ผมจิตตกดำดิ่งสู่ความเศร้าหลังจากที่ไอ้อาร์มมาส่งถึงหอและกลับไป ไม่สิ! มันมาส่งถึงห้องก็ว่าได้ มันรู้ความรู้สึกตอนนี้ของผมว่าเป็นแบบไหน แทนที่จะปล่อยให้ผมเล่าในเวลาเหมาะสม แต่มันดันเซ้าซี้เกินมนุษย์มนาคนอื่นๆเขา ยิ่งเซ้าซี้ผมก็ยิ่งรำคาญ รู้สึกโกรธมาแทนเศร้าแล้วเนี่ย พอทนมันไม่ไหว ผมจึงไล่ตะเพิดออกจากห้อง มันก็ยอมไปแต่โดยดี โดยไม่เถียงกลับแม้แต่คำเดียว หากแต่มันมีข้อแม้ด้วยเนี่ยสิ 'มึงต้องไปส่งกูหน้าหอ ไม่งั้นกูไม่กลับ' ผมก็เบิดกะโหลกมันไปทีนึง แต่ก็ยอมไปส่งมันอยู่ดี
คิดอีกแบบ ทำอีกแบบ นี่แหละตัวผม
พอส่งมันเสร็จ กลับมาห้องก็ใช่ว่าจะได้นอนซะทีเดียว กลับเข้าสู่ความคิดเดิมๆอีกครั้ง อยากจะร้องไห้ แต่ก็ปฏิญาณกับตัวเองไว้แล้วว่า จะเสียน้ำตาให้กับคนที่รักผมและคนที่ผมรักเท่านั้น จึงได้แต่กั้นน้ำตาไม่ให้ไหล พอแล้วกับความผิดหวังครั้งนี้ ถ้าหากรู้จะเป็นแบบนี้ ผมจะหยุดตัวเองไว้ตั้งแต่แรก
ความคิดฟุ้งซ่านมันส่งผลทำให้ผมในทางที่ไม่ดีนัก เพราะกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตี4 แล้วนอกจากนั้นก็ยังมีเรียนตอนเช้าอีก จ้าเอามันเข้าไป
ตื๊ด ตื๊ด
ผมคว้าและคลำหาโทรศัพท์ที่ถูกวางไว้อีกที่กับที่คลำหา ในสภาพที่งัวเงียแบบนี้ใครมันบังอาจมาปลุกท่านเปอร์ผู้นี้! ผมน่ะถ้าใครปลุกจะไม่ตื่นง่ายๆหรอก ถ้าหากเป็นเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ที่แสนน่ารำคาญนี้ล่ะก็ รู้สึกตัวเร็วอย่างกับมีเรดาห์อยู่กับตัว จึงคลำเจอในที่สุด ทั้งเสียงนาฬิกาปลุกและเสียงเรียกเข้าผมตั้งเป็นเสียงเดียวกันแหละ
“ว่าไงมึง” ผมพูดออกมาแทบจะเป็นเดียวกัน เพราะยังไม่ตื่นดี เสียงก็เลยออกมาเป็นแบบนี้
[เปอร์ นี่มึงอยู่ไหน คลาสจะเริ่มแล้วนะมึง!] คนปลายสายเอ่ยเสียงแข็ง
“หะ!” ถึงกลับอุทานแล้วลุกพรวดจากที่นอนในทันที หันมองดูนาฬิกาที่ตั้งโต๊ะ เหี้ย! นี่มันแปดโมงสี่สิบห้าแล้วนี่นา อีก 15 นาทีเริ่มคลาสวิชาเอก
ตายยยๆ กูตายแน่ๆ
“ทำไมมึงเพิ่งโทรบอกตอนนี้วะ” ผมตวาดใส่ปลายสายอย่างหัวเสีย
[กูโทรไปหลายสายแล้ว แต่มึงไม่รับเอง ช่วยไม่ได้] มันพูดอย่างเต็มปาก ไม่ห่วงกูบ้างเลย ว่าแต่มันก็โทรมาบอกอย่างที่มันว่าแหละ แล้วทำไมกูไม่รู้สึกตัวอีกวะเนี่ย
“...”
[ว่าแต่มึงอยู่ไหนเนี่ย อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น]
“เพิ่งตื่นห่าไร กูใกล้ถึงแล้วโว้ย” โกหกหน้าตายเอาซะดื้อๆเลยกู ศีลข้อ 4 ไม่ต้องรักษาแม่งแล้วล่ะ พูดโกหกไปทั้งๆที่ตัวเองยังนั่งอยู่บนเตียงจมคราบน้ำลายพร้อมก้อนขี้ตาที่แข็งตัวไปแล้ว
[รีบมาเร็วๆล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเอา]
“จ้าๆ” ผมตอบเสียงเอื่อย แต่มันใช่เวลามานั่งเอื่อยบนเตียงไหม พอคิดได้เช่นนั้น ผมจึงรีบลงจากเตียง วิ่งเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ เชี่ย! ลืมผ้าเช็ดตัว! รีบออกมาเอาที่ระเบียงทันที
รู้ไหมผมใช้เวลาเท่าไหร่ จากที่ต้องใช้เวลาสองชั่วโมง แต่ตอนนี้ผมได้ลดเวลาให้เสร็จแค่ 10 นาที ไม่ใช่ว่าอยากลดเวลา แต่เวลามีจำกัดต่างหาก อาบน้ำ แปรงฟัน 5 นาที แต่งหน้าเมคอัพให้เป็นอีกคนอีก 5 นาที เจ๋งมั้ยล่ะ
พอทำทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย ผมรีบเดินไปกุญแจรถ แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะว่าผมไม่ได้เอารถกลับมานิ เมื่อวานไอ้อาร์มมาส่ง ก็เลยปล่อยทิ้งไว้ที่ตึกวิศวะ มีกุญแจ แต่ไม่มีรถก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ตอนนี้ทางเลือกผมเหลือไม่มากนัก จะให้นั่งรถเมย์เข้าม.ไปก็ยังไงๆอยู่ เวลาก็ไม่ได้มีพอที่จะทำแบบนั้น
นอกจาก...ใช้พลังนั่น
และผลที่ตามก็คือ ความอ่อนแรงจากการใช้พลัง เพราะมันเป็นซะแบบนี้ไง ผมถึงจะไม่อยากใช้ มันผลเสียเมื่อใช้พลังนี่ เพราะไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถ้าหากเราไม่ยอมเสียอะไรไปซะก่อน ก็จะไม่ได้ของอีกอย่างมา
เป็นไปตามความคาดหมาย ผมเข้าห้องเรียนทันแบบเฉียดฉิว ถ้าไม่มีพลังนี้ผมคงตัดใจจากคลาสเรียนวิชานี้ไปแล้ว จะว่าไปมันก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ
“เปอร์ มึงมาทันได้ไงวะ” ชามเริ่มเปิดประเด็น มันคงสงสัยเหมือนกันว่าผมมาถึงที่นี่ได้ทันยังไงกัน
“กูก็คนมั้ย แค่เนี่ย! สบายมาก” ผมพูดอย่างภูมิอกภูมิใจพลางยักไหล่ให้อีกฝ่ายที่ถาม เพราะมันเป็นคนที่โทรปลุกผมเองแหละ ใช่ครับ ชามนั่นเอง แต่แทนที่จะขอบคุณดันยักไหล่ให้ซะนี่
“มันเกี่ยวอะไรกับคนวะ” มันถามอย่างสงสัยพลางขมวดคิ้วเป็นปม
“นั่นสิ” ไม่ต้องถามว่าเป็นใคร แพรนั่นแหละ นางชอบแขวะแบบนี้ และหน้าที่แขวะคือหน้าที่ของนาง
“ไม่เกี่ยวหรอก กูว่ามันเท่ดี ก็เลยพูด”
“ไม่เห็นเท่ตรงไหนเลย กูว่ามันเห่ยมากกว่า”
“อ้าว! เห่ยหรอวะ กูไม่ควรเล่นเล๊ยยยย” ผมพูดพลางหนหน้าหนีไปหน้าชั้นที่อ.เพิ่งเดินมาถึง
“อย่าเล่นอีกล่ะมึง ถ้าใครมาถาม กูจะบอกว่าไม่ใช่เพื่อนนะ”
ผมได้ยินมันพูดทุกคำ แต่ไม่ตอบกลับเฉยๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไป กลัวจะผิดใจกันเอาเปล่าๆ และเวลานี้เป็นเรียน ไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงพวกมันหรอก แถมอารมณ์เมื่อวานยังค้างอยู่ด้วย
ยังดีนะที่ผมไม่แสดงอารมณ์ของเมื่อวานนั้นออกมา ไม่งั้นตอนพักเที่ยงคงต้องนั่งอธิบายให้ฟังแบบยาวเหยียดเชียวล่ะ
ผมยังตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างตั้งใจ ถึงจะอ่อนแรงจากนอนไม่พอและใช้พลังไปบ้าง แต่ก็ต้องนั่งเรียนอย่างหยุดไม่ได้ การสอบก็ของบทเรียนแรกก็เข้ามาเรื่อยๆ จะให้มานั่งน้ำลายยืดก็คงจะทำไม่ได้ ยิ่งเป็นคนที่จะเป็นแพทย์ในอนาคตแล้วล่ะก็ ยิ่งทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด แต่ในขณะที่ผมตั้งหน้าตั้งตาสนใจข้อมูลบนโปรเจคเตอร์อยู่นั้น ไม่ได้สังเกตเลยว่า มีใครคนใดคนหนึ่งนั่งจับจ้องมาที่ผม
จนกระทั่งจบคาบเรียนช่วงเช้าและช่วงบ่าย แทบจะอ้วกออกมาเป็นสิ่งที่เรียนมาเลยทีเดียว นอนก็น้อย อ่อนแรงจากใช้พลัง ถึงจะได้ข้าวเที่ยงมาประทังชีวิตแต่ก็ไม่สามารถช่วยคลายความเหนื่อยอ่อนได้เลยสักนิด แต่ยังไงวันนี้มาจะไปนั่งร้านคาเฟ่สักหน่อย เผื่อจะได้คิดอะไรช่วยพี่หมอกเรื่องร้านคาเฟ่ที่จะเปิดตัวในปีหน้า
แต่ก่อนจะไปถึงร้านคาเฟ่ที่ว่า ผมต้องหอบสังขารไปตึกวิศวะเพื่อไปเอารถเสียก่อน อาจจะเจอคนๆนั้นและภาพบาดตาบาดใจนั่นด้วย
จะทำยังไงดีวะ
“เปอร์”
บุคคลปริศนาเสียงเข้มเดินมาพลางตบไหล่ผมอย่างเป็นสนิทสนม แต่กูไม่สนิทกับมึงโว้ยยยย เพราะมันเป็นเสียงผู้ชายนี่แหละผมถึงไม่สนิท ก็ผมไม่มีเพื่อนผู้ชายในคณะชั้นปีเดียวที่สนิทนิ ส่วนมากก็จะเป็นผู้หญิง แต่ก็จำชื่อผู้ชายพวกนั้นได้หมด
เพราะการปรากฏตัวของบุคคลเสียงเข้มที่ขึ้นชื่อเป็นผู้ชายอย่างกะทันหันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมจึงหันข้างมองอีกฝ่าย ถึงกลับมองบนเลยล่ะเมื่อรู้ว่าเป็นใคร
คนที่ชื่อเหมือนผม เขียนเหมือนกัน แต่อ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน
“ว่าไงเปอร์ มึงมีอะไรหรือป่าว” เหมือนพูดกับตัวเองเลยกู
“มี กูมีอะไรจะคุยด้วย” เจ้าของเสียงเข้มนั้นพูดอย่างจริงจังทั้งใบหน้าและเสียง แถมท่าทางไปด้วยเนอะ
“แต่กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง แล้วอีกอย่างกูไม่ว่างพอมานั่งฟังที่มึงพูดหรอกนะ” ผมพูดบ่ายเบี่ยงอีกฝ่ายไป เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
กูอยากจะมึงอยู่หรอก แต่ปัญหากูก็เยอะเหมือนกัน ยังแก้ไม่เสร็จไม่หมดด้วยซ้ำ
พอพูดจบผมก็เดินหนีจากไอ้เปอร์ที่ยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉยออกมา ผมไม่สนหรอกว่า มันจะใช้คำพูดอะไรมาทำให้หยุดเดินหนีจากมัน จากที่ดูแล้วไม่น่าจะมีคำพูดแบบนั้นหรอก ผมจึงเดินต่อไป
“เดี๋ยว! ถ้ามึงไม่หยุดเดิน กูจะเอาความลับมึงไปบอกทุกคน” มันตะโกนเสียงดังจนผมต้องหยุดชะงัก
“เอาให้คนทั้งมหา’ลัยรู้เลยมั๊ย” มันพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์ ความลับกูมึงรู้ได้ไง นอกจากไอ้อาร์มแล้วก็ไม่มีใครรู้นี่นา แล้วมันไปเอาข้อมูลมาจากไหนวะ
ลองถามดูก็ไม่เสียหายหรอกมั้ง ทั้งที่คิดว่าจะไม่มีคำพูดไหนมาทำให้หยุดชะงักแล้วเชียว แต่ก็มี...
ผมหันไปถามมันทันที “ความลับอะไร กูไม่มีความลับ” ผมถามเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มเจ้าเล่ห์พลางถอนหายใจสมเพชคนตรงหน้า ซึ่งนั่นก็คือผม
น๋อยยยย บังอาจมาทำกับกูแบบนี้หรอมึง คิดว่าเข้าถ้ำเสือแล้ว มึงจะได้ออกไปง่ายๆหรอวะ
“ก็ไอ้ที่มึงซ่อนจากสายตาทุกคนไง” มันพูดเสียงเรียบพลางจับจ้องมาที่ผมแล้วสังเกตปฏิกิริยา
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง” ผมเองก็ถามกลับเสียงเรียบ
“จะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยว แต่มึงต้องช่วยกู”
“แล้วทำไมกูต้องช่วย”
“นี่ก็เพื่อความลับมึงนะ ไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรือยังไง” พอมันพูดจบผมก็เดินตรงไปหามันทันที
“ความลับที่ว่าคืออะไร บอกกูมา” ผมเข้าไปคว้าคอเสื้อมันเชิงหาเรื่องแล้วผลักมันเข้าชิดกับผนัง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงปฏิกิริยาของมา ได้แต่ยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์นั่น
ผมล่ะเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ที่สุด รอยยิ้มที่เหมือนไอ้อาร์ม จนผมเกือบเผลอให้ใจมันไปอีกคน
“ก็นี่ไง” มันพูดพลางใช้นิ้วปาดบนแก้มขรุขระที่เต็มไปด้วยสิว จนเมคอัพที่ลงบนหน้าหลุดออกมาเผยสีของผิวที่แท้จริงอันสว่าง อีกแล้ว มันยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว
“...” ผมตกใจที่มันรู้ จนพูดอะไรไม่ออก
“แล้วแบบนี้จะช่วยได้ยัง”
“แล้วมึงรู้เรื่องได้ไง!” ผมตะคอกเสียงใส่มันพลางกระแทกมันเข้ากับกำแพงอีกรอบ ดูแล้วน่าจะเจ็บน่าดู ขอโทษนะมึง แต่ตอนนี้กูกำลังโกรธ ถ้าเผลอใช้พลังไปก็อย่าว่ากันล่ะ
“...” มันไม่พูด ยิ่งทำให้ผมโกรธจัด จนเปลี่ยนจากคอเสื้อเชิ้ตที่ยับจากการกุมด้วยแรงแห่งความโกรธมาเป็นคอมันแทน จนเผลอบีบคอมันอย่างขาดสติ
“...” ผมถลึงตาใส่มัน ตอนนี้ถ้ามองผมดีๆล่ะก็ ก็เป็นปีศาจที่กำลังโกรธจัดนี่เอง
“แฮ่กๆ” เสียงไอจากกการถูกบีบคอ และพยายามจะบอกบางอย่างกับขาดช่วงตอน จนไม่สามารถฟังเป็นภาษามนุษย์ได้
“...” ผมถลึงตาจ้องมองมันอีกรอบ ที่กำลังดิ้นทุรนทุราย พยายามแกะมือผมออก แต่ก็ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจตนนี้
“ปะ ปะ ปล่อย ปะ ปะ ปล่อย กะ กะ กู” เสียงของมันขาดช่วง แต่ก็พอฟังรู้เรื่องที่คำสุดท้าย เมื่อได้ยินและเห็นแบบนั้นที่เริ่มจะไม่มีแรงดิ้นเหมือนแต่ก่อน
ทันทีที่รับรู้คำพูดของอีกคน จึงคลายมือจากการบีบคอแล้วดึงออกคนตรงหน้า แต่ก็ปล่อยมันลงอย่างกะทันหันราวกับเพิ่งได้สติ ส่วนคนตรงหน้าก็ล้มลงไปนั่งกับพื้นแล้วไอกระแอมจากการขาดอาศอยู่ช่วงหนึ่ง มันยืนขึ้นมาพูดกับผม
“มึงเอาแรงมาจากไหนวะ” มันพูดอย่างหัวเสีย “กูเกือบตายแล้ว! มึงรู้ไหม!” มันตะโกนว่าอย่างโมโหพร้อมกับพ่นเสียงไอออกมาเป็นระยะๆ เนื่องจากอาการเจ็บคอ
“กูขอโทษ” ผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือพลางก้มมองฝ่ามือที่เกือบจะฆ่าคนตาย เพียงแค่อยากรู้อะไรบางอย่าง ถึงกับต้องฆ่าคนคนเลยหรอเรา
“แล้วจะตอบคำถามกูได้ยัง” ถึงอาการจะเริ่มดีขึ้น ไม่ค่อยไอแล้ว มันก็ยังพยายามเค้นเอาคำตอบจากผมอย่างไม่ลดละ
“กูขอไม่ตอบ แล้วมึงจะให้กูช่วยอะไร” ประโยคแรกที่พูดออกมาเมื่อครู่ผมยังมองทางอื่น โดยไม่ได้ชายตามองแม้แต่นิดเดียว แต่กลับหันมาสบตากับอีกฝ่ายในประโยคคำถาม
“อ้าว! เชี่ยไรอีกวะ แค่นี้ก็บอกกูไม่ได้” มันบ่นใส่อารมณ์เข้าไปอย่างเต็มที่
“มึงไม่ต้องรู้หรอก” ผมบอกเสียงเรียบ “เลือกเอาแล้วกันจะให้กูช่วยโดยไม่รู้เหตุผล หรือรู้ทุกอย่างแล้วไม่มีความช่วยเหลือจากกู”
“มึงนี่ความลับเยอะนักนะ” มันชี้นิ้วมาทางผมอย่างเอื่อมระอา ยอมแพ้ที่จะถาม น้อมรับข้อตกลงข้อแรกอย่างไม่เต็มใจนัก
“แล้วจะให้กูช่วยอะไร” ผมถามย้ำอีกรอบ
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่...” คำพูดมันขาดช่วงอย่างสงสัย
“แค่อะไร”
“แค่ติว” มันเอ่ยเสียงแผ่วพลางมองผมด้วยสายตาอ้อนวอนให้ช่วยเหลือ พร้อมกะพริบตาปริ้งๆให้อีกอีกต่าง กูนึกว่าจะอะไรเสียอีก ผมว่าในตอนแรกที่มันไม่กล้าพอที่จะบอก อาจจะเป็นเพราะกลัวเสียฟอร์มตามประสาผู้ชายแน่เลย และผมก็คิดถูกซะด้วย
แค่ติวก็ทำเป็นเรื่องใหญ่
“หะ! ติวเนี่ยนะ” ผมอุทานและสงสัยจนคิ้วขมวดปม มันจะแค่ติวแน่เรอะ
“เยส” มันยืนยันด้วยเสียงจริงจัง จนผมต้องทำทีท่าวะเข้าใจ
“ติวอะไรอีกวะ คนอื่นก็มีตั้งเยอะ ทำไมต้องเป็นกู”
“ข้อแรกนะ คนอื่นเขาไม่มีเวลาว่างพอติวให้กู ข้อสองกูไม่สนิทกับพวกผู้หญิง ส่วนข้อสาม มึงก็รู้อยู่แก่ใจนิ” มันอธิบายยาวเหยียดพร้อมยักคิ้วให้ในข้อที่สาม ผมก็เข้าใจเหตุผลข้อแรกกับข้อสองมันอยู่หรอก สำหรับคณะนี้แล้วถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจริงๆคงไม่ติวให้หรอก ส่วนข้อสองนี้ผมคิดว่ามันไม่ใช่เหตุผลของมันหรอก อาจจะแถไปเรื่อยเพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม บางทีก็อยากถามว่า
‘กูสนิทกับมึงหรือไง ถึงให้กูติวให้ ทั้งๆที่กูเพิ่งคุยกับมึงแท้’ ส่วนไอ้ตรงข้อสามนี่มันอะไรกัน
อะไรคือกูรู้อยู่แก่ใจ?
“อะไรคือกูรู้อยู่แก่ใจ” พอสงสัยก็ถามขึ้นทันที
“ก็ความลับมึงไง” มันพูดออกมาแบบนั้น ผมถึงกับกรอกตาใส่ แผ่รังสีอาฆาตไปทั่วบริเวณ จนมันยกมือขึ้นปิดปากด้วยความกลัว ยิ่งทำให้ตัวมันรู้ว่าคำนี้เป็น คำต้องห้าม
“...”
“โทษทีว่ะ เผลอตัวไปหน่อย” มันก้มหน้าเกาหลังคอแก้เก้อ “มึงคิดว่าถ้ามึงไม่ช่วยกูเอาความลับไปป่าวประกาศ มันจะเกิดอะไรขึ้นวะ”
“มึงอยากตายอีกรอบมั้ย” ผมทำเสียงขู่
“ล้อเล่น” มันผายมือเชิงปฏิเสธพลางส่ายหน้าไปพร้อมๆกัน
“...” ผมมองบนที่อีกฝ่ายทำทีท่าอย่างนั้น
“นะๆ ช่วยกูหน่อยนะ” มันแทบจะคุกเข่าข้อร้อง จนผมต้องพูดอะไรออกมาหยุดการกระทำของมัน
“เออๆ จะติววันไหนก็บอกก่อนหน่อยละกัน” ผมบอกมันอย่างยอมแพ้ ขี้เกียจต่อความยามสาวความยืดแหละประเด็น
“กูไปละ” พูดจบผมก็เดินออกจากที่ๆเราสนทนากัน
“ไปไหนวะ” ผมถามพร้อมกับเดินตาม
“ไปตึกวิศวะ”
“ไปทำไมวะ”
“ไปเอารถ”
“เดี๋ยวกูไปส่ง” ผมหยุดเดินที่ได้ยินมันบอก แล้วมันก็เดินชนผมในที่สุด
ผมหันหลังกลับ “ก็ดี นำทางไปหารถมึงเลย” ผมยักไหล่อย่างไม่ถือสา ให้อีกฝ่ายทำตามใจ
บทสนทนาบนรถระหว่างไปตึกวิศวะ มีแต่มันเป็นคนถาม ‘มึงเอารถไปจอดทำไมที่ตึกวิศวะ’ ส่วนผมก็แค่ตอบ ‘ลืมตั้งแต่เมื่อวาน’ และมันก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่คำถามในเรื่องลืมรถ แต่มันดันถามโดยโยงเข้าเรื่องส่วนตัวเนี่ยสิ กูกับมึงเพิ่งรู้จักกันมั้ยล่ะหะ! จนบางครั้งผมก็รู้สึกรำคาญไม่อยากจะตอบ
เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ตอบได้ก็ตอบ
*********************************************************************************************************************************
ลานจอดรถ ณ ตึกวิศวะ
ไม่นานก็มาถึงตึกวิศวะ ผมเดินลงจากรถ บอกไอ้เปอร์ไปรอที่ร้านที่ผมจะไปนั่งจิบชาเขียว พอได้รับสาส์นจากผม มันก็ขับรถพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในบขณะที่ผมเดินไปหารถที่จอดตากอากาศทั้งคืน ผมกลับเห็นบุคคลที่ทำให้ผมไม่ได้นอนทั้งคืนยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถ ราวกับกำลังรอใครสักคน พยายามจะหนีแต่ก็หนีไม่พ้นสินะ ผมจึงสูดหายใจให้กำลังใจตัวเองว่า
‘จะไม่หนี แต่จะเลี่ยงแทน’ พอกดปลดล็อครถจนได้ยินเสียง คนที่ถูกพูดถึงก็เดินเข้ามาทางผมจนผมไม่รู้สึกตัวว่าเขาจะมา และถ้าจะมาหาผมจริงๆ จะอย่างไรก็ตามก็ไม่น่าจะตามทัน แต่เพราะความชะล่าใจของผมเองจนทำให้เขาเดินมาถึงตัวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะเปิดประตูและกำลังจะเข้าไปนั่ง อีกฝ่ายกลับดึงแขนรั้งเอาไว้ซะก่อน
“เปอร์ เดี๋ยวก่อน! ขอคุยก่อนได้มั้ย” น้ำเสียงของอีกฝ่ายช่างดูเว้าวอน จนทำให้ผมเกือบจะใจอ่อนขณะหันหลังมองใบหน้าอีกฝ่าย ไม่ได้! อย่ามองเขา! อย่าเต้นใจ!
ผมนิ่งค้างอยู่สักพัก จนความคิดผุดขึ้น ‘ถ้าเรายังใจอ่อนอยู่อย่างนี้ เราไม่หลุดพันสักทีสิ!’
“โทษทีนะ แต่เรามีธุระ” ผมฝืนพูดอย่างใจเย็น “ขอตัวก่อน” ผมแกะมืออกจากแขน ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่แบบนั้น แล้วผมก็ดึงตัวเองเข้าไปในรถ แล้วขับรถออกไปทันทีโดยที่อีกฝ่ายก็ยังไม่ขยับไปไหน ไม่มีแม้แต่คำพูด ไม่ได้แม้แต่จะรั้งผมไว้ บางทีเขาอาจจะเลิกยุ่งกับผมแล้วก็ได้ จึงไม่ได้ทำอย่างที่ผมคิด
แต่ผมเนี่ยสิจะทำได้อย่างที่คิดหรือเปล่า ถึงจะเลี่ยงหรือหนีแค่ไหนก็ตาม ก็คงไม่พ้นหรอก ถ้าหากเขายังเดินตามผมอยู่อย่างนี้
ทำไมนะ ทำไมคนที่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนอย่างเขา ทำไมถึงต้องมายุ่งกับผมอีก*********************************************************************************************************************************
ร้านคาเฟ่
“เปอร์ มึงทำอย่างนั้นทำไมวะ” ยังไม่ได้พักหายใจ ไอ้ตัวที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็คำถามที่ติดค้างในทันที ถึงกลับมองบนใส่อีกฝ่าย มึงจะถามอะไรกันนักกันหนาวะ รู้อย่างนี้กูจะบีบคอมึงให้แหลกคามือไปในตอนนั้นยังจะดีกว่า
“นั่นมันเรื่องของกู มึงไม่ต้องเสือก! ” ผมพ่นคำหยาบอย่างหัวเสียใส่อีกฝ่าย แล้วมันก็ทำท่าว่าเข้าใจแล้ว “แล้วจะให้กูติวอะไรให้” ผมพูดเข้าประเด็นหลักของงานที่เกี่ยวกับความช่วยเหลือของอีกฝ่ายทันทีที่มันหุบปากถามถึงเรื่องส่วนตัวของผม
ถ้าหากไม่บอกมันว่า ‘ห้ามเสือก!’ มันคงจะถามต่อ เซ้าซี้จนผมบ่ายเบี่ยงเรื่องที่ว่านั้นไม่ได้ กลัวว่าถ้าถูกต้อนจนมุม แล้วผมจะเผลอพูดความลับนั่นออกมา
“เรื่องนี้ไง” มันพูดพร้อมกับยื่นชีทปึกหนามาให้ดู
ผมถอนหายใจอย่างเบาแรง หยิบชีบเล่มนั้นขึ้นมาดู แล้ววางลงพร้อมกับอธิบายเรื่องที่อีกฝ่ายเข้าใจ จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเย็น ชาเขียวหมดไป 3 แก้วเลยทีเดียว ผมต้องขอต้องไปทำธุระที่ค้างไว้ก่อน
จะอะไรอีกล่ะ ก็ช่วยงานพวกพี่วิศวะนั้นแหละ
***************************************************************************************************************************
โรงยิม
การทำความสะอาดของผมเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การประชุมเชียร์จบลง วันนี้ผมคิดว่าต้องได้ทำคนเดียวแน่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะใช้พลังให้มันรีบๆเสร็จรีบๆกลับหอไปนอน แต่ความคิดที่ว่าก็ต้องจบลงเหมือนกับทุกๆครั้ง เนื่องจากบุคคลที่สองปรากฏและเข้ามาช่วยเป็นประจำไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงเงียบเหงาขนาดนี้ราวกับทำความสะอาดคนเดียวเชกเช่นในสองสามนาทีแรก
หรือทะเละกับผู้หญิงคนนั้น ไม่สิ! ควรเรียกว่าแฟนน่าจะถูกกว่า
บทสนทนาระหว่างเราไม่เกิดขึ้นเลย ผมก็ไม่ถาม เนทเองก็เช่นกัน ไม่มีแววว่าจะปริปากถามกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งเป็นแบบนี้ ผมยิ่งอึดอัด มันทรมานกว่าการเลี่ยงหรือตอนเดินหนีเขาเสียอีก
เมื่อไหร่จะทำเสร็จสักทีวะ! กูอึดอัด! ช่วยเอากูออกไปจากตรงนี้ที
“เปอร์” เสียงสั่นเครือของเพื่อนร่วมงานทำให้ผมต้องหยุดทุกการกระทำ เงยหน้าขึ้นจากพื้นโรงยืมแล้วมองอีกฝ่าย
“...”ผมมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่ปริปากพูด
“โกรธอะไรเราหรือเปล่า” เนทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่แสนหม่นหมอง “ทำไมเรารู้สึกว่าเปอร์กำลังหลบหน้าเราอยู่ หรือว่าเราแค่คิดไปเอง” เสียงของอีกฝ่ายแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดราวกับกำลังน้อยใจผมอยู่
แล้วทำไมเขาต้องน้อยใจผมด้วยวะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย
“เราว่าเนทคิดไปเองมากกว่า” ผมพูดออกไปทั้งๆที่มันสวนกลับการกระทำอย่างมาก “เราน่ะ ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพียงแต่ช่วงนี้มันเครียดหน่อยๆน่ะ ก็เลยไม่อยากพูดอะไรมาก”
“จริงหรอ” เสียงอีกคนยังดูแผ่วเบาเหมือนเดิม แต่ดีขึ้นมากกว่าเมื่อนาทีที่แล้ว
“อืม” จริงๆผมไม่ได้โกรธเขาหรอก เพียงแค่ต้องการออกจากสถานะมือที่สาม
“มีอะไรก็บอกเราได้นะ เรายินดีช่วยเสมอ” รอยยิ้มเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของเนท สำหรับผมแล้วใบหน้าเหมาะกับเขามากกว่าใบหน้าที่หม่นหมองตลอดเวลาเสียอีก
“อืม” ครั้งนี้ผมยิ้มอย่างไม่ต้องฝืน ผมล่ะชอบตรงนี้ของเขาสุดๆ
หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดอีกนอกจาก “กลับกันเถอะ และ ไว้เจอกัน” มันช่างเงียบและดูห่างเหินราวกับเราเป็นแค่คนรู้จัก ทั้งๆที่เราเป็นมากกว่านั้น ผมไม่เขาใจหรอกว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ถึงยังไงผมก็คิดจะให้มันจบลงเร็วๆนี้แหละ ให้ผมเจ็บแค่คนเดียวก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องเจ็บจนผมเป็นโรคซึมเศร้าหลังจากที่ผมชอบเขาจนไม่สามารถออกจากจุดนั้นได้ เพราะถ้าหากผมรักใครเข้าจริงๆแล้วล่ะก็ จะออกจากจุดนั้นยากเกินจะถอนตัว มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดใจและหลังจากตัดใจได้แล้ว ผมอาจจะไม่เชื่อในความรักอีกเลยก็ว่าได้
วันศุกร์ เสียงพ้องที่เหมือนกับ ‘สุข’ แต่กลับไม่มีความสุขเลยสักนิด เพราะมีเรียน เรียนแล้วก็เรียน เรียนตั้งแต่เช้าจนเย็นแทบทุกวัน ได้พักหายใจก็แค่ช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น เหนื่อยจากการเรียนไม่พอ แถมยังเหนื่อยจากเรื่องหัวใจอีก ผมล่ะอยากระเบิดมันออกมาซะตอนนี้ แต่ก็กลัวสิ่งอื่นจะระเบิดแทนอารมณ์ สิ่งรอบตัวจะเละเป็นจุนในเสียววิถ้าหากผมคุมมันไม่ได้ คนรอบข้างอาจจะหายไปตลอดกาลและทิ้งตราบาปไว้ให้ผมรู้สึกผิดจนสิ้นอายุขัย และเรื่องอาจจะไม่จบอยู่แค่นั้นก็ได้ แต่วันนี้ไม่ได้ไปช่วยพวกพี่วิศวะหรอก เห็นบอกว่ามีการชิงธงและรับขวัญน้องอะไรนี่แหละ จึงห้ามคนนอกคณะเข้าไปเด็ดขาด เข้าทางผมล่ะทีนี้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอย่างที่สุดจากพวกพี่เขา
ถ้ามีแฟนแล้วก็ไม่ควรมาให้ความหวังคนอื่นเปล่าวะ
ทำแบบนี้โครตเหี้ยเลยว่ะ
ไม่ตัดเพื่อนก็ดีแค่ไหนแล้ว หลบหน้าแค่นี้ไม่ตายหรอกนะ
TBC...
***********************************************************************************************************************
ห่างหายมาเกือบ 2 เดือน ขอโทษที่ไม่ได้ลงให้อ่านนะครับ
ความยุ่งและวุ่นวายไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ
พอจะมาทีก็แทบไม่ได้หายใจ
วันนี้จะอัพให้ 2 ตอน และจะทยอยอัพเรื่อยๆนะครับ
เรื่องนี้จะได้จบและได้เขียนเรื่องใหม่
เดี๋ยวพอร์ทเรื่องที่เหลือจะลืมเอาเสียก่อน
ฝากติดตามด้วยนะครับ