุกร้าวสั่งการชัดเจน มันย้ำชัดลงไปในหัวใจทุกดวงที่ร้อนรุ่มราวกับมีเพลิงสุมอกเลยทีเดียว

“อย่าเพิ่งฆ่า ขังมันไว้ก่อน แล้วฉันจะกลับมาสอบสวนมันเอง!”

ทุกคนรู้ คำพูดอันดุดันทรงพลังของแม็กเกลคือประกาศิต

แลเห็นเขาประคองเอ็ดเวิร์ดขึ้นรถลีมูซีนดำมันปลาบจากไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

แต่ทเวนยังอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มยืนหยัดอยู่ด้วยหวังจะได้ยลโฉมหน้ามือปืนใจโฉดสักครา

ทว่า...ใบหน้าที่มองเห็นกลับยิ่งเพิ่มความประหลาดใจให้แก่เขาเป็นล้นพ้น

“นั่น...ลูกน้องคนสนิทของเดอะ สการ์เฟสนี่”

พูดไปแล้ว ทเวนก็อดที่จะถามตัวเองไม่ได้

หรือแม็กเกลจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังอาการบาดเจ็บของเอ็ดเวิร์ด?

“ไม่ใช่หรอก”

แมทธิวตอบราวกับล่วงรู้เท่าทันความคิดของเขา นัยน์ตาคมกริบกวาดมองไปยังนักโทษชายที่กำลังถูกจับส่งขึ้นรถ

“สตีฟยิงเอ็ดเวิร์ดเพราะความภักดี...แต่มันไม่ใช่ความภักดีที่มีต่อแม็กเกล...”

“เดี๋ยว แมทธิว...คุณทำให้ผมงงไปหมดแล้วนะ”  ไคโตะขัดจังหวะด้วยการโวยลั่น   “ถ้าเจ้านั่นไม่ภักดีกับเดอะ สการ์เฟส แล้วมันจะไปภักดีกับใครได้อีกล่ะ คุณไม่คิดจะปริปากสักเรื่องเลยใช่ไหม ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะครับ เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย”

เขาทำท่าเหมือนจะปรากเข้าไปเอาเรื่อง แต่ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีส้มกลับ

ยิ้มอย่างไม่ถือสา

แมทธิวเพียงแต่หันมาบอกทเวนที่งุนงงไม่แพ้กันว่า

“พวกเรารีบตามไปโรงพยาบาลเถอะ ฮาโรลด์คงเตรียมรถรอไว้แล้วล่ะ”

จบคำ รถตู้คันหนึ่งก็แล่นเข้ามาจอดเทียบอย่างเร็วจนเกิดเสียงล้อบดถนนดังลั่น  ก่อนกระจกติดฟิล์มกรองแสงจะเลื่อนลง ใบหน้าคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยพยักเพยิดให้พวกเขาขึ้นรถ

แมทธิวและทเวนก้าวขึ้นไปตั้งแต่เห็นรถจอดแล้ว เหลือเพียงเด็กหนุ่มผมดำที่ยังรีรอจะถามเพื่อนสนิทด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่คนเดียว

“แกไปหารถมาจากที่ไหนวะ ฮาโรลด์”

“ถามได้... ก็หาเอาจากแถวนี้สิ เยอะถมเถไป”

“เดี๋ยวเจ้าของก็มาทวงคืนหรอก”

“มีด้วยเหรอวะ? เห็นจอดทิ้งไว้เฉยๆ ก็นึกว่าไม่เอาแล้วซะอีก”

“หึ...นายนี่มันตัวร้ายชัดๆ”

ไคโตะกลั้นยิ้ม จนกลายเป็นยิ้มกว้าง  แล้วพอฟังประโยคสุดท้ายของเพื่อนชาย  ก็กลั้นไม่ไหวกลายเป็นหัวเราะ

“ก็ร้ายด้วยกันทุกคนนี่แหละ เอ้า...ขึ้นรถได้แล้ว”

หนุ่มลูกครึ่งหัวเราะเสียงก้อง ก้าวขึ้นรถที่มีสติ๊กเกอร์ S.W.A.T. ติดด้านข้างของตัวรถอย่างคล่องแคล่ว

​--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



ใบหน้าขาวซีดบนหมอนใบใหญ่พลิกไปมา  ริมฝีปากแห้งลอกขยับส่งเสียงเบาๆในลำคอ น้ำตาไหลรินจากเปลือกตาปิดสนิทเป็นสัญญาณของการฝันร้าย

ทเวนซึ่งนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงยกผ้าแห้งขึ้นซับเหงื่อตามไรหน้าผากและสันจมูกให้แผ่วเบา ผ้าพันแผลที่พันรอบศีรษะยังมีคราบโลหิตซึมประปราย เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนถูกตัดจนสั้น เปลี่ยนบุคลิกของชายหนุ่มข้างกายให้ดูอ่อนเยาว์ลงอย่างน่ามหัศจรรย์

‘ลูกกระสุนเจาะกะโหลกเข้าไปฝังอยู่ในขมับขวา แต่คนไข้ยังมีชีวิตอยู่ ปาฏิหาริย์จริงๆครับ’

แว่วเสียงหมอผ่าตัดผู้นั้นดังมาจากที่ไกลแสนไกล

“หมอบอกว่าเพราะปาฏิหาริย์...นายเลยรอดมาได้  แต่ฉันว่าไม่ใช่หรอก...การมีชีวิตอยู่ของนายต่างหาก ที่ทำให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น...เอ็ดเวิร์ด”

ทเวนบอกอย่างปิติ ทั้งที่น้ำตายังกลบหน้า

...ใช่ ลมหายใจของเอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอล สามารถดลบันดาลได้แม้กระทั่งรอยยิ้มจากปีศาจเลือดเย็นที่มีนามว่า...แม็กเกล...









แม้จะกำชับตัวเองนักหนาแล้วว่าทำตัวให้สบาย  แต่แม็กเกลก็ยังผุดลุกผุดนั่งด้วยความร้อนใจอยู่หน้าห้องผู้ป่วยพิเศษตลอดเวลา โดยที่มิอาจละสายตาไปจากบานประตูสีขาวเบื้องหน้าได้เลย

“ห่วงมากขนาดนั้นเลยหรือ  เดอะ สการ์เฟส?”

ได้ยินเสียงแมทธิวนั่นละ  ถึงได้รู้ตัวว่าไม่เพียงแต่จะทำตัวงุ่นง่าน  หากยังเผลอ

ถอนหายใจหนักๆซ้ำกันหลายต่อหลายครั้งอีกด้วย

ชายหน้าบากทรุดกายลงนั่งอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก สะบัดเสียงถาม

“ตกลงจะบอกได้รึยัง เรื่องไอ้คนทรยศนั่น”

“ผมบอกคุณไปแล้ว สตีฟไม่เคยทรยศคุณ”

ยิ่งได้สดับฟังวาจาอ้อมค้อมเหมือนจงใจแกล้ง เส้นด้ายแห่งอารมณ์ที่บิดเกลียวเขม็งตึง จวนเจียนจะระเบิดอยู่รอมร่อก็ขาดผึงออกจากกันทันที!

แม็กเกลฉุนกึก สะบัดหน้าขวับมามองจะเอาเรื่อง แล้วกลับกลายเป็นฝ่ายชะงักไปกับคำพูดต่อมาของแมทธิว

“ว่าแต่คุณเถอะ  เป็นห่วง ‘น้องชายต่างพ่อ’ ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“แก...”

...รู้ได้ยังไง?  ชายร่างสูงเก็บกลืนคำถามที่เหลือลงลำคอ  พร้อมเบือนหน้าหนี ขณะที่ใจร้อนรนราวนั่งอยู่กลางกองเพลิง

...ร้ายนัก แมทธิว ซายส์

“...เซอร์เซสล่ะ ไม่มาอยู่เป็นสุนัขเฝ้ากระดูกแล้วหรือไง”

ในเมื่อแมทธิวพูดฉีกหน้าเขาได้ แม็กเกลจึงแสดงให้เห็นว่าตนก็ทำได้เหมือนกัน

อดีตสารวัตรหนุ่มแห่งเรดโซนเพียงแค่ยิ้มตาพราว รับว่า ไป ‘เที่ยว’ กับเพื่อน

“หึ...เที่ยว...ตลกจริงนะ ซายส์ ไม่กลัวหายหรือไง”

“ทำไมต้องกลัวล่ะครับ  ในเมื่อผมให้เกียรติเขาได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง  ส่วนเขาก็ให้เกียรติผมได้มีความคิดเป็นของตัวเอง   พวกเราต่างก็เคารพในสิทธิของกันและกัน...บอกตามตรง ผมภูมิใจที่มีคนรักแบบนั้น”

แม็กเกลนั่งอึ้งชะงักตรึง ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือตกใจดี สิ่งที่ได้ยินนั้นบาดลึกลงในความรู้สึก แปลบปลาบไปทั้งใจ

...ไม่มีใครกล่าววาจาใดออกมาอีก ทั้งสองหันสบตา ดูเชิงกันเงียบๆ

ทันใดนั้น ประตูห้องผู้ป่วยพิเศษพลันเปิดออก ทเวนวิ่งออกมาแจ้งข่าวใหญ่ด้วยสีหน้าร้อนใจ

“เอ็ดเวิร์ดฟื้นแล้วครับ! แต่...”

เพราะมัวแต่อ้ำอึ้ง มาเฟียหนุ่มเลยลุกพรวดจากเก้าอี้และวิ่งสวนกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วยพิเศษทันที ทิ้งทเวนไว้กับสายตาสงสัยของแมทธิวตามลำพัง

“แต่อะไร ทเวน”

ดวงตาสีน้ำตาลเจือทองฉายแววคาดคั้นอย่างที่คนถูกถามเข้าใจได้ทันทีว่าเขาต้องตอบ...เดี๋ยวนี้เลย









“เอ็ดเวิร์ด”

สิ่งแรกที่แม็กเกลเห็นเมื่อก้าวพ้นกรอบประตูเข้ามาคือดวงตาว่างเปล่าของร่างที่นอนอยู่บนเตียง ไม่มีความโกรธชิงชังหรือแม้แต่ความเศร้า ชายหนุ่มผู้นั้นเบือนหน้ากลับมามองเขาช้าๆ น้ำเสียงทุ้มเอ่ยทวนนิ่ง...เลื่อนลอย

“...เอ็ด...เวิร์ด...?”

“แกเล่นอะไรของแก มันไม่ตลกนะ!”   แม็กเกลแผดเสียงอย่างหมดความอดทน ตรงเข้าไปคว้าต้นแขนอีกฝ่ายแน่น ก่อนกระชากให้ลุกขึ้นนั่งประจันหน้ากับตัวเอง

“...กลัว...กลัวแล้ว...อย่า....อย่าทำอะไรผม”

ดวงตาสีเทาอ่อนเบิกโพลง เอ็ดเวิร์ดตะเกียกตะกายลนลานจะไต่ลงจากตักชายหน้าบาก พร้อมกันนั้น ยังส่งกำปั้นรัวกระหน่ำไปบนแผงอกกว้างตุบตับเต็มแรง

“อย่านะ ปล่อย!!”

“หยุดเดี๋ยวนี้ เอ็ดเวิร์ด”

“ไอ้บ้า...อุ๊บ!”

ริมฝีปากถูกบดขยี้รุนแรงราวกับถูกขืนใจ    มือสองข้างถูกจับรวบไพล่หลังด้วยมือเพียงข้างเดียว  เรือนกายสูงใหญ่ที่แนบชิดส่งให้ลมหายใจร้อนระอุโดยไม่มีสาเหตุ

...นานเหลือเกิน กว่าการกระทำอันดิบเถื่อนนั้นจะผละจากไป

แว่วเสียงแหบแผ่วกระซิบปลอบประโลม

“อย่าร้องไห้”

นั่นละ เอ็ดเวิร์ดจึงค่อยรู้สึกถึงความเปียกชื้นบนใบหน้า เขารีบใช้สันมือปาดเช็ดน้ำตาออก

“สรุปว่านี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”

ชายแปลกหน้าหันไปมองชายสองคนที่เพิ่งตามเข้ามาในห้องอย่างคาดคั้น

เกิดความเงียบขึ้นทันใด  ก่อนชายหนุ่มที่เอ็ดเวิร์ดจดจำได้ว่าเห็นเป็นคนแรกตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจะตอบเสียงอ่อนอ่อย

“คาดว่าเป็นความจำเสื่อมจากผลข้างเคียงของแรงอัดกระสุน  หรือไม่ก็เกิดจาก...ความสะเทือนใจ”

“สะเทือนใจ! จะบอกว่าเป็นความผิดของฉันอีกแล้วใช่ไหมวะ”

แม็กเกลแผดเสียงออกมาทันที

เงียบกันไปอีกชั่วอึดใจ ก่อนใครคนหนึ่งจะตอบ

“อย่าลืมสิ เดอะ สการ์เฟส...เอ็ดเวิร์ดไม่ได้มีสติอยู่ดูจนรู้ความจริงทั้งหมด”

ใครคนนั้นคือชายหนุ่มรูปงาม  เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเจือทองที่ทอดมองมายังเอ็ดเวิร์ด อย่างอ่อนโยน แล้วบอกด้วยน้ำเสียงคาดหวังว่า**

“ทำตัวเป็นเด็กดีแล้วไปอยู่กับพี่ชายแม็กเกลซะนะ”

สิ้นคำ  ในห้องพลันเกิดความเงียบขึ้นเป็นคำรบที่สาม  ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งอยู่กลางห้องเป็นตาเดียว

และทันทีที่เอ็ดเวิร์ดพยักหน้ารับ...

ทเวนหน้าเลิ่กลั่ก เต้นผางเป็นคนแรก  “พี่แมทธิว! ไม่ได้นะพี่”

ตามมาด้วยสุ้มเสียงระแวงปนอ่อนใจของแม็กเกลที่รู้ความนัยของ ‘พี่ชาย’ อย่างแจ่มแจ้ง   “...คิดจะทำอะไรของแกอีกล่ะ แมทธิว ซายส์”

คนคิดจะทำอะไรยิ้ม ก่อนเอ่ยชื่อใครบางคนเสียงนุ่ม

“เอ็ดเวิร์ด”

ร่างสูงโปร่งสะดุ้ง มองแมทธิวที่โน้มตัวลงบอกถ้อยคำหนึ่งซึ่งจะฝังแน่นอยู่ในหัวใจของเขาไปอีกนานแสนนาน

“รักกันเข้าไว้นะ”

เจ้าตัวถอยกลับไปยืนหน้าประตู แล้วหันมาสบตาแม็กเกลตรงๆ

“ถ้าวันใดที่คุณทำเอ็ดเวิร์ดร้องไห้ วันนั้นคือวันสุดท้ายที่คุณจะได้เห็นหน้าเขา”

อุ่นวาบในอกทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดจากแมทธิว เอ็ดเวิร์ดจึงหลุดปากถามออกไป

โดยไม่ทันเห็นสีหน้าเจ็บปวดของคนข้างกายเลยแม้แต่น้อย

“ผม...ไปอยู่กับพี่...ได้ไหมครับ?”

ทเวนกำลังจะตอบตกลง แต่กลับถูกแมทธิยกมือปิดปากไว้

“...ไปอยู่กับพี่แม็กเกลซะ  เชื่อพี่ แล้วทุกอย่างจะดีเอง”







“โธ่เอ๊ย! ไม่อยากจะเชื่อเลย พี่คิดยังไงถึงได้ส่งเนื้อเข้าปากหมาครับเนี่ย  ป่านนี้ไอ้แม็กเกลมันตีปีกพึ่บพั่บไปถึงไหนต่อไหนแล้วมั้ง”

ทเวนอดถอนใจแรงๆไม่ได้ เมื่อนึกว่าศึกชิงตัวเอ็ดเวิร์ดในห้องผู้ป่วยจบลงด้วยการที่แม็กเกลได้ตัวชายหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำไว้ในการดูแล

อีกฝ่ายหัวเราะ  พลางแหงนมองไปยังหน้าต่างชั้นบนสุดของโรงพยาบาลที่พวกเขาเพิ่งกลับออกมา

“ความจริง...คนที่โชคร้ายที่สุดน่ะ ต้องบอกว่าเป็นเดอะ สการ์เฟสต่างหาก”

“เอ่อ...ขอโทษนะครับ พี่แมทธิว แต่ผมสงสัยจริงๆ”   อัยการหนุ่มที่เดินตามมาเอ่ยถามเสียงแผ่วลึก   “ตลอดเวลาที่ผ่านมา  ผมเห็นเอ็ดเวิร์ดต้องทนทุกข์ทรมานจากผู้ชายคนนั้นมาตลอด แล้วการทำแบบนี้...ไม่เรียกว่าเสี่ยงไปหน่อยหรือครับ?”

คำตอบคือรอยยิ้มลึกลับของแมทธิว







สายลมเย็นยะเยือกพัดกรูเข้ามาทางกระจกรถที่เลื่อนเปิดไว้กว้าง ปลุกให้คนที่นอนหลับสนิทลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด...

นี่เขามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน?  ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองขณะหันมองไปรอบตัว...ความทรงจำสุดท้ายคือเตียงสีขาวสะอาดและสัมผัสอบอุ่นของชายที่มีนามว่า‘แม็กเกล’

เอ็ดเวิร์ดนิ่วหน้า  จู่ๆอาการปวดศีรษะก็รุมเร้าขึ้นมากะทันหัน  เกิดจากภาวะที่จิตใต้สำนึกต่อต้านการรื้อฟื้นความทรงจำ เจ้าตัวเองก็พอจะเดาได้จึงสูดลมหายใจเข้าลึกยาว พยายามผลักความคิดนั้นออกไป

ทว่ายิ่งเจ็บยิ่งสงสัย ยิ่งสงสัยยิ่งอยากรู้ ความเศร้าในใจนี้คืออะไร ทำไมถึงต้องเกิดขึ้นทุกครั้งยามคิดถึงหรือมองเห็น ‘เขา’ คนนั้นในสายตา

ตอนนั้นเองที่กลิ่นควันบุหรี่ที่โชยเข้ามาใกล้ เอ็ดเวิร์ดหลับตาลงทันใด เป็นเวลาเสี้ยววินาทีก่อนประตูรถจะเปิดออก ใครบางคนก้าวเข้ามานั่งบนเบาะข้างชายหนุ่ม

“เข้ามาสิ ไอรีน”

สิ้นเสียงชักชวนกึ่งคำสั่ง กลิ่นน้ำหอมกรุ่นจางจากเรือนกายงดงามก็ลอยอวลตามเข้ามา หญิงสาวทรุดกายลงบนเบาะฝั่งตรงข้ามคู่สนทนา พลางถอนใจหนักหน่วง

“เอ็ดเวิร์ดยังไม่ตื่นอีกหรือคะ?”

เธอมองเขาอย่างเป็นห่วง ส่งให้มือหยาบกร้านของใครบางเอื้อมไปปัดผมที่ปรกหน้าผากออกด้วยความอ่อนโยน

“ปล่อยให้หลับไปก่อนดีกว่า”

แล้วคนที่แกล้งหลับก็ต้องเกือบร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อถูกวงแขนช้อนขึ้นนั่งบนตักอย่างนุ่มนวล การกระทำของแม็กเกลก่อเกิดรสขมปร่าในอกขึ้นอย่างน่าประหลาด

เกิดความเงียบขึ้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนเสียงหวานไพเราะปานดนตรีจะดังขึ้น

“แม็กเกล เรื่องที่คุณเสนอมา ฉันยินดีค่ะ...ฉันจะช่วยดูแลเอ็ดเวิร์ดให้เอง”

“ขอบใจมากไอรีน แล้วก็ขอโทษด้วยที่โทรตามตัวกลับด่วน ขึ้นเครื่องตรงมาถึงนี่คงลำบากไม่น้อยเลยสินะ”

ใบหน้างดงามฉายแววสงสัยเพียงแวบเดียว  ก่อนคิ้วที่เลิกขึ้นสูงจะคลายลงอย่างเร็ว มันเร็วพอๆกับคำถามที่หลุดออกจากปากเธอนั่นละ

“เรื่องเล็กน้อยค่ะ แม็กเกล ว่าแต่คุณล่ะ จะทำยังไงเรื่องสตีฟ”

วาจานั้นเบาแสนเบา หากคนฟังกลับนิ่งงันไปคล้ายไม่คาดคิดว่าจะโดนถาม

แม็กเกลกัดฟันแน่น เค้นเสียงตอบด้วยความแค้นเคือง

“ฉันจะฆ่ามัน”

“อย่างนั้นหรือคะ...แต่ก่อนหน้านั้น ฉันขอเวลาในการสืบหาความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ก่อนได้ไหม”

“สืบหาความจริงหรือยืดเวลาตายให้มันกันแน่ไอรีน เห็นแก่ความเป็นผู้ปกครองเก่าหรือไง”

แม็กเกลกล่าวกระแทกกระทั้น แต่สตรีคู่สนทนาของเขากลับเฉยเสีย ดวงตาทอประกายเด็ดเดี่ยว

“จะพูดอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เพราะถูกเลี้ยงมาโดยมือคู่นั้น เลยทำใจค่อนข้างยากที่จะต้องเชื่อว่าเขาทรยศคุณ ฉะนั้นก็ขอเวลาให้ฉัน...แค่หนึ่งอาทิตย์ก็ยังดี...นะคะ?”

“...หึ!  ถ้าครบกำหนดเวลาแล้วยังหาข้อแก้ตัวที่ดีพอไม่ได้...ก็อย่ามาโทษว่าฉันใจดำก็แล้วกัน!”

นั่นคือคำตอบสุดท้าย   ก่อนเขาจะหันไปส่งสัญญาณมือเรียกคนขับรถผู้ยืนรออยู่ข้างนอก เป็นอันว่าการเจรจายุติลงแต่เพียงเท่านี้







เอ็ดเวิร์ดทนทำเป็นหลับสนิทต่อไปจนกระทั่งกลับมาถึงคฤหาสน์ ความอึดอัดและร้อนรุ่มของอ้อมกอดก็ทำให้เขาขยับตัวยุกยิกด้วยความอดรนทนไม่ไหว

“ตื่นแล้วหรือคะเอ็ดเวิร์ด ฉัน...ไอรีน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

หญิงสาวผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามรีบแนะนำตัวอย่างกระตือรือร้น  เมื่อเห็นชายหนุ่มลืมตามองมาที่เธอ

ในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็ดิ้นรนลงจากตักแม็กเกลได้สำเร็จ  และเขาไม่รอช้าเลยที่จะตะเกียกตะกายตามไปอยู่เคียงข้างไอรีนผู้ก้าวนำลงไปเป็นคนแรก ใช้หล่อนเป็นเกราะกำบังจากใครบางคนที่เพิ่งลงจากรถ และเดินช้าๆตามมาเป็นคนสุดท้าย

“เกะกะ”

ร่างสูงใหญ่เดินแซงเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยท่าทีหงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุ ปล่อยให้คนที่เหลือหันมองหน้ากันเองอย่างงุนงง

“พวกเราก็เข้าไปกันเถอะจ้ะ”   ไอรีนเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น

เอ็ดเวิร์ดพยักหน้ารับคำพูดนั้นก็จริง แต่สายตากลับกลอกมองสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เบื้องหน้าด้วยความกลัวเกรง  มือไม้เย็นเฉียบ  หัวใจเต้นแรงราวจะกระดอนออกจากอก แม้ไม่อาจจดจำได้ว่าเคยมีความหลังใดในอดีตกับคฤหาสน์หลังนี้ แต่ลึกๆแล้ว

ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน

“มัวทำอะไรอยู่ ทำไมไม่เข้าไปสักที”

ความอุ่นวาบอันเกรี้ยวกราดส่งให้เอ็ดเวิร์ดละสายตาแล้วหันกลับไปมองข้างหลัง

แม็กเกลย้อนกลับมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้  แต่เขาไม่ชอบกระไอร้อนระอุจากเนื้อตัวชายผู้นี้เลย  คิดดังนั้นชายหนุ่มจึงมองหาความช่วยเหลือ  ซึ่งมันก็ตกอยู่ในสายตาของอีกฝ่ายตลอดนั่นละ

ชายหน้าบากคว้าแขนเขาไว้เสียแน่น กันไม่ให้หนีรอดไปได้

“ไม่ต้องหาหรอก ฉันสั่งให้ยัยนั่นไปพักตั้งนานแล้ว ส่วนแก...มานี่”

“เดี๋ยว จะพาฉันไปไหน”   เอ็ดเวิร์ดขืนตัวสุดฤทธิ์  สัญชาตญาณกำลังเตือนว่าสถานที่ที่อีกฝ่ายจะพาตนไปนั้นมันไม่น่าอภิรมย์เลยแม้แต่น้อย

“หุบปาก”

เพียงคำพูดเดียว ทำให้คนที่พยายามบิดแขนให้เป็นอิสระจากมือหยาบกร้านชะงักงันไปทันที เปิดโอกาสให้แม็กเกลคว้าต้นแขนดึงตัวชายหนุ่มอุ้มพาดบ่า

และเอ่ยช้าชัด   “ลองดิ้นดูสิ”

คำท้าทายราบเรียบ แต่เอ็ดเวิร์ดกลับรู้สึกว่ามันน่ากลัวยิ่งกว่าคำตะคอกรุนแรงไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า ด้วยไม่อาจคาดเดาได้เลยว่า คนพูดจะทำอะไรต่อจากนั้น

เมื่อตุ๊กตาตัวสวยยินยอมให้ความร่วมมือแล้ว แม็กเกลจึงลงมือทำตามแผนเดิมของตนคือพาเอ็ดเวิร์ดไปเปลี่ยนชุด

ทันทีที่เดินเข้าไปในห้อง ชายทั้งสองก็เห็นเสื้อผ้าชุดใหม่พับอยู่บนเตียง ช่วยแบ่งเบาภาระพี่เลี้ยงเด็กของมาเฟียหนุ่มไปได้มากเลยทีเดียว

“เอ้า...หยิบไปเปลี่ยนเองได้ใช่ไหม”

ถามแล้วก็ไม่คิดอยู่รอฟังคำตอบด้วยซ้ำ  แม็กเกลเดินหนีไปนั่งรอตรงมุมโปรดสบายใจเฉิบ ปล่อยเอ็ดเวิร์ดให้ยืนงกๆเงิ่นๆอยู่หน้ากองเสื้อผ้าเพียงลำพัง

ดวงตาสีเทาอ่อนจ้องมองสลับระหว่างกองผ้าตรงหน้ากับชายเจ้าของห้องอย่างชั่งใจ ท่าทางของเขาเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง  แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหอบเสื้อเข้าไปเปลี่ยนเพียงตัวเดียว

ลับร่างเอ็ดเวิร์ด  แม็กเกลผู้นั่งเฝ้าอยู่ห่างๆจึงเดินมาสำรวจสิ่งของที่เหลือทิ้งไว้บนเตียง ซึ่งก็คือกางเกงและกางเกงชั้นในด้วยความพิศวง

“เฮ้ย...บอกให้ไปแต่งตัวแล้วทำไมกางเกงในยังอยู่นี่ล่ะ”

ยังไม่ทันหาคำตอบให้แก่ตัวเอง ประตูห้องน้ำกํพลันเปิดออก ร่างสูงเพรียวกลับออกมาพร้อมหอบชุดเก่าติดมือมาด้วย บนเรือนกายขาวสะอาดมีแค่เชิ้ตแขนยาวสีครีมเพียงตัวเดียว

“เอ็ดเวิร์ด! ทำไมแกไม่เอาไอ้พวกนี้เข้าไปแต่งตัวด้วยวะ”

ชุดที่ขาดเหลือถูกขว้างใส่เปะปะ  ด้วยเหตุที่ว่ามือขว้างหันหน้าหนี  กัดฟันสงบสติอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในอกลงอย่างยากเย็น

“แต่ว่านี่...บอกไว้อย่างนั้น”   มือเรียวส่งกระดาษยับย่นมาให้ พร้อมอธิบายเสร็จสรรพ  “ข้างในนั้นเขียนว่าให้เอาเสื้อไปใส่ ส่วนที่เหลือไว้มาใส่ข้างนอก”

“เดี๋ยว เอาไปใส่ข้างในนู้นไป”

“หมายถึงไอ้นี่น่ะเหรอ?”   ไม่เพียงแค่ถาม หากเอ็ดเวิร์ดยังยกชั้นในสีขาวขึ้นระดับสายตาให้เห็นกันชัดๆอีกต่างหาก

บ้าฉิบหาย ยัยไอรีน ยัยเพื่อนทรยศ!

แม็กเกลสาปแช่งเจ้าของกระดาษชนิดที่เรียกว่าหากคำสาปแช่งมีจริง หล่อนคงตายคาปากเขาไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว ซ้ำร้ายเขายังเผื่อแผ่กระแสอาฆาตไปยังคนต้นคิดให้แม็กเกล เดอะ สการ์เฟสเล่นบทพี่ชายที่แสนดีอีกคนด้วย

“เห็นความทรมานของคนอื่นเป็นเรื่องตลกหรือไง”   เสียงทุ้มเค้นลอดไรฟัน

“ฝากไว้ก่อนเถอะ แมทธิว ซายส์ กล้าทำให้ฉันตกนรกทั้งเป็นแบบนี้...บ้าจริง...”

คำพูดที่เหลือเลือนหายไปพร้อมๆกับสติสำนึกสุดท้ายปลิวกระจายหายไปหมด  นับแต่วินาทีที่เห็นต้นขาเรียวยกขึ้นเพื่อสวมชั้นใน

มาเฟียหนุ่มเบือนหนีภาพนั้นแล้วซบหน้ากับฝ่ามือ  ความโกรธความขุ่นเคืองเลือนหายไปหมดสิ้นแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความพยายามในการยับยั้งชั่งใจ มิให้ลงมือกระทำการอุกอาจหักหาญน้ำใจคนตรงหน้าแบบไร้สติเท่านั้น

“...เป็นอะไรไป?”

แว่วน้ำเสียงเจือความห่วงใยเหลือล้น เอ็ดเวิร์ดแตะปลายคางของเขาให้หันมาสบตากัน วี่แววแปลกใจระคนสงสัยฉายชัดในดวงตาสีเทาอ่อนคู่งาม

ในที่สุด แม็กเกลก็ไม่อาจหักห้ามใจได้อีกต่อไป

มือกร้านคว้าบ่าชายหนุ่มแน่น ผลักด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มลงบนเตียง ก่อนตามไปปิดริมฝีปากที่เผยออ้าขึ้นจนแนบสนิท ลิ้นอุ่นกวาดแทรกเข้าไปควานหาความหอมหวานราวผีเสื้อดอมดมน้ำหวานจากดอกไม้ แม็กเกลจูบเอ็ดเวิร์ดอย่างตะกรุมตะกราม บดขยี้เรียวปากอิ่มสวยจนรู้รสเลือด ขณะที่มือสองข้างช่วยกันฉีกทึ้งเสื้อ และรูดกางเกงในขว้างทิ้งไปแห่งหนใดก็มิอาจรู้ได้

“...อย่า...”

“เงียบซะ”

แม็กเกลหอบหายใจหนัก เขาต้องการเอ็ดเวิร์ด...เดี๋ยวนี้!

ชายหน้าบากยกสะโพกขาวขึ้นสูงก่อนทิ่มแก่นกายลงไปเต็มแรง ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดลั่นห้อง แต่เรือนกายแข็งแรงกลับขยับสวนต่อต้าน เบิกทางคับแคบเข้าไปจนสุด  รับรู้ถึงสัมผัสตอดรัดแน่นระอุจนเผลอสูดปากด้วยความเจ็บ  แทบถึงจุดสุดยอดในคราวเดียว

เสียงร่ำไห้วิงวอนดังกังวานนานนับชั่วโมงกว่าจะเงียบลง

เอ็ดเวิร์ดผู้ซึ่งยามนี้นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงได้แต่กัดปากกลั้นเสียงร้องสะอื้นจนเลือดซึม คราบน้ำตาบนใบหน้าเกลี้ยงเกลาบ่งบอกชัดว่าชายหนุ่มผ่านช่วงเวลาอันหนักหนาสาหัสมาม่ากแค่ไหน ขาสองข้างสั่นระริกหากยังมิอาจนอนราบไปบนฟูกนุ่มได้อย่างใจ เนื่องจากถูกมือหนาจับเอวไว้แน่นราวคีมเหล็ก

แม็กเกลกระแทกกายเข้าไปเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมปลดปล่อยน้ำสีขาวขุ่นเลอะเต็มช่องทาง

ยามนั้นเอง สติที่เคยกระเจิดกระเจิงก็กลับมาครบถ้วนสมบูรณ์อีกครั้ง นัยน์ตาสีมรกตจับจ้องใบหน้าแห่งความทุกข์ทรมานของคนรักด้วยความตกใจ

นี่เขา...ขาดสติทำร้ายคนสำคัญของตัวเองได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ?

ไม่มีคำตอบ...

ไม่ว่าใคร...ก็ไม่สามารถตอบได้

ชายหน้าบากค่อยๆถอนกายออกเชื่องช้า  ระวังมิให้กระเทือนบาดแผลสดใหม่ที่เกิดจากฝีมือของตน ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ยิ่งเห็นเอ็ดเวิร์ดนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ แม็กเกลยิ่งเจ็บช้ำ

“เอ็ดเวิร์ด...”

มือใหญ่ยกขึ้นหมายจะลูบศีรษะอีกฝ่าย แต่กลับถูกเบี่ยงหนีด้วยความรังเกียจ

แม็กเกลนิ่งงันไปเป็นครู่ ก่อนฝืนยิ้ม ปล่อยมือตกลงข้างตัวแล้วลุกเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบงัน

...โดยไม่รู้สักนิดเลยว่า มีสายตาคู่หนึ่งมองตามแผ่นหลังของเขาไปจนลับตา









“อะไรนะ! คุณไปข่มขืนเอ็ดเวิร์ดเสียยับ แล้วกลับมานั่งสำนึกผิดอยู่ตรงนี้เนี่ยเหรอ! คุณบ้าไปแล้วหรือไงแม็กเกล กลับไปอยู่กับเอ็ดเวิร์ดเดี๋ยวนี้เลยนะยะ กลับไปรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำไว้เสียดีๆ คนบ้า!”

ไอรีนสาดใส่คำพูดร้อนแรงกราดเกรี้ยว คล้ายระเบิดใกล้ปะทุ

แต่ไม่ว่าจะยกคำพูดมาโน้มน้าว ขู่เข็ญ อย่างไร คนตรงหน้าก็ไม่มีทีท่าว่าจะทำตามที่เธอสั่งเลยแม้แต่น้อย กลับเอาแต่นั่งจมจ่อมอยู่หลังโต๊ะทำงาน ติดอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเพียงลำพัง ปล่อยไอรีนให้ยืนคว้างอยู่กลางห้อง เหมือนรอคอยให้เธอเป็นฝ่ายทนไม่ไหว แล้วล้มเลิกความคิดไปเอง

แลเห็นเขาหมุนเก้าอี้หันหลังให้คล้ายรำคาญใจ กระนั้นก็ยังยกมือขึ้นโบกกลางอากาศประกอบคำพูด

“จะให้ฉันบอกเธออีกสักกี่รอบกัน ไอรีน ว่าเจ้านั่นไม่อยากเห็นหน้าฉัน”

...แหม ทีอย่างนี้ละเชื่อกันดีนัก แต่พอเอ็ดเวิร์ดขอให้หยุดละไม่ ไม่ ไม่!

ผู้ชาย! ทำไมถึงชอบทำตัวมีปัญหากันนักนะ ทิฐิบ้าบออะไรกัน ถ้ามีปัญหาก็แค่หันหน้าเข้าหากันแล้วคุยกันก็จบแล้ว ไอรีนเดินกระทืบเท้าไปเปิดประตู กระชากลูกบิดออกเต็มแรง ...เดี๋ยวหล่อนไปดูแลเอ็ดเวิร์ดเองก็ได้! เชอะ ไอ้ผู้ชายใจดำ!

“ฝากด้วยนะ”   เสียงสั่งดังไล่หลังมาแว่วๆ

“ค่ะ!”

หญิงสาวจีบปากจีบคอประชด ก่อนออกเดินเร็วๆไปตามระเบียง ไปหยุดอยู่หน้าห้องนอนของมาเฟียหนุ่ม   ซึ่งหล่อนไม่รอช้าเลยที่จะผลักบานประตูเข้าไปข้างใน

ภาพแสนเศร้าที่มองเห็นทำเอาไอรีนถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตาคลอเบ้า

...ใจร้ายเกินไปแล้วนะ แม็กเกล คุณทำแบบนี้กับเขาได้อย่างไรกัน

อย่างรวดเร็ว ร่างบางระหงปรี่เข้าไปยืนชิดขอบเตียงทันที ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววตื่นตระหนกมากกว่าใจเสีย ไอรีนรับรู้เพียงว่ามือไม้ของเธอสั่นไปหมด

เรือนกายเปล่าเปลือยนอนสงบนิ่งเหมือนหลับสนิท คราบน้ำตาบนผิวแก้มผสมปนเปกับน้ำขุ่นขาวยังไม่ชวนสะอิดสะเอียนเท่าหยาดโลหิตแห้งกรังตามแนวขาเรียวขาวเลย รอยจ้ำสีแดงทั่วร่างเต็มไปหมด เอ็ดเวิร์ดในยามนี้ดูราวกับตุ๊กตาไร้ชีวิตวิญญาณกระไรกระนั้น

ไอรีนทรุดกายลงนั่งเคียงข้างชายหนุ่ม ยกนิ้วเกลี่ยไรผมออกจากใบหน้าคมสันแผ่วเบา แผลเป็นเล็กๆข้างขมับขวายังคงเห็นเด่นชัด

พูดถึงที่มาของมันแล้ว...โอ...ทำไมความวุ่นวายทั้งหมดมันถึงได้ถาโถมกลุ้มรุมใส่คนตรงหน้าหล่อนอย่างโหดร้ายขนาดนี้นะ

สวรรค์ไร้เมตตา แล้วคนรักยังไร้หัวใจอีก

ริมฝีปากบางใสเม้มแน่น ความตั้งใจเดิมที่จะออกไปสืบข้อมูลเป็นอันล้มเลิก

เธอเปลี่ยนใจอยู่ช่วยชายหนุ่มรุ่นน้องผู้นอนสลบไสลไม่ได้สติเท่าที่กำลังของผู้หญิงคนหนึ่งพึงมีและลงมือกระทำได้ แต่ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ ไอรีนคิดว่าเธอมี แผนเด็ดสำหรับดัดนิสัยเดอะ สการ์เฟสโดยเฉพาะจัดเตรียมไว้แล้วเรียบร้อย

สิ่งที่ต้องทำคือการรอคอยแค่นั้น

รอเอ็ดเวิร์ดฟื้นคืนสติเมื่อไรละก็...

เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวได้เห็นดีกันแน่ แม็กเกล!

​--จบตอน--

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ชอบอ่ะ สนุกมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ต้องเอาให้เข็ด จัดเต็มไปเลย

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
๑๐


‘ความทุกข์ทรมานสอนให้พวกเรารู้จักอดทนอดกลั้น และไม่กระทำผิดซ้ำสอง แต่การจะได้มาซึ่งความสุขก็เปรียบได้กับการเดิมพันซึ่งต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่สาสม    เมื่อได้มาก็ต้องมีสิ่งที่เสียไป...นี่เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ความสุขของคนเราก็เช่นกัน  ลำพังแค่ปัญญาและความอดทนคงไม่อาจได้มา... แล้วคุณค่าของความสุขในแบบของนายล่ะ  ต้องแลกด้วยสิ่งใดจึงจะได้มา  อะไร...ที่ทำให้มนุษย์สามารถยืนหยัดเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าความเจ็บปวดได้’

‘หัวใจกับความเชื่อมั่นครับ ขอแค่เปิดหัวใจให้แก่ทุกสิ่ง เชื่อมั่นในพลังของตัวเอง เพียงเท่านี้ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว’

‘ถ้านั่นคือคำตอบ...ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ดีนะ’

‘พี่แมทธิว...’

‘แต่ว่านะทเวน นายลืมอะไรบางอย่างไป...’

เสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามาส่งให้บทสนทนาหยุดชะงักลงกลางคัน  แมทธิวและ ทเวนหันมองผู้มาใหม่เป็นตาเดียว ก่อนอัยการหนุ่มจะผุดลุกจากม้านั่งด้วยความตกใจ

‘เรฟ! ทำไมถึง...’

อีกฝ่ายไม่ตอบ หรือแม้แต่จะเหลือบแลมาทางเขาเลยสักนิด ดวงตาสีฟ้าใสวาวโรจน์บอกเล่าทุกสิ่งทุกอย่างออกมาอย่างโดยไม่ปิดบัง

และนั่น  ทำให้ ‘แพะ’ หนุ่มรูปงามถึงกับถอนใจยาว ยกมือขึ้นยอมแพ้

‘พี่กลับก่อนดีกว่า มีคนเข้าใจผิดอีกแล้ว’

ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคเลยด้วยซ้ำ ตอนที่เขาเดินแยกผละไปอย่างรวดเร็ว

‘เอ๋...เฮ้ย...เดี๋ยวสิพี่แมทธิว...’

อัยการหนุ่มยืนร้อนรน ละล้าละลังว่าควรจะทำเช่นไรดี

ติดใจคำพูดนั่นเหลือเกิน แต่ว่า...

‘ทเวนไม่รักผมแล้วหรือฮะ’

...เขาไม่อาจทอดทิ้งเด็กชายคนนี้ไปได้ ความคิดที่ทำให้นัยน์ตาสีมรกตอ่อนแสงลงกว่าที่เคย

‘ใครว่าไม่รักล่ะ’

‘ถ้าอย่างนั้นผู้ชายหล่อๆคนเมื่อกี้เป็นใคร  ไหนทเวนบอกเรฟว่าทิ้งเพื่อนไปไม่ได้ แล้วคนนั้นล่ะ เป็นใคร’

‘น้อยใจอะไรอีกล่ะเรฟ คิดมากเกินไปแล้ว...’

ทเวนกลืนคำพูดที่เหลือลงคอเมื่อสบกับดวงตาสีฟ้าใสวามวาว สัญชาตญาณกำลังร้องเตือนว่าความโชคร้ายจะมาเยือนในไม่ช้านี้ และมันก็คงไม่พ้นเรื่อง...







...ทเวน...ตื่นเถอะครับ จะหลับไปอีกนานแค่ไหนกัน ผมเบื่อแล้วนะ...

น้ำเสียงกระเง้ากระงอดแสนดื้อดึงปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากห้วงนิทรารมณ์ทีละน้อย กลิ่นอายดินชื้นและสัมผัสของใบหญ้าละเอียดใต้ฝ่ามือคือสิ่งแรกที่รับรู้ สัมผัสต่อมาคือความเสียวแปลบร้าวระบมไปทั่วร่าง

“ในที่สุดก็ตื่นแล้วสินะ ทเวน”   แว่วเสียงเดิมเซ้าซี้มาอีก

เขาพยายามเปิดเปลือกตาหนักอึ้งขึ้นดู ทว่าช่างยากเย็นเหลือเกิน

“อา...เรฟเองหรือ อย่าเพิ่งได้ไหม ขอนอนต่ออีกนิดเถอะ...”

สุ้มเสียงอ่อนล้าบอกแผ่วโหย  ตระเตรียมจมดิ่งลงสู่ห้วงฝันอีกครั้ง แต่คู่สนทนาของเขาไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น

“ถ้าอย่างนั้น ก็เลือกมาซะ ว่าอยากถูกเรฟ ‘กด’ ท่าไหน”

“หา?”   ทเวนผงกศีรษะขึ้นมองอย่างลืมตัว เป็นเวลาเดียวกันกับที่อาวุธแข็งร้อนพุ่งทะลวงเข้ามาในร่าง

“อ๊ะ...อื้อ!”

มือเล็กกดปิดริมฝีปากที่กำลังจะแผดเสียงเอาไว้แน่น ก่อนเด็กหนุ่มจะยื่นหน้าเข้ามากระซิบแผ่วเบา

“เดี๋ยวคนก็รู้หรอกว่าพวกเราอยู่ตรงนี้...ผมน่ะไม่สนอยู่แล้ว  แต่ทเวนต่างหากที่จะมีปัญหา”

อาการแสบร้าวเบื้องล่างยิ่งส่งให้อัยการหนุ่มครางหนัก

ทเวนเหลียวมองไปรอบกาย ก่อนสำเหนียกได้ว่าจาเรฟไม่ได้ขู่เกินความจริงไปแม้แต่น้อย

ภาพฝันร้ายก่อนหน้าเริ่มปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวทั้งหมด...สรุปว่ามันไม่ใช่แค่ความฝันอย่างที่คิด  แต่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ เขาถึงยอมให้จาเรฟพิสูจน์...

ด้วยการมีเซ็กส์กันหน้าโรงพยาบาล!

“จาเรฟ! แก...อึก!”

ถ้อยคำหยาบคายร้อนแรงพรั่งพรูอยู่ในอกเมื่อชายหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง สะกดกลั้นเสียงร้องครวญคราง และเสียงหอบหายใจถี่กระชั้นอย่างสุดความสามารถ  ในใจนึกสาปแช่งคนตรงหน้าไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หน

โธ่เว้ย! จะด่าก็ไม่ได้ ร้องก็ไม่ได้!

ทเวนคิดอย่างเดือดดาลขณะถอนหญ้าติดมือขึ้นมาเป็นกระจุก

...ไอ้เด็กลามก!

จาเรฟกระแทกกายเข้าไปหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งเห็นใบหน้าคมสันเผือดไร้สีนั่นละ จึงยอมหยุดขยับ...ชั่วครู่

“เรฟรู้ว่าทเวนโกรธ แต่อย่าลืมนะฮะว่าตอนนี้ใครถือไพ่เหนือกว่า”

“...ไอ้เด็ก...บ้า...”   ทเวนด่าเสียงแผ่วทั้งที่หน้ายังซีดไม่หาย  อยากลากเจ้าเด็กตรงหน้ามาตีก้นสั่งสอนนัก จะได้หัดรู้จักมีสัมมาคารวะเสียบ้าง   “จำไว้เถอะ...ว่าฉัน...จะแยกขาให้แก...ครั้งนี้...ครั้งสุดท้าย”

“ฮึ! ปากแข็งจังนะทเวน...แต่ก็นั่นแหละ เป็นส่วนที่ผมชอบที่สุด”

ว่าแล้ว ร่างที่นอนเกยทับอยู่เบื้องบนก็ขยับลุกนั่งกะทันหัน ท่อนเอ็นที่ยังเสียบคาอยู่ครูดไถส่วนอ่อนนุ่มภายในเป็นทาง ส่งผลให้ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งโหยง กัดฟันแน่น

“อยู่แบบนั้นต่อไปจะเจ็บนะ ลุกขึ้นนั่งสิ ทเวน”

“ไม่...”

“ปากแข็งชะมัด”

จาเรฟทำทีเหมือนจะขยับกายลุกขึ้น ส่งผลให้คนที่นอนราบสิ้นแรงอยู่บนพื้นรีบตะเกียกตะกายพลิกตัวลุกนั่งตักเด็กหนุ่มทันทีด้วยความกลัวเจ็บ

ยิ่งเห็นรอยยิ้มของผู้ชนะบนใบหน้าเกลี้ยงเกลานั่นแล้ว ทเวนก็แทบจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ทั้งหมดทั้งปวงที่ทำได้คือการวางมือบนบ่าเล็กๆสองข้างเพื่อประคองตัวเอาไว้มิให้ล้มหงายไปข้างหลัง ขณะตอบบ่ายเบี่ยงข้อเสนอชวนขนลุกของจาเรฟ

“ทิ้งน้ำหนักลงมาหมดเลยก็ได้นะฮะ”

“...ไม่”

“แต่ถ้าอยู่แบบนี้ต่อไป ทเวนจะเมื่อยเอานะ”

“...นายรับน้ำหนักฉันไม่ไหวหรอก”  ทเวนปฏิเสธคำเชื้อเชิญอันแสนจะเย้ายวนนั้นอย่างเป็นห่วง

เกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่   ก่อนร่างสูงจะถูกวงแขนร้อนกอดรัดจนหายใจไม่ออก   จาเรฟออกแรงกดสะโพกของอัยการหนุ่มให้นั่งลงบนตักตนเองจนสำเร็จ   แล้วชะโงกหน้าขึ้นจูบปลายคางของเขาอย่างรักใคร่ ยิ้มกว้าง

“ไปหาท่านพ่อกันเถอะ เรฟอยากแนะนำว่าที่ลูกสะใภ้ให้ท่านพ่อได้รู้จัก”







‘ไปหาท่านพ่อกันเถอะ เรฟอยากแนะนำว่าที่ลูกสะใภ้ให้ท่านพ่อได้รู้จัก’

นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ได้ยิน  ก่อนความรู้สึกทั้งหมดจะดับหายไป

ทเวนลืมตาขึ้นช้าๆ สายตาปะทะกับผ้ากำมะหยี่ปักทอลายงดงาม...ความรู้สึกภายในร่างหนักอึ้ง   แต่ในศีรษะกลับเบาโหวงอย่างน่าประหลาด  จำได้ว่าหลังจากถูกจาเรฟควักผ้าเช็ดหน้าที่มีกลิ่นฉุนเอียนปิดจมูก เขาก็หมดสติไปทันที

ขณะที่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มตัดสินใจแหวกม่านกำมะหยี่ที่ล้อมเตียงออก ก้าวลงไปยืนบนพรมปักสีน้ำตาลเข้ม  แล้วมองไปรอบตัว

แสงตะวันส่องผ่านบานกระจกใสเข้ามา  สาดกระทบลงบนชุดเครื่องเรือนที่ทำจากทองคำแท้ เงาสะท้อนส่องประกายวูบวาบละลานตา ผนังบุนวมสีแดงเลือดหมูส่งให้ภาพลักษณ์ของห้องแห่งนี้ดูอบอุ่น ทั้งที่อุณหภูมิห้องเย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศที่เปิดทิ้งไว้

กลิ่นธูปจากเครื่องหอมแม้ไม่คุ้นเคย แต่กลับช่วยผ่อนคลายจิตใจลงได้อย่างน่าพิศวง ทเวนละสายตาจากโคมระย้าสีทองอร่าม แล้วก้มดูตัวเอง...เนื้อผ้าฝ้ายสีขาวบริสุทธิ์ ตัวเสื้อยาวถึงข้อเท้า คอตั้งแขนยาว...หรือที่เรียกกันว่า ‘ชุดโต๊ป’ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับชุดพื้นเมืองของประเทศแถบตะวันออกกลางมาสวมอยู่บนร่างแทนชุดเดิมได้อย่างไรไม่รู้

เสียงโครมสนั่นเรียกชายหนุ่มให้เหลือบมองไปยังประตูไม้สลักหนาที่เปิดออก เห็นร่างสูงเพรียวคุ้นตาเดินกระแทกเท้าเข้ามา

“เราจะพักผ่อนแล้ว”

จาเรฟสั่งใครบางคนนอกห้องเป็นภาษาที่ทเวนฟังไม่เข้าใจ แต่พอจะเดาอารมณ์ของผู้พูดออกจากริ้วรอยหงุดหงิดบนดวงหน้าขาวเกลี้ยงเกลาตอนที่หันกลับมานั่นละ

“อ้าว! ตื่นแล้วหรือฮะ เป็นไงบ้าง ชอบห้องของเรฟหรือเปล่า”   เป็นคำทักทายกึ่งบอกกล่าวอย่างอ่อนหวาน จาเรฟก้าวเข้ามากอดเขาไว้ กลิ่นน้ำหอมจากชุดกาลาไบยาสีขาวขลิบทองฟุ้งกำจาย

“เรฟ...”

...เกิดอะไรขึ้น ชายหนุ่มกลืนคำพูดที่เหลืออยู่กลับลงลำคอเมื่อรับรู้สัมผัสเปียกชื้นบริเวณอก

“ร้องไห้ทำไม?”  พร้อมกับที่ถามออกไปเช่นนั้น ทเวนจับบ่าสองข้างของเด็กหนุ่มแล้วดันออกห่าง จ้องมองหยดน้ำสีใสที่กลิ้งหล่นลงจากดวงตาคู่งามหยดแล้วหยดเล่าด้วยความสับสน ยิ่งได้ยินเสียงสะอื้นขาดห้วงปานจะขาดใจนั้น เขายิ่งร้อนรนจนแทบทานทนไม่ไหว ถึงขนาดคาดคั้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดในแบบที่ไม่เคยใช้มาก่อนกับคนตรงหน้า

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ เรฟ นายร้องไห้เรื่องอะไร เพราะฉันใช่ไหม!”

ไม่อยากเชื่อเลยว่าในสถานการณ์เช่นนี้จาเรฟกลับส่ายหัว  เม้มปากแน่นอย่างดื้อดึง  ทำเอาทเวนหงุดหงิดจนแทบบ้าเมื่อไม่ได้คำตอบ  เขาระบายความอัดอั้นตันใจออกมาเรียบๆ ทว่าก็ซ่อนความฉุนเฉียวในน้ำเสียงเอาไว้ไม่มิด

“ให้ตายเถอะ นายปั่นหัวฉันเล่นได้ แต่พอถึงเวลาที่ฉันต้องการคำอธิบายจริงๆนายกลับไม่ยอมพูดอะไรเลย แบบนี้มันจะเห็นแก่ตัวเกินไปแล้วนะ จาเรฟ”

“...ทเวนอย่ารู้เลยดีกว่า”

“หา? เมื่อกี้ว่าอะไรนะ...อ๊ะ!”

มุมมองที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำเอาชายหนุ่มถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ อึดใจต่อมาคือจุกจนพูดไม่ออก ต้องเสียเวลาสลัดไล่ความมึนงงออกไปชั่วครู่กว่าจะตั้งตัวติด

ทเวนสะบัดหน้ากลับมามองคู่กรณีของตนอย่างเดือดดาล คำรามลั่นในอก

กระโดดทับกันมาได้นะแก ฝากไว้ก่อนเถอะ!

แต่แล้ววี่แววโกรธเกรี้ยวในดวงตาสีมรกตพลันเลือนหายไปจนสิ้น  แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นไหวคลอนยามจ้องมองผู้รุกรานที่บัดนี้ขึ้นมาคร่อมอยู่บนร่างเขาด้วยจุดมุ่งหมายบางประการ...ที่ทเวนไม่อยากคิดถึง และก็ไม่อยากรู้ด้วย

“เฮ้ย...เรฟ ลุกออกไปสิวะ”

ริมฝีปากกดแนบลงตรงซอกคอขาวคือคำตอบ...ปฏิเสธ

ชายหนุ่มนอนตัวแข็งทื่อ ลมหายใจที่เป่ารดต้นคอส่งให้มือไม้อ่อนปวกเปียกคล้ายดั่งถูกดูดเรี่ยวแรงออกไปจนหมด   และหมากกระดานนี้คงตกเป็นของจาเรฟไปเสียสิ้น...หากว่าทั้งสองจะไม่ได้ยินเสียงกระแอมในลำคอของใครบางคนเข้าเสียก่อน

จาเรฟและทเวนหันไปมองแขกผู้ไม่ได้รับเชิญโดยพร้อมเพรียง ก่อนนิ่งอึ้งไป

ร่างบางระหงในชุดอบายาสีดำสนิทยืนกอดอกพิงกรอบประตูจ้องพวกเขาเขม็ง

“ขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะนะทั้งสองคน แต่ช่วยพักยกกันก่อนได้ไหม”

“แม่! พูดอะไรน่ะครับ”   จาเรฟเถียงกลับอย่างร้อนรน

ปฏิกิริยาของสองหนุ่มส่งให้หญิงสาวผู้แต่งกายสำรวมมีผ้าคลุมใบหน้ามิดชิดหัวเราะเสียงพร่างพราว  ดวงตาคมหวานแวววาวเหลือบมองชายผ้าโต๊ปที่ร่นขึ้นเหนือ

ขาอ่อนชายหนุ่ม...แล้วปราดกลับมายังบุตรชายของเธอ...ภาพตรงหน้าส่อความหมายในแง่นั้นขนาดนี้แล้ว จะให้คิดเป็นอื่นได้อีกหรือไร

“เอาเถอะ...ถ้าพอใจจะอยู่ท่านั้นก็ตามใจ  แม่แค่แวะมาดู ‘ว่าที่ลูกสะใภ้ที่ถูกพ่อตาปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่เคยเห็นหน้า’ เฉยๆน่ะ”

อีกครั้ง ที่ประกายตาสีฟ้าใสวาววามปาดผ่านใบหน้าคมสันของอัยการหนุ่มไปอย่างจงใจ

...เออหนอ ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนถูกกระทบเสียดสีอย่างไรพิกล  นั่นยังไม่นับสายตาแปลกๆที่จดจ้องมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว...ดวงตาที่พิมพ์ประพายคล้ายคลึงกันกับเด็กหนุ่มบนร่างเขานี้ก็ช่างคุ้นตา...

...หรือว่าจะเป็น ‘หล่อน’

ทเวนมองสีหน้ากระอักกระอ่วนใจของจาเรฟ ก่อนฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายเผลอรีบขยับหนีออกมายืนได้สำเร็จ โดยไม่ลืมที่จะดึงชายเสื้อลงให้เรียบร้อยดังเดิม แล้วหันไปสบตาสตรีผู้นั้น

“ฉันไม่แปลกใจเลยว่าเรฟมันได้นิสัยแบบนี้มาจากใคร เธอหัดสอนลูกซะบ้างสิ”

วาจาและท่าทีหมิ่นของเขาจะทำให้อีกฝ่ายสะดุ้งสะเทือนก็หาไม่...จริงๆแล้ว อาจไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ ยังคงยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ตอบเสียงฉะฉาน

“นายก็พูดได้สิยะ ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปสอนจาเรฟได้ละ?้  พอแกอายุได้สองขวบกว่า คนของเอเฟ็ทก็พรากแกจากอกแม่อย่างฉันไปแล้ว”

“...สองขวบ? จริงสิ! ตอนที่อยู่กับพวกฉันเธอก็ยังไม่เห็นจะท้องกับใครเลยนี่ เอ๊ะ? หรือว่าท้อง แล้วไม่ยอมบอกกันนะ”

“ปากหมาแล้วย่ะ ตอนที่อยู่สำนักอัยการฉันแต่งงานแล้วหรอก เชอะ!”

ทเวนพยายามทำความเข้าใจคำพูดอันแสนกำกวมนั้นอย่างสุดความสามารถ เขามองสลับหญิงสาวกับเด็กหนุ่มข้างกาย เพื่อคะเนหาความแตกต่างระหว่างวัยของคนทั้งสอง แล้วยิ่งรู้สึกมึนงงกว่าเดิม

“เดี๋ยวก่อน...คือ...จะว่าเสียมารยาทก็ใช่นะ แต่เธอมีลูกตอนอายุเท่าไหร่กันแน่”

“ฉันท้องตอนอายุสิบห้า แต่งงานตอนอายุยี่สิบสาม  มีอะไรจะถามอีกไหม?”

หล่อนตอบรวดเดียวจบ ใบหน้าเชิดสง่า ทีท่าเรียบเฉยราวกับว่าเรื่องที่พูดถึงนั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย

และโดยไม่รอฟังคำตอบ  ลีเด็นตรงเข้ามากอดทักทายบุตรชาย บอกเสียงหวานหยดย้อยว่า

“แม่ไปก่อนนะจาเรฟ แล้วจะแวะมาอีกแน่นอนจ้ะ”

ตลอดเวลาที่สองแม่ลูกเอ่ยร่ำลากันนั้น ทเวนผู้ถูกปฏิบัติราวกับเป็นอากาศธาตุ ก็ได้แต่ยืนอึ้งกับความจริงที่เพิ่งรับรู้   ปนเปไปกับความโล่งใจที่ถูกคู่กัดเก่ามองข้ามไปอย่างหน้าตาเฉย

...ขอเถอะ อย่าหันมาทางนี้ ลากันเสร็จก็หันหลังเดินออกไปทางประตูโน่นเลย

...พระผู้เป็นเจ้า ช่วยกรุณาเอาตัวบ่อนทำลายความสุขในชีวิตผมอย่างยัยลีเด็นออกไปไกลๆทีเถอะ หรือถ้าจะให้ดี...ก็เอาออกไปทั้งสองแม่ลูกเลยครับ!

บอกตัวเองแล้วชายหนุ่มก็ระบายลมหายใจแผ่ว มีแต่ความเงียบงันเมื่อจาเรฟเดินไปส่งลีเด็นถึงหน้าห้อง

เพียงเสี้ยววินาทีก่อนบานประตูไม้จะปิดลง ทเวนก็ถูกคำพูดทิ้งท้ายแสบๆคันๆของเพื่อนสาวย้อนกลับมาทำร้ายอย่างแสนสาหัส...อีกครั้ง

“คราวหน้าคราวหลังก็หัดระวังให้มากกว่านี้ ลงกลอนประตูให้ดี...ถ้าเมื่อกี้คนที่เข้ามาไม่ใช่แม่ละก็ มีหวังกลายเป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมาแน่ๆเลย  เอาละ แม่ไม่กวนแล้ว เชิญต่อกันตามสบายเลยจ้ะ”

จาเรฟเงยหน้าขึ้นในวินาทีนั้น  ก่อนตอบรับด้วยท่าทางเคร่งขรึม  ทั้งๆที่ดวงตาเป็นประกายวาบอย่างซุกซน

“...ถึงแม่ไม่บอก ผมก็ทำต่ออยู่แล้วล่ะครับ”







แสงตะวันยามอัสดงลอยต่ำแตะขอบฟ้า ชายผ้าชุดจิลบาและคาฟฟี่ย่าห์ปลิวสะบัดพึ่บพับตามแรงลมอันร้อนระอุ ความแห้งผากของมันราวจะดูดซับพละกำลังจากร่างสูงที่ยืนตระหง่านอยู่กลางผืนทรายไปจนสิ้น  ทเวนยกมือขึ้นป้องใบหน้าจากเม็ดทรายละเอียดที่ปลิวมาตามลมขณะเหม่อมองไปไกลสุดสายตา ทั้งภาพดินแดนเวิ้งว้าง

ที่ปรากฏเบื้องหน้า และเสียงลมพัดหวีดหวิวกรีดก้องประดุจเสียงร้องโหยโหนของทะเลทรายยิ่งส่งให้อารมณ์อันอ่อนไหวเริ่มสั่นคลอน

เขาไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้มาก่อนเลย  ชายหนุ่มตระหนักได้ในวินาทีนั้นเองว่าเขากำลังคิดถึงบ้าน คิดถึงกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นยามเช้าตรู่ คิดถึงเสียงหัวเราะสดใสของผู้คนรอบกาย เหนืออื่นใด เขาคิดถึงวิถีชีวิตอันเรียบง่ายธรรมดาของตัวเอง

ก่อนที่ความคิดจะเตลิดเปิดเปิงจนไม่รู้เหนือใต้  ทเวนก็รีบหันหลังให้แก่ภาพนั้น เดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ติดแอร์เย็นฉ่ำทั้งหลัง

สายลมร้อนพัดวูบตามเข้ามาจนคาฟฟี่ย่าห์เกือบเลื่อนหลุดจากศีรษะ

ด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบยกมือขึ้นจับผ้าไว้ทันที และนั่น ทำให้เขาเห็นรอยจูบตรงข้อมือที่เกิดจากฝีมือใครบางคนเข้าเต็มตา...ใครบางคนที่ไม่ยอมทำตามคำพูดเดิมของตนเอง แต่กลับเลือกที่จะทิ้งเขาเอาไว้ในห้อง แล้วออกไปที่ไหนสักแห่งเพียงลำพังคนนั้น ทเวนลดมือลงช้าๆ สายตายังจับจ้องไปบนรอยจ้ำแดงระเรื่อ ขณะที่ภาพในห้วงความทรงจำคล้ายจะผุดพร่างขึ้นในหัวราวตาน้ำผุดขึ้นที่กลางใจ  เขายกแขนข้างนั้น  ขึ้นจุมพิตย้ำลงตรงรอยจูบด้วยสัมผัสแผ่วเบา...โลกทั้งใบเงียบกริบ เวลาคล้ายหยุดนิ่ง เหลือเพียงแค่ตัวชายหนุ่มกับรอยจูบที่เป็นดังตัวแทนของจาเรฟเท่านั้น

แต่แล้วเวลาที่เคยหยุดลงก็กลับมาเดินต่ออีกครั้งยามได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจากข้างหลัง

คล้ายเพิ่งรู้สึกตัว ทเวนสะบัดหน้าหนีจากแขนตนอย่างตกใจ ก่อนกลบเกลื่อนด้วยการหมุนกายกลับไปมองผู้มาใหม่ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งเนียนละเอียดเต็มสายตา

รูปลักษณ์ของเขาทำให้อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปด้วยความตกตะลึง

ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้น เด็กหนุ่มแปลกหน้าเริ่มพูดภาษาพื้นเมืองรัวเร็ว ซึ่งสำหรับชาวต่างชาติอย่างทเวนแล้ว แม้จะฟังภาษาแปลกหูนั่นไม่ออก หากริ้วรอยหงุดหงิดที่แฝงมากับน้ำเสียงนั่น...ชัดเจนนัก

เห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มเฉี่ยวคมดุจตาเหยี่ยวเต็มไปด้วยคำถาม  ริมฝีปากหยักสวยได้รูปสีชมพูระเรื่อเม้มแน่นคล้ายกำลังพยายามระงับสติอารมณ์ในเรื่องบางอย่าง

ที่เขาไม่เข้าใจ

...หน้าตาหยิ่งเหมือนจาเรฟเลยว่ะ ไอ้เด็กนี่

ชายหนุ่มเขม้นมองผู้อ่อนวัยกว่าอย่างนึกขัดอกขัดใจเต็มกำลัง ส่วนสูงอีกฝ่ายแม้ตอนนี้จะยังตัวเล็กกว่าเขาก็เถอะ แต่อีกไม่กี่ปีคงตามทันแน่นอน รูปร่างหน้าตาหรือก็หมดจดน่าเอ็นดู ถ้าลบประกายจองหองบนใบหน้าราวรูปสลักนั่นได้ละก็เด็กหนุ่มผู้นี้สามารถนับเป็นชายรูปงามที่สุดคนหนึ่งได้เลยทีเดียว

“มองอะไร”

เสียงเดิมดังแว่วมาอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนเป็นภาษาบ้านเกิดของทเวนที่ออกเสียงได้เหมือนเจ้าของภาษาไม่ผิดเพี้ยน

คนถูกถามเพียงแค่เลิกคิ้วสูง ก่อนถามกลับ   “เธอเป็นคนของที่นี่หรือ?”

“นายไม่รู้หรือว่าฉันเป็นใคร?”   อีกฝ่ายตอบด้วยคำถาม

“เอ่อ...”

ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไป ด้วยไม่คาดคิดว่าจะถูกยันกลับมาในลักษณะนี้

วูบหนึ่ง ที่เขาเริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่า การแอบจาเรฟออกมาเดินเล่นข้างนอกจะเป็นความคิดที่ดีเหมือนที่หวังเอาไว้ในตอนแรกเสียแล้ว

ตอนที่อัยการหนุ่มกำลังค้นหาคำตอบให้กับตัวเองอยู่นั่นเอง เสียงตะโกนกราดเกรี้ยวราวกัมปนาทก็สะท้อนก้องไปทั่วโถงทางเดิน

“ทเวน!”

ทั้งสองหันหน้าไปมองทางต้นเสียงราวนัดกันไว้ เห็นจาเรฟวิ่งกระหืดกระหอบตรงมา ก่อนโถมร่างเข้ากอดทเวนแน่น

“หนีออกมาจากห้องทำไม ข้างนอกมันอันตรายนะ!”

“ขอโทษ...”   เสียงทุ้มเอ่ยอย่างรู้สึกผิด

ไม่มีคำตอบจากจาเรฟ นอกจากการกระชับวงแขนแน่นเข้าเหมือนกลัวว่าเขาจะหายตัวไป

เด็กหนุ่มเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งหันมองคนทั้งสองสลับไปมาอย่างงวยงงในตอนแรก ก่อนแปรเปลี่ยนสายตาเป็นดูแคลนทันทีเมื่อคาดเดาความสัมพันธ์ของพวกเขาออก

“อ้อ นี่เอง คนรัก‘ผู้โด่งดัง’ที่นายอุตส่าห์พาข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาท่านพ่อ...น่าเสียดายนะ จาเรฟ ที่แค่ได้ยินจากปากนายว่าเป็นผู้ชายท่านก็เบือนหน้าหนีแล้ว”

คำพูดนั้นเรียกสายตาสองคู่ให้หันกลับมาจ้องเขาอย่างพร้อมเพรียง คู่หนึ่งงุนงงสับสน ส่วนอีกคู่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้นเจียนคลั่ง

“หุบปากนะชาคิล! ก็เพราะนายนั่นแหละที่ไปเป่าหูท่านพ่อว่าคนรักของฉันเป็นผู้ชายขายตัวน่ะ”

“ฮึ! แล้วมันไม่ใช่รึไง ท่านแม่ของฉันพูดไม่ผิดหรอก ไม่อย่างนั้นแกจะหน้ามืดตามัวขนาดไปเอาเพศเดียวกันได้ลงหรือ”

น้ำเสียงและสายตาหยันๆที่มองตรงมาส่งให้หัวใจของทเวนชาดิก สมองตื้อจนคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หากยังหลงเหลือสติพอที่จะคว้าแขนจาเรฟไว้ได้ทันก่อนเด็กหนุ่มจะถลันเข้าไปชกหน้าอีกฝ่ายด้วยความแค้น

“ไปกันเถอะ”   เขาบอกเสียงแผ่ว

“เอ๋? ทำไมล่ะทเวน ก็มัน...”

“พวกเราไปเถอะ ป่วยการที่จะสนใจคนที่เขาไม่ให้ความเคารพเรา”

และไม่รอคำตอบ ทเวนจัดการพาจาเรฟออกไปจากตรงนั้นทันที

ชาคิลมองสองร่างที่เดินไกลออกไปด้วยความสะใจ ในที่สุดเขาก็สามารถสร้างความเจ็บปวดให้แก่น้องชายต่างมารดาได้สำเร็จเป็นครั้งแรก...อย่างงดงามเสียด้วยสิ

เด็กหนุ่มยิ้มอย่างย่ามใจ เกือบจะกลบลบรอยยิ้มจากใบหน้าไม่ทันเมื่อร่างโปร่งระหงก้าวออกมาจากหัวมุมทางเดิน

“อา...สวัสดีครับ ท่านหญิง”

“สวัสดี”   เสียงหวานเย็นชาตอบ นัยน์ตาสีฟ้าใสมองเขาคล้ายล่วงรู้ทุกสิ่งอย่างทะลุปรุโปร่ง

ชาคิลปั้นหน้ายิ้มไปให้ ทั้งที่ในใจนึกรังเกียจหญิงสาวสุดประมาณ...เขาเกลียดผู้หญิงคนนี้ที่แย่งความรักของท่านพ่อไปจากท่านแม่

นับตั้งแต่ลีเด็นเข้ามาในตระกูลโอมาลนอฟก็ไม่มีวันไหนเลยที่มารดาของเขาจะไม่ร้องไห้ปานใจจะขาด  ก่นด่าสาปแช่งภรรยาคนที่สี่และบุตรชายของหล่อนให้ตกนรก

หมกไหม้ไปพร้อมกัน ชาคิลเองก็ถูกแย่งความรักและความสนใจจากเอเฟ็ทไปจนหมด เด็กหนุ่มต้องเติบโตอยู่ภายใต้เงาของน้องชายมาโดยตลอด  หัวใจที่เคยขาวบริสุทธิ์ถูกจิตใจที่โหยหาความรักจากบิดากัดกินจนกลายเป็นหัวใจอันดำมืดสนิทและด้านชาต่อทุกสิ่ง

ลีเด็นเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ความเกลียดชังที่คนตรงหน้ามีต่อเธอ...หญิงสาวมองสบดวงตาสีน้ำตาลเข้มแสนว่างเปล่าคู่นั้นด้วยความสงสารจับใจ  มันยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงช่วงเวลาอันทุกข์ยากของเด็กชายรุ่นลูกตรงหน้าให้ชัดเจนขึ้นไปอีก

หล่อนรู้ดี...แม้กระทั่งว่าชาคิลจะต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อ ‘แย่งของ’ ของจาเรฟมาเป็นของตัวเอง  แต่การกระทำนั้นพาลแต่จะสร้างความเจ็บช้ำให้เจ้าตัวมาก ขึ้นก็เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสงสัย อยากรู้อยากเห็น หรือจิตใจที่หมายมุ่ง...อย่างใดอย่างหนึ่ง...แต่การเล่นกับไฟที่มีชื่อว่าทเวน เทมส์นั้นไม่สมควร

มิใช่เพื่อจาเรฟ แต่เพื่อชาคิล

...แม้ว่าเขาจะไม่เคยยอมรับความหวังดีของหล่อนสักครั้งเลยก็ตาม

“เด็กน้อย หวังว่าเธอคงไม่หน้ามืดตามัวไปหลงรักเพศเดียวกันเหมือนลูกชายของฉันหรอกนะ “

“...ครับ”

มองสบกับประกายตาวาววับคู่นั้นก็รู้แล้ว...

ฟัง...แต่ไม่ยอมเชื่อฟัง และคงทำทุกวิถีทางที่จะแยกคนรักออกจากกันให้ได้

หญิงสาวส่ายหน้านิดๆอย่างอ่อนใจ ก่อนเดินแยกไปเพียงลำพัง

...เถอะ เธอถือว่าเธอเตือนแล้วนะ

​(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)


“ทเวนบ้า! บ้าที่สุดเลย! เมื่อกี้มาห้ามเรฟไว้ทำไม ทำไมถึงไม่ให้เรฟต่อยหน้ามันไปสักทีสองทีนะ ฮึ! งอนแล้วด้วย” จาเรฟอาละวาดทันทีที่กลับมาถึงห้อง

ฝ่ายที่ใจเย็นกว่ากลับเป็นทเวน  เขาเดินไปนั่งที่ปลายเตียงแล้วตบฟูก  เรียกให้จาเรฟมานั่งข้างๆ เด็กหนุ่มเมินคำชักชวนนั้น เดินกระแทกเท้ามานั่งตักชายหนุ่มแทน

“ผมเกลียดชาคิล”

“...ทำไมล่ะ?”

“ชาคิลชอบแย่งของเล่นของเรฟ แล้วก็แอบแกล้งเรฟตอนไม่มีใครเห็นตลอดเลย แต่คราวนี้...”   จาเรฟเม้มปากแน่น น้ำตาคลอหน่อย

“มันมาว่าทเวน...เรฟเกลียด..ฮึก...”

“โอ๋...เด็กดี ไม่เอานะ อย่าร้องไห้สิ ทำไมพักนี้นายบ่อน้ำตาตื้นจัง”

อัยการหนุ่มเห็นท่าทางน่าสงสารนั้นดูน่าขันมากกว่าจะน่าเห็นใจ เขาลูบศีรษะของจาเรฟแล้วโยกไปมาเพื่อปลอบให้คนในวงแขนสงบลง

“ที่ฉันพานายออกมา  ก็เพราะไม่อยากทำให้นายเดือดร้อนต่างหากล่ะ เด็กโง่ นายมีปัญหากับพ่อเพราะฉันใช่ไหม? ฉันไม่อยากให้นายมีเรื่องกับชาคิลเพราะฉันอีกหรอกนะ”

“จริงเหรอ? จริงนะ...เรฟรักทเวนที่สุดเลย”

“เฮ้ย...เรฟ อย่า มันหนัก...อะ...”

ความรู้สึกคล้ายมีของเหลวเย็นจัดไหลผ่านลำคอทำให้เขาชะงักนิ่งไปครู่

ชายหนุ่มดันจาเรฟออกให้พ้นตัวแล้วลุกนั่งอย่างไม่ไว้ใจ

“เมื่อกี้นายเอาอะไรให้ฉันกิน?”

ยังไม่ทันได้รับคำตอบ  แขนขาและเนื้อตัวพลันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนแม้กระทั่งจะนั่งตัวตรงยังทำไม่ได้ ชายหนุ่มมองสภาพของตัวเองที่พยายามยันกายลุกจากฟูกนุ่มอย่างสับสน

“เป็นเด็กดีนะฮะ ทเวน แล้วผมจะเอ็นดูอย่างดีเลย”

เสียงปีศาจตัวน้อยที่ดังผ่านเข้ามาในความมึนงง เป็นเสมือนถังน้ำเย็นจัดที่ราดรดลงบนหัวช่วยปลุกตื่นทเวนจากห้วงภวังค์แห่งความตระหนก   ซึ่งต้องแลกมาด้วยภาพผ้าไหมปริศนาซึ่งห้อยโยงลงมาจากเพดานห้อง

ดวงตาคมกริบจับจ้องผ้าผืนยาวในมือจาเรฟอย่างหวาดกลัว ระคนระแวง

แล้วทเวนก็แทบร้องเสียงหลงเมื่อมือทั้งสองข้างถูกรวบยกขึ้น   ผ้าไหมลื่นเย็นเส้นนั้นมัดข้อมืออย่างแน่นหนาชนิดที่ว่าปมจะไม่มีวันเลื่อนหลุดแน่นอน

“ปละ...ปล่อยนะเว้ย! จาเรฟ เล่นอะไรบ้าๆ!”

ขาสองข้างซึ่งสั่นระริกด้วยฤทธิ์ยาลึกลับของจาเรฟพยายามตะเกียกตะกาย    ลุกขึ้นยืนเพื่อปลดปมผ้า  หากความหวังที่จะทำเช่นนั้นได้ช่างริบหรี่

ท้ายที่สุด  เขาก็ต้องทิ้งตัวกลับลงมานั่งหมดแรงเช่นเดิม

อากัปกิริยาทั้งหมดนั้นช่างน่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาของจาเรฟผู้ที่ยามนี้หยิบผ้าสีดำยาวออกมาจากใต้หมอน

“ไม่ต้องอายหรอกฮะทเวน เดี๋ยวนานๆไปก็ชินเองล่ะ”

“ชินบ้านแกสิวะ ไอ้เด็กบ้านี่! ...โอ๊ะ”

จู่ๆภาพตรงหน้าก็มืดสนิทในพริบตา  แรงกระชากรัดจากด้านหลังและเสียงผ้าเสียดสีทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ ชายหนุ่มระเบิดเสียงตอบโต้ทันควัน

“เฮ้ย! เอาผ้าออกเดี๋ยวนี้นะเรฟ”

เขาพยายามสลัดศีรษะให้ผ้าหลุด แต่ก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อถูกคุมเชิงอยู่ข้างหลัง

เพียงครู่เดียว ฉากสีดำสนิทก็บดบังทัศนียภาพทั้งหมดของทเวนลงอย่างสิ้นเชิง

“ไอ้เรฟ! ถ้าแกไม่เอาผ้าออกฉันจะเกลียด...”

ยังไม่ทันจบคำดีเลยด้วยซ้ำตอนที่ลิ้นอุ่นกวาดควานเข้ามาในปาก ซ้ำยังไล้ลากไปตามแนวฟันราวจะยั่วเย้า

และโดยที่ริมฝีปากยังแนบชิดกันถึงเพียงนั้น จาเรฟเอ่ยกระซิบท้าทายแผ่วเบา

“ถ้าเกลียดเรฟจริง ก็กัดปากเรฟคืนสิฮะ”

“...ใครจะทำ...”

ทเวนหันหน้าหนี เผยซอกคอขาวให้ตกเป็นเป้าโจมตีไปโดยปริยาย และผู้รุกรานก็ไม่รีรอเลยที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้อย่างเต็มอกเต็มใจ จาเรฟกดจมูกลงบนผิวกายหอมกรุ่น ขณะที่มือซุกซนเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างช่ำชอง

แต่อะไรก็ไม่เลวร้ายเท่ากับการที่ต้องมาคอยฟังคำพูดชวนเสียอารมณ์อยู่ข้างหูดังในเวลานี้หรอก

“ทำไมวันนี้ทเวนมีอารมณ์ง่ายจัง เอ๋...หรือว่าทเวนเป็นพวกมาโซน้า?”

เสียงหัวเราะฮิฮะกวนประสาทที่ได้ยินดับอารมณ์กรุ่นเพลิงปรารถนาไปแทบสิ้น

ชายหนุ่มกัดฟันแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงอย่างสุดความสามารถ...เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะจูงเขาเข้ารกเข้าพงอีกตามเคย

“ฮึ! ใจร้าย ผมแค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง ทำเป็นโกรธกันอีกละ”

แว่วเสียงตัดพ้อดังมาจากที่ไกลๆ พร้อมกับสัมผัสฟูกยวบยุบลงจากข้างหลัง

นั่นละ คนไม่มีอารมณ์ขันถึงกับสติจะขาดออกมารอมร่อ

ไอ้เด็กตอแหล!

วาจาอันร้อนแรงในอกจบลง พร้อมกับความรู้สึกเย็นวาบไล่ลามตั้งแต่ต้นขามาจนถึงเอว ก่อนถูกไอร้อนจากผิวกายใครบางคนที่อิงแอบเข้ามากลบหายไปจนหมด

ท่ามกลางความมืดมิด  ทเวนรับรู้ถึงความแข็งชูชันที่จ่อแนบเข้ามาตรงช่องทางคับแคบ สัมผัสร้อนระอุและแรงบดอันมหาศาลบอกชัดเจนว่าบัดนี้จาเรฟพร้อมแล้ว

“ไม่นะ เรฟ ฉันยังไม่พร้อม...”

“ไม่ต้องกลัวหรอกฮะ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวเลย”   ว่าแล้ว เด็กหนุ่มก็ดันกายผ่านกลีบทางนุ่มเข้าไปในตัวทเวน โดยไม่คิดฟังเสียงร้องห้ามของเขาเลยแม้แต่น้อย

“หยะ...อ๊า....อื้อ...”

แม้จะมองไม่เห็น หากความใหญ่คับแน่นกับแรงกระแทกมหาศาลนั้นราวจะฉีกทึ้งร่างของชายหนุ่มออกเป็นเสี่ยงๆ มือสองข้างตะกายไขว่คว้าจับผ้าไว้แน่นเหมือนเป็นที่พึ่งสุดท้าย ขณะที่เขาต้องตกเป็นเครื่องรองรับอารมณ์ของจาเรฟอย่างเต็มรูปแบบ

“เรฟ! ช้า...ช้าๆ...มันเจ็บ”

“ผมรักทเวนนะฮะ จะไม่ยกทเวนให้ใครเด็ดขาด”

จาเรฟยอมคลายปมผ้าออกอย่างง่ายดาย แล้วรับร่างอ่อนระทวยไว้ในอ้อมแขน แต่เพราะยังเด็กเกินไป ผลสุดท้ายคือทั้งตัวเองและทเวนต่างล้มลงไปนอนกองบนฟูกด้วยกันทั้งคู่

“โอ๊ย!”

“ทเวน ไม่เป็นไรนะ”

“เจ็บ...”

ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองความชอกช้ำที่เกิดจากฝีมือตนแล้วนิ่งไปนาน

ในที่สุดจาเรฟก็ตัดสินใจกระทำในสิ่งที่ทเวนงงงวยเป็นที่สุด  เมื่อจู่ๆเขาก็ถอนกายออกทั้งที่ยังทำกันไปได้แค่ครึ่งๆกลางๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“ทเวนอยาก...เปลี่ยนกับผมไหมครับ ...ถึงเรฟจะรังเกียจที่ต้องอยู่ใต้ใคร แต่ถ้าเป็นทเวน...เรฟคิดว่า...คงไม่เป็นไร”

ยิ่งฟัง สีหน้าของทเวนก็ยิ่งแสดงถึงความตื่นตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ   แต่สิ่งหนึ่งที่จาเรฟไม่รู้เลยก็คือ นับแต่ได้ยินได้ฟังถ้อยคำทั้งหมดนั้น หัวใจของชายหนุ่มก็พองฟูไปด้วยความสุขล้น

กระนั้นถ้อยคำที่หลุดออกจากปากกลับมีแต่ความเย็นชา

“ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะฉันน่ะ เกลียดการถูกผู้ชายกอดที่สุด”

ทเวนมองสีหน้าสลดของอีกฝ่ายแล้วยิ้มนิดๆ เขาดึงจาเรฟมาใกล้  และกระซิบด้วยเสียงนุ่มนวล

“...แต่ถ้าเป็นนาย...ฉันก็คิดว่า...คงไม่เป็นไร”

นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างละม้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนร่างเล็กจะโถมเข้าใส่ชายหนุ่มจนล้มไปนอนกลิ้งด้วยกันบนเตียง พร่ำพูดไม่หยุดปาก

“ผมรักทเวนที่สุดเลย จริงๆนะ ต่อให้ท่านพ่อไม่ยอมก็ไม่เป็นไร พวกเราหนีไปอยู่ด้วยกันที่เมืองนอกก็ได้  เรฟจะทำงานเลี้ยงทเวน  จะทำให้ทเวนเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลกเลย สาบานฮะ”

“อย่าสาบานพร่ำเพรื่อสิเรฟ ถึงตอนนั้นนายจะทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”

“แต่เรฟจะทำให้ได้จริงๆนะ สัญญาด้วยก็ได้...”

คำพูดที่เหลืออยู่ถูกกลืนหายไปในลำคอ  เมื่อมือเรียวยกปิดริมฝีปากที่พูดจาไร้สาระอย่างคาดโทษ

“ถ้ายังพูดอะไรแบบนี้อีก ฉันจะไม่ให้จูบแล้วนะ”

“โอ๊ย...อย่านะฮะ”

จาเรฟหัวเราะร่า ก่อนชะโงกหน้าจูบทเวนเป็นการตัดบท

ทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนช่วงเวลาอันหอมหวานให้แก่กันอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย

หากมีอยู่ชั่วเสี้ยวนาทีหนึ่ง ที่ทเวนนึกสงสัยนักว่า...เพราะเหตุใดเขาจึงต่อว่าคำ

สาบานของจาเรฟเช่นนั้น

แล้วชายหนุ่มก็ได้รับคำตอบในวินาทีถัดมานั่นเอง

...ถ้าถึงตอนนั้นจริงนะเรฟ นายคงทำให้ฉันมีความสุขที่สุดไม่ได้จริงๆนั่นละ

เพราะว่าแค่การที่ได้อยู่กับนายแบบนี้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้วน่ะสิ







แสงอาทิตย์สุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว เงาแสงตะเกียงนวลตาส่องกระทบไปยังบนบานหน้าต่าง สะท้อนลงสู่ร่างสองร่างที่นอนอิงแอบกันอยู่บนเตียงสี่เสา

จาเรฟไล้ปลายนิ้วไปตามสันจมูกโด่งและริมฝีปากหยักสวยด้วยความรักสุดหัวใจ  ผู้ชายที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง และภาคภูมิใจในตัวเองอย่างทเวนยินยอมเปิดใจให้เขาแล้ว

...เพียงแค่คิด จาเรฟก็รู้สึกเหมือนตัวจะลอยได้

แต่ความสุขของเด็กหนุ่มกลับถูกเสียงเคาะประตูหน้าห้องขัดจังหวะลงอย่างน่าเสียดาย

ก๊อกๆ – “คุณหนูจาเรฟครับ”

รอยยิ้มบนใบหน้าชืดชาลงทันควันที่จดจำเสียงนั้นได้ จาเรฟลุกขึ้นแต่งตัวแล้วเดินไปเปิดประตูรับหน้าอีกฝ่าย

“...มีอะไร”

ชายร่างสูงใหญ่ผิวสีคล้ำค้อมกายลงอย่างมีมารยาท ก่อนรายงานตามหน้าที่

“นายท่านให้ผมมาตามคุณหนูครับ”

“ท่านพ่อเหรอ?”

จาเรฟจับลูกบิดค้างไว้  ขณะหันกลับมามองคนรักคล้ายกำลังไตร่ตรองบางสิ่ง  นัยน์ตาสีฟ้าใสกวาดมองร่างสูงบนเตียงเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันไปพยักหน้าอนุญาตผู้ติดตามให้ปิดประตูลง ก่อนจากไปอย่างเงียบๆ

ลับร่างคนทั้งสอง ห้องที่สว่างไสวด้วยแสงเทียนวับวามก็ตกอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้ง

ในความเงียบนั้นเอง ประตูที่เคยปิดสนิทกลับเริ่มเปิดแง้มออกช้าๆ

ศีรษะที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมสีดำสนิทโผล่ออกมาจากบานไม้เป็นส่วนแรก

ดวงตาเฉี่ยวคมตวัดมองสำรวจจนแน่ใจว่าไม่เหลือใครในห้องนั้นอีก จึงก้าวเข้ามาข้างใน โดยไม่ลืมที่จะล็อคประตูให้เรียบร้อย

อย่างเงียบกริบ ชาคิลเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียง มองจ้องใบหน้าคมสันยามหลับสนิทด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ทั้งยังใช้สายตาเช่นเดียวกันนี้มองไล่ลงมาจนถึงผ้าห่มบนร่างตรงหน้า

เด็กหนุ่มค่อยๆเลื่อนผ้าห่มผืนบางออกแผ่วเบา เผยให้เห็นรอยจ้ำแดงมากมายบนเรือนกายขาวสะอาด โดยเฉพาะบริเวณยอดอกสีสวยสองข้างที่กำลังสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ดวงตาคู่นั้นยังมองไล่เรื่อยมาจนถึงรอยจูบบนต้นขาด้านในเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชายผู้นี้มีเสน่ห์ไปทั้งตัว แม้กระทั่งเขาที่คิดว่าตัวเองไม่ชอบเพศเดียวกันยังไม่นึกรังเกียจกับเรือนร่างเปลือยเปล่าตรงหน้านี้แม้แต่นิดเดียว

ชาคิลคุกเข่าลงบนฟูก ส่งให้เตียงฝั่งนั้นยุบยวบลง กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมารับรู้สิ่งใดทั้งสิ้น แผ่นอกที่ขยับขึ้นลงสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเขาหลับสนิท

มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าคมราวรูปสลักเชื่องช้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มวาววับ

“ฉันขอรับคนของแกไปล่ะนะ จาเรฟ”


​--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
๑๑


หลายวันหลายคืนที่ผ่านพ้น ตลอดเวลาที่คล้ายตกอยู่ในห้วงฝัน...แสนเจ็บปวดและอ่อนล้า   เอ็ดเวิร์ดรับรู้เพียงว่าในชีวิตของเขามีหญิงสาวคนหนึ่งคอยเป็นห่วงดูแล อยู่ข้างกายเสมอ

“ตื่นแล้วหรือคะ เอ็ดเวิร์ด”

“อืม...”   เขาตอบเสียงแห้ง พยายามเพ่งสายตามองใบหน้าของผู้ดูแลให้ชัดๆ

“...ไอ...รีน...”

“ค่ะ ฉันเอง”   หล่อนจัดผ้าห่มให้เขาอย่างอ่อนโยน ยิ้มหวาน

“คุณนอนซมไข้อยู่ตั้งสองวัน พักต่ออีกนิดดีกว่านะคะ”

หญิงสาวกระวีกระวาดลุกไปเปิดผ้าม่าน  แล้วยกถาดใส่ผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดตัว  ให้อย่างเอาใจ  ดวงตาสีน้ำตาลคอยชำเลืองมองใบหน้าคมสันเป็นครั้งคราวด้วยความเป็นห่วง

“...ไอรีนครับ”

“คะ?”   พร้อมกับที่ตอบ ไอรีนหันมาสบตาเขาเป็นเชิงถาม

แววตาของชายหนุ่มทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นแรงขึ้นทันใด แต่กระนั้นหล่อน ก็ยังตีหน้าซื่อถามกลับ   “มีอะไรคะ เอ็ดเวิร์ด”

ยิ่งเห็นทีท่าอึกอักนั่นมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้หล่อนลอบยิ้มในใจมากขึ้นเท่านั้นละ

“คือผม...”   เอ็ดเวิร์ดเม้มปากแน่นเหมือนอยากสาปแช่งประโยคที่ตนเองจะพูดออกมาไม่มีผิด

“ผมอยากคุยกับ‘เขา’ครับ”

“อ๋อ...”   ไอรีนแสร้งลากเสียงยาว หากในใจแทบลุกขึ้นมาตีลังกาสามตลบ

การตัดสินใจของเอ็ดเวิร์ดมาเร็วกว่าที่คิด! แต่ไม่ถือว่าเร็วไปสำหรับแผนของหล่อนเลยสักนิดเดียว...ไม่เลย ติดจะช้าเกินไปเสียด้วยซ้ำ

หญิงสาวคลี่ยิ้ม พยักหน้าตกลง







ไอรีนไม่ได้ออกมาตามแม็กเกลทันทีดังที่รับปากเอ็ดเวิร์ดไว้ หล่อนแวะไปเอากระเป๋าเดินทางใบเล็กกับหมวกแก๊ปสีดำปักชื่อนักร้องวงโปรดจากห้องนอนของตัวเอง ก่อนเดินเฉิดฉายไปยังห้องที่อยู่ลึกที่สุดในคฤหาสน์  ผลักประตูเข้าไปด้วยท่วงท่าของนางพญาราวกับว่าสถานที่นี้คือบ้านของหล่อนก็ไม่ปาน

“วันหลังหัดเคาะประตูเสียบ้างนะ คุณผู้หญิง”

น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังสวนกลับมาส่งให้หญิงสาวเหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียม...ปากดีก็ได้แค่ตอนนี้แหละค่ะแม็กเกล คุณเตรียมตัวจมลงสู่ก้นเหวแห่งอเวจีได้เลย

“หืม...แปลกนะ วันนี้เธอไม่ได้จะมาเทศน์ฉันหรอกรึ ไอรีน”

แม็กเกลเงยหน้าขึ้นจากกระดาษ แล้วพอเห็นสภาพเพื่อนสาว ก็ชะงักกึก

“ฉันมาลาคุณค่ะ”   หล่อนบอกราบเรียบ แต่เชิดหน้าจิกตาใส่เขาคล้ายจะเยาะ

คนฟังผุดลุกขึ้นยืนหน้าตาตื่นทันที

“เธอว่าอะไรนะ?”

“ฉันมาลาคุณค่ะ สองวันที่ผ่านมาฉันคอยเฝ้าไข้ให้เอ็ดเวิร์ดจนไม่มีเวลาปลีกตัวไปทำอย่างอื่นเลย  ฉันเหลือเวลาค้นหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ให้สตีฟอีกแค่ห้าวันเท่านั้น...หวังว่าคุณคงเข้าใจ”

“แล้ว...เอ็ดเวิร์ด...”

“อ้าว! ใครทำคนนั้นก็รับผิดชอบเองสิ”   บอกปัดความรับผิดชอบแล้ว หล่อนจึงสะพายกระเป๋าขึ้นหลังแล้วเดินออกไปอย่างมาดมั่น  แต่ก่อนที่จะก้าวพ้นประตูห้อง หญิงสาวก็หันกลับมาบอกแม็กเกลเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า

“อ้อ...เอ็ดเวิร์ดเพิ่งฟื้นเมื่อครู่นี้เอง เขาถามหาคุณด้วยนะแม็กเกล...อ่อนโยนให้มากเข้าไว้ล่ะ ถ้าคุณไม่อยากสูญเสียเขาไปตลอดกาล”







รอจนไอรีนจากไป แม็กเกลเก็บกระดาษเอกสารทั้งหมดเข้าลิ้นชัก และสาวเท้ากลับไปยังห้องนอน

เขาหยุดยืนเรียบเรียงความคิดที่หน้าประตูอยู่อีกอึดใจหนึ่ง ก่อนเคาะเบาๆ

...ไม่มีเสียงตอบ...แน่ล่ะ

แม็กเกลจับลูกบิด เปิดประตูเข้าไป

เอ็ดเวิร์ดนอนมองตรงมาทางนี้อยู่ก่อนแล้ว และเมื่อเห็นว่าผู้เข้ามาคือใคร ทีท่าผ่อนคลายในคราวแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นระแวงระวังทันที อัยการหนุ่มพยายามพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง และถอยให้ห่างจากชายหน้าบากให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เห็นไอรีนบอกว่าอยากเจอ... มีอะไรหรือเปล่า”

แม็กเกลเป็นฝ่ายเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน

คนถูกถามเกือบปฏิเสธ ถ้าไม่บังเอิญปะทะสายตาเข้ากับนัยน์ตาสีมรกตดุคมที่จ้องมองมาดุจจะเป็นห่วงคู่นั้นเข้า ชายหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำรู้สึกเหมือนถูกค้อนทุบศีรษะ คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นสายตาเดียวกันนี้จากที่ไหนสักแห่ง แต่ความทรงจำตอนนั้นช่างรัวรางเหลือเกิน

สิ่งที่จดจำได้มีเพียงเลือด ความเจ็บปวด และความเสียใจ

ซึ่งมักเกิดขึ้นทุกครั้งที่อยู่ใกล้ชายผู้นี้

เอ็ดเวิร์ดสูดลมหายใจเข้าลึกยาว รู้สึกผิวหน้าเริ่มร้อนวูบ และอาจ ‘ร้อน’ ไปทั้งตัวถ้าหากแม็กเกลยังจ้องนิ่งๆแบบนี้ไปอีกสักครึ่งวินาที ดังนั้นจึงรีบบอกความต้องการออกมาก่อน

“อยากพบ...พี่ชายคนนั้นอีกครั้ง”

สีหน้าอ่อนโยนกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันใด  “จะไปอยากเจอมันอีกทำไม!”

พูดไปแล้ว ชายร่างสูงใหญ่ก็ดูเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าเสียงคำรามปานกัมปนาทของตนจะทำให้เรื่องบานปลายกว่าเดิม ดังนั้นประโยคต่อมาจึงนุ่มขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่ที่นี่แหละ”

“แต่ว่า...”

“บอกว่าไม่ก็ไม่สิ!”

ได้ผล...ในทางตรงข้าม  เมื่อเอ็ดเวิร์ดผงะหนีอย่างหวาดกลัว  แทนที่จะหุบปากตามคำสั่งเหมือนทุกครั้ง

“เดี๋ยว จะไปไหน”   มือหยาบยื่นคว้าต้นแขนข้างหนึ่งของคนเจ็บ  แล้วเหวี่ยงลงบนเตียง ก่อนตามขึ้นคร่อมทับ กดแขนผู้อ่อนวัยกว่าติดฟูก

“...อย่า...ไม่นะ...”   อัยการหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำวิงวอนน้ำตาคลอเบ้า

เหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนยังติดตรึงอยู่ในความทรงจำมาจนทุกวันนี้

หากสิ่งที่เลวร้ายกว่าพลันบังเกิดเมื่อริมฝีปากร้อนแห้งผากกัดกระชากชุดนอนของเขาจนกระดุมขาดออก เผยให้เห็นแผ่นอกแบนราบสีขาวเต็มไปด้วยรอยราคีกำลังกระเพื่อมไหวหนักหน่วง

ใจเจ็บร้าวและปวดแปลบทุกครั้งอย่างห้ามไม่ได้เวลาที่ต้องอยู่ตามลำพังกับ...ปีศาจเลือดเย็น ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้

แม็กเกลเองก็รู้สึกไม่แตกต่างกันมากนัก  ร่องรอยที่เกิดขึ้นจากฝีมือของตนคือตราบาปที่ไม่อาจลบเลือน...รู้ดีว่าผิดคำพูดกับแมทธิว ซายส์ไปแล้ว และสักวันอาจต้องสูญเสียคนในอ้อมกอดไปตลอดกาล

เขาทำเอ็ดเวิร์ดร้องไห้...นับครั้งไม่ถ้วนจริงๆ

และความอ่อนโยนอย่างที่ไอรีนบอก  เขาก็ไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิต

“ตรงนี้...เจ็บหรือ”

ลิ้นอุ่นลากผ่านยอดอกแดงช้ำ ส่งให้ร่างเบื้องใต้แอ่นกายสะดุ้งจนสุดตัว

...ใช่สินะ โดนทั้งกัด ทั้งขบ ขย้ำ ถึงขนาดนั้นเลยนี่นา

“วันนี้จะไม่ทำอะไร...แค่อยากดูแผลเฉยๆ”

พร้อมกับบอก แม็กเกลเอนกายลงนอนเคียงข้าง แล้วรวบเอวชายหนุ่มเข้ามาให้ร่างของพวกเขาแนบชิดกัน ราวจะแบ่งไออุ่นให้

ตอนแรกเอ็ดเวิร์ดยังพยายามขืนตัวออกห่าง แต่เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าไม่ได้ทำอะไรเกินเลยตามที่บอกไว้จริงๆจึงยอมนอนนิ่งแต่โดยดี และเพียงไม่นานก็หลับสนิทไปในอ้อมอกของคนที่เขาเกลียดกลัวที่สุดในชีวิต

แม็กเกลนอนมองเพดานห้องด้วยความรู้สึกที่หลากหลายปนเปกันในอก  หัวใจ

เต้นระริกด้วยความรัก ปวดร้าวไปทั้งตัวด้วยความปรารถนา ความทรมานอัดอั้นตันใจยังคงไม่จางหายไปโดยง่ายดาย  แต่เพียงแค่หันไปมองใบหน้ายามหลับของเอ็ดเวิร์ด  จิตใจของคนที่ขึ้นชื่อว่าปีศาจก็กลับปลอดโปร่งขึ้นอย่างน่าประหลาด มันเกิดขึ้นพร้อมกับความสงบที่ไม่เคยคิดว่าจะพบเจอมาก่อนในชีวิต

...เพียงได้ชิดใกล้ แลกไออุ่นกันและกัน

เนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่แม่ของเขาเคยร้องคลอให้ฟังเมื่อนานแสนนานมาแล้ว

...ความรักผลิบานในหัวใจ ดั่งสายลมโชยชื่น ฉันคือเงาแห่งรักของเธอ

“เงาแห่งรัก...อย่างนั้นหรือ?”

ตอนนั้นเองที่ร่างสูงโปร่งเบียดแนบกายเข้าหา จนสุดท้ายปล่อยให้ศีรษะขึ้นมาเกยบนแผ่นอกของชายหน้าบาก แล้วหลับต่ออย่างสบายใจ  ใบหน้าเปี่ยมสุขยามหลับของเอ็ดเวิร์ดดูงดงามจนเขาไม่กล้าหายใจแรง ได้แต่นอนตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงเป็นเบาะรองนอนให้เงียบๆเท่านั้น

...นี่เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ คนอย่างแม็กเกล เดอะ สการ์เฟสไม่มีทางที่จะลดตัวลงมาทำเรื่องน่าอดสูแบบนี้เด็ดขาด!

เสียงลมหายใจผ่อนเป็นจังหวะสม่ำเสมอทำให้ชายหน้าบากหยุดพาลความคิด แล้วก้มมองภาพตรงหน้าอย่างลืมตัว

คิ้วเรียว จมูกโด่งเป็นสันได้รูป แพขนตายาวบนเปลือกตาที่หลับพริ้ม เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนเคลียกรอบใบหน้าคมเกลี้ยงเกลาแลดูอ่อนเยาว์

จ้องมองอยู่นานทีเดียว...นานจนเริ่มรู้สึกตัวว่าจินตนาการกำลังจะพาเขาเตลิดไปไกลเกินกว่าจะห้ามใจตัวเอง แม็กเกลรีบหันหน้าหนีจากภาพแสนดื่มด่ำในหัวใจนั้น

...ช่างเถอะ แค่วันนี้เท่านั้น ที่เขาจะยอมอ่อนข้อให้

บอกตัวเองแล้วก็ผ่อนลมหายใจออกมายาว

ทั้งที่แน่ใจว่าเขาไม่ได้ง่วง แต่การนอนนิ่งๆบนเตียงฟังเสียงลมหายใจ กอปรกับไออุ่นของร่างในอ้อมกอด แม็กเกลก็จมดิ่งสู่นิทรารมณ์ไปในไม่ช้านาน







เช้าตื่นลืมตา ความรู้สึกแรกช่างแสนสบาย แผลที่ขมับทุเลา อาการปวดศีรษะก็

ไม่มีเหลืออีกแล้ว เอ็ดเวิร์ดยังคงนอนนิ่งอยู่ในความอุ่นสบายนั้นอีกครู่หนึ่ง เกือบผล็อยหลับต่ออีกสักรอบ หากไม่มีเสียงถอนหายใจช้าๆ และริมฝีปากที่แนบประทับลงมาบนหน้าผาก เรียกให้เหลียวมองหาแหล่งกำเนิดของสองสิ่งนั้น

...ชายรูปร่างสูงใหญ่ที่นอนแนบชิด และกำลังบดเบียดคางสากระคายลงกับผิวแก้มเขาคนนี้นี่ละ คือที่มาของความอุ่นสบายในตอนแรก

ที่นอนยุบยวบลงเล็กน้อยยามใครคนนั้นพลิกกายนอนตะแคงให้ไออุ่นจากผิวกายห่อหุ้มร่างชายหนุ่มเอาไว้ เฉกเช่นเดียวกับท่อนแขนข้างหนึ่งที่ยังคงพาดอยู่บนเอว แสดงความเป็นเจ้าของชัดเจน

เอ็ดเวิร์ดค่อยๆขยับตัวจะลุกหนี แต่ถูกมือข้างนั้นเหนี่ยวรั้งเอาไว้เหมือนรู้เท่าทัน

“จะรีบไปไหน ยังเช้าอยู่เลย”

ไม่พูดเปล่า หากดวงตาสีมรกตยังลืมขึ้นมองอย่างมีคำถาม

“...เปล่า”  ...อย่างไม่รู้จะตอบอะไรที่ดีไปกว่านั้น

“เอ็ดเวิร์ด”   แม็กเกลร้องเรียกเสียงอ่อน แสงสว่างพร่าพรายยามเช้าสาดจับเต็มใบหน้าคร้ามคม แลเห็นวี่แววเสน่หาแสนหวานลึกซึ้งสุดหัวใจ

“อย่าคิดหนีไปจากฉันเด็ดขาดเลยนะ”

ห้วนสั้นผิดกับสุ้มเสียงที่ใช้นัก มันเต็มไปด้วยความหวานไม่แพ้สายตาคู่นั้นเลย

ชายตรงหน้าจะรู้ตัวบ้างไหมนะ ว่าท่าทีของเขาในยามนี้เป็นเช่นไร

พลันที่ถามตัวเองเช่นนั้นแล้ว  เอ็ดเวิร์ดก็รับรู้ถึงอาการไหวยะเยือกในหัวใจเมื่อถูกริมฝีปากแนบชิดลงมาบนผิวแก้ม ลมหายใจอุ่นรินรดยิ่งทำให้รู้สึกร้อนรุ่มจนแทบเบือนหน้าหนี

“อย่าเงียบสิครับคนดี”

คนดี!

ชายหนุ่มอุทานลั่นในใจ หันกลับไปมองคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

ภาพตรงหน้าคือคนที่อยู่ในห้วงนิทรารมณ์อันแสนสุขกำลังขยับร่าง  เปลี่ยนท่านอนให้สบาย แล้วหลับต่อ

...ทีท่าทั้งหมด ทั้งคำพูดและสายตาอันร้อนแรงนั่น เพราะนอนละเมอหรือนี่!

เอ็ดเวิร์ดนิ่งค้างไปด้วยความอึ้งในคราวแรก  หากเมื่อตั้งตัวติด  ก็รีบลุกหนีมาอย่างหงุดหงิดเสียเต็มประดา มิไยเลยว่าตนเองจะทำเสียงดังสักแค่ไหน







กะอีแค่นอนละเมอแค่นั้น แล้วทำไมเขาถึงต้องโมโหขนาดนี้ด้วยเล่า!

ในห้วงหัวใจคล้ายถูกพายุโหมกระหน่ำ ชายหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำไม่เข้าใจคำถามนั้นของตัวเอง และยิ่งไม่เข้าใจความร้าวลึกในอกยามนี้ เกือบเหวี่ยงบานประตูปิดใส่ดังลั่นแล้วด้วยซ้ำ ทว่ายังหักห้ามตัวเองได้ทัน

ดังนั้น  หลังใส่เสื้อผ้าชุดใหม่แบบส่งๆเสร็จ  เอ็ดเวิร์ดก็พาตัวเองลงมายังชั้นล่างอย่างเงียบกริบ พลางเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความแปลกใจ

ไม่มีใครอยู่เลยสักคน ราวกับทุกคนจงใจหลบหน้าหลบตาเขา พากันหลีกลี้หนีหน้าไปเสียหมด

ช่างสิ ใครสนกันล่ะ...บอกตัวเองเช่นนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มออกเดินสำรวจคฤหาสน์ที่ทั้งใหญ่ทั้งกว้างแห่งนี้   หวังเพียงว่าอาจนึกคุ้นหรือพอมีหนทางใดที่จะช่วยให้ความทรงจำฟื้นคืนกลับมาได้บ้าง

เดินวนไปวนมาอย่างไร้จุดหมาย  ในที่สุดเอ็ดเวิร์ดก็พบตัวเองยืนอยู่หน้าห้องที่ลั่นกลอนปิดสนิท มันตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของคฤหาสน์ ถูกแวดล้อมด้วยความเงียบงันดุจรอคอยให้ใครสักคนมาค้นพบ

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าภายในห้องมีการแบ่งสัดส่วนไว้อย่างเป็นระเบียบ และที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นชั้นหนังสือที่เรียงรายต่อกันเป็นทิวแถว ติดกันคือโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ซึ่งมีเอกสารจัดแยกกองไว้เรียบร้อย เอ็ดเวิร์ดค่อยๆเดินเลียบชั้นหนังสือไปอย่างช้าๆ ไล่สายตาไปตามปกสันด้วยความสนใจ

...วรรณกรรม ปรัชญา จิตวิทยา และอีกหลากหลายแขนงเท่าที่คิดออก หนังสือทุกเล่มยังคงสะอาดหมดจดเหมือนถูกหยิบมาใช้งานบ่อยครั้ง  บางเล่มยังมีกระดาษสอดคั่นหน้าเอาไว้อีกด้วย...

ทว่ายังไม่ทันละสายตา ซองเอกสารก็ร่วงตุ้บสู่พื้นยามมือปัดไปโดนโดยมิตั้งใจ  ชายหนุ่มเดินไปก้มเก็บ ตัวอักษรเด่นชัดอยู่ตรงหัวกระดาษ







เบียทริซ โรจส์ฟอล

ทันใดนั้น ราวกับมีพลังบางอย่างกระแทกเข้าใส่ศีรษะ เอ็ดเวิร์ดหลับตาลงด้วยความทรมาน ทรุดลงคล้ายมิอาจต้านทานไหว ชายหนุ่มเอื้อมมือจับหนังสือบนชั้นเอาไว้เป็นหลัก ผลคือทั้งคนและหนังสือพากันร่วงหล่นลงสู่พื้นพรมอย่างไร้แรงต่อต้าน

ภาพต่างๆพรั่งพรูขึ้นมาในห้วงความคิดรวดเร็วเสมือนมีคลื่นสาดซัด ดุจสายลม ที่พัดกระหน่ำเกินกว่าจะทัดทาน ความหวาดหวั่นที่จิตใต้สำนึกเพียรกดข่มไว้ในก้นบึ้งลึกสุดของหัวใจพลันระเบิดออกมาในคราวเดียวกัน!

...ฉันให้แกเลือก...ว่าจะเอาอ้อมกอดของยมฑูต หรืออ้อมกอดของปีศาจ...

รูปถ่ายนับสิบปลิวกระจัดกระจายออกมาจากหน้าหนังสือ ขณะที่เขาได้แต่เบิกตาโพลงด้วยความตื่นตะลึงยามเห็นภาพเหล่านั้นชัดเจน

...ฉันต้องการขนาดนี้แล้ว ยังจะปฏิเสธอีกหรือ เอ็ดเวิร์ด...

เอ็ดเวิร์ดหันไปคว้าซองเอกสารมาถือไว้แน่น แล้วหยิบแผ่นกระดาษออกมาด้วยมืออันสั่นเทา

...หมอนี่...เป็นของฉัน...

ชายหนุ่มก้มอ่านลายมือหวัดๆบนหน้ากระดาษนั้นจนจบ ความเจ็บปวดยิ่งกว่าการถูกคนทั้งโลกหันหลังให้ก็ถาโถมเข้าใส่จนแทบคุมสติไม่อยู่

...นั่นคือส่วนหนึ่งของ ‘อดีต’ ระหว่างเขากับชายผู้นั้นอย่างนั้นหรือ

คำตอบคือความเงียบ   มีเพียงสายตาจากภาพถ่ายกระจัดกระจายบนพื้นจ้องมองกลับมาราวจะประณามเย้ยหยัน...

“มาเพ่นพ่านอยู่ที่นี่เอง”

เอ็ดเวิร์ดสะดุ้ง    ใจทั้งดวงสะท้านไหวยามมือหยาบกร้านเอื้อมมาจากข้างหลังยื้อแย่งแผ่นกระดาษจากไปจากมือเขาอย่างง่ายดาย  ริมฝีปากบดเบียดปิดประทับลงบนท้ายทอยก่อนกัดขย้ำเบาๆแทนคำสั่งสอนในความดื้อซนของชายหนุ่ม

แล้วความร้อนรุ่มแสนวาบหวานก็มาแทนที่เมื่อฝ่ามือรุกรานเลื่อนไล้ผ่านเนื้อผ้าขึ้นมาตามหน้าท้อง

“ปล่อย...”   เอ็ดเวิร์ดวิงวอนเสียงสั่น แต่กลับถูกกัดเข้าตรงซอกคอหอมกรุ่น

“อย่าครับ...พี่”

อ้อมแขนบังคับคลายลงไปมากทีเดียวยามได้ยินคำนั้น

ดวงตาสีมรกตวาวจ้าดุจมีกองไฟลุกโชนอยู่ข้างในยามพี่ชายร่วมมารดาลุกยืนเต็มความสูง จ้องมองเขาไม่วางตา

อะไรบางอย่างในดวงตาคู่นั้นบอกความนัยออกมาอย่างซื่อสัตย์ เป็นความรู้สึกอันรุนแรงและเปิดเผย ทว่าแสนเศร้า

...อย่าหนีไปจากฉันอีกแล้วนะ เอ็ดเวิร์ด...

คำสั่งแสนหวาน...หวนกลับมาพร้อมกับความทรงจำอันแสนเจ็บปวด

ประกายไฟที่แทรกผ่านเข้ามาในร่าง   ลิ่มเลือดอุ่นที่อาบย้อม  กับสติที่ขาดหายท่ามกลางความหวาดกลัว

ในความเงียบ เอ็ดเวิร์ดค่อยๆทรงกายลุกขึ้น เอ่ยถามคล้ายไม่แน่ใจ

“ผมกับคุณ...เราเป็นพี่น้องกัน...ใช่ไหม”

แม้ว่าขณะถาม เขาจะไม่สบตาแม็กเกลเลยก็ตาม

“พี่เกลียดผม...ขนาดนั้นเลยหรือครับ”

...ขนาดยอมแลกซึ่งทุกสิ่งอย่าง เพียงเพื่อความย่อยยับพังพินาศของชีวิตผม

“ไม่ใช่!”

เสียงตอบเกรี้ยวกราดดังขึ้นพร้อมแรงผลักบนบ่าสองข้างที่ไล่ต้อนเขาให้จนมุม

เอ็ดเวิร์ดร้องลั่นด้วยความเจ็บเมื่อแผ่นหลังกระแทกเข้ากับชั้นไม้ เปิดโอกาสให้แม็กเกลปิดปากตามลงมา ขโมยจูบหอมหวานรสเลือดอย่างกระหายหิว

“อือ...อื้อ... !”

...ไม่นะ ชายหนุ่มครางปากคอสั่นเมื่อถูกร่างสูงตามเบียดชิดจนหายใจไม่ออก

แต่แม็กเกลไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น จู่ๆเขาก็หยุดบทสวาทร้อนแรงลงเพียงแค่ครึ่งทาง

“อย่าร้องไห้”   ตอนที่บอก ยังยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเบาๆเหมือนปลอบ ก่อนเสยผมให้พ้นใบหน้า แล้วฝากจูบลงกับหน้าผากเกลี้ยงมน

“...อย่าร้องไห้สิ ฉันยังไม่อยากให้หมอนั่นเอาตัวแกไปจากฉันนะ”

เขาดุ พร้อมกับรวบกอดร่างสูงโปร่งเข้าไว้ในอ้อมอกอย่างอ่อนโยน

นานเท่านาน  กระทั่งคิดว่าคนในวงแขนพร้อมสำหรับการหันหน้าเข้าเปิดใจคุยกันแล้ว แม็กเกลจึงเอ่ยถามว่า

“พอจะจำอะไรได้บ้างหรือยัง?”

กับคำถามนี้ ชายหนุ่มนิ่งไปเป็นนาน ก่อนตอบอึกอัก

“...นึกออกแค่บางเรื่องเท่านั้นครับ...แล้วมันก็ลางเลือนเหลือเกิน”

โกหก เอ็ดเวิร์ดได้ยินเสียงต่อว่าตัวเองลั่นในใจ

‘ไม่ใช่แค่’ แต่เป็น ‘กว่าครึ่ง’ ต่างหาก แม้ว่ายังขาดหายไปเป็นบางส่วน แต่เมื่อปะติดปะต่อเป็นภาพรวมแล้วก็นับได้ว่า เอ็ดเวิร์ดคนเดิมกลับคืนมาแล้ว

เห็นแม็กเกลทำท่าเหมือนไม่อยากเชื่อ  แต่ในที่สุดก็ปล่อยให้คำพูดนั้นผ่านหูไป ชายหน้าบากพาเอ็ดเวิร์ดออกไปจากห้องโดยไม่คิดเก็บภาพถ่ายหรือเอกสารบนพื้น  เลยแม้แต่นิดเดียว

ตลอดระยะทางที่เดินไปยังห้องอาหาร  มือใหญ่ก็ยังจับจูบมือของผู้อ่อนวัยกว่าไว้แน่น คล้ายกลัวว่าเขาจะหายตัวไปอีก

หยุด! พอได้แล้ว  อย่าอ่อนโยนมากไปกว่านี้เลย

เอ็ดเวิร์ดบอกเสียงกร้าวในอก คิดสลัดมือข้างนั้นทิ้งแล้วเดินแซงหน้าขึ้นไปอย่างไม่ใยดีน้ำใจที่อีกฝ่ายมอบให้  แต่ทั้งหมดที่ทำได้กลับเป็นแค่การบีบกระชับมือจนแน่น นึกสับสนนักแล้วว่า เหตุใดเขาจึงต้องปิดบังความจริงข้อนี้กับแม็กเกลด้วย

ทางเดียวที่จะรู้คือต้องค้นหาคำตอบให้แก่หัวใจตัวเองให้ได้ก่อน ว่าแท้ที่จริงแล้วความรู้สึกของเขาที่มีต่อแม็กเกล เดอะ สการ์เฟสเป็นเช่นไร

นั่นละ ความยากอยู่ตรงนี้ ถ้าค้นพบคำตอบแล้ว เอ็ดเวิร์ดก็ยังไม่รู้ว่าควรลงมือทำสิ่งใดต่อไป

เหนืออื่นใด เขากลัวคำตอบจากหัวใจตัวเองนัก


(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)


สัมผัสแผ่วเบาจั๊กกะจี๋บริเวณต้นคอมันช่างชวนรำคาญใจเสียจริง   ทเวนครางหนักๆพลางพลิกกายหลบ นึกต่อว่าคนทำอยู่ในใจ หากคราวนี้กลับแตกต่างจากปกติตรงที่ไม่มีเสียงออดอ้อนหวานหูให้ได้ยิน แม้แต่สัมผัสยามแตะต้องเนื้อตัวยังดูไม่มั่นใจถึงเพียงนั้น

นี่ใช่จาเรฟเด็กดื้อคนนั้นจริงๆหรือ...ถามตัวเองแล้ว เปลือกตาปิดสนิทก็ลืมขึ้น ก่อนพบว่าความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนั้นไม่ได้มาจากจาเรฟ

“เฮ้ย จะทำอะไรวะ”

ไวเท่าความคิด  ร่างสูงเบี่ยงกายหนีพร้อมดึงผ้าห่มขึ้นปิดเรือนร่างเปลือยเปล่าของตัวเองทันที

ชาคิลยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ท่าเดิม หัวเราะแผ่วเบาด้วยความถูกใจ

“มีรอยแดงขึ้นเต็มตัวเลย สงสัยนายจะน่ากินจริงๆนั่นแหละ”

ทเวนกระชับผ้าห่มในมือแน่นเข้าโดยอัตโนมัติ   “เห็นไปหมดแล้ว...สินะ”

“ใช่ ตรงนั้นก็ด้วย ท่าทางจะช้ำน่าดู นายไม่เจ็บหรือ”

“ไม่...”   ตอบโต้ได้แค่นั้น ใบหน้าคมสันก็เรื่อสีจัดเมื่อเริ่มรู้สึกว่ามีน้ำขาวขุ่นไหลออกมาจากส่วนที่ชาคิลถามถึง ทเวนกัดฟันเค้นเสียงไล่ด้วยความขุ่นแค้นปนอับอาย

“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายไม่ใช่รึไง มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย”

อัยการหนุ่มพยายามใช้ถ้อยคำที่สุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน

ชาคิลมองกลับมาด้วยสายตาเรียบนิ่งจนยากจะอ่านใจออก

“นายรักเจ้าเด็กสกปรกนั่นมากเลยหรือไง ถึงขนาดยอมให้กอด”

“นายว่าใครเป็นเด็กสกปรก”

ทเวนย้อนเสียงฉุน แต่ชาคิลไม่สนใจ

“ฉันพูดแล้วจะทำไม ...ใช่ซิ ก็นายได้เสียกับมันแล้วนี่ ก็ต้องปกป้อง...”

มือใหญ่คว้าร่างเจ้าเด็กปากเสียกดลงบนเตียงอย่างแรง  ก่อนตามขึ้นคร่อมหมายจะต่อยหน้าให้สาสมกับความขุ่นเคืองใจนัก แต่ทั้งหมดที่ทำลงไปกลับเป็นเพียงแค่การบีบหัวไหล่อีกฝ่ายจนได้ยินเสียงคราง ทเวนจ้องหน้าชาคิลนิ่ง ตาลุกวาว







“อย่า...มายุ่งกับพวกฉัน”

สิ้นคำ ประตูห้องพลันถูกไขออกอย่างเร็ว แล้วบุคคลที่ถูกพาดพิงถึงก็ก้าวเข้ามา

อย่างเดือดๆ

“ชาคิล!  แกกล้าดียังไงส่งคนมาหลอกฉัน...”

เสียงกัมปนาทในตอนแรกกลายเป็นเงียบสนิท เมื่อเห็นสภาพของคนรักกับคู่อริบนเตียงเต็มสองตา

“...เรฟ คือ...นี่ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ คือ...”

ทเวนรีบออกตัวอึกอัก ผละจากชาคิลเหมือนจับเหล็กร้อน แต่สีหน้าเย็นชาของเด็กหนุ่มคนรักทำให้เขาตัดสินใจเงียบลง

ได้ยินจาเรฟพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ชาคิล แกไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย”

เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์วุ่นวายเริ่มจะบานปลายมากไปกว่าที่คิด คนถูกไล่จึงยอมทำตามคำสั่งอย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกว่ามีส่วนรับผิดชอบในความเข้าใจผิดคราวนี้อยู่ดี

“นายกำลังเข้าใจผิด จาเรฟ”

“ไปตายซะ”

จาเรฟตอบอย่างหัวเสีย แล้วรีบปิดประตูลงกลอนอย่างกระแทกกระทั้น

ระหว่างเดินมาที่เตียงก็ยังอดไม่ได้ที่จะเตะแจกันราคาหลายล้านเหรียญแตกกระจัดกระจาย

“มีอะไรจะแก้ตัวหรือเปล่าฮะ”

...คำพูดงั้นหรือ มีมากมายจนคร้านที่จะเอ่ยถึง แต่ด้วยความที่รู้ว่าในยามนี้พูดสิ่งใดออกไป เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยากที่จะรับฟังและเข้าใจ ดังนั้นทเวนจึงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม

“ทำไมไม่พูดอะไรบ้างเลยล่ะ ไหนทเวนบอกเรฟเองนี่ว่า...ว่า...”

ท้ายประโยคคือการกลืนก้อนเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น  ก่อนจาเรฟจะผลักร่างสูงลงนอนบนเตียงแล้วสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางคับแคบนั้น

เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มกดลงกับหมอนด้วยความเจ็บ    แต่กลับไม่มีเสียงร้องห้ามหรือการท้วงติงเลยแม้สักนิดเดียว

“ถ้าไม่ห้าม ผมจะทำต่อนะ”   จาเรฟว่าเสียงเครือ

ทเวนยังคงเงียบดุจเดิม  มีเพียงประกายพราวระยับในดวงตาที่มองสบสานบ่งบอกความถวิลหาอย่างไม่รู้จบสิ้น คือความเสน่หาที่เต็มไปด้วยความผิดบาปในใจของชายหนุ่มผู้เป็นที่รัก ขณะริมฝีปากหยักสวยเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา

“ฉันไม่มีอะไรกับชาคิลจริงๆ เชื่อฉันได้ไหม...เรฟ”

“เชื่อ...เชื่อสิฮะ ถ้าไม่เชื่อทเวนแล้วผมจะไปเชื่อใครล่ะ”

แก่นกายอุ่นระอุเริ่มแทรกผ่านเข้ามาในทางนุ่มแคบ  เบิกหนทางที่มีจาเรฟเพียงคนเดียวที่รู้จัก

ทเวนเอื้อมมือปาดน้ำตาบนใบหน้างดงามของคนรักให้อย่างอ่อนโยน

“ถ้าอย่างนั้นก็เลิกร้องไห้ได้แล้ว”

‘อย่า...มายุ่งกับพวกฉัน’

ถ้อยคำราบเรียบแต่เอาจริงนั่นทำให้เขาล้มเลิกความตั้งใจเดิมได้ชะงัดจริงๆ

ชาคิลนึกอยากหัวเราะความอ่อนแอของตัวเองเหลือเกิน  ทว่ายังมิใช่เวลานี้... เขามีบางสิ่งบางอย่างที่ควรทำให้สำเร็จก่อน

ทางเดินหินอ่อนกว้างขวางยิ่งวังเวงเมื่อไม่มีใครอยู่ในละแวกนั้นเลย  แต่แล้วความเงียบสงัดกลับถูกกลบด้วยเสียงพูดคุยแผ่วเบาที่ดังลอดออกมาจากห้องแห่งหนึ่ง

เด็กหนุ่มเหลียวมองหา สะดุดสายตาเข้ากับบานประตูที่เปิดแง้มไว้โดยไม่ตั้งใจ

กว่าจะรู้ตัว เขาก็ไปยืนชิดอยู่หลังประตูบานนั้นแล้ว

“ขอโทษนะลีเด็น ที่ผมดูแลคุณดีกว่านี้ไม่ได้...คุณควรได้รับความรักมากกว่านี้”

เสียงแรกที่ได้ยินคือเอเฟ็ทอย่างไม่ต้องสงสัย

ชาคิลเขม้นมองผ่านรูเล็กๆตรงประตูเข้าไป   แลเห็นบิดานั่งเอนหลังอยู่บนเบาะกำมะหยี่ตัวใหญ่ อิงแอบอยู่กับสตรีสวมอบายาสีดำ ซึ่งยามนี้ถอดผ้าคลุมศีรษะออก เผยใบหน้าสวยเด่นดุจร่างจำแลงของนางสวรรค์

หญิงสาวผู้งดงามคลี่ยิ้มหวาน แล้วเอนศีรษะซบแขนสามีไว้อย่างรักใคร่

“อย่าโทษตัวเองสิคะเอเฟ็ท ตัวฉันเองต่างหากที่เลือกทางสายนี้  พี่หญิงบาฮิจา

กับพี่หญิงฟาอิรัสดีกับฉันมาก ส่วนพี่หญิงลาติฟาห์นั้น หล่อนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร...”

“ลีเด็น! ป่านนี้แล้วคุณยังคิดจะปกป้องนังงูพิษลาติฟาห์อยู่อีกหรือ? ทั้งที่คุณเกือบตายเพราะหล่อนมาตั้งหลายครั้งแล้วนะ ทำไมไม่รู้จักจำบ้างเลย ที่รัก”

ความกรุ่นโกรธในน้ำเสียงของเอเฟ็ททำหัวใจจาเรฟกระตุกวาบ

...แม่? นอกจากก่นด่าสาปแช่งท่านหญิงลีเด็นกับร้องไห้ตัดพ้อท่านพ่อปานใจจะขาด แม่ทำอะไร...

“เอเฟ็ทคะ...”   ลีเด็นพยายามร้องห้าม แต่ถูกเอเฟ็ทกระชับกอด แล้วซบหน้าลงบนกลุ่มผมหอมกรุ่น ท่าทีเช่นนั้นเขาไม่เคยกระทำต่อลาติฟาห์เลยสักครั้งเดียว

“ลีเด็น คุณอย่าห้ามผม แค่ทุกวันนี้ผมปล่อยให้ยัยผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นนั่งชูคอเป็นภรรยาลำดับสามอยู่เหนือคุณ ผมก็แทบจะอกแตกตายอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นท่านพ่อบังคับ  ยังไงผมก็ไม่มีทางรับนางงูพิษตัวนี้มาไว้ข้างกายหรอก  นี่ยังเรื่องที่หล่อนลักลอบเป็นชู้กับน้องชายผม...เจ้าบาซิมนั่นอีกเล่า  โอ...สิ่งศักดิ์สิทธิ์บนโลกนี้เป็นพยานเถิด ผมไม่เคยร่วมเตียงนอนกับลาติฟาห์เลยด้วยซ้ำ”

ราวถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่หน้า ชาคิลเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

...หมายความว่าไง ถ้าท่านพ่อไม่เคยนอนกับท่านแม่...แล้วเขา...มายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน

‘นี่ยังเรื่องที่หล่อนลับลอบเป็นชู้กับน้องชายผม...เจ้าบาซิมนั่นอีกเล่า’

ชาคิลยกมืออันสั่นเทาปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ภาพเบื้องหน้าดุจถูกม่านน้ำตาบดบังจนมองไม่ชัด เสียงของคนทั้งสองคล้ายห่างไกลออกไปทุกที เด็กหนุ่มเดินโซซัดโซเซพาหัวใจอันบอบช้ำหนีออกมาจากประตูบานนั้นได้อย่างไรยังไม่รู้ จะเดินไปทางไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าสองเท้าจะพาเขาไปถึงที่ใดได้

โชคร้ายที่ชาคิลเดินไปชนเข้ากับคนคนหนึ่ง กลิ่นแอลกอฮอล์จากร่างสูงใหญ่ราวกำแพงฉุนคลุ้งจนต้องเบือนหน้าหนี

“ขอโทษ”

ไม่มีกะจิตกะใจจะมองดูว่าใครเป็นใครอีกแล้ว  สิ่งเดียวที่ต้องการคือสถานที่สักแห่งที่เงียบพอจะให้เขาได้สงบจิตใจและคิดอะไรคนเดียว

ทว่าคู่กรณีดูจะไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น มือหยาบกร้านเกรียมแดดคว้าหมับเข้าที่ต้นแขน แล้วบีบแน่น

“เดี๋ยวสิ แกจะไปไหนชาคิล ไม่อยู่คุยกับพี่คนนี้ก่อนล่ะ”

“...บารากัต”

บุตรคนที่สอง ผู้เกิดจากภรรยาคนที่สองของเอเฟ็ท

“ไม่ ปล่อยฉัน”   เด็กหนุ่มพยายามสลัดมือแข็งแรงออก

ประจวบเหมาะกับอีกฝ่ายเห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเขาเข้า

“แกร้องไห้...ร้องทำไม?”

“อย่ามายุ่ง”

ความจริงแล้ว ถ้าหากเลี่ยงได้  ชาคิลไม่ค่อยอยากเสวนากับบารากัตเท่าใดนัก ด้วยความที่พี่ชายคนนี้ขึ้นชื่อนักหนาเรื่องความเสเพลเหลวแหลก จนทุกคนคาดว่าจะถูกตัดออกจากกองมรดกของเอเฟ็ทในไม่ช้า

“หึ แกมาได้ถูกเวลาจริงๆ รู้ตัวหรือเปล่า”

จู่ๆบารากัตก็พูดส่อความหมายที่ชาคิลไม่เข้าใจ   ก่อนดึงร่างเด็กหนุ่มเข้าไปในซอกแคบของตึกแล้วเบียดแนบชิดจนหายใจไม่ออก

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มตวัดมองใบหน้าเข้มเกรียมแดดอย่างงุนงง กลิ่นเหล้าและกลิ่นเหงื่อยิ่งเข้มข้นมากขึ้นยามร่างสูงหนาราวกำแพงทาบทับเข้ามาเช่นนี้

ก่อนจะทันรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อจิลบาถูกถลกขึ้นจนเห็นเรียวขาเนียนสวยสีน้ำผึ้ง ชาคิลแทบร้องไม่เป็นภาษา  แต่กลับถูกมือหยาบเอื้อมมือปิดปากไว้ มันทำให้เขาอึดอัดจนหายใจไม่ออก

วินาทีต่อมา สิ่งที่รับรู้คือถูกจับหันหน้าเข้าหากำแพง ก่อนความเจ็บปวดราวร่างถูกบดขยี้จนแหลกสลายจะถาโถมเข้าใส่จนแทบสิ้นสติ

“อื้อ!!”

กลิ่นสาบเหล้าและเหงื่อลอยอะอวลติดจมูกไม่ห่างหาย เด็กหนุ่มตะเกียกตะกายอยู่ในอ้อมกอดที่ห่อหุ้มร่างของตนเอาไว้จนมิดอย่างสิ้นหวัง รับรู้ถึงหยาดโลหิตไหลย้อมลงมาตามเรียวขา ทำนบน้ำตาแห่งความรวดร้าวพังทลาย...







“เดี๋ยวผมไปหาน้ำชาหวานๆเย็นๆมาให้นะฮะ”

จาเรฟออเซาะเอาอกเอาใจเป็นการใหญ่หลังจากรู้ความจริงทั้งหมดจากทเวน

เด็กหนุ่มจูบแก้มเขาเป็นค่ามัดจำก่อนเดินออกจากห้องไปอย่างมีความสุข

หากเมื่อพ้นร่างจาเรฟไป  ใบหน้าเปื้อนยิ้มของอัยการหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด ทเวนใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งกดระหว่างหัวคิ้วอย่างคิดหนัก

เรื่องงานนี่ไม่ต้องสงสัย ทเวน เทมส์ถูกไล่ออกไปแล้วแน่ๆ  แล้วยังเรื่องของจาเรฟที่ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร ยังมีปัญหาที่คิดไม่ตกของเอ็ดเวิร์ดอีก ป่านนี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรบ้าง ความทรงจำจะกลับคืนมาหรือยัง

ตอนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังกังวานไปทั่วห้อง และทเวนจดจำได้ทันทีว่านี่แหละ คือโทรศัพท์ที่ถูกจาเรฟยึดไป

แทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ แม้ว่าเบอร์ที่ปรากฎบนหน้าจอจะเป็นเบอร์ที่ไม่รู้จัก เขากดรับด้วยความคุ้นเคย  “ฮัลโหล ทเวนพูดครับ...”  แล้วนิ่งฟัง

คนปลายสายตอบกลับมาอีกไม่กี่คำ ทเวนก็ยิ้มกว้าง

“กำลังคิดถึงนายอยู่พอดีเลย...ว่าแต่ว่า ความจำกลับมาแล้วสินะ เอ็ดเวิร์ด”

จาเรฟเดินฮัมเพลงพลางอุ้มผ้าเช็ดตัวผืนโปรดกับชามะนาวเย็นแก้วใหญ่  ออกมาจากห้องครัวอย่างอารมณ์ดี ใจจริงนึกอยากเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น แต่การทำเช่นนั้นอาจทำให้ชาเย็นแสนมีค่าแก้วนี้หกไปก็ได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงใช้วิธีเดินเร็วๆแทน

เหลือแค่เลี้ยวทางข้างหน้าอีกนิดก็จะถึงห้องอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่บังเอิญว่าจะไปประสานงาเข้ากับคนที่โผล่พรวดออกมาจากมุมตึกเข้าเสียก่อน!

“เฮ้ย!”   เด็กหนุ่มร้องลั่นเมื่อแก้วชากระเด็นหลุดจากมือ

เพล้ง! เสียงเครื่องแก้วแตกก้องกังวานใสราวเสียงดนตรี

จาเรฟแทบคลั่งเมื่อรู้ว่าบริการพิเศษของเขาจะไม่มีวันไปถึงมือทเวน ดวงหน้าเล็กสะบัดเงยขึ้นมองอย่างเอาเรื่อง ก่อนนิ่งอั้น ยามมองเห็นสภาพของคู่กรณีชัดเจน

“...ชาคิล...”

ด้วยความอึ้ง  และไม่รู้จะทำสิ่งใดที่ดีไปกว่านั้น เจ้าของดวงตาสีฟ้าใสกวาดตา

มองพี่ชายต่างมารดาหลายครั้งซ้ำๆกันราวจะให้แน่ใจว่าเขามิได้ตาฝาดไปเอง

ไม่มีอีกแล้ว...คุณชายชาคิลผู้สูงศักดิ์คนนั้น

ภายใต้ชุดจิลบาฉีกขาดนั่นคือเรียวขาที่แปดเปื้อนไปด้วยรอยราคีชัดเจน

สภาพของคนตรงหน้าแทบไม่พ้นคำว่า ‘ถูกข่มขืนยับ’ เลยแม้แต่นิดเดียว

พลันที่คำนั้นชัดเจนขึ้นมาในใจ จาเรฟก็ก้มลงเช็ดหยดเลือดตามท่อนขาของอีกฝ่ายโดยไม่ถามไถ่อะไรอีก

“อย่า...อย่า... นั่นผ้าของนาย...”   เสียงพร่าโหยร้องห้าม

“ใครสนกันล่ะ!”   เด็กหนุ่มบอกอย่างโกรธจัด

พอเช็ดไล่ขึ้นไปถึงต้นขาด้านใน จึงค่อยเห็นว่าบริเวณนั้นเต็มไปด้วยรอยฟันและรอยช้ำมากมายนับไม่ถ้วน...ไม่รู้ว่าชาคิลต้องพบเจออะไรมาบ้าง แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอนละ

“...ขอโทษ...แต่...ได้โปรด...ช่วยฉันที....ขอโทษ...”

ยิ่งเห็นชาคิลพูดสลับไปมาเหมือนคนเสียสติ  จาเรฟก็น้ำตาคลอเบ้า เด็กหนุ่มเก็บผ้าเช็ดตัวเปื้อนเลือด แล้วจูงแขนพี่ชายให้ตามมาโดยไม่รอถามความเห็น

“ไปหลบที่ห้องฉันก่อน  เมื่อกี้เสียงแก้วแตกต้องมีใครได้ยินแน่  นายคงไม่อยากให้ใครเห็นตัวเองในสภาพนี้หรอกใช่ไหม”

ไม่มีคำตอบ  นอกจากแรงบีบเบาๆจากมือที่เกาะกุมมือจาเรฟแทนคำขอบคุณ







ทเวนเพิ่งวางสายไปได้ไม่ทันไร  ก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับมาที่ห้อง เรียกรอยยิ้มขันปนอ่อนใจจากชายหนุ่มได้ไม่น้อยเลย  แต่แล้วความไม่ชอบมาพากลก็เริ่มเกิดขึ้นเมื่อเขาคิดว่าได้ยินเสียงฝีเท้ามากกว่าหนึ่งคน****

ไม่ผิดไปจากที่สงสัยเลยสักนิด เมื่อจาเรฟเปิดประตูออกพร้อมจับจูงชาคิลเข้ามา สีหน้าสีตาของเด็กทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งสิ้นหวังและหวาดกลัว อีกคนเจ็บปวดและโกรธแค้น

“เกิดอะไรขึ้น?”

ถามออกไปแล้ว ทเวนก็ต้องอ้าแขนออกไปรับร่างของเด็กหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งไว้

...ตัวร้อนจี๋ราวกับไฟ

“...จาเรฟ...ขอโทษนะ...ขอโทษ...สำหรับทุกอย่าง...”

ชาคิลเอาแต่ขอโทษไม่หยุด หยาดน้ำตาจากดวงตาคู่งามหยดลงบนฟูกชื้นเป็นด่างดวง

“จาเรฟ...ที่จริงแล้วฉันน่ะ...ไม่ใช่ลูกของท่านพ่อหรอก ฉันแอบได้ยินท่านพ่อคุยกับท่านหญิงลีเด็น...เรื่องที่ว่าท่านแม่เป็นชู้กับท่านอาบาซิม...”

กล่าวถึงตรงนี้  เจ้าตัวกลั้นสะอื้น หันหน้าหนี

“...ฉันเกลียดนาย เพราะคิดว่านายกับท่านหญิงลีเด็นแย่งความรักของท่านพ่อไป...แต่ไม่ใช่เลย  พวกฉันต่างหาก...ที่เป็นฝ่ายผิดมาตั้งแต่แรก ฉันขอโทษ...”

“เอาล่ะ...พอก่อนชาคิล ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”   จาเรฟรีบยกมือห้าม “เพื่อความสบายใจของนาย...ฉันจะบอกให้ฟังนะว่า ที่จริงฉันเองก็ไม่ได้เกลียดนายมากอย่างที่แสดงออกหรอก พวกเราก็แค่ทะเลาะกันแบบเด็กๆเท่านั้นละ”

เขามองพี่ชายอย่างอ่อนโยน พลางเหลือบตามองคนรัก

“ทเวนฮะ ฝากดูแลชาคิลด้วยนะ...พอดีเรฟมีธุระที่ต้องไปสะสางนิดหน่อย”

เด็กหนุ่มตัดบทคำพูดใดๆต่อจากนั้นด้วยการเดินออกไปทันที่พูดจบ







จาเรฟจากไปนานแล้ว เหลือชายต่างวัยสองคนในห้อง ทเวนพับแขนเสื้อขึ้นก่อนจุ่มผ้าในน้ำบิดหมาด วางลงบนหน้าผากเกลี้ยงมนให้แผ่วเบา

“อย่า...ไม่...”

ชาคิลเพ้อด้วยพิษไข้ตลอดเวลา  นานครั้งจึงจะเอ่ยชื่อไม่คุ้นหูออกมาบ้าง แต่ที่ได้ยินมากสุดคงเป็น ‘บารากัต’

...ชายหนุ่มไล่สายตาไปตามผ้าพันแผลบนร่างเด็กหนุ่ม ข้างใต้นั้นเต็มไปด้วยร่องรอยต่างๆนานา

บ่งบอกว่าผู้สร้างรอยแผลเหล่านี้ขึ้นมา...ป่าเถื่อนสิ้นดี

ทเวนถอนใจออกมายาว แผนเดินทางกลับคงต้องมีการเลื่อนออกไปอีกแน่นอน


​--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
๑๒


ตะวันแรกแห่งฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นสาดไล้ลงบนผิวกายอย่างอ่อนโยน ผืนหญ้าและไม้พันธุ์นานาชนิดเริ่มผลิดอกออกใบเป็นสีสันละลานตา เสมือนสัญญาณที่บ่งบอก ว่าฤดูกาลอันหนาวเหน็บได้ผ่านพ้นไปแล้ว  เอ็ดเวิร์ดเดินเหยียบย่ำไปตามทางหินกรวด เหลียวมองความเปลี่ยนแปลงรอบตัวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

...เวลาล่วงเลยมาขนาดนี้แล้วหรือ

แม้ว่าอากาศรอบกายจะยังเย็นอยู่บ้าง แต่ก็มิได้หนาวโหดร้ายทารุณอีกต่อไป

เขาไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ

ถามตัวเองเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มก็หลับตาลง ปล่อยให้ความคิดคำนึงเมื่อเช้าหวนคืนกลับมาสู่ความทรงจำอีกครั้ง... เสียเหลี่ยมเสียคมไปหน่อยนึงแล้วล่ะ  ใกล้เคียงจนเรียกได้ว่าเกือบเสียท่าแล้วด้วยซ้ำไป   ถ้าหากไม่ฉุดรั้งตัวเองเอาไว้ได้ในวินาทีสุดท้าย  ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้ออกมาข้างนอกดังที่กระทำอยู่ในยามนี้หรือเปล่า

เอ็ดเวิร์ดล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง...มีธนบัตรปึกใหญ่กับโทรศัพท์มือถืออีกหนึ่งเครื่อง...เขาเดินต่อมาจนสุดทางโรยกรวดหิน ประตูเล็กข้างรั้วถูกเปิดทิ้งไว้ สิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องนอกคืออิสรภาพ

อีกครั้ง...หรือครั้งที่เท่าไร...ก็มิอาจทราบได้  ที่ดวงตาสีเทาอ่อนเบนกลับไปยังคฤหาสน์หลังงาม

“...ลาก่อน”

มือข้างที่กำโทรศัพท์อยู่พลันบีบแน่น ไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องรั้งอยู่ที่นี่อีก  ในเมื่อตัวเขาได้เลือกทางเดินของตัวเองแล้วนี่...ใช่ไหม แม็กเกล

...ใช่ไหม...พี่ชาย

ชายหนุ่มสะบัดหน้ากลับมา ก่อนเร่งฝีเท้าไปยังประตูอย่างแน่วแน่





การจากไปของเอ็ดเวิร์ดตกอยู่ในสายตาคู่หนึ่งตลอดเวลา

หญิงสาวยืนกอดอก  พิงกรอบหน้าต่างตรงห้องทำงานชั้นสองอย่างเงียบเชียบ ราวรูปปั้นสลักงดงาม กระทั่งเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากสายตา เรือนร่างโปร่งระหงจึงค่อยเคลื่อนย้ายกลับมายืนเคียงข้างบุรุษร่างสูงผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังสัตว์ราคาแพง เอื้อมมือไปวางบนบ่ากว้างดุจต้องการให้รู้ว่าเขามิได้อยู่เพียงลำพัง หากเขายังมีหล่อนอยู่ หล่อน...เพื่อนผู้แสนซื่อสัตย์ พร้อมที่จะคิดและช่วยเหลือลงมือลงแรงทำทุกอย่างเท่าที่จะกระทำได้

ประการแรก ก็คือการให้คำแนะนำที่ถูกที่ควรนั่นละ

“แม็กเกล คุณจะปล่อยไปจริงๆหรือ”

ยินเสียงถอนใจแรง คล้ายว่าเขาพยายามระงับคลื่นอารมณ์บางอย่างที่เริ่มปะทุขึ้นมาอย่างยากเย็น หากหญิงสาวยังไม่ยอมหักใจโดยง่ายนัก

“คุณตามไปตอนนี้ยังทันนะ”

“ช่างเถอะ  เงินกับโทรศัพท์นั่น...ของฉัน   ฉันเปิดทางให้เลือก...แล้วหมอนั่นก็เลือกแล้ว...”   ปลายเสียงทุ้มเบาลง ก่อนกลายเป็นเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“ฉันอ่านสรุปข้อมูลที่เธอไปหามาหมดแล้วนะ”

ไอรีนขมวดคิ้ว  เกือบตามคำพูดไม่ทัน หากหล่อนยังฉลาดพอที่จะรู้ว่า นี่คือการบอกอ้อมๆของแม็กเกลให้หยุดหัวข้อสนทนาของเอ็ดเวิร์ด  ดังนั้นเสียงหวานใสจึงตอบกลับในเรื่องเดียวกันกับที่คู่สนทนาปรารถนาจะได้ยิน

“ถ้าอย่างนั้น คุณก็รู้แล้วว่าสตีฟไม่ได้ทรยศคุณ”

“ใช่”

“จงสังหารคนรักคนแรกของแม็กเกลซะ สอนให้ลูกชายไร้หัวใจคนนี้ให้มันรู้จักกับคำว่า‘สูญเสีย’ซะบ้าง...ช่างเป็นคำสั่งที่น่ากลัวจริงๆนะคะ สำหรับคนที่เรียกตัวเองว่าพ่อ”

ไอรีนหมายถึงบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วของแม็กเกล เดอะ สการ์เฟส...ไม่มีใครล่วงรู้ความในใจของมหาบุรุษผู้นั้นว่า นอกจากการสั่งสอนแม็กเกลแล้ว เขายังมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ในใจอีกหรือไม่  แต่สำหรับสตีฟที่เป็นคนรับคำสั่งมาโดยตรง ท้ายที่สุดก็ไม่อาจหักใจฆ่าเอ็ดเวิร์ดลง จึงยิงเบี่ยงวิถีกระสุนไปนิด หวังให้เรื่องราวที่เหลือขึ้นอยู่กับโชคชะตา...  การตัดสินใจเช่นนี้เอง ที่ทำให้เปลวเทียนแห่งชีวิตของเอ็ดเวิร์ด โรจส์ฟอลยังสว่างไสวโชติช่วงชัชวาลย์

ดวงตาสีน้ำตาลจับจ้องไปยังใบหน้าคมสันคล้ายจะบอกเป็นนัยว่าการเดิมพันครั้งนี้หล่อนคือผู้ชนะ  สายตาเช่นนั้นส่งให้แม็กเกลขมวดคิ้วหน้าเข้มเครียด แล้วรีบเอ่ยไล่ก่อนจะถูกสายตาประณามโจมตีซ้ำ

“เอ้า! กุญแจ...สตีฟมันอยู่ชั้นใต้ดิน ไปจัดการเอาเอง”

กุญแจสีเงินถูกโยนใส่มือเพื่อนสาวที่ยิ้มรับด้วยความยินดี

เมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ไอรีนก็ไม่รอช้า หันปรี่ไปยังประตูทันที

หากเดินมาได้เพียงครึ่งทาง ก็ถูกเรียกเอาไว้

“เดี๋ยว”

คำร้องทักที่ตามมาจากข้างหลังส่งให้หล่อนเหลียวไปเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม

อย่างกระดากและขัดเขิน ปีศาจหนุ่มหมุนเก้าอี้กลับไปทางหน้าต่าง หันหลังให้หญิงสาวอย่างสิ้นเชิง

“ฝากบอกสตีฟด้วยว่าขอโทษ  แล้วก็ให้มันรีบๆกลับมาเป็นมือขวาของฉันเสียที ตำแหน่งนี้ว่างมานานเกินไปแล้ว”

ได้ยินได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ไอรีนถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่ หากเมื่อจับใจความได้ มุมปากของหญิงสาวก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม หล่อนรับคำด้วยความยินดีสุดหัวใจ

“ฉันจะบอก...แน่นอนค่ะ นายท่าน”

ไม่ต้องรอให้เขาพูดซ้ำสอง ขาสองข้างก็พาไอรีนลงมายังชั้นใต้ดินของคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว

แต่ทันทีที่เหยียบย่างเข้าสู่พื้นที่คุก  เธอกลับพบว่าหนุ่มใหญ่ไม่ได้อยู่ตามลำพัง ดูเหมือนสตีฟจะมีแขกคนพิเศษมาเยี่ยมเยียนถึงหน้าห้องขังเลยทีเดียว

“เคน”   พูดไปแล้วก็ยกมือตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทัน  ไอรีนรีบเบี่ยงกายหลบเข้ามาหลังผนังหินอย่างรวดเร็ว โดยที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้ว่าทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร

ตอนนั้นเอง ที่เสียงทุ้มของคนขับรถผู้แสนเงียบขรึมดังขึ้น

“ตัดสินใจได้แล้วหรือยังครับ”

“...เคน”   เสียงแหบแห้งของสตีฟฟังดูคล้ายไม่แน่ใจ

“นายเปลี่ยนความคิดตอนนี้ยังทันนะเคน อย่าหลงผิดมากไปกว่านี้เลย”

“ไม่ครับ ต่อให้เป็นคุณ ก็เปลี่ยนความคิดของผมไม่ได้หรอก”

คำพูดที่ได้ยินส่งให้ไอรีนกลั้นหายใจโดยมิรู้ตัว

เคนทรยศ!

กระแสความคิดที่ทำให้หนาวเยือกไปทั้งหัวใจ

“ได้โปรด...สตีฟ ถือว่าเห็นแก่ผม...ไม่ต้องมีความรู้สึกใดๆเลยก็ได้ ขออีกแค่สักครั้ง...แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

“ช่างเป็นคำขอที่เห็นแก่ตัวจริงๆ”

“ขอโทษครับ แต่ผม...อื้อ...”

“เตรียมใจไว้เถอะ  ในเมื่อขอแบบไหนก็ได้ ถ้าฉันไม่อ่อนโยนก็อย่ามาบ่นทีหลังแล้วกัน”

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันส่งให้บุคคลที่สามซึ่งแอบนั่งฟังบทสนทนาอยู่รู้สึกคล้ายหมดแรงไปเสียเฉยๆ ยามคิดได้ว่าคำพูดของชายทั้งสองมันแปลกประหลาดพิกล

แต่จะแปลกแบบไหนนั้น สมองของหล่อนก็ตื้อมึนเกินกว่าจะคิดอะไรออกแล้ว

ตราบจนกระทั่งแว่วเสียงหอบหนักปนครางด้วยความขัดใจมาจากในคุกนั่นละ ใบหน้างามพลันเรื่อสีด้วยความอับอายแทนเจ้าตัว

ขนาดมีกรงเหล็กคั่นนะนี่ หล่อนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ

หญิงสาวหลับตาปี๋  ขว้างกุญแจเข้าไปแบบไม่มองหน้ามองหลัง  แล้ววิ่งจากมาแบบไม่คิดชีวิต

รู้สึกตัวอีกที ก็มาหยุดยืนหอบอยู่หน้าห้องทำงานของแม็กเกลแล้ว

ไอรีนหันรีหันขวาง ก่อนเปิดประตูพรวดเข้าไป

“แม็กเกลคะ! ฉันมีข่าวด่วน...อ้าว?”

ภายในห้องว่างเปล่า  ไอรีนมองไปรอบตัว หวังหมดใจว่าจะพบเพื่อนชายยืนอยู่ที่ไหนสักแห่งในนั้น กำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาสงสัย

แต่เสียงเครื่องยนต์ที่แว่วมาจากโรงจอดรถก็ทำให้หล่อนต้องเปลี่ยนความคิด

ในที่สุดแม็กเกลก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อการจากไปของเอ็ดเวิร์ด

เขาขับรถออกไปตามหาชายหนุ่มรูปงามคนนั้นเพียงลำพัง ตามที่หัวใจเรียกร้อง

ถ้าอย่างนั้น เรื่องของสตีฟล่ะ...จะทำเช่นไร?

นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง พรายยิ้มหวานแฝงรอยเล่ห์ก็ผุดขึ้นบนเรียวปากจิ้มลิ้ม

หล่อนเดินอ้อยอิ่งไปคุ้ยหากระดาษในลิ้นชักโต๊ะทำงาน แล้วหยิบปากกาขึ้นมาบรรจงขีดเขียนตัวอักษรลงไปด้วยเส้นสายที่เหมือนเจ้าของลายมือไม่ผิดเพี้ยน

...ว่าด้วยการย้ายห้องนอนของเคน เบลฟอร์ไปอยู่กับสตีฟ แอนเดอร์สัน...เพื่อคอยควบคุมความประพฤติและตรวจสอบความกระด้างกระเดื่องที่มีต่อเจ้านาย...

ระยะเวลา...ไม่จำกัด  ลงนามโดย...แม็กเกล

ไอรีนหยิบกระดาษขึ้นมากรีดกรายอ่านด้วยความสมใจ อยากหัวเราะให้ดังลั่นฟ้าเหลือเกิน จริงอยู่ว่า...ใครก็ไม่สมควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของคนสองคน  แต่สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่นี่เขาเรียกว่า ‘เปิดทาง’ ให้นี่นา







ระหว่างที่หญิงสาวกำลังฉลองชัยชนะอยู่ในห้อง ห่างออกไปหลายกิโลเมตร รถแท็กซี่เพิ่งจอดเทียบฟุตบาท ส่งผู้โดยสารหนุ่มลงยังถนนสายหนึ่งในย่านการค้าชื่อดัง เอ็ดเวิร์ดควักธนบัตรส่งให้คนขับตามเลขที่ขึ้นบนแผงมิเตอร์ก่อนก้าวลงจากรถ นาทีต่อมาภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ไหลหลั่งพรั่งพรูเข้าสู่สมองราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เขาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วระบายออก ปล่อยให้ภาพของเพื่อนชายผุดขึ้นมาในห้วงคำนึงเป็นอย่างสุดท้าย สีหน้าแห่งความกังวลของทเวน เทมส์ที่ทำอย่างไรก็มิอาจสลัดทิ้งไปได้

เอ็ดเวิร์ดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหมายเลขโทรออก ฟังเสียงสัญญาณอยู่ครู่ใหญ่ก็

ได้ยินเสียงตอบรับที่อยากได้ยิน ชายหนุ่มเอ่ยคำทักทายด้วยความดีใจท่วมท้น

“...ทเวน นายเป็นไงบ้าง สบายดีนะ”

‘กำลังคิดถึงนายอยู่พอดีเลย...ว่าแต่ว่า ความจำกลับมาแล้วสินะ  เอ็ดเวิร์ด’

“ก็ใช่น่ะสิ ไม่งั้นจะโทรหาได้ยังไง...ตอนนี้นายอยู่ที่ไหนหรือ”

‘เอ่อ...ที่ที่มีทะเลทราย ฉันรู้แค่นั้นแหละ’

คำตอบที่ได้ยินทำเอาใจหายวาบ พวกเขาอยู่ไกลกันเหลือเกิน

“แล้วนายจะกลับมาเมื่อไหร่ ทเวน”

เอ็ดเวิร์ดรู้สึกคิดถึงเพื่อนคนนี้เหลือเกิน ที่ผ่านมาไม่เคยมีครั้งไหนที่พวกเขาต้องแยกจากกันนานขนาดนี้มาก่อน

‘อดทนหน่อยนะ เอ็ด อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวฉันก็กลับไปหานายแล้ว’

“อืม...เออ  แต่ฉันคงต้องวางสายก่อนแล้วล่ะ  โทรข้ามประเทศมันแพงจริงๆ”

‘นั่นสิ  ลืมไปเลยนะเนี่ย’

เสียงหัวเราะจากทเวนช่วยให้เขาใจชื้นขึ้นเล็กน้อย เอ็ดเวิร์ดปั้นเสียงสดใสบอกลาแล้วตัดการติดต่อไป

กลับมาอยู่กับหัวใจดวงที่เงียบเหงาและอ้างว้างดวงเดิม  ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่บนทางเดินเท้า ทอดสายตาไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย จนปะทะเข้ากับเงาร่างคุ้นตาของใครบางคนที่ทำให้หัวใจเต้นแรง

อย่างไม่รู้ตัว ร่างสูงโปร่งเดินตามแผ่นหลังตรงสง่าไปราวกับถูกพลังบางอย่างดึงดูดเข้าหา   แต่เขาผู้นั้นก็คล้ายรับรู้ว่าถูกสะกดรอย   ฝีเท้าที่เดินอย่างสบายอารมณ์ในคราวแรกจึงเริ่มเร็วขึ้น

ในความเงียบ  เอ็ดเวิร์ดไล่ตามอีกฝ่ายสุดชีวิต จนกระทั่งออกไปสุดปลายถนน  จึงพบกับสวนสาธารณะร่มรื่นริมทะเลสาบสีเขียวมรกต...เหมือนดวงตาของใครบางคน

บ้า! จะมาคิดถึงคนใจร้ายคนนั้นทำไมตอนนี้นะ...ก่นด่าความไม่รักดีของตัวเองเสร็จ เขาก็เงยหน้าขึ้นสานสายตากับดวงตาสีน้ำตาลเจือทองพราวระยับ

“พี่แมทธิว...”

แมทธิวนั่งไขว่ห้างสบายๆอยู่บนม้านั่งสีเขียว มองตรงมาอย่างเป็นมิตร

เห็นดังนั้น ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปนั่งข้างๆ ก่อนถามอย่างสงสัย

“พี่มาที่นี่ได้ยังไงกันครับ”

“แล้วเราล่ะ มาที่นี่ได้ยังไง? ความทรงจำกลับมาเมื่อไหร่? เพราะอะไร?”

กับคำย้อนที่มาเป็นชุด เอ็ดเวิร์ดถึงกับเงียบ เลือกตอบไม่ถูก

และแล้วก็เป็นแมทธิวที่เปิดปากพูดขึ้นก่อน   “พี่มีลางสังหรณ์น่ะ ก็เลยมา”

“ลางสังหรณ์...เรื่องอะไรหรือครับ”

คราวนี้ ชายหนุ่มรูปงามยิ้มๆ เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย

“พวกเรามาเล่นเกมส์ทายใจกันดีไหม เอ็ดเวิร์ด”

คิดไปเองหรือเปล่านะว่า รอยยิ้มของแมทธิวในวันนี้มันดูร้ายกาจในแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนอย่างไรก็ไม่รู้







แม็กเกลขับรถเพียงสิบห้านาทีก็มาถึงสวนสาธารณะตรงข้ามถนนใหญ่ เงาน้ำ ที่สะท้อนเข้าตาทำให้เขาเหลียวมองไปทางทะเลสาบสีมรกตอย่างรำคาญใจ ก่อนความหงุดหงิดบนใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึงสุดระงับ!

ชายหน้าบากแตะเบรกดังเอี๊ยดลั่นถนน ภาพผู้ชายสองคนบนม้านั่งตัวเดียวกันทำให้เขาโกรธจนควันออกหู

เสียงบีบแตรไล่เป็นวรรคเป็นเวรจากรถคันข้างหลังตามมาดังสนั่น  ยิ่งทำให้เขาอารมณ์เสียหนักกว่าเดิม   แม็กเกลสับเข้าเกียร์ถอยหลังแล้วเหยียบคันเร่งจนมิด

โครม! - เสียงกันชนท้ายปะทะเข้ากับกระโปรงหน้ารถจอมกวนดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เรียกให้ทุกสายตาหันมามองกันเป็นจุดเดียว

ชายร่างสูงจากรถคันข้างหน้าเปิดประตูลงมา ก้าวช้าๆมายังรถคู่กรณี เขาเท้าแขนบนหลังคารถ ก่อนก้มมองชายแปลกหน้าที่นั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่ข้างใน

“ถ้ายังไม่เลิกสันดานแบบนี้อีก คราวหน้าแกได้เป็นผีเฝ้ารถแน่”

ไม่คิด หรือหวังเลยว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน แม็กเกลสะบัดหน้าจากมาด้วยอารมณ์ที่ยังกรุ่นไม่หายดี

“โหดชะมัดเลย สการ์เฟส”

สุ้มเสียงเย้าแหย่ที่ดังขึ้น เรียกให้หันไปมองอย่างหงุดหงิด ก่อนเขาจะยิ้มเหี้ยม

“นึกว่าใคร ที่แท้ก็‘เซอร์เซส’นี่เอง...ไม่รู้จักดูแลคนของตัวเองให้ดี ปล่อยให้มาเพ่นพ่านอยู่ได้”

‘เซอร์เซส’ เพียงแต่ยักไหล่ ก่อนพึมพำประมาณว่า  “ใครจะไปห้ามได้ล่ะ”

“แล้วพวกแกมาเตร่แถวนี้ทำไม อย่าบอกนะว่านัดกันไว้”**

เสียงทุ้มเอ่ยคาดโทษเสียเต็มประดา

“เปล่า จู่ๆแมทธิวก็อยากมาปิกนิก เลยออกมาด้วยกัน  แต่ไม่ได้นัดกับคนของนายไว้หรอกนะ”

เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว  แม็กเกลขบกรามแน่น  ถ้าไม่เห็นว่าในมืออีกฝ่ายมีตะกร้าไม้สานอยู่จริงเหมือนที่อ้างแล้วละก็ เขาต่อยมันหน้าคว่ำไปแล้ว

กิริยาของชายตรงหน้าเองก็มิอาจเล็ดลอดสายตาของเด็กหนุ่มรุ่นน้องไปได้เลย    ไคโตะถอนใจเฮือกใหญ่  อยากบอกเหลือเกินแล้วว่า เขาเองก็คิดไม่ต่างไปจากแม็กเกลนักหรอก...ใครกันจะอยากให้คนที่เรารัก ไปใกล้ชิดกับคนอื่น

แต่ปีศาจหนุ่มจะล่วงรู้ถึงความจริงข้อนี้บ้างไหม... อดีตฆาตกรหมายเลขหนึ่งแห่งเรดโซนมิอาจรู้เลย







เสียงรถชนดังสนั่นหวั่นไหวกระชากสายตาของเอ็ดเวิร์ดให้เหลียวกลับไปมองทันควัน...หากยังไม่เร็วไปกว่าเสียงพูดอย่างใจเย็นของคนข้างกายหรอกกระมัง

“ไม่ต้องไปสนใจหรอก ก็แค่รถชนธรรมดาๆนั่นล่ะ มาเข้าเรื่องของเราต่อดีกว่า เมื่อกี้ค้างไว้ตรงไหนนะ...อ้อ ใช่แล้ว ตกลงว่าแม็กเกลทำให้นายร้องไห้ไปกี่รอบแล้วล่ะ เอ็ดเวิร์ด เล่นทำให้ความทรงจำกลับมาเร็วขนาดนี้...ไม่เบาเหมือนกันนี่นา”

คนถูกถามได้แต่ก้มหน้าลงต่ำ ถ้อยคำเหล่านั้นช่างบาดลึกลงไปในใจ

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ตอบ แมทธิวจึงเปลี่ยนเป็นคำสั่งแทน

“เขยิบมานี่สิ เอ็ดเวิร์ด...เข้ามาอีก เข้ามาใกล้ๆ”

ดวงตาสีเทาอ่อนมองอย่างมีคำถาม กระนั้นก็ยังเคลื่อนกายเข้าไปนั่งจนแทบจะชิดกันตามคำสั่ง ชายหนุ่มรูปงามเปลี่ยนท่าเป็นวางแขนบนพนักพิง พาดยาวมาทางที่

เอ็ดเวิร์ดนั่งอยู่

“ยังจำได้หรือเปล่า  คำที่พี่เคยบอกไว้...จงเลือกด้วยหัวใจ  แต่อย่าให้หัวใจมาตัดสินชีวิตของเรา”

นี่สิ  ที่ทำให้เขาหันมองด้วยความสับสน หากยังไม่ทันได้ถามออกไปอย่างใจคิด มือเรียวสะอาดก็กดศีรษะของเอ็ดเวิร์ดให้ก้มหลบลงไปพร้อมกัน

ตะกร้าสานลอยลิ่วผ่านหัวชายทั้งสองไปอย่างฉิวเฉียด  ก่อนกลิ้งโคโร่ไปบนสนามหญ้า แซนวิชข้างในหกออกมากระจัดกระจาย พวกเขาหันมองไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ

แม็กเกลยืนอยู่ตรงนั้น เพลิงริษยาลุกไหม้ไปทั้งใจ ดวงตาสีมรกตวาวจ้า

“ซายส์!  แก...กล้าดียังไงมายุ่งกับคนของฉันวะ”

ชายหนุ่มรูปงามที่ถูกกล่าวหาจะสะทกสะท้านบ้างก็หาไม่ เขากลับเอ่ยถ้อยคำแผ่วเบา ซึ่งมีเพียงเอ็ดเวิร์ดคนเดียวที่ได้ยิน  แล้วก่อนที่ใครจะทันตั้งตัว อัยการหนุ่มก็ผลุนผลันลุกจากม้านั่งวิ่งลึกเข้าไปในสวนสาธารณะทันที

นั่นละ แม็กเกลถึงกับสบถยาวเหยียดเมื่อรู้ตัวว่าพลาดท่าเข้าอย่างจัง  แต่ก่อนจะไป  มาเฟียหนุ่มยังมีแก่ใจหันมาชูนิ้วกลางใส่หน้าแมทธิวและไคโตะเป็นการเอาคืนอีกด้วย

“อะไรของมันวะ ไอ้บ้าเอ๊ย”   ไคโตะบ่นออกมาอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก

“เอาน่า ไคโตะ นานๆทีจะได้เห็นอะไรสนุกๆแบบนี้นะ”

“ผมไม่เห็นสนุกด้วยเลย นี่ก็เป็นแผนของคุณใช่มั้ยเนี่ย...ทำแซนวิชมาตั้งสองตะกร้า รู้งี้ผมไม่หิ้วให้เมื่อยมือหรอก วางไว้ใต้ม้านั่งให้หมดก็สิ้นเรื่อง หนักชะมัดยาด”

ไคโตะมองเศษแซนวิชที่กลายเป็นอาหารนกพิราบอย่างเสียดาย มองแมทธิวก้มหยิบตะกร้าที่ซ่อนเอาไว้ขึ้นมาวางบนตัก   มองรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าหล่อเหลาที่เขาแสนรัก โดยที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าชายตรงหน้ามีเสน่ห์เหลือล้นเพียงใด

และแล้วชายผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์คนนั้นก็หันกลับมาตอบเขายิ้มๆ

“ทำไงได้ล่ะ ก็รู้อยู่ว่าแม็กเกลมือไวใจร้อนขนาดไหน ขืนไม่มีของใกล้ตัวให้หยิบเกิดชักปืนขึ้นมาละยุ่งเลย”

เพราะคำพูดนั้นของแมทธิว หรือเพราะความหวาดกลัวเป็นล้นพ้น หรืออาจเพราะต้องการหนีไปจากหัวใจของแม็กเกลนั้นก็เหลือจะเดา แต่ท้ายที่สุดแล้วเอ็ดเวิร์ด  ก็พบตัวเองกำลังวิ่งสะเปะสะปะไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย

หนีไปสิ ถ้าไม่อยากกลับไปเป็นนกน้อยในกรงทองอีก

กรงทองยังสวยหรูเกินไปด้วยซ้ำ สิ่งที่แม็กเกลใช้พันธนาการเขาตลอดมาคือความใคร่อันเจนจัด ความกระหายและดิบเถื่อนราวกับไม่ใช่มนุษย์ต่างหาก คือคำตอบที่ทำให้เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุนดังที่เป็นอยู่ในยามนี้

ผ่านจากสวนสาธารณะจนล่วงเข้าเขตสวนป่าริมเนินเขาเบอร์ต้า  สายตาของชายหนุ่มก็สะดุดเข้ากับรั้วไม้ระแนงผุพังมีตะไคร่สีเขียวขึ้นเต็มไปหมด ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง เอ็ดเวิร์ดชะลอฝีเท้าลงจนกลายเป็นเดิน แล้วค่อยๆสำรวจไปตามต้นไม้สูงใหญ่ หวังจะหาที่หลบซ่อนสักพัก

แต่ดินบริเวณนั้นอ่อนนุ่ม รวมถึงไม่มีคนเดินผ่านมาเป็นแรมปี ยามชายหนุ่มเหยียบย่ำลงไป แนวดินจึงยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว ผลคือเอ็ดเวิร์ดล้มคว่ำไปนอนกองกับพื้นโดยที่ขาซ้ายจมลึกลงไปในดินถึงข้อเท้า

เสียงแหวกพุ่มไม้ที่ดังขึ้นใกล้ๆเป็นดุจสัญญาณเตือนว่าแม็กเกลกำลังใกล้เข้ามา ร่างสูงโปร่งรีบยันกายลุกขึ้น แต่แล้วกลับปวดร้าวไปทั่วทั้งท่อนขา

เขากลั้นใจดึงขาข้างที่จมอยู่ในโคลนขึ้นมา

“โอ๊ย...”   เอ็ดเวิร์ดครางอย่างเจ็บปวด ยกมือกุมข้อเท้าไว้เพื่อบรรเทาความเจ็บ

เมื่อครู่นี้ตอนที่ล้มคงทำให้ข้อเท้าพลิก   ชายหนุ่มกัดฟันทนความรวดร้าวที่ลามแล่นไปทั่วร่าง  ฝืนเดินกะเผลกไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดก็พบลำธารขนาดเล็กรินไหลอยู่เบื้องหน้า เอ็ดเวิร์ดไม่รอช้า นั่งลงริมธาร  ถอดรองเท้าออกแล้วจุ่มขาข้างที่เจ็บลงในน้ำ เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงกรอบแกรบดังขึ้นจากข้างหลัง

อย่างเงียบงัน...ดวงตาสีเทาอ่อนค่อยๆกวาดกลับไปมอง...ไล่สายตาขึ้นไปช้าๆ หยุดที่แผ่นอกหนากว้างใต้เสื้อเชิ้ต เพราะไม่กล้ามองต่อจากนั้น

ยังไม่ทันคิดทำสิ่งใด ผู้มาใหม่ก็โถมน้ำหนักลงทับ สองแขนกอดเกี่ยวรัดร่างชายหนุ่มแนบแน่น

“เฮ้ย! อย่า”

อารามตกใจ   คนถูกกอดรีบตวัดเท้าขึ้นจากน้ำ  แต่ขาเจ้ากรรมกลับยกไม่พ้นเนินดินตรงหน้า

“โอ๊ย!”   เอ็ดเวิร์ดร้องลั่น มือกุมเท้าซ้ายเอาไว้ น้ำตาคลอเบ้า

“เจ็บมากหรือเปล่า”

ยินเสียงทุ้มห้าวถามด้วยความเป็นห่วง  แม็กเกลจูบซับน้ำตา  เช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาตามไรผมให้  สัมผัสจากชายหน้าบากช่างอ่อนโยน  แต่กลับน่าหมั่นไส้นักในความรู้สึกของชายหนุ่ม

“อย่ามายุ่ง”

เอ็ดเวิร์ดเบี่ยงกายหนี รู้สึกผิดคาดเล็กน้อยที่อีกฝ่ายไม่ได้แสดงกิริยาไม่พอใจ...หรืออย่างน้อย ก็ไม่เป็นแบบที่คิดเอาไว้เลยสักนิดเดียว

“กล้าดียังไงถึงหนีมาจากฉัน”   แม็กเกลต่อว่าเสียงเข้ม ก่อนมอบจุมพิตดูดดื่มที่ใกล้เคียงกับคำว่าบดขยี้ให้เอ็ดเวิร์ดเป็นการลงโทษ

มือเรียวพลันยกขึ้นปัดป้องการรุกรานนั้น พร้อมสวนหมัดเข้าตอบโต้

ชายหน้าบากคว้าข้อมือไว้ทันราวกับคาดการณ์เอาไว้เป็นอย่างดี

“คิดว่าฉันเป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำหรือไง”

แม็กเกลยิ้มเยาะ ก่อนฉกริมฝีปากลงบนผิวขาวจัด กัดขย้ำด้วยความมันเขี้ยว เพิกเฉยต่อกำปั้นนับสิบที่ทุบลงบนแผ่นหลังของตน

นานเท่านาน กว่าปีศาจหนุ่มจะยินยอมปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ

ดวงตาสีมรกตจ้องมองผลงานของตนด้วยความพึงพอใจ

รอยจูบเด่นประทับบนผิวสวยดุจตีตราจอง

ยิ่งเห็นเอ็ดเวิร์ดยกมือขึ้นปิดร่องรอยบนลำคอของตนด้วยใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาของแม็กเกลก็ยิ่งพราวระยับ ชายร่างสูงจัดการฉุดคนตรงหน้าให้ลุกขึ้น บอกเสียงห้วน

“ไป กลับบ้าน”

แต่ชายหนุ่มยังคงดื้อดึง   “ไม่! เชิญกลับบ้านของนายไปคนเดียวเถอะ”

“...อย่าเถียงพี่”

เจอไม้นี้เข้าไป คนเป็นน้องชายถึงกับพูดไม่ออก ทำอะไรไม่ได้ เปิดโอกาสให้พี่ชายดึงลุกยืนได้สำเร็จ

แต่เอ็ดเวิร์ดก็ตั้งสติรับมือได้ทันท่วงที เขาสะบัดแขนออกด้วยความชังเหลือล้น

“ปัดโธ่เว้ย! ไม่มีพี่ที่ไหนมันบ้ามาเอาน้องตัวเองหรอก ยิ่งเพศเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ ไอ้โรคจิต!”

พูดไปแล้ว ก็อยากตะปบเอาคำพูดตัวเองกลับคืนมาเหลือเกิน ยามที่เงาร่างสูงใหญ่เคลื่อนมาทับเงาศีรษะของเขา รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นเป่ารดใบหน้า ก่อนสุ้มเสียงโกรธจัดจะตามมา

“ไหนลองพูดอีกทีซิ ใครนะที่มันบ้า...ใครนะ...คือไอ้โรคจิต”

เอ็ดเวิร์ดก้มหน้าต่ำ เก็บปากสงบคำโดยพลัน  ขืนพูดออกไปก็มีแต่จะถูกคำพูดรัดคอเสียเปล่า แต่คิดอีกที...การนิ่งเงียบนั้นก็เป็นเสมือนการยอมรับโดยดุษฎีนั่นล่ะ

ยินเสียงแม็กเกลพูดขึ้นเบาๆ

“อย่างนี้ต้องทำโทษ”

ทำโทษ!  ดวงตาสีเทาอ่อนตวัดมองเสี้ยวหน้าคมเข้มทันควันด้วยความหวั่นใจ

คล้ายล่วงรู้ความคิดของชายหนุ่ม  อีกฝ่ายหันมาจ้องเขานิ่งๆด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ก่อนประกาศิตที่ส่งเอ็ดเวิร์ดเข้าลานประหารจะดังออกมาจากริมฝีปากซึ่งกำลังเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์

“ทำเป็นเกลียดฉันดีนักนะ...คอยดูเถอะ!  คืนนี้จะให้แกบอกรักทั้งคืนจนกว่าฉันจะพอใจ ดูซิ...จะยังทำเก่งไปได้อีกซักกี่น้ำ!”


(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

(ต่อ)


ท่ามกลางความบาดหมางคลางแคลงใจ และความขัดแย้งอันร้อนระอุราวไฟป่าที่ลามลุกไปทั่วทั้งผืนดิน  ความสุขเล็กๆของหญิงสาวกลับเบ่งบานในหัวใจ  หอมหวาน...ราวติดปีก

‘ราชโองการ’ ปลอมในมือปลิวกรอบแกรบ ขณะที่เรียวปากอิ่มกรีดยิ้มเบิกบานยามเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะเพลงโปรดที่ฮัมอยู่ในลำคอ

หล่อนเพิ่งเปิดประตูห้อง ชายสองคนที่เดินผ่านมาก็ขยับตัวหนีจากกันทันควัน

“อ้าว? สตีฟ เคน...พอดีเลยค่ะ ฉันมี‘คำสั่ง’จากแม็กเกลจะมาบอกพวกคุณพอดีเลย”

เห็นสตีฟส่งยิ้มมาให้ หากมันดูเจื่อนและจืดชืดเหลือเกินในสายตาคนมอง

“คำสั่ง...ว่าไงบ้างล่ะ ไอรีน”

“ก็...”   หล่อนกลอกตา กระตุกยิ้มที่มุมปาก   “เรื่องการย้ายห้องของเคนค่ะ”

คราวนี้ใบหน้าดูดีของคนขับรถหนุ่มเริ่มเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจ

“ย้ายห้องผม?”

“จ้ะ...แม็กเกลสั่งให้ย้ายห้องนอนของนาย...ไปอยู่กับสตีฟ เพื่อเป็นหูเป็นตาให้ระยะนึงน่ะจ้ะ”

เคนหน้าซีดลงทันใด เขาจ้องมองลายมือหวัดๆบนแผ่นกระดาษเหมือนอยากเอาไปเผาเต็มแก่ สร้างความประหลาดใจให้แก่หญิงสาวเป็นอย่างมาก หากยังไม่ทันถาม เสียงเครื่องยนต์ก็แว่วมาจากภายนอก แสดงว่าแม็กเกลกลับมาแล้ว

ทั้งสามหยุดการพูดคุยลงเพื่อรอคอยการปรากฏตัวของนายใหญ่แห่งคฤหาสน์

เพียงอึดใจเดียว สุ้มเสียงกัมปนาทก็ระเบิดขึ้นมาจากปลายบันได

“จะตามมาดีๆหรือจะให้อุ้มขึ้นมา หา!”

“ไม่เอาซักอย่างโว้ย!  ฉันเกลียดแก ได้ยินมั้ย ฉันเกลียดแก!”

“ปากดีได้ก็ตอนนี้เท่านั้นละเอ็ดเวิร์ด เดี๋ยวเราจะได้เห็นดีกัน! ...แล้วพวกแกมายืนขวางทางทำซากอะไรกันตรงนี้?”

ท้ายประโยคหันมาถามหนึ่งหญิงสองชายที่ยืนอึ้งกับบทสนทนาอันเกรี้ยวกราดและเต็มไปด้วยอารมณ์ของพวกเขา

แล้วก็เป็นไอรีน หญิงสาวใจกล้าเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ตอบคำถามนั้น

“อ้อ...แม็กเกลคะ คุณว่ายังไงกับเรื่องนี้”   หล่อนชี้ไปยังแผ่นกระดาษในมือ

ดวงตาสีมรกตไม่แม้แต่จะเหลือบมองเลยด้วยซ้ำ  สิ่งที่ได้รับคือน้ำเสียงห้วนๆ ติดจะรำคาญใจ   “ก็เอาตามนั้นแหละ”

พร้อมกับสุ้มเสียงทุ้มที่ดังตามมาติดๆ

“ไอรีนครับ  ช่วยด้วย  ช่วยผมที...อย่าทิ้งผมไว้กับไอ้ปีศาจนี่สองต่อสองเด็ดขาด

เลยนะครับ”

แม็กเกลกับไอรีนเงียบกะทันหัน เหลียวไปมองคนพูดด้วยสายตาที่แตกต่างกัน

เอ็ดเวิร์ดพยายามอ้อนวอนหญิงสาวผู้เป็นที่พึ่งสุดท้ายอย่างสุดชีวิต เพราะรู้ว่าหากพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ความหวังของเขาแทบไม่มีเหลืออยู่เลย

“เอ...จะเอาไงดีนะเรา”

ไอรีนทำท่าตรึกตรอง

“เธออย่ายุ่ง!”

แม็กเกลตวาดใส่อย่างหัวเสีย ก่อนจัดการลากเอ็ดเวิร์ดที่เริ่มร้องประท้วงโวยวายไม่หยุดเข้าไปในห้องทำงาน ปิดประตูโครมใส่หน้าลูกน้องและเพื่อนสาวอย่างไร้เยื่อใย

สนุกชะมัด! ไอรีนกลั้นยิ้ม ก่อนหันไปแกล้งเคนที่ยืนหมดแรงอยู่ข้างๆต่อ

“ได้ยินแล้วใช่ไหมจ๊ะเคน ย้ายๆเข้าไปเถอะ ห้องของสตีฟออกจะกว๊าง...กว้าง อยู่กันสองคนสบาย”

“ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น”   เสียงของเพื่อนชายแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

“แหม! พูดอย่างนี้นี่มันน่า...นักนะ”  ว่าแล้ว มือเรียวก็ฟาดใส่เป้าหมายอย่างแรงราวกับแค้นเคืองกันมาแต่ชาติปางก่อน

“โอ๊ย!”   เคนทรุดฮวบลงไปนั่งบนพื้นทันที

ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ ชายหนุ่มเจ็บจนน้ำตาแทบเล็ดแน่ะ

“เคน”   สตีฟรีบเข้ามาดูอาการอย่างเป็นห่วงเป็นใย...จนออกนอกหน้า

“ไอรีน เล่นอะไรน่ะ ทำอะไรไม่ระวังบ้างเลย”

“โธ่...คุณพ่อที่เคารพรักคะ หนูก็แค่อยากพิสูจน์อะไรเท่านั้นเอง”

หล่อนยอกย้อนสุ้มเสียงสะใจ

“แล้วหนูก็รู้แล้วล่ะ ว่า คุณแม่คนใหม่ ของหนูคือใคร โฮะๆๆ”

สุขใจกับการได้ลูบคมบุรุษผู้เงียบขรึมถึงสองคนในเวลาเดียวกัน ร่างระหงเยื้องย่างจากไปพร้อมเสียงหัวเราะของผู้ชนะ  ทิ้งคู่รักคู่ใหม่ให้นั่งมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่กลางทางเดินเช่นนั้น  เมื่อพวกเขาต่างมีพยานรักเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

‘ห้องพันอักษร’ เป็นห้องขนาดใหญ่อิงพื้นที่อยู่บนชั้นสองฝั่งปีกขวาของคฤหาสน์โอมาลนอฟ ภายในตกแต่งด้วยผ้าม่านสีทองด้นด้ายเงินปักลายตามตำนานพื้นเมือง เรียงปิดด้วยชั้นไม้แกะสลักซึ่งบรรจุหนังสือเก่าและใหม่ไว้อย่างเป็นระเบียบ เครื่องเรือนมีเพียงโต๊ะทำงานสีดำขัดเงา เตียงนอน และตู้เสื้อผ้าเรียบๆตู้หนึ่ง

ไม่หมดเพียงแค่นั้น   แต่ห้องแห่งนี้ยังไม่มีปลั๊กไฟ   หรือเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกใดๆทั้งสิ้น สิ่งซึ่งคอยส่องสว่างให้แก่ห้องพันอักษรมีเพียงแสงตะวัน จันทรา และตะเกียงโบราณหนึ่งดวง

ไร้ซึ่งเพชรนิลจินดา สิ่งของประดับประดาหรูหรา เฉกเช่นที่มิได้เลอค่าทางจิตใจ หากแต่สูงค่าด้วยปัญญา...ตามความต้องการของฮาคิม โอมาลนอฟอย่างแท้จริง

บุรุษร่างสูงสง่าในชุดกาลาไบยาเดินไปตามชั้นหนังสือช้าๆ แสงไฟจากตะเกียงในมือสาดสว่างนุ่มนวล เขาหยิบหนังสือ ‘ตำนานเทพเจ้า’ ออกมาจากชั้น เดินกลับมาที่โต๊ะ วางตะเกียงลง ก่อนเริ่มลงมืออ่านท่ามกลางความเงียบสงัดและสายลมยามค่ำคืนของทะเลทราย

แต่...เงาคนหลังผ้าม่านทำให้ต้องเปลี่ยนความคิด

แสงไฟนวลที่สาดกระทบบนใบหน้าเข้มคมลึกลับ ฉายวี่แววแปลกใจแกมสงสัยอย่างไม่มิดเม้นยามเงาร่างหนึ่งทอทาบลงบนผืนผ้าม่านสีเข้ม ซ้อนเข้ากับลายปักของเทพเจ้ากิลกาเมซแห่งตำนานผู้แสวงหาความเป็นอมตะราวกับเป็นคนเดียวกัน

สายลมเย็นพัดวูบเมื่อม่านสะบัดออก  กลิ่นอายแห่งทะเลทรายจากเนื้อตัวผู้มาใหม่แผ่ซ่านกลบกลืนความสงบเย็นในห้องไปจนสิ้น  ฮาคิมมองคนที่ปีนหน้าต่างเข้ามาด้วยแววตามีคำถาม   และด้วยสายตาเช่นนั้น ร่างสูงใหญ่พอกันกับเขาจึงคู้กายนั่งลงบนพื้น ทีท่าสิ้นหวัง จนตรอก เหมือนเช่นทุกครั้งที่พบหน้ากัน

ชายเจ้าของห้องก้มมองผู้มาเยือนด้วยความเป็นห่วง

“ดื่มเหล้ามาอีกแล้วหรือ...เพลาๆลงบ้างเถอะ เรื่องผู้หญิงก็เหมือนกัน พี่ไปธุระมาคราวนี้ ได้ยินเรื่องแต่เรื่องไม่ดีของนายทั้งนั้น  ถ้าท่านพ่อรู้เข้าคงโกรธแน่ นายคงไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตกลางทะเลทรายกับทหารเลวพวกนั้นอีกแล้วหรอกนะ”

คำตักเตือนจะผ่านหูคนตรงหน้าบ้างไหมก็ไม่รู้ หากสุ้มเสียงที่ตอบกลับมานี่สิ...

เย็นเยียบจนน่ากลัว

“หึ...โกรธหรือ? น้อยไปน่ะสิ...ท่านพ่อน่ะ ที่จริงก็คงแอบหวังอยู่ลึกๆเหมือนกันแหละว่า ไอ้ลูกชั่วอย่างผมมันจะไปโดนระเบิดโดนกระสุนตายอยู่ข้างนอกโน่น จะได้ไม่ต้องแบกศพกลับมาทำพิธีให้เสียเวลา ไม่อย่างนั้นท่านจะพูดพร่ำบ่อยๆทำไมว่าคนทั้งโลกสาปแช่งผม”

“บารากัต...”   ฮาคิมฟังคำตัดพ้อนั่นแล้วใจอ่อนยวบ  คำสั่งสอนตักเตือนเลือนหายไปจนหมด เพราะเขาเองก็เคยผ่านช่วงเวลาต่อต้านบิดามาแล้วเช่นกัน แต่ไม่แรงเท่าบารากัต และ...ไม่ถูกบิดาตอบโต้รุนแรงเท่า

ทว่านอกเหนือจากแรงดื้อรั้นแล้ว  น้องชายเกเรคนนี้ยังมีปัญหาทางตันอยู่อีกเรื่องหนึ่ง...

“พี่...”    ในที่สุดบารากัตก็ทนนิ่งทนเงียบไม่ไหวอีกต่อไป

“พี่ฮาคิม...ได้โปรด พี่ต้องช่วยผมนะ”

ฮาคิมไม่ได้ตอบอะไรเลย  กลับกัน  ชายหนุ่มดึงร่างนั้นขึ้นมา ลากไปที่หน้าต่าง พร้อมกับเปิดม่านออกให้เห็นใบหน้าได้ชัดๆ

สิ่งที่เห็นทำให้เขาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

เสี้ยวหน้าคร้ามคมของน้องชายต่างมารดาเต็มไปด้วยความทุกข์ตรม ดวงตาคมแดงช้ำคู่นั้นสารภาพจนหมดสิ้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน  บารากัต!”   ถามไปแล้ว ฮาคิมก็สะดุดใจวาบ

หรือว่า...

“นายทำอะไรชาคิล?”

ไม่มีคำตอบจากหัวใจดวงที่ปวดร้าวดวงนั้น จะมีก็เพียงแค่เสียงหัวเราะในลำคอที่ยากจะเดาความหมาย

เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความคับแค้น ตรอมตรม...และเย้ยหยัน

ความเจ็บปวดนั้นอยู่ใกล้เหลือเกิน บารากัตทอดตามองผ่านหน้าต่างไปยังยอดทรายเม็ดละเอียด ดวงดาวบนฟากฟ้าทอประกายสว่างไสว  ผิดกับจิตใจของชายหนุ่ม  ที่มืดมิด ไร้แสงสว่างใดๆทั้งสิ้นในห้วงเวลานี้

“บารากัต”    ฮาคิมสูดลมหายใจเข้าลึกยาว คว้าบ่าน้องชายให้หันมาสบตากันอีกครั้ง   “นายทำอะไรชาคิล นายทำอะไรลงไป”

สบตากันนิ่งนาน ความลับทุกอย่างที่ถูกเก็บงำมิดชิดตลอดระยะเวลาหลายปีก็คล้ายดั่งย้อนกลับไปสู่ช่วงเวลาในอดีต...อดีตกับความทรงจำเมื่อหนหลังอันแสนไกล และความลับที่ไม่ต้องการเปิดเผยให้ใครล่วงรู้ ไม่ต้องการการแก้ไข หรือแม้แต่ความช่วยเหลือจากผู้ใด

ความลับระหว่างพี่ชายและน้องชาย

ความลับที่คนคนหนึ่งเพียรพยายามที่จะลบทิ้ง ขจัดออกไปจากหัวใจ  ในขณะที่อีกคนหนึ่งคอยเฝ้ามอง อยู่เคียงข้าง เข้าอกเข้าใจอย่างที่ไม่มีใครกระทำ

ในความเงียบ ฮาคิมได้ยินเสียงดังมาจากที่ใดสักแห่ง...ที่ไกลแสนไกล

“ผม...ขืนใจชาคิลไปแล้ว”







“ไอ้บารากัต! ไอ้ลูกบัดซบ เมาเหล้าเคล้านารีจนเสื่อมเสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลไม่พอ  ยังสันดานต่ำช้าหน้าด้านถึงขนาดเอาพี่เอาน้องตัวเองได้ลงคออีกเชียวเรอะ! เฮอะ...เอาสิวะ ถ้าวันนี้กูไม่ได้ตัดลิ้นมันออกมา กูก็ไม่ขอตากหน้าใช้ชื่อเอเฟ็ทอีกแล้ว!”

เสียงบันดาลโทสะที่ดังก้องคฤหาสน์เป็นดั่งสาส์นเตือนจากสวรรค์ว่าดาบซาคียาอันเป็นดาบประจำตระกูลกำลังจะถูกชักออกจากฝัก หลังจากตั้งประดับอยู่บนแท่นเก่าเก็บมานับร้อยปี

แล้วพลันที่มองเห็นเงาดาบสะท้อนเข้าตา ทุกคนก็รู้ในบัดดล

ศึกสายเลือดบังเกิด!

เอเฟ็ทกราดสายตาอำมหิตจ้องไปยังเหล่าข้ารับใช้ที่หัวหดไปตามๆกัน ก่อนไปหยุดที่บุตรชายคนโปรดผู้นำข่าวร้ายมาบอกเขา

“บอกพ่อซิ ตอนนี้ไอ้ลูกทรพีนั่นมันอยู่ไหน”

“ไม่ทราบฮะท่านพ่อ แต่ผมเจอชาคิลเดินออกมาจากมุมห้องรับรอง...เลือดงี้เต็มขาเลย จะตายหรือเปล่าก็ไม่รู้สิฮะ ผม...ฮึก...เป็นห่วง...ชาคิลจัง”   ท้ายประโยคเบาลงจนกลายเป็นกระซิบ แต่กลับแผดก้องราวกัมปนาทลงในหัวใจของทุกผู้คนที่สดับฟัง

ยิ่งคำบอกเล่าออกมาจากปาก ‘เด็กชายผู้บริสุทธิ์’ อย่างจาเรฟด้วยแล้ว หัวอกของคนเป็นพ่อก็แทบลุกเป็นไฟ

ไอ้ลูกอัปรีย์บารากัต!

เอเฟ็ทขบกรามแน่น บ่ายหน้าไปยังประตู กระชากสุดแรงจนลูกบิดแทบหลุดติดมือมาด้วย ก่อนจะค้นพบว่ามีใครบางคนยืนอยู่หลังบานไม้หนาบานนั้น...ใครคนนั้นที่ส่งรอยยิ้มเยือนมาให้ราวจะปัดเป่าเพลิงแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอกในใจทุกคนไปจนสิ้น

“ฮาคิม...นี่ลูกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“กลับมาตั้งแต่เย็นแล้วครับ พอดีผมแวะไปเก็บของที่ห้องก่อน”

คำพูดที่กล่าวต่อเอเฟ็ท  คือสิ่งที่ฮาคิมบอกต่อตัวเขาเองเช่นกัน...บอกตัวเองว่าตั้งแต่กลับมา เขาก็เก็บตัวอยู่ในห้องตลอด ไม่ได้เจอใคร และไม่มีใครมาเยี่ยมเยือนถึงห้องเลยแม้แต่คนเดียว

“ท่านพ่อ...เกิดอะไรขึ้นครับ โมโหใครมา”

ชายหนุ่มมองดาบเล่มงามตรงหน้า แลเลยไปยังรอยย่นบนหัวคิ้วเอเฟ็ท นึกถึงสภาพที่อาจเกิดขึ้นด้วยความหนักใจเมื่อยังไม่ได้ยินคำตอบ

...คิดถูกจริงๆที่ลงมาดักหน้าเอาไว้

“ท่านจะเอาดาบไปฟันหัวใครน่ะ ท่านพ่อ”

“หึ! ก็ไอ้น้องชายตัวดีของแกนั่นแหละ”

คิ้วของคนฟังเลิกสูง ก่อนถามต่อด้วยความใคร่รู้

“บารากัตก่อเรื่องอีกแล้วหรือครับ”

แม้จะถามออกไปเช่นนั้น  แต่ฮาคิมกลับไม่ได้ตั้งใจฟังคำตอบเลยแม้แต่นิดเดียว เขานึกไปถึงคนที่รู้คำตอบนี้ดีที่สุด ที่ยามนี้คงหนีไปไกลแสนไกล ไปยังที่ใดสักแห่งแล้ว

...ขอให้พระอัลเลาะห์คุ้มครองเจ้าด้วย น้องของพี่







ทเวนมองผู้บุกรุกยามวิกาลด้วยสายตาส่อแววหงุดหงิดอย่างไม่ซ่อนเร้น

อัยการหนุ่มลุกไปเปลี่ยนน้ำแค่ไม่กี่นาที พอออกมา ก็เจอชายแปลกหน้าผู้นี้ยืนอยู่ริมหน้าต่าง และกำลังมองตรงมาที่เขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรสุดๆ

หลังจากนั้นทั้งสองก็ยืนคุมเชิงกันคนละมุมห้อง จ้องตากันแบบไม่มีใครยอมใคร

1 นาที...5 นาที...หรืออาจนานกว่านั้น ที่พวกเขาต่างมองประเมินอีกฝ่ายเงียบๆนิ่งๆ  จนกระทั่ง...

“...อย่า...บารากัต...ไม่...นะ...”

เสียงเพ้อจากชาคิลทำให้ชายคนนั้นละสายตาจากเขา แล้วหันไปจ้องเด็กหนุ่มบนเตียงอย่างลืมตัว   พลังที่ฉายโชนออกมาจากดวงตาคู่นั้นช่างแรงกล้า  หากแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

แววตาที่มองเห็นทำให้ทเวนเริ่มเข้าใจ ‘อะไรๆ’ ขึ้นมาเล็กน้อย และเขาพอใจที่จะเฝ้ามองอยู่อย่างเงียบๆ   ไม่เข้าไปรบกวนห้วงเวลาอันสงบงามของ ‘ผู้กระทำผิด’ อย่างที่คิดเอาไว้ในคราวแรกอีก

แต่ช่วงเวลาแห่งความเข้าใจกลับคงอยู่ได้ไม่นานนัก

เสียงเอะอะผิดปกติจากภายนอก ส่งให้บรรยากาศที่ผ่อนคลายหวนคืนสู่ความเข้มข้น กดดันจนน่าอึดอัดอีกครั้ง  แต่ร่างสูงใหญ่ใต้เงาจันทร์กลับยังไม่ยอมขยับตัว

ทเวนมองเห็นชัดเจนทีเดียว ความละล้าละลัง สับสน ในแววตาคมวาวของเขา

อีกเนิ่นนาน ผู้บุกรุกก็ยังจับจ้องใบหน้าเกลี้ยงเกลาของชาคิลอย่างเลื่อนลอยจนคนที่ยืนมองอยู่อีกมุมห้องเริ่มทนดูเงียบๆต่อไปไม่ไหว เพราะหากไม่รีบหนีไปเสียตอนนี้ ‘เขา’ ต้องหนีไม่พ้นแน่

และมันไม่ผิดไปจากที่คิดเลยแม้แต่น้อย

‘เขา’ หนีไม่ทัน!

“ระยำเอ๊ย”

ทเวนตัดสินใจแทนชายผู้นั้นในวินาทีนั้นเอง!

ร่างสูงขว้างอ่างในมือทิ้ง  พร้อมก้าวยาวๆไปล็อคประตูอย่างหนาแน่น  แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงวัตถุหนักจากภายนอกกระแทกเข้ามาดังโครมสนั่น

เสร็จเรียบร้อยไปขั้นหนึ่ง อัยการหนุ่มจึงเหลียวไปมองข้างหลัง เงาร่างนั้นสะดุ้งก่อนหลบออกไปยังริมระเบียงอย่างเงียบกริบและรวดเร็วคล้ายคนเพิ่งรู้สึกตัว ทเวนมองอย่างไม่คิดห้าม  แต่ก็ไม่ลืมที่จะปาดนิ้วโป้งไปบนเตียง แล้วพูดขึ้นเรียบๆว่า

“อย่าลืมเอาไปด้วย”

เกิดความเงียบขึ้นทันใด

โครม! เศษไม้ปลิวว่อนตามแรงกระแทกหนักหน่วง

“เร็วสิ”

โครม! ปัง! - บานประตูเปิดผางออก  ทหารนับสิบพุ่งเข้ามาในห้อง กวาดตามองหาร่างใครสักคนอย่างเร็ว ก่อนหนึ่งในนั้นจะหันกลับไปรายงานสีหน้าตื่นตระหนก

“แย่แล้วครับนายท่าน! นายน้อยชาคิลหายตัวไปขอรับ!”

“ว่าไงนะ!”

เสียงแผดลั่นเหล่านั้นไม่ได้ทำให้ทเวนรู้สึกหวาดหวั่นเลยสักนิด ชายหนุ่มยังคงยืนปักหลักอยู่ที่เดิม รอให้อ้อมแขนของจาเรฟโอบเข้าสวมกอดอย่างโหยหา เขารอด้วยความเชื่อมั่นสุดหัวใจว่าเด็กน้อยของตนจะต้องมารับ  เช่นเดียวกับที่เชื่อมั่นว่าตนเองไม่ได้มองคนผิด หรือตัดสินใจผิดๆ ที่ปล่อยชาคิลไปกับ ‘ใครก็ไม่รู้’

จริงดังคาด แรงโถมทับเข้าใส่เร็วพอๆกับเสียงตัดพ้อเรียกหา

“ทเวน...ปลอดภัยไหมฮะ เรฟเป็นห่วงทเว...อึ๊!”

ใครวะ? ...ถามตัวเองแล้ว  ชายหนุ่มก็ปราดตามองเจ้าของมือที่ดึงจาเรฟไปจากเขาอย่างเอาเรื่อง

ชายวัยกลางคนผู้เต็มไปด้วยอำนาจ...จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิดนัก กำลังถลึงสายตาคู่ที่เต็มไปด้วยความโมโหโทโสเสียเต็มประดามายังชายหนุ่ม  ซึ่งก็ด้วยนิสัยที่ชอบเอาชนะคะคานแบบไร้เหตุผลของเขาเองนั่นละ  ที่ทำให้ทเวนตอบรับคำท้าทายนั้นด้วยการกระโดดลงไปเล่นสงครามเงียบ  ประกาศความแข็งกร้าวไม่ยอมคนออกมาอย่างไร้ความลังเลใดอีก ทั้งที่ในใจยังสงสัยไม่หายว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

“ท่านพ่อปล่อยจาเรฟเดี๋ยวนี้นะ! เรฟจะไปหาทเวน เรฟจะไปหาทเวน!”

โอ  เด็กน้อย...ทเวนคร่ำครวญในใจด้วยความสงสาร   ขณะยืนมองภาพอันน่าอดสูของเด็กหนุ่มคนรัก เขาไม่ได้สงสารจาเรฟที่ถูกคุณพ่อหิ้วคอเสื้อห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศหรอกนะ เขาสงสารตัวเองต่างหาก สงสารความแน่ความห้าวของตัวเอง   ที่ทำเรื่องเข้าให้แล้ว

“เมื่อกี้ข้าได้ยินเสียงล็อคประตูห้อง แกทำใช่ไหม...เจ้าหนุ่ม”  สุ้มเสียงห้วนกร้าวเฉกเช่นประกายดาบเงาวับในมืออีกฝ่ายเรียกรอยยิ้มฝืดฝืนจากทเวนได้ดีทีเดียว

ชายหนุ่มจับจ้องปลายดาบคมกริบที่จ่อพาดอยู่บนลำคอตัวเองอย่างหดหู่ใจ

ถูกคุณพ่อจอมหวงเอาดาบแทงคอหอยตาย  แล้วกลายเป็นผีเฝ้าคฤหาสน์...

นี่มันฝันร้ายชัดๆ!







...ท่านพ่อฮะ พี่บารากัตแกล้งผม...

เสียงร่ำไห้ของเด็กชายตัวน้อยบาดหัวใจคนฟังนัก

มือใหญ่อ่อนโยนที่โอบอุ้มร่างเล็กสั่นสะท้าน สะอึกสะอื้นเสียขวัญขึ้นกอดอย่างทะนุถนอมทำให้เสียงร้องไห้แผ่วเบาลง

ชาคิลในวัยเด็กกอดบิดาแน่น  ก่อนตัดพ้อถึงใครบางคนเสียงเศร้าตรม

...พี่บารากัตบอกว่าไม่อยากเกิดเป็นพี่ของผม เขาบอกว่ามันน่ารังเกียจ...

สิ้นคำ หยาดน้ำตาก็ร่วงพรู ชาคิลยกหลังมือปาดน้ำตาทิ้ง แล้วแหงนมองหน้าบิดายามรู้สึกว่าอ้อมกอดนั้นกระชับแน่นจนอึดอัด

...ท่านพ่อ...

กลิ่นเหล้ารุนแรงแตะจมูกและริมฝีปากแสยะยิ้มเยาะหยันทำให้เด็กชายชะงัก ซีกหน้าด้านที่ตกอยู่ในเงาสลัวค่อยๆขยับเบือนสู่แสงสว่าง เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงหนึ่งกรีดร้องลั่นอกยามเห็นใบหน้าของบุคคลที่คิดว่าเป็นบิดาชัดเจน

พี่บารากัต!

ไวเท่าความคิด ชาคิลดิ้นรนรุนแรง สองมือผลักไสแผ่นอกกว้าง สองเท้าถีบหน้าท้องแข็งแรงขณะที่ริมฝีปากถูกความหยาบกระด้างบดเบียดอย่างกระหาย

ไม่! ช่วยด้วย...ใครก็ได้ ช่วยด้วย!

“ฮะ... !”   เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นพร้อมหยาดเหงื่อโทรมกาย

ภาพแรกที่มองเห็นหลังตื่นจากฝันร้ายมิใช่ฝ้าเพดานห้อง แต่เป็นท้องฟ้าสีเข้มยามค่ำคืนพร่างพรายแสงดาว เสื้อผ้าบางเบาทำให้รับรู้ถึงสายลมราตรีที่โชยแผ่วพลิ้วดุจเป็นทำนองขับกล่อมจิตใจ แสงจันทรานวลสาดลงบนผืนทรายละเอียดก่อเกิดเป็น

ความงามอันเร้นลับพิศวง

ยามนั้นเอง ที่ร่างกายรับรู้ถึงท่อนแขนเกรียมแดดวางพาดอยู่บนร่าง และเรือนกายสูงใหญ่อบอุ่นที่แนบชิด ชาคิลใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่จะสำนึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องนอนของจาเรฟอย่างที่ควรเป็น เด็กหนุ่มค่อยๆเงยหน้าจากแผ่นอกหนาเปลือยเปล่าที่ขยับขึ้นลงสม่ำเสมอ  แหงนมองใบหน้าคมกร้าน  สบเข้ากับดวงตาทอประกายดุที่จับจ้องเขาอยู่แล้ว

สำนึกอันรางเลือนก่อตัวขึ้นทีละน้อยในภวังค์ความคิด ความกลัวที่ฝังลึกอยู่ก้นบึ้งลึกสุดของหัวใจ ความทรงจำอันเลวร้ายไหลกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว

บิดาผู้ให้กำเนิด และ...ความอัปยศอดสูที่เกิดจากน้ำมือของพี่ชาย

“ไม่! ปล่อยนะ! อย่ามาจับ...”

เด็กหนุ่มรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีผลักถีบ เตะตะกายใส่บารากัตสุดกำลัง

แต่ทว่าต่อให้แข็งแรงสักเพียงใด ก็ไม่อาจสู้แรงชายฉกรรจ์ที่เคยผ่านกองทัพอันแสนทรหดมาแล้วได้   ในที่สุดชาคิลก็ถูกรวบแขนสองข้างไว้เหนือศีรษะ  ขณะที่ร่างสูงแทรกตัวอยู่ตรงหว่างขา ป้องกันมิให้เขาแผลงฤทธิ์ได้อีก

บารากัตขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไรสักคำ แต่เอื้อมมือไปหยิบถุงหนังสัตว์ใกล้ๆออกเท ควานหาอะไรบางอย่าง

เขาหยิบกระปุกยาสีนวลขึ้นมา ใช้ปากเปิดฝา ก่อนจุ่มนิ้วลงในครีมขี้ผึ้ง

“อย่า...จะทำอะไร...”

ชาคิลรู้สึกว่าเนื้อตัวกำลังสั่นระริก ยิ่งยามที่มือของอีกฝ่ายสอดเข้าไปใต้เนื้อผ้า เด็กหนุ่มก็หวีดร้องอย่างหวาดกลัว

“อย่านะ! อย่าทำแบบนี้! ได้โปรด ไม่!”

วังวนสำนึกแห่งความกลัวผุดขึ้นราวน้ำป่าไหลหลาก  และจะไม่แปลกใจเลย หากเขาถูกบารากัตตบหน้า  แต่ชายหนุ่มกลับเพียงแค่จูบปิดปาก ก่อนละเลงตัวยาลงบนแผลสดให้แผ่วเบา

ความเย็นที่สัมผัสผิวกายช่วยบรรเทาความเจ็บร้าวบริเวณนั้นลงได้อย่างน่าอัศจรรย์

“แค่ทายาเฉยๆ ร้องยังกับจะถูกเชือด”   บารากัตแดกดันทั้งที่ริมฝีปากยังจุมพิตหาความหอมหวานจากริมฝีปากชาคิลไม่หยุดหย่อน

ด้วยความหมั่นไส้ พอๆกับความชัง เด็กหนุ่มขจัดความกลัวออกไปจากหัวใจ   อ้าปากเถียงทันควัน

“ไอ้ทุเรศบารากัต!...”

กลับกลายเป็นว่า นกน้อยตกหลุมพรางของพรานป่าอย่างมิอาจหลีกหนีหรือถอนตัวได้เลย

ริมฝีปากแห้งผากบดขยี้หนักหน่วง   หากอ่อนโยนด้วยความเสน่หา  ขณะที่มือซึ่งไล้วนตัวยาให้นั้นยังคงเฝ้าเวียนซ้ำไปมาแผ่วเบาทั้งๆที่ยาซึมไปจนหมดแล้ว

กว่าชายหนุ่มผู้พี่จะยอมถอนทัพกลับ ชาคิลก็แทบสิ้นเนื้อประดาตัว  ไม่มีอะไรหลงเหลือให้โจรปล้นสวาทช่วงชิงอีกแล้ว เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดถี่กระชั้นเหมือนขาดอากาศหายใจ มือสองข้างได้รับอิสระ ก่อนถูกรวบเอวเข้าไปนอนแนบชิดกับแผ่นอกเปล่าเปลือย

“นอนเงียบๆไปซะ”   สิ้นเสียงสั่ง และคล้ายล่วงรู้ความคิดของคนในอ้อมแขน   มือข้างที่โอบเอวชาคิลเอาไว้จึงกระชับแน่นขึ้น   “ถ้าไม่อยากโดนแบบนั้นอีก”

คำขู่ได้ผลชะงัด  รู้ได้จากเสียงฮึดฮัดเงียบหายไปแทบจะทันที  แต่ยังไม่วายแว่วเสียงสาปแช่งด่าทอมาตามสายลม ก่อนกลายเป็นความเงียบวังเวงในที่สุด

...เดี๋ยวเถอะชาคิล เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็รู้ ว่าจะยังปากดีแบบนี้ได้อีกหรือเปล่า

บารากัตบอกตัวเองอย่างนึกกระหยิ่มขณะเกยคางลงบนศีรษะเล็กๆ   ฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ ไม่มีอาการดิ้นรน ดื้อดึงดังเช่นยามที่ลืมตาตื่น

ความหนาวเหน็บยามราตรียังคงกัดกินลึกไปจนถึงกระดูก   แต่เพียงแค่นึกถึงใครบางคนที่นอนซุกอยู่ในอกกว้าง ชายหนุ่มก็อบอุ่นไปทั้งหัวใจ

​--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
๑๓


ใครจะร้อนใจหรือใครจะอุ่นหัวใจอย่างไร...เอ็ดเวิร์ดไม่มีทางรู้ได้เลย  และถึงต่อให้รู้ เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจอยู่ดี  เพราะสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มรับรู้ในยามนี้มีเพียงความโกรธของบุรุษร่างสูงที่ยืนกอดอกพิงประตูอยู่ตรงหน้านี่เท่านั้นละ

“บอกฉันทีซิ ว่าฉันควรทำยังไงกับแกดี เอ็ดเวิร์ด”

...ก็ไม่ต้องทำอะไร แค่ปล่อยเขาไป หรือไม่ก็ทิ้งเขาไว้ แค่นั้นเอง

สายตาของเอ็ดเวิร์ดส่อแสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม็กเกลในห้องแห่งนี้

“เรื่องมากจริงวะ”  เสียงทุ้มบ่น  “โสโครกก็ตั้งขนาดนั้น เอ้า...ไปอาบน้ำ”

“ไม่อาบ! ไม่ต้องมาเข้าใกล้ ...เอ๊ะ! อย่าเข้ามานะเว้ย”

เอ็ดเวิร์ดดูราวกับแมวตัวใหญ่ที่พองขน กางกรงเล็บเพื่อปกป้องตัวเองสุดชีวิต

“ขาเจ็บแล้วยังจะดื้อด้านอีก”

แม็กเกลทำหน้าเบื่อหน่าย ก่อนตัดสินใจแทนเรียบร้อย  “งั้นก็ไม่ต้องอาบ”

แล้วยิ้มกริ่มอย่างชั่วร้าย

“แต่ต้องมีข้อต่อรองกันหน่อย...ดีไหม?”

“ไม่...”   ได้ยินน้ำเสียงห้วนๆของตัวเองเพียงแค่นั้น เอ็ดเวิร์ดก็ต้องทรุดตัวลงนั่งบนพื้นพร้อมกับเม็ดเหงื่อผุดพรายเต็มใบหน้าด้วยความปวดแปลบที่ขา หากเมื่อร่างสูงทำท่าจะเดินเข้ามา เขาก็ตวาดเสียงลั่น

“หยุดนะ!”

แม็กเกลไม่ฟังคำเตือนนั่นเลยด้วยซ้ำ  เพราะอีกอึดใจ  เขาก็รวบขาซ้ายบวมเป่ง

ไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก

“โอ๊ย! ปล่อยสิวะ!”

แทนคำตอบ มือหนาบีบเค้นข้อเท้าเอ็ดเวิร์ดสุดแรง ก่อนจัดการลากร่างสูงโปร่งเข้ามาหาท่ามกลางเสียงแผดร้องลั่น

“มันเจ็บนะ ไอ้แม็กเกล!”   ชายหนุ่มปรามาสน้ำตานองหน้า มือจิกยึดพรมแน่น

“ขอโทษสิ”

ละม้ายถูกแม็กเกลปล่อยหมัดเสยปลายคางอย่างจัง อัยการหนุ่มนิ่งไปครู่ใหญ่ กว่าจะได้รับคำตอบสำหรับคำสั่งนั้น

...ไม่มีวัน เอ็ดเวิร์ดได้ยินเสียงชายคนหนึ่งพูดอยู่ในอก ทว่าเสียงนั้นช่างแผ่วสั่น และแห้งโหยเหลือเกิน

“พูด”   แรงคาดคั้นตามมาอีก

ในเมื่อไม่มีทางเลือก   ริมฝีปากแห้งผากจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ...ผิดไปจากคำที่ต้องการมากทีเดียว

“ไม่มีพี่ที่ไหน...ทำร้ายน้องตัวเองแบบนี้หรอก”

ถ้อยคำแสนเย็นชาไม่ต่างอะไรกับน้ำเย็นที่จัดสาดใส่หน้า แม็กเกลนิ่งอั้นไปด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง นัยน์ตาสีเขียวเบิกโต มองแววตาแสนเศร้าของ ‘น้องชาย’อย่างสับสนในครั้งแรก แล้วกลายเป็นความเกรี้ยวกราดที่ราวกับจะกระหน่ำพัดตีพังทลายทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าให้ราบลงในพริบตา

“แล้วใครว่าฉัน...ต้องการแกแบบน้องชายกันล่ะ”

แม็กเกลจับเอ็ดเวิร์ดตรึงแน่นกับพื้น ปล่อยให้สัดส่วนพองคับเบื้องล่างดุนดันอยู่ตรงหว่างขาอีกฝ่าย เป็นเสมือนคำตอบว่าความต้องการของตนอยู่ในรูปแบบไหน

เอ็ดเวิร์ดที่รับรู้ถึงความป่าเถื่อนหยาบช้าถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

แต่แล้ว...ท่ามกลางห้วงนาทีแห่งความสิ้นหวัง เหตุการณ์ในเขตสวนป่าร้างพลันกระจ่างชัดขึ้นมา...หนทางรอดอันน้อยนิดเพียงหนึ่งเดียว...เขาเอ่ยเสียงสั่น

“อย่านะ...ก็ไหนตกลงกันไว้แล้ว”

แล้วชายหนุ่มก็มองเห็นร่องรอยสงสัยบนใบหน้าเข้มคมเต็มสองตา

“ข้อตกลง”  คนฟังทำสีหน้าคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน  “ที่ป่านั่นน่ะหรือ?”

‘ทำเป็นเกลียดฉันดีนักนะ...คอยดูเถอะ!  คืนนี้จะให้แกบอกรักทั้งคืนจนกว่าฉันจะพอใจ ดูซิ...จะยังเก่งไปได้อีกซักกี่น้ำ!’

แม็กเกลยุติคำสันนิษฐานในใจลงด้วยการบอกอย่างเคร่งขรึม

“แกกับฉัน...ไม่เคยมีข้อตกลงอะไรกันทั้งนั้น”

“...ช่วยให้เกียรติคนร่วมสายเลือดกับนายสักครั้งเถอะ”

เอ็ดเวิร์ดมองสบตาเขาอย่างอ้อนวอน

“ตัวเองไม่อยู่ในฐานะที่จะต่อรองอะไรแท้ๆ”   ดวงตาสีเขียววาววับ

“เถอะ...ก็ได้ เอ็ดเวิร์ด แกจะยังปลอดภัยอยู่ตราบเท่าที่แกพูดคำว่า ‘รัก’ ให้ฉันฟัง และมันทำให้ฉันพอใจ”

“แล้ว...แล้วถ้าเกิดนาย...เอ่อ...หน้ามืด...ขึ้นมาล่ะ”

เสียงถามอึกอักแต่แฝงไว้ด้วยความรอบคอบอันเจนจัดนั้นทำให้แม็กเกล  หัวเราะเบาๆอย่างถูกใจ

“สำหรับเรื่องนั้น...แกคงต้องหาทางช่วยตัวเองแล้วล่ะ”

คำพูดที่ได้ยินไม่ช่วยให้คนรอฟังคำตอบรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วเอ็ดเวิร์ดก็ได้ยินคำสั่งที่ทำให้เขาแทบลมจับในประโยคต่อมานั่นเอง

“ไหนลองพูดอย่างวิงวอนซิว่า ‘ผมรักพี่’ น่ะ”







แสงตะวันสีอ่อนจางราโรยไปจากฟ้าแล้วเมื่อแม็กเกลพาเอ็ดเวิร์ดกลับห้องนอน แม้ว่าคนในอ้อมแขนจะส่งเสียงคัดค้านเพียงใดก็ตาม หากก็ยังมิอาจเปลี่ยนหัวใจดวงที่มั่นคงดุจขุนเขาของชายหน้าบากได้เลย

แต่ความอดทนของทุกคนย่อมมีขีดจำกัด  ความอดทนของแม็กเกลมาถึงขีดสุดตอนที่ได้ยินชายหนุ่มโวยวายจะไม่ยอมอาบน้ำอยู่ท่าเดียวนั่นละ

“ต้องอาบ จะได้จัดการขาข้างนั้นของแกได้”   เสียงกร้าวยื่นคำขาด

“ก็เพราะใครล่ะ”  ชายหนุ่มโต้ทันควัน  “ที่ไปบีบไปเค้นมันจนช้ำแบบนั้นน่ะ”

ทั้งสองจับจ้องไปยังขาซ้ายที่บวมอักเสบ และเห็นร่องรอยนิ้วมือขึ้นเป็นจ้ำสีเขียว

ได้ค่อนข้างชัด

ยามนี้ ไม่ใช่แค่หน้าตาที่บูดบึ้งเท่านั้นหรอก แม็กเกลยังได้ยินเสียงฮึดฮัดในลำคอและอาการดิ้นรนพยายามจะหนีลงจากอ้อมแขนของเขาอีกต่างหาก

“เอ็ดเวิร์ด ถ้าแกยังไม่หยุดทำตัวแบบนี้ ฉันจะจูบแก”

อีกฝ่ายไม่สนใจฟังเลยด้วยซ้ำ

“แล้วฉันก็จะข่มขืนแกต่อ...ตอนนี้เลย”

เท่านั้นล่ะ...นิ่ง...จนเรียกว่าเกร็งเลยก็ว่าได้ ชายร่างสูงถอนใจยาวอย่างโล่งใจ วางคนดื้อด้านลงนั่งตรงขอบอ่าง หยิบผ้าและกะละมังมาวางใกล้ๆ  แล้วคุกเข่าลง

“ถอดออกให้หมด”

เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของเอ็ดเวิร์ด สุ้มเสียงกระด้างจึงหยอดว่า

“หรือแกจะให้ฉันถอดให้”

“ไม่ต้อง”

“งั้นก็ทำสิ เร็วๆด้วย ไม่งั้นเกิดฉันทนไม่ไหวเข้าไปช่วยถอดแล้วละก็...หึ”

“...โรคจิต”

คนถูกสั่งทำท่าไม่พอใจ แต่มือซึ่งเริ่มปลดกระดุมเสื้อกลับสั่นระริก

แม็กเกลเห็นเข้าถึงกับหัวเราะเสียงหยัน

“หน้าบางจังนะ ทั้งๆที่ถูกเห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแท้ๆ”

คำพูดนั้นจี้ใจเอ็ดเวิร์ดจนชาดิก ใบหน้าคมสันเบือนหนี  ริมฝีปากเม้มแน่น

มือเรียวค่อยๆถอดเสื้อเชิ้ตออก แผ่นอกขาวจัดสะท้อนแรงด้วยความอาย ส่งให้ยอดอกสีอ่อนขยับล่อตาล่อใจคนดูนัก เขาปลดตะขอ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นเพื่อถอดกางเกง แต่อาการเสียวปลาบที่ข้อเท้าก็ทำให้ต้องทิ้งกายลงนั่งดังเดิม

“ชักช้า...”

แม็กเกลพูดออกมาแค่นั้น  มือก็โอบเอวอีกฝ่ายจนตัวลอย ก่อนกระชากกางเกงและชั้นในติดออกมาพร้อมกัน มาเฟียหนุ่มเปลี่ยนที่ไปนั่งบนขอบอ่าง  และจับเอ็ดเวิร์ดนั่งตัก หันหน้าเข้าหาตน

“เดี๋ยวเอาผ้าชุบน้ำวางบนเท้าเอาไว้ จะได้ทุเลาลง”

เขาทำเป็นมองไม่เห็นร่องรอยสับสนในดวงตาสีเทาอ่อนคู่นั้น แต่เอื้อมมือเปิดฝักบัวใส่น้ำเย็นจนเต็มกะละมัง หยิบผ้าขึ้นมาบิดหมาดแล้ววางลงบนบริเวณที่อักเสบแผ่วเบา

“...เย็น”   ร่างเปลือยเปล่าในวงแขนส่งเสียงท้วง

“ทนหน่อย เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จก็ออกไปทายาแล้ว”

มือใหญ่วักน้ำลูบเรือนผมเปียกลู่แนบศีรษะให้น้องชายต่างบิดา  ก่อนเทแชมพูลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่ตอนนี้ยาวขึ้นจนเกือบเท่ากับครั้งแรกที่พบกัน

น่าแปลก...ที่เอ็ดเวิร์ดในยามนี้ดูเหมือนจะยอมสงบและอ่อนลงให้กับเขา

แม้จะไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว

“หลับตา”   สุ้มเสียงทุ้มอ่อนลงเช่นกัน

แม็กเกลล้างแชมพูออกจนหมด ก่อนทำท่าว่าจะถูตัวให้อีก

“ไม่ต้อง เดี๋ยวทำเองได้”

ใบหน้าเรื่อสีของอัยการหนุ่มบอกบ่งชัดแจ้งทีเดียวว่าเพราะเหตุใด

ผิดกับนัยน์ตาสีมรกตที่วาววับยิ่งนัก

“จะได้เสร็จเร็วๆ ไม่ดีรึไง”

“ไม่ดี!”

เอ็ดเวิร์ดบีบสบู่เหลวลงฝ่ามือและเริ่มถูตัวอย่างทุลักทุเล  ยิ่งถูกแม็กเกลจับจ้องไม่วางตา  เขาก็ยิ่งกระดากอายจนไม่รู้ว่าควรจะวางหน้าไว้ตรงไหน  สุดท้ายจึงตีหน้าเข้มใส่อีกฝ่าย แต่กลับถูกหัวเราะเยาะกลับมา

แล้วชายหนุ่มก็เพิ่งรู้ตัวว่า เขากำลังพยายามข่มขู่แม็กเกล เดอะ สการ์เฟสอยู่

--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
๑๔


“งี่เง่า”

แม็กเกลคนเดิมกลับมาแล้ว

แม็กเกลคนที่ชอบบังคับ ขู่เข็ญนานาสารพัด และเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจคนนั้น

“แกนี่มันโง่จริงๆเดินประสาอะไร   ทำตัวเองขาแพลง  เอ้า! จับไว้...ประคบเอง   ฉันไม่ใช่คนใช้แกนะ จะได้มาคอยดูแลตลอดเวลา”

แล้วใครขอกันวะ เอ็ดเวิร์ดโวยวายลั่นในอก

ชายหน้าบากตวัดสายตามองคนเจ็บ ก่อนยื่นยากับแก้วน้ำให้

“ยาอะไร”   เอ็ดเวิร์ดยังคงไม่ยอมรับยาไปโดยง่าย

“ยานอนหลับกับยาแก้ปวด”

“เอายานอนหลับมาทำไม!”   ถามไปแล้ว คนถามก็กลับเป็นฝ่ายตระหนกเองว่า ทำไมสุ้มเสียงของตนถึงได้เต็มไปด้วยความระแวงแบบนั้น

“แม็กเกล...”

ซ้ำยังเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปโดยไม่ทันคิดอีกต่างหาก

“ไม่ได้จะเอามาลักหลับแกหรอกน่ะ”   แม็กเกลเชยคางชายหนุ่มขึ้นสบตา

“ถ้าฉันอยากจะทำ สู้ทำตอนที่แกตื่นมันจะไม่สนุกกว่าหรือไง”

พร้อมกับบอก ร่างสูงใหญ่พลันแย่งยามาอมไว้ในปาก ตามด้วยน้ำ ก่อนประกบปากป้อนยาเอ็ดเวิร์ดโดยไม่แม้แต่จะถามถึงความยินยอมของเจ้าตัว

“อื้อ...อือ...”

เนิ่นนาน กระทั่งแน่ใจว่าคนเจ็บกลืนยาลงไปแล้ว แม็กเกลจึงถอนริมฝีปากออก

แล้วเริ่มพรมจูบไปตามซอกคอขาว ไล่ไปจนถึงแผ่นอกกระเพื่อมหนักหน่วง

“...อย่าทำแบบนี้”

“งั้นก็ลองห้ามสิ”

“รัก...”

“...”   แม็กเกลขบกรามแน่นอย่างสุดกลั้น ไม่เอ่ยคำใด

“...จะให้ฉัน...พูดอีกเท่าไหร่ก็ได้...แต่อย่าทำแบบนี้”

บอกเช่นนั้น แต่เอ็ดเวิร์ดไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดเพียงคำเดียวกลับทำให้มาเฟียหนุ่มเหมือนตกอยู่ในกองเพลิงทั้งเป็น...หัวใจแทบสลายด้วยความปรารถนาที่เปี่ยมล้น

“รัก...นะครับ...พี่ชาย”

ดูมันสิ...  ดูเจ้าคนกระตุ้นตัณหามันยังไม่รู้ตัว  ยังส่งคีย์เวิร์ดชวนให้ขยี้สวาทมาอีกเป็นชุด  หมายจะแผดเผาบั่นทอนความอดทนอดกลั้นอันน้อยนิดของเขาให้มอดเป็นจุณเลยหรือไร

“เงียบ ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าขืนพูดอีกแม้แต่คำเดียว... ฉันไม่ปล่อยให้แกแค่ขาเจ็บแน่”   แม็กเกลส่งเสียงคำรามในลำคอเหมือนสัตว์บาดเจ็บ  “รีบๆนอนให้หลับซะ ก่อนที่ยาแก้ปวดมันจะหมดฤทธิ์ ฉันขี้เกียจฟังเสียงแกคร่ำครวญตอนดึก”

สุ้มเสียงทุ้มบอกพร้อมกับไออุ่นที่เลือนหายไป

แสงสีจากหลอดไฟนีออนต้องใบหน้าคมเข้มจนเหมือนฉาบด้วยประกายลออเรืองรอง  ดวงตาวาววับของคนที่ทรุดกายลงนั่งบนโซฟาตรงมุมห้องยังจ้องมาทางนี้ไม่วางตา คนเจ็บรีบเบือนหน้าหนี หันหลังให้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกถึงสายตาคมกริบคู่นั้นตลอดเวลา

ฤทธิ์ยาทั้งสองชนิดทำงานรวดเร็วเกินคาด   เริ่มตั้งแต่ไม่รู้สึกถึงอาการปวดหนึบที่ขาซ้าย ถัดมาคือสติสำนึกที่ถูกบั่นทอนลงทีละน้อย

ยานอนหลับฤทธิ์แรงซึ่งเป็นของกำนัลจากความใจดีของใครบางคน...ที่คงกลัวว่าเขาจะปวดขาจนนอนไม่หลับ

เพียงแค่คิดก็อุ่นวาบไปทั้งหัวใจ ก่อนชายหนุ่มจะโอบกอดความอบอุ่นนั้นไว้แล้วดำดิ่งสู่นิทรา







แม็กเกลเพิ่งได้นอนหลับตอนฟ้าสาง  แสงสีทองสาดลอดม่านเมฆและปุยหมอกออกมาเล็กน้อย  ขณะที่เงาบางอย่างขนาดมหึมาลอยตัดผ่านบานหน้าต่างไป  แมกไม้รอบคฤหาสน์ปลิวเป็นคลื่นตามกระแสลมแรง

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นปลุกชายร่างสูงให้ลืมตาตื่นอย่างไม่เต็มใจ

“อะไรอีกแล้ววะ”   เขารำพึงเสียงต่ำลึก พลางลูบหน้าลูบตาเรียกสติให้ตัวเอง

และแล้วก็อดใจไม่ไหว แม็กเกลลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับเหลียวมองคนที่ยังหลับสนิทอยู่ข้างกาย แลเลยไปยังข้อเท้าซ้ายที่วันนี้ดูจะลดบวมลงไปมากแล้ว

...พักอีกสักสองวันก็คงหาย

มาเฟียหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก โน้มตัวลงหมายจะขโมยจูบจากริมฝีปากบาง

ปัง!

“แม็กเกล! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ”

หญิงสาวเพียงคนเดียวในคฤหาสน์หลังงามพุ่งพรวดเข้ามาในห้องอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นเพื่อนชายนั่งซบหน้าลงกับฝ่ามือคล้ายหมดอาลัยตายอยากในชีวิต

“เป็นอะไรของคุณน่ะ?”

ไอรีนถาม พอดีกับเอ็ดเวิร์ดที่งัวเงียตื่นเพราะเสียงโหวกเหวกแต่เช้า

“อ้าว...เอ็ดเวิร์ด อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

“...ครับ...”   ชายหนุ่มก้มหน้าต่ำ เขยิบหนีจากร่างสูงหนาอัตโนมัติ

เป็นอากัปกิริยาที่แม็กเกลเห็นแล้วขัดใจนัก  “จะไปไหน มานี่เลย!”

“ว้าย! อะไรกันคะแม็กเกล คุณจะทำร้ายคนที่ตัวเองรักแต่เช้าเลยเหรอ”

ไอรีนร้องลั่น  แต่หากจะมีอะไรสักอย่างที่ไม่เหมือนคนตกใจ   ก็เห็นจะเป็นเสียงร้องอย่างมีจริตและแววตาวาววับนี่กระมัง

“นี่หล่อน...เก็บอาการหน่อยก็ดีนะ”

...เก็บเสียงกับหน้าตาระริกระรี้ของหล่อนไปไกลๆเลย!

เดอะ สการ์เฟสอยากจับเพื่อนสาวฝังคอนกรีตเสียให้รู้แล้วรู้รอดนัก

“มีอะไรก็ว่ามา เกิดเรื่องใหญ่อะไร”

“อ้อ...ขอโทษค่ะ พอดีเห็นเรื่องเร้าใจกว่าเลยลืม”   หญิงสาวกลั้นยิ้มเมื่อเห็นสายตาพิฆาตของคู่สนทนา  “มีเฮลิคอปเตอร์มาลงจอดบนดาดฟ้าโดยพลการค่ะ สตีฟบอกว่าตราสกรีนข้างเครื่องเป็นของตระกูลโอมาลนอฟ”

“พวกมันจะมาทำไม สัญญาคราวที่แล้วยังเหลืออีกตั้งสองปี”

“เอาคนมาทิ้งค่ะ”

“ใคร?”

“ทเวน เทมส์”

“หา! ทเวน!?”

เสียงสุดท้ายไม่ใช่ของสองหนุ่มสาวแห่งโลกมืด แต่เป็นเอ็ดเวิร์ดที่ยามนี้นั่งหน้าถอดสีอยู่บนเตียง





ไอ้พวกบ้าเอ๊ย คิดจะใช้เงินฟาดหัวกันรึไง เลวที่สุด!”

สุ้มเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดแผดก้องมาให้ได้ยินทันทีที่เอ็ดเวิร์ดและแม็กเกลมา  ถึงดาดฟ้า  แล้วพอก้าวออกไปยืนอยู่ใต้แสงแดดยามเช้า  ทั้งสองก็มองเห็นชายร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาบึ้งตึงกระฟัดกระเฟียดอยู่ท่ามกลางเหล่าบุรุษในสูทดำ

“ทเวน”

ชายเจ้าของชื่อชะงักมือที่ง้างขึ้นไว้กลางอากาศ หันมามองคนเรียกทันควัน

“เอ็ด นั่นนายใช่ไหม นายจริงๆใช่ไหม”   สุ้มเสียงถามแหบแห้ง ทำให้คนฟังรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเพิ่งผ่านพ้นเหตุการณ์ที่เจ็บช้ำมา

“ทเวน เกิดอะไรขึ้น”

คำถามจบลง   ทุกคนก็ไม่ต้องการคำอธิบายเลย  เมื่อชายผิวสีน้ำผึ้งที่เกือบถูก ทเวนประเคนหมัดใส่ก้าวออกมาพร้อมกระเป๋าขนาดเหมาะมือสองใบ

“นี่คือค่าว่าจ้างให้คุณไปจากนายน้อยครับ...กรุณารับไว้ด้วย มิเช่นนั้นคุณจะไม่เหลืออะไรเลย...แม้แต่ชีวิตของคุณ มิสเตอร์เทมส์”

ทว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมองปึกธนบัตรในกระเป๋านั่นเลยด้วยซ้ำ

“ไอ้หมารับใช้อย่างพวกแกมันจะไปรู้อะไร! พาฉันกลับไปหาเรฟเดี๋ยวนี้นะ”

“กลับไปให้นายท่านฆ่าน่ะหรือครับ  มิสเตอร์เทมส์?  รอยแผลบนคอของคุณมันไม่ช่วยให้คนฉลาดอย่างคุณรู้สึกตัวขึ้นมาบ้างเลยหรือครับ”

ทุกคนเห็นคราบเลือดเปรอะเปื้อนชุดจิลบาของอัยการหนุ่มอารมณ์ร้อนชัดเจน

“เออ! จะกลับไปให้ใครฆ่าก็ช่างสิ แต่ช่วยพาฉัน...กลับไปหาเรฟที”

ดูเหมือนว่าการที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างเด็กหนุ่มคนนั้น  สำหรับทเวนแล้ว มันคงไม่ต่างอะไรกับตายทั้งเป็นนั่นละ

เอ็ดเวิร์ดตะกายลงจากวงแขนของแม็กเกล เดินโขยกเขยกไปกอดคอสหายสนิทเอาไว้ ดุจต้องการบอกว่า พวกเขาจะไม่ทอดทิ้งกัน...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม

นักเจรจาจากฝั่งเอเฟ็ทเองก็คล้ายอึ้งไปกับหัวใจของทเวนเช่นกัน

วูบหนึ่ง ที่ดวงตาสีดำขลับสงบนิ่งวูบไหวเหมือนวงน้ำที่แตกกระจาย ก่อนกลับมาเฉยชาดังเดิมอย่างรวดเร็ว

“กรุณามารับเงินจำนวนนี้ไปด้วยครับ คุณจะมีกินมีใช้ไปตลอดชาติ ผมรับรอง”

“ก็บอกว่าไม่เอาไงวะ! พูดไม่รู้เรื่องรึไง!”  คนตอบ ตอบด้วยทีท่าเหมือนจะคลั่ง

“แล้วเรฟทำอะไรผิด ทำไมไอ้แก่นั่นต้องตบหน้าเรฟด้วย”

“กรุณากล่าวถึงนายท่านด้วยความเคารพด้วยครับ สิ่งที่ท่านทำลงไปก็เพื่อสั่งสอนบุตรชายเท่านั้น”

แต่ทเวนไม่สนอะไรอีกแล้ว

“ระยำน่ะสิ! สั่งสอนห่าเหวอะไรกัน รับไม่ได้โว้ย! พวกฉันไม่ผิด!”

ชายผู้นั้นมองนัยน์ตาแดงช้ำของอัยการหนุ่มด้วยความสงสารนัก

“ยอมรับเถอะครับคุณ  เรื่องที่คุณทำลายความบริสุทธิ์ของนายน้อยไปนั้น...”

เขายังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ทเวนก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“ว่าไงนะ?”

เงียบกันไปครู่หนึ่ง ก่อนคู่เจรจาจะเอ่ยอีกครั้ง

“เรื่องที่คุณทำร้ายนายน้อย”

“ฉัน...?”   คนที่ตกเป็นจำเลยยกนิ้วชี้หน้าตัวเองแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน

“มันน่าจะเป็นแบบนั้นสินะ...”   ร่างสูงสง่าในชุดจิลบาเดินอาดๆเข้าไปผลักอกชายผิวสีน้ำผึ้งจนหงายล้มไปนั่งกองบนพื้น ก่อนกราดมองผู้คนที่โดยสารข้ามประเทศมากับเขาด้วยแววตาวาวจ้าดุจมีกองเพลิงลุกโชนอยู่ในนั้น

“ไอ้คนที่ถูกพรากพรหมจรรย์นั่นมันฉันต่างหากโว้ย! ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายอ้าขาทุกครั้งเวลาขึ้นเตียง! เมื่อคืนก่อนก็ตั้งหลายรอบ ยังเจ็บก้นไม่หายเลย!”**

หลังจากนั้นก็เกิดความเงียบขึ้น

เงียบ...ชนิดที่เรียกว่า แม้เข็มสักเล่มหล่นลงบนพื้นก็คงได้ยิน

“ทเวน...ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งวู่วาม”

เอ็ดเวิร์ดที่สงบปากคำมานาน พอสบโอกาสก็ตักเตือนสหายรักทันที

แต่ว่านอกจากเอ็ดเวิร์ดแล้ว คนอื่นๆล้วนแต่เบิกตาโตอ้าปากค้าง มองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าคล้ายไม่อยากเชื่อสายตาและ...ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

ในความตึงเครียดราวกับระเบิดที่พร้อมจะระเบิดอยู่ทุกเวลานั่นเอง สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น

“นี่มัน...หมายความไงหรือครับ คุณแม็กเกล”

คำถามจากนักเจรจาหนุ่มถูกส่งตรงไปยังบุรุษเจ้าของบ้าน เบื้องหลังเขาปรากฏกองทัพติดอาวุธยืนเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อย

ไม่เพียงแต่ชายผู้นั้น แม้กระทั่งสองอัยการหนุ่มยังเหลียวมองรอบตัวด้วยความตกตะลึง

ปืนหลายร้อยกระบอกจ่อล้อมมาจากทุกทิศทาง!

“...พอดีเพิ่งนึกออกว่ามีธุระที่ฝั่งนู้นน่ะ อาฟซาล” แม็กเกลให้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นด้วยสีหน้าสบายๆ

“ด่วนมากถึงขนาดจะจี้เฮลิคอปเตอร์ของพวกผมเลยหรือครับ” อาฟซาลขมวดคิ้วอย่างไม่ค่อยพอใจ

“ฉันไม่ได้จะเอาเฮลิคอปเตอร์”

นาทีนี้ เอ็ดเวิร์ดเริ่มเข้าใจแล้วว่า ชายหน้าบากคิดจะทำอะไร

“เอาล่ะ...นำทางไปขึ้นเครื่องบินของนายทีสิ  เอเฟ็ททุ่มเท่าไรกันละนี่ ถึงได้ผ่าน

น่านฟ้ามาแบบไม่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าประเทศแบบนี้”

“เฮ้อ...คุณทำผมหนักใจนะครับ กลับไปผมต้องถูกปลดแน่ๆเลย”

อาฟซาลดูเหมือนจะเริ่มทำใจได้บ้างแล้ว แม็กเกลเหยียดยิ้มเมื่อการเจรจาเป็นผล

“เดี๋ยวจะช่วยพูดให้ นายเองก็คอยดูลูกน้องอย่าให้พวกมันตุกติกนัก เพราะฉันไม่ค่อยชอบยิงหัวคนเท่าไหร่...เห็นสมองสาดแล้วมันเสียอารมณ์”

ดวงตาสีมรกตวามวาวมากเล่ห์ พรายยิ้มลึกลับแต่งแต้มระบายทั่วใบหน้าคมสัน







จาเรฟไม่รู้ว่าตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นมานานแค่ไหน  แต่เขานั่งมองใบหน้าผู้คนที่ผ่านเข้ามาพูดคุยปลอบโยนตลอดทั้งคืน จนกระทั่งมองเห็นแสงขอบฟ้าไกลลิบตาสาดผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบใบหน้า เด็กหนุ่มมองเงาสะท้อนผ่านกระจกบานนั้น ร่องรอยแดงช้ำบนผิวแก้มที่เกิดจากการโต้เถียงกับบิดาอย่างรุนแรงยังคงมีอยู่...ถึงแม้จะอ่อนจางลงไปมากแล้วก็ตาม

ในแววตาอ้างว้างที่มองเห็น คล้ายปรากฏเงาร่างใครบางคนซ้อนทับขึ้นมา

ดวงตาฉายแววอ่อนใจคู่นั้น...เรือนกายสูงสง่าที่ยอมละทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อเขา...

“ทเวนฮะ...ผมคิดถึงคุณ”

จาเรฟแนบใบหน้ากับกระจกใสเย็นเฉียบ ปรารถนาสุดหัวใจที่จะออกไปตามหาใครคนนั้น เขากำลังมองหาหนทาง...ที่จะได้อยู่ร่วมกับทเวนอย่างสุดความสามารถ

“ไง...จาเรฟ เสียเวลามาทั้งคืน ลูกเลิกเห็นกงจักรเป็นดอกบัวหรือยัง”

เด็กหนุ่มหันไปทางชายวัยกลางคนอย่างเหลืออดกับคำถามส่อเสียด

“ผมไม่เคยเห็นกงจักรเป็นดอกบัว มีท่านพ่อคนเดียวนั่นละ ที่มองเห็นดอกบัวเป็นกงจักรไปได้ ถามจริงๆเถอะครับ  คนรักของเรฟไม่ดีตรงไหน ทำไมต้องคอยกีดกั้นพวกเราถึงขนาดนี้ด้วย”

อยากถามไถ่ออกไปเหลือเกินนักว่า ความรักที่ไม่แบ่งแยกชนชั้นหรือเพศพันธุ์นั้นผิดหรือไร

“จาเรฟ! เดี๋ยวนี้กล้าย้อนพ่อเชียวรึ”

เอเฟ็ทเงื้อมือขึ้นเหนือศีรษะหมายจะฟาดลงบนแก้มใส แต่ครั้นมองเห็นดวงตาแดงช้ำคล้ายคนอดนอนมาทั้งคืนของบุตรชาย ใจของผู้เป็นบิดาก็อ่อนยวบ  จำต้องผ่อนลมหายใจช้าลึกเพื่อระงับโทสะแทน

“เลิกคิดถึงไอ้ผู้ชายคนนั้นแล้วไปหลับไปนอนซะ อย่าได้เอาหน้าตาโทรมๆแบบนี้มาให้พ่อเห็นอีก”

“ไม่ฮะ ท่านพ่อ จนกว่าพวกเราจะคุยกันรู้เรื่อง”  จาเรฟร้องเรียกก่อนที่อีกฝ่ายจะผละจากไป  “ทเวนไม่ใช่ผู้ชายไม่มีหัวนอนปลายเท้า แล้วก็ไม่ใช่ผู้ชายขายตัวด้วย คนรักของผมเป็นอัยการ เคยเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ แล้วผมก็รักเขามาก  ท่านพ่อฮะ...ได้โปรด...อย่าทำลายความรักของพวกผมมากไปกว่านี้เลย”

ใบหน้าเข้มของเอเฟ็ทหันมามองเด็กหนุ่มนิ่ง

“แต่ผู้ชายคนนั้นทำร้ายลูก...ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พ่อจะยอมให้เกิดขึ้น”

“ทเวนไม่เคยทำร้ายเรฟเลยนะฮะ แม้แต่ทุบตีก็ไม่เคย”

“พ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”

“เรฟเข้าใจฮะ”   ดวงตาสีฟ้าใสพราวพร่าง มือเล็กยกขึ้นลูบรอยแดงบนแก้ม

“ถ้าท่านพ่อไม่ตบหน้าเรฟก่อน  แล้วปล่อยให้เรฟได้อธิบายจนจบ  เรื่องมันอาจไม่ยุ่งยากแบบนี้ก็ได้”

“ลูกหมายความว่าไง”   เสียงทุ้มมีแต่ความสงสัยเต็มเปี่ยม

จาเรฟยิ้มรับสดใส ก่อนตอบสั้นๆเพียงว่า

“ผมเป็นสามีของทเวนฮะ...โดยพฤตินัย”

พฤตินัย เทียบเท่าได้กับการกระทำลงมือ

เช่นนั้น...ก็หมายความว่า...

เอเฟ็ทอดถามไม่ได้   “ทเวน...คนรักของลูกเป็น‘ฝ่ายรับ’อย่างนั้นหรือ”

คำตอบที่ได้รับ ทำเอาคนถามแทบกลั้นใจตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

“ใช่ฮะ ผมเป็นผู้ชายคนแรกของเขาด้วยนะฮะท่านพ่อ”

สุ้มเสียงส่อแสดงความดีใจไม่ปิดบัง  ราวเด็กตัวเล็กๆอวดของเล่นชิ้นโปรดด้วยนัยน์ตาวาวเป็นประกาย

บุรุษผู้ยิ่งใหญ่มองภาพนั้นถึงกับหมดแรง   ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดียวกับที่บุตรชายนั่งมาทั้งคืน ยกมือปิดหน้า อดไม่อยู่ต้องปรายตาเคืองมายังเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ยามนี้เอาแต่พร่ำพูดไม่หยุดปาก

“เพื่อนของแม่คนนี้น่ารักที่สุดเลย น่ารักน่ากอดจนเรฟอดใจไม่ไหว...ต้องแกล้ง”

“อย่าไปแกล้งเขามากเลยลูก...สงสารเขาเถอะ”

กลับกลายเป็นว่าเอเฟ็ทต้องไปเข้าข้างทเวนแทน  ซึ่งก็บอกไม่ถูกเหมือนกันละว่า...ควรจะสงสารใครดี ระหว่างชายคนนั้นกับตัวเอง

“ท่านพ่อพาทเวนกลับมาเถอะฮะ...นะ นะๆๆ”   ยังมีเสียงเซ้าซี้มาอีก

“พ่อว่า...อย่าเพิ่งให้เขากลับมารับกรรม...กลับมาลำบากกับเราเลยนะ ตอนนี้”

เขาตอบอย่างเหนื่อยใจ

จาเรฟนิ่งขึงพลางทำท่าคิด ก่อนย้อนแต่พอตัว

“ถ้าท่านพ่อไม่ตามใจเรฟละก็ เรฟจะฟ้องท่านแม่”

“อย่า”  คนเป็นพ่อร้องห้ามทันควัน  สิ่งเดียวที่ไม่ต้องการให้เกิดขึ้นคือความขุ่นข้องกับสตรีผู้เป็นยอดดวงใจ   ซึ่งทุกครั้งทุกคราวหล่อนมักจะคอยให้ท้ายลูกมาตลอด

“เดี๋ยวพ่อจะหาทางให้ แต่อย่าเพิ่ง...”

“ไม่เอาล่ะ เรฟไม่รอแล้ว ไปหาท่านแม่ดีกว่า”

เด็กหนุ่มทำท่าจะไปจริงๆ

“ตกลง เดี๋ยวพ่อจะสั่งให้อาฟซาลยกเลิกภารกิจคราวนี้ให้”

“ว้าว ขอบคุณครับ! ท่านพ่อใจดีที่สุดเลย!”  จาเรฟตรงเข้าสวมกอดบิดาแน่น แล้วเอาคางเกยไหล่อย่างออดอ้อนเหมือนเด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่ง...

พร้อมขยิบตาให้ลีเด็นที่ยืนซ่อนอยู่หลังม่านกำมะหยี่  อันมีความหมายในแบบที่รู้กันว่า...แผนการคราวนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม

​(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

(ต่อ)

บรรยากาศที่เย็นเยือกมาทั้งคืนทำให้อากาศยามฟ้าสางหนาวจับจิต

ร่างเล็กที่แอบซุกอยู่ในผ้าห่มผืนบางขยับกายยุกยิก ควานหากระไออุ่นราวเด็กน้อยหลงทาง

สัมผัสร้อนเลือนรางจางหายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นกายบางเบาในม่านฝันเท่านั้น

เปลือกตาปิดสนิทปรือขึ้นอย่างเชื่องช้า ทิวทัศน์รอบกายมืดสนิท แสงจันทร์นวลลอยต่ำเลียดขอบฟ้า โลกยามราตรีกำลังจะลับไป แทนที่ด้วยรุ่งอรุณแห่งวันใหม่

ชาคิลบิดกายน้อยๆพลางมองหาเงาร่างสูงใหญ่ของใครบางคน  ก่อนพบว่าเขาถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง

กองสัมภาระยังกองอยู่ที่เดิม แต่ตัวคนเท่านั้นที่หายไป

“บารากัต!”   เด็กหนุ่มตะโกนก้อง  ทว่าไม่มีเสียงตอบรับ

ความกังวลเริ่มก่อตัวทีละน้อย  จนถึงระดับที่มิอาจทนนั่งเฉยได้อีกต่อไป ชาคิลออกเดินสำรวจไปรอบๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน

“บารากัต...”   สุ้มเสียงแผ่วโหยร้องเรียกอย่างสิ้นหวัง

รอบกายยังคงเงียบกริบ

ไม่มีเสียงตอบรับ...ไม่ว่าเขาจะพยายามส่งเสียงสักแค่ไหนก็ตาม

เด็กหนุ่มกลับมานอนซุกกายในผืนผ้าห่มที่อาศัยนอนมาตลอดคืน ก่อนหลับตาลงด้วยความปวดร้าว ความตายที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาไม่อาจสร้างความหวาดหวั่น ให้แก่ชาคิลได้เลย  แต่ความแปลบปลาบร้าวลึกในหัวใจกลับเอ่อล้นขึ้นมาจนเกินกว่าจะเก็บกักไว้ได้อีกแล้ว

...พี่...ฮะ...

นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มลืมขึ้นทันใดยามได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบย่ำลงบนเนื้อทรายละเอียด ใบหน้าคมงามหันไปยังต้นเสียงอัตโนมัติ ก่อนนิ่งงันไปเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด

“จูมาน่า...”

ดวงตากลมโตสีดำสนิทกระพริบรับคำเรียกหานั้น ขณะที่เขายืนตะลึงงันไปแล้ว

อูฐสาวแสนสวย เจ้าของดวงตางดงามราวอัญมณีเลอค่า สมดังนาม ‘จูมาน่า’ สัตว์เลี้ยงเพียงตัวเดียวของฮาคิม โอมาลนอฟ!

“นี่เจ้า...”   ชาคิลมองจูมาน่าที่เดินใกล้ๆเข้ามา ก่อนเด็กชายจะทันสังเกตเห็นคราบสีแดงคล้ำติดอยู่บนขนสีน้ำตาลหยาบ เช่นเดียวกับร่างผู้โดยสารหนุ่มบนหลังอูฐสาวที่นอนซบอยู่อย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง ผิวเกรียมแดดของเขาเปื้อนหย่อมเลือดประปราย ดวงตาปิดสนิท คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นด้วยความเจ็บปวด

“บารากัต!”

ร่างสูงใหญ่เลื่อนหล่นลงมาดังตุ้บ ชาคิลปราดเข้าไปคุกเข่าข้างๆเขาทันที

“...ชา...คิล...”   สุ้มเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียก

“บารากัต...ทำไม...เป็นแบบนี้ล่ะ”

ดูท่าว่าแผลประปรายที่คิดไว้ในตอนแรกจะไม่ถูกต้องเสียแล้ว เมื่อคนเจ็บพลิกตัวนอนหงายจนเห็นแผลพาดยาวจากบ่าซ้ายไปจรดท้องฝั่งขวา  แม้ว่าเจ้าตัวจะยืนยันว่าเล็กน้อย  แต่ลิ่มเลือดที่ไหลออกมาจากปากแผลกับเสี้ยวหน้าคร้ามเข้มซีดเซียวก็ทำให้ยากนักที่จะปักใจเชื่อลง  ชาคิลรีบพยุงบารากิตไปนอนบนผ้า ก่อนควานหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลด้วยความร้อนรน

เคราะห์ดีที่ในย่ามมีผ้าพันแผลและผงโรยห้ามเลือดติดมาด้วย เด็กหนุ่มนั่งทำแผลไปก็ยกมือปาดน้ำตาป้อยๆไปอย่างคนใจเสีย  ถ้าบารากัตตายไปเขาจะทำอย่างไร...นั่นเอาไว้ทีหลัง แต่ทว่ายามนี้ ห้วงเวลานี้ เพียงแค่เห็นพี่ชายต่างมารดานอนเจ็บนอนทรมานอยู่ตรงหน้า หัวใจของชาคิลก็แทบแหลกสลาย

“ไปทำอะไรมา...ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

“ไม่มีอะไร”   บารากัตตอบทั้งที่ยังหลับตา

“ไม่มีอะไรแล้วทำไมถึงบาดเจ็บขนาดนี้ล่ะ!”  เด็กหนุ่มเริ่มขึ้นเสียง แต่เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ปิดปากเงียบ   เขาก็อับจนหนทางที่จะซักไซ้ไล่เลียงต่อ   กลับกัน...น้ำตาที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความหนักใจหรือโล่งใจเริ่มพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง

ใจจริงชาคิลนึกอยากนอนซบลงบนแผงอกกว้างของอีกฝ่ายเหลือเกิน อยากให้แน่ใจว่าคนตรงหน้าจะไม่หายตัวไปจากเขาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ความหยิ่งทะนงทำให้เขามิอาจกระทำเช่นนั้นได้

คนเจ็บเองก็คงเข้าใจ ความแข็งกระด้างในใบหน้าจึงอ่อนลงเล็กน้อย มือใหญ่ลูบผ้าพันแผลจากฝีมือใครบางคน  แล้วพูดลอยๆว่า   “ทำแผลไม่ได้เรื่อง”

ชาคิลที่เช็ดน้ำตาอยู่ชะงัก ก่อนตอบเสียงเขียวปัด

“ขอโทษ! พอดีว่าเพิ่งเคยทำแผลให้คนอื่นครั้งแรกเหมือนกัน”

“หึๆ คุณหนูชาคิล...”

สุ้มเสียงแหบห้าวกล่าวคำประชดประชันยังไม่ทันจบ ก็กลับกลายเป็นฝ่ายเงียบลงเสียเอง เมื่อรับรู้ถึงความร้อนระอุที่พลุ่งพล่านขึ้นทั่วร่าง

บัดซบ ไอ้พวกโจรสวะนั่น...บารากัตขบกรามแน่นด้วยความแค้น  ส่งให้ชาคิลที่ไม่รู้เรื่องรีบถามไถ่อย่างห่วงใย

“เจ็บแผลหรือ?”

“แค่นี้ไม่ถึงตายหรอก”

ชายหนุ่มปัดมือที่กำลังจะแนบลงบนหน้าผากทิ้งอย่างไม่ใยดี

“ฮึ! ถ้างั้นก็นอนเจ็บต่อไปเถอะ”   น้องชายต่างมารดาตอบเสียงสะบัด

ในเมื่อมิตรภาพที่หยิบยื่นให้ถูกเมินเฉย แล้วเขาจะทนนั่งฟังคำต่อว่าไปอีกทำไม

“แล้วถ้าจะตาย ก็ให้เดือดร้อนถึงฉันก็แล้วกัน”







แสงแดดเริ่มสูงขึ้นเป็นลำดับจวบจนยามนี้อยู่เหนือศีรษะพอดี บารากัตปรือตาขึ้นอย่างเชื่องช้า มองผ่านเงาไม้ไปบนฟ้า ความรู้สึกหลังจากนอนจับไข้มาตลอดหลายชั่วโมงคือความกระหายน้ำ เขาขยับกายจะลุกขึ้น แต่กลับถูกใครบางคนกดหัวไหล่ไว้ พร้อมๆกับถุงน้ำที่จ่อเข้ามาชิดริมฝีปาก

ดวงตาคมตวัดมองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเรื่อสีจัดอย่างสงสัย แต่พอมองตามสายตานั้นไป ความคลางแคลงใจพลันกลับกลายเป็นความกระจ่างในทันที

“สนใจหรือไง”   เขาว่า พลางรับถุงน้ำมาดื่มอย่างกระหาย

“จะ...จะบ้ารึ”  เด็กหนุ่มสลัดศีรษะหน้าแดงก่ำ  “นายรีบจัดการมันเข้าสิ”

“แล้วถ้าฉันพอใจจะปล่อยมันไว้อย่างนั้นล่ะ”

“เจ้าบ้า! ไอ้ทุเรศ วิปริตลามก”

“เอ้าๆ ด่ากันเข้าไป มันอยู่อย่างนี้แล้วไปทิ่มตาแกเข้าหรือไง ชาคิล”

บารากัตอดคิดไม่ได้ว่า คนตรงหน้านี่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลย ว่าเขาต้องอดทนอดกลั้นมากแค่ไหน ต่อสู้กับความป่าเถื่อนของตัวเองตั้งเท่าไรเพื่อที่จะไม่จู่โจมเข้าหาแล้ว

ใช้กำลังบังคับ

“ไอ้บารากัต ไอ้พี่บ้า จะชักจะรูดอย่างไรก็ได้ แต่ทำให้มันหายสักทีซิวะ”

ชายหนุ่มถึงกับถอนใจในความหัวแข็งนั่น   “ทำยังไงก็ไม่หายหรอก”

คำกล่าวนั้นส่งให้ร่างเล็กกว่ามองเขาอย่างสงสัย  กึ่งบังคับกึ่งอยากรู้อยากเห็นว่าทำไม?

บารากัตแค่นยิ้ม บอกเพียงสั้นๆว่า   “ฉันถูกพิษมุนยาห์เข้าน่ะสิ”

มุนยาห์ - ยาลึกลับแห่งชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย เป็นยากระตุ้นความปรารถนาที่เป็นได้ทั้งสวรรค์และนรกในคราวเดียวกัน  หากผู้ที่ต้องยาตัวนี้เข้าไปไม่สามารถขับยาออกภายในสิบสองชั่วโมง จากยาปลุกความต้องการจะแปรเปลี่ยนเป็นยาพิษอันร้ายกาจ ที่คร่าชีวิตคนผู้นั้นในเวลาเพียงเสี้ยวนาที

“อีกปัญหาก็คือ ฉันพยายามช่วยตัวเองแล้ว...แต่มันไม่ได้ผล”

ชายร่างสูงบอกเรียบๆ และมันทำให้ชาคิลขนลุกเกรียว

ผู้ที่เสพหรือต้องมุนยาห์เข้าไป  ต้องสมสู่กับสิ่งมีชีวิตเพื่อรีดเร้นยาออกก่อนจะกลายเป็นพิษ...ซึ่งในที่นี้  มีเพียงพวกเขาสองคนที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์

บารากัตคงไม่บ้าพอที่จะไปสมสู่กับจูมาน่าหรอก...ใช่ไหม?

“กะ...กี่ชั่วโมงแล้ว บารากัต”  ...ที่นายถูกยาเข้าไป

“ไม่รู้ แต่คิดว่าคงอยู่ได้อีกไม่ถึงชั่วโมง”   คนตรงหน้าตอบเสียงเรียบ

ชาคิลเพิ่งสังเกตว่าริมฝีปากของบารากัตเขียวคล้ำ

เด็กหนุ่มนึกคำนวณเวลาเร็วจี๋ แล้วลมแทบจับเมื่อได้รับคำตอบ...ต่อให้พวกเขาควบจูมาน่ากลับไปตอนนี้ ก็น่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวันกว่าจะไปถึงคฤหาสน์

แต่บารากัตไปถูกพิษนี้มาจากที่ไหนกัน

“เมื่อคืนนายหายไปไหนมา”   ชาคิลเอ่ยถามพร้อมเบนสายตาไปทางอื่น ทำเป็นมองไม่เห็นสายตาจาบจ้วงจากฝ่ายตรงข้าม

“เมื่อคืน...มีโจรทะเลทรายผ่านมา...ฉันเลย...ไปดักหน้าพวกมันไว้”

เสียงขาดห้วงตอบช้าชัด และมันทำให้คนถามหงุดหงิดได้จริงๆ

“ทำไมไม่เรียกฉันไปด้วยเล่า! คิดว่าตัวเองเก่งนักหรือไง”

“พวกมันมากันเป็นสิบ...แกสู้ไม่ไหวหรอก”

“สองคนก็ดีกว่าคนเดียวไม่ใช่เหรอ...หรือว่านายเห็นฉันเป็นตัวถ่วงกันแน่”

เสียงของชาคิลถูกเหตุผลอันหนักอึ้งกลบทับไปจนสิ้น

“ถ้างั้นแกจะให้ฉันทำยังไง  ให้พาแกไปด้วยกันงั้นรึ  ฉันจะบอกให้ฟังนะชาคิล พวกโจรป่าที่ไม่ได้เจอผู้หญิงมาเป็นเดือนน่ะ...มันไม่ต่างอะไรกับสุนัขติดสัดเลยสักนิด ถ้าพวกมันจับตัวแกได้...ก็คิดเอาเองละกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

เด็กหนุ่มหน้าซีดเผือด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องพี่ชายต่างมารดาด้วยความปวดร้าวปนเจ็บใจ  ถ้อยคำนั้นช่างระคายหู หากก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าบารากัตทำไปเพื่อปกป้องเขา

“อึก...อะ...”

จู่ๆคนในความคิดก็ครางหนักๆด้วยความทรมาน  ซึ่งชาคิลรับรู้ทันทีว่ายากำลังจะกลายเป็นยาพิษ

“บารากัต...นาย...กอดฉัน...”

ร่างผิวสีน้ำผึ้งเคลื่อนเข้าหา แต่กลับถูกผลักไสออกห่าง

“ไม่ ฉันจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับแกอีก...เด็ดขาด”

“อะ...ไอ้บ้า จะมาสำนึกผิดอะไรตอนนี้เล่า เดี๋ยวก็ตายจริงๆหรอก”

“หึ...ดีสิ จะได้ตายไปให้พ้นๆหน้าตาแก่นั่น...แล้วก็แกด้วย”  บารากัตหันกลับมาแววตาวาวโรจน์  “แกสมควรจะดีใจไม่ใช่หรือชาคิล...คนที่แกภาวนามาเป็นแรมปีให้มันตกตายไปกำลังจะมาตายอยู่ตรงหน้าแกแล้วน่ะ...อึก แค่ก!”

ชาคิลนั่งตัวแข็งทื่อ มองร่างสูงกระอักเลือดออกมาจากริมฝีปากนิ่งงัน...แสดงว่า กาลเวลาที่ผ่านมา  พี่ชายคนนี้ล่วงรู้เรื่องราวของตัวเองมาโดยตลอด รับรู้แม้กระทั่งว่าคนรอบข้างรังเกียจตนเองแค่ไหน

แล้วบารากัตทนมีชีวิตเช่นนั้นมาได้อย่างไรกัน...

สิ้นความคิด ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นช้าๆ เดินผ่านชายหนุ่มไปอย่างเงียบงัน

บารากัตมองตาม แค่นยิ้ม...ดีแล้วชาคิล ฉันกำลังจะตายให้สมใจแกแล้วไงล่ะ ความรักที่เป็นตราบาปนี้กำลังจะจมหายไปพร้อมลมหายใจสุดท้ายของฉัน...

แต่แล้วเด็กหนุ่มกลับหยุดเดินไปเสียเฉยๆ

ชาคิลปรายหางตามองบารากัต ก่อนถลกชายชุดจิลบาขึ้นมาถึงเอว ทรุดตัวลงคลานสี่ขาบนพื้น หันก้นเปลือยเปล่าให้ราวจะยั่ว

คนมองพลันเบิกตาค้าง ตะคอกดังลั่น   “ชาคิล!”

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกจากประกายตาแน่วแน่ปนเขินอาย กับหลืบแคบสีชมพูสวยซึ่งซ่อนอยู่ใต้เนื้อเนียนราวรวงน้ำผึ้งหอมหวาน เชิญชวนให้ลิ้มลอง

“แล้วแกจะเสียใจ!”  ร่างสูงใหญ่คำรามลั่นพร้อมกระแทกกายเข้าหา ตามประกบแนบชิดจากด้านหลัง ส่งผ่านกระไอร้อนเร่าให้อย่างไร้ความปรานี

ความร้อนแรงที่บดเบียดแทรกผ่านเข้ามาในร่างส่งให้เด็กหนุ่มสะดุ้งด้วยความเจ็บ  แต่มันมิได้หยุดอยู่แค่นั้น ลิ้นอุ่นจัดตวัดไล้ลากตามใบหู ขณะที่มือปรนเปรอหยอกเย้ายอดอกกับส่วนอ่อนไหวด้วยความช่ำชอง แม้ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่ากับครั้งแรก แต่เพียงแค่สัมผัสกับแรงบีบรัดแน่นและอุณหภูมิร่างกายที่แนบชิด หยาดน้ำแห่งความปรารถนาก็พวยพุ่ง

ยกที่สองเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากรุกรานขบดูดลำคอเนียนละเอียดด้วยความมันเขี้ยว นิ้วเรียวหยาบคลึงเคล้นยอดอกสีอ่อนจนบวมช้ำ ชาคิลอ้าปากหอบหายใจ เอื้อมมือกลับไปด้านหลัง ขยุ้มเส้นผมของบารากัตพลางหงายศีรษะซบบ่ากว้างอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง สายลมยามเที่ยงวันพัดหวีดหวิวมาต้องกายจนแสบร้อน เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าสภาพของตนเองในยามนี้ช่างน่าอับอายแค่ไหน ดังนั้นมือที่ดึงทึ้งผมของอีกฝ่ายอยู่จึงแรงขึ้นตามแรงอารมณ์

“โอ๊ย...เจ้าแมวจอมยุ่งนี่”  ชายผิวเกรียมแดดบ่นพึมพำ พร้อมกับพลิกร่างที่หันหลังให้กลับมาประจันหน้ากัน

“อื้อ...”   ชาคิลครางเสียงสั่นพร่าเมื่อช่องทางบอบช้ำถูกเสียดสีอย่างแรง

แต่อะไรก็ไม่เท่ากับวาจาที่ส่อแสดงความรำคาญกึ่งเอ็นดูที่ได้ยินหรอกกระมัง...

เจ้าแมวจอมยุ่ง...ไม่คิดหรือคาดคิดเลยว่าผู้ชายอย่างบารากัตจะกล่าวคำนั้นออกมาได้

“ฮึ...ถะ...ถ้างั้นนายเองก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัขติดสัดหรอก...บารากัต พวกสุนัขช่วงฤดูผสมพันธุ์น่ะ...พูดยังไงก็ไม่เชื่อฟัง ต้องใช้ภาษากายถึงจะรู้เรื่อง”

“เหรอ? ถ้างั้นก็แสดงว่าแกยอมรับแล้วสิ...ว่าแกเป็นตัวเมียน่ะ ชาคิล”

ชายหนุ่มทาบทับลงบนร่างเปลือยเปล่าก่อนบดเบียดรุกไล่จนชาคิลไม่มีเวลาตอบโต้  ได้แต่ร่ำร้องเดือดดาลลั่นในอกว่าชาติหน้าเขาจะไม่ขอเกิดมาเป็นพี่น้องกับคนแบบนี้อีกแล้ว

“อึ๊...อ๊า”

คราวนี้พวกเขาถึงฝั่งฝันพร้อมๆกัน เด็กหนุ่มมองร่างสูงใหญ่เบื้องบนซึ่งเหลือกางเกงทหารตัวเดียวติดกาย ขณะที่ท่อนบนมีผ้าพันแผลพันอยู่รุ่ยร่าย เห็นโลหิตซึมออกมาเล็กน้อย

“แผล...”   มือเล็กไขว่คว้ากลางอากาศ ก่อนถูกคว้าขึ้นกอดแนบแน่น

“ช่างมัน”   ยินเสียงกระซิบสั่นพร่า พร้อมกับจุมพิตโหยกระหาย

จากยามเที่ยงวันจนตะวันตกดิน   บารากัตไม่ยอมปล่อยให้ชาคิลเป็นอิสระเลยแม้สักวินาที หากเด็กหนุ่มกระหายน้ำ เขาก็จะป้อนให้ผ่านริมฝีปาก หากเจ็บปวด เขาก็จะจูบบดเบียดไล่ความเจ็บปวดนั้นให้ มีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่ชาคิลหมดสติไปด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ชายหนุ่มยังมิอาจหยุดแรงกระตุ้นเจือเสน่หานั้นได้เลย

กระทั่งอุณหภูมิในกายลดลงจนเกือบเป็นปกติ บารากัตจึงทิ้งตัวลงนอนหอบเคียงข้างร่างไร้สติในอ้อมแขน มือกร้านยกขึ้นปาดคราบน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

ความเจ็บจากบาดแผลปริแตกยังระดมขึ้นมาเป็นริ้วๆ ชายหนุ่มกัดฟันดึงชาคิลเข้ามาซุกอกเพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่แยกจากกัน

แม้แต่ชาคิลยังกล้าเผชิญกับความกลัวของตัวเองเลย บารากัตรู้ดี ทุกโมงยาม   ที่ถูกเขาครอบงำ กายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน...บ่งบอกชัดเจนว่าเรื่องราวครั้งแรกยังคง   ฝังใจ แต่เพราะต้องการช่วยชีวิตเขาจึงยอมละทิ้งความหวาดหวั่นอันน่ากริ่งเกรงนั้นไป

แล้วตัวเขาเล่า...เขายังมีอะไรต้องกลัวอีก

คำตอบคือไม่ ไม่มีเลย การพาชาคิลหนีมาไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง มิใช่เรื่องที่ชายชาตรีสมควรกระทำ บารากัตในยามนี้รู้สึกละอายยิ่งนัก

ใบหน้าเล็กที่ซุกลงกับอกกว้างช่วยหยุดชายหนุ่มจากความคิดฟุ้งซ่านกะทันหัน

เรียวปากบางเหยียดยิ้มนิดๆ และจุมพิตบนหน้าผากมนได้รูป

“ฉันรักนาย ชาคิล”

ว่าแล้ว ก็จัดแจงขยับตัวให้นอนในท่วงท่าที่สบายที่สุด  ก่อนหลับตาลง  ตามมาด้วยเสียงลมหายใจสม่ำเสมอหลังจากนั้นไม่นาน

ท่ามกลางอากาศเย็นยามค่ำคืน  ชาคิลลืมตาขึ้นช้าๆ  ลอบมองใบหน้าคมยามหลับใหลของอีกฝ่ายอย่างพินิจพิจารณา บารากัตดูผ่อนคลายลงราวกับเป็นคนละคน

แม้จะมีร่องรอยอิดโรยหลงเหลืออยู่บนใบหน้านั้น แต่ชายหนุ่มยังรูปงามคมเข้มสมเป็นลูกทะเลทราย

...ฉันรักนาย ชาคิล...

เด็กหนุ่มพลันรู้สึกว่าใบหน้าร้อนวาบ นึกโทษตัวเองที่ดันตื่นขึ้นมาตอนถูกอีกฝ่ายจูบหน้าผากพอดี ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ต้องมานอนตาค้างอย่างนี้หรอก...

นี่น่ะ ความผิดบารากัตเต็มๆ

ไม่รู้ไม่ชี้ด้วยแล้ว!

ชาคิลสะบัดเสียงห้วนลั่นอก...แต่เสียงที่ออกมานั้นทำไมกลายเป็นฟังดูเหมือนขัดเขินไปเสียได้ก็ไม่รู้







หลังจากเครื่องบินเจ็ท z-9 Nirvana พาหนะส่วนตัวของเอเฟ็ท โอมาลนอฟนำตัว ‘ว่าที่ลูกเขย’ มาส่งที่คฤหาสน์ของเดอะ สการ์เฟส  ความยุ่งยากต่างๆก็เหมือนจะปลิวกระจายหายไปจนหมด   การคุมตัวนักโทษผ่านน่านฟ้านานาชาติไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร  แม้จะมีขลุกขลักไปบ้าง เพราะเจ้าตัวไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าที่ควร   ทว่าท้ายที่สุดจำเลยรูปงามก็จำต้องกลับมาเหยียบลงบนผืนดินบ้านเกิดอีกครั้งอย่างไม่มีทางเลือก...พร้อมๆกันกับหัวใจที่แหลกสลายลงอย่างไม่มีชิ้นดีของทเวน เทมส์...

“...ทเวน...ตื่นเถอะ”

เสียงเรียกและแรงเขย่าเบาๆปลุกคนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียงให้ลืมตาขึ้นช้าๆแบบไม่ค่อยเต็มสตินัก นัยน์ตาสีไพลินหม่นมัวปรือมองใบหน้าคุ้นเคยนิ่ง

“เอ็ดเวิร์ด...ฉัน...เป็นอะไรไป”

“นายมีไข้อ่อนๆน่ะ ตั้งแต่ขึ้นเครื่องก็เอาแต่หลับตลอดเลย เมื่อกี้ก็ฝันร้ายด้วย”

พร้อมกับบอก ฝ่ามือขาวแนบลงบนซอกคอชายหนุ่มหมายจะวัดไข้

อะแฮ่ม เสียงกระแอมห้วนดังขัดขึ้น

เอ็ดเวิร์ดหันกลับไปจ้อง  “อะไรอีกล่ะ”

เสียงทุ้มสวนกลับมาทันควัน  “แกนั่นแหละจะทำอะไร”

“ก็วัดไข้ให้ทเวน...”

ยังไม่ทันได้สวนกลับดังใจนึก   จู่ๆอีกฝ่ายก็ลุกขึ้นจากโซฟาตัวหรูเดินเข้ามาหา พลางทำสีหน้ายียวน

“...วัดให้ฉันมั่งสิ”

ตอนแรกเอ็ดเวิร์ดยังคงเฉย แต่พอเห็นสายตาบังคับคู่นั้น เขาก็จำต้องยกมือขึ้นแตะหน้าผากอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก...แต่จะเรียกว่าแตะก็ไม่ถูก  เพราะเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสกับผิวกายคนตรงหน้า ชายหนุ่มก็รีบชักมือกลับทันควัน พร้อมกับซ่อนใบหน้าที่คงจะแดงระเรื่อไว้อย่างรวดเร็ว เอ่ยเสียงเรียบ

“...ก็สบายดีนี่นา”

“ที่คอด้วย”

แม็กเกลสั่งหน้าตาย...คำสั่งที่ทำเอาเอ็ดเวิร์ดชะงักไปครู่ใหญ่

ความเงียบช่างน่าอึดอัด ยิ่งเมื่อตอนที่ปีศาจหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ

“ถ้าไม่อย่างนั้น ฉันก็จะวัดไข้ในแบบของฉันล่ะนะ...เอ็ดเวิร์ด”

“โว้ย! ไอ้วัดไข้นี่มันมีหลายแบบนักหรือไงหะ....อื้อ!”

วินาทีนั้น  ทเวนผู้นั่งอยู่นอกวงสนทนามาตลอดถึงกับลอบสาบานในใจเลยว่าเขาเห็นแววเยาะหยันปนเจ้าเล่ห์ฉาบบนใบหน้าคมเข้มของเดอะ สการ์เฟสเต็มสองตา ตอนที่มือหนากระชากเอ็ดเวิร์ดเข้าไปจูบอย่างกระหาย   เสียงลมหายใจหนักหน่วงปนเสียงครางแผ่วหวิวของเพื่อนชายทำเอาคนป่วยรู้สึกหน้าร้อนเหมือนจะเป็นลม

แล้วพอปีศาจหนุ่มปรายตามองมาที่เขา  อดีตอัยการจอมห้าวก็รู้ตัวทันทีเลยว่าต้องทำอะไร

“...โอ.เค. เชิญตามสบาย”

“เฮ้ย...เดี๋ยว ทเวน....อื้อ!”

ความพยายามของเอ็ดเวิร์ดที่จะพูดอะไรบางอย่างแล้วถูกริมฝีปากฉกชิงจูบไปเสียดื้อๆนั้นแทบไม่ได้อยู่ในความสนใจของทเวนเลยด้วยซ้ำ

“...โชคดีว่ะเพื่อน”  พร้อมกับบานประตูที่ปิดลง

“อึก...ทเวน!...บ้าเอ๊ย”

ไม่ทันเสียแล้ว ทเวนจากไปโดยที่เอ็ดเวิร์ดยังไม่ทันได้บอกเลยว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในคฤหาสน์โอมาลนอฟ แถมยังมีเจ้าหนี้รายใหญ่นั่งเฝ้าหน้าห้องรอคิดบัญชีอยู่อีก!

บ้าบัดซบ...

“เพราะนายคนเดียวเลย ไอ้บ้าแม็กเกล”

เขาพยายามสะบัดเสียงอย่างขัดเคือง  แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกิน  โดยเฉพาะในยามที่สันจมูกโด่งกำลังซุกไซ้ไปทั่วใบหน้าเช่นนี้

ทุกสัมผัสรุกรานเหมือนไฟ และเอ็ดเวิร์ดรู้สึกเหมือนเนื้อตัวเขาจะมอดไหม้

“อย่า...”

บอกเตือนอย่างแผ่วโหย แต่แทนที่จะผลักไสแม็กเกลออก สิ่งที่ชายหนุ่มกระทำกลับเป็นการเอนศีรษะไปด้านข้าง พร้อมเผยอริมฝีปากออกดุจเชื้อเชิญตอบสนองสุดใจ

ชายหน้าบากดูจะแปลกใจกับการกระทำนั้น หากก็เป็นเพียงครู่เดียว เพราะริมฝีปากร้อนระอุหยาบโลนโน้มปิดลงมาเชื่องช้าในวินาทีถัดมา

“ร่าน...”

ถ้อยคำปรามาสจากยอดบุรุษแห่งโลกมืดส่งให้เรือนกายสูงโปร่งในอ้อมแขนสั่นสะท้าน มือเรียวที่โอบแผ่นหลังกว้างพลันขยำชุดสูทราคาแพงจนยับ พลางนึกอุทธรณ์ในใจว่า...แล้วสัมผัสแข็งขืนเบื้องล่างที่เสียดสีกับต้นขาเขาอยู่ในยามนี้ล่ะ

ใครกันแน่ที่...ตัณหากลับ

เอ็ดเวิร์ดกลั้นใจผลักแม็กเกลออกพร้อมหมุนตัวเดินจากมา  หากมือกร้านเอื้อมตามมาโอบรัดเอวชายหนุ่มไว้แน่น   แรงดุนดันผ่านเนื้อผ้าบางเบากับลมหายใจฟึดฟัดบ่งบอกว่าอีกฝ่ายมาถึงขั้นกู่ไม่กลับแล้ว

“จะหนีไปไหน”   สุ้มเสียงทุ่มแตกพร่ากระซิบถาม พร้อมกับฟันคมๆที่ขบใบหู

คนถูกถามไม่ตอบ  แต่สะบัดหน้าหนีรำคาญลิ้นอุ่นที่ตวัดลงบนผิวแทน

เอ็ดเวิร์ดตั้งท่าจะหนี เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มใช้ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาไม่กล้าสบแววตาคมกล้าคู่นั้น ทว่าแม็กเกลดูจะตามความคิดชายหนุ่มทันไปเสียหมด

“เลิกเล่นละครได้แล้วเอ็ดเวิร์ด ฉันรู้ว่าแกจำทุกอย่างได้แล้ว”  ชายร่างสูงจับคนอ่อนวัยกว่าให้หันมามองหน้าตน  “ร่างกายของแก...จดจำสัมผัสจากฉันได้...แถมแกเองก็ยังรู้สึกถึงขนาดนี้แล้วด้วย”

ดวงตาสีเทาอ่อนเหลือบมองความแข็งขึงของตนอย่างจนตรอก...ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า ลำพังแค่ถ้อยคำและสัมผัสหยาบโลนจากคนตรงหน้า เขาก็แทบถึงขีดสุด   ของอารมณ์อย่างที่แม็กเกลต้องการให้เป็น

“ว่าไง...เอ็ดเวิร์ด”

อาวุธขนาดมหึมาใต้เนื้อผ้าบดเบียดหยอกล้อกับส่วนอ่อนไหวของชายหนุ่ม ความร้อนรุ่มนั้นส่อแสดงชัดว่ามันกระสันที่จะแทรกผ่านเข้ามาในตัวเขามากแค่ไหน

“ถอดไอ้ชุดนั่นออก แล้วขึ้นไปนอนบนเตียงซะ”

“ไม่...”

เอ็ดเวิร์ดตอบแทบไม่ต้องคิด

“ฝันไปเถอะ!”

แล้วสิ่งที่เห็นต่อมาก็คือรอยยิ้มเย็นของปีศาจจอมบังคับตนนั้น

“ฝันหรือไม่ฝัน ฉันก็มีทางเลือกให้แกแค่สองทาง...ทางแรก ปวดหลังจนลุกไม่ขึ้นหรือทางที่สอง...ไข้ขึ้นจนลุกไม่ไหว แต่ถ้าแกเลือกไม่ได้แล้วจะควบสอง ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”

--จบตอน--

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด