เงารักในรอยแค้น โดย Omittchi :: ตอนที่ 16 + แถมท้าย (The End)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เงารักในรอยแค้น โดย Omittchi :: ตอนที่ 16 + แถมท้าย (The End)  (อ่าน 17939 ครั้ง)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
๑๕


...ให้ตายเถอะ

ทเวนดึงสลักประตูปิดอย่างเชื่องช้า ถอนใจยาว อาการปวดศีรษะยิ่งทียิ่งรุมเร้า  ภาพทุกอย่างที่มองเห็นเดี๋ยวเบลอเดี๋ยวชัดจนยากจะแยกแยะว่าเป็นฝันหรือความจริง ชายหนุ่มนวดขมับ หมุนกายกลับมาสู่โถงทางเดิน แล้วต้องอึ้งไปกับภาพที่เห็น

กองกำลังทหารขนาดย่อมยืนเรียงหน้ากระดาน หันปากกระบอกปืนไรเฟิลมาที่เขาเป็นจุดเดียว

อย่างงุนงง   นัยน์ตาสีไพลินกวาดมองไปรอบตัว   ก่อนที่ความร้อนรุ่มในกายจะแปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกยามสบสายตาเข้ากับเอเฟ็ท โอมาลนอฟ

นี่มันต้องเป็นความฝันแน่ๆ...อัยการหนุ่มพยายามตั้งสติ หันกลับไปที่ประตูช้าๆ เคราะห์ดีที่เมื่อครู่เขาไม่ได้ล็อคห้องไว้ เพราะไม่ว่าจะเป็นความฝันหรือความจริงก็ตาม แต่ถ้าต้องมาตายด้วยฝีมือว่าที่พ่อตาจอมโหดก็ออกจะดูใจร้ายกับตัวเองไปสักหน่อย

ยิ่งพวกทหารและเอเฟ็ทยืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่เช่นนั้น ทเวนก็ยิ่งมั่นใจว่าเขากำลังฝันร้าย มือเรียวคว้าแกนประตูไว้มั่น กำลังจะเปิด ก็พอดีแว่วเสียงกริ๊กเบาๆมาจากข้างใน

“เฮ้ย! เปิดสิวะ”

เสียงทุ้มสั่งลั่นโดยไม่คิดเกรงกลัวลูกตะกั่วจากด้านหลังเลยสักนิด

“ขอโทษนะ แต่ฉันคงทำตามคำขอไม่ได้”

เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่เอ็ดเวิร์ด  แต่เป็นใครอีกคนที่ทเวนคิดว่าคงกุมบังเหียนไว้ได้แล้วแน่ๆ ฉะนั้นจึงไม่มีวันยอมให้เขาเข้าไปทำลายบรรยากาศเด็ดขาด

แต่นี่มันเอาชีวิตของฉันเป็นเดิมพันเลยนะโว้ย!...ชายหนุ่มตะโกนลั่นในใจ

เป็นเวลาเดียวกับที่สัมผัสบางคมเย็นเฉียบวางแปะลงมาบนต้นคอ

“ฉันคิดว่า...เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ พ่อลูกสะใภ้”

โทนเสียงทรงอำนาจเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา  ส่งให้คนถูกเรียกหันกลับไปประจันหน้าอย่างไม่มีทางเลือก

“เอ่อ...ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละครับ...คุณพ่อ”

พูดออกไปแล้ว  ทเวนก็เลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองเมื่อเห็นคู่สนทนาเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ... ซึ่งก็ไม่รู้ว่าประหลาดใจในความกล้าหรือความหน้าไม่อายของเขากันแน่   เขาฝืนยิ้มไปให้โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ากองทหารด้านหลังทั้งหมดแทบจะโยนปืนทิ้งแล้วปรบมือให้กับความใจกล้าของว่าที่สะใภ้ชายคนนี้

แววตาของเอเฟ็ทเปลี่ยนแปลงไป มุมปากผู้สูงวัยกว่ายกขึ้นนิดๆราวจะยิ้ม...

“ทเวน!”

เด็กหนุ่มในชุดแต่งกายประจำชาติเต็มยศวิ่งฝ่าทหารเข้ามา  ก่อนกระโดดกอดคนรักแบบไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น

“จาเรฟ ไม่เห็นรึว่าพวกพ่อคุยธุระกันอยู่”  เป็นเสียงเอเฟ็ทที่เอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ

จาเรฟเหลือบมองบิดาด้วยหางตาแล้วเบะปาก

“ผมคิดว่าพวกเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะฮะ คนที่พ่อมีธุระด้วยจริงๆน่ะอยู่ทางนู้น”

เด็กหนุ่มชี้ไปยังประตู  “ส่วนทเวนน่ะ...มีธุระกับผมฮะ”

และโดยไม่รอฟังคำตอบ มือเล็กพลันคว้าแขนชายหนุ่มให้เดินตามไปทันที

“เดี๋ยว...เดี๋ยวสิเรฟ เมื่อกี้เหมือนพ่อนายมีอะไรจะพูดกับฉันจริงๆนะ”

ทเวนพยายามทัดทาน หากไร้ผล จาเรฟเอาแต่พาเขาเดินมาจนถึงห้อง รุนหลังให้ชายร่างสูงก้าวเข้าไป แล้วปิดท้ายด้วยการลงกลอนอย่างแน่นหนา

“ทเวนฮะ”

“หืม?”

“ผมคิดถึงทเวน...”

ถ้อยคำหวานมิอาจเรียกหรือหยุดคนที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าได้เลย

ในความเงียบสงัด ทเวนเดินช้าๆไปหยุดอยู่กลางห้อง ให้เท้าเปลือยเปล่าเหยียบ

ลงบนพรมนุ่ม ปล่อยอารมณ์ผ่อนคลายให้โอบกอดจิตใจอันยุ่งเหยิงของเขาเอาไว้

แรงกอดกะทันหันจากด้านหลังส่งให้ชายหนุ่มสะดุ้ง  ดวงตาสีไพลินมองลอดแขนกลับไป แล้วเห็นสีหน้าเศร้าหมองของคนรักที่อ่อนเยาว์กว่าชัดเจน

“อะไรหรือ เรฟ”   มือเรียวเอื้อมหมายจะลูบศีรษะทุยได้รูป  แต่กลับถูกปัดทิ้ง

ทเวนก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ   “เป็นอะไรไป งอนอะไรอีกแล้วล่ะ”

ผิดคาด ที่จาเรฟไม่ได้เถียงกลับหรือส่งสายตาเง้างอนมาให้

มือเล็กเพียงแค่คลายอ้อมกอดจากเอวคอดหนั่นแน่นกล้ามเนื้อ   ก่อนเจ้าตัวจะผละไปอย่างเงียบงัน นัยน์ตาหลุบต่ำมองปลายเท้าตลอดเวลา

“จาเรฟ?”  ทเวนรีบคว้าบ่าคนตรงหน้าเอาไว้ทันควัน  “เฮ้! ไม่เอาน่า”

“ทเวนเบื่อผมแล้วใช่มั้ยล่ะ”

จู่ๆเสียงสั่นสะท้านก็เอ่ยขึ้น  และมันทำให้คนถูกถามชะงัก

จาเรฟเหลียวกลับมามองด้วยน้ำตานองหน้า เอ่ยเสียงสั่นเครือ

“แล้วพอเบื่อมากๆเข้า ก็ทิ้งผมไป ไม่เหลียวแลผมเลย...อย่างตอนนี้ไง”

“เฮ้ย...เดี๋ยว เรฟ นี่น่ะมัน...”

เสียงทุ้มกระอึกกระอักพยายามอธิบาย ในขณะที่ดวงตาคมกริบแลตามคนรักที่ปีนขึ้นไปกอดเข่าร้องไห้บนเตียงอย่างร้อนรน

“เรฟ อย่าร้องไห้”

บอกได้แค่นั้นเขาก็เงียบลง นึกหงุดหงิดจนทำอะไรไม่ถูก

...อะไรกันอีกวะ

แม้จะยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่สมองกลับสั่งการให้เขาไปง้ออีกฝ่ายเสีย

และในที่สุด ทเวนก็คิดแผนการง้อออก

ซึ่งก็ติดอยู่แค่ว่า...เขาจะกล้าทำมันหรือเปล่า...แค่นั้นเอง

“จาเรฟ โอมาลนอฟ”

ชื่อเรียกเต็มยศทำให้ใบหน้าหวานเปื้อนน้ำตาเงยขึ้นมองอย่างแปลกใจ

แล้วจาเรฟก็ได้เห็นเสี้ยวหน้าคมเข้มแดงก่ำ ยามเจ้าตัวก้มลงถอดกางเกงชั้นในออกมาท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของคนมอง

“อะ...ทะ...ทเวน...ทำอะไรน่ะ”

เด็กหนุ่มรีบซุกหน้าลงกับฝ่ามือทันทีเมื่อรู้สึกตัว

“อย่าปิดตาสิโว้ย!”   ทเวนตวาดลั่นพร้อมขว้างกางเกงในทิ้งไปกองบนตักอีกฝ่าย ก่อนจะเดินตามไปยังปลายเตียง สายตาจับจ้องจาเรฟตลอดเวลา

“เอาของนายคืนไป...ทั้งหมดเลย”

พร้อมกับบอก  ทเวนคุกเข่าลงถอดชุดจิลบาออก  ส่งมันคืนให้กับจาเรฟที่รับไปอย่างงุนงง  ชายหนุ่มในยามนี้มีเพียงตัวเปล่าเปลือย เปิดเผยมุมเร้นลับทุกสัดส่วนของร่างกายให้คนรักได้เชยชมเต็มตา นัยน์ตาสีไพลินปิดสนิทขณะหันศีรษะไปด้านข้างจนเห็นแผลบนลำคอที่เกิดจากคมดาบแห่งตระกูลโอมาลนอฟ

“แผลนี่ก็ด้วย นายจะรับผิดชอบมันยังไง”

จาเรฟนั่งอ้าปากค้าง ลมหายใจติดขัดกับภาพเชิญชวนตรงหน้า   แล้วยิ่งสะดุ้งเมื่อถูกมืออุ่นกอบกุมไว้ อยากสลัดทิ้งด้วยความประหม่า แต่สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังจนเขาไม่กล้า จาเรฟจึงได้แต่นั่งตาค้างรอให้ทเวนปล่อยมือไปเอง  เด็กหนุ่มลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยน้อยใจเรื่องอะไร ความสับสนบดบังความโศกเศร้าในใจไปจนสิ้น

นัยน์ตาสีฟ้าใสมองแต้มสีกุหลาบบนแผงอกกว้างของคนรักอย่างเลื่อนลอย

ทเวนเอนกายนอนบนพรมนุ่ม  ส่งให้รอยสวาทบริเวณต้นขาด้านในกระจ่างชัดแก่สายตา

แต่อะไรก็ไม่เซ็กซี่เท่าหยาดน้ำสีขาวขุ่นที่ไหลย้อมหลืบแคบสวยนั่นเลย

ไม่มีอะไรสู้ได้เลย

“นี่...ของของนายที่อยู่ในตัวฉันก็เหมือนกัน ทั้งเหนอะหนะน่ารำคาญ แถมยัง...”

คำพูดที่เหลือถูกกลืนหายกลับลงไปในลำคอ  ดวงหน้าขาวคมแดงจัด เมื่อนึกย้อนกลับไปสมัยแรกเริ่มที่ยังไม่ค่อยรู้ความ ครั้งนั้นทำให้เขามีไข้สูงแถมยังท้องเสียจนแทบไม่ได้นอน...บ้าฉิบ ทเวนนึกอยากยกเลิกแผนขอคืนดีเสียกลางคันจริงๆ

ขณะที่ชายหนุ่มกำลังถูกความคิดของตัวเองปั่นป่วนอยู่ จาเรฟก็กำลังพยายามกดความตื่นตัวตรงหว่างขาลงอย่างสิ้นหวัง  กระนั้นแววตาโหยกระหายกลับจ้องมองภาพเบื้องหน้าไม่ลดละ

และแล้วเพลิงปรารถนาอันร้อนรุ่มก็กลืนกินร่างเด็กหนุ่มเข้าไปทั้งตัว  ร่างโปร่งกระโจนใส่ชายหนุ่มด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี   สัมผัสอุ่นเกร็งสั่นระริกบดเบียดช่องทางคับแคบส่งให้ทเวนสะดุ้ง  ลิ้นรุกรานเกี่ยวกระหวัดกับริมฝีปากที่เผยออ้าอย่างไม่รอช้า  นานเหลือเกิน กว่าปีศาจตัวน้อยจะยอมปล่อยเหยื่อในอ้อมแขนให้เป็นอิสระ

“ทเวนมีไข้นี่นา”  เด็กหนุ่มเอ่ยตาปรอย ท่าทางน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด

คนถูกถามทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ อ้าปากจะโต้ตอบ  ทว่าเสียงที่ดังออกมากลับมีแต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปนตกใจเท่านั้น

“อ๊า!”   ทเวนแอ่นกายสะท้านยามรู้สึกถึงสิ่งแปลกปลอมสอดแทรกเข้ามาในร่าง ชายหนุ่มพยายามหนี แต่ถูกจาเรฟที่รู้ทันกอดเอวไว้ พร้อมกระแทกอาวุธแทงลึกเข้ามา

“โอ๊ย! อะ...อา...”   หยาดน้ำตาไหนรินลงมาอย่างสุดกลั้น ทเวนรีบปาดน้ำตาทิ้งและเสยผมชุ่มเหงื่อที่ปรกหน้าผากออก  “นะ...นี่นายหลอกฉันใช่ไหมเนี่ย”

ถ้อยคำนั้นทำให้ผู้อ่อนวัยกว่านิ่งงันไปทันที สีหน้าหวานละมุนฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง...ในแบบที่ทเวนให้คำนิยามว่า...น่าถีบ

“ทเวนเพิ่งรู้เหรอ”

“...รู้อะไร”

“ก็...”   จาเรฟเว้นวรรค  และกระแทกกายซ้ำจนคนที่รอฟังคำตอบอยู่ถึงกับร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเจือปรารถนา

จาเรฟยิ้มอย่างร้ายกาจ   “...รู้ว่าเรฟไม่ได้โกรธจริงๆไงฮะ”

ราวสายฟ้าฟาดลงกลางใจ ชายหนุ่มนอนนิ่งราวกับรูปปั้น ทั้งอายทั้งเจ็บใจที่ถูกหลอก ทเวนผลักจาเรฟออกไปท่ามกลางเสียงประท้วงของคนข้างตัว แต่พลันที่ยันศอกลุกขึ้นนั่ง  ทิวทัศน์รอบกายทั้งหมดก็พร้อมใจกันหมุนติ้ว หอบเอาร่างของเขาให้ล้มลงไปนอนอีกครั้ง

“เสร็จผมล่ะ”

“เฮ้ย! เรฟ อย่า! อ๊ะ...”

เสียงฉ่ำชื้นน่าอายเบื้องล่างดังขึ้น   เป็นเวลาเดียวกันกับที่ทเวนรับรู้ว่าร่างกายนั้นไม่ใช่ของตนอีกต่อไป

มันตกเป็นของปีศาจในคราบเด็กชายไปเสียแล้ว

“ไอ้เด็กหื่นกาม...นิสัย...แย่ที่สุด”

“ถึงจะหื่น ถึงจะนิสัยแย่...แต่ทเวนก็รักผม”   จาเรฟแก้ข้อกล่าวหาอย่างมั่นใจ

“หลงตัวเอง...”

ทเวนตอบโต้ได้แค่นั้น จุมพิตแสนหวานก็ปิดประทับลงบนริมฝีปากของเขา

พิษไข้ที่รุมเร้า และความอ่อนหวานรัญจวนใจเกินจะต้านทานส่งให้ชายหนุ่มผู้แข็งกระด้างถึงกับหมดสิ้นเรี่ยวแรงขัดขืน ได้แต่ปล่อยให้ความรักอันรุนแรงของจาเรฟโอบกอดเอาไว้อย่างไม่เต็มใจ






บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลโอมาลนอฟเดินกระแทกเท้าวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง สองจิตสองใจว่าจะสั่งทหารให้พังประตูเข้าไปดีหรือเปล่า...เพราะรู้ดีแก่ใจว่าคนข้างในกำลังทำอะไรกันอยู่ แต่อีกใจก็อยากจัดการธุระให้เสร็จเรื่องไป

“ท่านเจ้า...ดูท่าทางเขาจะทรมานมากเลยนะขอรับ”

เสียงจากหัวหน้าทหารองครักษ์เอ่ยอย่างร้อนรน

“ปล่อยไป”  เอเฟ็ทบอกราบเรียบ  “กลับไปยืนประจำที่ซะ”

ชายวัยกลางคนหันหน้าเข้าหาประตู คล้ายไม่ปรารถนาจะเห็นสายตาไม่เข้าใจนับสิบคู่ซึ่งจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว

...มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะอธิบาย

เอเฟ็ทนึกสงสารความไร้เดียงสานั้นของคนเหล่านั้นเหลือเกิน

ทหารทุกนายที่ได้รับการคัดเลือกเป็นกองกำลังส่วนตัวแห่งตระกูลโอมาลนอฟล้วนแล้วแต่เป็นเด็กกำพร้าทั้งสิ้น ทุกคนจะต้องผ่านพิธีการที่ทำให้ หมดความรู้สึกทางกามารมณ์ ไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อป้องกันการไขว้เขวจากหน้าที่ของทหารฝึก

ทว่าในสมัยของเอเฟ็ท โอมาลนอฟ พิธีการดังกล่าวได้ลดทอนลงมาเหลือแค่ทำให้หมดความสามารถในการร่วมรัก  แต่ความรู้สึกยังมีครบทุกประการ ฉะนั้นจึงมีกฎสูงสุดบัญญัติไว้ว่า คนในคฤหาส์โอมาลนอฟจะต้องมีสัมพันธ์กับคู่ของตนในห้องหับที่มิดชิด นั่นเท่ากับว่า ทหารองครักษ์แห่งตระกูลโอมาลนอฟจะไม่มีวันได้เห็น ‘ภาพ’ ที่จะ

นำไปจินตนาการให้เกิดความรู้สึกขึ้นได้ พวกเขาเหล่านั้นไม่อาจแยกแยะระหว่างเสียงร้องด้วยความทรมาน กับเสียงร้องครางครวญรัญจวนใจออก

ในที่สุด ความอดทนก็มาถึงขีดจำกัด เอเฟ็ทยกมือขึ้นเคาะประตูรัว ตวาดลั่น

“สการ์เฟส! แกกำลังทำให้เด็กๆของฉันฝันร้าย เข้าใจไหมวะ เลิกบ้าได้แล้ว”

ยินเสียงสุขุมตอบกลับมาเพียงว่า  “อีกเดี๋ยว จะเสร็จแล้ว”

ช่างเป็นคำพูดที่ชวนให้หงุดหงิดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

โดยเฉพาะกับคนระดับเอเฟ็ทที่ปกติควรจะเป็นคำเอ่ยคำนั้น ไม่ใช่คนรับฟัง!

“ไอ้สการ์เฟส...”

“ท่านเจ้าครับ ขอประทานโทษเป็นอย่างยิ่งที่มาขัดจังหวะการสนทนา”

นัยน์ตาคมกริบราวตาเหยี่ยวตวัดฉับไปยังชายหนุ่มที่ยืนค้อมกายอยู่เคียงข้าง ก่อนเก็บกลืนคำต่อว่าทั้งมวลไว้ในใจ รอคอยให้อาฟซาลเอ่ยคำรายงานอย่างสุขุม

“นายทหารอากาศที่ออกลาดตระเวนแจ้งรายงานมาว่า พบนายน้อยบารากัตกับนายน้อยชาคิลแล้วครับ ทั้งสองกำลังมุ่งหน้ากลับมายังคฤหาสน์ คาดว่าอีกไม่เกิน 20นาทีจะมาถึงอย่างแน่นอน”

“แล้วพาหนะเดินทางล่ะ?”   ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

“...เป็นอูฐที่มีลักษณะตรงกับจูมาน่าที่หายไปของท่านฮาคิมเลยครับ”






สองร่างที่กอดก่ายทาบทับจนแทบหลอมละลาย  เนื้อตัวร้อนระอุด้วยแรงปรารถนาอันยาวนาน ชายหนุ่มร่างสูงสะกดลมหายใจหนักหน่วงของตนเอาไว้ยามก้มลงกระซิบคำสั่งแสนหวานแก่ร่างเบื้องใต้

“ขยับต่อสิ เอ็ดเวิร์ด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวตาแก่นั่นจะพังประตูเข้ามาแล้วนะ”

“อื้อ...”   อีกฝ่ายส่ายหน้า  แต่กลับคลานถอยหลังมาหาแม็กเกล  ส่งให้บทรักที่หยุดลงกะทันหันเริ่มติดเชื้อไฟอีกครั้ง

ชายหน้าบากก้มลงขบใบหูแดงก่ำเบาๆ ขยับกายท่อนล่างเป็นการกระตุ้น

คล้ายผู้อ่อนวัยกว่าจะรับสัญญาณนั้นได้ เพราะพลันที่แรงบดเบียดดันลึกเข้ามา อัยการหนุ่มก็กระดกร่างรับมันเข้าไปสุดทาง  และตอดรัดแน่นเสียจนผู้บุกรุกคำรามในลำคอลั่น  แม็กเกลจับสะโพกเอ็ดเวิร์ดไว้ ก่อนกระทั้นกายใส่รัวเร็วจนถึงจุดสูงสุดแห่งห้วงหฤหรรษ์พร้อมกัน

หลังกิจกรรมอันเหนื่อยอ่อน ชายทั้งสองนอนพักบนเตียงใหญ่ หอบหายใจหนักเหมือนคนขาดอากาศมาเนิ่นนาน  โดยเฉพาะเอ็ดเวิร์ดที่ซุกหน้าลงกับหมอน เก็บซ่อนความอับอายไว้อย่างเต็มเปี่ยม

...ทั้งที่ปากบอกว่าไม่   แต่พอถูกสัมผัสเล้าโลมรุกเร้า เขากลับเพลี่ยงพล้ำอย่างง่ายดาย  ซ้ำยังหลงระเริงไปกับความอ่อนโยนที่แสนลวงตานั้นจนลืมทุกสิ่ง...หากพ่ายเพียงร่างกายก็ยังพอกล้ำกลืนความอัปยศนั้นไว้  แต่หากหัวใจพ่ายแพ้ด้วยเล่า?

พลันที่ถามตัวเองเช่นนั้น มือเรียวก็กอดหมอนใบโตปิดหน้า ปรารถนาจะเลือนหายไปจากโลกใบนี้ทันใด

เสียงเคาะประตูปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์ นัยน์ตาสีเทาอ่อนตวัดมองไปยังคนข้างกายโดยไม่รู้ตัว  เห็นแม็กเกลเสยผมอย่างหงุดหงิด  พลางหยิบกางเกงมาสวม ก่อนเดินไปเปิดประตูรับหน้า

แม้จะมองไม่เห็นว่าผู้มาคือใคร  แต่เอ็ดเวิร์ดสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดในบทสนทนานั้น  ชายหนุ่มลุกขึ้นควานหาเสื้อผ้าของตนที่ตกอยู่ตามพื้น  แล้วสวมทับลงบนร่างอย่างรวดเร็ว เขาจัดการตัวเองเสร็จตอนที่แม็กเกลเดินกลับมาพอดี

“คนนำทางรออยู่หน้าห้อง”

ชายหน้าบากพูดลอยๆ  พลางหยิบเสื้อเชิ้ตขึ้นมาสวม  ก่อนหันมาอุ้มเอ็ดเวิร์ดที่กำลังจะลุกจากเตียงขึ้นแนบอก เดินออกไปข้างนอกทันที

กว่าคนถูกอุ้มจะหายงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาก็อยู่พร้อมหน้ากับคนนำทางแล้ว  เอ็ดเวิร์ดที่กระดากเกินกว่าจะโวยวายเป็นเด็กไม่รู้จักโตจึงได้แต่เก็บความแค้นเคืองไว้เงียบๆในใจ

โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ใครบางคนกำลังนึกเอ็นดูสีหน้างอง้ำของเขาอยู่อย่างเงียบงัน

​(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
(ต่อ)


“ฮาคิม! ไอ้ลูกทรพี”

นั่นคือคำผรุสวาทที่ดังที่สุดเท่าที่ทุกคนเคยได้ยิน

เพราะไม่เคยมีครั้งใด   ที่เอเฟ็ทจะเลือกใช้ถ้อยคำหยาบคายกับบุตรชายคนโตหัวแก้วหัวแหวนเยี่ยงนี้

หญิงรับใช้ที่เดินนำแขกทั้งสองเข้ามาชะงักงันไปด้วยความตระหนก ก่อนถอยกายออกไปอย่างรวดเร็ว

คล้อยหลังร่างบางนั้น แม็กเกลจึงยอมปล่อยเอ็ดเวิร์ดลงจากอ้อมแขน นัยน์ตาสีมรกตกวาดไปกลางห้อง จาเรฟกับทเวนนั่งรอพวกเขาอยู่บนโซฟาหุ้มผ้าขนสัตว์ ถัดไปเล็กน้อยคือชายหนุ่มหน้าคมเข้มที่กำลังถูกเอเฟ็ทสาดถ้อยคำใส่อย่างร้อนแรง

“ท่านพ่อ...ช่วยฟังผมก่อนสิครับ”   เสียงอ่อนใจของฮาคิมดังขึ้น

“ไม่ ฉันไม่ฟัง”

คำตอบบาดใจคนฟังนัก...หัวใจของเอเฟ็ทมืดบอดเกินกว่าจะมองเห็นด้านดีงามของความรักแล้วหรือไร? ฮาคิมได้แต่เฝ้ามองบิดาด้วยแววตาเสียใจ

“ทำไมล่ะครับ...บารากัตทำอะไรผิด ทำไมทุกคนถึงมองว่าน้องเป็นแกะดำ เป็นความเสื่อมเสียของตระกูล ต่างพากันรังเกียจเดียดฉันท์ไม่ยอมคบหา แม้แต่ท่านพ่อที่น่าจะเข้าใจ  ก็ยังเอาใจออกห่าง  ปล่อยให้น้องต้องใช้ชีวิตอยู่บนคำด่าทอสาปแช่งของคนอื่นตลอดมา...”

“แกเอาที่ไหนมาพูด ฮาคิม”   เสียงทุ้มทรงอำนาจแทรกขึ้นอย่างอดไม่อยู่

ชายหนุ่มมองหน้าบิดา ไม่หันหลบ ไม่อาจรู้ด้วยว่าเอเฟ็ทหลังจากรับฟังคำพูดนั้นแล้วจะเป็นเช่นไร แต่เขาคิดว่าตัวเองสมควรลงมือทำสิ่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว

นั่นคือการลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องน้องชายของตน ปกป้องเกียรติของบารากัตก่อนจะถูกย่ำยีไปมากกว่านี้

“ท่านพ่อต้องฟังผม” ฮาคิมประกาศกร้าว “ขอแค่ฟัง...แล้วค่อยตัดสินทีหลังว่าถูกผิดอย่างไร ไม่ใช่ว่าพอเป็นเรื่องของน้องแล้วก็บ่ายหน้าหนีแบบนี้!”

“ฮาคิม...นี่แก...”

เอเฟ็ทคล้ายคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าขึ้นเสียงกับตน   ยามกะทันหันจึงนิ่งไปเช่นกัน

ท่ามกลางความเงียบและอึดอัดของทั้งสองฝ่าย แม็กเกลที่ยืนมองอยู่ห่างๆก็ชักสี

หน้าเบื่อหน่ายอย่างไม่ปิดบัง ครั้นเหลียวมองทเวนก็เห็นได้ชัดเลยว่า อัยการหนุ่มเองก็ไม่ปรารถนาที่จะนั่งอยู่กลางกองเพลิงร่อนรุ่มแบบนี้เท่าใดนัก หากเด็กชายข้างตัวกลับไม่ยอมปล่อยให้เขาลุกจากโซฟาเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“น่ารำคาญ”   แม็กเกลบ่นเสียงดัง ไม่ไว้หน้าใคร

“เบื่อคนไม่รู้จักปล่อยวาง ฟังแล้วอารมณ์เสีย...ไปเถอะ”

ประโยคสุดท้ายหันไปบอกเอ็ดเวิร์ดที่ยืนอึ้งอยู่ข้างๆก่อนจับจูงมือกันออกไปทันที

“เฮ้ย เดี๋ยว...”   ทเวนอยากออกไปใจแทบขาด  แต่ถูกจาเรฟขัดตาทัพด้วยการกระโดดขึ้นนั่งตัก กระเทือนถึงปากแผลที่ยังช้ำไม่หายเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย! มันเจ็บนะเรฟ”

ชายร่างสูงโวยลั่น แต่ก็ไม่กล้าดังเกินกว่าเสียงกระซิบ  เนื่องจากเกรงใจสีหน้าของว่าที่คุณพ่อตาที่บอกได้คำเดียวว่า...โกรธจนอยากกระทืบคนให้จมธรณีนัก!






"ถ้าพ่อยังเห็นพวกผมเป็นลูกอยู่ ผมขอร้อง...อย่าได้ทอดทิ้งพวกเรา อย่าลำเอียง อย่ารักใครมากกว่าใครเลย...ทุกคนเป็นลูกพ่อนะครับ"

แม้แต่หินยังถูกน้ำกัดเซาะจนกร่อน แล้วนับประสาอะไรกับหัวใจดวงที่แข็งแกร่งดั่งหินผานี้เล่า ถึงจะแกร่งจะกร้าวเพียงใด แต่สุดท้ายใจก็ยังเป็นใจคน  เป็นหัวใจของพ่อคนหนึ่ง ที่ผูกมัดรัดร้อยความผูกพันไว้กับลูกทุกคน แม้มิอาจมองเห็นหรือสัมผัสได้ ทว่าความรักความห่วงใยนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะหาสิ่งใดมาทดแทน

คำพูดของฮาคิม สะท้อนสะท้านใจคนฟังนัก

ขณะที่ความโกรธขึ้งเริ่มมอด ความอาดูรกลับผุดพลุ่งขึ้นในอกอย่างรุนแรง

เอเฟ็ทรู้ดีว่าที่ผ่านมาเขาปฏิบัติต่อลูกทุกคนเช่นไร   ที่เข้มงวดและไม่เหลียวแลบารากัต มิใช่ว่าไม่รัก แต่เพราะเล็งเห็นจากสายตาผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนว่าลูกมีนิสัยดื้อรื้น  ไม่อยู่ในกรอบระเบียบ  ภาวะกดดันและความต้องการเอาชนะคือเชื้อเพลิงชั้นดีของบุตรชายคนรอง เขาจึงตั้งใจจะกวดขันให้เติบโตเป็นชายหนุ่มที่ดีคนหนึ่ง แต่สุดท้าย สิ่งที่เรียกว่าทิฐิกลับเบี่ยงเบนจุดประสงค์เดิมไปสิ้น  เขาเข้มงวดเพราะต้องการเอาชนะ  บารากัตแหกทุกกฎเพื่อต่อต้าน ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินผิดไปไกลจากทำนองคลองธรรมที่ถูกที่ควรจนยากจะย้อนคืน

ทั้งที่บารากัตเป็นบุตรชายที่เขาอยากจะรักและหวังดีด้วยมากที่สุดแท้ๆ

ดวงตาคมกริบแลเลื่อนไปยังประตูแทนคำตอบ

กิริยาของเอเฟ็ทส่งให้ฮาคิมหันมองตามด้วยความสงสัย ก่อนสบสายตาเข้ากับบารากัตและชาคิล

สีหน้าของน้องชายทั้งสองมีร่องรอยอ่อนล้า  หากประกายตากร้าวของบารากัตในวันนี้กลับแฝงไว้ด้วยความรักเทิดทูนสุดหัวใจ  และก็ด้วยดวงตาคู่เดียวกันนี้นี่ละ...   ที่ทอประกายมั่นใจเต็มเปี่ยมยามเดินนำคนรักเข้ามาในห้อง

“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมาครับพี่  แต่ผมจะไม่หนีอีกแล้ว”

บุตรชายคนรองแห่งโอมาลนอฟประกาศความตั้งใจอันแน่วแน่ของตน  ก่อนหันไปโค้งศีรษะให้บิดา

“บารากัต นาย...”   ฮาคิมถึงกับพูดอะไรไม่ออก มองใบหน้าคร้ามคมนิ่งงัน

...นั่นสินะ เพราะหลังจากนี้ น้องชายของเขาจะต้องคอยดูแลอีกชีวิตหนึ่ง ช่วยกันประคับประคองให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆไป...หน้าที่ของเขาหมดแล้ว

คิดได้ดังนั้น  ร่างสูงก็ถอยออกจากวง เปิดทางให้พ่อและน้องชายเผชิญหน้ากันอย่างไม่คิดขัดขวางอีก

บารากัตหันไปสบตาเอเฟ็ท ใช้ศึกสายตาวัดใจกันเฉกเช่นทุกครั้งที่พบหน้า

แต่แล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น บารากัตผู้หยิ่งทะนงตนเหนือใครคนนั้นยอมทรุดกายลงคุกเข่าวิงวอนบิดาอย่างเอเฟ็ท ละทิ้งซึ่งทิฐิขัตติยะของตนไปจนหมดสิ้น

ชาคิลเห็นดังนั้นจึงตรงเข้าไปเกาะแขนบิดาอย่างวิงวอนเช่นกัน

“ท่านพ่อ...ยกโทษให้พี่บารากัตเถอะนะครับ”

เอเฟ็ทยังคงนิ่งเงียบดุจเดิม มีเพียงนัยน์ตาคมวาวเท่านั้นที่อ่อนแสงลงยามมองบุตรชายในอ้อมแขน

“คนที่ลูกจะต้องไปอ้อนไม่ใช่พ่อหรอกนะ”   ว่าพลางรุนหลังชาคิลคืนสู่อ้อมอกของบารากัตด้วยความนิ่มนวล ก่อนเอ่ยเรียบๆ

“บารากัต ลุกขึ้นซะ แล้วฟังให้ดี...”

“...ครับ”

“แกรู้ใช่ไหมว่าเรื่องแบบนี้มันเสื่อมเสียถึงตระกูลเราแค่ไหน ซ้ำยังจะสร้างความลำบากให้กับชาคิลในภายภาคหน้าอีกตั้งเท่าไหร่”

“ผมทราบดีครับ”

“ถึงอย่างนั้น แกก็ยังยืนยันความคิดเดิม?”

“ผมรักชาคิล แม้ว่าที่ผ่านมาผมจะทำตัวไม่ถูกต้อง จนบัดนี้ก็ยังไม่อาจเป็นลูกที่ได้ดั่งใจท่านพ่อ...แต่เรื่องชาคิลเท่านั้น ที่ผมขอสาบานว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“แกไม่เปลี่ยน  แล้วถ้าชาคิลเปลี่ยนล่ะ”

นัยน์ตาคมทอประกายลึกลับบางประการยามเอ่ยคำถามนั้น  ชายวัยกลางคนทอดตามองทีท่าอึกอักของบุตรชายคนรองอย่างเงียบขรึม

ในที่สุด บารากัตก็เอ่ยคำตอบออกมาแผ่วเบา

“...ผมจะปล่อยเขาไป จะไม่ขัดขวางหรือใช้กำลังบังฝืนใจอย่างแน่นอน”

มุมปากคนฟังกระตุกนิดๆ กลับกลายเป็นเคียดขึ้งกว่าเดิม

“แค่เริ่มต้นแกก็ฝืนใจน้องแกไปแล้ว ฉันไม่เชื่อว่าแกจะทำได้หรอก”

ความหวังสุดท้ายดับวูบลงไปต่อหน้าต่อตา  ชายร่างสูงผิวเกรียมแดดก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้ามองสบสายตาเห็นใจของฮาคิม หรือแววตาผิดหวังจากชาคิลที่ยืนอยู่ข้างกายเลยแม้สักนิด

แต่แล้ว ในยามนั้น สุ้มเสียงทรงอำนาจก็ดังขึ้น

“แกกับฉันเดิมพันกัน บารากัต ใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ หากแกสามารถรักและทะนุถนอมชาคิลได้สมดังใจปรารถนาของฉัน ก็ถือว่าแกชนะ  แต่ถ้าทำไม่ได้...แม้แต่หน้าของน้อง แกก็จะไม่มีสิทธิ์ได้เห็นอีกตลอดชีวิต ฉันให้เวลาแก 5 ปี แสดงให้เห็นซิว่าความรักของแกมันยิ่งใหญ่แค่ไหน”

“ท่านพ่อ...”   ชายหนุ่มเงยหน้ามองบิดาอย่างไม่อยากเชื่อ ดวงตาปรากฏหยาดน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าคมสันฉายความยินดีปราโมทย์เต็มเปี่ยม

“ขอบคุณ...ขอบคุณมากครับ...”

เอเฟ็ทไม่ตอบ หันกายเดินจากไป

แต่เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว... กับการที่บิดายินยอมอ่อนลงให้เขาแค่นิดเดียว...นั่นก็เท่ากับว่าพวกเขายังมีสายใยแห่งพ่อลูกคอยผูกพันกันอยู่ใช่ไหม

บารากัตก้มมองชาคิล แล้วเหลียวมองฮาคิมด้วยความตื้นตัน

“ในที่สุดท่านพ่อก็ใจอ่อนให้น้องแล้วนะ บารากัต พี่ดีใจด้วย”

“ขอบคุณครับ พี่ฮาคิม ขอบคุณที่ช่วยผมมาตลอด”

ชายหนุ่มยึดกุมมือพี่ชายแน่น รู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งอก

“โอ๊ย! หยุดเดี๋ยวนี้นะจาเรฟ”

เสียงร้องตกใจปนเกรี้ยวกราดดึงความสนใจของทุกคนไปยังชายร่างสูงนาม   ทเวนอย่างพร้อมเพรียง เขาถูกจาเรฟซึ่งอายุน้อยกว่าผลักไสให้นอนบนโซฟาและรุกคืบด้วยวิธีการใดก็ไม่รู้  แต่ที่แน่ๆ ภาพเด็กชายอายุสิบสามสิบสี่ปีนั่งคร่อมอยู่บนร่างชายหนุ่มที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ย และกำลังส่งยิ้มแสนบริสุทธ์มาให้นั้นทำเอาชาคิลถึงกับยกมือปิดหน้าอย่างนึกอายแทนเจ้าตัว

“เฮ้ย...จาเรฟ! ลงมาเดี๋ยวนี้นะ”   ฮาคิมโพล่งพูดออกไปก่อนจะทันคิดเสียอีก

“ไม่ฮะ ก็ขนาดทเวนยังไม่ว่าอะไรเลยนี่นา”

จาเรฟส่ายหัวดิก แล้วก้มลงหอมแก้มคนรักแรงๆหนึ่งที ส่งให้คนถูกเอาเปรียบคำรามประท้วงในลำคอ  “ทเวนก็รักผมใช่มั้ยล่ะฮะ”  ถามเองตอบเองเสร็จ  เด็กหนุ่มก็จัดแจงละเลงแรงรักใส่ทเวนไม่มียั้ง ขณะที่คนอื่นๆซึ่งไม่อยากเห็นฉากชะตาขาดของอัยการหนุ่มต่างพากันหลีกลี้หนีหน้าออกมาอย่างเงียบงัน

“พอ...พอแล้ว...เรฟ...”

เสียงร้องห้ามอย่างอ่อนแรงของทเวนคือสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนได้ยินก่อนบานประตูจะปิดลง






เครื่องทำความเย็นในห้องแม้เปิดไว้เย็นจัด  หากความอุ่นละมุนของแสงแดดที่ทอกระทบลงบนร่างนั้นยังซาบซ่านเข้ามาถึงหัวใจ เอเฟ็ทเหลียวมองไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงทะเลทรายเวิ้งว้างสุดสายตา

“มาอยู่ที่นี่เองหรือคะ”

ชายวัยกลางคนหันไปมอง  เมื่อเห็นว่าเป็นภรรยารักลีเด็นผู้ถือครองดวงใจของเขามาตามหาถึงหอสมุด จึงลุกขึ้นต้อนรับหล่อน เป็นการให้เกียรติอย่างสูงสุด

“แล้วพวกเด็กๆ...”

เขาเอ่ยถามค้างไว้แค่นั้น เก็บกลืนคำ ‘เป็นอย่างไร’ ลงลำคอไปหมด

คล้ายหญิงสาวจะคาดเดาออก จึงแย้มยิ้มพรายอ่อนโยน

“ที่จริง ลูกก็ลดทิฐิลงมาให้ขนาดนั้นแล้ว คุณกลับยังจะถือเดิมพันอีก ทำไมคะ...กลัวใจอ่อนกับลูกหรือ”

“ลีเด็น ตกลงว่าคุณจะมาปลอบผม หรือสอบปากคำผมกันแน่”

เอเฟ็ทพ้อ พลางส่งสายตาอ่อนเชื่อมไปให้หล่อน

หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ยิ้มหวาน   “ฉันไม่หลงเสน่ห์คุณหรอก”

แต่ห้วงเวลาอันหวานชื่นกลับคงอยู่ไม่นานนัก   เพราะพลันที่ประตูห้องเปิดออก อารมณ์วาบหวามซาบซ่านเมื่อครู่ก็ปลาสนาการไปจนสิ้น คู่สามีภรรยาเหลียวไปมองพร้อมกัน ผู้มาใหม่คือฮาคิมนั่นเอง

“อ้าว...ฮาคิมจ๊ะ น้องๆกับแขกไปพักผ่อนแล้วหรือ?”

ลีเด็นทักทายอย่างอาทร  และสีหน้าแทบไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำเมื่อได้รับคำตอบว่าจาเรฟกับทเวนยังรั้งอยู่ในห้องรับแขก เรียวคิ้วงามเลิกขึ้นสูงคล้ายถูกใจนักตอนที่หล่อนเอ่ย

“อย่างนี้แหละจ้ะ เด็กกำลังโต”

คำพูดของลีเด็นสะกิดความคิดบางประการในหัวเอเฟ็ทขึ้นทันใด

พญาเหยี่ยวแห่งโอมาลนอฟเริ่มนึกนามของลูกทีละคน...บารากัต ชาคิล จาเรฟ...ไปแล้วสาม เหลืออีกสอง...คือฮาคิมกับเอสมาอิล เพราะนัวร์เป็นลูกสาว ถ้าแต่งก็ต้องเข้าบ้านคนอื่น

สำหรับเอสมาอิลที่ส่งไปอยู่กับหัวหน้านักบวชผู้คร่ำเคร่งทางศาสนานั้น...ยังพอไว้วางใจได้ ดังนั้นคนที่น่าหนักใจจึงเป็นฮาคิม...บุตรชายที่เขาตั้งความหวังไว้มากที่สุด

และหากกล่าวถึงปัญหาที่น่าหนักใจแล้ว ก็คงไม่พ้นเรื่อง...

“ฮาคิม...ไอ้ซียาต โบทรอสมันเลิกมาเกาะแกะลูกแล้วหรือยัง”

นัยน์ตาคู่คมหันไปสบตาบุตรชายอย่างคาดคั้น

คนถูกถามยิ้มบางเบา...หากเจื่อนสนิท

“เอ่อ...ไม่ทราบสิครับ”

คำตอบนั้นทำให้เอเฟ็ทขมวดคิ้ว ตาลุกวาวดุจพญาราชสีห์ขึ้นมาทันที

“นี่ขนาดพ่อเปลี่ยนเส้นทางธุรกิจแล้ว ไอ้เด็กตระกูลขายอาวุธนั่นก็ยังไม่เลิกตามรังควานแกอีกหรือ...ให้ตายสิวะ เห็นทีคงต้องคุยกันด้วยขีปนาวุธแล้วล่ะมั้ง”

“ท่านพ่อครับ...คนที่พ่อพูดถึงน่ะ เขาโตแล้วนะครับ...”

ฮาคิมบอกอย่างอ่อนใจ ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

“อายุยี่สิบ แต่อายุสมองสิบขวบมันก็เด็กอยู่ดีนั่นละ”   บิดาบอกอย่างโกรธๆ

“เอเฟ็ท ใจเย็นๆสิคะ หัวใจคนเรามันบังคับกันไม่ได้เสียหน่อย”   ลีเด็นเอ่ยปราม พร้อมกันนั้นก็ทิ้งกายลงนั่งบนตักคนที่กำลังหัวเสีย  “ถ้าลูกไม่ได้ดั่งใจ คุณก็ทำลูกเพิ่มเอาสิคะ คุณเองก็ยังหนุ่มแน่นขนาดนี้ อีกสักคนสองคนจะเป็นไรไป”

ยามกะทันหัน บุรุษวัยกลางคนเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่ปั้นหน้าเครียด โบกมือไล่บุตรชายซึ่งยืนกลั้นยิ้มอยู่ตรงหน้า

ฮาคิมรับคำเบาๆ ก่อนหมุนกายเดินกลับออกไปแต่โดยดี

ประตูปิดลง ท่ามกลางความโล่งใจเป็นล้นพ้นของเอเฟ็ท

“หรือคุณจะยอมรับว่าแก่แล้ว”   แว่วเสียงหัวเราะพริ้งพรายมาแต่ไกล

“เฮ้อ...ลีเด็น...บอกผมทีซิว่า ผมควรจะทำอย่างไรกับคุณดี”

เอเฟ็ทนึกอ่อนอกอ่อนใจนัก ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่ปี  เขาก็ยังตีฝีปากสู้แม่เสือสาวตรงหน้าไม่ได้เสียที  ชายวัยกลางคนถอนใจเฮือก  ก่อนจุมพิตหญิงสาวในอ้อมอกประดุจต้องการถ่ายทอดคำรักทั้งมวลผ่านริมฝีปากของตน

​--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
๑๖


พ้นจากห้องรับแขก  แทนที่จะกลับห้องพัก  แม็กเกลกลับดึงแขนเอ็ดเวิร์ดไปยังมุมลับตาคน ก่อนเบียดริมฝีปากลงกับกลีบปากอ่อนนุ่มด้วยความหิวกระหาย เนิ่นนานกว่าจะยอมผละจากมาอย่างอ้อยอิ่ง

“เอ็ดเวิร์ด ฉันมีเรื่องจะถามแก”  สุ้มเสียงจริงจังกว่าทุกครั้ง  “ฉันอยากรู้...ว่าแกคิดยังไงกับฉัน”

สับสน มึนงง คือความรู้สึกแรกในความคิดของชายหนุ่ม หากสิ่งที่เกิดขึ้นในนาทีต่อมาคือความหวาดระแวง...แม็กเกลจะมาไม้ไหนอีก

ทว่าดวงตาคมเขียวสดใสกลับมีแต่ความซื่อตรงจนสัมผัสได้

เอ็ดเวิร์ดอึ้งไปนิด ก่อนตอบอึกอัก   “ไม่...ไม่รู้สิ...”

ถ้อยคำที่ได้ยินทำเอามือใหญ่ที่เท้าอยู่กับผนังกำแน่นขึ้นมาทันที

“หมายความว่าไง”   แม็กเกลถามเรียบเย็น หากร้อนใจดังไฟจี้

“ถ้าแกรังเกียจฉัน...ก็บอกมาตรงๆ”

“เปล่า...”   เผลอตอบไปแล้วเอ็ดเวิร์ดก็นึกด่าความปากไวของตนนัก

“คะ...ใครจะไปรังเกียจพี่ชายตัวเองลง...”   เขาแก้ตัวน้ำขุ่นๆ  เมื่อสมองตื้อเกินกว่าจะคิดอะไรออก แต่ชายร่างสูงคล้ายล่วงรู้ว่าคำตอบนั้นไม่อาจนับเป็นคำตอบได้ แว่วเสียงหยันดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“พี่ชายที่ร่วมเตียงกันมาน่ะสิไม่ว่า...”   ประโยคนั้นหยุดชะงักลงกลางคัน ก่อน แม็กเกลจะรวบร่าง ‘น้องชาย’ เข้ามากอด แล้วจุมพิตรุนแรงราวพายุซัดกระหน่ำ

เอ็ดเวิร์ดดิ้นรนอยู่ในอ้อมกอดบังคับ  พยายามขืนตัวสุดกำลัง  แต่ส่วนหนึ่งในใจ

กลับตอบรับความป่าเถื่อนตรงหน้าเอาไว้สุดจิตสุดใจ

มือเรียวที่ยกขึ้นผลักอกกว้างกลับกลายเป็นขยำขยี้เสื้อจนยับ

ไม่! มันต้องไม่เป็นแบบนี้ ไม่ใช่!

เสียงกร้าวประท้วงกึกก้องในอก ทว่าก่อนที่เอ็ดเวิร์ดจะหาหนทางพาตัวเองกลับออกมาได้สำเร็จ  ผู้รุกรานก็ล่าถอยจากไปอย่างกะทันหัน แม็กเกลถอนจูบแต่ไม่ยอมถอนใบหน้าออกไป จมูกโด่งสันอยู่ใกล้จนรับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกสงบล้ำ

“คนโกหก...”   เสียงเยาะแกมเอ็นดู

เอ็ดเวิร์ดหน้าร้อนผ่าว หาคำจะตีโต้ แต่พอสบตาวาวๆเป็นประกายคู่นั้น ก็กลับเป็นฝ่ายที่ต้องหลบหน้าวูบลงมาเสียเอง

ปกติก็ทุ่มเถียงกัน...แต่ไม่ใช่แบบนี้ แม็กเกลไม่เคยใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเท่าตอนนี้

และเขาเองก็ไม่เคยหน้าร้อนด้วยความขัดเขินแปลกๆแบบนี้สักครั้ง

“เหนื่อย...จะไปนอน”   ชายหนุ่มว่าไปคนละทาง

“แน่ใจหรือ ว่าถ้ากลับไปที่ห้องแล้วจะได้นอน”

คำถามใจดี แต่พอฟังดีๆแล้ว...เอ็ดเวิร์ดถึงกับหันขวับมามอง  ดวงหน้าขาวแดงจัดถึงใบหู หากยังแฝงแววพิศวงไว้ไม่มิดเม้น

“นายกำลังขู่ฉัน”

“เปล่า”

...แต่ทำจริงแน่ เมื่อมีโอกาส แม็กเกลนึกอย่างกระหยิ่ม พลางกวาดสายตามองไปทั่วร่างสูงโปร่งด้วยอารมณ์อันหลากหลาย หากที่ชัดเจนที่สุดก็คือความคิดที่ว่า...ผู้ที่มีสิทธิ์ขาดเหนือเอ็ดเวิร์ด ต้องเป็นเขาแต่เพียงผู้เดียว!

“ถอยไปก่อน...เดี๋ยวมีคนเห็น”

ชายหนุ่มหวังเพียงแค่อีกฝ่ายจะถอนใบหน้าออกไป  หากพอเห็นคนตรงหน้ายอมทำตามอย่างง่ายดาย กลับยิ่งสร้างความงงงันประหลาด หากอุ่นวาบขึ้นในอก

...จะมีสักครั้งไหม...ที่เวลานายอยู่กับฉันแล้วนายจะไม่ทำสีหน้าเจ็บปวด...

‘เสียง’ ต่อว่ากึ่งพ้อ โยกคลอนหัวใจจนไหวโยนไปทั้งดวง

...อย่าหนีไปจากฉันอีกแล้วนะ เอ็ดเวิร์ด...

“ถ้าไม่อยากให้หนี ก็อย่าทำร้ายหัวใจฉัน...”

เอ็ดเวิร์ดตอบเงาที่มองเห็นอย่างเลื่อนลอย แล้วจึงรับรู้ความอุ่นหวานแทรกซ่าน...นุ่มนวล อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ดวงตาสีเทาอ่อนจ้องมองเสี้ยวหน้าคมสันที่ค่อยๆเลื่อนห่างออกไปไม่วางตา

“เอ็ดเวิร์ด...ฉัน...”

“ไอ้บ้าเอ๊ย! เพราะนายแท้ๆเลยเรฟ”

คนที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่หันหนีไปคนละทางราวเจอของร้อน เป็นเวลาเดียวกับที่ชายร่างสูงเดินเลี้ยวเข้ามาพอดี  ทเวนชะงักไปนิดเมื่อเห็นว่ามีคน  แต่จะหันหลังกลับก็ไม่ทันแล้ว

“แค่พลทหารเองฮะทเวน...ไม่ต้องห่วง พวกพี่เขาไม่รู้เรื่องหรอก”

เสียงจาเรฟลอยเจื้อยแจ้วมาถึงก่อนตัวเสียอีก

“มันก็ยังน่าอายอยู่ดีแหละโว้ย”   ทเวนตวาดอย่างเหลืออด

“อ้าว...ถ้างั้นทเวนก็ซุกหน้ากับอกเรฟสิฮะ”

เด็กหนุ่มวิ่งตื๋อมาหยุดตรงหน้าคนรัก พร้อมกางแขนอ้ารับอย่างเต็มใจ

“ไอ้...เด็กบ้า...”

มันน่า...เสียจริงๆ หากอยู่กันแค่สองคนยังพอทำเนา แต่นี่...มีพยานอยู่อีกสอง ถ้าหากทำได้ ทเวนแทบจะมุดรูพื้นหนีเสียในบัดดล  เขาลอบมองเอ็ดเวิร์ดและแม็กเกลด้วยความขัดเขิน เผอิญเห็นสีหน้าประดักประเดิดของเพื่อนสนิท จึงเข้าใจว่าถูกชายร่างสูงรังแก  ซึ่งทเวนไม่คิดต้องซ้ำสองเลยในการที่จะหาทางช่วยทั้งเพื่อนและตัวเองอย่างสุดกำลัง

“เอ็ด มานี่!”   ปากว่า มือถึง...ในลักษณะลากอีกฝ่ายจนตัวปลิวไปด้วยกัน

ก่อนจะไปยังหันมาสั่งสำทับอีกว่า

“ห้ามตามมาเด็ดขาดนะโว้ย! โดยเฉพาะแก...เรฟ!”

จาเรฟที่ตั้งท่าจะวิ่งตาม พลันถูกเสียงทุ้มเอ่ยเตือน

“นี่...เขาบอกไม่ให้ตามไป เจ้าหนู”

“ผมไม่ใช่เจ้าหนูซะหน่อย”   เด็กหนุ่มหันไปแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายทันควัน

แม็กเกลเพียงแต่มองนิ่งๆ ก่อนเปลี่ยนเรื่อง   “จาเรฟ โอมาลนอฟ...พวกเรามีคดีค้างกันอยู่หนึ่งกระทง...เรื่องข้อมูลของเอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอล”

คนฟังสะอึก  ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยทำอะไรเอาไว้...แต่ทำไมถึงเพิ่งมาขุดคุ้ยตอนนี้ล่ะ จาเรฟทำหน้าพิศวง มองชายหน้าบากที่หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบรอฟังคำตอบอย่างใจเย็น เด็กหนุ่มนิ่งไปนิด ก่อนตัดสินใจเข้าไปเจรจา

“ข้อมูลที่ขโมยมายังอยู่ที่ผม...แต่คุณจำเป็นต้องใช้มันอยู่อีกหรือฮะ”

“หมายความว่าไง ที่ว่า...จำเป็นต้องใช้”

“ตอนที่ผมขโมยของของคุณ นั่นเพราะมันมีความจำเป็นบางอย่าง ผมสามารถข่มขู่ทเวนได้ถ้ามีมัน...แต่กระดาษแค่นั้นคงไม่สามารถผูกพวกคุณเอาไว้ด้วยกันได้”

“ถ้าอย่างนั้น เธอคิดว่าอะไรล่ะ ที่จะผูกพวกฉันไว้ด้วยกัน”   แม็กเกลหลุบตาลง นัยน์ตาฉายแววเยาะหยันชัดเจน  “ร่างกาย อำนาจ หรือว่าความเกลียดชัง”

“ผิดทั้งหมดฮะ...เพราะร่างกายเป็นแค่ความหลง  สักวันคุณก็ต้องเบื่อหน่ายมัน...แต่อำนาจ คือความอยากได้ ไม่รู้จักพอ...ส่วนความเกลียดชัง คือไฟที่แผดเผาใจของพวกเราอยู่ทุกคืนวัน  ไม่ว่าจะมองอย่างไร  ผมก็เห็นว่าที่คุณพูดมามันมีแต่สิ่งบ่อนทำลายความผูกพันทั้งนั้น”

ปลายบุหรี่ในมือเปลี่ยนสีจากแดงฉานกลายเป็นเทาเข้ม ก่อนร่วงหล่นลงสู่พื้น ความร้อนจากปลายนิ้วดึงสติให้ชายหนุ่มก้มมองเถ้าบุหรี่ที่กองอยู่ตรงเท้า

แม็กเกลเหลียวมองเด็กหนุ่มที่ยืนพิงผนังเคียงข้างกันด้วยแววตาเคลือบแคลง

“นี่...เจ้าหนู...”

“บอกกี่ทีแล้วว่าไม่ใช่เจ้าหนู ผมโตแล้วนะ”

“หึ...งั้นจะให้ฉันเรียกเธอว่าอะไร...เจ้าหนุ่มหรือ?”

“โฮ้ย...พูดยังกับคนแก่”   คราวนี้มีร่องรอยตำหนิมาแทน

มุมปากหยักได้รูปของผู้สูงวัยกว่าเหยียดขึ้นคล้ายจะยิ้ม หากมันคงค้างไว้เพียงแค่นั้น กลายเป็นรอยยิ้มดูแคลนที่จาเรฟรู้สึกว่าชวนหงุดหงิดพิกล

“งั้นจาเรฟ...”   แม็กเกลสรุปสั้นๆ ก่อนทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้นหินอ่อนอย่างไม่ใยดี

“บอกฉันทีสิว่า สิ่งที่ทำให้คนเราสามารถผูกพันกันไว้ได้นั้นคืออะไร”

“ความรัก”   จาเรฟตอบฉะฉาน มั่นใจ

“ฉันไม่เชื่อเรื่องความรัก”   สุ้มเสียงห้าวค้านแผ่วหวิว คล้ายรำพึง

“ฉันแค่ต้องการเจ้านั่น อยากเก็บครอบครองไว้คนเดียว...ก็แค่นั้น”

“แล้วคุณอยากรู้ความรู้สึกของเขาหรือเปล่าฮะ”   เด็กหนุ่มย้อนถาม

“ถ้าอยากรู้แล้วมันจะทำไม”   แม็กเกลหันกลับมามองอย่างสงสัย

จาเรฟยักไหล่ กลอกตาอย่างใช้ความคิด

“...คุณไม่คิดหรือว่า...มนุษย์เราเห็นแก่ตัวกันทุกคน พอเรารู้สึกอย่างไรกับใคร เราก็อยากให้เขารู้สึกเหมือนเรากันทั้งนั้นนั่นแหละ”

ประโยคสุดท้ายกระตุกใจชายหนุ่มวาบ...นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขาพยายามคาดคั้นเอาคำตอบจากเอ็ดเวิร์ดใช่ไหม? เพราะอยากครอบครองไว้กับตัวเอง เลยอยากได้ยินคำว่าไม่อยากจากไป  และที่ไม่อยากได้ยินคำว่าเกลียด ก็เพราะว่า...รัก...

บุรุษหนุ่มเบือนหน้ากลับมาเชื่องช้า ในใจเจ็บปลาบสุดทานทนโดยที่แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร

หากแม็กเกลก็ไม่อาจได้ยินความในใจของจาเรฟเช่นกัน

...ถ้ารักก็บอกว่ารัก ไม่รักก็ไม่รัก แค่คำสองคำไม่เห็นจะพูดยากตรงไหนเลยนี่นา แล้วทำไมทุกคนถึงชอบปากไม่ตรงกับใจกันนักนะ...พวกผู้ใหญ่นี่แปลกจัง







"ทเวน...หยุดเถอะ...ไม่มีคนตามมาแล้ว"
เอ็ดเวิร์ดกระหืดกระหอบบอกทเวนหลังจากเห็นว่าไม่มีใครตามมา

“จริงเหรอ...ไหน”   คนที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้าหยุดเท้า ก่อนชะโงกกลับไปมอง

“เออ...จริงว่ะ งั้นก็นั่งพักได้แล้วสิ”

ไม่พูดเปล่า หากร่างสูงยังทรุดลงนั่งกุมสะโพก ทำหน้าเบ้กับตัวเอง ส่อแสดงชัดว่าการกระทำที่ผ่านมาต้องฝืนตัวเองแค่ไหน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”   เอ็ดเวิร์ดนั่งลง พลางถามอย่างเป็นห่วง ทั้งที่ตัวเองก็เจ็บแผลระบมที่ขาไม่น้อยเลย

“คิดว่าเป็นว่ะ ไอ้เด็กนั่นมันทำฉันไข้แตก...โอย”   ทเวนนอนไปบนพื้นแล้วตอนนี้

“เมื่อกี้ก็เกือบไป... พอดีมีทหารเดินเข้ามาสองนายก็เลยรอด แต่...โอ้ย! อายจะตายห่าอยู่แล้วโว้ย”

“เอาน่า ก็ยังดีกว่าถูกทำถึงขั้นสุดท้าย”   ชายหนุ่มปลอบ

หากทเวนหน้าแดงก่ำ อึกอักอยู่เป็นนานกว่าจะตอบ

“คือ...ตอนที่ถูกเห็นมันก็เกือบสุดท้ายแล้วล่ะ”

“หา!”   คราวนี้กลับกลายเป็นคนปลอบเสียเองที่แผดเสียงลั่น

“ชู่ว์...เบาๆหน่อยสิ ฉันก็อายเป็นนะเว้ย”   ชายร่างสูงว่าเสียงสะบัด

“แล้ว...แล้วพวกนาย...”   เอ็ดเวิร์ดอ้ำอึ้ง

“ก็ไม่ทำไมหรอกวะ  ไอ้เด็กเปรตมันก็โกหกไปว่าจะวัดไข้ฉันอยู่น่ะสิ แล้วก็ไล่ตะเพิดให้ทหารไปรอนอกห้อง หลังจากนั้นฉันก็หนีจนมาเจอนายกับแม็กเกลนั่นแหละ”

ทเวนถอนใจแรง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“ว่าแต่พวกเราจะเอายังไงกันต่อ”

“หมายถึงอะไร?”   คนถูกถามยังไม่ยอมเข้าใจ

“ก็หมายถึงจะกลับยังไงน่ะสิ!”  คนถามโวยเข้าให้  “โดดงานแบบไม่มีพักจนถูกเด้งออกแล้วแน่ๆ  ยังไงก็ต้องหางานใหม่  นายคงไม่คิดจะอยู่ในสภาพนี้ไปตลอดหรอกใช่ไหมเอ็ด”

“ฉัน...”

ดวงตาสีมรกตของใครบางคนผ่านวาบเข้ามาในสมองก่อนจะห้ามตัวเองได้ทัน ชายหนุ่มสะท้านเฮือก ในอกเจ็บร้าวดุจถูกมีดผ่าแล้วควักหัวใจออกไปทั้งดวง ยามคิดว่า เขาต้องแยกจากเจ้าของดวงตาคู่นั้นไป...ไกลแสนไกล...

“ไม่ใช่!”

“เฮ้ย! โอ๊ย...”   ทเวนที่นั่งอยู่เคียงข้างเผลอยืดตัวเต็มที่ด้วยความตกใจจนแผลกระเทือน เขาหันมาค้อนเพื่อนอย่างโกรธๆ   “ตอบแบบธรรมดาไม่เป็นหรือไงวะ เอ็ด”

“ไม่...ฉัน...ไม่ได้คิดแบบนั้น”

“อ้าว...ตกลงว่าเอาไงแน่”   คราวนี้เสียงถามเริ่มหงุดหงิด

เอ็ดเวิร์ดยังคงนั่งก้มหน้านิ่ง สุ้มเสียงทุ้มถามแหบพร่า

“ทเวน ถ้าเกิดนายต้องแยกทางกับจาเรฟ นายจะทำยังไง”

“ยังไง? ก็ดีใจมากๆน่ะสิ ถามได้”   คนตอบ ตอบแบบไม่คิดอะไรมาก

“แม้ว่าจะเป็นการลาจากตลอดชีวิต?”

“ฝันไปเถอะ ไอ้เด็กนั่นไม่มีวันปล่อยฉันไปง่ายๆหรอก”

คำตอบยังฟังดูมั่นใจเหลือล้น

“แล้วถ้าวันนึงจาเรฟเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ”

คำถามราบเรียบ หากจี้ปมในใจราวตาเห็น ทุกถ้อยคำตีแผ่ความกังวลของชายหนุ่มออกมาได้อย่างหมดจด ดวงตาสีไพลินงดงามสั่นไหวยามดวงหน้าคมสันเบือนหนีอย่างเชื่องช้า

“ฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลย...”

สุ้มเสียงห้าวแผ่วเบาราวจะกลืนหายไปกับอากาศ

“...นั่นสิ  ถ้าเกิดเรฟเปลี่ยนไป...ฉันก็คง...กลับไปหางานทำ...แล้วก็ใช้ชีวิตเดิมๆ...เหมือนที่ผ่านมานั่นแหละ”

แววตาของทเวนยามตอบคำถามนั้นหม่นเศร้าในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

มันเฉื่อยล้าและโรยแรงจนคนที่เฝ้ามองอยู่ใจสั่นสะท้าน

อย่างเงียบงัน มือเรียวเอื้อมบีบบ่าให้กำลังใจสหายสนิท  ก่อนเอนร่างพิงหลังกันและกันเหมือนที่ทั้งสองมักทำบ่อยๆสมัยก่อน

“ช่างมันเถอะ ทเวน อย่างคิดถึงมันแล้วเลย...ฉันขอโทษ”

“เอ็ดเวิร์ด...”

“ฉันนี่แย่จริง ถามเรื่องแบบนั้น...”

เอ็ดเวิร์ดย้ายศีรษะไปบนบ่าคนข้างกายอย่างผ่อนคลาย

“...ทั้งๆที่ฉันคือคนที่เข้าใจหัวอกนายมากกว่าใครแท้ๆ...อืม  พวกเราไม่ได้นั่งคุยกันแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ”

“นั่นสิ ครั้งสุดท้ายที่เรานั่งจับเข่าคุยกัน...ก็นานมากแล้ว”   ทเวนอมยิ้มยามหวนคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุข และมิตรภาพอันมั่นคงระหว่างพวกเขา

แต่ชายหนุ่มทั้งสองรู้ดีว่าอดีตไม่เคยหวนคืนมา ...วันเวลาแห่งความสุขเหล่านั้น

จากไป... หลงเหลือไว้เพียงความทรงจำอันงดงามในหัวใจของพวกเขาตราบนานแสนนาน...เช่นเดียวกับทเวน เทมส์และเอ็ดเวิร์ด โรจส์ฟอลส์ที่คงจะถูกสายลมแห่งกาลเวลาพรากจากกันในสักวันหนึ่ง

ทเวนรู้ดีว่าเพื่อนของเขารักแม็กเกลแค่ไหน เขารู้ดีพอๆกับที่เอ็ดเวิร์ดมองออกอย่างปรุโปร่งนั่นละว่า พันธนาการหัวใจระหว่างทเวนกับจาเรฟนั้นผูกพันแน่นแฟ้นกันเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ

“ถ้ากลับออกไปได้เมื่อไหร่ล่ะก็ ฉันจะไปเยี่ยมพ่อแม่ที่กรุงลอนดอนเก่าทันทีเลย คอยดู”  ทเวนวางแผนด้วยความคาดหวังเต็มเปี่ยม  “นายก็ไปด้วยกันสิเอ็ด พวกท่านอยากเจอนายมากนะ”

แต่อีกฝ่ายกลับทอดถอนใจ   “ฉันรับปากนายไม่ได้ ทเวน”

“อือ...หรือว่า...นายมีที่ที่อยากไปอยู่แล้ว”

“เปล่า แต่ฉัน...”

“ไม่อยากแยกจากแม็กเกล”   ทเวนต่อให้อย่างรู้ทัน

“บ้าสิ! คะ...ใครคิดแบบนั้น...”

เอ็ดเวิร์ดขยับตัวหนีจากเพื่อนอย่างเงอะงะ ส่งให้คนพูดแทงใจดำถึงกับหัวเราะร่าด้วยความถูกอกถูกใจ

“ไม่ตลกนะทเวน!”

เสียงเข้มดุขัดกับใบหน้าแดงจัดราวลูกตำลึงสุก น่าขันเสียจนทเวนระเบิดเสียงหัวเราะลั่น เขาไม่เคยเห็นทีท่าขัดเขินของเอ็ดเวิร์ดเต็มตาขนาดนี้มาก่อนเลย

น่ารักจริงๆ ให้ตายเถอะ!

คนโดนหัวเราะถึงกับอับอายจนไม่รู้จะวางหน้าไว้ที่ไหน

“ถ้าจาเรฟตามนายไปแล้วจะรู้สึก!”   เอ็ดเวิร์ดแช่งเข้าให้

“เอ๋...ทเวนจะไปไหนหรือฮะ?”

เสียงสดใสย้อนถามทันควัน เรียกให้ชายทั้งสองลุกยืน และหันขวับไปมองพร้อมกันโดยอัตโนมัติ ก่อนชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเทาอ่อนจะตอบแทนเพื่อนสนิท สุ้มเสียงสะใจ

“ทเวนจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่กรุงเก่าน่ะ”

“กรุงเก่า? ลอนดอนหรือฮะ”

จาเรฟเดินเข้ามาใกล้ถามอย่างใคร่รู้ ตาเป็นประกาย

“เรฟไปด้วยได้ไหมฮะทเวน นะ...นะๆๆ  เรฟอยากไปมานานแล้ว....อยากเจอว่าที่พ่อตาแม่ยายด้วย ทเวนให้เรฟไปด้วยคนนะฮะ”

ลูกอ้อนอย่างมีชั้นเชิงที่เคยใช้ได้ผลกับเอเฟ็ทตลอดมา   มีหรือ...จะไม่ได้ผลกับ ทเวน เทมส์!

“โว้ย! นี่ถ้าฉันไปลงนรก นายจะไปด้วยหรือไง”

ชายร่างสูงว่าอย่างเหลืออด

“ต่อให้เป็นนรก เรฟก็ไปกับทเวนอยู่ดีฮะ”

“ปากดี!”   ดวงหน้าคมสันเบือนหนีไปทางอื่นคล้ายไม่ใส่ใจ  แต่เอ็ดเวิร์ดรู้ดีเลยละว่า อีกฝ่ายต้องพยายามกลั้นยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ

อัยการ...หรืออดีตอัยการหนุ่มรูปงามถอนหายใจช้า...ยาว  เขาไม่ควรอยู่ขัดช่วงเวลาอันหอมหวานของคู่รักนานไปกว่านี้    อีกทั้งรสชาติขมปร่าในอกยามเห็นภาพตรงหน้าก็ชวนให้ปวดร้าวล้ำลึกจนเลือกที่จะปลีกตัวจากมา

เอ็ดเวิร์ดฝืนใจตัวเองอย่างยากเย็นในความที่จะไม่จมจ่อมอยู่กับภาพอดีตอันเจ็บช้ำขณะเดินเร็วๆกลับห้องพัก แต่ระหว่างทาง เขากลับพบแม็กเกลเข้าเสียก่อน

ชายร่างสูงยืนอยู่ภายใต้แสงแชนเดอเรียสว่างไสวด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ชักช้า”   เสียงทุ้มห้าวบ่นพึมพำ ก่อนวกเข้าเรื่องโดยไม่รีรอ

“เจ้าหนูจาเรฟมันบอกว่า  เดี๋ยวจะไปขออนุญาตเอเฟ็ทให้เอาเครื่องออกพรุ่งนี้เก้าโมงเช้า แกก็ขึ้นเครื่องไปกับเพื่อนแกเสีย”

“ทำไมต้องไปกับทเวนล่ะ?”   เอ็ดเวิร์ดมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอย่างสงสัย

“แกเองก็หวังให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

วาจาแดกดัน หากแววตาร้าวราน...

นี่แม็กเกลกำลังพิสูจน์ใจเขาอยู่หรือไร?

‘จำไว้นะเอ็ดเวิร์ด...จงเลือกด้วยหัวใจ แต่อย่าให้หัวใจมาตัดสินชีวิตของเรา’

...อย่าให้หัวใจมาตัดสินชีวิตเรา

‘ถ้อยคำ’ ย้ำเตือนถี่กระชั้น...และเอ็ดเวิร์ดเลือกที่จะทำตามหัวใจเรียกร้อง มิใช่การเสียดสี ย้อนวาจาใส่กัน เพื่อชัยชนะที่ต้องแลกมาด้วยความเจ็บร้าว หัวใจแตกราน

...บทเรียนล้ำค่าจากอดีตสอนให้เขารู้ว่า การดึงดันใช้อารมณ์เข้าแก้ มีแต่จะทำให้ตัวเองและผู้อื่นเจ็บช้ำ

ชายหนุ่มสาวเท้าเรื่อยๆเข้าไปหา เงยหน้ามองสบดวงตามรกตหม่นแสง แล้วเอ่ยทำลายความเงียบด้วยคำพูดที่กลั่นกรองออกมาจากใจ

“แต่ฉันอยากอยู่กับนาย แม็กเกล”

แม็กเกลกวาดตามองไปทั่วใบหน้าเอ็ดเวิร์ด คล้ายกำลังถามหาความมั่นใจจากถ้อยคำนั้น ในขณะที่ปราการสูงในใจพังทลายลงมาจนหมดสิ้น

ความสุขเอ่อล้น ใจทั้งดวงตันตื้น มาเฟียหนุ่มผู้แสนเย็นชาเพิ่งรับรู้ในนาทีนี้เองว่า...บางครั้งสิ่งที่เรียกว่าความสุขก็อยู่ไม่ไกลจากตัวเราเลย

ขอเพียงให้เปิดใจ  ความสุขก็จะเข้ามาหาเราเอง

​(มีต่อ)

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่มาถึงพร้อมการจากลา

บารากัตและชาคิลเป็นคนคู่แรกที่หักใจตีจากไปก่อน  ทั้งสองอาศัยเพียงอูฐสาวจูมาน่า ที่บัดนี้ฮาคิมยกให้เป็นของขวัญแก่น้องชายคนรองสำหรับเป็นพาหนะเดินทางไปในทะเลทราย  ชาคิลดูเหงาไปเล็กน้อยเมื่อมารดาไม่ยอมมาส่ง...หรือความจริงก็คือ  นางลาติฟาห์โกรธบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนเรื่องบารากัตจนไม่ยอมพบหน้า  สำหรับเรื่องที่ทำใจได้ยากเช่นนี้...เด็กหนุ่มเข้าใจดี

แต่อีกประการหนึ่งนั้น จาเรฟผู้เป็นคู่กัดกับชาคิลตลอดกาลเฉลยให้ฟังว่า...

นับแต่กลับมายังคฤหาสน์โอมาลนอฟ บารากัตก็ไม่อาจแตะต้องน้องน้อยของตนได้เลย เนื่องจากมีเอเฟ็ทคอยเป็นทัพหน้าให้ตลอด  ทว่าเมื่อใดที่ทั้งสองโลดแล่นไปในทะเลทรายเพียงลำพังแล้วล่ะก็ ชาคิลที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมอันสมบูรณ์ย่อมต้องคอยอาศัยพึ่งพิงความรู้จากบารากัตอย่างแน่นอน

แต่เมื่อถามถึงเหตุผลว่า แล้วทำไม...เด็กหนุ่มผู้มีทุกอย่างเพียบพร้อมถึงต้องพา

ตัวเองไปลำบากเช่นนั้นด้วย จาเรฟกลับอมยิ้ม ไม่กล่าวอะไร

ความจริงก็คือ เขาไม่จำเป็นต้องตอบ เพราะทุกคนล้วนมีถ้อยคำที่จะมาอธิบายคำถามนั้นอยู่ในใจ เพียงแต่ไม่มีใครเอ่ยมันออกมา...เท่านั้นเอง

“เอ็ดเวิร์ด...ได้เวลาแล้ว”

แม็กเกลหันมองรอยยิ้มพรายบนใบหน้าคมสันของคนรักอย่างเฉยเมย แลเห็นเอ็ดเวิร์ดโคลงศีรษะเป็นเชิงรับรู้ ก่อนนัดแนะสิ่งใดกับทเวนต่ออีกสองสามคำ

“ทเวนฮะ เครื่องจะออกแล้วนะ!”

เสียงตะโกนเรียกจากจาเรฟที่เดินขึ้นไปบนเครื่องส่งให้ชายร่างสูงเริ่มชักสีหน้าหงุดหงิด แต่แล้วกลับส่ายหน้าอย่างระอาใจแทน

“แล้วเจอกันนะเอ็ด...ในงานเจรจาอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า”

“แล้วเจอกัน ทเวน ดูแลตัวเองให้ดีด้วยล่ะ”

สหายรักเอ่ยร่ำลากันเป็นนานสองนาน  อดใจหายขึ้นมานิดๆไม่ได้ยามที่คิดว่าเส้นทางชีวิตของพวกเขาต้องแยกจากกันในวันนี้

โชคดีว่าเอเฟ็ทเล็งเห็นถึงความทุกข์ในหัวใจของใครหลายคน จึงเสนอโครงการใหม่กับแม็กเกลเกี่ยวกับธุรกิจโรงแรมในนานาประเทศ โดยตั้งเงื่อนไขสำคัญว่าต้องมีการประชุมหารือกันเดือนละสองหน   และต้องมีนักกฎหมายเป็นพยานรับรองทุกครั้งที่มีการนัดหมายเจรจา

‘จาเรฟ...ลูกจงเป็นตัวแทนของพ่อบริหารงานโรงแรม ถ้ามีอะไรก็ปรึกษากับนักกฎหมายเอานะลูก’

‘ฮะ...แต่ว่า...นักกฎหมายจะไว้ใจได้หรือฮะ ท่านพ่อ’

‘ไว้ใจได้ไม่ได้ ก็ถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆลูกเอาเถอะ ’

และแล้วทเวนที่เพิ่งบ่นเรื่องตกงานไปหมาดๆ ก็ได้รับบรรจุเข้าเป็นนักกฎหมายประจำตัวจาเรฟไปโดยปริยาย  ส่วนนักกฎหมายของแม็กเกลย่อมต้องเป็นเอ็ดเวิร์ดอย่างแน่นอน

ชายร่างสูงโปร่งมองส่งเพื่อนจนลับสายตา แล้วจึงค่อยเดินขึ้นเครื่อง เอนร่างพิงเบาะหนานุ่ม เคียงข้างปีศาจเจ้าหัวใจของเขาอย่างผ่อนคลาย

“เมื่อกี้คุยอะไรกัน?”

เอ็ดเวิร์ดหันไปสบตาสีมรกตวาววาม พลางนึกถึงคำพูดค่อนแคะคนข้างกายจากปากทเวน แล้วตัดสินใจไม่บอก

“ก็ถามเรื่อยๆ...ตามประสาเพื่อน”

ดูก็รู้ว่าแม็กเกลไม่เชื่อถือคำพูดนั้นเลย หากก็มิได้คะยั้นคะยอถามต่อ

นี่เป็นข้อดีอีกข้อที่ว่าที่นักกฎหมายหนุ่มมองเห็นจากเดอะ สการ์เฟส

เอ็ดเวิร์ดรู้ดีว่า พวกเขาเองถึงแม้จะปรับความเข้าใจกันได้แล้วก็ตาม  แต่ความเย็นชาของแม็กเกลก็ยังไม่ลบเลือนไปโดยง่ายนัก  หลังจากนี้คงต้องอาศัยเวลาในการปรับตัวเข้าหากันอีกพักใหญ่ทีเดียว

“พูดถึงโครงการนั่น...”

ชายหน้าบากเอ่ยขึ้นลอยๆ เรียกเอ็ดเวิร์ดให้เหลียวมามอง

“...จะช้าจะเร็วก็คงเป็นที่หมายหัวของคนในเครื่องแบบแน่นอน  ทางที่ดีเราควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม...ต้องหาใครสักคน...ที่มือสะอาดมากพอจนช่วยเพิ่มน้ำหนักให้กับธุรกิจนี้ได้”

“ใครหรือ?”   คนฟังเอียงคอมองอย่างสงสัย

มุมปากหยักสวยกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนเฉลยว่า

“เอิร์ลแม็กซิมิเลียน เจมส์ โลเวลล์”

“พี่แมทธิว...”   เอ็ดเวิร์ดอุทานด้วยความประหลาดใจระคนดีใจอย่างไม่ซ่อนเร้น แล้วกลับกลายเป็นครุ่นคิดขึ้นมาทันใด   “...พี่เขาจะสนใจหรือเปล่าก็ไม่รู้?”

“ก็ต้องลองดู...ซึ่งแน่นอนว่าคนเจรจาคือนาย เอ็ดเวิร์ด”

มือกร้านเชยคางได้รูปขึ้นและจุมพิตบนหน้าผากมน...อ่อนโยนกว่าทุกครั้ง

นัยน์ตาสีเทาอ่อนจับจ้องใบหน้าคมนิ่งนาน วินาทีนั้น เอ็ดเวิร์ดพลันรู้สึกเหมือนได้สัมผัสถึงหัวใจของแม็กเกลเป็นครั้งแรก


--จบตอน--

ออฟไลน์ narikasaii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 33
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
บทส่งท้าย

จดหมายสองฉบับส่งมาถึงตึกสำนักงานคดีในอีกสี่วันต่อมา เนื้อความในกระดาษเขียนด้วยลายมือบรรจงสวยงาม  ว่าด้วยการลาออกของเจ้าหน้าที่เอ็ดเวิร์ด ไมลส์ โรจส์ฟอลส์และทเวน เทมส์ เนื่องจาก ‘เหตุผลส่วนตัว’ พร้อมทั้งส่งคืนเข็มอัยการมาในสภาพสมบูรณ์ทุกประการ   เป็นการจบเส้นทางอาชีพอันยาวนานของคนทั้งสองลงอย่างหมดจดงดงาม

แสงสีส้มอ่อนจางบนฟ้าเป็นสัญญาณว่าตะวันกำลังจะตกดินแล้ว เอ็ดเวิร์ดนั่งเก็บสัมภาระเที่ยวสุดท้ายอยู่ในบ้านพักเก่า ก่อนจะย้ายไปยังคฤหาสน์ของแม็กเกลเอกสารเกี่ยวกับรูปคดีที่ผ่านมาถูกวางกองไว้เป็นสัดส่วนสำหรับเผาทิ้ง  แต่มีกระดาษอยู่สองสามแผ่นที่ชายหนุ่มจงใจแยกไว้ต่างหาก
สีของกระดาษเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้ำตาล หากทุกตัวอักษรยังเห็นชัดเจน
...เอ็ดเวิร์ดนั่งอ่านทวนจนจบทุกบรรทัด  ก่อนเก็บลงในแฟ้มใสดุจเป็นอัญมณีเลอค่า เป็นเวลาเดียวกับที่ประตูห้องเปิดออก
แม็กเกลก้าวเข้ามาข้างใน มือยังจับลูกบิดประตูค้างไว้ ยามกวาดตามองมาที่เขาอย่างมีคำถาม
“เสร็จแล้วล่ะ”  พูดออกไปแล้ว เอ็ดเวิร์ดก็รวบแฟ้มลงไปในกระเป๋าสะพายขนาดเล็ก ลุกจากเตียงมาหยุดยืนเบื้องหน้าดวงตาคมดุที่เขม้นมองเหมือนจะเอาเรื่อง เมื่อคนตรงหน้าจัดการอะไรได้ชักช้าเหลือเกิน
ทว่าในที่สุด  ชายหน้าบากก็มิได้เอ่ยคำใด  เขาเพียงแค่เดินนำไปยังรถที่จอดไว้ข้างนอก  รอให้น้องชายต่างบิดาล็อคกลอนประตูเรียบร้อย  และก้าวขึ้นมานั่งเคียงข้าง ก่อนรถสีดำติดฟิล์มดำจะแล่นออกไปจากบ้านหลังนั้นอย่างนิ่มนวล 

The End

ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ diszalove_

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 122
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แต่งดีมากๆ เลยค่ะ มารวดเดียวเลย ขอบคุณนะคะ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ดีค่ะ เป็นเรื่องที่ผูกดี ภาษาดี คำผิดแทบไม่มี
ทุกอย่างดี ชาคิลนี่ น่ารักแฮะ
ชอบพี่แมททิวมากก
เอ็ดนี่ก็ ดีนะที่เข้มแข็ง ไม่งั้น กว่าจะทำให้แม็กเกลรู้จักความรัก
เอ็ดตายก่อนพอดี
ขอบคุณมาก สำหรับเรื่องนี้จ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Altasia

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
เคยอ่านในเด็กดีเมื่อนานมาแล้ว แต่อ่านไม่จบเสียที พอลงเล้าเท่านั้นแหละ วันเดียวจบ 555

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด