คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)  (อ่าน 9248 ครั้ง)

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
« เมื่อ22-09-2017 23:51:33 »

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*********************************************************************************
สวัสดีครับ ผม PEPPERMINT CHOCO นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของผม เกิดจากการมโนที่เหนือล้ำมากๆ มีความเป็นแฟนตาซีแทรกหน่อยๆ555 คงเป็นเพราะผมชอบดูหนังแฟนตาซีบ่อยล่ะมั้ง มโนไปเรื่อย ก็เลยเกิดความคิดที่จะเขียนมันขึ้นมา  ผมเป็นนักเขียนมือใหม่หากมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ(โดยเฉพาะภาษานี่แหละตัวสำคัญ โง่ภาษาไทยเอามากๆT-T)
Share This Topic To FaceBook

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness) บทนำ
«ตอบ #1 เมื่อ23-09-2017 00:02:08 »

บทนำ

 

               มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ต่างก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ และการอบรมสั่งสอนของผู้ให้กำเนิดที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมและการใช้ชีวิตในวันข้างหน้า ฯลฯ  ถึงจะเหมือนๆกันทุกอย่างที่กล่าวมามนุษย์ก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี จากสถานที่เดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน แต่จะมีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือ ความคิด ไม่ว่าจะลักษณะภายนอกหรือภายในก็ตามแต่ สิ่งเหล่านั้นล้วนบ่งบอกได้ว่า ‘เราเป็นคนยังไง’ แต่ก็ไม่เสมอไป

               โลกปัจจุบันนี้แบ่งแยกคนยากกว่าในอดีตที่ผ่านมา ถึงในอดีตจะเคยมีแบบในปัจจุบัน แต่มันก็คนละยุคคนละสมัย ยิ่งมีความเจริญมากขึ้นแค่ไหน ความซับซ้อนของสิ่งรอบตัวหรือจิตใจคนก็ยิ่งซับซ้อนมากกว่าเดิมอย่างที่เคยเป็น มันไม่แปลกเลยที่เราจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นยังไง

               ค่านิยมที่เห็นภายนอกของบุคคลใดบุคคลหนึ่งทำให้คนส่วนมากมองคนที่ภายนอก ตัดสินที่ภายนอกแทนการพินิจพิจารณา ไม่ได้มองเข้าไปในห้วงลึกของใจคนๆนั้น  เราควรจะตัดสินคนที่การกระทำไม่ใช่หรอ? แต่ก็อย่างว่าถึงจะเป็นการกระทำของคนๆนั้น เราก็ไม่สามารถบอกได้หรอกว่า ‘เขาเป็นยังไง’ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราไม่สามารถบอกได้ นอกจากเจ้าตัวจะเป็นคนบอกเอง ยิ่งเป็นคำพูดยิ่งไม่สามารถเชื่อได้ว่าเขาพูดความจริงหรือเปล่า?

                นี่แหละความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราควรจะไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใคร

                อย่างที่บอกข้างต้น การกระทำไม่สามารถบอกความจริงได้เสมอไป เพราะใครบางคนเขาอาจจะทำดีเพื่อให้ตัวเองดีในสายตาคนอื่น ปกปิดตัวตนที่อยู่ภายในเอาไว้ ไม่ให้ออกมาสู่สายตาคนรอบข้าง

                สังคมปัจจุบันที่มีคนสวมหน้ากากเข้าหากัน เขาอาจจะมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ ซึ่งมันเป็นความลับของแต่ละคนและเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เอ่ยออกมา แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งการสวมหน้ากาก ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่น่ายินดีนัก มันไม่ดีเสมอไป มีทั้งดีทั้งร้ายปะปนกันไปตามการกระทำ แต่เราก็ไม่สามารถหลักเลี่ยงได้บางครั้งอาจจำเป็นที่จะต้องหยิบมันขึ้นมาใส่

                 เพราะความกลัวทำให้เราทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันซึ่งๆหน้า พยายามหลีกเลี่ยง หลีกหนีปัญหา พยายามปกปิดเอาไว้ดีกว่าจะได้ไม่วุ่นวายในภายหลัง มันเป็นการหนีปัญหาที่อาจจะได้ผลแค่น้อยนิด แต่ก็ไม่ได้ออกมาอย่างที่คิดเสมอไป เพราะฉะนั้นควรมีสติที่จะตัดสินใจทุกครั้ง ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

                 ถ้าหากเราเลือกใช้มันโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม สิ่งที่เราแสดงออกมาไม่ได้เดือดร้อนใคร มันก็ควรจะทำ แต่อย่าให้เกินขอบเขตที่ตั้งไว้ก็พอ

 

 

                  ผมก็อยากจะคนเหล่านั้นสักครั้งบ้างว่า‘ไม่อึดอัดหรือไง’ แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้น คุณคงจะรู้กันอยู่แล้วล่ะว่าจะเป็นยังไง หรือบางทีผมอาจจะได้ทำแบบนั้นบ้างก็ได้ หากได้เข้าไปในสังคมใหญ่ๆ

                  เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่า แต่ก่อนหน้านั้นผมขอแนะนำตัวก่อนนะ ผมชื่อ ปัณณธร อมรผดุงศิลป์ ชื่อเล่น เปอร์ (อ่านออกเสียงเหมือนเตอร์ ของคอมพิวเตอร์) เปอร์ตัวเดียวโดดๆ ไม่มีอะไรต่อท้ายหรืออยู่ข้างหน้าชื่อทั้งนั้น ชื่อแปลกย่อมมีฉายาตามมาจากเพื่อนๆในกลุ่ม โดยไม่ปรึกษาเจ้าของชื่อเลยสักนิด เปอรี่บ้าง เปปเปอร์บ้าง เปเปอร์บ้าง ซุปเปอร์บ้างล่ะ (ซุปเปอร์ ตาเป็นคนเรียก) ปัจจุบันหรือที่พูดบ่อยๆคงหนีไม่พ้นคำว่า ‘อีเปอร์’ เรียกแม่งกันทุกคนเลยนะในกลุ่มน่ะ

                  ส่วนหน้าตาผมหรอ? ใบหน้าทรงรูปไข่ แต่แก้มเยอะไปนิด ผิวเนียนขาวอมชมพู สันจมูกมีไม่มากแต่ก็ถือว่าโอเคอยู่พอควร ปลายจมูกรูปหยดน้ำแบบของผู้ชาย นัยน์ตาสีน้ำตาลปานกลาง ไม่อ่อนหรือเข้มจนเกินไป ขนตาเป็นแพงอนสวยจนผู้หญิงต้องอิจฉา ฟันเรียงกันไม่ค่อยสมบูรณ์ เพราะกำลังอยู่ในช่วงจัดฟัน ส่วนสูงไม่ได้มาตรฐานชายไทย ก็แค่ 170 ซม.ต้นๆเอง ไม่เตี้ยหรือสูง คิดเอาเองนะ 555

                  ผมเป็นคนเงียบๆ ถ้าใครไม่สนิทด้วย ก็จะไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียวนอกจากจะมีงานร่วมกัน เวลาทำหน้านั่งนิ่งๆเงียบขรึม เพื่อนมันจะกลัวกันเป็นเอามาก แต่เวลาสนุกก็ร่าเริง ยิ้มบ่อย อย่างกับเป็นคนละคน ซึ่งตอนที่อยู่กับเพื่อนในกลุ่มผมมักจะเป็นคนร่าเริง พออยู่กับคนอื่นก็จะเป็นแบบแรก เหมือนไบโพล่าเลยเนอะ

                  สิ่งที่ทำให้ผมแตกต่างจากคนอื่นคงหนีไม่พ้นพลังพิเศษ ซึ่งพลังนี้มันเกิดมากับผมและติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ และการที่พิเศษ แตกต่าง หรือประหลาดกว่าคนอื่นนี่แหละ มันทำให้ผมต้องเก็บซ่อนพลังที่ว่านี้ให้พ้นจากสายตาคนรอบข้างหรือแม้แต่บุพการีเองก็ตาม บอกใครไม่ได้เด็ดขาด ผมไม่รู้ว่าถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมาเขาจะคิดกับผมเช่นไร กลัวเป็นอย่างมาก

                  รู้แค่เพียงว่า ‘ถ้าเขาเกิดรู้ขึ้นมา เขาต้องมองว่าผมเป็นตัวประหลาด รังเกียจในสิ่งที่ผมเป็น คนรอบข้างจะค่อยๆ ถอยห่างจากไป’ ผมไม่อยากเสียคนเหล่านั้นไป


แต่ใครจะไปห้ามความคิดคนอื่นได้ล่ะ จริงมั้ย?

 

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
             ขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น  ก็ได้ยินเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่เสียบชาร์ตไว้บนเตียง ผมหันขวับไปมองทางต้นเสียงแล้วลุกออกจากโต๊ะทำงาน มุ่งตรงไปต้นเสียงเพื่อรับโทรศัพท์ให้ทันการ ก่อนปลายสายจะตัดสายไปซะก่อน
             พอเห็นปลายสายก็ตกใจขึ้นมานิดหน่อย ที่ตกใจคือเวลาต่างหาก  เพราะคนที่โทรมาทุกวันนั่นก็คือแม่ ซึ่งแม่จะโทรมาถามสารทุกข์สุขดิบประจำ แต่วันนี้แม่ยังไม่โทรมาและเพิ่งจะโทรมาเมื่อครู่
             ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย แล้วแหงนดูนาฬิกาที่ถูกแขวนประดับไว้บนผนังของห้อง ทำให้ผมคิดอยู่ว่า ปกติแม่ไม่โทรมาดึกดื่นขนาดนี้นี่หว่า ต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ถึงครั้งล่าสุดจะดึกไปบ้างก็เถอะ แต่ก็ไม่ดึกขนาดนี้  คิดไปก็ไม่รู้เหตุผลอะไรนอกจากถาม พอคิดได้เช่นนั้น
จากนั้นจึงกดรับในทันที
             “ครับแม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ใจที่กำลังลุ้นอยู่ว่า จะมีเรื่องอะไรที่ทำให้กังวลถึงขนาดนี้นะ  ยังได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง เดี๋ยวนะ! นี่กูกำลังฟังแม่พูดหรือลุ้นหวยอยู่เนี่ย?
             [ก็ไม่มีอะไรมากหรอกลูก กินข้าวยัง? ] เสียงแม่ยังคงสดใส เหมือนเสียงของผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองทั่วไปแหละ ค่อยยังชั่ว ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลสินะ จึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เพื่อคลายกังวล
             “โหหหแม่! ดึกขนาดนี้ ถ้าเปอร์ไม่กินจะอยู่ได้ยังไง”  ดึกจริงๆครับ  นาฬิกาที่แขวนไว้ก็ทำหน้าที่ของมัน ซึ่งบอกเวลาตอนนี้ 11:25 pm.แล้ว
             [ดีแล้วล่ะ แล้วกินข้าวกับอะไร?]แม่ถามแบบนี้ทุกครั้งที่โทรมาหา แทบจะทุกวันเลยล่ะ ก็ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเรียนไกลจากบ้านตั้ง 700 กิโลเมตรเลยนี่นา
             “ไข่เจียวหมูสับกับผัดผักรวมมิตร” เมนูง่ายๆตามประสาเด็กหอ
             [งั้นหรอ! ทำกินเองใช่มั้ยเนี่ย?]แม่เอ่ยถาม
             “ต้องแบบนั้นอยู่แล้วล่ะแม่ ขี้เกียจออกไปซื้อหน้าม.อ่ะ”ขี้เกียจเข้าขั้นโคม่าเลยล่ะ หน้าม.อยู่แค่นี้เอง 50 เมตร ไม่ใกล้ไม่ไกล ใช้เวลาเดินไม่ถึง 10 นาทีก็ถึง ก็คนมันขี้เกียจเดินอ่ะ ยิ่งใกล้สอบแล้วด้วย เพราะงั้นก็เลยขลุกอยู่แต่ห้อง
             “แม่มีอะไรหรือเปล่า? ทำไมโทรมาดึกขนาดนี้”  ผมเอ่ยถามทันที  ทำให้เสียงของปลายสายหยุดชะงักอยู่พักหนึ่ง
             [คือ....]แม่พูดออกมาคำเดียวแถมลากเสียงยาวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ในใจก็คิดว่า ’อย่าให้ใครเป็นอะไรไปเลยนะ’ จากนั้นจึงพูดต่อ[เปอร์ซิ่วมาเรียนแพทย์ให้แม่ได้มั้ย?]
             ผมตกใจกับคำตอบที่ได้ แต่นี่หรอคือสิ่งที่แม่จะบอก คิด คิด คิด..
             “เอ่อ...” เสียงเริ่มติดอ่างเหมือนตอนเรียนอนุบาลแล้วสิ  “ไอ้เรื่องได้ไม่ได้ ไม่มีปัญหาหรอกครับแม่ แต่ว่า...”  เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวลของผมถูกส่งมายังโสตประสาท ทำให้ตอนนี้คิดไม่ตกเลยว่าจะสอบติดแพทย์หรอ?  ไอ้เรื่องเรียนน่ะ ผมคิดว่าผมไหวนะ แต่จะสอบติดมั้ย? มันก็อีกเรื่อง
             ที่จริงมันก็เป็นความฝันของผมอ่ะแหละ แต่ตอนนั้นผมดันสอบไม่ติดไง ก็เลยล้มเลิกความคิดจะทำในสิ่งที่อยากเป็นแล้วหันมาเรียนในสิ่งที่ชอบแทน  ซึ่งสิ่งชอบนั้นมันคนละด้านกับสายที่เรียนมา ดังนั้นตอนนี้เลยตัดสายวิทย์-คณิตออกจากชีวิตแบบที่มันจะไม่หวนกลับมาอีกครั้งแน่ๆ แต่ตอนนี้มันจะกลับมาอีกครั้งแล้วล่ะ
             [แต่อะไร?] แม่ถามด้วยความสงสัย
             “ก็...มันจะติดหรอแม่? มันไม่ได้สอบติดกันง่ายๆ ซะด้วยสิ”  ก็จริงนะ  จะต้องล้มลุกคลุกคลานเท่าไรถึงจะสอบติดคณะนี้
             [เอาเหอะน่า ลองให้แม่หน่อยได้มั้ยล่ะ?]  เอาอีกแล้ว น้ำเสียงแบบนี้  ใครได้ยินเข้าถึงกลับตอบปฏิเสธยากเลยทีเดียว น้ำเสียงออดอ้อนที่บางครั้งผมเคยทำให้เขาผิดหวังมาแล้ว
             นับตั้งแต่วันนั้นผมสัญญากับตัวเองเลยว่า ‘จะไม่ทำให้เขาผิดหวังอีกเป็นครั้งสอง’
             “ก็ได้ครับ” ผมเอ่ย “แต่มันติดขึ้นมาจริงๆล่ะก็  ผมเสียดายทุนที่ได้จากมหา’ลัยน่ะสิแม่” โครตเสียดายเลยล่ะ ก็ทุนนั่นน่ะ มันต่อไปจนถึงจบปีสี่เลยนี่นา รวมๆแล้วเงินที่ได้ก็หลักแสนอ่ะ งกไปอี๊กกกกงานนี้!
             [ไม่ต้องเสียดายหรอก รอบนี้มันก็เป็นรอบทุนเหมือนกัน] แม่พูดแบบไม่เสียดายจริงๆ [แม่ได้ยินว่าเป็นรอบก่อนแอด ยังไงก็สอบให้แม่หน่อยนะ ถ้าสอบติดขึ้นมาล่ะก็ แม่จะขอร้องให้พ่อเปลี่ยนความคิดเรื่องนั้นให้นะ] อยากรู้ว่าแม่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้นว่าผมจะสอบติด
             “ฮะ!!!!  จริงอ่ะแม่” จากที่กังวลเรื่องจะสอบติดแพทย์ หายไปปลิดทิ้งเลย โครตดีใจเอามากๆ เลยล่ะ ถ้าพ่อเปลี่ยนความคิดเรื่องนั้นได้ อยากจะกระโดดโลดเต้นให้หนำใจไปเลย แต่เกรงใจห้องชั้นล่างเนี่ยสิ
             “แต่ถ้าไม่ติดล่ะแม่ แม่จะช่วยพูดให้ผมเปล่าครับ” กลับมาอารมณ์เดิม เข้าสู่โหมดเดิม กังวล หน้านิ่ว คิ้วขมวด เกิดอาการงอลหน่อยๆ ถ้าแม่ไม่ช่วยพูดให้อ่ะนะ
             [ติดสิ] น้ำเสียงมั่นใจมากนะแม่ [ลูกแม่ซะอย่าง ต้องติดอยู่แล้ว] พูมันก็ง่ายสิแม่ แต่ทำมันก็อีกเรื่อง
             [จะติดไม่ติด แม่ก็จะช่วยพูดให้อยู่แล้วล่ะ เพราะเปอร์เป็นลูกแม่นิ  ไม่ให้ช่วยลูกตัวเอง จะให้แม่ช่วยใครล่ะ จริงมั้ย?] ซึ้งอ่ะแม่  น้ำตาลูกผู้ชายถึงกับไหลมาอาบใบหน้า แต่เสียงร้องไห้ซาบซึ้งในคำพูดของแม่กลับไม่เล็ดรอดออกมาให้ปลายสายได้ยิน
             พูดแล้วก็อยากกระโดดกอดแม่อีกครั้งจังเลย แต่ทำไม่ได้อ่ะดิ จะให้กระโดดจากภาคเหนือไปภาคอีสานก็ยังไงๆอยู่นะ
             แต่ก็มีทางเป็นไปได้นะ แค่ใช้พลังไปหาแม่แค่นี้ไม่เป็นเป็นปัญหาอยู่แล้ว แต่แม่ยังไม่รู้เรื่องที่เรามีพลังนี่หว่า....
             ลืมไป!!
             “แม่มั่นใจขนาดนั้นเลยหรอ? ว่าผมจะติดอ่ะ”  ยิงคำถามใส่แม่ซะเลย อยากรู้เหมือนกัน ว่าแม่ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน
             30 วินาทีผ่านไป นั่งรอคำตอบ ลุ้นอยู่ว่าจะเป็นอะไร... แต่แล้วแม่ตอบกลับ
             [เอาเหอะน่า แม่บอกติดก็ติดสิ อย่าถามเซ้าซี้เลยน่า]  อ้าว! ผิดอีก นี่เราเซ้าซี้หรอเนี่ย ก็มันอยากรู้คำตอบนี่นา [ถ้าถามแม่อีกรอบ จะไม่ช่วยพูดให้แล้วนะ] อ้าว! ซะงั้นผิดอีกรอบ  เมื่อกี้ยังซึ้งอยู่เลย ราวกับแม่เป็นนางฟ้าอยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้แม่จะเป็นซาตานแล้วล่ะ
             ฮือ ฮือ ฮือ แม่อย่าเปลี่ยนขั้วเร็วขนาดนี้สิ ผมกลัว.....
             จะไม่ให้กลัวได้ไง เวลาแม่องค์ลงเมื่อไหร่ล่ะก็ คุณได้รู้แน่ๆว่า สวรรค์กับนรกมันต่างกันแค่ไหน  ไม่อยากจะเม้าท์เลย วันนั้นน่ะ (นี่ขนาดไม่อยากจะเม้าท์นะ) เป็นวันธรรมดา แต่งเพราะธรรมดานี่แหละทำให้ผมวอนโดนไม้เรียวจนไม้เรียวหัก โหดสัดๆ นี่ยักษ์หรือนางมารกันแน่ T-T  พวกคุณอย่าเอาไปบอกแม่ล่ะ ว่าผมนินทาแม่อยู่ ถ้าแม่รู้ขึ้นมาล่ะก็ แค่คิดก็หนาว ขนหัวลุกไปเลยทีเดียว
             “ครับ ครับ” ผมตอบกลับเสียงเอื่อยเหมือนคนไม่เต็มใจที่จะพูด “แต่แม่ครับ คือเปอร์ไม่มีหนังสืออ่านอ่ะ” พอพูดจบประโยคก็หันไปเหลียวมองชั้นหนังสือที่มีแต่หนังสือภาษาเต็มชั้นวาง ไม่มีหนังสือที่เกี่ยวกับสายวิทย์-คณิตแม้แต่เล่มเดียว
             ถึงกับตามองบน และถอนหายใจออกมาพักใหญ่ๆ  จะให้มีได้ไงก็ผมสอบติดสายศิลป์-ภาษานิ หนังสือที่เกี่ยวกับสายวิทย์-คณิตก็เลยทิ้งไว้ที่บ้านซะเลย  จะขนมาให้หนักทำไมล่ะ รกห้องอีก ขนาดไม่มีหนังสือพวกนั้นยังรกห้องอยู่เลย คิดดูว่าถ้ามีจะเป็นยังไงไม่ต้องพูดถึง
             รังหนูชัดๆ!  นี่ถ้ามีพวกเศษผักเศษอาหารคงใช่เลยล่ะ555
             [เดี๋ยวแม่จะส่งไปให้เร็วที่สุดเลย อ่อ... แม่สมัครสอบให้แล้วนะ]  เร็วที่สุดคงไม่ใช่วันเดียวหรอก คงต้องรอไป 2-3 วันนุ่นแหละ ขณะรอก็อ่านหนังสือภาษาที่จะสอบก่อนละกัน  จะไม่ยอมให้วิชานี้ตกเด็ดขาด
             [แล้วก็อย่ามัวแต่เล่นล่ะ จำไว้คณะแพทย์ยังรออยู่ คณะแพทย์รออยู่ แพทย์รออยู่] เอาเข้าไป ย้ำซะขนาดนี้คงต้องทำให้ได้เท่านั้น ถ้าไม่ได้คงไม่มีหน้ากลับไปหาแม่อีกหนครั้งแล้วล่ะ
             มีอย่างเดียวที่ทำได้ตอนนี้  ทำใจ ทำใจ ทำใจ
             แต่ก็ไม่ใช่การบังคับหรอกเพราะอย่างน้อยมันก็เป็นคณะและอาชีพที่ผมอยากจะทำอยากจะเป็นในอนาคตในวันข้างหน้า
             “ครับๆ” ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง “งั้นเปอร์เข้านอนก่อนนะครับแม่ ฝันดีครับ ดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะ ฝากบอกพ่อกับน้องด้วยนะว่าเปอร์คิดถึง” คิดถึงทุกคนที่บ้าน ก็ไม่ได้กลับนานแล้วนี่ กลับปีละ 2 ครั้ง ตอนนี้ยังคิดอยู่ว่า ‘ใช่ลูกบ้านนั้นหรือเปล่า? คงไม่ถูกตัดจากกองมรดกหรอกนะ’
             [จะ เปอร์ก็เหมือนกันนะลูก ถ้าเงินไม่พอก็โทรมาบอกแม่นะ อย่าได้ประหยัดเกินไปล่ะ]แม่รับปากในสิ่งที่ผมบอก
             “ครับแม่”หลังจากนั้น แม่ก็วางสายไป พร้อมกับตัวผมที่จะก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ที่บอกว่าจะนอกคงไม่ได้นอนเร็วๆนี้แน่ อีไม่กี่อาทิตย์ก็จะสอบไฟนอลแล้ว ถ้าไม่ขยันมากกว่านี้คงสอบไม่ได้แหงๆ
             ความคิดที่มีตอนนี้คงต้องเปลี่ยนตารางอ่านหนังสือใหม่ทั้งหมด จากที่จะอ่านสอบไฟนอลอย่างเดียวต้องอ่านที่จะสอบในเดือนถัดไปด้วย งานนี้ก็เลยหนักไปสองเด้ง แทบจะไม่ได้พักเอาเสียเลยหลังจากสอบไฟนอลเสร็จ ก็ต้องลุยอ่านหนังสือที่แม่ส่งมาอีก
             คิดแล้วเหนื่อยใจ...เฮ้อออออออ
             จากนั้นก็หันไปหยิบกระดาษ A4 มาเขียนตารางอ่านหนังสือใหม่ทั้งหมด คงรู้ใช่มั้ยว่ามีกี่วิชา ไม่อยากจะร่ายยาวเลย มันเยอะ!  คิดซะว่าสายวิทย์มีหมดแหละ
             แต่พอเขียนเสร็จนี่สิ ‘กูช็อค’ แม่งกูแทบจะไม่มีเวลาทำเฮี้ยไรเลย T-T  ความกดดันมันมาหากูแล้ว และจะอยู่กับกูไปอีกเดือนจนกว่าจะสอบแพทย์เสร็จสินะ อยากบอกคำเดียวว่า ‘กูอยากตายยยยยยยย’ ล้อเล่นน่ะ แค่คำสบถในใจเฉยๆ อยากจะระบายก็ระบายใส่กระดาษแล้วกัน ...อิอิ
             ‘ขอให้คืนนี้เป็นคืนที่อย่าฝันถึงวิชาเลขเลยนะ อย่าเพิ่งมาวันนี้ วันนี้กูขอนอนสบายก่อนจะตายกับวิชาของสายวิทย์-คณิต พรุ่งนี้ค่อยมานะ นัดแล้วอย่าลืม!!! ห้ามมาก่อนวันนัดล่ะ (คนเขียนเริ่มจะปัญญาอ่อนแล้วล่ะ)’
             จากนั้นผมจึงหลับตาลงในคืนนั้นและตื่นมาอีกทีก็สายซะแล้ว ยังโชคดีที่วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่ต้องไปเรียน แต่ต้องอ่านหนังสือต่อนี่ดิ ปรากฏว่าคืนต่อมาไม่ได้ฝันถึงเลขให้ปวดหัว แต่ตื่นมากลางคลันตอนดึก
             ชีวิตดี๊ดี....แต่ต่อไปจะเปลี่ยนไปเป็น  ชีวิตเฮี้ยๆ 5555 ทั้งร้องไห้และหัวเราะในเวลาเดียวกัน


********************************************************************************************


             จากที่ได้รับหนังสือที่แม่ส่งมาให้อ่าน พอเรียนเสร็จผมก็กลับมาทันทีและขลุกอยู่ห้องเกือบทั้งวันจนเพื่อนมันแซวเล่นๆตามประสามันแหละครับว่า ‘นี่ที่ห้องมึงมีผู้ชายซุกซ่อนอยู่หรือไง ทำไมรับกลับจังวะ แถมยังขลุกอยู่ห้องทั้งวันอีก’ ผมก็ตอบได้แค่ว่าอ่านหนังสือสอบไรงี้ ไกลสอบแล้ว ถ้าพวกมึงมีเวลามาจับผิดกูขนาดนั้น เอาเวลาไปอ่านหนังสือเตรียมสอบไฟนอลเลยไป
              อีก 1 สัปดาห์ก็จะสอบไฟนอล ช่างเป็นสัปดาห์แห่งนรกชัดๆ พวกที่อ่านหนังสือมาเนิ่นๆ สิโครตดี เอาคะแนนให้เต็มไปเลยนะมึง! ส่วนพวกที่อ่านไม่ทันก็ต้องดิ้นรนรวมพลหัวสมองกัน แลกเปลี่ยนความรู้ที่มีมาให้กัน
                    ไม่งั้นก็...หาคนที่จะติวให้
              2-3 วันต่อมาหนังสือที่แม่ส่งมาให้ก็มาถึงหอ ในช่วงที่ผมเรียนเสร็จและกำลังจะกลับหอมาพอดี  ผมก็เลยมุ่งตรงเข่าไปเอาที่ห้องเก็บพัสดุทันที ไม่อยากให้เพื่อนมาเห็น แต่ยังดีที่วันนี้ผมกลับหอเป็นคนสุดท้ายในกลุ่มเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกัน  ไม่รู้ว่าพวกมันจะรู้สึกยังไงถ้าเกิดว่าผมจะซิ่วไปเรียนที่อื่น เพราะผมยังไม่ได้บอกเพื่อนไหนเลย ว่าจะบอกตอนที่สอบติดทีเดียว บอกครั้งเดียวตอนรวมกลุ่มกันไปกินกระทะแล้วกัน


อนาคตที่เราไม่อาจล่วงรู้ บางทีก็บอกไม่ได้ว่าเราจะทำได้เหมือนที่พูดไว้ในอดีตได้ แต่เวลาจะทำให้เราได้ไตร่ตรองและได้ตัดสินใจทำให้ดีที่สุด เท่าที่เราจะทำได้
[/i]


ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
              จากที่อดหลับอดนอนมาหลายวัน  ในที่สุดมหกรรมการสอบไฟนอลก็จะจบลงซะทีเหลืออีก 3 วัน กูทนได้ ร่างพังอย่างกับไปฝึกทหารมา(ว่าไปนั่น!)  กูอยากพักมากเอาซัก 1 อาทิตย์เลย

               แต่แม่ง!  กูทำไม่ได้นะสิ ต้องอ่านหนังสือต่อ T-T

               เรื่องสอบเป็นไงอ่ะหรอ ตอบได้อย่างเดียวว่า ‘ได้ทำ’ ได้แบบ...แบบล้มลุกคลุกคลาน ถูๆไถๆ ไปให้รอดก็แค่นั้น ข้อสอบก็ง่ายนิดเดียว นอกนั้นยากหมด555 จะให้สอบได้คะแนนเกือบเต็มเหมือนเพื่อนที่เรียนมาแต่ม.ต้น คงจะยากอยู่ ก็คนมันไม่ได้มีอ่านแค่วิชาเดียวนิ หนังสือที่เตรียมจะสอบแพทย์ก็มีอีกเยอะ ดังนั้นก็เลยผลัดกันอ่าน โดยส่วนมากจะเน้นไปที่สอบแพทย์มากกว่า พอคะแนนวิชาเอกออกมา ก็เลยร่อยหรออย่างที่เห็น ขอโทษนะครับเซนเซ



すみません, 先生.

実は,  他の本を読んであります.

本当に,   すみません.


               หวังว่าเซนเซจะเข้าใจนะ

               คงรู้แล้วสิว่าผมเรียนคณะอะไร? ผมเรียนภาษาญี่ปุ่น คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ นี่คือสิ่งที่ผมชอบ แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยากเป็น

               “เปอร์” เสียงของเพื่อนในกลุ่มนามว่า อิ๋ม ถามขึ้น  ในขณะที่ผมกำลังเก็บเครื่องเขียนที่ใช้สำหรับทำข้อสอบในวิชาสุดท้ายเสร็จ ยัดใส่กระเป๋าสะพายลายใบไม้สีฟ้า น้ำเงิน สีที่ผมชอบรองจากสีเขียว

                พอถูกเรียกชื่อแบบนั้น ผมจึงหันไปตามเสียงเรียกชื่อผมในทันทีและตอบกลับ

                “มีไรวะ?”ถามไปงั้นแหละ เพราะผมพอจะรู้อยู่แล้วล่ะว่าที่มันเรียกเมื่อกี้ ‘มันจะบอกอะไร’ แล้วกูจะถามมันกลับทำไมวะ ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วนิ  งงตัวเองจริงๆ!!!  เอาน่า แค่อยากแหย่มันเล่นเฉยๆ555

                “อ้าว! อีนี่!” อิ๋มพูดพร้อมกับแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจ น้ำโมโหขึ้นหรือไง? เอ๊ะ! หรือว่าเมนมา? อย่ามาใช้อารมณ์กับกูนะ เดี๋ยวเตะแม่งเลย กูล้อเล่น! กูกลัวมึงจะตายก่อนเห็นตัวเล็กนิดเดียว

                “เรื่องหมูกระทะอ่ะ มึงยังจำได้อยู่มั้ยเนี่ย?” เพื่อนอีกคนตะคอกใส่ ผมอยากจะทำตาบ๊องแบ๊วใส่แม่ง อยากจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ จำไม่ได้อะไรประมาณนั้น แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้นแหละ ดูจากสีหน้าแล้วมาน่าเล่นด้วยกับกูแน่

               กูจะจำได้ได้ไง! ก็กูเป็นคนชวนพวกมึงนิ ชวนก่อนที่จะหยุดสงกรานต์ซะอีก

                ทฤษฎีที่ว่า ‘ใครเป็นคนชวน จะต้องจำได้เสมอ ใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอกนะ เพราะโดยส่วนมากคนชวนนั้นแหละ คือ คนที่ลืมเป็นคนแรก'

​                นัดกันตั้งนาน แต่ไม่มีเวลาได้กินด้วนกันซะที พอจะได้กินที บางคนก็ไม่ว่าง ว่าจะกินหลังสงกรานต์ เพื่อนบางคนก็ยังไม่กลับอีก (ไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับหรอก แต่พวกนั้นไม่ได้จองตั๋วรถไว้ไง พอจะจองอีกทีตั๋วรถก็เต็มไปหลายวันเลย ทำได้แค่รอ รอ รอ 55555)

                สรุปคือ เลื่อน เลื่อน เลื่อน...เลื่อนเป็นเดือน ถ้าพวกมึงไม่ว่างอีกล่ะก็ ‘ได้คอขาดแน่ๆ’

                “จำได้ จำได้” เสียงเรียบถูกเปล่งออกมาจากเรียวปากของผม “กูแค่ถามเล่นเฉยๆ กลัวพวกมึงจะลืมไง” ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ดูจากอารมณ์ที่เพิ่งสอบเสร็จ คงจะอารมณ์บ่จอยแน่ ถ้าขืนยังจะแหย่พวกนั้นต่อไปมีหวังโดน....ตีนทั้ง 6 เป็นแน่

                 “พวกกูจะจำไม่ได้ได้ไง มึงเป็นคนชวนพวกกูนิ” พูดอีกก็ถูกอีแหละ ยังดีนะที่พวกนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว “ไปกี่โมงวะ? เร็วๆนะ กูหิว! จะกินให้ลืมที่สอบเมื่อกี้ไปเลย” ต้องอย่างนี้สิวะเพื่อน กินหมูให้เต็มเต็มที่ไปเลย!

                  พวกเราหารกัน (ไม่ใช่กูเลี้ยงนะ ช่วงนี้ยิ่งจนอยู่ T-T)

                  “ถ้าพวกมึงอยากกินเร็วๆ อ่ะนะ งั้น 6โมงดีมั้ยวะ?” ตามใจพวกมันแล้วกัน ครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้ จะยังไงก็อยากจอยู่กับพวกมันที่นี่ให้นานที่สุด ถึงครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ตามที ก่อนที่จะไม่ได้เจอกันอีก

                  (แหม๊ะ มั่นใจมากกว่าจะสอบติดแพทย์ ทั้งที่ความรู้พวกนั้นทิ้งไว้กับอาจารย์เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ ก็ตาม)

                  “ดีๆ”หวานเอ่ย “มึงรออีพลอยอยู่ใช่มั้ยวะ? งั้นพวกกูกลับหอก่อนนะ ไว้เจอกันที่ร้าน” พอพูดเสร็จ ก็โบกมือลา เหมือนบอกไว้ว่า ‘ไว้เจอกัน’ และหันหลังเดินจากที่ๆ พวกเรานั่งคุยกัน

                   ฮ่าๆ...ตลกอะไรน่ะหรอ ก็ตลกที่ทั้งสามคนเดินเรียงตัวเป็นหน้ากระดาน แล้ว...สัดส่วนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ามันเท่ากันหมดนี่ดิ ทั้งสามจึงได้ฉายาที่ตามมาทีหลัง คือ ‘ชะนีแคระ’บ้างล่ะ ศัพท์ที่มีไว้ใช้สำหรับทั้งสามคน  อ้อ! พวกนั้นมีอีกฉายานี่หว่า ‘สเมิร์ฟ’ คงรู้จักสเมิร์ฟนะ สามคนนั้นเป็นแบบนั้นแหละ แต่ผมชอบเรียกพวกนั้นว่า ‘ชะนีแคระมากกว่า’


********************************************************************************************


               ณ ร้านหมูกระทะแห่งหนึ่งหน้าม.

               บรรยากาศตอนเย็นที่เย็นสบาย ที่มีความครึกครื้นให้เห็นตลอดสองฝั่ง ผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาฉลองการสอบเสร็จด้วยหมูกระทะ ต่างก็พากันสนุกสนานแสดงออกทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด

               ผมที่เพิ่งเดินมาถึงหน้าร้านและหยุดอยู่พักหนึ่งเพื่อมองหาเพื่อนที่ไม่รู้มาหรือยัง? แล้วจองโต๊ะไหนแล้วบ้าง? ว่าแล้วก็พลางกวาดสายตามองไปทั้งทางซ้ายและขวาของร้านตามลำดับ ก็ร้านนี้คนมันเยอะอ่ะ ดีนะที่ไม่ตะโกนออกไป แต่ใครจะกล้าล่ะเนอะ มีหวังได้หน้าไปตามๆกันพอดี แทนที่จะได้กินหมูกระทะคงจะได้กินตีนแทนแน่

               มองหาได้สักพักผมก็เห็นที่ชุมนุมเพื่อนในกลุ่มที่มากันครบหมดแล้วยกเว้นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้  พวกเหี้ย! ทำไมมึงถึงจองโต๊ะในสุดเลยวะ? ถึงกลับสบถออกมาด้วยท่าทางตกใจ ร้อนจะตายห่า อึดอัดอีกต่างหาก พวกมึงยังจะจองโต๊ะนั้นอีก(ที่บอกว่าเย็นก็แค่หน้าร้านแต่ในร้านมันคนละขั้วเลย) ได้แค่สบถออกมาแค่นั้น ก่อนที่ก้มหน้าพลางถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ  แทน ทำไงได้ล่ะ ก็พวกมันจองโต๊ะไว้แล้วนิ เฮ้อ....

               จากนั้นจึงสลัดความคิดเมื่อครู่ทิ้งไป แล้วจึงเดินตรงดิ่งเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว ไปหาโต๊ะของเพื่อนๆ ก่อนที่จะมีบางคนในกลุ่มลูกค้ามองผมด้วยสายตาเป็นมัน ตอนแรกก็คิดว่าเขาคงมองตามปกติที่มีคนเข้ามาในร้านแหละ

                    แต่มันไม่ใช่อยากนั้นน่ะสิ!

                “มาช้าจังนะมึง พวกกูรอตั้งนาน นี่จะกินก่อนอยู่แล้วเนี่ย” อิ๋มเอ่ยประชด ก่อนจะแสดงสีหน้ารื่นรมย์ออกมาแถมยักคิ้วใส่อีกต่างหาก นี่ความเครียดเมื่อตอนบ่ายของมึงหายไปไหนวะ?

                “โทษทีว่ะ กูเผลอหลับไปพักหนึ่งอ่ะ” ผมพูด “พอสะดุ้งตื่นมาอีกที กูก็ตรงมาที่นี่อย่างเร็วจี๋ ขอโทษด้วย”

                “กูว่าไม่ใช่พักหนึ่งหรอก พักใหญ่ๆเลยล่ะ” ไม่ใช่อิ๋มแต่เป็นหวานพูด

                “มัวแต่ขอโทษอยู่นั่นแหละ” แป้งออกความคิดเห็นบ้าง “แล้วก็กองไว้ตรงนั้นแหละคำขอโทษอ่ะ เพราะคำขอโทษของมึง ทำให้พวกกูอิ่มไม่ได้หรอกนะ” แรง! บาดใจกูไปอีก หลังจากพูดเสร็จ มันทำหน้าเบื่อหน่ายทันที

                “มาๆ กินๆ” อีกคนที่ชื่อฟางเอ่ยขึ้น

                “เออ...เมื่อกี้มีบางคนมองกูด้วยท่าทางแปลกๆด้วยว่ะ” ผมทำหน้าสงสัย ขมวดคิ้วบอกเพื่อนในกลุ่ม เผื่อพวกมันจะรู้ว่าทำไมคนพวกนั้นมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แต่สิ่งที่พวกมันตอบกลับกลับเป็นรอยยิ้มทะเล้นไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูด

                  อะไรของพวกมึงอีกเนี่ย!

                 “นี่มึงยังไม่รู้สึกตัวอีกหรอวะ?” รู้อะไรอีก ช่วยบอกกูที “มึงอ่ะเริ่มจะฮอตในสายตาหนุ่มๆเข้าแล้วล่ะ” ฮอตหรอ! กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ จะฮอตได้ไง

                 “ไม่ใช่เริ่มจะฮอตหรอก แต่มันฮอตมานานแล้วต่างหาก” เฟิร์นเป็นอีกคนที่ออกความคิดเห็น หลังจากที่นั่งนิ่งมานาน

                 “ฮอตหรอ? หน้าอย่างกูนี่นะ” ว่าพลางก็ตบใบหน้าตนเองเบาๆ ลูบๆคลำๆ ไปมาอยู่อย่างนั้น  เกือบหน้าถลอก “หน้าตากูดีขนาดนั้นหรอวะ?”

                 “ยังไม่รู้ตัวอีกนะมึงอ่ะ ก็หน้าอย่างนี้แหละผู้ชายชอบ”พลอยชี้หน้าพลางออกความคิดเห็นกับเพื่อน แล้วชักมือกลับ ทำหน้าเบื่อหน่ายยกกำลังสองส่งมาให้ผม “มึงช่วยรู้สักทีเหอะ มึงอ่ะ หน้าตาดี ไม่ได้ขี้เหล่เหมือนพวกกู จบนะ” พูดจบพลอยก็ก้มหน้าลงมือกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

                 กูฮอตขนาดนั้นเรอะ แต่ทำไมกูยังโสดอยู่ล่ะ?

                 พวกเรานั่งกินหมูกระทะเรื่อยๆ พวกมันคงจะหิวจริงๆ กินเหมือนคนที่อดอาหารมาหลายเดือน  แต่จะว่าไปผมเองก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน นั่งสาธยายเรื่องที่เป็นเฟรชชี่มาตลอด 1 ปีเต็ม ทั้งประสบการณ์ห้องเชีย รับน้อง และอะไรก็ตามแต่ พูดกันอย่างออกรส โดยเฉพาะเรื่องฮาๆตอนสมัยปี 1 เสียงหัวเราะของพวกเราถูกปล่อยออกมาอย่างเก็บไว้ไม่อยู่ ทำให้บางโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ ถึงขั้นมองแรงทีเดียว

                  แล้วยังไงล่ะ ไม่แคร์

                  นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีเรื่องผู้ชายเข้ามาเกี่ยวค่อนข้างมาก ถึงกับอุทานออกมา ‘งานดี แต่มีชะนีเป็นเมีย’ บ้างล่ะ ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ ก็พวกผู้ชายพวกนั้นไม่ได้เกย์นิ แต่บางประเด็นก็บอกว่า ‘งานดี แต่น่าเสียดาย เขามีผัวแล้ว’

                  ไม่น่าแปลก! เพราะสมัยนี้มันสมัยไหนแล้ว จะมีผัวมีเมียเป็นชายหรือหญิงมันไม่เกี่ยวกันหรอก สำคัญตรงที่ว่า         

‘เรารักคนๆนั้นหรือเปล่าต่างหาก’

​                  งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แต่นี่มันงานเลี้ยงตัวเองนิ หลังจากที่พวกเราพากินอิ่มหนำสำราญกันเต็มที่ ท้องแทบแตก! แล้วพากันแยกย้ายกับหอของตน โดยมีคำๆหนึ่งที่บอกไว้ก่อนจะแยกกันกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ ด้วยคำว่า ‘ไว้เจอกัน’ ผมไม่ได้พูดหรอกคำนี้ เพราะกลัวว่า จะไม่ได้เจอกันอีกอ่ะดิ  แอบเศร้าๆ อยู่พักหนึ่ง แต่จะทำไงได้ล่ะ เพื่อความฝันและความหวังของบุพการี ยังไงผมก็ต้องทำและต้องทำให้ได้

                  เพื่อนในกลุ่มต่างพากันกลับไปเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวที่จะกลับบ้านที่จากมาเรียนตั้งไกล พูดแล้วก็คิดถึงแม่ขึ้นมาทันที แต่เรายังมีหน้าที่ที่ต้องทำและต้องทำให้ได้ด้วย

                  กลับมาถึงหอประมาณเกือบจะ 4 ทุ่ม ด้วยมือที่ถือถุงขนมไว้เต็มกำมือเพื่อเตรียมจะอ่านหนังสือในตอนดึกและวันถัดไป ใบหน้าที่เศร้าจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ยังติดตาอยู่เลย ทั้งที่สนุกกับมันให้ถึงที่สุดแล้วแท้ๆ แต่...มันเป็นเหมือนวันจากลา ยิ่งประโยคนั่นอีก เพราะจริงๆ แล้วผมไม่ได้บอกเพื่อนแม้แต่คนเดียวว่าผมจะซิ่วไปเรียนที่อื่น ถึงจะเป็นเวลาแค่ปีเดียว แต่ก็เต็มไปด้วยความทรงจำมันมายมายทั้งสนุก ทั้งเศร้า แต่เพื่อนก็ไม่เคยคิดที่จะทิ้งกัน

                  ผมแอบร้องไห้อยู่คนเดียวในห้อง วันนี้คงไม่ได้อ่านหนังสือแล้วล่ะในใจก็บอกอยู่เพียงว่า ‘ถ้าจะร้องไห้ก็ร้องไห้ซะให้พอ’ นั่งลูบไล้ใบหน้าที่เปื้อนหน้าตาที่ไหลออกมาเรื่อยๆ เพราะเหตุนี้มั้งที่บางครั้งถูกพวกเพื่อนด่าว่า ‘เย็นชา’ ยิ่งตอนหน้านิ่งๆของผมอีก บางคนถึงกลับบอกว่า ‘เข้าหายากบ้างล่ะ ยิ่งบ้างล่ะ’ ก็ไม่เข้าใจพวกนั้นเหมือน แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเพื่อนหรอก เพราะผมเองก็ไม่อยากจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน

                  แล็ปท็อปที่วางอยู่บนโต๊ะถูกหยิบขึ้นมา แล้วถูกเลื่อนเข้าดูแกลเลอรี่รูปแห่งความทรงจำที่พวกเราเคยเศร้า สนุก สุข ทุกข์มาด้วยกัน มันยิ่งตอกย้ำให้น้ำตาไหลออกมาเพิ่มมากกว่าเดิมอย่างห้ามไม่อยู่ คิดได้อย่างเดียวว่า

‘ถึงกูจะไม่ได้อยู่ที่นี่กับพวกมึง แต่กูจะไม่มีวันลืมพวกมึงเลยเว้ยไม่ว่าจะยังไงพวกมึงก็คือเพื่อนที่ดีที่สุด ถึงจะเป็นเวลาแค่ 1 ปี ที่รู้จักพวกมึงก็ตาม พวกมึงกับกูจะต้องได้เจอกันอีกแน่นอน ถ้าพวกมึงไม่ไปหากู กูจะเป็นคนมาหาพวกมึงเอง’

​                  ผมพูดออกมาทั้งน้ำตาอย่างปิดเสียงไม่มิด จึงนับเป็นการร้องไห้ครั้งที่2 ที่ร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต เพราะครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ตอนที่ผมมาอยู่หอในก่อนจะย้ายออกมาอยู่หอนอกในเทอมที่สอง ซึ่งตอนนั้นต้องจากแม่มาอยู่ไกลบ้านแถมเป็นอ่อนต่อโลกอีกต่างหาก ทุกสิ่งที่ดูแปลกตามันทำให้ความกลัวถูกปลุกขึ้นมาโดยอัตโนมัติอย่างหยุดไม่ได้  และตอนนั้นนั่นเองที่มาส่งแม่ขึ้นเครื่องบิน ผมร้องไห้โฮออกมาโดยไม่แคร์สายตาคนที่อยู่ละแวกนั้นแม้แต่น้อย พร้อมทั้งกอดและยื้อไม่ไว้อย่างนั้น เหมือนเด็กที่วันแรกต้องไปโรงเรียนเลยล่ะ

                 ผมสนิมกับแม่มากกว่าพ่อ เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง ผมจึงเลือกปรึกษากับแม่แค่คนเดียวไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ติดแม่เหมือนเด็กที่ไม่มีวันโต

                 ยิ่งเล่าเรื่องตอนเด็ก ก็ยิ่งขำ แต่มันใช่เวลามั้ยล่ะ?

                 จากที่ร้องไห้เป็นเวลานาน ตอนนี้เริ่มเหนื่อยและคงพอแล้วล่ะกับเรื่องนี้ ผมจึงเหลียวไปดูนาฬิกาที่แขวนติดไว้บนผนังห้องกับร่างกายสั่นเทาไม่หยุดจากการร้องไห้เมื่อครู่ แต่ก็พอทุเลาลงบ้างแล้ว ถึงจะยังหายไปไม่หมดก็ตาม แต่คงต้องใช้เวลาเหมือนกันแหละเนอะ

                 ผมกลับมาตั้งสติสงบอารมณ์ทุกอย่าง ก่อนที่จะไปอาบน้ำแล้วเข้านอนพลางคิดขึ้นได้ว่า ‘เรายังมีหน้าที่ที่ต้องทำอีก’ แล้วจึงปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆโดยที่ไม่รู้ว่าตอนนี้บวมช่ำไปแล้วแค่ไหน


‘อยากหาคนรู้ใจสักคน เผื่อเวลาที่เป็นแบบนี้อีก จะได้ไม่ต้องอยู่คนเดียว’


ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
«ตอบ #4 เมื่อ23-09-2017 04:09:01 »

พ่อแม่ ส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนี้
ให้ลูกสอบเข้าเรียนคณะที่ตัวเองชอบ ไม่ใช่ลูกชอบ
จะด้วยความมั่นคงทางอาชีพ ค่าตอบแทนสูงก็ตาม
แต่ที่แน่ๆสนองนี้ดตัวเอง กับความมีหน้ามีตาในสังคม อวดชาวบ้านได้

เปอร์ มีความสามารถพิเศษ มีพลังจิตเรื่องเทเลพาธี
วาร์ปตัวเองไปไหนก็ได้ในพริบตาใช่มั้ย
อยากรู้ว่าเปอร์รู้เรื่องพลังจิตของตัวเองได้ยังไง และตอนไหน  :z3: :z3: :z3:

แล้วที่ว่าแม่จะช่วยพูดกับพ่อเรื่องนั้นให้
เรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไร อยากรู้  :ling1: :ling1: :ling1:

เรื่องเปอร์ฮ็อต ในหมู่ผู้ชาย แต่ไม่มีใครกล้ามาจีบเปอร์
เหมือนเปอร์ไม่มั่นใจในตัวเองนะ เพราะดูแปลกใจ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0


                ณ มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ

                ผมกำลังเดินเข้าเขตมหาวิทยาลัยอย่างกระฉับกระเฉง ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสสบตากับใครก็ตามผมก็ยิ้มให้เขาถึงจะไม่รู้จักกันก็ตามทีไปตลอดทางเข้า

                ชีวิตดี๊ดี!

                บางทีคนที่ผมสบตาด้วยอาจจะมองผมด้วยสายตาว่า ‘มึงบ้าเปล่าวะ’ ใช่! กูอาจจะบ้าเหมือนที่มึงคิดนั่นแหละ     แฮ่ แฮ่

                ก็คนพวกนั้นทำหน้ามุ้ยตลอดทางที่ผมเดินมา มันก็ไม่น่าจะซีเรียสขนาดนั้นนิ แต่อย่างว่าแหละสอบชิงทุนแบบนี้ มันก็ทุ่มให้สุดตัวอยู่แล้ว ไม่มีใครสนใจใครอยู่แล้วนอกจากตัวเองเท่านั้น

                พอละสายตาจากคนรอบๆตัว ก็หยุดตะลึงอยู่สักครู่หนึ่งตรงใจกลางของมหาลัย บริเวณนี้เป็นวงเวียนสระน้ำพุขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งทะยานไปบนอากาศและตกลงมาเป็นละอองเล็กๆ เมื่อตกกระทบกับแสงแดดยามเช้าทำให้เกิดรุ้งกินน้ำเล็กๆให้รู้สึกชื่นฉ่ำหัวใจและรู้สึกผ่อนคลายไปตามๆกัน ไหนจะรูปปั้นตั้งตระหง่านเด่นชัดให้คนที่เดินผ่านได้ยืนชื่นชมประติมากรรมของสถานที่แห่งนี้  ถึงกับอุทานออกมาพลางอ้าปากค้างรอให้แมลงวันวางไขเพื่อขยายพันธุ์อีกต่างหาก

                จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงล่ะ นี่มันมหาวิทยาลัยหรือพระราชวังกันแน่วะ?

                ผมกวาดสายตามองความสวยงามรอบๆ สถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด เดินย่างก้าวสำรวจแทบจะทุกซอกทุกมุมแถวๆบริเวณนั้น ก่อนจะเข้าสอบในเวลา 9:30 น. ยังดีที่มาเช้าหน่อย ก่อนสอบ 2 ชม.ไม่หน่อยละมั้ง เผื่อเวลาไว้ซะเยอะ ก็เลยมีเวลามากพอที่สำรวจมหา’ลัย จะรู้ไหมว่าที่ผมสำรวจนี้ก็กินเวลาไปมากแล้ว แต่ผมกลับยังไม่รู้สึกตัว ในขณะที่เดินชมนกชมไม้อยู่นั้น

                พลัก!!

                ชายร่างสูงใหญ่วิ่งชนกับช่วงไหล่ของร่างโปร่งผม ทำให้เซล้มไปทางฟุตบาทแบบทุลักทุเลอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่ผมจะอุทานออกมาหลังจากนั้น

                “เหี้ย!” ผมที่กำลังตั้งสติมองสำรวจคนตรงหน้าอย่างคาดโทษ และพร้อมที่จะตะโกนด่าไปทั้งอย่างนั้น

                “เฮ้ย! ขอโทษ” ชายนิรนามเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรใช่มั้ย?  คือกูรีบไปหน่อย ขอโทษทีว่ะ” ชายคนนั้นพูดอธิบายพลางย่อตัวและโน้มลงมาจับแขนผมแล้วพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นตามทิศทางที่อีกฝ่ายกำหนดจากฟุตบาท ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

                “กล้าพูดเนอะ ว่ากูไม่เป็นไร” ผมตอบกลับเสียงแข็งแล้วทำหน้าบึ้งใส่อีกฝ่ายทันที “ดูจากสภาพกูแล้ว คงรู้นิ!” ก่อนที่จะจะต่อว่าประชดใส่ชายคนนั้นอีกรอบ อีกฝ่ายก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อนในขณะที่ผมยืนทรงตัวได้แล้ว

                “กูแค่พูดตามมารยาท เหมือนที่คนอื่นเขาพูดกัน ก็แค่นั้น” พอพูดจบก็แสดงท่าทีเบื่อหน่ายผมที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด

                “ถ้าจะพูดตามมารยาทล่ะก็ ไม่ต้องก็ได้ กูไม่อยากรับ” ผมที่ยืนได้แล้วก็ประชดชายตรงหน้าอีกรอบ ใครจะยอมแพ้มึงล่ะ กูก็ทำเป็นเหมือนกันแหละท่าทางแบบนั้นก็ด้วย

                “เอาเหอะน่า!” อ้าว! พูดตัดบทกูซะงั้น “ขอโทษก็ขอโทษไง แล้วมึงจะอะไรกันนักกันหนาวะ แล้วอีกอย่างมึงไม่รีบไปสอบหรอไง ใกล้ได้เวลาสอบแล้วนะเว้ย” ท่าทางอีกฝ่ายคงจะรีบมาก เพราะไม่อย่างนั้นคงมีจะตาดูทาง ไม่วิ่งมาชนผมจนล้มลงฟุตบาทหรอก ไหนจะท่าทีที่ลุกลี้ลุกลนอีกเกินมนุษย์มนาอีก

                “ไปดิวะ กูไม่ได้มากรุงเทพเล่นๆหรอกนะ แล้วอีกอย่างนะยังมีเวลาเหลือเฟือ” ผมตอบอีกฝ่ายไป

                จากนั้นจึงชูนาฬิกาข้อมือให้คนตรงหน้าได้ดูอย่างเต็มลูกกระตา แล้วให้อีกฝ่ายเลิกโวยวายซะที กูรำคาญ!

                “ไหนเหลือเฟือของมึง? คราวหน้าก็ดูให้ดีๆซะนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็จับข้อมือผมแบบหลวมๆแล้วหันนาฬิกาเข้าหาตัวผม

                “เหี้ย!” ผมตะโกนดังลั่น ตาก็จ้องกับนาฬิกาตรงหน้าอย่างไม่กระพริบ แทบจะหลุดจากเบ้า จ้องแบบเอาเป็นเอาตาย  นี่มัน 8 : 45 น. แล้วนี่หว่า! แล้วที่กูมาเช้านี่ มันไม่ได้ช่วยกูไว้เลยสักนิด

                ฮือ ฮือ ฮือ

                “เห็นมั้ยล่ะ? กูบอกแล้ว ไม่เชื่อกูเอง แล้วจะเอาไงต่อ?”ชายตรงหน้าถามขึ้น

                “...” ผมไม่ได้ตอบอะไรไปแม้แต่คำเดียว เพราะยังตกใจกับเวลาที่เหลืออยู่

                “แล้วจะจ้องอีกนานมั้ย? นาฬิกาอ่ะ”

                “...” เดี๋ยวก่อนสิ กูยังคิดอยู่ว่า ‘จะทำยังไงให้ไปให้ทันเวลาสอบ’

                “เฮ้ยมึง!!!” อีกฝ่ายทนไม่ไหวกับการที่ผมไม่ตอบอะไรเขา จึงจับแขนแล้วเยอะอย่างแรงจนผมหลุดจากภวังค์ตรงหน้า

                “ไปๆ” เพิ่งสติกลับมาก็ตอบ ‘ไป’ อย่างเดียว ไม่รู้หรอกว่ามันถามอะไร แต่ก็ตอบเพื่อให้รอดไว้ก่อน

                “งั้นก็รีบเลย เดี๋ยวไม่ทัน” พูดจบอีกฝ่ายก็เดินเข้าหาใกล้ผมทีละนิด เหลือระยะห่างไม่ถึง 1 ไม้บรรทัด*ซะด้วยซ้ำ แล้วหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าผม  ผมสบตาอีกฝ่ายก็เห็นว่าเป็นดวงตาสีดำเข้มที่มันยังมันเงาอยู่ตลอดเวลา ถึงกลับไม่กล้าที่จะจ้องนานจึงหันหลบสายตาจากอีกฝ่ายไปในทันที

*( 1 ไม้บรรทัดในที่นี้ เท่ากับ 30 ซม.นะ)

                อีกฝ่ายงงกับการกระทำของผมจึงยื่นหน้าเข้ามาถามให้แน่ใจอีกรอบ “ตกลงจะไปมั้ย?”

                “ไปดิ” ผมตอบแบบไม่หันไปให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้า พอได้รับคำตอบ ก็อีกฝ่ายยื่นหน้ากลับไปที่เดิม แต่ก็ยังยืนประจันหน้าเทียบความสูงกับผมอยู่ ณ ตรงนั้น

                “ทำไมมึงไม่มองหน้ากูล่ะ?” เจ้าของเสียงพูดขึ้นพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้อีกรอบ จะให้กูมองสายตาพิฆาตนั่นกูก็ไม่เป็นอันทำอะไรพอดี

                “พอๆ” ผมเอ่ยห้ามปรามอีกคนพร้อมกับถอยให้ห่างจากร่างสูง “จะไปกันได้ยัง” ไม่ได้ตอบคำถามอีกฝ่ายแถมยังเป็นผมซะอีกที่ถามคนตรงหน้าไป

                นี่เป็นการปฏิเสธทางอ้อมที่ผมเองคิดไว้สำหรับสถานการณ์แบบนี้ หรือจะบอกว่าเป็นการพูดตัดบทเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้เหตุผลของเราก็ได้ ไม่ว่ากัน

                “เออๆ ” อีกคนขานรับ “ว่าแต่มึงรู้ห้องสอบของตัวเองมั้ยเนี่ย?” อีกฝ่ายถามอีกครั้งทั้งที่ท่ายืนก็สามารถทำให้ผู้หญิงน้อยใหญ่ถึงกับกริ๊ดดดเป็นลมได้

                จะว่ายืนเก๊กหล่อก็ได้ มือข้างขวาที่ล้วงกางเกง แล้วมืออีกข้างก็จับสายกระเป๋าที่พาดข้างแบบไหล่ตก

                “เชี่ย!” เอาแล้วไง

                “อะไรวะ?” อีกคนทำหน้าสงสัย

                “กูลืมดู” ผมทำหน้าตกใจให้อีกคนเห็นได้อย่างชัดเจน

                “งั้นก็รีบโดยด่วน!” เพียงสามคำที่ออกจากปากผมให้อีกฝ่ายได้ยิน ทำให้ร่างสูงยื่นจับแขนผมพร้อมกับดึงให้วิ่งตามแผ่นหลังกว้างใหญ่ของตัวเองไป

                แทบปลิว! อย่างกับว่ามีแรงดึงมหาศาลที่พร้อมจะดึงทุกสิ่งอย่างไปแบบไม่สามารถต้านทานได้ ตัวผมเองก็เช่นกันไม่สามรถต้านทานแรงของอีกฝ่ายได้ จึงได้แต่วิ่งตามหลังไป ลอบมองใบหน้าอีกคนที่ทุกข์เป็นร้อนกับเรื่องของผม

                มันช่างไร้สาระ ทั้งที่เราเองก็ไม่รู้จักกัน ไม่เคยเจอกัน ไม่มีแม้แต่ความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไม! ถึงช่วยผม? ผมไม่เข้าใจ หรือว่าช่วยตามมารยาทเหมือนที่พูดแรกๆอย่างนั้นหรอ หรือว่าแค่อยากจจะไถ่โทษที่ชนผมแค่นั้น

                คำถามหลายอย่างผุดขึ้นในหัวของผมมากมาย และอยากจะเอ่ยออกไปถามคนตรงหน้าโดยตรง แต่...

                มันไม่มีความกล้าพอน่ะสิ! 

                ถึงจะยังไงก็ต้องถาม ผมก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะมีความกล้าให้มากกว่านี้ มากกว่าที่เป็นอยู่ จึงสูดหายใจรวบรวมสติ สมาธิ และความกล้าเอาไว้ด้วยกัน แล้วจึงเอ่ยถาม

                “คือกู...เอ่อ” ทำไมยังอ้ำอึ้งอยู่วะ? ตอนคิดว่าจะพูดไม่ได้เป็นแบบนี้นิ! เฮ้อออ

                ตอนคิดกับตอนลงมือทำช่างต่างกันเหลือเกิน

                “อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยว่ะ ไว้ค่อยคุยกันหลังสอบดีกว่า” อีกฝ่ายพูดทั้งที่หน้าของตัวเองไม่ได้หันมาเหลือบมองผมเลยสักนิด เพราะมัวแต่มองทางข้างหน้าที่มุ่งไปยังห้องสอบ

                มึงสอบห้องไหนกูก็ไม่รู้ มึงเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากูสอบห้องไหน คิดว่าจะได้เจอกันหรอวะ? คนมาสอบเป็นแสน

                เราสองคนไม่มีบทสนทนากันเกิดขึ้นต่อจากนั้น มีเพียงเสียงฝีเท้าของผมกับของร่างสูงที่ยังก้าวอย่างกระฉับกระเฉงผ่านทุกช่วงตึกเท่านั้นที่ทำลายความเงียบ เราวิ่งผ่านหลายช่วงตึกกับความร้อนจากการวิ่ง ทำให้ตอนนี้เหงื่อเริ่มซึมออกจากหน้าผากที่มีเส้นผมปิดบังเอาไว้ และผมเริ่มเปียกจากเหงื่อที่ซึมออกมาทำให้เงยหน้ามองคนตรงหน้าที่วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต กับคำถามที่ว่า...

                มึงไม่เหนื่อย ไม่ร้อนหรือไง? แต่สิ่งที่ผมเห็นคือแผ่นหลังที่มีเหงื่อซึมออกมา ทั้งที่มีเสื้อซับใส่ซ้อนข้างในแต่มันกลับไม่ได้ช่วยคนตรงหน้าเลย?

                ผมลอบมองคนที่จูงมือผมให้วิ่งโดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว สังเกตคนตรงหน้าอย่างอิจฉากับ ร่างที่สูงใหญ่ หน้าตาสไตล์เอเชียแต่กลับมีความเป็นยุโรปให้เห็นนิดหน่อย ผิวเนียนสีแทนที่ดูแล้วช่างสะอาดสะอ้านไม่เหมือนผู้ชายทั่วไปเท่าไหร่นัก ท่าทางดูเนี๊ยบจนเกินไปพร้อมกับชุดนักศึกษาของม.XXX ที่บ่งบอกความเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแถวๆ เมืองหลวงอย่างเห็นได้ชัด

                อย่างแรกที่คิดได้นะ ‘มันเป็นเกย์เปล่าวะ’ เพราะปกติผู้ชายที่ผมเห็นจะไม่มีแบบนี้ นอกจากจะคนประเภทเดียวกัน

                ได้แต่คิดเองเออเอง ไม่กล้าถามมันหรอก!  ใครจะกล้าล่ะ! ยิ่งเราไม่รู้จักกันด้วยสิ

                 เอาเหอะ ยังไงก็ไม่ได้พบกันอีกหรอก แต่ทำไมหล่อจังวะ พลางมองร่างสูงอีกรอบ  มองอีกฝ่ายได้ไม่เท่าไหร่ผมก็สลัดความคิดทิ้ง หันมองเส้นทางตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อเพราะที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อ..สอบ...

                จึงต้องตั้งสมาธิกับการสอบครั้งนี้ให้เต็มที่ พอคิดได้แบบนั้นจึงดึงความรู้ที่อ่านมากลับเข้าสมอง ประมวนความคิด วิเคราะห์ความรู้ที่ได้มา ให้เปิดรับข้อสอบที่จะได้ในอีกไม้ช้า

                พอเราทั้งสองวิ่งมาเรื่อยๆ จนถึงบันไดทางขึ้น จึงพักหายใจสักพักพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไปยังห้องสอบทั้งที่มือของอีกคนยังไม่ปล่อยผมซะด้วยซ้ำ ระหว่างที่เดินไปห้องสอบอยู่นั้น ก็ไร้เสียงจากเสียงของอีกฝ่าย ผมเอะใจอยู่นิดๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป คงเพราะเหนื่อยนั่นแหละอีกฝ่ายถึงยังไม่พูดอะไร

                จนกระทั่งเดินมาหยุดที่ห้องสอบพอดี ตลอดการเดินทางมาห้องนี้ ทุกห้องต่างก็ไม่มีนักเรียนหรือนักศึกษายืนประจำหน้าห้อง คิดได้อย่างเดียวคือ ‘คนเหล่านั้นคงจะเข้าห้องสอบไปแล้ว’

                “มึงมาดูนี่สิ เผื่อมีชื่อมึงอยู่ด้วย” อีกคน              เรียก และบอกให้ผมไปดูรายชื่อตามทิศที่อีกฝ่ายชี้ไปยังกระดาษขนาดA4 แผ่นขาวหน้าห้องที่แปะไว้ผู้เข้าสอบจำรหัสตัวเองเอาไว้

                “...” ผมพยักหน้ารับ แล้วเดินตรงไปดูรายชื่อห้อง ใบรายชื่อของห้องนี้มีคนสอบ 30 คน เผื่อจะมีชื่อผมอยู่ในนั้นจะได้ไม่ต้องไปหาที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ที่วิ่งผ่านมา

                ผมมองสำรวจรายชื่อของคนในห้องสอบในสภาพที่เหนียวเหนอะหนะไปด้วยเหงื่อจากการวิ่งที่ผ่านมาและยังไหลย้อยตรงโหนกแก้มให้ได้เห็น จ้องกระดาษแผ่นนั้นได้ไม่เท่าไหร่ก็เจอชื่อตัวเอง ผมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก ดีที่ไม่ต้องวิ่งไปบอร์ดประชาสัมพันธ์ที่อยู่ไกลพอควรจากที่นี่

                น่าแปลกที่ผมหาเจอ!  แต่ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือคนที่ยืนกอดอกรอผมอยู่นั้นรู้ได้ยังไงว่าผมสอบห้องนี้เหมือนตัวเอง ด้วยความสงสัยผมจึงตัดสินใจเดินไปถามอีกฝ่าย

                “มึงรู้ได้ไงว่ากูสอบห้องนี้” จะบังเอิญก็ยังไงๆอยู่นะ ห้องสอบมีเป็นร้อยห้อง ขนาดผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แล้วอีกฝ่ายไปรู้มาจากไหนล่ะ?

                “ไม่รู้หรอกว่าว่า มึงสอบห้องไหน รู้แต่ว่ากูสอบห้องนี้” ไอ้ห่า! กูก็นึกว่ามึงรู้ซะอีก คงจะคาดหวังกับมันเกินไปสินะเรา แถมยังทำหน้ากวนบาทา ยักคิ้วใส่กูอีก

                มันน่าถีบชิบเป๋ง!

                “อ้าว! ถ้าสอบห้องนี้ล่ะ?” ผมตะโกนถามและพร้อมจะง้างหมัดใส่อีกฝ่ายทีนทีที่พูดไม่เข้าหู

                “ไม่รู้” อีกฝ่ายยักไหล่พร้อมกับทำหน้าทะเล้นใส่

                “มึงนี่มัน...” ผมชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ แล้วหยุดชะงักไปกับคำพูดที่คิดในหัวว่า ‘จะหยาบคายเกินไปมั้ยวะ? เพิ่งเจอกันแท้ๆ อย่าน้อยมันก็ช่วยเราเอาไว้ถึงแม้ว่าจะเป็นการช่วยที่ไม่ทราบข้อมูลของอีกคนก็เถอะ’ จากนั้น

                ผมจึงลดนิ้วที่ชี้หน้าคนตรงหน้าลง แต่ทันใดนั้นผมกลับถูกอีกฝ่าย ต้อนเข้าผนังหน้าห้อง อีกคนใช้แขนข้างขวายันกำแพงเอาไว้ด้วยแขนเพียงข้างเดียวเหมือนในละครหลังข่าว ผมกระพริบตาสองทีสงสัยกับการกระทำที่เดาใจได้ยากของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถาม

                “อะไร?”

                “...” อีกคนไม่ตอบ แต่กลับยืนค้างอยู่อย่างนั้น

                “...”

                ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร จนได้ยินเสียงกรรมการคุมสอบเรียกให้เข้าห้อง

                “นี่พวกเธอจะสอบอยู่มั้ย?”

                “สอบๆ ครับ” มีเพียงผมที่ตอบกรรมการคุมสอบไป แต่คนตรงหน้ายังยืนนิ่งเหมือนเคย

                “งั้นกูเข้าห้องสอบก่อนนะ” พูดจบ ผมก็เดินออกจากทางด้านข้างแทน เจ้าตัวปล่อยผมออกมาโดยง่ายดาย ผมยิ่งงงกับการกระทำของอีกฝ่ายเข้าไปอีก

                มึงจะเอาอะไรกับกูกันแน่!

                จากนั้นจึงสาวเท้าอย่างเร่งรีบเข้าห้องสอบ ถึงห้องสอบจะอยู่แค่นี้ก็เถอะ แต่ผมมาเลทหลายนาที กลัวจะทำข้อสอบนะสิ

                ในขณะที่ผมจะก้าวเท้าเข้าบริเวณห้องสอบนั้น อีกคนก็ตามมาเหมือนกัน แต่กลับยื่นมือมาคว้าเรียวแขนผมเอาไว้ ทำให้ผมต้องหันหลังไปเผชิญหน้ากับคนที่จับอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย

                “เดี๋ยวก่อน” อีกฝ่ายเอ่ย แต่ผมกลับแสดงสีหน้าเบื่ออีกคนทันทีที่เรามองหน้ากัน

                *‘*นี่มันใกล้จะสอบแล้ว มึงจะเอาอะไรอีก ไว้ค่อยคุยกันได้มั้ยวะ?’

                อยากจะพูดแบบนั้นออกไปอยู่หรอก แต่...

                “อะไร” ผมถามกลับเสียงเรียบกับสีหน้าที่ไม่พอใจเท่าไหร่นัก ทั้งที่มันควรจะเป็นคำถามที่สบถในใจแท้ๆ แต่ทำไมถึงเลือกเอ่ยแค่คำๆนี้

                “ถ้ามึงสอบเสร็จ มึงต้องรอกูด้วย” คนตรงหน้าพูดด้วยสีหน้าจริงจังอย่างเห็นได้ชัด

                “ทำไม” ผมขมวดคิ้วเป็นปม แล้วทำไมล่ะ?

                “เพราะกูอยากเป็นเพื่อนกับมึง เพราะฉะนั้นมึงต้องรอกูก่อน ย้ำ! มึงต้องรอกู” อีกฝ่ายใช้นิ้วชี้จิกตัวเองกับตัวผมอยู่หลายรอบเพื่อย้ำในสิ่งที่ตัวเองพูด

                “เออๆ ย้ำอยู่นั่นแหละ กูเข้าใจตั้งแต่ประโยคแรกที่มึงพูดแล้ว ไอ้ฟาย!” เผลอด่าอีกฝ่ายไปซะงั้นกู หมดกันตัวกู แต่...

                “...” อีกฝ่ายกลับยิ้ม

                “กูเข้าห้องได้ยัง?” ผมถามอีกคนไปพลางมองไปยังมือของอีกฝ่ายยังจับแขนผมอยู่สลับกับมองคนตรงหน้าให้ปล่อยมือออกไปซะที

                “ได้แล้วครับ” คนตรงหน้าปล่อยแขนปมแล้วดึงมือกลับ แล้วยิ้มให้

                จากนั้นเราจึงแยกกันไปนั่งประจำที่ใช้สอบ ผมกวาดสายมองหาโต๊ะที่ตัวเองใช้ทำข้อสอบอยู่สักพักก็เจอ ซึ่งไม่น่าแปลกที่ผมหาเจอในเวลาไม่ถึงนาที หนึ่งเพราะ มันว่างอยู่สองที่คือ โต๊ะหน้าสุดแถวที่ 3 และโต๊ะหลังสุดแถวที่ 4 ซึ่งนั่นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากตัวผมกับ... ใครหว่า? ยังไม่รู้จักชื่ออีกคนเลยว่าชื่ออะไร และที่ว่างข้างหลังอีกคนที่มากับผมก็นั่งลงไปแล้ว นั้นก็แสดงว่าโต๊ะที่อยู่หน้าผมนี้ เป็นโต๊ะผม สอง เพราะห้องสอบมีแผนที่แสดงที่นั่งอยู่ด้วยแผ่นหนึ่งข้างๆ รายชื่อ ผมจึงรู้ และสุดท้ายข้อสาม มันมีเขียนไว้บนไวท์บอร์ดข้างในห้อง

                คนที่สอบในห้องนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กนักเรียนซะมากกว่า มีไม่ถึง 10 คน ที่เป็นนักศึกษารวมตัวผมกับไอ้คนที่มากับผมด้วย  ผมเหลียวหลังหันข้างมองอีกฝ่ายที่อยู่หลังห้อง ก่อนจะหันกลับมาลงมือทำข้อสอบในวิชาแรก

                เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงวิชาสุดท้าย ซึ่งผมเพิ่งทำเสร็จไปเมื่อครู่ จึงมองคนข้างๆที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสร็จในเร็วๆนี้ ผมจึงลุกขึ้น หยิบข้อสอบพร้อมกับกระดาษคำตอบแล้วเดินไปส่งให้กรรมการคุมสอบที่นั่งอยู่อีกที่ จากนั้นก็ต้องนั่งรอไอ้หน้าหล่อทำตัวน่าสงสัยนั่น เพราะรับคำอีกฝ่ายไว้แล้ว และผมเป็นคนรักษาสัญญาอยู่แล้วด้วย จึงต้องรอ...

                เนื่องจากในวิชาสุดท้ายผมสอบเสร็จเป็นคนแรก เสร็จตั้งแต่40 นาทีแรกด้วยซ้ำ ซึ่งวิชาที่ว่าเป็นวิชาที่ผมถนัดสุดๆ ณ ตอนนี้ จึงต้องรออีกคนแทน ในขณะที่รออีกคนอยู่นั้น ผมก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก นอกจากหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักศึกษา  เพื่อมาเล่นฆ่าเวลา

                จะว่าไปก็อย่าไปบอกกรรมการคุมสอบล่ะว่า ผมเอาโทรศัพท์เข้าไปด้วย แฮะ แฮะ

มีต่อนะ...

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
               1 ชม.ผ่านไปกับการรออีกฝ่ายและก้มหน้าเขี่ยโทรศัพท์ ซึ่งเป็นการรอที่ผมแอบงีบหลับไปพักหนึ่ง จากนั้นเพื่อนที่สอบห้องเดียวกันและห้องข้างๆต่างก็ทยอยกันออกจากห้องสอบพร้อมกับเสียงโต้คุยกันเรื่องข้อสอบข้อนี้บ้างล่ะ ข้อโน้นบ้างล่ะ ออกมาให้ได้ยินกันสนั่น และคนที่ผมรอเมื่อไหร่มันจะออกมา

                แต่แล้วผมก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าผม ผมจึงเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าก็รู้ทันทีว่าเป็น จะใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ไอ้คนที่บอกให้ผมรอ อีกฝ่ายยืนยิ้มเหมือนตอนที่ยืนยิ้มให้ผมตอนเราคุยกันอยู่ตรงฟุตบาท จึงก้มหน้าสนใจโทรศัพท์ต่อ

                “รอนานเปล่าวะ?” อีกฝ่ายถาม

                “ไม่น่าถาม”  ปากยังพูดออกไป แต่หน้ากลับยังสนใจโทรศัพท์อยู่

                “กวนตันนะมึง” อีกฝ่ายทำท่าเกรงขามใส่ แต่ผมก็ยังสนใจโทรศัพท์เหมือนเดิม

                “...”

                “สนใจกูหน่อย” พอพูดจบ อีกฝ่ายก็ยื่นมือมาคว้าโทรศัพท์ที่ผมเล่นอยู่ไปไว้ในอุ้งมือนั่นทันที

                ทำอย่างนี้กูก็ปี๊ดดดดแตกนะสิ! ถามได้

                “อะไรของมึง?” ผมเริ่มโวยวายเหมือนเด็กถูกแย่งของ อันที่จริงก็ถูกแย่งจริงนั่นแหละ จ้องหน้าคนที่แย่งของของผมไปพลางคิดในใจว่า ‘มึงอย่าคิดนะว่า มึงตัวใหญ่แล้วกูจะกลัว ’

                ใช่! กูกลัว...

                “ปะ” อีกฝ่ายชวน

                “ไปไหน? เอาโทรศัพท์กูคืนมาก่อน” ผมได้ทีก็ยื่นข้อเสนอไป

                “ไปก่อน เดี๋ยวคืนให้” อีกฝ่ายก็ยื่นข้อเสนอมาให้ผมเหมือนกัน

                “ไปไหนวะ?” เงยหน้าขึ้นถามทันที

                “เอาน่า! เดี๋ยวกูพาไปที่แจ่มๆเอง”

                “เออๆ จะพาไปไหนก็ไป” จะว่าไปกูใจง่ายไปเปล่าวะ เฮ้ย! ไม่ใช่ ไว้ใจคนง่ายไปเปล่าวะ เรายังเป็นแปลกหน้าของกันและกันอยู่ สถานะตอนที่ก็คือ...อะไรหว่า

                “แต่กูไม่เลี้ยงนะ”

                “ไอ้สัดดด มึงพากูไปมึงก็ต้องเลี้ยงสิ” ผมด่ามันอีกรอบ มันก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเขาเลย นอกจากยิ้มอย่างเดียว

                เหมือนพวกเราจะสนิทกันมาทีละก้าวแล้ว

                ไม่รีรอให้ผมด่าอีกรอบ คนตรงหน้าก็เข้ามาจับแขนให้ผมลุกขึ้น แล้วให้ผมเดินตามไป  แต่แปลก! แปลกที่ตั้งแต่ตอนแรกและตอนนี้ที่อีกฝ่ายดึงแขนผม แต่ผมกลับไม่เจ็บเลยสักนิด ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สถานการณ์เดียวกันแต่ผมกลับรู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายไม่ได้แค่ดึงแขนให้ไปตามที่ตัวเองหวังแต่เขากลับถนอมแรงที่จับแขนคนอื่นให้ไม่เจ็บด้วย ถึงจะไม่เจ็บก็ตามแต่ตามแรงดึงนี่ไม่ต้องพูดถึง สามารถเหวี่ยงผมให้ลอยไปถึงดาวอังคารได้แบบสบายๆ

                ผมกับอีกฝ่ายเดินมาที่จอดรถที่รถของอีกคนจอดอยู่ พออีกฝ่ายกดปลดล็อครถ ผมก็ถือวิสาสะขึ้นไปนั่งข้างคนขับทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเปิดประตูรถให้หรือบอกให้ขึ้นรถ อีกฝ่ายเห็นผมทำแบบนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากเดินไปฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทรถออกจากมหาวิทยาลัย

                ตลอดการนั่งบนรถมีเพียงคามเงียบเข้าปกคลุมที่เราสองคนรับรู้ได้ ผมไม่ได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็เช่นกัน

                ณ ร้านกาแฟดังแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากมหา’ลัยมากนัก แต่บรรยากาศกลับดีอย่างน่าเหลือเชื่อ ช่างแตกต่างจากสภาพอากาศเมืองกรุงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่อยู่ในเมืองกรุงแท้ๆ

                ผมกับคนข้างๆ กำลังนั่งรอของที่สั่งไว้ ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่เฉยๆ กำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นบ้าง อีกฝ่ายก็เลิกเล่นโทรศัพท์ในทันทีแล้วเงยหน้ามองมาที่ผม

                “เอ่อ” เสียงที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายทำให้ผมหลุดขำนิดๆ “ว่าแต่กูกับมึงก็รู้จักมึงมาสักพัก แล้วมึงชื่ออะไรวะ?” พูดจบอีกฝ่ายก็ส่งสายตาที่เค้นเอาคำตอบจากผม

                “ก่อนจะถามชื่อคนอื่น มึงควรบอกชื่อมึงมาก่อนนะ” ผมพูดบอกอีกฝ่ายเสียงเรียบแล้วส่งสายตากวนตีนให้อีกฝ่าย

                “ก็ได้” คนตรงข้ามตอบรับ “กูชื่ออาร์ม ซิ่วมาจากคณะบริหาร มหา’ลัยแห่งหนึ่ง ย่านบางเขน อาหารที่ชอบ : ข้าวขาหมู เครื่องดื่มที่ดื่มประจำ  :  เอสเพรสโซ่ งานอดิเรก :  นั่นแซวสาวไปวันๆ ส่วนสเป็กล่ะก็  : ขาว สวย หมวย อึ๋ม” ท่าทางของอีกฝ่ายบ่งบอกได้ชัดว่าภูมิใจกับประโยครองสุดท้ายเอามากๆ

                “นี่ถ้ามึงจะร่ายยาวขนาดนี้ เขียนเรียงความมาให้กูเลยมั้ย?” เสียงประชดของผมทำให้มันนั่งนิ่งอยู่ชั่วขณะ แล้วก็กลับมายิ้มอีกครั้ง เฮ้อ! ยิ้มบ่อยจังนะมึง เหงือกไม่แห้งบ้างหรอวะ?

                “เอามั้ยล่ะ?”

                “ไม่” ผมตอบกลับเสียงแข็ง

                “เอองั้นมึงก็บอกชื่อมึงมาได้แล้วมั้ง กูรอฟังอยู่เนี่ย!” เหมือนความอดทนของคนตรงหน้าจะมาถึงขีดสุด ถึงกับตะคอกประโยคสุดท้ายออกมาแบบนั้นออกมา

                พูดออกมาได้ไงว่ารอกู เห็นแต่นั่งส่งสายตาให้เด็กผู้หญิงในร้านอยู่รอมร่อ ทำเอาเด็กผู้หญิงพวกนั้นถึงกับหยิบยาดมยาหม่องขึ้นมาดมในทันที แล้วสูดหายใจเฮือกใหญ่ๆ เข้าไปในเต็มปอด  ราวกับว่าขาดออกซิเจนมาทั้งชีวิตอย่างไงอย่างนั้นเลย

                เกินไปว่ะ! ใครก็ได้ช่วยเรียกรถพยาบาลหน่อย

                “พูดแค่ครั้งเดียวนะ ถ้าไม่ตั้งใจฟัง ก็อย่ามาถามกูอีกนะ”

                “เออๆ”

                “กูชื่อเปอร์ ซิ่วมาจากคณะศิลปะศาสตร์ มหา’ลัยแห่งหนึ่งแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ อาหารที่ชอบ : ส้มตำ เครื่องดื่มที่ดื่มเป็นประจำ : นมสดปั่น งานอดิเรก : ดูหนัง ฟังเพลง แล้วก็นอน ส่วนสเป๊กก็ไม่มีหรอก ขอแค่เขาคนนั้นรักกูในตัวตนที่กูเป็นก็พอแล้ว”

                “ดราม่าไปอีก”

                “...”

                “มึงก็เหมือนกันแหละ” อีกฝ่ายย้อนคำ

                “แล้วไง” ผมยักคิ้วใส่

                “...” มันไม่ตอบอะไรเพราะดูเหมือนของที่สั่งไว้ จะมาเสิร์ฟแล้ว

                และแล้วของที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ โดยพนักงานหญิงที่เอาของหวานกับเครื่องดื่มมาเสิร์ฟนั้น มองไอ้หน้าหล่อตรงหน้าผมอย่างไม่กระพริบตา ผมก็ลอบมองปฏิกิริยาของเธอคนนั้นอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เฮ้อ กูนึกว่าจะมีอะไรซะอีก ในทำนองที่ว่า....

                แจกเบอร์ ขอเบอร์ ชวนคุยอะไรประมาณนี้ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะไม่เป็นอย่างที่คิด ว่าจะเอาไว้แซวไอ้คนตรงหน้านี่สักหน่อย

                “มึงเป็นคนเหนือหรอ?”

                หลักจากที่เงียบเพราะต่างคนก็ต่างลงมือกินของตรงหน้าอย่างไม่มีปริปากอะไรออกมาจะกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยถาม ท่าทางอีกฝ่าย ไม่สิ! ใช้คำว่ามันดีกว่า เพราะถึงขั้นขึ้นมึงกูขนาดนั้นแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ

                มันกำลังมองมาที่ผมตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่วางตา “กูก็ว่า ทำไมถึงตัวเล็กๆขาวๆ ที่จริงมาจากเหนือนี่เอง” คิดเองเออเองอีกแล้วนะมึง แต่ท่าทางมึงกลับดีใจอย่างปิดไม่มิดเลยนะ ก่อนจะหยิบกาแฟขึ้นมาดูดจ๊วบๆ มันก็นั่งยิ้มอีกรอบ

                “กูไม่ใช่คนเหนือ กูเป็นคนอีสาน” ผมยิ้มมุมปากตอบกลับเสียงเรียบ

                “ห๊ะ!” มันตกใจ อ้าปากค้างสักพัก ลูกตาแทบจะถลนออกมาทีเดียวที่พูดไว้ไม่ถูก

                “...”

                “จริงหรอวะ?” สงสัยอารมณ์ยังค้างอยู่ “แล้วมึงมีเชื้อสายจีนมั้ย?” ตามันจ้องมองผมแทบไม่กระพริบ นัยน์ตาที่มีความหวังว่าคำถามที่ถามเมื่อครู่นั้นจะถูกต้องตามที่ตัวเองหวัง

                “ไม่มีสายไรทั้งนั้นแหละ กูคนไทยแท้เว้ย”

                “จริงดิ เสียดายว่ะ” มันคอตกไปในทันที มองของหวานที่ไอศกรีมละลายลงมาจนถึงก้นจาน แล้วกลายเป็นของเหลวข้นไปแล้ว มันถอนหายใจออกมาหลายๆรอบ เฮ้อ!

                “จริงสิ แล้วมึงจะถอนหายใจออกมาทำไมตั้งหลายรอบ” คงเห็นผมจับผิดสังเกต เจ้าตัวก็เลยเงยหน้ามาทำสีหน้าปกติ หลังจากที่ตัวเองแน่นิ่งไปตั้งนาน ไม่นานก็กลับไปซึมอีก

                กูล่ะไม่เข้าใจมึงจริงจริ๊งงงงงง

                “ก็...กูเสียดายอ่ะ” พูดแล้วก็ทำหน้าเศร้าเหงาหงอย บูดเบี้ยวเหมือนหมาที่ตามหาเจ้านายไม่พบอย่างไงอย่างงั้นแหละ “กูอยากมีเพื่อนที่มาจากเชื้อสายจีนบ้างนิ” มันยังทำสีหน้าเหมือนเช่นเคย

                จะว่าไปมันก็ไม่เหมาะกับหน้าแบบนี้หรอก มันต้องยิ้มเท่านั้นถึงจะเป็นไอ้อาร์ม แต่จะให้กูเป็นเหมือนดั่งมึงว่าหรือไง? มึงถึงจะหายซึม แต่นั่นก็ไม่ใช่อีกแหละ

                “ถ้ากูไม่เป็นอย่างมึงว่า มึงก็จะไม่เป็นเพื่อนกูว่างั้น?” ผมถามกลับเสียงแข็ง

                “ก็ไม่ได้ว่างั้นสักหน่อย”

                “ก็ดี”

                “...”

                “คำว่าเพื่อนมันไม่ได้จำกัดแค่ที่ชาติกำเนิดหรอกนะเว้ย” มันอึ้ง “แต่มันอยู่ที่ว่า ใจมึงจะยอบรับเขาเป็นเพื่อนหรือป่าว”มันยังอึ้งอยู่ไปชั่วขณะ นิ่งค้างอยู่นาน ตาก็กระพริบปริมๆ ก่อนที่จะได้สติกลับมา หลังจากที่มาเรียกแล้วไม่ตอบ จึงจัดการใช้ฝ่ามืออรหันต์แม่งซะเลย 5555

                เป็นไงล่ะ! หน้ามึงมีรอยมือกูประทับอยู่ด้วย55555

                “เออ นั่นดิ” มันเกาหัวแครกๆ หลังจากที่ได้สติกลับคืนมาแล้ว “กูคงจะยึดติดกับพวกนั้นมากไป” มันเปรยคำออกแนวขอโทษ

                “ดีแล้ว” พูดจบ ผมก็จ้วงไปตัดไอศกรีมของมันที่ยังไม่ละลายมากินแบบหน้าตาเฉย ไม่ได้อนุญาตด้วยซ้ำ ก็เราสนิทกันแล้วนิ

                ของเพื่อนก็เหมือนของๆเรา มุกเสี่ยวแดกอีกและ...

                พอผมทำแบบนั้นมันก็ทำสีหน้าโกรธ หน้าแดงลามไปถึงใบหู ที่ไปกินไอศกรีมของโปรดของมัน ผมคิดว่ามันต้องเอาคืน จากนั้นจึงลงมือตักไอศกรีมเข้าปากอย่างเร็วพลางยักคิ้วลิ่วตากวนตีนใส่อีกฝ่ายไป มันก็ไม่ว่าอะไรนอกจากส่งสายตาพิฆาตที่เป็นนัยน์ๆว่า ‘ฝากไว้ก่อนเหอะมึง คราวหน้ามึงเสร็จกูแน่”

               
ไม่ต้องฝากไว้หรอก มาเอาตอนนี้ก็ยังได้ แต่ถ้าอยากฝากขนาดนั้นล่ะก็...
               
อย่าลืมทวงทีหลังล่ะ


TBC...

ติดตามกันไปเรื่อยๆนะ ติ ชมได้ตลอด คนเขียนจะได้มีกำลังใจ
ส่วนเรื่องพลังของนายเอกก็รอติดตามกันไปทุกตอนนะ
เพราะคนเขียนจะค่อยๆบอกใบ้ไปเรื่อยๆ ถึง 2 3 ตอนแรกจะยืดเยื้อไปบ้าง
เพราะเป็นการปูเนื้อเรื่องในตอนแรกๆ จะได้เข้าใจกัน ยังไงก็อยากให้ทุกคนรอติดตามตอนต่อไปนะครับ

อ่อ...ตอนหน้าต้องอ่านให้ดีๆอ่านให้เข้าใจนะครับ เพราะอาจมีสับสนกันบ้าง(ขนาดคนเขียนยังสับสนเลยนะ555)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2017 21:03:27 โดย Peppermint Choco »

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
«ตอบ #7 เมื่อ25-09-2017 02:44:55 »

รออ่านตอนต่ออยากรู้ว่าทำไมแม่ถึงแน่ใจว่าจะได้ทุน

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
«ตอบ #8 เมื่อ25-09-2017 13:25:00 »

เปอร์ อาร์ม เด็กซิ่วทั้งคู่
มาเจอกัน เป็นเพื่อนกัน
รอตอนต่อไปนะ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
«ตอบ #9 เมื่อ25-09-2017 21:02:28 »

ขอสารภาพว่าเราไม่ได้อ่านท่อนบนเลย แบบเป็นโรคแพ้บทบรรยายยาวๆ อ่ะ
มาเริ่มอ่านตอนแม่ขอให้เปอร์เรียนหมอละ ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ
แม่ก็มาทำดราม่าขอให้สอบหมอ คือถ้าเป็นความมุ่งมั่นร่วมกันของแม่+ลูกหรือครอบครัวแล้ว จริงๆ ก็ควรหยุดติวไปเลยทั้งปีสิ เหมือนคนเขียนจะพยายามสร้างปม เป็นไปได้ว่ามีใครสักคนในครอบครัวป่วยแต่ยังไม่อยากบอกเปอร์งี้เหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็น่าจะมาแนว "เปอร์ ลูกยังอยากเรียนหมออยู่ไหม พอดีมีสอบชิงทุน บลาบลาบลา" แต่นี่มาแบบเรียนหมอให้แม่ได้ไหม
คือแม่ก็น่าจะรู้นะว่านางอยากเรียนแต่สอบไม่ติด แล้วคนที่เรียนศิลป์มาทั้งปี แล้วจู่ๆ จะให้ไปสอบหมองี้เหรอ แล้วยังมีอีกหลายจุดที่สื่อออกมามันแปลกๆ แลผิดธรรมชาติอีก อาทิเช่น

อาร์มกับตรรกะแปลกๆ อยากมีเพื่อนเชื้อสายจีน เพื่อ?
เพื่อให้เปอร์ได้ทิ้งคำพูดคมๆ ไว้ตอนจบบทเหรอ จริงๆ ป้าว่าเชื้อสายไหยร้อยเปอร์เซ็นต์โดยไม่มีชาติอื่นปนนี่ เป็นไปได้ยากมากนะในยุคนี้ หรือยังไง แบบนี่คือความคิดของเด็กปีหนึ่งจะขึ้นปีสองแล้วนะ หรือว่าป้าแก่ไปละ เลยไม่เข้าใจความคิดเด็กวัยรุ่นหว่า :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
« ตอบ #9 เมื่อ: 25-09-2017 21:02:28 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
               
               หลังสอบ 2 วันที่ผ่านมา ไอ้อาร์มพาผมไปเที่ยวทุกวันหลังจากสอบเสร็จวิชาสุดท้ายของแต่ละวัน พาไปนั่นพาไปนี่บ้าง เยอะแยะเต็มไปหมด ทุกสถานที่ล้วนเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเจอะเจอที่ไหนมาก่อนในชีวิต ได้เห็นสิ่งดีงามและในทางตรงกันข้ามก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก

               มันถึงกลับลั่นวาจาออกมาว่า ‘นี่มึงไม่เคยมากรุงเทพใช่ป่ะ? กูว่าแล้วเชียว ทำไมสีหน้ามึงดูตื่นๆ เวลาที่ไปสถานที่แปลกๆ ไม่เป็นเป็นไร เดี๋ยวกูพาทัวร์เอง’

                พอพูดแบบนั้นจบ มันก็เอาแขนอันใหญ่บึ๊กที่เต็มไปด้วยกล้ามมัดและรอยเส้นเลือดปูดมาควงคอผม  แล้วพาเดินไป สีหน้าผมก็เหมือนที่มันพูดเอาไว้เป๊ะๆ ผมก็ไม่ว่าอะไรมันหรอก ก็คนมันไม่เคยเข้ามานิ จะแสดงสีหน้าแบบมันก็คงจะไม่ใช่

               สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ ผมก็ได้ไปเที่ยวนิดๆหน่อยๆ ตามเคยและคนที่พาไปเที่ยวก็ไอ้อาร์มนั่นแหละ ก่อนที่จะแวะไปส่งผม ไอ้อาร์มก็ได้แวะไปที่บ้านมันก่อน ผมก็นึกว่ามันลืมของไว้ แต่ที่ไหนได้! มันดันพาผมมาทำความรู้จักกับพ่อแม่ของมันซะอย่างงั้น เหมือนพาแฟนไปเปิดตัวกับญาติผู้ใหญ่เลยแฮะ มโนเกินไปแล้วกู

                ผมก้าวเท้าเข้าไปในบริเวณบ้านแบบกล้าๆกลัวๆ โดยมีไอ้อาร์มเดินนำหน้าในระยะที่ไม่ห่างมากนัก ไม่ใช่แค่เดินนำหน้าอย่างเดียวนะ! มันลากผมไปด้วยนี่สิ ลากตั้งแต่ลงมาจากที่จอดอยู่หน้าบ้านแล้ว ถึงผมจะโวยวายยังไงไอ้คนที่ลากผมมันก็ไม่หันมอง ปริปากเอ่ยเลยซักนิด สนใจทางข้างหน้าอย่างเดียว

                พอเดินเข้ามาในตัวบ้าน ผมก็ใช้สายตาสำรวจภายในบ้านทันที มันเป็นปฏิกิริยาอาการของการตื่นสถานที่ของผมด้วยแหละ

                โหหหห!!! กูว่าบ้านกูใหญ่แล้วนะ บ้านมันใหญ่กว่าอีก ทำเอาบ้านกูกลายเป็นเรือนเล็กไปเลย

                ในขณะที่ผมกวาดสายตาสำรวจ อ้าปากค้างอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ดังขึ้น ผมหยุดเดิน ชะงักอยู่กับที่กับสิ่งที่ได้ยินไปชั่วขณะ ไม้กล้าเดินต่อ ฝ่ายไอ้อาร์มมันเห็นผมยืนนิ่งแข็งตรงหน้า ก็สะกิดไหล่ข้างขวาพร้อมกับเดินเข้ามาถามประชิดตัวด้านหน้า

                “มึงเป็นอะไร? ทำไมยืนตัวแข็งแบบนี้?” พูดจบคนตรงหน้าพลางยื่นมือมาแตะหน้าผากผมทันที แต่ก่อนที่มือหนาจะแตะลงกับหน้าผาก ผมก็ใช้มือปัดมือหนานั่นออกไป แล้วเอ่ยตอบ

                “กูไม่ได้เป็นอะไร แล้วมึงจะมาแตะต้องตัวกูทำไม”

                “ทำไม? กูแตะไม่ได้หรือไง” อาร์มพูดพลางใช้สายตาหยอกล้อมาให้

                “...” พอไม่เห็นว่าผมจะตอบอะไร อีกกกฝ่ายจึงถามต่อในทันที

                “เก็บไว้ให้ใครไม่ทราบ?”

                “ก็...” ผมลากเสียงยาวเว้นช่องว่างไว้ตอบ “คนที่รัก”

                “แหมๆ” พูดจบไอ้อาร์มก็เขย่าไหล่ผมซะยกใหญ่

                “ก็เออน่ะสิ”

                แล้วเสียงแว่วๆนั่นก็ดังขึ้นอีก “นั่นเพื่อนลูกหรอ?อาร์ม” เสียงนั้นเป็นเสียงของแม่ไอ้อาร์ม ท่านดูตกใจไม่น้อย กับเพื่อนที่ลูกหัวแก้วหัวแหวนพามา

                ท่านอยู่ในชุดทำอาหารที่มีผ้ากันเปื้อนสวมอยู่ ดูแว็บเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังเตรียมอาหารเย็น เดี๋ยวนะ! บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่มีพ่อครัวล่ะ? แล้วแม่ไอ้อาร์มก็ปลดผ้ากันเปื้อนวางไว้ในครัว ก่อนที่จะเดินมาสมทบกับผมและไอ้อาร์ม

                “สวัสดีครับ ผมชื่อเปอร์ เป็นเพื่อนใหม่ของอาร์มครับ” ผมยกมือไหว้พลางพูดอย่างรวดเร็ว เร่งรัดกับคำพูดและกระชับได้ใจความมากที่สุด แล้วสบตากับหญิงวัยทองที่ยังคงสวยสง่าไม่สัมพันธ์กับอายุเลยสักนิด

                “ดีเลยจะ งั้นรอทานข้าวเย็นพร้อมกันนะ” แม่ไอ้อาร์มพูดพลางยิ้มไปด้วย มันช่างดูเหมาะกับใบหน้าของท่านยิ่งนัก ผมล่ะคิดถึงแม่จังเลย ถึงจะห่างจากแม่ไม่กี่วันมานี้ก็เถอะ

                “ห๊ะ!” เสียงอุทานถูกเปล่งออกมา ผมหันมองลูกชายของบ้านซึ่งยืนอยู่นิ่งๆข้างๆผม แล้วหันสบตากับผู้ให้กำเนิดไอ้อาร์ม กระพริบตา 2 ทีด้วยความเข้าใจผิด คิดในใจแม่คงล้อเล่นแน่เลย แต่เปล่าเลย! แม่ไอ้อาร์มกลับยิ้มให้ไม่มีท่าทีว่าจะรังเกียจคนที่เป็นแขกอย่างผมเลยซักนิด แต่เพราะความเกรงใจท่าน ซึ่งคนอย่างผมจะถือคติเรื่องนี้เป็นเอามาก จึงอยากจะตอบปฏิเสธแล้วจะได้กลับโรงแรมเสียที

                ในขณะเดียวกันนั้น ก่อนที่ผมจะตอบปฏิเสธกลับไป ไอ้ลูกชายตัวดีของคนตรงหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ตั้งแต่เริ่มสนทนา มันก็กระทุ้งสีข้างผมทันที ทำให้ผมสะดุ้งแล้วแอ่นตัวไปทางซ้าย ก่อนคนข้างๆจะส่งสายตามาให้ตามลำดับ

                 เหมือนจะบอกว่า ‘ห้ามปฏิเสธแม่กูเชียว ไม่งั้นมึงกูตาย’ พร้อมกับยักคิ้วลิ่วตามาให้อีกต่างหาก แถมเท้ามันก็ยังเหยียบปลายเท้าผมพลางบังคับในสิ่งที่ผมรับรู้

                  ที่รู้อย่างนั้นน่ะ เพราะผมเดาสายตาคนเก่ง แต่ดันเดาใจคนไม่ออกเลยสักนิด ใจคนมันเข้าใจยากนัก ซับซ้อนยิ่งกว่าความลับไหนๆซะอีก

                “ครับ” ผมตอบกลับคำเดียว เหลียวมองไอ้คนที่เหยียบเท้าที่ทำให้ผมต้องพูดคำนี้ พร้อมส่งสายตาหมั่นไส้ไปให้ แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับด้วยยิ้มที่กวนตีนประสาท โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่น้อย

                ผมออกมานั่งเอามือประสานกันรอข้างนอกบ้าน ซึ่งบริเวณนี้เป็นสวนหย่อมที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป เวลาที่มองทีไรทำให้ผมผ่อนคลายไปเปราะหนึ่ง คิดอะไรเรื่อยเปื่อยในการไปเรียนทำเบเกอรี่ แต่ก็อย่างว่าแหละ! อยากคิดเรื่องนั้น แต่ทำไมถึงคิดแต่เรื่องที่เป็นอยู่ตอนนี้วะ? เฮ้อ!

                 และในขณะนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น หลังจากเสียงได้ดังหายไป แล้วเสียงฝีเท้าของใครบางคนก็เข้ามาแทนที่ จากนั้นเจ้าของเสียงนั้นก็นั่งลงข้างๆผม พอหันไปมองด้านข้างก็เห็นว่ามีใครมานั่งซึ่งนั่นก็คือไอ้อาร์ม สายตาอีกฝ่ายไม่ไดมองมาที่ผมหรอก มันมองไปทางอื่น ไม่รู้ว่าหันบ่อยแค่ไหน หันไปมองทางโน้นบ้าง ทางนั้นบ้าง แต่ไม่ได้มองมาที่ผม

                 ผมจึงละสายตาจากคนข้างๆ กลับเข้าสู่ความคิดที่ยังค้างคาในหัวสมองอีกครั้ง

                จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น “มึงไม่เกร็งขนาดนั้นก็ได้เว้ย พ่อกับแม่กูไม่ได้น่ากลัวอย่างที่มึงคิดหรอกนะ” พูดจบอีกฝ่ายก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ผมหันมองอีกฝ่ายด้วยความสูงที่ต่างกันมากโข ขนาดยืนคู่กันผมแทบจะเป็นหลักกิโลเมตร แต่นี่มึงยืนแล้วกูนั่ง ไม่ต้องพูดถึงเลย ยิ่งกว่าหลักกิโลเมตรก็เสาเข็มนี่แหละ

                 เจ็บใจ!!!

                อีกฝ่ายหันมอง แล้วพูดประโยคถัดมาเพื่อให้ผมสบายใจขึ้น

                “อย่าคิดมาก ไปกินข้าวได้แล้ว พ่อแม่กูให้มาตาม” พูดจบไอ้อาร์มก็ตบไหล่สองทีเพื่อให้กำลังใจ เหมือนเสียมารยาทกับเจ้าของบ้านไปยกใหญ่เลยที่ให้มาตามถึงที่แบบนี้ มิหนำซ้ำยังให้รออีกต่างหาก

                 แต่จะไม่ให้เกร็งตัว เกรงใจ คงเป็นไม่ได้หรอก ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่มันมีกำแพงกั้นที่แบ่งความ...ไว้อยู่

                  “เออๆ” ตอบกลับเสียงเรียบ

                 “แล้วอีกอย่างนะ” มันชะงักรอพูดประโยคที่สอง แล้วหันมามองผมก่อนจะพูดต่อ “อย่ามโน!” พูดจบก็ส่งยิ้มตาหยีแล้ววิ่งเข้าไปในบ้านก่อนจะถูกผมไล่เตะ

                อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผมลึกขึ้นจากม้านั่งไม้ สลักความคิด ความเกร็งออกจากตัว สูดเอาอากาศเข้าไปเต็มปอดแล้วถอนหายใจออกอย่างช้าๆ พลางตั้งสติก่อนจะเดินตรงเข้าไปในตัวบ้าน มุ่งตรงไปห้องรับประทานอาหารในทันที

                  ภาพที่เห็นคือ ครอบครัวๆหนึ่งที่อบอุ่นน่าดู มีครบทั้งพ่อ แม่ น้องสาว และตัวไอ้อาร์ม ผมหยุดเดินและยืนดู เห็นแบบนั้นผมก็ยิ้มออกมาทันที พวกเขากำลังคุยกันอย่างสนุกสนานตามประสาครอบครัวทั่วๆไป ไอ้อาร์มมีหน้าค่าตาเหมือนพ่อเป๊ะ อย่างกับถอดแบบมาเลย ยกเว้นก็ตรงที่พ่อไอ้อาร์มจะล่ำกว่าและสูงกว่าเล็กน้อย น่าจะเป็นผู้บัญชาการตำรวจล่ะมั้งเท่าที่คิดไว้ตอนนี้

               ส่วนแม่ก็ยังสวยสาวเหมือนเพิ่งอายุเข้าเลข 30 ถึงจะมีริ้วรอยไปบ้าง แต่ก็ยังสวยอยู่ดี  อาจจะสง่างามไปทั้งตัวและจิตใจก็เป็นได้

                 จากนั้นจึงตัดสินใจเดินไปสมทบกับทุกคนในนั้น

                 “ขอโทษครับ ที่ทำให้ทุกคนต้องรอ” ผมเดินเข้าไปพูดขัดวงสนทนาของไอ้อาร์มและน้องสาว จะเรียกว่าเถียงแข่งกันก็ได้ พลางก้มโค้งขอโทษผู้ใหญ่ทั้งสอง

                  “ไม่เป็นไรจะ” คนเป็นแม่เอ่ย “เข้ามานั่งก่อนสิจ๊ะ” พลางใช้มือบอกตำแหน่งเก้าอี้ข้างๆไอ้อาร์ม

                  “ครับ” ผมโค้งขอบคุณตอบ ก่อนจะขยับเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง

                  บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารหลากหลายอย่าง มีครบทุกอย่างทั้งทอด แกง ต้ม ผัด สารพัดอาหาร เป็นอาหารไทยที่ทุกคนรู้จักดี จัดเต็มขนาดนี้คงไม่ใช่เพราะลูกชายพาเพื่อนมาที่บ้านหรอกนะ คิดในใจได้สักพัก เสียงของพ่อ ไอ้อาร์มที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็ดังขึ้นขัดความคิดผม

                “งั้นเรามาเริ่มทานอาหารดีกว่า” พ่อดูตื่นเต้นในการทานอาหารมื้อนี้เป็นอย่างมากที่ได้สมาชิกอีกคนมาร่วมทานอาหาร

                หลังจากที่ได้รับสัญญาณจากพ่อไอ้อาร์ม ทุกคนรวมทั้งผมก็ลงมือทานอาหารบนโต๊ะอย่างเอร็ดอร่อย ฝีมือการลงมือทำอาหารเองของแม่ไอ้อาร์มดีมากเลย รอยยิ้มของทุกคนบนโต๊ะบ่งบอกถึงรสชาติได้ดี ทุกอย่างบนโต๊ะเต็มไปด้วยอารมณ์เบิกบานที่แต่ละคนส่งให้กันและกัน

                 มันช่างมีความสุขอะไรอย่างนี้ จะหาได้จากที่ไหนบ้างนะ ถ้าไม่ใช่ครอบครัวของผมเอง

                ท่านถามสารทุกข์สุกดิบ ถามหลายอย่าง พูดคุยกัน แต่ยังดีที่พ่อแม่ไอ้อาร์มเป็นกันเองเอามาก ท่านไม่ว่าอะไรด้วยซ้ำที่ผมกับไอ้อาร์มคุยเรื่องที่ไม่ควรเล่าบนโต๊ะอาหาร พร้อมกับทำหน้าบอกเป็นนัยน์อีกว่า ‘ไม่ต้องคิดมาก’ ท่านคงกลัวว่าผมจะนั่งเกร็ง ไม่พูดอะไรบนโต๊ะอาหารเหมือนก้อนหินโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

                การคุยกันแบบนี้ทำให้ผมลดความเกร็งไปได้อย่างมาก จึงกล้าถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับผู้ใหญ่ทั้งสองท่านไปบ้าง

               พ่อกับแม่ไอ้อาร์มคุยเก่งมากครับ ไม่แปลกเลยที่คนเป็นลูกที่จะได้การพูดการจาแบบนี้มาจากผู้เป็นพ่อแม่มาติดๆ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ

                 พวกเราก็คุยกกันไปเรื่อยๆ นานสองนานเลยล่ะ ผมก็เล่าเรื่องครอบครัวบ้าง เรื่องเรียนบ้างและอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเหมือนกับแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันได้ปรึกษาพวกท่านไปในตัวด้วย

                  หลังจากนั้นผมจึงลากลับที่โรงแรม เพื่อเตรียมตัวเก็บของไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้านในวันพรุ่งนี้

                  ถ้าจะได้เข้ามาที่นี่อีก คงจะเป็นตอนมาสัมภาษณ์และรายงานตัวล่ะมั้ง

                  ก่อนจะจากกันผมกับไอ้อาร์มเราก็แลกเบอร์กันเพื่อใช้ติดต่อกัน

                อันที่จริงเราคงไม่ได้เรียนคณะเดียวกันหรอก เพราะผมกับมันเลือกคนละคณะ มันเลือกวิศวะ ส่วนผมเลือกแพทย์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันสักทีเดียว

                วันเวลาแห่งการรอคอยผลการสอบช่างยาวนานราวกับว่าไม่สามารถระบุได้ การรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมเป็นแบบนี้เสมอ อยู่บ้านผมก็ไม่ได้ทำอะไรหรอก นอกจากนั่งๆนอนๆ ไม่อยากให้ใครเข้ามาเห็นในสภาพแบบนี้เลย ผมกระเซอะกระเซิงชี้รุงรัง ขี้ตาที่ทั้งแข็งและไม่แข็งก็ยังปรากฏให้เห็น ไหนจะคราบน้ำลายอีก

                 อากาศข้างนอกโคตรร้อนเลย ไม่อยากออกไปไหนเลย ถ้าไม่ใช่ที่เย็นสบายหูสบายตา จะออกไปช่วยแม่ที่ไร่ผลไม้แต่ก็ถูกสั่งห้าม

                  แต่ก็ช่างเถอะ!

                ผมก็ไม่ได้ขยันขนาดนั้น กลัวผิวคล้ำด้วยแหละ กว่าจะขาวเนียนอมชมพูแบบนี้ได้ มันยากกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขาเสียอีก เพราะฉะนั้นตอนนี้  ก็พักอยู่บ้านในตัวเมืองที่ไม่ใช่บ้านสวนที่มีไร่ผลไม้หลากหลาย เพราะที่มีแอร์ เย็นสบายด้วย เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างมาก นอนเล่นโซเชียลไปเรื่อย นั่งเขี่ยโทรศัพท์ไปอย่างเพลินๆ จนกระทั่งได้ยินเสียงข้อความจากแอปไลน์ดังขึ้น ปรากฏอยู่บนแถบแจ้งเตือน ผมรีบกดเข้าดูในทันที



เปอร์

มึงรู้ผลสอบยัง
ยัง

มึงรู้แล้วหรอ?

ออกพรุ่งนี้ไม่ใช่หรอวะ

รู้แล้ว

ก็เขาเปลี่ยนกำหนดการอ่ะ

มึงรีบเข้าไปดูเลย

แล้วอย่าลืมทักมาบอกกูล่ะ
เออๆ



                ผมปลีกเวลาออกจากโทรศัพท์ เดินไปเปิดแล็ปท็อปที่ถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานที่อยู่อีกฝากของห้อง พอเปิดแล็ปท็อปเท่านั้นแหละ เสียงข้อความจากโซเชียลต่างก็ประดังแข่งกันเข่ามาราวกับห่าฝน ผมกลัวอยู่ว่าแล็ปท็อปสุดที่รักจะค้างหรือเปล่า?

                   เบื่อหน่ายกับข้อความที่เข้ามาแบบนี้แทบทุกวัน คงหนีไม่พ้นพวกที่ส่งข้อความมาตามจีบแหงๆ จะให้ตอบทุกข้อความผมได้อกแตกตาก่อนพอดี พอเห็นแบบนั้นผมก็เปิดแท็ปใหม่ทันที เพื่อเปิดเข้าเว็บไซต์ของมหา’ลัย กดใส่รหัส พาสเวิร์ดเรียบร้อย แล้วก็เข้าดูรายชื่อเรื่อยๆ เลื่อนไปเลื่อนมา แล้วก็เจอสิ่งที่ตามหาที่ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ที่สอบผ่าน

                    เย้! สอบติดแพทย์แล้ว

                    อยู่ในอันดับหนึ่งของคณะแพทย์ซะด้วย

                 อยากจะกรี๊ดดดดดังๆ ให้มันไปถึงดาวอังคารแม่งเลยว่าผมสอบผ่านแล้ว คนแรกที่ผมจะบอกให้รู้คือแม่ เพราะมีแม่ ผมถึงได้มาถึงจุดที่ตัวเองไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นจริงด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีแม่ ผมคงเรียนภาษาตามยถากรรมนั่นแหละ

                ผมรีบวิ่งลงจากห้องทีนทีที่รู้ผล เสียงบันไดดัง ตึ้งๆตั้งๆ ส่งเสียงรบกวนคนที่อยู่ข้างล่างเป็นอย่างมาก ทำให้ผมถูกติเตือนในเวลาต่อมา

                การขับรถไปบ้านสวนเป็นสิ่งที่ผมหวังเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ถูกสั่งห้ามไว้ ผมคงอยู่ที่นี่ตลอดแหละ การรู้ผลสอบทำให้ผมรีบขับรถไปบ้านสวนเพื่อนำข่าวดีไปบอกผู้เป็นแม่ ไม่ถึง 1 ชม.ก็ถึงที่หมาย เห็นแม่อยู่ระเบียงหลังบ้าน จึงรีบวิ่งไปเข้าไปหาและโผเข้ากอดแม่แล้วร้องไห้โฮ แม่ดูตกใจไม่น้อยที่ผมเข้ากอดโดยไม่ได้ตั้งตัว ไม่รู้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า จึงเอ่ยถาม ก่อนจะผละออก

               “เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ยลูกคนนี้” แม่เอ่ยถาม “ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ ผู้ชายคนไหนทำให้ลูกของแม่ร้องไห้แบบนี้” พูดจบพลางใช้นิ้วหัวแม่มือปาดน้ำตาที่ไหลไม่หยุดออกให้ผม แล้วจ้องมองผมเขม็งราวกับคาดคั้นจะเอาคำตอบนี้ให้ได้

              แม่ไม่คิดบ้างหรอว่า อาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้ ส่วนไอ้เรื่องผู้ชายที่เข้ามาหาผมน่ะ มันมีมาตั้งแต่ตอนมัธยมแล้วล่ะ จนผมเริ่มจะชินกับมันซะแล้ว แต่ก็ไม่ได้เลือกใครมาไว้ในใจเลยสักคน แค่คุยด้วยเฉยๆ เพราะเป็นแบบนี้ล่ะมั้ง แม่ถึงปักใจว่าผมน่าจะชอบผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง

               ผมเงยหน้าขึ้นสบตาผู้ให้กำเนิด ท่าทางของแม่ดูสบายใจขึ้นมาไม่น้อยหลังจากได้สังเกตนัยน์ตาผม คงจะรู้แล้วล่ะว่าผมจะบอกเรื่องอะไรให้ฟัง แต่ก็ยังรอฟังคำตอบจากผม

               “แม่” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดแหบจากการร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อครู่ “เปอร์ติดแพทย์แล้วแม่ เปอร์สอบติดแพทย์แล้ว” เสียงในประโยคแรกที่ว่าดังฟังชัดมากแล้ว เสียงในประโยคที่สองยิ่งมีสปีริตมากกว่า ผมร้องบอกด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปความดีใจที่สุดในตอนนั้น ดีใจที่สุดจึงไม่อาจจะข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ จึงปล่อยมันออกมาซะแบบนั้นเลย

ก่อนที่จะกระโดดกอดแม่อีกครั้ง ครั้งนี้ผมกอดแน่นกว่าเดิม แม่ก็กอดผมกลับ แต่เราของแม่มีแรงมากกว่าผม จึงทำให้ผมหายใจไม่ออกและผมก็เป็นคนผละออกจากอ้อมกอดที่อบอุ่นนั้นด้วยตนเอง แล้วเล่ารายละเอียดให้แม่ฟังในเวลาถัดมา   

อ้อมกอดแบบนี้ไม่รู้จะมีอีกสักกี่คน ที่จะทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้อีกครั้ง

                   ดีใจที่เราจะได้เรียนในสิ่งที่อยากจะเป็น และจะได้ต่อยอดสิ่งที่เกี่ยวกับพลังของผม อาจจะทำให้ได้ไขความลับของพลังนี้ออกก็ได้

                   หลังจากคุยกับแม่เสร็จสัพเรียบร้อย แม่จึงไล่ผมไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปซื้อของมาทำอาหาร ทำเมนูต่างๆในคืนนี้ ฉลองให้กับลูกคนนี้สอบติดคณะแพทย์ทั้งที ก่อนจะขับรถกลับบ้านในตัวเมือง โดยที่ผมไม่ลืมที่จะแจ้งข่าวดีให้เพื่อนใหม่ทราบ

ในแอปไลน์

มึง

               
ไร

ผมยังไม่ได้ประโยคถัดไปด้วยซ้ำ ไอ้อาร์มก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนอย่างรวดเร็ว

กูติดแล้วว่ะ

               
ฮะ!
ไม่ต้องเดาสีหน้าไอ้อาร์ม ผมก็รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เวลาที่มันตกใจ

               
ติดแพทย์ใช่ป่ะ?

เออ

ก็กูลงแพทย์ไว้

มึงจะให้กูติดบริหารหรือไง

ไอ้สาดดดด

               
คร้าบบ ค้าบบบ

ผมล่ะอยากได้ยินเสียงนี้ตอนมันพูดคำๆนี้ซะเหลือเกินว่าจะเป็นยังไง ก็จะมีไม่กี่คนที่จะได้ยิน
             
ง่วงว่ะ
ง่วงก็นอนดิ

จะบอกกูทำเพื่อ!!!

               
เออๆ

               
กูนอนละ

เออๆ

นอนแล้วก็ตื่นมาอีกล่ะ

ไอ้สาดดดด

555555



                จากนั้นปลายสายจึงตัดไป ส่วนผมก็ล้มพิงกับโซฟาอันแสนนุ่มในระหว่างที่รอแม่อาบน้ำ แต่งตัว เพื่อไปซื้อของมาทำกับข้าวใช้ในงานฉลอง


มีต่อนะ...

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

               วันสัมภาษณ์

               วันนี้ผมลงทุนแต่งองค์ทรงเครื่องเป็นอีกแบบที่ต่างจากตัวตนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ราวกับลบตัวตนในปัจจุบันทิ้งไปแล้วหยิบตัวตนใหม่มาสวมใส่แทน ไม่มีใครจำได้หรอกว่าผมคือเปอร์คนนั้น มีแต่ที่เห็นเป็นอีกอย่างเท่านั้น จนกว่าจะถึงเวลานั้น จนกว่าจะได้รู้สิ่งที่ค้างคาในใจ ผมจะไม่ถอดบุคลิกนี้เด็ดขาด(ถ้าไม่จำเป็นอ่ะนะ) ถึงในภายหลังจะทำให้คนรอบข้างรังเกียจผมก็ตาม ผมก็จะยอมรับมันด้วยใจที่ยึดมั่นในความเชื่อนี้

               ผมเดินขึ้นไปบนชั้น 2 ของอาคารแล้วเดินไปตามระเบียงพลางสายตาก็จับจ้องกับแผนที่ห้องสอบสัมภาษณ์บนมือสลับกับลอบมองหมายเลขเลขห้อง จนกระทั่งถึงบริเวณที่มีคนประมาณ 10 คนนั่งรออยู่หน้าห้องที่เป็นหมายเลขห้องสอบที่ผมจะต้องสอบ

                เสียงดังเอะอะ ดังไม่ไกลจากที่ผมยืนอยู่ เสียงนั้นมาจากผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่นั่งจับกลุ่มกันเม้าท์มอยเรื่องต่างๆ นานา ซึ่งกลุ่มนี้มี 4 คน ผู้หญิงที่มีรูปร่างอ้วน ท้วม หุ่นดี และผอมตามลำดับ

                 คิดในใจอยู่ว่า ‘จะเดินเข้าไปคุยด้วยหรือเปล่าน๊า’ ผมว่าคนพวกนั้นเขามีนิสัยแบบหนึ่งที่เหมือนกับผม คือ...

                 ชอบเม้าท์มอยเรื่องชาวบ้าน หรือจะพูดให้ถูกคือ นินทานั่นเอง

                 ยืนคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจทำใจดีสู้เสือเข้าไว้ บอกกับตัวเองขณะเดินไปยังกลุ่มที่ว่านั้นและหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขา ทำให้กลุ่มผู้หญิงพวกนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผู้มาเยือน สังเกตผมอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนที่จะพูดทักทายผม

                 “หวัดดี แกชื่ออะไร ฉันชื่ออัง” ดูท่าคนที่พูดจะรู้จุดประสงค์ที่ผมเข้าหา “ส่วนพวกที่เหลือชื่อ ชาม ทราย และแพร” อังไล่ชื่อจากขวามือไปทางซ้ายมือตามลำดับ ทุกคนในนั้นต่างก็ส่งยิ้มมาให้ผมทั้งนั้น ดูไม่รังเกียจผมแม้แต่น้อย

                 ตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายไปบ้างแล้ว กับเรื่องที่กังวลเมื่อครู่ ก่อนจะนั่งลงแล้วกล่าวทักทายเพื่อนใหม่

                 “ฉันชื่อเปอร์ มาจากร้อยเอ็ด” ผมเอ่ยแนะนำตัว

                 “แอลเอ” พวกนั้นตะโกนชื่อจังหวัดที่ผมอาศัยอยู่ออกมาพร้อมๆกัน

                 “แล้วพวกมึงล่ะ มาจากไหนกัน” ผมเอ่ยถามทุกคนในกลุ่มได้ไม่ทันไร ก่อนจะทำสีหน้าตกใจพลางยกมือข้างถนัดขึ้นมาปิดปากกับสิ่งที่พูดออกไปเมื่อครู่

                  “...”

                  “โทษที พอดีเราชินกับคำพวกนี้ไปหน่อย ก็เลยเผลอพูดออกมาน่ะ” ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม สีหน้าของพวกนั้นไม่ติดใจเอาเรื่อง แต่งงนิดหน่อย

                  “ไม่เป็นไรหรอกมึง” แพรเอ่ย “เรียกกูมึงนั่นแหละ จะได้สนิทกันเร็วๆ” แพรพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะหันไปหาเพื่อนที่เหลืออีก 3 คน ทุกคนต่างก็ผงกศีรษะรับทำนองว่า ‘ว่าไงก็ว่าตามกัน’

                  จากนั้นผมจึงได้เข้าร่วมการสาธยายเรื่องที่คนในกลุ่มค้างคาไว้ เพื่อรอเวลาเข้าสอบสัมภาษณ์ พวกนั้นเล่าว่าตัวเองไม่ใช่คนกรุงเทพทุกคนหรอก ยกเว้น ทราย ที่เหลือก็...อัง มาจากสมุทรปราการ แพรมาจากปทุมธานี ชามมาจากสมุทรสาคร มาคนละทิศคนละทางเลย เวลาไปเยี่ยมพ่อแม่เพื่อนก็ถือโอกาสเที่ยวแบบไม่ซ้ำกันเลย

                   “นักเรียน” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น พร้อมกับย่างเท้าเข้ามาใกล้ห้องที่เรารออยู่ “เข้าห้องสอบได้แล้วค่ะ จะเริ่มสอบสัมภาษณ์แล้วค่ะ” ครูพูดกับทุกคนที่นั่งรออยู่หน้าห้อง ก่อนจะชี้นิ้วบอกว่า ‘ไปรออีกห้อง’ แล้วสาวเท้าเข้าอีกห้องที่เป็นห้องสัมภาษณ์

                   “อ้าว! ห้องที่เรารอไม่ใช่ห้องสัมภาษณ์หรอกหรอวะ?” ผมขมวดคิ้ว ทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผากราวกับคลื่นทะเลที่หยุดนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

                   เพิ่งมารู้ทีหลังว่า ‘ห้องที่เรานั่งรอกันข้างหน้าเป็นห้องสัมภาษณ์ก็จริง แต่ที่อาจารย์ชี้บอกนั้นเป็นห้องรวมนักเรียนที่ผ่านการสอบ โดยมีอยู่ด้วยกัน 3 คณะที่ห้องห้องนี้เหมือนพวกเรา ได้แก่ แพทย์ ทันตะ และเภสัช’

                   ผมยังแอบสงสัยอยู่เลย ‘ทำไมเด็กในเมืองกรุงมันหน้าตาดีจัง กินอะไรวะ ทำยังไงถึงจะเป็นแบบทุกวันนี้’

                   จากที่เล่าไปคร่าวๆ พอละสายตาจากการสำรวจคณะอื่น ผมก็หันมาคุยกับเพื่อนใหม่ทั้ง 4 คน เราคุยกันอย่างออกรสออกท่า โดยมาสนใจคนที่อยู่ในห้องนั้น แต่ดูเหมือนพวกเราจะเสียงดังจริงๆ เพราะคนในห้องต่างก็หันมามองเราอยู่เรื่อยๆ ที่มีเสียงดังดังขึ้น ก่อนที่ใครบางคนจะลุกตะโกนขึ้น

                  “เฮ้ย!” เสียงจากชายนิรนามตวาดดังลั่นทั่วห้อง ส่งผลให้ทุกคนต่างหันมองที่ต้นเสียง พวกเราก็เช่นกัน ทุกอย่างในห้องเงียบกริบไม่มีแม้แต่เสียงหลุดออกมาให้ได้ยิน ที่จะได้ยินก็มีแค่เสียงลมหายใจของคนข้างๆเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากบรรยากาศเมื่อครู่ราวกับอยู่คนละโลก แต่ชายคนนั้นก็ไม่ได้เดินมาทางพวกเราสุมหัวกัน

                  ถ้าจำไม่ผิดแถวนั้นน่าจะเป็นเด็กทันตะ”เงียบๆ กันหน่อยดิวะ เพื่อนๆเขาต้องการสมาธิ ไม่เห็นหรือไง?” จากที่เงียบกับการตะโกนครั้งแรกเขาก็พูดต่อ  เสียงตะคอกที่ดูน่ากลัวบวกกับสีหน้าที่ส่งมาทางพวกเราเด่นชัดจนต้องขนลุกไปตามๆกัน ท่าทางเขาคงไม่โมโหไม่น้อย จ้องมาทางพวกเราตาแทบไม่กระพริบ

                  ผมว่าคนที่ตะโกนว่าพวกผม ต้องเป็นลูกคุณตีนแดงแน่

                 หลังจากที่ถูกว่ากล่าว พวกเราก็ไม่ได้สำนึกผิดแม้แต่น้อย ยังคุยกันเหมือนเดิม หากแต่ลดระดับเสียงลงเท่านั้น แทบจะกระซิบกันก็ว่าได้ มันน่าหัวเราะก็ตรงที่...พวกเราเลือกที่จะใช้ภาษาปาก อย่าคิดลึกล่ะ! พูดแบบขยับปาก แต่ไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมาให้ได้ยินก็แค่นั้น

                 เวลาผ่านไป พวกเราแต่ละคนในกลุ่มต่างก็ทยอยออกไปสอบสัมภาษณ์จนเกือบหมด เหลือแค่ผมคนเดียว (คนที่เข้าสอบสัมภาษณ์คณะแพทย์มี 10 และผมเป็นที่ 10 ) และแล้วก็มีคนมาเรียกให้เข้าสัมภาษณ์
 


*******************************************************************************************************************************




                    ตอนสัมภาษณ์

                ผมนั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้สัมภาษณ์ได้ไม่ทันไร อาจารย์ก็ส่งความกดดันมาให้ผมทันทีที่นั่งลงเก้าอี้ คงจะเป็นท่าทางและสีหน้าของอาจารย์ที่แสดงออกให้ผมเห็นล่ะมั้ง ผมจึงนั่งเกร็งอยู่ ณ ตอนนี้ มันไม่เหมือนตอนที่ไปบ้านไอ้อาร์ม มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ก่อนจะยื่นพอร์ทฟอลิโอ้ให้อาจารย์ไป อาจารย์รับมัน เปิดดูหน้าสองหน้าและจ้องหน้าผมอยู่สักพัก ก่อนจะอ้าปากถามคำถามออกมา

                “ทำไมคุณถึงซิ่วมาเรียนแพทย์” อาจารย์เอ่ยถามอย่างชั่งใจ สายตาก็จ้องมองมองอย่างไม่วางตา

                คำถามที่ทำให้ผมหยุดชะงัก ไตร่ตรองสิ่งที่จะพูดออกมา เหงื่อก็เริ่มผุดทั้งที่อากาศในห้องไม่ได้ร้อนแม้แต่น้อย สูดลมหายใจเข้าและถอนออกมาแล้วเอ่ยตอบ...



********************************************************************************************************************************




                   หลังสอบสัมภาษณ์

                ผมเดินคอตกออกจากห้องกับสีหน้าที่บ่งบอกถึงความผิดหวัง ราวกับน้ำตากำลังจะล่วงล่น เข่าแทบทรุดลงกับพื้นตรงหน้า ในขณะเดียวกันเพื่อนใหม่ที่รออยู่หน้าห้อง ต่างก็เดินเข้ามาปลอบประโลมทันทีที่เห็นสีหน้าผมที่เดินออกจากห้อง พวกเขาเข้าใจความรู้สึกตอนนี้ว่าเป็นยังไง เวลาที่เราผิดหวังกับสิ่งที่เรามั่นใจ ผลลัพธ์ที่ออกมาทำได้ไม่ดีพอ มันทำให้เราหมดแรงที่จะเดินต่อ

                พวกนั้นเข้ากอดผมพลางใช้มือประโลมศีรษะเบาๆ น้ำตาที่บังคับไม่ให้ไหลก็ทะลักออกมาอย่างฝืนไม่ได้ พวกเขารับรู้ได้จึงอยากจะทำในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ถึงจะยังไม่สนิทกันเท่าไหร่ก็ตาม แต่ยังไงเพื่อนก็คือเพื่อนทั้งที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชม.

               รู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูกที่เพื่อนใหม่ทำแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่คิดหรอกว่าจะได้เป็นเพื่อนกัน คิดอยู่ว่าแค่เรียนให้จบก็พอ ส่วนเรื่องเพื่อนก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่ตอนนี้ผมคิดแล้วล่ะว่าเพื่อนใหม่พวกนี้จำเป็นสำหรับผม



‘ผมจะไม่ทิ้งคนที่คอยอยู่ด้วนกันยามทุกข์แน่นอน’


                  แต่ผมจะทำเหมือนที่คิดได้หรือเปล่า? ก็ต้องดูกันไปเรื่อยๆ เหมือนกัน ถ้าลางสังหรณ์ผมไม่คิด ผมว่าคนเหล่านี้แหละคือ ‘เพื่อนตาย’

                  “ไม่เป็นไรนะมึง” เสียงชามปลอบประโลมพร้อมกับลูบศีรษะเบาๆ เพื่อให้หายกังวล “ไม่ต้องกังวลหรอก ยังไงก็ได้อยู่ล่ะ อาจารย์เขาแค่อยากรู้ความคิดของเราแค่นั้นเอง อย่าคิดมากน่ะ” เป็นอีกครั้งที่ชามลูบศีรษะไม่ให้กังวลเหมือนเด็กขี้แยเลยว่ะกู

                   “มึงรู้ได้ไง?” ผมผละจากการเกาะกุมของร่างท้วมพลางใช้ฝ่ามือเชิดน้ำตาออกให้หมดจรด

                   “นี่มึงไม่รู้หรือไง?” คนตรงหน้าเอ่ยอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม

                   “รู้อะไร” ยังคงสงสัยกับสิ่งที่คนตรงหน้าพูด

                   “ก็เรื่องสอบสัมภาษณ์นั่นแหละ เขาเลือกพวกเรามา 10 คนพอดี ไม่ได้เลือกมาเผื่อหรือเกิน” ชามชี้แจงที่จะทำให้ผมหมดข้อสงสัย “แล้วอีกอย่างนะ เขารับ 10 คน พวกเรามา 10 คน แล้วทำไมมึงถึงจะไม่ได้ล่ะจริง? จริงมั้ย?”

                   “เออ จริงด้วยวะ กูลืมไปได้ไงเนี่ย” ผมทำหน้าอ๋อทันทีที่ได้รู้ พอพูดจบผมก็ใช้ฝ่ามือคลึงที่ศีรษะพลางส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่ลืมไปซะสนิทและเพื่อเตือนตัวเองอีกหน

                   “งั้นพวกเราไปเที่ยวกันดีกว่ามั้ย? ฉลองให้กับเพื่อนใหม่ทุกคนในกลุ่ม” แพรเอ่ยตัดบทแถมยังเอ่ยชักชวนอีกต่างหาก

                   “จะได้อีเปอร์ไปเปิดหูเปิดตาด้วย” อังพูดพร้อมกับลุกพรวด ใช้มือกวักเพื่อนในกลุ่มให้เข้ามาหาตัวเอง เพื่อปรึกษาที่เที่ยว เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้ยังปลอบกูอยู่เลย มึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วจังวะ

                   “ไปไหนดีวะ” ทรายเอ่ยถาม “พาอีเปอร์ไปเปิดหูเปิดตาก็ดีเหมือนกันนะ เห็นบอกว่าไม่ค่อยได้เข้ามากรุงเทพ” ท่าทางระริกระรี้อยากไปใจจะขาดของทราย ทำให้เพื่อนๆต่างเหลียวมองกันอย่างเอือมระอา ก่อนจะโดนชามเอ็ดไปทีหนึ่ง

                   “เราเป็นชะนี ไม่ใช่กะหรี่ เก็บอาการด้วย” พอถูกเอ็ดไปทีหนึ่ง เจ้าตัวถึงกลับสงบสติอารมณ์เข้าสู่โหมดเดิมทันตาเห็น

                   “ป่ะ ไปกันเถอะ” ชามหมุนตัวมาเรียกขณะกำลังเดินออกจากการสุมหัว

                   “ไปไหนวะ นี่กูยังไม่รู้เลย ไปปรึกษากันตอนไหน” ผมเอ่ย

                   “เอาน่า เดี๋ยวมึงก็รู้เอง” อังที่หมุนตัวมาตอบเหมือนหัน ผมงงกับคำพูดพวกนั้น

                   ไม่นานหลังจากนั้น ผมก็ถูกเพื่อน 2 คน รวบตัวและจูงตาม 2 คน ข้างหน้า แพรกับทรายน่าจะรู้ว่าเราจะไปไหนกัน อังกับชามเลยสั่งมารวบตัวผม ส่วนอีกสองคน ก็เดินนำหน้าไปไม่ไกลจากที่ผมเดินนัก ไม่นานแพรกับทรายก็ปล่อยให้ผมเป็นอิสระขากการเกาะกุม แต่ก็ยังเดินตามสองคนข้างหน้าไป

                  ผมสลับมองอังกับชาม ผู้ที่มีรูปร่างอ้วนและท้วมตามลำดับ ผมว่า มันเป็นพวกใส่ใจอะไรกับเพื่อนมากเลย ทำให้ผมที่จิตตกกลับมายิ้มได้แบบนี้ ผมล่ะดีใจจริงๆ

                   พวกมันพาผมไปเที่ยวหลายที่มาก เหมือนที่ไอ้อาร์มเคยพาไป แต่สถานที่ไม่ได้ซ้ำกันแม้แต่น้อย จำไม่ได้หรอกว่าไปที่ไหนบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นที่ใกล้ม.มากกว่า เพราะสภาพอากาศที่ไม่อำนวยบวกกับการจราจรติดขัดของเมืองหลวงทำให้พวกเราตัดสินใจว่า ‘จะไม่ไปเที่ยวไกล ร้อนและอยากตากแอร์’ สามประเด็นที่พวกเราต่างยอมรับ ความคิดอันสุดท้ายเป็นของผมคนเดียวนะ นอกนั้นก็แชร์กัน

                  ถ้าอากาศร้อนเหมือนที่บ้านหรือที่ม.เก่าที่ผมซิ่วมาจะไม่ว่าอะไรเลยนะ แบบนั้นน่ะพอทนได้ แต่นี่ทั้งร้อนทั้งควัน มลพิษอีก เพราะงั้นพวกเราถึงตัดสินใจไปเฉพาะห้างเท่านั้น

                  หาอะไรกินดีกว่า อิ่มใจไม่เท่าไหร่ แต่อิ่มท้องต้องมาก่อน



*******************************************************************************************************************************



                  ห้าวสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

                ในระหว่างที่พวกเราพากันทัวร์ จะเรียกทัวร์ถูกเปล่าวะ คือเดินอย่างเดียว ของก็ไม่ซื้อ แต่ละชิ้นนี่แพงหูหลับตับไม้ไม่อยากจะพูดถึง ก็ของห้างอ่ะเนอะก็ต้องแพงอยู่แล้ว ผมก็พอมีปัญญาซื้ออยู่หรอก แต่ในเพื่อนไม่เข้ผมก็ไม่เข้า ตามใจเพื่อน อีกอย่างผมหาเงินเอายังไม่ได้ก็เลยยังไม่อยากใช้ฟุ่มเฟือยมากนัก แต่วันไหนหาตังค์ได้ ก็พร้อมเปย์ทุกเมื่อ

                 วันนี้ไม่ได้ไปเที่ยวแค่อย่างเดียวเท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้นผมได้รับข้อความจากไอ้อาร์ม มันนัดไปหาอะไรกิน คงจะอยากพาผมไปที่ที่มันบอกเมื่อคราวก่อน แต่ไม่ได้ไปกัน ผมตอบปฏิเสธไป บอกมันว่า ‘ไม่ว่าง ไปหาญาติ’ ใครจะกล้าโผล่หน้าไปเสนอหน้าไปให้มันเห็นล่ะ มีหวังฝ่ายนั้นได้วิ่งเตลิดแน่ ดูแว็ปเดียวก็รู้ ก็ตอนนี้ผมหนังหน้ายิ่งดูไม่ได้ ช่างมันละกัน!

                  ไว้ค่อยเซอร์ไพรท์มันทีหลังแล้วกัน

                  กระทั่งมาถึงร้านกาแฟแห่งหนึ่ง พวกเราหาที่นั่งให้พอกับคนที่มา กวาดสายตามองภายในร้านเพื่อหาที่ว่าง จนกระทั่งสะดุดตากับโต๊ะที่ว่างนั้น มันยาวพอที่เราทุกคนจะนั่ง

                 “เฮ้ยพวกมึง!” ผมตะโกนเรียก “โน่นไง โต๊ะนั่นมึง ยังว่างอยู่” ผมพูดพร้อมชี้ไปยังโต๊ะนั้นเพื่อให้พวกมันเหลียวตาทิศทางมือที่ชี้

                 พอพวกมันเหลียวมองตามมือที่ผมชี้และเห็นสิ่งที่บอก ต่างแย่งกันเดินไปยังโต๊ะที่ว่าให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้จับจองที่นั่งสมดังใจหวัง ตามมาด้วยด้วยเสียงเอะอะอีกระบอก ผมเห็นพวกมันนั่งยิ้มแป้นหลังจากที่นั่งลงเก้าอี้ ไอ้รอยยิ้มนั่นผมพอจะเดาออกว่ามันหมายความว่าไง อีพวกนี้! ที่พากันแย่งที่นั่งเมื่อกี้ เพราะเหตุนี้เองสินะ ‘จะได้ส่องผู้ชายได้สะดวกและใกล้ชิดที่สุด’ เหลืออดกับพวกมันจริงๆ มองตาขวางใส่แม่งเลย แต่พวกมันก็ทำเป็นไม่สนใจที่ผมส่งสายตาให้ เพราะเอาแต่มองผู้ชายโต๊ะข้างๆ

                 ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลขนาดไหน ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับพวกมัน สามารถเหล่มองได้เสมอ

                 จากนั้นอังก็รับเมนูจากพนักงานที่เอามาให้เมื่อครู่ และยืนรอลูกค้าสั่งออเดอร์ มันเปิดกลับไปกลับมาหลายรอบ จนในที่สุดก็ได้สิ่งที่จะกินแล้วหันบอกพนักงาน  ก่อนจะหันมาถามเพื่อนที่เหลือ

                  “เอานมสดปั่นกับแพนเค้กผลไม้ครับ” ผมเอ่ยบอกพนักงาน เขาก็ก้มหน้าเขียนในบิล

                  “กินเหมือนผู้หญิงจังนะมึง” อังเอ่ยแซะ

                  “แล้วไง” ผมถามเชิงหาเรื่อง

                  “เปล่า ก็ไม่ได้ว่าอะไร” อังยักไหล่แล้วหันหน้าหนีไปทางกลุ่มผู้ชายข้างโต๊ะ

                 ส่วนเพื่อนที่เหลือก็ทยอยสั่งของที่ตัวเองจะกิน ในระหว่างที่รอของที่สั่งอยู่นั้น ผมจึงเริ่มเปิดประเด็นคำถามที่ยังค้างคาใจทันที

                  “มึง” ทุกคนหันมองมาที่ผมทันทีที่เอ่ยขึ้น ทั้งที่กำลังหยอกล้อกับผู้ชายข้างโต๊ะ แต่ก็ยอมละสายตามาจ้องมองผม

                  “มีไรวะ” แพรเริ่มเอ่ยถาม

                  “คือ...” ยังไม่มั่นใจในสิ่งที่จะพูด ผมทำได้แค่เอ่ยออกมาแค่คำเดียวพร้อมลากเสียงยาว นิ้วมือทั้งหมดต่างประสานกัน ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือที่ยังคงแข่งกันขึ้นๆลงๆอยู่แบบนั้น มันเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับผมตอนตื่นเต้นหรือไม่มั่นใจที่จะพูดคำๆนั้นออกมา ทุกคนต่างก็จับจ้องมาที่ผม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เหมือนรอให้ผมพูดมากกว่าจึงไม่เอ่ยขึ้นและคาดคั้นเอาคำตอบ “มึงไม่รังเกียจกูใช่ป่ะ ที่เป็นแบบนี้” ผมถามลองใจเชิงปฏิเสธ ทุกคนต่างก็งงทำสีหน้าสงสัยกับคำพูดของผม

                   “ทำไมต้องรังเกียจด้วยวะ” ชามเอ่ยตอบเชิงถามไปในตัว

                   “ก็กูขี้เหร่ สิวเขอะเต็มหน้า ผิวคล้ำ ใส่แว่นตาหนาเตอะแถมยังทำตัวเด๋อๆ ซุ่มซ่ามอีก” ผมก้มทำสีหน้าตอกย้ำตัวเอง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาทุกคนบนโต๊ะ แต่ก็กลัวว่าคำตอบที่ได้จะไม่เป็นไปตามที่เราคิด ใครจะรู้ล่ะว่าหน้าตาที่ผมบอกไปนั้น ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของผม

                  “แล้วจะทำไมวะ” ชามพูดเชิงไม่แคร์ ไม่สนอะไร “ถึงมึงจะเป็นอย่างที่ว่าหรือไม่ก็ตาม พวกกูก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจมึงหรอกนะ พวกกูดูคนที่ใจไม่ใช่ที่ร่างกาย” พอได้รับคำตอบแรก มันทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นรับรู้และสบตากับสิ่งที่เพื่อนพูดอย่างเลี่ยงไม่ได้

                   “ใช่” ทรายเอ่ยเห็นด้วยกับคำตอบของชาม “เพราะมันเป็นสิ่งที่ภายนอก แต่สำหรับสิ่งที่พวกกูต้องการอ่ะ คือ สิ่งที่อยู่ภายในมากกว่าสิ่งที่อยู่ภายนอก ถ้าหน้าตาดี แต่นิสัยเหี้ย พวกกูก็ไม่เอามาเป็นเพื่อนหรอกนะ จริงมั้ยล่ะ?” ผมลอบมองทราย นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความหวัง ซึ่งคนที่ผมจ้องหน้าอยู่นั้นก็พยักหน้าให้กำลังใจ

                    “ก็จริง” สีหน้าผมเริ่มรู้สึกดีกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด

                   “ยังไงเราก็เป็นเพื่อกันแล้ว อย่าคิดมาก” แพรลงความเห็นตาม ผมก็พยักหน้ารับความคิดเห็นจากแพร และตามมาด้วยความความคิดเห็นของคนอื่นตามลำดับ ผมก็พยักหน้ารับเช่นเคย รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง ยิ้มออกมาโดยไม่ปิดกั้น ยิ้มออกมาแบบเต็มใจที่จะยิ้ม อย่างน้อยก็โล่งอกไปเปราะหนึ่ง



การที่ได้มาอยู่ที่นี่ อาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้ ชักเริ่มจะสนุกแล้วสิ

แต่ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ขอให้ได้เจอคนที่ใช่ที่นี่ด้วยนะ ใจยังโหยหา...


TBC...

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ดีๆนะครับ ผมรับฟังทุกความเห็นและจะนำไปปรับปรุงในส่วนที่บกพร่องของเนื้อเรื่อง
อยากจะบอกว่าคำถามในแต่ละคอมเมนต์ มีคำตอบหมดนะครับ บอกไม่ได้ว่าจะอยู่ตอนไหน ไม่ตอนไหนก็ตอนนึงแหละครับ
ติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆแล้วก็จะรู้เอง มันจะมีคำตอบไม่มากก็น้อยที่ซ่อนอยู่ในตอนๆนั้น
อ่านให้ดีๆนะครับ :mew1: :mew1:  :mew1:

อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ :3123: :3123: :3123:

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
               

               เสียงกลองดังสนั่นทั่วอาณาบริเวณตึกคณะแพทย์ สถานที่ที่นักศึกษาปี 1 อย่างผมต้องเข้าร่วมกิจกรรม ขณะที่กำลังเดินกับเพื่อนแก๊งใหม่ พวกเราต่างก็เล่าเรื่องรับน้องที่ได้ยินมาจากหลายๆที่ ทั้งในเว็บ จากรุ่นพี่ หรืออื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังอย่างถ้วนหน้า

                พวกนี้มันดูตื่นเต้นมากทีเดียวกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นนับต่อจากนี้ ถึงกลับเก็บอาการไว้ไม่อยู่เชียวล่ะ ผมยืนมองพวกมันที่ตัวสั่นไปทั้งตัวและยื่นมือไปจับแขนพวกมันดู แม่งสั่นไม่หยุดเลย! มันสั่นไปหมด ทั้งท่าทางเก้ๆกังๆ ที่คนเดินผ่านย่อมดูออก เสียงที่เปล่งออกมายังจับผิดสังเกตได้เลยว่า คนๆนั้นกำลังตื่นเต้นกับอะไรสักอย่าง

                 พอเห็นแบบนั้น ผมก็ยิ้มออกมาและหัวเราะในลำคออย่างปิดไม่มิด ก่อนจะหันหน้าไปอีกฝั่งแทน ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกนางหรอก เพราะผมก็เคยเป็นแบบนี้เหมือนกัน แต่ผ่านจุดนี้มาตั้งนานแล้ว แต่พวกมันนี่สิ! เพิ่งจะเคย แต่ที่เคยผ่านมาแล้วมันคนละคณะ คนละมหา’ลัยนี่หว่า! ผมก็ลืมคิดเรื่องนี้ไปซะสนิท

                คิดได้แค่ว่า ‘การรับน้องของแต่ละคณะ แต่ละมหา’ลัย ย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว’ ถึงจะบอกว่าเคยผ่านมาแล้ว แต่ก็เหมือนเรากลับมาจุดเริ่มต้นอีกครั้งแหละ ผมเริ่มชักจะกังวลเข้าแล้วสิ

                  พวกเราเดินคุยกันมาจนถึงที่ที่รุ่นพี่ให้ลงชื่อรับป้าย ก่อนจะไปเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องทีหลัง พวกเราต่างเกี่ยงกันเพื่อที่จะไม่ได้ลงหน้าๆ และอยู่แถวหน้าสุด

                จนกระทั่งเดนมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะรับป้ายห้อยคอ

                “เปอร์ มึงก่อนเลย สภาพบุรุษก่อน” อังพูดยอกย้อน ยิ้มให้อย่างมีเล่ห์นัยน์ แล้วพักผมไปข้างหน้า แต่ยังดีที่ผมใช้เท้าหยุดตัวเองไว้ได้ซะก่อน ก่อนที่จะไปหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะรับป้าย ซึ่งมีรุ่นพี่สองสามคนนั่งรออยู่

                “เฮ้ย! ไรวะ” ผมตวาดเสียงดังใส่ด้วยความไม่พอใจ จนทำให้รุ่นพี่ที่นั่งรออยู่ถึงกลับหันมาจ้องเข้าที่ผม “ต้องผู้หญิงก่อนสิ เพราะกูเป็นสภาพบุรุษ”

                  “แหมๆ” อังเบะปากพร้อมมองตาขวาง “ก็เป็นสภาพบุรุษแค่ข้างนอกล่ะวะ”

                 “หยุด อย่าพูดมาก” ผมกรอกเสียงแข็งใส่อัง “เพราะงั้นมึงก่อนเลยชาม” เปลี่ยนอารมณ์อย่างเร็วพลางหันมองเพื่อนตัวท้วมข้างๆ

                 “ไม่ล่ะ ให้ชะนีที่สวยที่สุดในกลุ่มเราก่อนดีกว่าเนอะแพร” ชามเอี้ยวตัวไปสบตาแพรพลางส่งกระซิบให้แพร โดยกระพริบตาข้างเดียวให้ แพรเองก็รู้ทันทีจึงตอบกลับ

                 “ใช่ๆ คนสวยต้องไปก่อน” แพรออกความคิดเห็นของชามทันทีที่พูดจบ ส่วนเจ้าตัวที่ถูกพูดถึงนั้น ก็แสดงสีหน้า ตกใจออกมาให้เพื่อนสะใจ ทำตัวไม่สุขอยู่แล้ว ยิ่งทวีพูนด้วยความกังวลขึ้นไปอีก เกือบจะร้องไห้ล่ะมั้งที่ถูกเพื่อนแกล้ง

                 “กูหรอวะ” ทรายชี้นิ้วมาที่ตัวเอง เพื่อนคนอื่นรวมทั้งผมก็พยักหน้าตอบรับ ปฏิกิริยาท่าทางของคนที่ถูกแกล้งไม่มีสีหน้ายินดีเลยสักนิด อยากจะปฏิเสธจะแย่ แต่พอเห็นสายตาเพื่อนๆที่เป็นระยิบระยับมันกลับทำให้เธอถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินไปเซนต์ชื่อรับป้ายจากรุ่นพี่

                พวกเพื่อนต่างพากันเซนต์ชื่อรับป้ายแล้วแยกย้ายไปนั่งรอเริ่มกิจกรรมจนหมด เหลือผมเป็นคนสุดท้ายอีกแล้วความสุดท้ายนี่เคยนำหายนะมาให้กูแล้วนะ มึงจะมาอีกหรอวะ ผมก้มลงเขียนชื่อตัวเอง ขณะเดียวกันกับที่รุ่นพี่ที่รออยู่ก็เอ่ยถามขึ้น

                “ชื่ออะไรอ่ะเรา” พี่เขาเอ่ยถามอย่างเป็น ในมือก็ถือปากกาพร้อมเขียนชื่อเล่นของรุ่นน้อง

                “ชื่อจริงหรือชื่อเล่นอ่ะพี่” ผมถามกลับพร้อมกับจ้องลูกตาสีดำขลับ ใบหน้าที่ขาวสว่างออกไปทางซีดซะมากกว่าราวกับหลอดไฟที่เปิดทำงานอยู่ ผมยืนค้างมองคนตรงหน้าอยู่สักพัก ก่อนที่รุ่นพี่คนนั้นจะเรียกชื่อ แต่ผมกลับไม่ได้สติ พี่เขาเลยดีดนิ้วใกล้ใบหน้าผมเพื่อเรียกสติ

                  ผมส่ายหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกดีดนิ้ว ไล่ความคิดเมื่อครู่ออกไปจากหัว

   
‘ไม่ได้ๆ เรามาที่นี่เพื่อเรียนและอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความรักใคร่ เพราะฉะนั้นจะไม่รักใครง่ายๆเด็ดขาด’

                   และส่ายหน้าอีกรอบเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา

                   “ชื่อเล่นดิวะ” พี่เขาเอ่ยสักพัก ก่อนจะถามขึ้นอีก “แล้วนี่มึงชื่ออะไร”

                  “ชื่อเปอร์ครับ” ผมตอบกลับอย่างเกร็งๆ พลางก้มหน้าไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า หลังจากนั้นพี่เขาก็ก้มหน้าลงเขียนชื่อผม

                  จากนั้นก็รอให้พี่เขาเขียนชื่อบนป้ายให้ ผมก็รอทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่แบบนั้น จนกระทั่งพี่เขาส่งป้ายชื่อให้ จึงเงยหน้าและรับป้ายไปดูก่อนจะห้อยคอ ผมอึ้งค้างไป จ้องมองป้ายชื่อเขม็งพลางหน้าเงยสบตากับใบหน้าของพี่เขาไปพลาง มองป้ายชื่อไปพลางด้วยความสงสัย ก่อนจะชูป้ายชื่อให้พี่เขาดูแล้วเอ่ยถาม

                 “เฮ้ยพี่” ผมอุทานออกมา ทำให้คนตรงหน้าละสายตาจากโทรศัพท์มามองผมในทันทีที่เรียก “พี่เขียนชื่อผมผิดอ่ะ” ชี้ไปยังชื่อที่เขียนบนป้ายให้พี่เขาดู

                 “ผิดตรงไหนวะ” พี่เขาถามกลับอย่างหัวเสียที่รบกวนการเล่นเกมแข่งขัน

                  “ก็ตรงนี้อ่ะ” ผมเอ่ยพลางชี้ไปยังตัววรรณยุกต์ที่อยู่บนป.ปลา ก่อนจะทำสีหน้าบ่งบอกว่าไม่ถูก

                 “ไม่ถูกยังไง” ความอดทนของพี่เขากำลังจะหมดสิ้น “ไหนบอกมาดิ๊” พี่เขาเสียงสูงที่คำลงท้ายอย่างหัวเสีย

                  “ก็ชื่อผมอ่ะ มันไม่มีไม้โท แต่จะมี ร.เรือและตัวการันต์จะอยู่บน ร.เรือด้วย”

                  “ก็ถูกแล้วไง”                                                     

                  “ไม่ถูกดิพี่”

                  “ที่กูบอกว่าถูกอ่ะ” พี่เขาเว้นวรรคประโยคก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “ชื่อมึงจะได้ไม่ไปซ้ำกับอีกคนไง”

                  “ห๊ะ! ว่าไงนะพี่ ผมไม่เข้าใจที่พี่พูด” ผมงงกับคำพูดของอีกคน ในสมองคิดแต่ว่า ‘มีคนชื่อเหมือนกูด้วยหรอ’

                  “ก็ปีนี้มีคนชื่อคล้ายมึงอยู่คนหนึ่ง เพราะงั้นกูก็เลยเขียนให้มันแตกต่างกันไง จะได้ไม่ซ้ำและคนอื่นเขาจะได้ไม่สับสน” พี่เขาอธิบายยาวเหยียดให้เข้าใจทั้งเหตุและผลทั้งมวล แต่ยังไงล่ะ! ผมไม่สนอยู่แล้ว จะเถียงจนกว่าจะชนะเลยคอยดู

                  “จะยังไงก็ช่าง แต่พี่ต้องเขียนป้ายใหม่ให้ผม” ผมยืนกรานกับคำพูดอย่างหนักแน่น บ่งบอกว่าจะไม่ยอมแพ้

                  “เรื่องมากจังวะ” พี่เขาบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะหันไปหยิบป้ายอันใหม่ในกล่อง แล้วบรรจงเขียนชื่อผมลง

                  “...”

                  “อ๊ะ” พี่เขาเอ่ยพร้อมกับส่งป้ายชื่อมาให้ผมแล้วเอ่ยเตือนอีกครั้ง “หวังว่ากูจะไม่ได้เขียนแผ่นที่ 3 อีกนะ” คนตรงหน้าพูดอย่างเหลือทนราวกับว่าในใจกำลังบ่นผมอยู่

                  “ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้และรับป้ายชื่อมาห้อยหอ ถึงผมจะกวนตีนหรือขึ้นเสียงกับพี่เขาบ้าง แต่ผมก็ยังคงมีสามัญสำนึก แยกแยะว่าใครคือใคร ใครคือเพื่อน ใครคือรุ่นพี่ ใครคือคนที่เราควรจะเคารพนับถือ

                  ทันใดนั้นผมกลับจามออกมาและใช้นิ้วชี้ถูจมูกทันที ก็ว่า ‘ทำไมถึงรู้สึกคันจมูกเหมือนจะจามพักหนึ่งแล้ววะ’ ไม่ต้องคิกให้มากเรื่องว่าใครกำลังนินทาผม ผมว่าไอ้รุ่นพี่ตรงหน้านี่แหละที่กำลังนินทาผมอยู่

                  พอคิดได้แบบนั้น ผมก็จ้องมองไปหาคนคนที่อยู่ตรงหน้าทันทีและเอ่ยถาม

                  “เมื่อกี้ พี่นินทาผมใช่มั้ย” สายตาจริงจังของผมถูกส่งไปยังคนตรงหน้าที่นั่งเล่นเกมอยู่รอมร่อ พี่เขาไม่สนใจและทำเป็นหลบสายตา ทำหน้าเบื่อหน่ายเอื่อมระอากับตัวผม

                  “อะไรของมึง” พี่เขาถามอย่างเหลือทน ทำตัวแบบไม่มีเกิดขึ้น ไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ราวกับว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ว่า ไม่รู้สึกผิดด้วยซ้ำ “พูดดีๆ หน่อย กูเป็นรุ่นพี่มึงนะโว้ย หัดเคารพกันบ้างดิวะ” อ๊ะ! จริงจังกับเขาก็เป็นด้วย

                  “ขอโทษครับ” หงอยเลยกู นึกว่าจะให้อีกฝ่ายยอมรับสักหน่อย

                   เซ็งเลย!
 
                  “เออๆ” พี่มันตอบรับแบบส่งๆ “นี่มึงจะไม่เข้าร่วมรับน้องกับพวกนั้นหรอวะ มันใกล้ถึงเวลาแล้วนะโว๊ย” คนตรงหน้าพูดพลางใช้ปากกาสีน้ำเงินชี้ไปยังนาฬิกาข้อมือของเจ้าตัว ทำให้ผมก้มลงมองสนใจนาฬิกาข้อมือของตัวเองฉับพลัน

                 “เหี้ย!!!” อุทานออกมาเสียงดัง ตกใจกับเวลาที่เห็น จนรุ่นพี่สองคนที่อยู่บริเวณนี้ตกใจไปตามๆกัน ไอ้พี่คนนั้นก็หัวเราะในลำคอ แสยะยิ้มสะใจที่หายนะจะมาหาผม

                 ผมมองไปยังนาฬิกาข้อมืออีกที เพื่อเช็คให้แน่ใจ เผื่อว่าตัวเองจะดูผิดไป แต่ก็เป็นแค่ความหวังที่ไม่เป็นจริง เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีก 3 นาที แม่งเล่นกูเข้าแล้ว!

                “ไปก่อนนะพี่” พูดจบผมก็หันหลังขวับ ก่อนจะตั้งท่าวิ่งใส่เกียร์หมาไปยังจุดรวมพล

                พี่เขาก็ตอบกลับแค่ว่า “เออๆรีบไปเลยมึง” แต่ผมก็ไม่ได้ยินหรอก เพราะวิ่งมาไกลมากแล้วเกินกว่าจะได้ยินเสียงที่ดังมาจากด้านหลังที่ไล่ตามมาจากที่เซนต์ชื่อรับป้าย


**************************************************************************************************************************



                ณ ใต้ถุนของคณะแพทย์

                ผู้ชายตัวบางที่สูงไม่ถึง 175 ซม. กำลังวิ่งอย่างหอบแดดไปตามรุ่นพี่นัด ซึ่งนั่นก็คือ ผมเอง! พอวิ่งมาถึงที่รุ่นพี่นัดก็เห็นเพื่อนๆทั้งคณะ ต่างก็หันมาดูผมกันราวกับเป็นตัวประหลาด จะไม่หันมาดูก็ไม่ใช่คนแล้วล่ะ เพราะทันทีที่ผมวิ่งเข้าบริเวณนี้ เสียงรองเท้ามันก็ดังก้องจนทำให้คนที่อยู่บริเวณนี้หันมองต้นเสียง

                พอถึงหลังแถวสุดท้าย ผมจึงหยุดวิ่งพร้อมกับก้มหน้าเหนื่อยแฮ็กๆ แขนทั้ง 2 ข้างก็กำลังชันอยู่บนหัวเข่า เพื่อพยุงร่างกายไว้ไม่ให้ล้มไปข้างหน้า เหงื่อก็เริ่มผุดออกมาทีละเล็กทีละน้อย ผมจึงใช้หลังมือปาดเหงื่อ เดินไปต่อแถว แล้วนั่งลง

                พักหายเหนื่อยได้ยังไม่หายดีเท่าไหร่ แพรหันมาถามทันที

                “มึงไปทำอะไรมา” แพรถาม

                “มีเรื่องนิดหน่อยว่ะ” ตอบกลับแบบเสียงที่พอเปล่งออกมาได้ ก็มันยังไม่หายเหนื่อยนิ!

                "มึงไปหาเรื่องใครมาล่ะ"

                "คนละเรื่องแล้วมั้ย"

                “อะไรล่ะ” แพรขมวดคิ้วอย่างอยากรู้

                “กูเถียงกับพี่คนหนึ่งอยู่อ่ะ ก็เลยทำให้มาสายน่ะ”

                “พี่คนไหนวะ”

                “ก็ไอ้พี่ที่หน้าตาดีๆ ที่เขียนชื่อให้พวกมึงนั่นแหละ” พอพูดถึงพี่คนนั้น มันทำให้ผมรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที

                 “อ๋อออออ” เสียงหลงเลยสิมึง “แต่ว่ากู ยังไม่สายนะ” เอ๊ะ! ทำไมมันพูดแบบนี้วะ

                 “ไม่สายเหี้ยไร มึงก็ดูเวลาสิ” ผมพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือให้เพื่อนดู ที่บ่งบอกว่าตอนนี้เลยเวลามาแล้ว 5 นาที

                   แต่ทำไมมันแปลกๆวะ ทั้งที่ถึงเวลาเริ่มรับน้องแล้วแท้ๆ ทำไมพี่เขายังไม่เริ่มงานอีก

                  “กูว่าคำๆนั้น กูควรเป็นคนพูดนะ มึงก็ดูดิ” แพรพูดพร้อมกับยกนาฬิกาข้อมือของตัวเองให้ดู

                  “ทำไมวะ”

                  “ก็ดูนี่สิ ยังไม่ถึงเวลานัดเลย เหลืออีกตั้ง 10 นาทีแหนะ มึงดูเวลาผิดหรือเปล่าวะ” แพรชี้ไปยังนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง

                  “จริงหรอวะ” ผมถามมันอย่างสงสัย แต่อาจจะจริงของมัน

                  “เออ...” ผมอ้าปากค้างไปกับสิ่งที่พูดเมื่อครู่ “กูลืมไปว่า กูตั้งเวลาเกินกว่าเวลาจริง 15 นาทีว่ะ” เกาหัวอย่างอายๆ หน้าแหกเลยกู แตกไปเท่าไหร่แล้ว จะซ่อมได้ไหมเนี่ย!





                10 นาทีต่อจากนั้นไม่มีบทสนทนาใดๆ ให้ได้ยินจากเด็กปี 1 เพราะตอนนี้เริ่มเข้ากิจกรรมรับน้องแล้ว

               ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเรียบง่าย อาจจะมีลำบากรุ่นน้องบ้างเป็นบางฐาน แต่ปี 1 ก็สู้ไม่ถอย มันก็เหมือนๆการรับน้องผ่านๆมา แต่จะว่าไม่เหมือนก็ไม่เหมือนนะ เอ๊ะ! มันยังไงกันแน่ ส่วนเด็กปี 1 ดูท่าจะสนุกสนานไปนะ ก็ตามประสาคนไม่เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มานั่นแหละ แต่ก็ถือว่าไม่สนุกสักทีเดียว จะบอกยังไงดีล่ะ มันครึ่งๆกลางๆ เพราะผมพอจะรู้มาคร่าวๆแล้ว ก็เลยสนุกไม่เต็มที่ อย่าไปบอกรุ่นพี่เชียวนะ เดี๋ยวจะหมดกำลังใจเอาเปล่าๆ แถมไม่รู้จะถูกบ่นให้หูชาหรือเปล่า ถ้าไอ้พี่คนนั้นเกิดรู้เข้า

                ความสนุกตอนรับน้องมันหาจากที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว  เป็นสิ่งที่น่าจดจำไปตลอดการเป็นเฟรชชี่ การยิ้มและสนุกไปกับเพื่อนๆ พี่ๆ มันทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมาก

                 แต่สิ่งที่เด็กปี 1 ยังไม่รู้ก็คือ....ผลลัพธ์ที่ร่างกายจะได้รับจากการรับน้อง สนุกก็สนุกอยู่หรอก แต่...


************************************************************************************************************************


                ณ ลานจอดข้างๆตึกคณะแพทย์

                ตอนนี้ผมกำลังพาร่างอันใกล้จะพังกลับหอพักอย่างจี๋ ที่เกิดจากการรับน้องมาหมาดๆ ทั้งที่ยังไม่หายเหนื่อยด้วยซ้ำ ถ้าไม่พาร่างตัวเองกลับ ก็คงนอนมันที่นี่แหละ แต่ก็ทำแบบนั้นไม่นั้นไม่ได้ ไม่อาบน้ำไม่ได้ ไม่กินข้าวไม่ได้ เพราะร่างกายนี้จะไม่ใช่คนอีกต่อไป

               บรรยากาศตอนนี้ช่างน่าสลบไสลบนเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ กลิ่นหอมของดอกไม้นานาชนิดที่อยูในห้องให้ดอมดม ทำให้ผมคิดอยากจะไปให้ถึงห้องเร็วๆ จังเลย แต่ร่างกายอันเหนื่อยหอบจะไปถึงหอตอนไหนล่ะ อีกอย่างตอนนี้กูยังบนลานจอดรถอยู่เลย T-T แถมยังไม่มีวี่แววแม้แต่เสียงคนเสียอีก ถ้าไม่มีเสียงก็ไม่มีตัวตนให้เห็นหรอก นอกจากจะเป็น...

               อยากจะร้องไห้ จะเอายังไงดีวะ ถึงจะเอาร่างนี้กลับหอได้โดยที่เราไม่ต้องขยับเขยื้อนร่างกาย  สิ่งที่พอคิดได้ตอนนี้ก็คือ พลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิดนี่แหละ การจะไปให้ถึงหอก็ต้องใช้พลังอยู่พอสมควร แต่พลังกับร่างกายก็ต้องสัมพันธ์กันด้วย ต้องไม่เหนื่อยล้าจากอะไรก็ตามแต่ เพราะมันจะทำให้จุดหมายปลายทางเปลี่ยนไป จากที่เป็นหอพักอาจจะเป็นที่อื่น และมีความเป็นไปได้ที่คนอื่นจะเห็นผมใช้พลัง ซึ่งผมก็ไม่ต้องการให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นด้วย

                 จากที่คิดอยู่นานพอดู ผมจึงไม่คิดจะทำอย่างที่ว่านั้น ทางเลือกที่ 2 คือขับรถกลับหอ แต่ก็ยังปัญหาอยู่พอสมควรแค่จะขับรถก็ลำบากพอแล้ว นี่ยังไม่รู้ว่าจะขับถึงหอหรือเปล่า ถ้าให้ขับรถกลับหอในสภาพนี้ มีหวังเกิดอุบัติเหตุแน่ๆเลือกที่จะไปขึ้นรถเมย์แทนดีกว่า

                 พอความคิดที่ 2 มาเข้าท่า ผมจึงคิดจะกลับหอด้วยทางเลือกที่ 3 แทน นั่นก็คือ รถเมย์หรือแท็กซี่ ปลอดภัยสบายใจหายห่วง แต่อาจจะไม่ได้นั่ง หรืออาจจะเหนื่อยมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ยังไงก็ไปถึงหออยู่ดีล่ะวะ คงต้องปล่อยรถแม่งไว้ตรงนี้ล่ะมั้ง พรุ่งนี้ค่อยมาเอาอีกที

                 คิดได้แบบนั้น ผมจึงละความพยายามที่จะเอารถกลับ แล้วมองรถอย่างมองลูก ‘รอพ่ออยู่นี่นะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อมารับนะ แค่คืนเดียวเอง หวังว่าลูกจะรอได้นะครับ’ ใบหน้าผมแนบลงกับรถพร้อมกับลูบคลำรถอย่างอาลัยอาวรณ์ ของขวัญชิ้นนี้ผมรักดั่งชีวิต แล้วก็เดินจากไปจากที่จอดรถของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันที่ผมจะสายตาแล้วเดินจากรถไปมากกว่านี้ ก็มีเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากข้างหลังของผม

                  “นาย นาย” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นเป็นเสียงผู้ชาย พาให้คนที่ได้ยินอย่างผมหันหลังกลับไปหาเจ้าของเสียงนั้นทันที

                  สิ่งที่เห็นตอนพลบค่ำ ก่อนจะเข้าสู่ช่วงกลางคืน เป็นชายร่างสูง คำนวณจากทางสายตาที่เห็น น่าจะสูงกว่าประมาณ 10 กว่าซม. พร้อมกับชุดที่มีร่องรอยจากการรับน้องมาหมาดๆ ตาสีนิลคมที่ถ้าเกิดใครได้สบตาเข้า คนๆนั้นเป็นอันต้องนิ่งค้างกับความหล่อเหลานั้น ราวกับว่าโดนมนตร์สะกดให้ตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ จมูกโด่งที่ลับเข้ากับใบหน้าทำให้องค์ประกอบโดยรวมมันช่างเข้ากันได้อย่างลงตัวเหลือเกิน ผิวขาวที่ตอนพลบค่ำไม่ได้ส่งผลให้ออร่าที่ถูกเปล่งออกมา ดับตามบรรยากาศเลยสักนิด

                 ผมชะงักนิ่งค้างไปกับร่างที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอยู่สักพัก ลองพิจารณาร่างสูงนั้นอีกครั้ง นี่มันอะไรกันวะ หล่อสัดๆ หล่อแบบก็บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้เลย ช่างเป็นบุญตาที่คนระดับกูได้เห็นมากเลยจริงๆ และในสภาพที่หล่อเหลาเช่นนี้

               ถ้ามาเปรียบเทียบกับกูในสภาพที่เป็นอยู่แบบนี้ล่ะก็ ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ตามธรรมชาติกับคุณชายแหงๆ ยิ่งเป็นสภาพที่ไม่มีใครรู้ด้วยว่า จริงๆแล้ว หน้าค่าตาผมที่แท้จริงเป็นยังไง

                “นาย นาย” ร่างสูงเรียกผมอีกครั้ง ครั้งนี้มันทำให้ผมได้สติหลุดจากภวังค์ที่ถูสะกดด้วยสายตาคู่นั้น ผมเรียกสติโดยการตบเข้าที่ใบหน้าตัวเองไปหลายครั้ง (แต่ไม่ได้แรงแบบที่ผู้หญิงตบกันแย่งผู้ชายนะ แค่เบาๆ) แล้วมองไปสบตากับดวงตาคู่คมอีกครั้ง ทั้งที่ในตอนแรกร่างสูงยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตรงนี้ แต่บัดนี้กลับเข้ามาใกล้จนไม่ถึง 2 ก้าวด้วยซ้ำ

                “ห๊ะ! ห๊ะ! มีอะไรหรือเปล่า” ผมยังมีสีหน้าตื่นๆที่เพิ่งหลุดจากภวังค์ ต้องพูดสุภาพด้วยละ เดี๋ยวภาพพจน์กูเสียหมด

                 “เอ่อ...” เจ้าของเสียงอ้ำอึ้งไปกับเสียงที่ถูกเปล่งออกมาเมื่อครู่ของผม ก่อนจะเอ่ยถาม “ มีอะไรให้เราช่วยหรือเปล่า” ยังไม่ได้รับคำตอบ อีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกคำถามในเวลาต่อมา เจ้าตัวอมยิ้มกับคำพูดอย่างเต็มใจที่จะช่วย “หรือว่ารถเป็นอะไรหรือเปล่า ให้ช่วยดูให้มั้ย”

                  เขาถามด้วยความหวังดี ก่อนที่จะเดินไปดูรถที่ผมเพิ่งจากมาไม่กี่ก้าว

                  อ้าว! สรุปมาดูรถไม่ได้มาดูกู ห่วงรถแต่ไม่ได้ห่วงกูว่างั้น เจ็บจี๊ดไปถึงขั้วใจเลยว่ะ เวลาถูกเมิน

                  จากนั้นผมจึงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังดูสภาพภายนอกของรถให้

                  “อ๋อ” ผมตอบกลับเสียงหลง ยิ่งบวกกับหน้าตาตอนนี้ช่างเหมาะเจาะลงตัวจริงๆ ผีบ้าแหละ! “รภเราไม่ได้เป็นอะไรหรอก เราแค่ไม่มีแรงพอที่จะขับมันกลับหอก็เท่านั้นเอง” ผมถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้าจากการรับน้องมาทั้งวัน

                  “เป็นอย่างนี้นี่เอง” เขาพยักหน้าพึมพำกับตัวเองพลางใช้มือเกาศีรษะแก้เขิน “งั้นให้เราไปส่งที่หอให้เอามั้ย ว่าแต่นายอยู่หอในหรือหอนอก” พอได้ยินคำพูดของคนตรงหน้า มันก็ทำให้ผมคิดไม่ตกทันที

                  จะเอายังไงดีวะ ถ้าให้เขาไปส่งมันก็ดีอยู่หรอก กูก็ไม่ต้องขึ้นรถเมย์หรือแท็กซี่ให้เหนื่อยไปมากกว่านี้ แต่เขาเป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้ว่าที่เขาเข้ามาหาเรามีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า จะมาดีหรือชั่วก็ยังไม่รู้แน่ชัด ยิ่งมาตอนพลบค่ำด้วย ทุกอย่างมันลงตัวเหมือนเห็นในข่าวสัปดาห์ที่แล้วอีก ความกลัวเริ่มครอบงำและชักนำผมเข้าแล้ว แต่จะให้เราไว้ใจเขาเลยก็ไม่ใช่ เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยด้วยซ้ำ เพิ่งเจอกันครั้งแรกอีก

                  ว่าแต่ใครจะกล้าทำผมอย่างที่ว่าวะ ถึงจะไม่มีทักษะป้องกันตัว ก็พอมีพลังให้อุ่นใจบ้างนะ แต่ร่างกายตอนนี้มันกลับไม่มีแรงพอที่จะทำแบบนั้นหรอก ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ ก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากจะทำให้มันเกิดขึ้น

                  หน้าตาอย่างเขาคงไม่มีพิษมีภัยหรอกมั้งเนอะ!

                  ไม่ใช่อะไรหรอกนะ! กูอยากกลับหอ! กูเหนื่อย! กูอยากจะแย่อยู่แล้ว! หน้าตาดีแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนดีเสมอไปนิ จริงมั๊ย เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมเหนื่อยเกินกว่าจะคิดอะไรไปมากกว่านี้แล้ว ต้องการพักและแช่น้ำอุ่นๆ ให้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ต้องการให้หัวถึงหมอนให้เร็วที่สุด

                 “รบกวนด้วยนะ” ผมเอ่ยพร้อมกับโค้งศีรษะเล็กน้อยตามประสาคนที่เคยเรียนเกี่ยวกับญี่ปุ่นมา  เขาก็พยักหน้ารับ แล้วเดินนำผมไปที่รถตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลจากที่จอดรถของผมเท่าไหร่นัก

                 ใช้เวลาไม่นาน ผมก็ไปยืนอยู่ตรงหน้ารถของคนแปลกหน้านั้น มันดูสะอาดเอี่ยมเหมือนเจ้ารถไม่มีผิด พอเขาปลดล็อครถ ผมจึงถือวิสาสะขึ้นรถเขาทันที ก่อนเจ้าของรถจะขึ้นรถด้วยซ้ำ ก็มันเหนื่อยนิ จะได้นั่งเบาะนุ่มๆสักที ใครจะอดใจไหวล่ะ พอเขาเห็นที่ผมทำ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากเดินไปอีกฝั่งของคนขับในนาทีต่อมาพลางหันหน้ามองผมพร้อมกับขยับปากพูดอะไรบางอย่าง เหมือนจะพูดอะไรกับผม แต่แย่ที่ผมไม่ได้ยินเพราะเหนื่อยเกินกกว่าจะรับฟังคนข้างๆ จึงทำเป็นไม่สนใจอะไรเพราะพร้อมที่จะหลับอย่างเดียว จึงไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดออกมา แต่ผมก็ยังพยายามถามคนข้างๆ

                  “เมื่อกี้ นายพูดอะไรนะ” ผมถามอย่างสงสัย เพราะเมื่อครู่ไม่ได้ยินที่เขาพูดจริงๆ

                  “คือเราจะถามว่า นายอยู่หอไหน หอนอกหรือหอใน” เจ้าตัวรอคำตอบอย่างใจเย็น

                   “อ๋อ...เราอยู่หอนอกน่ะ หอxxx นายพอจะรู้อยู่ใช่มั๊ย”

                   “รู้จักดิ หอแถวนี้เรารู้จักหมดแหละ”

                   “จริงดิ งั้นเราขอนอนก่อนนะ ถ้าถึงหอเมื่อไหร่ ก็บอกด้วยแล้วกัน” พูดจบผมก็ดึงเข็ดขัดนิรภัยมากลัดเข้าที่ตัวรับข้างๆเบาะ จากนั้นก็หันไปมองบรรยากาศข้างนอกอีกฝั่งของประตู

                   “อะเครครับ หลับตามสบายเลย” พูดจบประโยค จากที่ผมบอกกล่าวคนข้างๆไป เขาก็สตาร์ทเครื่องยนต์และขับออกไปยังจุดหมายปลายทางที่ผมบอกเมื่อครู่

                   นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่ได้ยินจากร่างสูง ก่อนที่ผมจะเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อย ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่หลับไป จนกระทั่งสัมผัสได้ถึงลมร้อนๆที่ตีเข้าปะทะกับแก้มบางๆ ผมค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นแล้วมองไปยังด้านข้าง ก็ปรากฏชายร่างสูงที่ตั้งใจขับรถมาส่ง และก็อมยิ้มให้เล็กน้อย

                   “ถึงแล้วนะ จะลงเลยมั๊ย”

                   “อื้อ อื้อ” ผมตอบกลับเสียงครางเพราะตัวเองเพิ่งตื่น อาจจะงัวเงียเล็กน้อย

                   “โชคดีนะ” เขาเอ่ยอวยพรอย่างห่วงใย

                   “...” ผมไม่ได้ตอบอะไรไป แต่กลับส่งยิ้มที่เหนื่อยล้าไปแทน เพื่อเป็นการขอบคุณที่มาส่ง เหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไร เขาก็ส่งยิ้มกลับมาให้ รอยยิ้มที่ทำให้ผมมีแรงขึ้นมานิดๆ

                   จากนั้นจึงลุกจากที่นั่งแล้วเปิดประตูก้าวลงรถ เพื่อจะเดินเข้าหอพัก แต่ในระหว่างที่จะปิดประตูรถ ก็ได้ยินเสียงจากร่างสูง

                   “เอ่อ...” เขาอ้ำอึ้งอยู่กับคำพูด ก่อนจะพูดประโยคต่อจากนั้น “นายชื่ออะไร เราชื่อเน็ทนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาพูดแนะนำชื่ออย่างเป็นมิตร

                   คงต้องตอบกลับสินะ ผู้มีพระคุณนิ

                   ผมหันกลับไปมองที่ต้นเสียงและแนะนำตัวเอง “เราชื่อเปอร์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน” พูดจบผมก็เอี้ยวตัวหันหลังกลับเดินเข้าหอ แต่พอหันกลับไปมองข้างหลังอีกที ก็ไม่เห็นรถที่นั่งมาเมื่อครู่จอดอยู่ตรงนั้นแล้ว จากนั้นจึงเดินกลับเข้าหอไป

                   ในระหว่างทางที่รอลิฟต์ในชั้นที่ 1 ผมกลับคิดถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในรถ ใช้มือจับแก้มตัวเองที่ตอนที่อยู่บนรถรู้สึกถึงลนร้อนๆ จากการหายใจออกรดใบหน้า มันทำให้รู้สึกสัมผัสถึงความอ่อนโยนอันแสนอบอุ่นจากคนที่เรารักมากจริงๆ

                   มันช่างดีเหลือเกิน

                   ยืนคิดอยู่พักนึง ประตูลิฟต์ก็เปิดและมีเสียงให้ได้ยิน มันดึงสติผมให้กลับจากความรู้สึกอิ่มเอมใจ ผมยิ้มและสลัดความคิดเมื่อครู่ทิ้งไป ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าลิฟต์และรอให้ถึงชั้นที่ห้องตัวเองที่อยากจะพักเต็มแก่แล้ว

‘เมื่อกี้คงจะเป็นความฝันสินะ! ว่าแล้วเชียว คนอย่างเราน่ะหรอ จะมีคนมาชอบ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก แค่ทำดีกับเราก็เกินพอแล้วล่ะ ดูก็รู้ว่าเขาชอบผู้หญิง เข้าข้างตัวเองเกือบจะจมน้ำแล้วไหมล่ะ ’




                 
อยากมีแต่ไม่อยากเจ็บ

ถึงจะเป็นแค่ความฝัน แต่มันก็ทำให้เรารู้สึกยิ้มออกมาได้อย่างไม่ปิดบังอยู่บ้างนะ



TBC....

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

              วันนี้เป็นวันเริ่มเรียนวันแรก ประเดิมด้วยวิชาชีววิทยาเป็นวิชาแรก ค่อนข้างจะอิดโรยมากจากกิจกรรมรับน้องเมื่อวาน รู้แค่ว่าพอกลับถึงห้อง ก็ล้มลงนอนกะจะงีบพักผ่อนสักหน่อยก่อนจะไปอาบน้ำ กลับหลับยาวจนมาถึงตอนรุ่งเช้าของอีกวันโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำ บางทีก็สกปรกแหละ สภาพตอนนั้นคือดูไม่ได้เลย ขนาดรอยที่เกิดจากการนอนหลับยังไม่จางหายหมด แต่ร่างกายก็พอมีแรงขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงจะไม่ถึง 100% ก็ตาม

              คลาสเรียนนี้เป็นที่เรียนรวมของหลายคณะที่เรียนเกี่ยวกับวิชานี้ ส่วนมากจะเป็นสายวิทย์ เช่น ทันตะ เภสัช พยาบาล และแพทย์ จะมีอีกคณะหรือไม่ อันนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะเท่าที่จำได้นะก็มีเท่านี้แหละ

             ผมที่กำลังมุ่งหน้าไปห้องเรียน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเหมือนมีคนวิ่งมา ผมก็ไม่เอะใจอะไรมาก เพราะบางทีเขาอาจจะกำลังรีบเข้าเรียนก็เป็นได้ แต่...มันไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเนี่ยสิ เพราะคนที่ว่านั่น มันวิ่งมาแล้วมาหยุดข้างหลัง แล้วก็ใช้นิ้วจี้เข้าที่สะเอวผม จนทำให้ผมเดินบิดตัวเอี้ยวไปทางด้านข้าง

            “เชี่ย!” ผมอุทานพร้อมกับหันหลังมองด้วยสีหน้าไม่พอใจกับการกระทำของคนที่อยู่ข้างหลังที่พร้อมจะกินอะไรก่อนเข้าเรียน

             “จี้แค่นี้ถึงกลับต้องเอี้ยวตัวเลยหรอวะ” เสียงจากคนข้างหลังดังขึ้นพร้อมกับแสดงรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์มาให้ที่ตัวเองทำสำเร็จ “อ่อนว่ะ”

             “ก็มันตกใจมั้ยล่ะ” ผมตะโกนเสียงแข็งใส่ เริ่มจะงอลที่ทำอะไรไม่บอกหรือไม่ให้สุ้มให้เสียงของมันละ

             “แค่นี้ก็ทำเป็นโกรธไปได้ ป๊ะไปเรียนกัน” จะไม่ให้โกรธได้ยังไงฟะ ถ้าเกิดกูถือของสำคัญแล้วเผลอทำหลุดมือหล่นแตกล่ะ มึงจะว่ายังไง?

             “เออๆ” ผมตอบกลับเสียงเรียบ กระชับกระเป๋าสะพายที่หลุดจากไหล่ขึ้น แล้วตัวต้นเหตุก็มายืนเกาะไหล่ผมพลางบอกให้เดินไปข้างหน้าเพราะตัวเองจะเล่นเกมในระหว่างที่เดิน คนๆนั้นก็คือ แพร

              จากนั้นผมก็เดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับตัวปรสิตที่เกาะติดหนับไม่มีวันปล่อย จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นอีก พอเดินผ่านเสาเท่านั้นแหละ ก็เกิดเรื่องขึ้น แต่ตัวปรสิตที่เกาะไหล่ผมตอนนี้กลับหายเข้ากริบเมฆไปไหนแล้วก็ไม่รู้

               “เห้ย! อะไรอีกวะเนี่ยแพร” ผมคิดว่าเป็นแพร แต่แพรไม่ได้รูปร่างใหญ่ขนาดนี้นิ จากนั้นจึงพยายามใช้แรงทั้งหมดทั้งมวลที่มีแกะแขนอันอวบใหญ่ที่กอดคอผมแน่นให้ออกจากการเกาะกุม แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะร่างกายผมกับอีกคนช่างมีสัดส่วนแตกต่างกันมาก แถมร่างกายที่ยังไม่ฟื้นดีอีก จะให้สู้แรงของคนข้างหลังก็ยังไงๆอยู่

               ไม่มีการตอบกลับจากคนข้างหลัง เพียงแต่ได้ยินเสียงหัวเราะที่ไม่ดังมากนัก สอดเข้าสู่โสตประสาท พร้อมกับการจี้สะเอวอีกรอบ และเริ่มจี้เอวอีกหลายๆ รอบจนผมแทบจะชักดิ้นชักงอบนพื้นเข้าแล้ว ท่าทางจะสะใจมากเลยทีเดียวที่แกล้งผมสำเร็จ อันที่จริงถ้าจี้แค่ครั้งเดียวผมก็ไม่จั๊กจี้เท่าไหร่หรอก แต่นี่มันมาแบบไม่ทันให้ตั้งตัวก็เลยตกกระไดพลอยโจนไปตามที่คนข้างหลังเขาตั้งใจไว้

                “ปล่อยกู ปล่อยกู” ความพยายามที่จะสลัดคนข้างหลังไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ผมจึงเลิกล้มความตั้งใจ ทำใจเย็นๆ ไม่ตอบโต้กลับไป คนข้างหลังเขาเห็นว่าเราไม่สนุกด้วย เขาอาจจะปล่อยเราเองก็ได้

                แต่ตอนนี้ กูจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว พลังช้างสารจริงๆ

                “แค่ก แค่ก”  ผมพยายามที่จะแกกะมือคนข้างหลังออกอีกรอบ แต่มันก็ไม่ได้ผลอยู่ดี มึงไม่ใช่คนตัวเล็กๆนะโว้ย! ดูตัวเองบ้าง “มึงทำอะไรของมึงอีกเนี่ย” หันกลับไปถามอีกครั้ง เผื่อเจ้าตัวจะตอบกลับ

                “มึงรู้หรอว่ากูเป็นใคร” เสียงจากคนข้างหลังตอบกลับอย่างเล่ห์นัย

                “จะให้ไล่ลักษณะหน้าตาและร่างกายของมึงมั๊ยล่ะ อีอ้วน!” ผมตอบกลับอย่างหัวเสีย นี่มึงอายุเท่าไหร่แล้ว เล่นเป็นเด็กไปได้

                 ได้ยินแค่เสียงหัวเราะและเห็นแขนกูก็รู้แล้วว่าเป็นใคร และอีอ้วนที่ว่าก็คือ อัง ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ที่ใหญ่ไม่ใช่ยศศักดิ์อะไรนะ แต่เป็นรูปร่างต่างหาก

                  “จะปล่อยไม่ปล่อย” ผมทำเสียงขู่

                  “ว้า หมดหนุกเลย” อังปล่อยผมให้เป็นอิสระจากวงแขนอันอวบอึ๋ม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเซีงๆ

                  “ความสนุกของมึงจะทำให้กูตายวันตายพรุ่งก็ยังไม่รู้เลยนะ” ผมพูดพลางมองตาขวางใส่เพื่อนตัวดี แล้วเดินหนี ทำท่างอลใส่

                  “คร้า ขอโทษก็ขอโทษ หายงอลได้แล้ว” อังวิ่งตาม พยายามทำให้ผมหายงอล โดยเข้ามาคลอเคลียเหมือนสุนัข

                  “หยุด! อย่ามาเกาะไหล่กู” ผมพูดห้ามปรามพลางชี้หน้า

                  “บอกกูมาก่อน หายงอลยัง”เจ้าตัวยังพยายามเกาะไหล่ไม่ให้หลุดจากการสลัด

                  “กูงายงอลตั้งนานแล้ว เพราะงั้นปล่อยกูได้แล้ว”

                  “ก็แค่เนี๊ย ทำเป็นผู้หญิงไปได้” มันเอ่ยแซว

                  “เมื่อกี้ มึงว่าไงนะ” ผมหันถามเจ้าตัว เหมือนกับได้ยินอะไรแว่วๆ

                  “ไม่ได้พูดอะไรนิ” อังทำตัวพูดปัดสิ่งที่ผมถาม

                  “ว่าแต่พวกมึงเหอะ ทำไมถึงรวมหัวกันแกล้งกู”

                  “ก็ไม่มีอะไรหรอก” ดูมันพูดเข้า ช่างแตกต่างจากสีหน้าเป็นอย่างมาก ยิ้มซะหน้าบานขนาดนั้น

                  “แน่นะ” ผมถามย้ำ

                  “มึง กูถามมันได้มั้ย ต่อมเสือกกูเริ่มจะทำงานแล้ว” แพรขออนุญาตจากอังอย่างชั่งใจ

                  “แล้วแต่มึงดิ” อังตอบกลับเสียงเรียบ

                  “งั้น...” แพรลากเสียงยาว สีหน้าระรื่นแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่า ‘อยากรู้เต็มแก่แล้ว’

                  “มีอะไรหรือป่าววะ”

                  “พวกกูอ่ะไม่มี แต่มึงอ่ะมี” แววตาสอดรู้สอดเห็นช่วยเก็บให้มิดหน่อยดิวะ

                  อะไรอีกวะ ปกติกูก็อยู่กับพวกมึงตลอด ไม่เคยไปทำอะไรให้ใครเขาเดือดร้อนสักครั้งเลย แต่จะให้ผมไปทำอะไรใครได้ไง เพระเลิกเรียนเสร็จก็กลับห้อง ไม่ได้เถลไถลไปไหนสักหน่อย ว่าแต่! เรื่องที่มันจะพูดกับเรื่องผมคิดมันตรงกันหรือเปล่าวะ

                  ชักสงสัยเข้าแล้วสิ!

                   “กูมีอะไรอีก” ผมถามคาดคั้นเอาคำตอบด้วยน้ำเสียงที่ออกไปทางขู่

                   “ก็...” แพรตอบพร้อมทำหน้าลังเลกับสิ่งจะพูด

                   “นี่มึงจะลากเสียงยาวอีกซะกี่รอบ กูจะไปเข้าเรียนก่อนแล้วนะ ถ้ามึงไม่พูด” ผมให้คำขาดทันที เพราะอารมณ์เริ่มจะไม่ดีเข้าขั้นโคม่าแล้ว หลังจากที่รอได้ไม่นาน

                   “ก็กูเห็นอ่ะ” แพรทำสีหน้าอายๆ พร้อมกับเอานิ้วชี้ของมือทั้งสองข้างชนกัน

                   “เห็นอะไร บอกกูมา” ผมทำเสียงขู่ใส่แพร จ้องหน้าอย่างเค้นเอาคำตอบ

                   “ไอ้หนุ่มหน้าหล่อนั่น เป็นใคร” อังพูดแทรก

                   “คนไหน” ผมทำสีหน้าสงสัย จนคิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากัน

                   “อย่ามาตอแหล เมื่อกูยังเห็นเขาไปส่งมึงอยู่เลย”

                   “อ๋อ คนๆนั้นอ่ะนะ” เหมือนจะจำได้นะ แต่ก็จำได้ไม่หมดหรอก ถ้าไม่ได้เจอเขาอีกครั้ง

                   “ใช่ๆ” มันตอบรับ “แล้วเขาชื่ออะไร เรียนคณะอะไร และปีไหนด้วย”

                    โห! นี่มึงยิงคำถามมาซะขนาดนี้จะให้กูตอบยังไง

                  “ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเขาเองดิ” ผมถามกลับพร้อมกับยักคิ้วใส่ไปทีนึง ก่อนที่พวกนางจะพากันปี๊ดแตกตรงนี้ แล้วก็เข้ามาล็อคคอผมอีกครั้ง

                  “กวนตีน จะบอกไม่บอก” มันทำเสียงขู่ใส่ จริงจังไปอี๊ก

                 “เออ บอกก็ได้วะ” ขัดขืนไม่ได้ ยังไงก็ต้องยอมสถานเดียว สู้ไปก็มีแต่ตายกับตาย ก็ดูหุ่นมันดิ ขนาดผู้ชายยังกลัวเลย

                “ต้องอย่างงี้สิวะ ว่าง่ายๆหน่อย จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว” กูเจ็บไปแล้วอีสัด จากนั้นมันจึงปล่อยแล้วให้ผมเข้าเรื่องที่พวกมันอยากรู้

                 “เขาชื่อเนท กูรู้แค่นี้แหละ”

                 “แค่เนี๊ยะ แน่หรอ” แพรยังถามเอาคำตอบเหมือนเคย

                 “แน่ดิ กูจะโกหกมึงไปทำไม โกหกแล้วกูถูกล็อตเตอรี่มั้ยล่ะ”

                “เออๆ เชื่อก็ได้วะ” ทำไมเชื่อง่ายจังวะ มันพูดอย่างไม่เป็นไปตามไปตามความหวังที่รอ พร้อมกับเดินนำหน้าเข้าห้องเรียนไป

                 “เป็นแม่งไรวะ” ผมงงกับท่าทางของมัน ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ถามคาดคั้นซะอย่างนั้น แต่พอได้คำตอบ มันกลับเดินหนีไปซะอย่างนั้น

                กูงง!

                 “มันไม่ได้เป็นอะไรหรอก” ทรายเดินมาข้างหล้ง ตบไหล่พร้อมกับพูด “มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหละ มึงไม่ต้องซีเรียสไป” ท่าทางสบายใจของมันทำให้ผมกลับงงเข้าไปอีก แทนที่จะตอบคำถามกูดีๆ ยังเหลือปริศนาให้กูต้องหาคำตอบเองอีก แล้วทรายก็จูงแขนผมเข้าห้องเรียน


********************************************************************************************************************************



              ห้องเรียน

              พอเข้าไปก็เจอกับนักศึกษามากหน้าหลายตาที่กำลังจะเต็มห้องอยู่รอมร่อ นั่นยิ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผมที่จะมองหาเพื่อนตัวดีทั้งสองที่หนีหายไปเข้าห้องมาก่อน แต่ก็ไม่ถึงกับมองหาซะทีเดียว เพราะเจ้าตัวที่ถูกพูดถึงคงจะรู้แหละว่าพวกผมต้องมองหาแน่ อังก็เลยโบกมือขึ้นให้สัญญาณ ซึ่งนั่นก็ทำให้มองไม่เห็นอีกเช่นเคย ทั้งเสียงดัง คนก็เยอะ ไม่รู้จะหายังไง

                เมื่อไม่เห็นว่าคนข้างล่างมองเห็น อังจึงลุกขึ้นยืน โบกมือพร้อมตะโกนเรียกชื่อจากที่นั่งที่ตัวเองยืนอยู่ ทุกคนในห้องต่างเงียบกับเสียงอันสะท้านก้องโลกของอัง พลังเสียงของมันมีมากกว่าปกติถึง 2 เท่าเลยทีเดียว เพราะรูปร่างที่ใหญ่ส่งผลให้ปอดใหญ่ไปด้วย พลังที่เปล่งออกมาก็เลยมีมากและทรงพลัง และมันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นนะ พวกเขาต่างมองมากลุ่มผมที่กำลังเดินไปยังที่นั่งอย่างหมั่นไส้

                  น่าอายชะมัด!

                  อังมึงทำอะไรของมึง คนในคณะและต่างคณะมองมาที่พวกผมไม่หยุด ตั้งแต่ที่ยืนอยู่ข้างล่างจนเดินขึ้นมาบนที่นั่ง ตอนอินมาแทบจะปี๊บคลุมหัวหรือมุดดินหายไปเลย พอถึงที่นั่งผมก็ก้มลงค้นหาของในกระเป๋าสะพายเพื่อเบนสายตาคนอื่นให้เลิกจ้องมองมาที่ตัวผม

                  แล้วก็เป็นไปตามคาด พวกเขาเลิกมองแล้วหันมองจอโปรเจคเตอร์ ที่พวกเขาเลิกจ้องมองน่ะ ไม่ใช่ว่าเบื่อหน้าผมหรอกนะ แต่เพราะอาจารย์เข้าคลาสแล้วต่างหาก

                  คาบนี้เป็นคาบแรกของวิชาชีวะ ตามที่ฟังอาจารย์พูด ผมว่ามันไม่ค่อยต่างจากสมัยเรียนมัธยมสักเท่าไหร่ เพราะเป็นคาบแรกจึงเป็นแค่การปูพื้นฐานเพื่อจะได้เอาความรู้ในส่วนนี้ไปต่อยอดเนื้อหาในสัปดาห์ถัดๆไป

                  ใจจดใจจ่อกับจอโปรเจคเตอร์อยู่นาน จนทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่าย เปลือกตาก็จะปิดอยู่รอมร่อ อยากจะคุยกับเพื่อนเต็มแก่แล้ว แต่พอหันไปหาเท่านั้นแหละ กลับเห็นพวกมันนอนหลับตายกันไปก่อนแล้ว หลับแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลยพวกนี้ ทั้งซ้ายทั้งขวาต่างหลับกันหมด ก็ไม่แปลกหรอก เพราะเมื่อวานแต่ละคณะแต่ละคนต่างลุยกิจกรรมรับน้องกันอย่างสนุกสนาน เป็นไงล่ะผลลัพธ์ที่ได้ รู้ซึ้งเลยอ่ะดิ แม้กระทั่งทรายเอง สาวสวยที่สุดในกลุ่มก็เป็นไปกับเขาด้วย ไม่วายที่จะหลับตามพวกนั้นไป

                  เห็นแบบนั้นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้พลางหัวเราะในลำคอไปด้วย ถึงจะอายุ 18 19 ไล่เลี่ยกัน แต่พวกเราก็ยังเป็นเด็กอยู่ดีนั่นแหละ

                  นี่น่ะหรอ คนที่จะเป็นหมออ่ะ

                  จากนั้นผมจึงไม่คิดที่จะหลับ กลับล้วงกระเป๋ากางเกงหาโทรศัพท์ที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว อยากจะเป็นเด็กดีอย่างที่บอกกับแม่อยู่หรอกว่าจะไม่เล่นโทรศัพท์ในระหว่างที่อาจารย์สอน แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะหยิบขึ้นมาเล่น ที่หยิบขึ้นมาเล่นนะ ก็เพราะจะถ่ายรูปแบล็คเมล์พวกมันทีหลัง ก็ดูสินอนซะน้ำลายเยิ้มเชียว ขอถ่ายเก็นไว้เป็นที่ระลึกหน่อยแล้วกัน

                  ไว้ค่อยเซอร์ไพรส์มันทีหลัง555

                  พอคิดเช่นนั้น ผมก็ลงมือถ่ายรูปเก็บภาพไว้ในโทรศัพท์ แต่ที่ถ่ายได้มีแค่คนข้างๆเท่านั้น ยังเหลืออีกสองรายที่ต้องจัดการ

                  “พักเบรก 10 นาที ค่ะ” เสียงของอาจารย์จากหน้าชั้นกล่าวบอก จากนั้นทุกคนในห้องหันคุยกันไม่ก็ทยอยกันไปเข้าห้องน้ำในช่วงนี้ แต่ที่น่าแปลกก็คือ เพื่อนในกลุ่มกับไม่ตื่นสักคน ได้จังหวะเหมาะเจาะผมจึงลุกขึ้นออกจากที่นั่ง เดินไปถ่ายรูป 2 คนที่เหลือพร้อมกับละเลงนิ้วกดถ่ายรูปให้เร็วที่สุด ก่อนที่เจ้าตัวจะรู้ตัวว่าถูกแอบถ่าย

                  หลังจากเวลาพักเบรก 10 นาที ก็เข้าสู่โหมดเรียนปกติ สัญญากับแม่ไว้แล้วจะตั้งใจเรียน ว่าจะปลุกพวกนั้นขึ้นมาอยู่หรอก หลับได้อร่อยมาก น้ำลายเป็นตัวการันตี555 แต่กลุ่มพวกเราก็มีสิ่งที่ตกลงกันไว้แล้วว่า ‘ใครเป็นคนสุดท้ายที่ไม่นอนหลับ ต้องเลกเชอร์ไว้ให้เพื่อนดู’ แล้วก็เป็นผมที่ดวงเฮงในเวลานี้

                  เรียนเสร็จพวกเราก็เดินไปยังโรงอาหารของอาคารเรียนรวม

                  ตลอดเวลาที่นั่งเรียนในคลาส ผมไม่รู้หรอกว่าใครส่งสายตาที่ไม่เป็นมิตรมาให้ ที่ไม่รู้อาจเป็นเพราะสนใจที่อาจารย์สอนมากเกินไปมั้งนะ ก็เลยไม่ได้รู้สึกเอะใจกับสิ่งรอบตัว


******************************************************************************************************************************


           
                     โรงอาหารอาคารเรียนรวม

                 พวกผมได้ที่นั่งแล้วล่ะ แต่ผมขี้เกียจเดินไปซื้อ เลยฝากเพื่อนซื้อมาให้ทั้งข้าวราดแกงและน้ำเปล่า ถือโอกาสเอาสมุดเป็นตัวต่อรองซะเลย ตอนแรกที่ได้ยินพวกมันก็บอกเสียงเดียวกันเลยว่า ‘ถ้าขี้เกียจเดินก็ไม่ต้องแดก’ ผมจึงยกสมุดที่เลกเชอร์ขึ้นให้พวกมันเห็น จนพวกมันอือออตามกันโดยไม่เถียงเลยสักคำ

                 โดยส่วนมาก ผมไม่ค่อยกินพวกน้ำหวานสักเท่าไหร่หรอก เฉพาะกินกับข้าวนะ ถ้าเป็นเวลาปกติก็กินบ่อยเลยล่ะ อย่างน้อยก็ต้องได้กินวันละ 2 แก้วอ่ะ

                  นั่งรอไปครับ แต่เพื่อนก็ไปนานแล้วนะ มีคลาสเรียนตอนบ่ายด้วยนะเว้ย

                 ช่วงเวลาพักเที่ยง นักศึกษาก็เลยเยอะแยะเต็มไปหมด อีกอย่างพวกเราก็เป็นเด็กปีหนึ่งด้วย ยังไม่รู้ลู่ทางว่าร้านไหนอร่อย จะได้ซื้อแต่ร้านนั้น เพราะงั้นตอนนี้ก็อยู่ในช่วงลองและชิมไปทุกๆร้านจนกว่าจะหมด

                  ขณะที่นั่งรอผมก็เลือกที่จะเช็คข่าวสารทางโซเชียล ทั้งข่าวบันเทิง ทั้งข่าวรอบวันและอื่นๆสารพัด จนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัวใดๆทั้งสิ้น จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาหาและเคาะที่โต๊ะ

                  ก๊อก! ก๊อก!

                  มันทำให้ผมละสายตาจากโทรศัพท์ไปชั่วขณะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผู้มาเยือน

                  ตะลึงกับความความหล่อที่เหมือนคุณชายไปชั่วครู่เลยกู ช่างต่างกับกูมาก ก็จะใครซะอีกล่ะ ก็คนที่มาช่วยผมเมื่อวานไง ใบหน้าแบบนี้มีแค่คนๆนั้นคนเดียวแหละ ผมมองหน้าแล้วก็ถามคนตรงหน้าไป

                   “อ้าว! ใช่เนทป่ะเนี่ย” ยังจะถามอีกกู ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ

                  ก่อนที่เนทจะมาเคาะ ผมก็สังเกตเห็นอยู่หรอกว่ามีคนเข้ามาใกล้ แต่เขาอาจจะเดินผ่านก็ได้ ผมจึงทำเป็นไม่สนใจ จนได้รู้อีกทีว่า คนๆนั้นไม่ได้แคเดินผ่านแต่กลับมาเคาะที่โต๊ะ เพื่อให้เงยหน้ามองต้นเสียง

                  “ใช่ๆ” เน็ทผงกหัวตอบรับพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร “หายดีใช่มั้ยเนี่ย” เจ้าตัวถามพลางถือวิสาสะยื่นหลังมือมาแตะเข้าที่กลางหน้าผากอันอุ่นๆของผม

                   นี่มันอะไรกันวะ กูไม่เข้าใจ ทำไมมาทำแบบนี้ แค่เป็นห่วงเท่านั้นหรอกหรอ...

                  ผมนิ่งค้างกับสิ่งที่เนททำ ไม่ใช่แค่แตะหน้าผากนะ หลังจากนั้นเขาก็ใช้มือข้างเดิมแตะที่แก้มทั้งสองข้างที่ขรุขระไปด้วยสิว

                  ไม่รังเกียจกูหรือไง

                  พอตั้งสติได้ผมจึงปักมือของอีกฝ่ายออกไปแล้วเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไรแล้ว”

                  “แน่น ” เนทถามย้ำ “คงไม่ให้ไปส่งหออีกนะวันนี้”

                 “แน่ดิ”ผมตอบ “เราไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก ว่าแต่เนทเหอะ มาทำอะไรที่นี่อ่ะ” คนตรงข้างนิ่งสลับกับงงไปชั่วขณะที่ผมถาม ทั้งที่หลักฐานเห็นอยู่เต็มๆตา ยังจะถามอีกนะกู

                “แหมๆ ที่เราถือจานข้าวบนมือขนาดนี้ คงไม่ได้ก่อสร้างหรอกมั้ง” อีกฝ่ายตอบอย่างกวนตีน ผมก็กระพริกตาสองทีกับคำตอบที่ได้ คนหล่อก็มีอารมณ์ขันเหมือนกันเนอะ

                  “กวนตีนก็เป็นนะเรา”

                  “ก็จะทำอะไรซะอีกล่ะ ที่นี่มันโรงอาหารนะ” กวนอีกนะ

                  “อ่าๆ พอจะรู้แล้วล่ะ” ผมยอมรับในสกิลปากของอีกฝ่ายจริงๆ

                  “แล้วเปอร์มาทำอะไรล่ะ”

                  “ยังไม่จบอีกนะเรา” ผมมองตาขวางใส่

                  “5555” อีกผ่ายหัวเราะด้วยความชอบใจ ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาของเรื่องที่จะถาม “แล้วเปอร์ไม่กินข้าวหรอ”

                  “กินดิ แต่ฝากเพื่อนมันไปอีกทีอ่ะ” ผมพูดพลางชี้นิ้วไปยังเพื่อนที่เริ่มทยอยมาจากซื้อข้าว

                  เนทมองไปยังทิศทางที่ผมชี้ไป แล้วก็แสดงสีหน้าเข้าใจ คงจะคิดว่าไม่ควรที่จะอยู่ที่นี่แล้ว เนื่องจากเพื่อนของอีกฝ่ายก็กำลังเดินกลับมา จึงไม่คิดจะอยู่ต่อ

                  จากนั้นจึงหันกลับมามองหน้าผมแล้วพูด

                  “งั้นเราไปก่อนดีกว่า”

                  “อืม” ผมผงกหัวตอบรับ

                  “กินข้าวให้อร่อยนะ ไปละ” เนทพูดพร้อมโบกมือลา

                  “เนทก็เหมือนกัน”

                   “อืม” เนทเอ่ย พร้อมกับหมุนตัวแล้วเดินไปยังโต๊ะของตัวเองที่มีเพื่อนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

                   ผมมองแผ่นหลังร่างสูงที่เพิ่งเดินจากไป ก่อนจะมีเสียงจากเพื่อนๆดังขึ้น

                  “แหมๆ มองไม่กระพริบตาเลยนะมึง” ผมมองหาต้นเสียงที่เอ่ยแซว ก็พบว่าเป็นชามเองแหละ แล้วก็พบว่าเพื่อนในกลุ่มมากันครบหมดแล้ว จากนั้นพวกเพื่อนทั้งหลายจึงวางจานข้าวแล้วนั่งลง

                 “อะไร” ผมถาม แต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะคำถาม เพราะตั้งแต่นั่งลงก็จ้วงข้าวเข้าปากทันที

                 พอไม่เห็นว่ามีใครคิดจะตอบคำถามผม ผมจึงลงมือกินอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า โดยไม่สนใจพวกมัน แต่กลับถูกมือของทรายที่นั่งอยู่ข้างๆ วางลงบนต้นขา ทำให้ผมหันมองหาเจ้าตัวทันที

                 “อะไรของมึงอีกเนี่ยทราย” ผมถามเจ้าตัว แต่มันกลับส่งสีหน้าสงสัยมาแทนคำตอบที่ผมจะได้รับ ในระหว่างที่จะเอามือของทรายออก เพราะรู้สึกขนลุก เจ้าตัวกลับกระซิบบางอย่าง

                 “กูเห็นนะมึง ว่าเมื้อกี้มองใครอยู่” ทรายพยายามไม่เอ่ยชื่อถึงคนๆนั้น แต่ในขณะนั้นเอง อังก็พูดขึ้น

                 “นี่อีทราย ถ้ากระซิบของมึงจะดังขนาดนี้ ทำไมไม่พูดออกมาให้พวกกูได้ยินเลยวะ” คำพูดนี้เป็นของแพร ทรายก็เลยถูกเอ็ดไปทีนึง

                  “เมื่อกี้พวกกูก็เห็นกันหมดทุกคนแหละ ไม่ใช่แค่มึงคนเดียว” อังเอ็ดทรายไปพร้อมกับหันมาทางผมที่เริ่มประเด็น

                  เพราะผมมองเนทสินะ!

                 ไม่น่าเลยกู!

                 จากนั้นผมก็เอามือของทรายออกไปจนสำเร็จ ก่อนจะก้มหน้ามาสนใจจานข้าวตรงหน้า

                 “อีเปอร์” ผมเงยหน้าขึ้นมองอังอย่างเร็ว รีบเกินไปจนไดยินเสียงกระดูกกระคบกัน

                 “เมื่อกี้ มึงคุยกับใช่มั้ยวะ” ดังโน้มตัวเข้ามาถาม

                 “อืม” ผมพยักหน้ารับ

                 “เดี๋ยวนี้มีการพัฒนานะมึง” มันแซวผมอีกรอบ

                 แซวให้ตายกูกูไม่เขินหรอก เพราะกูยังไม่ได้ชอบเขา

                 “พัฒนาอะไรวะ” ผมตอบกลับด้วยสีหน้าสงสัย “ก็แค่คุยกันเฉยๆ ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย”

                 “แน่หรอ” เหมือนอังจะยุให้ผมชอบคนที่มันกล่าวถึง

                 “แน่ดิ” ผมตอบจริงจัง ให้มันรู้ไปเลยจะได้เลิกตอแย

                 “ให้มันจริงเห๊อะ” อังเอ่ยเสียงสูง ก่อนจะละสายตาที่จ้องผมเพื่อเอาคำตอบไปสนใจจานข้าวของตัวเอง

                 “แล้วมึงจะไม่กินหรอวะ ตอนบ่ายมีคลาสเคมีนะเว้ย” พอได้ยินที่แพรเอ่ยเตือน ผมจึงรีบจ้วงข้าวเข้าปากอย่างรวดเร็ว



มีต่อนะ...


ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0



              ต่อจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากครับ พวกเรากินข้าวเสร็จ ก็ออกจากโรงอาหารแล้วไปห้องที่สอนคลาสเคมีในตอนบ่าย การเรียนในห้องก็เหมือนเดิม กินข้าวมาอิ่มๆ หนังตาก็เริ่มหย่อน จะหลับไม่หลับแหล่อยู่แล้ว แต่พวกนั้นนี่สิ หลับๆตื่นๆ จนผมสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เมื่อคืนพวกมันไม่ได้นอนกันมาหรือไง

               หลังจากเรียนเสร็จผมก็แวะเข้าห้องน้ำไปปลดทุกข์ เพราะข้าวเมื่อตอนกลางวันทำพิษ ก็เลยบอกให้เพื่อนที่เหลือไปรอที่รอรถ

                ในขณะที่เดินไปโรงรถข้างอาคารเรียนรวม ทั้งเดินและเล่นโทรศัพท์ไปด้วยตามระเบียงทางเดิน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กระทบด้วยความเร่งรีบจากทางด้านหลัง ผมจึงขยับไปด้านข้างเพื่อให้คนที่รีบๆนั้น วิ่งได้สะดวก แต่มันก็เป็นอย่างที่ผมคิด

                  ผลั่ก!

                ผมเซล้มไปด้านข้างจากการถูกวิ่งชนไหล่ของบุคคลปริศนา ยังดีที่มือก็ควานหาสิ่งที่พอยึดเกาะได้ ไม่งั้นอาจจะตกลงไปข้างล่างแล้วก็ได้ และต้องขอบคุณความโชคดีที่ยังมีราวเหล็กจากระเบียงให้ยึดเกาะ คนๆนั้นมันชนแรงมาก จนผมไม่คิดว่าเป็นแค่ความบังเอิญ แต่นี่มันตั้งใจชนกันชัดๆ

                ผมที่นั่งอยู่บนพื้นจากการ ล้มเมื่อครู่ หันไปหาพวกที่ชนอย่างหาเรื่อง แต่ที่ผมเห็นเป็นชายร่างสูง หน้าตาดีมีสกุลทั้งสามคนยืนจ้องมองมาที่ผมอย่างสะใจ ดูแว๊บแรกก็รู้แล้วว่าพวกนี้ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ผมสลับมองพวกมันทีละคน เผื่อหนึ่งในนั้นจะเป็นคนที่ผมเคยไปหาเรื่อง แต่อย่างผมนี่นะจะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถ้าไม่ใช่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มก่อน

                 ในใจก็คิดอยู่เพียงว่า ‘กูไปทำอะไรให้แม่งวะ’

                 ในขณะที่ผมจะชันตัวขึ้น พวกมันคนหนึ่งก็เข้ามาผลักผมให้นั่งลงกับพื้นเหมือนเดิม ตัวผมก็ล้มไปตามแรงผลักนั้นอย่างขัดขืนไม่ได้ แล้วก็ไปกระแทกกับราวระเบียงเหล็ก เจ็บจนอุทานออกมา

                  “โอ๊ย” เสียงอุทานนั้นถูกเปล่งออกจากปากผมด้วยความเจ็บ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปสบตาพวกมัน “กูไปทำอะไรให้มึงวะ ทำไมมาทำกับกูแบบนี้” ผมถามมันไปเพราะอยากรู้เหตุผลของพวกมันจริงๆ

                  “ก็กูไม่ชอบขี้หน้ามึง มีปัญหามั๊ย” ไอ้คนคนกลางตอบอย่างหาเรื่อง กวนตีนมาก แค่ไม่ชอบหน้ากูแค่นี้ ถึงขนาดต้องทำแบบนี้เลยหรอวะ

                  “แค่ไม่ชอบ เห็นแล้วมันคันตีน อยากเตะคน รู้สึกขยะแขยงหน้าตามึงไง” ไอ้คนกลางแถยาวโดยเน้นที่ประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เหตุผลแค่นี้ พอมั้ย” พูดจบมันก็เข้ามาผลักหน้าผากให้ล้มไปข้างหลังและมันก็โขลกเข้ากับราวระเบียงเหล็กอีกรอบ

                  คำตอบที่ได้จากไอ้คนกลางทำให้ตัวผมในตอนนี้ รู้สึกโกรธจนแสดงออกทางสีหน้า มือข้างหนึ่งก็กุมกำปั้นพร้อมกับกัดฟันเสียงกรอดๆ อยากจะลุกขึ้นไปต่อยไอ้คนกลางอย่างเอาเป็นเอาตาย

                  เกลียดการกระทำและเหตุผลของพวกมันที่สุด

                  “อะไรวะ แค่นี้ก็ของขึ้นแล้วหรอวะ” คนที่ยืนข้างขวาพูดขึ้นพร้อมกับแสยะยิ้ม

                  “จัดการแม่งเลยมั๊ย”  คนที่ยืนอยู่ข้างซ้ายออกความคิดเห็นพร้อมกับโชว์หักนิ้วให้ผมได้เห็นตรงหน้า และพร้อมที่จะมีเรื่องทุกเวลา “กูไม่ถูกชะตากับแม่งตั้งแต่แรกแล้วว่ะ” พอไอ้คนด้านขวาพูดจบ ด้านข้าวทั้งสองกูมุ่งหน้าเข้ามาพร้อมที่จะต่อยผม แต่กลับถูกไอ้คนกลางขวางเอาไว้ซะก่อนด้วยแขนทั้งสองที่กางออก ทั้งสองคนหยุดชะงักและหันมองหัวหน้าแก๊งที่ห้ามตัวเองไว้อย่างสงสัย

                  “มึงจะห้ามกูทำไมวะ” คนขวาเอ่ยถาม

                  “นั่นดิ”คนซ้ายเอ่ยเสริม

                  “มึงก็ดูสภาพมันดิ ถ้าเรารุมกระทืบมันจริงๆ มึงคิดว่าจะรอดหรอวะ” คนกลางตอบพลางหันหน้ามาที่ผม แล้วทั้งสองที่เหลือก็หันตาม “และกูไม่อยากเป็นฆาตกร กลัวเสนียดติดตีนด้วยว่ะ” คนตรงหน้าทั้งสองมองผมอย่างน่าสมเพช

                  “ที่มึงพูดก็มีส่วนถูก กูเห็นด้วย” คนขวาเห็นด้วยกับที่คนกลางพูด

                  “แล้วจะทำไงกับมันดีวะ” คนทางซ้ายเอ่ยถาม “รีบคิดเร็วๆนะมึง ก่อนที่กูจะได้อักมันซะก่อน” ไอ้นี่! ถ้ามึงอยากจะต่อยกูนัก มึงก็เอาเลยสิ

                  อย่าคิดว่ากูจะกลัว

                   “กูว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า” พอไอ้คนกลางพูดจบ มันก็ยื่นไปหยิบกาแฟเย็นในมือจากคนข้างซ้าย ก่อนจะสาดมายังใบหน้าของผม

                   ใบหน้าผมตอนนี้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำกาแฟจากคนตรงหน้า น้ำที่ไหลจากใบหน้า เส้นผม ค่อยๆ หยดลงมายังเสื้อนักศึกษา สีของกาแฟค่อยๆซึมเข้าเสื้อ จนตอนนี้เสื้อนักศึกษาสีขาวไม่เหลือความสว่างให้เห็นอีกต่อไป เสื้อสีน้ำตาลคงจะเข้ามาแทนที่เสื้อสีขาวแล้วล่ะ

                   ผมรู้สึกโกรธเอามากๆ อยากจะลุกขึ้นไปต่อยพวนนั้นอย่างที่สุด แต่ก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น ไม่รู้ว่าเวลาที่ตัวเองโกรธจัดแล้วจะคุมสติอยู่หรือเปล่า กลัวอย่างเดียวคือสิ่งที่ผมพยายามปิดซ่อนมันจะออกมาให้คนพวกนี้เห็น

                   พอคิดได้แบบนั้น ผมจึงสงบสติอารมณ์ ไม่ให้มันพาไปหายนะจะอาจจะเกิดขึ้น ปล่อยให้เรื่องนี้มันผ่านไปเหมือนอย่างที่มันจะเป็นดีกว่า ไม่งั้นก็ไม่จบไม่สิ้นกันพอดี ถ้าเกิดเราทำอย่างที่ว่า เรื่องก็ไม่หยุดแค่นี้แน่นอน

                   ก็อย่างที่พูดนั่นแหละ ‘เมื่อมีเรื่องในตอนแรก เรื่องต่อจากนั้นก็จะเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่จบไม่สิ้น ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่หยุด’

                   เห็นใบหน้าที่แสยะยิ้มของทั้งสามคน คงจะสะใจพวกมึงมากสินะ ที่ทำกับกูแบบนี้

                   จากนั้นก่อนที่พวกมันทั้งสามจะเดินจากไป ไอ้คนกลางมันก็ทิ้งแก้วน้ำลงกระทบหัวของผม มันกระเด้งลงพื้นพร้อมกับหลอดดูดก่อนจะนิ่งไป มองดูสภาพตัวเองแล้วรู้สึกเจ็บใจอย่างที่สุด ผมทุบกำปั้นลงพื้นอย่างขาดสติ เลือกที่จะระบายทุกสิ่งอย่างที่เผชิญมาบนพื้น แต่ก็ไม่ใช่ขาดสติแบบที่ไม่รู้อะไร เพราะมันยังเหลือบางส่วนที่คุมสติไว้ไม่ให้พลังนั้นเล็ดลอดออกมา ไม่งั้นทางเดินนี้ได้แหลกเป็นฝุ่นผงแน่

                  นึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทันที เพราะกลัวในพลังตัวเองน่ะหรอ...

                  ผมนั่งโทษตัวเองที่กำลังจะกลับไปเป็นคนอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง ใบหน้าที่มีแต่น้ำหวาน ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลรินจากหัวตาและหางตามาสู่คาง แล้วหยดลงบนเสื้อที่เปื้อนไปด้วยสีของกาแฟ จนซึมซับเข้าเป็นเนื้อเดียวกันอย่างหยุดไม่ได้

                 สบถด่าตัวเองอยู่หลายรอบ จนเกือบจะจมไปกับความรู้สึกนี้แทบจะถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว แต่ที่ทำให้ผมหยุดจนปักกับความรู้สึกนี้คือ เสียงเรียกจากโทรศัพท์ที่สั่นและดังจากบนพื้นที่ผมทำหล่นไปในตอนที่ล้มลงกับพื้น จากนั้นผมจึงเอี้ยวตัวไปหยิบขึ้นมาดูปลายสายว่าเป็นใครที่โทรมาเวลานี้ แล้วก็กดรับ

                 “อีเปอร์ มึงอยู่ไหน จะให้พวกกูรอนานแค่ไหนเนี่ย มึงจะไม่กลับหอหรือไง รีบมาเร็วๆ เลยนะ กูหิวข้าวแล้ว ด่วน!” โห! นี่มึงจัดมาเป็นชุดเลยนะสาส มึงลองมาเป็นกูตอนนี้มั้ยล่ะ มึงจะได้รู้สึกว่ากูเป็นยังไง

                 “เออๆ กูกำลังรีบอยู่เนี่ย รอแป๊ปเดียว” พอพูดจบผมก็ชันตัวลุกขึ้น มือปาดน้ำตาที่แสดงความอ่อนแอออกมา ปรับเสียงให้เป็นปกติมากที่สุด เพื่อไม่ให้ปลายสายจับผิดสังเกตผมได้

                 “เร็วๆนะมึง กูหิว” เร่งอยู่ได้ ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่นั่นมันรถกู ถ้ากูไม่ไปถึงรถ พวกมึงก็ต้องทนหิวต่อไปอยู่ดี

                 “เออๆ”

                  “แค่นี้นะ รีบมาด้วย” คำสั่งของมึง กูไม่ทำตามโว้ย!

                  จากนั้นผมจึงรีบเดินไปยังที่จอดรถ  จัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วก้มลงมองเสื้อและกางเกงที่ตอนนี้ ทั้งสี ทั้งกลิ่น ทั้งเหนียวเหนอะหนะตัว ยังไม่มีทีท่าว่าหายไป

                  จะทำไงดีวะ?

                  คิดอยู่สักพัก ความคิดดีๆก็ผุดขึ้นในสมองทันที ผมจึงกวาดสายตามองรอบๆตัว ว่ามีคนอยู่แถวนี้หรือไม่ จะเห็นสิ่งที่เราจะทำต่อจากนี้หรือเปล่า  ถึงจะไม่อยากใช้ แต่มันก็เป็นทางเดียวที่กลับไปเจอเพื่อนแล้ว พวกนั้นจะได้ไม่สงสัยอะไร

                  แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่มีวี่แววของคนในบริเวณนี้ที่ผมกำลังเดินอยู่ เพราะเวลานี้เป็นตอนค่ำแล้ว จึงไม่ค่อยมีนักศึกษาเดินเพ่นพ่านให้มันเห็นเหมือนตอนกลางวัน ดังนั้นผมจึงหันกลับมาทางเดินข้างพลางตั้งสมาธิที่จะใช้พลัง แล้วก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น ผมก็ได้ใช้พลังที่ได้มาตั้งแต่กำเนิดให้เป็นประโยชน์ไปด้วย

                  ฝุ่นธุลีทั้งหลายที่เกิดจากสีและกลิ่นของน้ำหวานลอยออกจากเสื้อสีขาว กางเกงสีดำเป็นวงกว้างและลอยข้ามผ่านอากาศรอบตัวสู่ท้องฟ้าเบื้องบนตามความต้องการของผม ไม่ว่าจะสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน ตราบใดที่ผมยังมีสติก็สามารถได้เสมอ สามารถลบทุกสิ่งอย่างที่ผมต้องการได้อย่างหมดจด ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมทำในวันนี้ก็ไม่ใช่ตัวจริงของพลังทั้งหมด เพราะมันก็ส่วนเดียว ยังเหลืออีกส่วนที่ยังไม่ได้บอกกล่าว

                   ผมรู้สึกดีขึ้นมากและรู้สึกสบายตัวอย่างที่สุด อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่ในสภาพแบบนั้น ตอนนี้ทั้งสี กลิ่น ได้จางหายไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือร่อยรอยที่ไอ้พวกนั้นได้ทำให้เห็นอีกต่อไป จนกลับเข้าสู่สภาพเดิมอย่างที่เคยเป็นในตอนเช้า ไม่มีสี กลิ่นและความเหนียวจากน้ำหวานให้กังวลอีกต่อไป จนผมต้องยิ้มแก้มปริออกมาอย่างห้ามไม่ได้

                   ถ้าเราจะทำจริงๆ เราก็ทำได้


*********************************************************************************************************************************



                  ลานจอดรถข้างอาคารเรียนรวม

                 พอเดินมาถึงที่รถเท่านั้นแหละ ก็เห็นสภาพของเพื่อนแต่คนอย่างชัดเจน ดูไม่ได้เอาเสียเลย เห็นแล้วก็อดยิ้มและหัวเราะในลำคออย่างหยุดไม่ได้ ทั้งคนที่ขัดสมาธิเล่นโทรศัพท์รออย่างแพรและทราย นอนหลับพิงประตูอย่างอังและชาม หมดสภาพไปโดยปริยาย ผมเดินเข้าหาก็ไม่วายที่จะถูกต่อว่า

                “อีเปอร์ มึงไปทำอะไรมา ปล่อยให้กูรอตั้งนาน มึงเห็นมั้ยอีพวกนั้นนอนหลับตายไป 2 ศพแล้ว” จากที่ถูกต่อว่าทางโทรศัพท์ยังไม่วายถูกด่าต่อหน้าอีก

                ยังไม่พอใช่มั้ย ถึงได้จัดชุดสองให้กู จะว่าไปก็ถูกอย่างที่แพรพูดนั่นแหละ เหมือนศพจริงๆนะ ขึ้นอืดแล้วด้วย555

                 “เออๆ ก็ขอโทษอยู่นี่ไง” ยอมแพ้แม่งละ ขี้เกียจเถียง

                “เพราะงั้นมื้อนี้...” มันเว้นช่องว่างคำพูด จนทำให้ผมหายใจไม่ทั่วท้อง “มึงต้องเลี้ยงพวกกูที่ปล่อยให้รออยู่แบบนี้” พูดอย่างกับเป็นเจ้านาย  ใช่ซี้! พวกมึงมีเยอะกว่าก็ย่อมชนะอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงอยากจะขัดเท่าไหร่ แต่ก็ขัดไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ

                 คนที่อยู่ข้างกูก็ไม่มีสินะ ถ้าไม่ใช่กูคนเดียว

                 “ได้ไง”
 
                 “ก็มึงมาไม่ตรงเวลานัด ผิดคำพูด เพราะงั้นมึงเลี้ยง” พูดจบมันก็ยักคิ้วใส่ผมทันที วันนี้คงเป็นวันปราชัยของกูสินะ ยอมก็ยอม ยังไงก็แพ้มาทั้งวันแล้ว แพ้อีกจะเป็นไรไป

                 “เออๆ ก็ได้” ผมตอบอย่างไม่เต็มใจรับคำ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้สองคนที่พิงตัวไปกับประตูรถ ตื่นขึ้นมาทั้งที่เปลือกตายังไม่เปิดด้วยซ้ำ

                 “อัง ชาม มื้อนี้อีเปอร์มันจะเลี้ยงพวกเรา” ทรายเอ่ยบอกทั้งสองที่ยังงัวเงียอยู่ข้างรถ พอทั้งสองได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างที่ทรายบอก กัลุกพรวดพราดขึ้นมาเขย่าขาทั้งสองข้างของผมในทันที ด้วยคำพูดเดิมๆ

                 “จริงๆนะมึงๆๆๆๆๆ” พูดแค่คั้งเดียวก็พอแล้วมั้ยล่ะ พูดเยอะอยู่ได้ เริ่มชักจะรำคาญแล้วนะ ยิ่งสายตาที่เปล่งประกายวิ้งวับนั้น กูล่ะหมั่นไส้จริงๆ อยากจะบอกว่ามันช่างปัญญาอ่อนเหลือเกิน 555

                 ผมจึงตอบกลับไปอีกรอบ

                 “เออๆ” ผมตอบเพราะตอนนี้มันดูตลกมาก “ปล่อยขากูได้แล้ว ไม่งั้นกูจะทั้งเตะและเปลี่ยนใจนะ” พอได้ฟังที่ผมพูดประโยคสุดท้ายเท่านั้นแหละ ทั้งสองต่างพากันปล่อยขาผมและชันตัวขึ้นยืนอย่างกะทันหัน เกือบจะเซล้มเพราะมันปล่อยแบบกะทันหันนี่แหละ

                 เป็นกิ้งก่าหรือไง ปรับสภาพได้เร็วมาก

                 จากนั้นผมจึงหยิบกุญแจรถออกกระเป๋าแล้วกดปลดล็อค พอได้ยินเสียงปลดล็อค ทั้งสี่ต่างถือวิสาสะวิ่งขึ้นรถ จองเบาะที่นั่งทันที สักพักผมจึงขึ้นที่นั่งคนขับ แล้วขับรถออกไปยังจุดหมายปลายทาง



                               
บางทีถ้าจะรังเกียจใครสักคนก็ควรจะหาเหตุผลมากกว่านี้นะ อย่างไรก็ตาม ถ้าคนมันจะเกลียดจริงๆล่ะก็…
                                                   
ไม่หาเหตุผลมาอ้างหรอก





ขอโทษที่ห่างหายไปนานนะครับ
พอดีเพิ่งสอบเสร็จ​ เดี๋ยวจะทยอยลงให้เรื่อยๆนะครับ
ติดตามกันไปเรื่อยๆน้าาา :katai4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
«ตอบ #15 เมื่อ16-10-2017 22:49:51 »

ชอบบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

เปอร์ ว่าตัวเองขี้เหร่ สิวเขลอะ ไม่น่ารัก
แต่ทำไมเนท ดูสนใจเปอร์ ขับรถมาส่ง
และเหมือแอบหอมแก้มเปอร์ด้วย
เจอเปอร์ที่โรงอาหาร ก็มาทัก
เนท เห็นรูปร่างภายในของเปอร์หรือไง
ว่ามันสะอาด สวยงาม ใช่ไหม

ส่วนสามคนที่แกล้งเปอร์ ก็บอกรังเกียจ ขยะแขยงเปอร์
เพราะเปอร์ดูไม่ดี ขี้เหร่ สิวเขลอะ
ถ้าเปอร์ใช้พลังตอบโต้ก็ได้ แต่เปอร์ไม่ทำ
แล้วถ้าเขาแกล้งเปอร์อีกล่ะ ยอมอีกใช่ป่ะ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
             เช้าวันเสาร์ที่แสนน่าเบื่อ เพราะต้องแหกตาตื่นเช้า ลุกจากเตียงอันนุ่มสบาย มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ปรารถนามากที่สุด ถึงบรรยากาศภายในจะอำนวย มันยิ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบตื่นมาทั้งที่นอนยังไม่เต็มอิ่ม แต่บรรยากาศด้านนอกนี่สิ เมฆมืดครึ้ม มีเคล้าว่าจะตกในไม่ช้านี้

             ผมที่เพิ่งตื่น ต้องลุกจากเตียงในทันที เพื่อเตรียมตัวทำกิจวัตรประจำวัน พอได้เห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสีเขียวจากไม้ประดับภายในห้อง ทำให้ตาชื้นขึ้นมาทันที ผมเดินออกมายืนข้างนอกระเบียง สายตารอบมองบรรยากาศในห้องสลับกับบรรยากาศภายนอกที่ผมรู้สึกได้ มันช่างต่างกันซะเหลือเกิน แต่ผมก็รับอากาศนอกห้องได้ไม่นาน ก็ต้องรีบมาห้อง เพราะกลัวจะมีคนมาเห็นผมในสภาพที่ยังไม่ได้เม็คอัพให้เป็นอีกคนเสียก่อน และที่ทำให้ผมต้องตื่นเช้าขนาดนี้ คงหนีไม่พ้นจากการนัดหมายของพี่ปีสอง

             วันนี้เป็นวันที่รุ่นพี่ปีนัดสายรหัสกัน ผมเลยต้องตื่นเช้าก่อนเวลานักประมาณ 3 ชม. กว่าจะเม็คอัพเสร็จทั่วเรือนร่างก็ปาเข้าไปเกือบ 2 ชม.แล้ว ทั้งยังต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับกินข้าวเช้า ขับรถไปมหา’ลัยอีก รถติดอีก

              ชาตินี้ไม่รู้ว่าจะได้ใช้ชีวิตในการแต่งตัว 30 นาที กับเขาบ้างหรือเปล่าเนี่ย

คิดไปก็ไม่ได้หรอก เสียเวลาเอาเปล่าๆ กว่าจะถึงขั้นนั้นคงอีกนานแสนนานเลยแหละ จากนั้นผมจึงรีบเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวจากที่ตากไว้หน้าตู้เสื้อผ้า มาคาดไหล่แล้วเดินเข้าห้องน้ำอย่างเร็ว ที่ต้องตากไว้ในห้อง ก็เพราะเวลาที่ผมตื่นแล้วไปเอาผ้าเช็ดตัว คนที่อยู่ข้างนอกก็เห็นสภาพผมหมดสิ ใช้เวลาในการทำธุระส่วนตัวประมาณ 30 นาที ที่ 30 นาทีคือเร็วที่สุดแล้วนะ  ถ้าช้าสุดก็ประมาณ 1 ชม.ครึ่ง บางทีเพื่อนมันก็แอบแซวว่า ‘เปอร์มันจะตกส้วมตายแล้วก็ได้’

               อาบน้ำได้ 30 นาที จึงออกจากห้องน้ำ แล้วรีบแต่งตัวเม็คอัพตัวเองให้เป็นอีกคน พอเวลาผ่านไป 2 ชม. ในขณะที่ผมกำลังคาบขนมปังทาเนยอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากคนข้างนอก

               ก๊อก! ก๊อก!

พอได้ยินเสียงเคาะ ผมก็หันไปทางเสียงที่ได้ยิน ลุกจากโต๊ะกินข้าวแล้วรีบเดินไปส่องประตูตาแมวทันที ก็พบว่าคนก็เคาะเมื่อกี้เป็นเพื่อนในกลุ่ม ทรายเองแหละ ได้ยินว่าเมื่อคืนนางมาพักกับพี่ที่อยู่หอเดียวกับผม จากนั้นจึงเปิดประตูรับแง้มไว้ครึ่งบานแล้วบอกอีกคนให้ลงไปรอข้างล่างก่อนเลย ผมรีบเดินไปหยิบกระเป๋ายัดของที่จำเป็นใส่ลงในกระเป๋าอย่างเร่งรีบ เดินมาเปิดประตู ลงไปข้างล่าง แล้วขับรถไปมหา’ลัยกับทราย


***********************************************************************************************************************************


                ใต้ถุนคณะแพทย์

                สถานที่นี้ที่ที่เคยเป็นกิจกรรมรับน้อง แต่ตอนนี้กลับเห็นเพียงโต๊ะไม้ยาวหลายตัวที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวยาว สองฝั่งซ้ายขวา พอจะเดาออกว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ ตรงนี้ต้องมีกิจกรรมทำอะไรสักอย่างแน่ ไม่งั้นคงไม่เป็นอยู่แบบนี้หรอก

                รุ่นพี่รุ่นน้องต่างเริ่มทยอยกันเข้ามารวมตัวในพื้นที่นี้เรื่อยๆ นั่งเกาะกลุ่มใครกลุ่มมัน โดยยังไม่เดินไปสนทนากับกลุ่มข้างๆ ที่เป็นแบบนี้ก็ไม่แปลกอะไรมาก เพราะพวกเราเพิ่งเปิดเทอมแรกๆ เพื่อนๆในคณะก็เลยยังไม่สนิทกันเท่าไหร่

                ผมเดินมากับทรายท่ามกลางกลุ่มคนในคณะอีกนับร้อยที่กำลังนั่งรอรุ่นพี่ สายตาที่เพล่งเล็งมาที่ผม ทำให้ผมคิดเอะใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ลืมไปว่าใครเดินอยู่ข้างๆผม ทรายมันเป็นคนสวย เพอร์เฟคไปซะทุกอย่าง หน้าตาก็ดี หุ่นก็เพียวอีก แถมฐานะทางบ้านก็ยังได้แย่ เหมือนทุนที่นางได้รับเลยสักนิด

               พูดแล้วเหมือนกระทบตัวเองยังไงไม่รู้ว่ะ

               จากที่ดูคนในคณะแล้วทรายนี่แหละเหมาะที่จะเป็นดาวคณะมากที่สุด ถึงจะเหมาะสมอย่างไรก็ตาม แต่ก็ต้องไปแข่งกับคนอื่นอีกอยู่ดีแหละ ความสวยอ่ะได้ แต่ถ้าไม่มีสมองก็จบ... ถึงจะปากหมาไปบ้างก็เถอะ แต่ก็ไม่ใช่ข้อเสียของนาง

                พวกรุ่นพี่เรียกระดมรุ่นน้องให้นั่งเป็นแถวตอนลึก โดยแบ่งเป็น 10 แถว แถวละ 10 คน จัดเรียงตามรหัสนิสิต
ตอนนี้ผมกวาดสายตามองทุกๆคนในคณะในระยะที่ตาสามารถมองเห็น ได้คุยกับเพื่อนใหม่ซะหลายคนเลยแหละ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย เพราะผู้หญิงพากันอยู่ข้างหน้าซะหมด ส่วนข้างหลังก็เหลือแต่ผู้ชาย ไม่เว้นแต่คนที่นั่งอยู่ข้างทางซ้ายมือผม

                ทุกคนต่างนั่งเหงา เบื่อกับการรอคอยเป็นแถบๆ เพราะรุ่นพี่บางคนก็มาสาย เลยต้องรอมาให้ครบทุกคนถึงจะเริ่มงานได้ ถ้าจะเป็นแบบนี้จะนัดกูมาเช้าทำเพื่อ... บอกว่าอย่ามาเลท แต่ดันเลทเองนี่สิ ใช้ได้ที่ไหน เบื่อกับการนั่งรออะไรแบบนี้อย่างมาก แถมมือถือยังมาถูกยึดเอาไปไว้ส่วนกลางอีก อยากจะบอกกับพี่ว่าต้องการอะไรกันแน่ ฮึ! กว่าจะได้คืนก็จับสายรหัสเสร็จโน้นแหละ แล้วเวลานี้เด็กปีหนึ่งก็นั่งเม้าท์ไป นั่งหลับ หรือนั่งเงียบๆเหมือนผมที่แสดงสีหน้าเบื่อเต็มทนจนกว่าแพรที่นั่งอยู่ข้างหน้าจะหันมาคุย แต่บางกลุ่มที่คุยกันเสียงดังมาก นึกว่าที่นี่เป็นตลาดสดไปแล้วล่ะ ถ้าจะรำคายก็ช่วยไม่ได้หรอก เพราะพวกพี่เองแหละที่ยึดโทรศัพท์พวกเราไปเอง

                 ส่วนผมก็ได้โอกาสคุยกับเพื่อนร่างบาง โดยประเด็นที่ถูกเปิดจากคนนั่งข้างหน้านั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องผู้ชาย นางชอบเม้าท์เรื่องผู้ชายมากถึงมากที่สุด คุยกับนางทีไรก็จะมีเรื่องผู้ชายเข้ามาเกี่ยวข้องตลอด ถามกูยังว่าอยากฟังมั๊ย หน้าตาหล่อๆนี่ก็หนีไม่พ้นคำนินทาของนางทุกคนเลย ทุกสารทิศถูกดึงมาเข้าร่วมสนทนาตลอด ผมก็ได้แต่รับฟังเท่านั้นและออกความคิดเห็นบ้างเป็นบางครั้ง

                 แต่ผมก็ไม่เคยเปิดประเด็นเรื่องนี้ซักครั้งนะ

                 ระหว่างที่รอมานานแสนนาน จนในที่สุดก็ถึงเวลาเสียที ทำเอาซะนั่งให้ตะคริวแดกนับครั้งไม่ถ้วนเลย แล้วรุ่นพี่ที่เหลือก็เข้ามาสมทบกับที่มาก่อน ต่างคนต่างเดินมาต่อแถวเรียงหน้ากระดานห้อมล้อมรุ่นน้องให้อยู่ในวงกลม พี่คนที่ผมไปกวนตีนเขาตั้งแต่วันรับน้องก็มากับเขาด้วย นั่งจ้องมองหน้าพี่เขาอย่างไม่กระพริบตา จะว่าไปพี่มันไปทำอะไรมาวะ ดูมีออร่ามากกว่าเดินซะอีก แล้วพี่มันก็หันมามองทางผมพอดีทำให้ต้องสบตากับพี่เขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สายตาพี่เขาดูเบื่อโลกมาก ไม่ใช่ว่ามองกูแล้วแสดงสีหน้าเบื่อโลกทันทีเลยนะ ก่อนที่ผมจะหันหน้าไปมองทางอื่น พี่เขากลับส่งยักคิ้วมาให้ เหมือนแสดงให้เห็นว่า ‘กูเหนือกว่า’

               จะไม่ให้เหนือกว่าได้ยังไง ‘ก็มึงเป็นรุ่นพี่นิ’ โทษทีที่พูดหยาบคายนะ พลั้งปากไปจริงๆ แฮ่ๆ

               นาทีต่อมาพี่ปีสองต่างทยอยกันแนะนำตัว ตั้งแต่ชื่อจริง ชื่อเล่น ร.ร. ที่จบมา แล้วก็จังหวัดที่อยู่ ตั้งแต่คนแรกจนกระทั่งมาถึงคนสุดท้ายของแถวครึ่งวงกลม พี่เขายืนอยู่ตรงกลาง ประจันหน้ากับรุ่นน้องทุกคนที่นั่งบนพื้น พอถึงคิวของพี่เขาเท่านั้นแหละ ก็ได้ยินเสียงกรี๊ดจากผู้หญิงแถวหน้าดังขึ้นเป็นระยะๆ จนพี่คนอื่นต้องห้าปรามให้หยุดกรี๊ด แล้วพี่มันก็แนะนำตัว

               “สวัสดีครับ พี่ชื่อเฟิร์ส จบจาก ร.ร.xxx กรุงเทพมหานครนะครับ ฝากเนื้อฝากใจ เอ้ย! ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”

               “กรี๊ดดดดด พี่เค้าจบมาจาก ร.ร.ชายล้วนชื่อดังนั่นด้วยอ่ะแก”

               “จริงหรอแก ว่าแล้วเชียว หน้าตาแบบนี้ต้องเป็นที่นุ่นที่เดียวแหละ” เหมือนแพรไม่มีผิด แต่ผิดที่เจ้าตัวไม่ได้พูด แปลกแฮะ

                “ได้ยินว่าตอนม.6 ถูกเลือกเป็นเดือนโรงเรียนด้วยนะ และที่พีคกว่านั้นนะแก พี่เค้ายังเป็นเดือนคณะปีที่แล้วด้วยนะ” สืบมาดิบดีเลยนะผู้หญิง ดูท่าจะคลั่งพี่คนนี้เป็นเอามาก

                “จริงป่ะ ดีกรีแบบนี้ เหมาะเป็นพ่อของลูกมากเลยอ่ะแก” ช่วยบอกทีว่านี่เป็นคำพูดของผู้หญิง หรือนี่เป็นที่มาของคำว่า ‘ชะนี’ ที่พวกกะเทยพากันเรียก

                ขนาดพี่มันแนะนำตัวแค่นี้ ยังเป็นถึงขนาดนี้ ถ้ารู้นั่นรู้นี่มากกว่านี้ จะขนาดไหน ไม่อยากจะคิดเลย หมดกันความเป็นสุภาพสตรีที่สั่งสมมา

                “จุ! จุ! จุ!  อย่าเสียงดังไป ถ้าแฟนพี่เขามาได้ยินเข้า แกศพไม่ดีแน่”

                “แฟนพี่เค้า มีด้วยหรอ”

                “แหม ดีกรีแบบนี้ แกคิดว่าจะเหลือรอดมาถึงมือพวกเราหรือไง” อีกคนหน้าเจื่อนไปเลย หลังจากที่ได้ยิน 555

                ในสายตาผมพี่มันก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปนะ ไม่ได้วิเศษวิโสตรงไหนเลย ก็แค่หน้าตาดีก็เท่านั้น ข้อนี้ผมยอมรับ ถ้าพูดถึงความวิเศษล่ะก็ ผมยังมีดีกว่าเลย

                 อวยตัวเองไปหน่อยมั๊ยเนี่ย

                 ผมทำเป็นไม่สนใจ หลังจากที่รุ่นพี่แนะนำตัวเสร็จ ก็ได้รับเสียงปรบมือจากน้องๆไปอย่างท่วมท้น พวกรุ่นพี่ต่างยิ้มแก้มปริกันทุกคน ยกเว้นคนเดียวนั้นแหละที่ยิ้มอย่างไม่เต็มใจเอาเสียเลย จะใครซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้พี่เดือนคณะนั่น

                 “ต่อไปเป็นคราวที่รุ่นน้องต้องแนะนำตัวบ้างแล้วนะ เตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะพูดด้วยนะครับ” พี่ประธานปี 2 พูดขึ้น ไม่รู้หรอกว่าชื่ออะไร จำไม่ได้เหมือนกัน แต่ที่จำได้ขึ้นใจน่าจะเป็นโจทย์เก่าคนนั้นนั่นแหละ

                  พี่ประธานชี้ไปยังหัวแถวเพื่อให้ลุกขึ้น เริ่มแนะนำตัวจากแถวแรก

                  ตายล่ะกู กว่าจะถึงคิวกูพูดจะไม่ถึงวันพรุ่งนี้ก่อนหรือไงวะ อย่างนี้จะไม่ได้นอนรอหรอวะ

                  “สวัสดีค่ะ หนูชื่อแจน” เริ่มแนะนำตัว

                  “สวัสดีครับ ผมชื่อมิว” คนที่สองก็ตามกันมาติดๆ

                   การแนะนะตัวผ่านไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อสำหรับผม จะผ่านไปสักกี่คนก็ทำให้ผมหยุดนั่งเบื่อไม่ได้ ถ้าไม่ติดที่ว่ารุ่นพี่ให้จำรายละเอียดที่เพื่อนพูด ผมไม่มานั่งเบื่อจำชื่อคนนั้นคนนี้อยู่แบบนี้หรอก คงนอนรอไปนานแล้ว จะเหตุผลอะไรซะอีกล่ะ ก็ขี้เกียจอีกนั่นแหละ ความขี้เกียจไม่เข้าใจออกใครจริงจริ๊ง

                  รีบๆถึงคิวกูซักทีเถอะ ก่อนที่กูจะลืมมัน

                  ตอนที่ผมทำหน้าเบื่อๆอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้ทั้งรุ่นพี่และรุ่นเดียวกันต่างพากันหันไปหาต้นเสียงกันอย่างสงสัย

                  “เฮ้ย! มึงอ่ะ” แม่งเสียงเข้มๆนี้คงจะเป็นพี่ว๊ากแน่ๆ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด ไอ้พี่เฟิร์สต่างหาก “ทำหน้าเหมือนคนจะตาย ไม่อยากรู้ชื่อเพื่อนขนาดนั้นเลยหรอวะ ลุกขึ้นดิ๊” พูดจบ พี่มันก็ผายมือส่งสัญญาณให้ลุกขึ้นยืน

                   ทุกคนต่างมองซ้ายมองขวาอย่างสงสัยว่า คนที่เขาพูดถึงหมายถึงใครกันแน่

                   “เฮ้ย! ยังไม่ลุกขึ้นอีก” พี่เฟิร์สตะโกนเสียงดุ จนทำให้พี่คนอื่นห้ามปราม ขนลุกเลยว่ะ เหงื่อแทบแตก ขนาดอยู่หลังสุดยังเหงื่อแทบแตกพร่า แล้วคนที่อยู่ข้างหน้าจะไม่ร้องไห้ไปแล้วหรอ  ผมคิดว่าต้องเป็นตัวเองแน่ๆเลย จึงชี้นิ้วเข้าหาตัวเองทันที พี่มันก็ผงกหัวขึ้นตอบรับทันที

                    เป็นกูจริงๆด้วย แจ็คพ็อตแตกแล้วมั้ยล่ะ

                    พอผมลุกขึ้นยืน ทุกคนต่างมองมาที่ผมสายตาอย่างเป็นมัน แล้วผมก็ยิงคำถามใส่พี่มันทันที

                    “ทำไมให้ผมลุกขึ้นล่ะครับพี่ ยังไม่ถึงคิวของผมสักหน่อย” ตอนที่ผมลุกขึ้นคนที่อยู่ใกล้ๆก็หันมอง แต่พอพูดออกไปทุกสายตากลับหันไปจับจ้องที่พี่เขาอย่างอยากรู้คำตอบ น้ำเสียงตอนนั้นของผมดูสั่นเพราะทำอะไรไม่ถูกที่ถูกเรียกแบบไม่ทันตั้งตัว พยายามทำน้ำเสียงและสีหน้าให้สงสารที่สุดเผื่อพี่คนอื่นจะบอกให้นั่งลง แล้วคนๆนั้นก็จะถูกพี่คนอื่นเอ็ดไปโดยปริยาย

                   เป็นไงล่ะ แผนผม ดูเลวไปเลยกู แผนชั่วๆแบบนี้มีแต่ผมเท่านั้นแหละที่คิดได้ แต่แล้วก็ทำให้ผมแปลกใจ จะไม่แปลกได้ไง ก็ไม่มีใครคิดจะขัดไอ้พี่เฟิร์สนั่นซักคน ขนาดเพื่อนพี่เขายังไม่กล้าขัดเลยหรอวะ

                  โหดไปอี๊กกกกกกกกกกก

                  หันมองทั้งซ้ายทั้งขวาแต่ก็ไม่มีขัดเลยซักคน ผมจึงหันไปจองเขม็งเข้ากับตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องมายืนอยู่แบบนี้
 
                  “ก็มึงไม่ตั้งใจฟังชื่อเพื่อน อย่างนี้มันต้องลงโทษ” พี่มันยังใช้เสียงเข้มขู่ผม แต่ที่เล็ดลอดออกมาให้เห็นนั้นเป็นการแสยะยิ้มที่ปิดไม่มิด เสียใจด้วยนะ แต่ผมไม่กลัวหรอก

                  “พี่รู้ได้ไงว่าผมไม่ตั้งใจฟัง ที่แสดงสีหน้าแบบนั้นใช่ว่าผมจะไม่ได้ตั้งใจฟังนะพี่ จะลงโทษผมมันจะไม่มากไปหน่อยหรอ” ร่ายซะยาวเชียวจนได้รับเสียงปรบมือจากเพื่อนในกลุ่ม รวมทั้งคนที่ถูกใจคำพูดของผมก็เห็นดีเห็นงามด้วย พี่มันยังหน้านิ่งเหมือนไม่สะทบสะท้านอะไร คงจะหยุดไอ้พี่คนนี้ไม่ได้จริงๆสินะ

                   ถ้าคิดว่าจะยอมแพ้ล่ะก็... ไม่มีทาง

                   “แล้วมึงชื่ออะไร แนะนำตัวดิ๊” หล่อแบบมาดกวนตีนแบบนี้ กูล่ะชอบมาก จะเอาให้ขายหน้าประชาชนคนเรียนแพทย์ให้หมดเลย

                   “ผมชื่อเปอร์ อ่านว่า เป้อ ไม่ได้อ่าวว่า เปอ เป็นเด็กซิ่วจากมหา’ลัยxxxx คณะศิลปะศาสตร์ สาขาภาษาญี่ปุ่นครับ ส่วนที่อยู่ก็...ร้อยเอ็ดนั่นแหละ ไม่เคยวิ่งหนีหายไปไหน” ผมลองพูดกวนตีนพี่มันบ้าง จากที่ผมพูดจบ ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ไอ้เฟิร์สเท่านั้นที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ เพราะพี่คนอื่นๆก็พากันอึ้งไปเป็นแถบๆ เหมือนกันไม่เว้นแม้แต่รุ่นเดียวกันกับผม ต่างมองตาค้างไม่กระพริบตากันไปหมด

                   ทำไมต้องอึ้งขนาดนั้นด้วยวะ

                   “อ่า” ผมหลุดเสียงอุทาน “แล้วอีกอย่างนะ อยากให้ปีหนึ่งทุกคนไม่ต้องเรียกเราพี่นะ เพราะอายุพวกเราก็ไม่ต่างอะไรกันมาก อาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำมั้ง” พูดจบผมก็พร้อมที่จะนั่งลงกับพี่ แต่ก็ถูกเสียงของไอ้พี่เฟิร์สมันตะโกนสั่งห้ามเอาไว้ซะก่อน

                   “เดี๋ยว” เสียงตะโกนทำให้ผมหยุดชะงักค้าง แล้วหันมองไปหาต้นเสียง ตอนนี้ก็อยู่ในท่ากึ่งยืนกึ่งนั่ง ปวดขาว่ะ นี่กูต้องลุกยืนอีกใช่มั้ย “มึงยังไม่ได้พิสูจน์ เหมือนที่มึงพูดเลยนะ” พี่มันแสยะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

                   “พิสูจน์อะไร” ผมชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ

                   “ก็มึงพูดอะไรไว้ล่ะ” ไอ้พี่เฟิร์สพูดพลางยักคิ้วอย่างกับคนมีชัยในภายหลัง

                   “ก็ได้” ผมพูดอย่างเหลืออด

                   “หางเสียงไม่มีหรือไง คุยกับรุ่นพี่อ่ะ” แม่งตวาดเสียงใส่ผมอีกรอบ นี่กูเข้าห้องเชียร์อยู่หรือไง

คนอื่นนอกเหนือจากการสนทนาต่างมองผมกับไอ้พี่เฟิร์สสลับกันตามการพูดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

                   “ครับ” เสียงอ่อนลงทันทีเลยกู

                   “มึงพร้อมยัง” พี่มันเอ่ยถาม

                   “พร้อมตั้งนานแล้ว รีบๆถามมาเถอะครับ” อยากถามอะไรก็ถามมาเลย ก่อนที่กูจะทนไม่ไหวไปมากกว่านี้

                   ไอ้เหี้ยพี่เฟิร์ส!

                    “พร้อมนะ” ยังจะลีลาอีก

                    “ครับ” ถึงจะบ่นในใจยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจพี่มันได้หรอก ถามแบบนี้อีกซักกี่รอบ ก็ตอบได้แค่คำว่า ‘ครับ’ เท่านั้นแหละ

                    “ผู้ชายที่อยู่คนสุดท้ายของแถวสองชื่ออะไร แนะนำว่าอะไรบ้าง” เอาแล้วไง แต่แค่นี้มันจิ๊บๆ

                    “เขาชื่อนายธราธร พิชญเดชา ชื่อเล่นเปอร์ จบจาก ร.ร.xxxx เหมือนกันกับพี่ ที่อยู่ก็คือกรุงเทพ”

                    “ถูกหรือป่าวน้อง” พี่มันยืนอึ้ง นิ่งค้างกับคำตอบของผม ก่อนจะหันไปตามเจ้าของชื่อ ไอ้นั่นที่ถูกถามก็ตอบพยักหน้าว่าถูก

                    เป็นไงล่ะ หน้าแตกเลยล่ะสิ เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับคนชื่อเปอร์ ก็ต้องแพ้ไปนะพี่5555

                    “กูจะถามอีกแค่ 2 คนเท่านั้น เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าแกล้งเด็กอีก” พูดเต็มปากได้ไงว่ามี่ไม่ใช่การแกล้ง แล้วไอ้ที่พี่ทำอยู่นี่มันคืออะไร ไม่ได้แกล้งกันเลยเนอะ

                    พี่มันยังคงมีสีหน้าไม่สะทบสะท้านอะไร กำลังมองหาคนอื่นคนที่ผมจะไม่สามารถรู้ข้อมูลได้ แล้วเหมือนพี่มันจะเจอคนที่ว่าเข้าแล้ว จึงหยุดมองหา แสยะยิ้มข้างมุมปาก แล้วหันมาจ้องหน้าผม

                    “คนที่ 5 ของแถว 7 ล่ะ บอกข้อมูลมา” ผมนี่หันอย่างกะทันหันพลางชี้นิ้วนับคนที่ 5 ของแถว 7

                    อ้าว! ไอ้เหี้ย! เขาแนะนำตัวยังไม่ถึงแถว 7 เลย นี่มันแกล้งกันชัดๆ เลยนี่หว่า เป็นอีกครั้งที่ผมได้เห็นการแสยะยิ้มจากพี่มัน มันน่า...นัก เป็นรอยยิ้มของคนเจ้าเล่ห์ที่ผมเกลียดมากที่สุด ผมจ้องหน้าพี่เขา ได้! จะเอาอย่างนี้ใช่มั้ย เดี๋ยวจัดให้! จะได้รู้กันไปเลย

                    แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยนะ   พี่   แพ้   แน่

                    “ก่อนหน้าที่ผมจะพูดออกไปอย่างทนไม่ไหว เพื่อนในกลุ่มที่อยู่ข้างหน้าก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน กะจะลุกขึ้นเถียง ร่วมมือกับผม แต่เป็นผมที่เองที่ห้ามเอาไว้เสียก่อน โดยใช้มือตบเข้าที่ไหล่อย่างเบามือ ทำให้แพรเงยหน้ามองผมด้วยความสงสัย แล้วส่งสายตาบอกคนข้างหน้าว่าไม่เป็นไร

                     “เธอชื่อนางสาว...ชื่อเล่นตาต้า มาจาก ร.ร.xxx จังหวัดปทุมธานี  เกิดวันจันทร์ที่ 9 เดือนกุมภาพันธ์ 2541 รหัสนิสิต xxxxx รหัสบัตรประชาชนxxxxxxxxxxxxx จะเอาที่อยู่บ้านเลขที่ด้วยมั้ยครับ” หลังจากที่ผมพูดข้อมูลอย่างระเอียดของเพื่อนในคณะจบ จึงเอ่ยถาม

                     จะว่าไปคนที่ผมบอกข้อมูลเมื่อกี้ เขาจะหาว่าผมเป็นโรคจิตมั้ยวะ รู้มากขนาดนี้เชียว

พี่มันยืนอึ้งอีกรอบ คงไม่คิดล่ะสิท่าว่าผมจะจำได้ขนาดนี้ ทั้งๆที่คนๆนั้นยังไม่แนะนำตัวด้วยซ้ำ แล้วไอ้พี่เฟิร์สก็หันไปหาคนที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่

                      “ถูกมั้ยน้อง”พี่เฟิร์สถาม

                      “ถูกค่ะ” ขนาดเจ้าตัวยังงงเลยว่า ผมจำได้ยังไง

                      ฮ่าๆ หน้าแตกเลยมั้ยล่ะ อยากแกล้งกูดีนัก สมน้ำหน้า อายทั้งเพื่อนอายทั้งน้อง555 จะว่าไปก็น่าสงสารเหมือนกันเนอะ แต่มันสะใจมากกว่า หลังจากนั้นพี่เฟิร์สก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก คงจะรู้แหละว่าว่าถามอีกจะเป็นยังไง จึงไม่กล้าถามอีก


มีต่อนะ...

                     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2017 22:15:00 โดย Peppermint Choco »

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 



                   พอไม่มีเสียงจากรุ่นพี่ปากดีนั่น ปีหนึ่งก็เริ่มทยอยกันแนะนำตัวเหมือนอย่างเดิมจนหมดรวมทั้งผมด้วย รวมๆแล้วผมได้แนะนำตัว 2 รอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วพี่เฟิร์สก็ไม่ปริปากพูดอีกเลยนับจากนั้น มีเพียงสีหน้าที่เบื่อโลกเท่านั้นที่เราสังเกตได้จากคนๆนั้น

                    หลังจากผมแนะนำตัวเสร็จ รุ่นพี่ก็เรียกให้ปีหนึ่งคนแรกลุกขึ้นจับฉลากในกล่องสีขาวที่พี่คนนึงถือไปให้หยิบกัน

                    “น้องอัน รหัสxxxxx ลุกขึ้นมาจับค่ะ” พอผู้หญิงคนนั้นยืนขึ้นจับฉลากขึ้นมา ก็ยื่นให้รุ่นพี่ที่ถือกล่องเป็นคนเปิด  แล้วอ่านสิ่งที่ถูกเขียนในกระดาษออกมาให้ทุกคนได้รับรู้กัน

                    “ได้พี่อายค่ะ” พี่ที่เปิดอ่านพูดขึ้น

                    “คนต่อไปค่ะ” แล้วพี่เขาก็ยื่นให้คนต่อไป จากนั้นก็จับแบบคนแรกแล้วยื่นให้รุ่นพี่

                    “ได้พี่โอค่ะ”

                     การจับฉลากดำเนินไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงคนสุดท้าย ซึ่งนั่นก็คือผม ก็ต้องรอต่อไปจนกว่าจะถึงคิวผม

                     “มึง” แพรเอี้ยวตัวหันข้างมาคุยกับผม

                     “อะไรวะ” ผมถาม

                     “ถ้าจับอย่างนี้ไปตลอดมึงก็ไม่ได้จับอ่ะดิ” ผมขมวดคิ้วทันทีกับสิ่งที่มันพูด

                     “ทำไมวะ” ผมถามด้วยความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มอก

                     “ก็รุ่นเรากับรุ่นพี่มีเท่ากันใช่มั้ยล่ะ” แพรมันเอ่ยอธิบาย

                     “อือฮึ” ผมพยักหน้ารับ

                     “ถ้าอย่างนั้นคนสุดท้ายก็จะไม่ได้จับ เพราะเหลือกระดาษแค่แผ่นสุดท้ายไง”

                     “เออ จริงด้วยว่ะ” ตกใจซะแบบหน้าเอ๋อเลย “กูลืมคิดเรื่องนี้ไปได้ไง”

                     “กูจะรู้กับมึงมั๊ย” ย้อนกูอีก “อีกอย่างนะ ใกล้จะถึงแถวเราแล้วด้วย ชื่อพี่เฟิร์สก็ยังไม่ออก กูว่า...”

                     “มึงอย่าพูดเชียวนะ” ผมชี้นิ้วห้ามปรามอีกคนไม่ให้มันพูดถึงกับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

                     “กูแค่จะบอกว่าถึงคราวซวยของมึงแล้วล่ะ”

                     “คอยดูละกัน กูว่ากูไม่จับได้พี่เขาหรอก”

                     “ไม่แน่ใบสุดท้ายของมึงอาจจะได้พี่เฟิร์สเป็นพี่รหัส” ดูท่านางจะมั่นใจกับสิ่งที่พูดอย่างมาก

                     “ไม่หรอก ยังเหลือคนอีกเยอะ มึงอย่าเพิ่งด่วนสรุปเร็วสิ มันไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก”

                     “คอยดูละกัน”

                     “เออ กูจะคอยดู” พอผมยืนยันว่า สิ่งนั้นจะไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน แพรมันก็เอี้ยวตัวกลับไปนั่งให้เป็นแบบเดิม เพื่อรอจับฉลากต่อไป

                     เวลาไม่กี่นาทีต่อจากนี้ ผมก็จะได้พี่รหัสกับคนอื่นเขาแล้ว ตื่นเต้นชะมัด ลนลานไปหมด มือที่จะหยิบก็ยสั่นไม่หยุดพร้อมกับเหงื่อที่เริ่มผุดออกจากฝ่ามือ  แต่ทำไมทั้งที่ยังไม่ถึงคิวตัวเอง ใจยังสั่นและเต้นแรงขนาดนี้นะ ทั้งยังกังวล ตุ้มๆต่อมๆกับเรื่องที่แพรพูดเมื่อครู่นี้อีก

                     ไม่จริงน่า ไม่จริงงงงงงงง ความบังเอิญที่จะได้ไอ้พี่นั่นเป็นพี่รหัสแทบจะเป็น 0 ด้วยซ้ำ ก็ดูสิคนเป็นร้อย พวกแถวหน้ามีโอกาสจับได้มากกว่าแท้ๆ แต่ทำไมยังไม่มีคนจับได้วะ

                      กูได้ฝันร้ายข้ามปีแน่ ถ้าหากได้ไอ้พี่คนนี้เป็นพี่รหัส

                     พี่คนที่เดินถือกล่องก็เดินเข้าใกล้เรื่อยๆ ใจก็เริ่มอยู่ไม่กับเนื้อกับตัว มือไม้สั่นเข้าไปทุกขณะที่พี่เขาประกาศว่าใครได้ใครเป็นพี่รหัส แต่ยังไม่มีชื่อพี่เฟิร์สพูดออกมาซักนิด เอาล่ะสิครับความเป็นไปได้ในตอนนั้นที่เป็น 0 ตอนนี้มันกลับกลายเป็น 97 ไปแล้ว เหงื่อสีใสเริ่มผุดขึ้นจากหน้าผากอันเนียนคล้ำที่ปกปิดผิวที่แท้จริง มันกำลังไหลย้อยลงมาเรื่อยๆจนถึงคาง แล้วหยดลงบนพื้น

                      อากาศก็ร้อนด้วยแหละ555

                     ชื่อของรุ่นพี่ถูกขานขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่ผมหวัง ความหวังอันริบรี่ที่ไม่เห็นแม้แต่ความเป็นไปได้ จนกระทั่งถึงคิวของแพร นางลุกขึ้นยืน มือขวายกขึ้นไปล้วงหยิบกระดาษในกล่องสีขาว นาทีนี้ผมลุ้นยิ่งกว่าเจ้าตัวที่จับอีกนะ แพรหยิบขึ้นมาแล้วพูดกับพี่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า

                    “พี่คะ หนูขอพูดเองได้มั้ยคะ” คำขอร้องจากรุ่นน้องถูกส่ง มีหรือที่รุ่นพี่จะปฏิเสธ

                    “เอาเลยจ้า” เจ้าตัวตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ผมคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าอยากได้พี่คนนี้เป็นพี่รหัส ดูท่าทางใจดีเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่คนอื่นได้พี่คนนี้ไปเป็นพี่รหัสไปแล้วเนี่ยสิ คิดแล้วผมก็ส่ายหน้าทิ้งความคิดเมื่อครู่ไป แล้วหันหน้ามอง ยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้

                    “ได้พี่เฟิร์สค่ะ” พอแพรพูดขึ้น จากที่กำลังเศร้าผมกลับมีรอยยิ้มขึ้นมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของแพร ในที่สุดคนอื่นก็ได้พี่เขาเป็นพี่รหัสแล้วโว้ยยยย แสงสว่างท่แท้ทรู

                     ผมลอบมองผ่านด้านข้างใบหน้าของเพื่อน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะผิดหวังกับสิ่งที่คิดอย่างเสียความคาดหมายของตน แอบใจชื้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม ยิ้มด้วยความดีใจ จนปากแทบจะฉีกอยู่แล้ว

                     หลังจากนั้นก็มีเสียงจากรุ่นพี่รุ่นน้องดังกระหึ่มมาเป็นทอดๆทั่วบริเวณ ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงที่ร้องเสียงโอดครวญด้วยความเสียดาย ส่วนผู้ชายจะมีก็แต่พวกตุ๊ดในคณะเท่านั้นที่ร้องเสียดายกับเขา ไม่งั้นก็กลุ่มเพื่อนพี่เขาต่างแซวพี่เฟิร์สอย่างเมามัน ปากบางคนที่หยุดไป ปากอีกคนก็แซวต่อเป็นระยะๆ

                    “ไอ้เฟิร์สถูกเปิดซิงแล้วเว้ยยยย”

                    “อย่ามาพูดพล่อยๆ เฟิร์สเป็นของชั้นคนเดียว ใช่มั้ยคะที่รัก” พี่คนหนึ่งส่งจูบให้กับพี่เฟิร์ส แต่พี่มันกลับหลบการส่งจูบนั้น โดยไปหลบอยู่หลังเพื่อนคนข้างๆ ทำเอาเจ้าตัวที่รับจูบแทน ทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเลยทีเดียว

                    เสียงหัวเราะดังขึ้นจากรุ่นน้องที่เห็นเหตุการณ์ ไม่เว้นแม้แต่รุ่นพี่เองก็เช่นกัน ผมเองก็หัวเราะกับเขาด้วยจนลืมตัว ถึงกลับหายใจไม่ทั่วท้องจนเพื่อนข้างๆต้องเอ่ยถาม

                   “มึงเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย! หัวเราะจนท้องแข็งหรือไง” ผมไม่ได้สนคำถามของคนข้างๆ ได้แต่ดีใจกับความเป็นห่วงของเพื่อนที่เพิ่งรู้จักไม่ถึงชั่วโมง

                   ดีใจ หัวเราะ และยิ้มจนปากแทบจะฉีกได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องหุบปากฉับพลัน เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนตัวแสบมันพูดบางอย่างออกมา

                   “เอ่อ ขอโทษนะคะ คือ...” คำพูดที่พูดยังไม่หมดของแพรทำให้ทุกคนต่างพากันเงียบและพร้อมที่รับฟังสิ่งที่เธอจะพูด “หนูอ่านผิดอ่ะค่ะ” เจ้าของเสียงโน้มตัวกล่าวขอโทษที่อ่านผิด

                   “ที่จริง หนูจับได้พี่เอิร์ธต่างหาก” ดูท่าเจ้าตัวมันจะสะใจมากทีเดียว ถึงขั้นหันหน้ามาเยาะเย้ย แสยะยิ้ม ส่งสายตาที่ผู้ชนะเขาทำกันพร้อมกับยักคิ้วให้แล้วนั่งลงทันที

                   “ผมนั่งอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน หัวเราะไม่ออกเลยทีเดียว จากที่หัวเราะเมื่อครู่แต่ตอนนี้กลับมานั่งเครียดเหมือนเดิม คอตก หน้าบูดอย่างกับแม่ตัดค่าขนม

                   นั่นสินะที่เขาบอกว่า ‘หัวเราะทีหลังดังกว่า’ เพราะตอนนี้เจ้าตัวที่ทำให้ผมตกอยู่ในสภาวะแบบนี้กำลังหัวเราอย่างชอบอกชอบใจ ถึงจะฟังไม่ชัด แต่ผมก็ยังได้ยินเสียงนั่นดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ

                   ฝากไว้ก่อนเหอะมึง

                   แล้วพี่คนที่ถือกล่องก็เดินมาตรงหน้าผม ผมต้องลุกขึ้นตามมารยาทที่จับฉลาก แต่ถูกห้ามปรามไว้ซะก่อน ผมก็ยังดึงดันจะลุกขึ้นเผชิญหน้ากับชะตากรรมต่อจากนี้

                   “ไม่ต้องลุกขึ้นแล้วก็ได้มั้ง เหลือใบเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นใคร” พี่คนที่ถือกล่องพูดอย่างมั่นใจ

                   “ผมว่ายังไงก็ต้องลุกอ่ะครับ ถึงจะเหลือแค่ใบเดียว ก็ไม่แน่หรอกว่า จะได้พี่เฟิร์สเป็นพี่รหัส บางทีพี่เขาอาจจะไม่เอาสายแล้วก็ได้นะครับ” บางทีคำพูดของผมอาจจะมีหวังบ้าง ถึงแม้จะไม่มีก็ตาม คำพูดนี้ทำเอาคนตรงหน้านิ่งไปพักนึง ก่อนจะสาวเรื่องราวต่อ

                    “พี่ว่า พี่เฟิร์สนั่นแหละ ถ้าไม่เชื่อพี่ล่ะก็ พี่หยิบให้ดูนะ” พูดจบพี่เขาก็หยิบแผ่นกระดาษในกล่องที่เหลืออยู่แผ่นสุดท้ายมายืนยันคำพูด หยิบยื่นให้ผมเป็นคนคลี่ออกดู แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจอีกครั้ง ผมรู้เลยว่ายังไงก็ไอ้พี่เฟิร์สแน่

                    คงต้องยอมจำนนแล้วสินะ เพราะไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียงอีกแล้ว

                   ผมหยิบกระดาษจากมือพี่คนนั้นขึ้นดูแล้วคลี่ออกอย่างชั่งใจ เห็นเป็นตัวอักษรที่ไม่สวยมากนัก แต่ก็ไม่ขี้เหร่จนเกินไป ก็นี่มันลายมือผู้ชาย จะเอาอะไรมากและต้องเป็นลายมือพี่มันแน่ๆ แต่ตัวหนังสือที่ผมเห็นนั้น ไม่ได้เขียนว่า ‘เฟิร์ส’ จนต้องขมวดคิ้วสงสัย แต่กลับเป็นเลขหนึ่งที่เห็นประจักษ์อยู่ตรงหน้าแทน ยิ่งทำให้ผมงงไปกันใหญ่

                   พี่คนที่ถือกล่องหลุดขำ อมยิ้มออกมาขณะที่ผมใช้ตรรกะ รวบรวมความรู้ที่พอจะนึกได้ตอนนี้มาวิเคราะห์เลขหนึ่งนี่ให้กระจ่าง จะยังไงก็คิดไม่ออกเสียที หรือว่าชื่อหนึ่งวะ ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็...เยส! ไอ้พี่เฟิร์สไม่เอาสายรหัส แต่ก็ต้องดีใจได้ไม่นาน จนกระทั่งพี่ตรงหน้าพูดขึ้น

                   “ให้พี่เฉลยให้มั้ย ทำไมถึงรู้ว่าเป็นพี่เฟิร์ส” เจ้าตัวถามขึ้น คงเห็นผมยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นาน เลยถือโอกาสเฉลย

                   “ครับ” ผมพยักหน้าอย่างอยากรู้ ไม่รู้จริงๆว่าทำไมเป็นชื่อพี่เฟิร์ส

                   “ก็ที่ชื่อเฟิร์สอ่ะ คือ เลขหนึ่งตรงนี้” พี่เขาถือวิสาสะ หยิบแผ่นกระดาษจากมือผม จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังกระดาษที่มีเลขหนึ่งเขียนอยู่ในนั้นพลางอธิบายไปด้วย “ในภาษาอังกฤษน่ะหนึ่งจะอ่านได้ 2 แบบ แบบแรกอ่านว่า ‘one’ แล้วแบบที่สองจะอ่านว่า ‘first’ แต่ first มันจะมีตัว st อยู่ข้าบนขวา พี่เฟิร์สน่าจะลองสมองน้องๆดูแหละ ก็เลยไม่ได้เขียนตัวอักษรบนหัวกำกับ

                    “อ๋อ” ผมตอบรับเสียงยาว ยกมือขึ้นเกาหัวพร้อมกับยิ้มทันที “เป็นอย่างนี้นี่เอง” ตอนแรกก็รู้สึกเอะใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้เนี่ยสิ จึงได้แต่ยิ้มให้พี่เขา เพื่อเป็นการยืนยันว่าเข้าใจในสิ่งที่เจ้าตัวพูดแล้ว พอเจ้าตัวเห็นดังนั้นก็ไม่ถือสาอะไร นอกจากหมุนตัวแล้วเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อน

                   ต่อจากนั้น เกิดอะไรขึ้น! อย่าคิดว่าผมคิดมากล่ะ เพราะยังไม่ถึงเวลา ไม่สิ! มันผ่านไปแล้ว

                    “หลังจากที่ทุกคนจับฉลากเสร็จกันหมดทุกคนและได้รู้ว่าใครเป็นพี่รหัสของตนแล้ว รุ่นพี่ปีสองก็เข้ามาพูดเล่าเรื่องการเรียน การใช้ชีวิตในรั้วมหา’ลัยแห่งนี้ ให้ฟังอย่างมากโขเลยทีเดียว มีอะไรก็ให้ปรึกษารุ่นพี่หรือพี่รหัส อย่าเพิ่งยอมแพ้หรือท้อกับอะไรง่ายๆ บอกให้เข้มแข็งเข้าไว้ เพื่อคนที่อยู่ทางบ้าน

                    การเล่าเรื่องของรุ่นพี่ทำเอารุ่นน้องบางคนได้เข้าเฝ้าพระอินทร์ไปแล้ว บางคนถึงขั้นผลิตน้ำเชื่อมในปากเอ่อล้นเห็นแล้วน่าตลกชิบหาย เพราะนัดมาแต่เช้า ก็เลยเห็นสภาพแบบนี้ของรุ่นน้องปีหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าผมจะนั่งเฉยๆนะ นั่งยุ๊กยิ๊กไปมาเปลี่ยนท่านั่งไปหลายท่ามาก

                    ไม่ใช่อะไรหรอก! ตะคริวแดก

                    ผมเป็นคนไม่ชอบนั่งขาดสมาธินานๆ เพราะนั่งทีไรตะคริวเจ้าเดิมก็จะถามหาทุกที ยิ่งนั่งอยู่เฉยๆใช่ว่าจะหาย มันกลับร้ายแรงมากกว่าเดิมซะอีก ลามขึ้นไปจนถึงต้นขาเลยล่ะ ขยับทีไรน้ำตาก็จะเล็ดออกมาทันที

                    ยังดีที่พี่เขาให้นั่งได้ตามอัธยาศัยก็เลยไม่เหมือนคราวที่แล้ว คราวที่แล้วที่เป็นขนาดนั้น เพราะมีพี่ระเบียบมาคุม(ที่ ม.เก่า) นั่งเกร็งตัวตลอด 2 ชม. โคตรของทรมานเลยล่ะ ยิ่งตอนลุกขึ้นยังต้องให้เพื่อนมาช่วยพยุงถึงจะลุกขึ้นและเดินไป

                    พอถึงเวลาเลิก พวกรุ่นพี่รุ่นน้องต่างเดินแยกออกไปพูดคุยกับพี่รหัสตามที่ถนัดไว้ คุยกันเล็กๆน้อยๆ ก่อนจะมีเลี้ยงสายรหัสเกิดขึ้นในสัปดาห์ถัดไป

                     ผมก็ไม่วายถูกไอ้พี่เฟิร์สเรียกไปปรับทัศนคติเหมือนกัน งานนี้ได้เถียงกันจนเรียนจบแน่ สถานที่ที่ถูกเรียกไปเป็นหน้าตึกคณะ ซึ่งพี่เฟิร์สเองก็รออยู่แล้วด้วย ยืนข้างๆหน้ารถอันสวยหรูด้วยมาดคุณชาย ผมว่าถ้าเปลี่ยนพาหนะสี่ล้อนี่เป็นมอไซค์ 2 ล้อ พี่มันก็เป็นจิ๊กโก๋ดีๆนี่เอง555

                     ตอนแรกก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมถึงเลือกที่นี่ ทั้งๆที่พี่คนอื่นต่างนัดกันในที่ที่เรานัดประชุมกัน จึงถามออกไป

                     “พี่เฟิร์ส ทำไมถึงเลือกที่นี่อ่ะพี่”

                     “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก กูไม่ชอบคนเยอะๆ อยู่ที่นี่สบายใจกว่า” ดูเหตุผลของพี่มัน โคตรน่าเชื่อถือเลยล่ะ ประชด!

                     ที่จริงก็อยากจะเถียงพี่มันต่ออีกหน่อยอยู่หรอก แต่ยังไงก็เป็นพี่น้องกันแล้ว ดีๆกันไว้น่าจะโอเคที่สุดแล้ว ว่าแล้วพี่เฟิร์สก็ยื่นถุงขนมพร้อมด้วยเครื่องเขียนมาให้เป็นสิ่งแรกที่ปีหนึ่งคณะแพทย์ทุกคนจะได้จากพี่รหัสของตน แต่ของที่ผมได้ทำไมมันเยอะขนาดนี้วะ คนอื่นได้แค่ถุงสองใหญ่ นี่อะไร 5 ถุง ผมถลึงตามองอย่างประหลาดใจใส่ขนมบวกกับเครื่องเขียนมากมายบนมือ แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาพี่รหัส กระพริบตาปริ๊งๆ สองสามที ก่อนจะอ้าปากถาม พี่เฟิร์สก็พูดแทรกขึ้นก่อน

                  “ไม่ต้องมาทำแบบนั้นใส่กู ของป้าของยายของทวดรหัสด้วย พี่เขาติดธุระเลยฝากกูมา กูไม่คิดจะเลี้ยงมึงขนาดนั้นหรอก” จะว่าไปก็ใช่อย่างที่พี่มันพูดนั่น ดูจากท่าทางคงจะไม่ใช่สายเปย์น้องสักเท่าไหร่ นอกจากจะเปย์ผู้หญิงอย่างสุดตัว

                  จากที่เดาๆไว้ คงจะเป็นเสือผู้หญิงไม่น้อย

                  “ครับๆ” ผมตอบเสียงเรียบ ตอบได้แค่นั้นแหละ

                  “เออๆ” พี่เฟิร์สเอ่ยปากอย่างเบื่อหน่าย “อาทิตย์หน้าทำตัวให้ว่างด้วยล่ะ” พอได้ยินดังนั้น ผมก็ทำหน้าสงสัยใส่ทันที “จะงงอะไรนักหนา แค่เลี้ยงสายรหัสเองหรือมึงจะไม่กินหะ” พี่มันเน้นประโยคสุดท้าย พูดอย่างกับหาเรื่องตลอดเวลา

                  “กินๆ” ผมรีบตอบกลับอย่างเร็วไว กลัวอย่างเดียว

                  กล้วจะไม่ได้กิน

                  “เออๆ งั้นกูไปก่อนล่ะ” พอพูดจบ พี่เฟิร์สก็หันหลัง เปิดประตูรถแล้วขับรถออกไปจากที่ๆผมยืนโบกมืออยู่ ผมไหวไหล่ให้ไม่ถ์อสาอะไร คงมีนัดกับสาวแน่ เจ้าตัวถึงได้รีบร้อนซะขนาดนั้น

                  ขณะที่เดินกลับไปที่จอดรถ ผมมองไปยังท้องฟ้าสีครามที่สดใส เมฆสีขาวที่มีน้อยจนบางตา แสงแดดเจิดจ้า ทำให้รู้สึกร้อนและโดดเดี่ยวไปในเวลาเดียวกัน ใบหน้าเมื่อครู่ยังร่าเริงจากการเถียงกับพี่รหัส แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ช่างแตกต่างจากท้องฟ้าที่มองเมื่อกี้อย่างเห็นได้ชัด จากนั้นจึงหันกลับมาที่เดิม เดินขึ้นรถ แล้วขับตรงไปยังที่ๆ จะสามารถสงบสติอารมณ์นี้ได้


*************************************************************************************************************************************


                         ณ ร้านราเม็งในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

                 ผมนั่งรอราเม็งที่สั่งไปอย่างตื่นเต้น เพราะหลังจากนี้ผมก็จะได้เจอคุณแม่ที่อุปถัมภ์ตั้งแต่ผมยังเล็กแล้ว ไม่ได้เจอกันมา 10 กว่าปี ไม่รู้จะจำกันได้หรือป่าว ในขณะที่นั่งรอผมก็นั่งคุยโทรศัพท์กับแม่ที่อยู่ต่างจังหวัดว่า จะไปพบแม่คนที่ 2 ในอีก 2 ชม.ข้าง ขณะที่รอราเม็งอยู่นั้น ก็มีคนๆหนึ่งเข้ามาถาม

                 “ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ พอดีที่นั่งตรงอื่นมันเต็มหมดแล้ว” เสียงจากคนแปลกหน้าดังขึ้น ทำให้ผมหันมองอย่างสงสัย

                 “อ้าว! เนทนี่นา มาทำอะไรที่นี่อ่ะ” ผมตกใจและยิ้มให้กับผู้มาเยือน

                 “ก็มากินราเม็งนั่นแหละ ว่าแต่เราขอนั่งด้วยคนนะ” เนทกล่าวขออนุญาตอย่างอ่อนน้อม

                 “อื้ม ได้สิ นั่งเลยๆ” แล้วเจ้าตัวก็นั่งลงในฝั่งตรงข้าม

                 “ขอบคุณนะ” เนทยิ้มให้

                 “ไม่เป็นไร เราเต็มใจ” ผมเองก็ยิ้มให้เช่นกัน

                 “ราเม็ง เกี๊ยวซ่าเซ็ทมาแล้วค่ะ นี่ค่ะน้ำพันซ์” หลังจากรอมาพักนึง ของที่สั่งก็มาซักที

                 “ขอบคุณครับ”

                 “ทานให้อร่อยนะคะ”

                 “ครับ”

                  “เดี๋ยวก่อนครับ” เนทเอ่ยเรียกพนักงาน

                  “คะ”

                  “คือเอาแบบเพื่อนคนนี้อีกหนึ่งชุด แล้วก็ทาโกะยากิด้วยนะครับ” เนทสั่งไปรวดเดียว ทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูเมนูในแผ่นกระดาษด้วยซ้ำ

                  “แล้วเครื่องดื่มล่ะคะ” พนักงานเอ่ยถาม

                  “เอาน้ำพันซ์เหมือนกันครับ”

                  “คะ รอสักครู่นะคะ” แล้วพนักงานก็เดินจากไป

                  “เปอร์ทำไมไม่กินราเม็งอ่ะ เดี๋ยวเย็นซะก่อนนะ” ผมล่ะชอบผู้ชายที่อบอุ่น และเป็นห่วงเป็นแบบนี้ที่สุด

                  “ก็รอเนทไง กินพร้อมกันสนุกกว่าเยอะ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มตาหยีให้กับคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่นั่งนิ่งค้าง หลังจากได้ยินคำพูดขอผม

                   “นั่นสินะ” เจ้าตัวพูดด้วยเสียงที่แฝงไปด้วยความดีใจ โดยปิดบังรอยยิ้มไม่ให้ผมได้เห็นมัน “อื้อ แล้วเปอร์จะไปไหนต่ออ่ะ”

                   “กินราเม็งเสร็จอ่ะหรอ”

                   “อื้อ”

                   “ก็น่าจะเดินเล่นแถวๆนี้ซักหน่อย แล้วก็ไปหาแม่อ่ะ” ผมพูดพลางใช้ความคิด คิดอยู่ว่าจะบอกคนๆนี้หรือเปล่าที่เราจะไปหาท่าน กลัวว่าเขาจะรู้ว่าผมเป็นคนยังไงด้วย เพราะทีจริงตอนไปหาพบแม่ ผมจะลอกคราบภายนอกนี้ออก และจะได้แสดงร่างที่แท้จริงให้ท่านได้เห็น

                   “แล้วเนทจะไปไหนต่อ” ผมรีบถามก่อนที่เจ้าตัวจะถามสถานที่ที่ผมจะไป

                   “กลับบ้านไปหาครอบครัวน่ะ” เนทพูดถึงจุดประสงค์

                   “แล้วบ้านเนทอยู่ไหนอ่ะ” ผมถามอย่างอยากรู้

                   “อยู่ในหมู่บ้านจัดสรรxxx ซอยxxx “ เนทพูดอย่างเต็มใจบอกข้อมูล แต่เอ๊ะ! หมู่บ้านนี้ ซอยนี้ มันใกล้กับบ้านแม่ด้วยนิ ดีนะที่เรายังไม่ได้บอกไป

                    “แล้วเปอร์ล่ะ”

                    “อ๋อ คือบ้านเราอยู่ต่างจังหวัดน่ะ” ขอโทษด้วยนะที่เราต้องพูดโกหก ขอโทษด้วยจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่อง อย่างน้อยเรื่องบ้านก็เป็นเรื่องจริง

                    “อืม” เนทพยักหน้าอย่างเข้าใจ “แล้วอยู่จังหวัดไหนอ่ะ “

                    “เอ่อคือ...” นั่งกุมมือเข้าหากัน ไม่รู้จะบอกยังไงดี หรือต้องโกหกต่อไป

                    ทำไงดี ทำไงดี

                    “ราเม็งมาแล้วค่ะ” เสียงพนักงานดังขึ้น ทำให้เนทหันไปสนใจของที่สั่ง โดยไม่รอฟังคำตอบจากผม

                    และแล้วเวลาก็ผ่านไป ตลอดเวลาที่กินราเม็งเราก็คุยกันตลอด โดยแทบจะไม่ได้กินราเม็งเลยล่ะ เนทอ่ะชอบถามคำถามนั่นคำถามนี่อยู่เรื่องและเป็นคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบยังไงเนี่ยสิ จนบ้างครั้งผมต้องพูดตัดบทไปหลายเรื่องเลยล่ะ คิดๆไปแล้วก็เหมือนเดทเลยเนอะ ทั้งที่เป็นแค่ความบังเอิญแท้ๆ ถึงเนทจะไม่คิดเหมือนกันกับเราก็ไม่เป็นหรอก ขอมโนว่าเป็นเดทก่อนแล้วกัน ผมว่า ผมเริ่มจะตกหลุมรักผู้ชายคนนี้ซะแล้วล่ะ ดีไม่ดีได้ให้ใจไปแล้วส่วนนึง เศษเสี้ยวของใจ แต่ที่เหลือไว้มันคือกำแพงที่ปิดกั้นความรักของบุคคลที่สามที่รั้งให้ใจผมไม่อยากมีแฟน เพราะกลัวจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน

                    ถ้าเนทคิดแบบเดียวกันคงจะดี  แต่ก็อย่างว่าแหละ จะมีผู้ชายสักคนกี่ที่จะรับได้ในตัวตนแบบนี้ของเรา

                   ไม่อยากโกหกคนๆนี้ ขอไว้แค่คนเดียวได้ไหม

                    แต่เราทำมาขนาดนี้แล้ว จะยกเลิกทั้งหมดอย่างนั้นหรอ ไม่ได้! ไม่ได้!

เมื่อเป็นคนเลวแล้ว ก็ต้องเป็นคนเลวต่อไป

   

TBC...




***********************************************************************************************************************************

ตอนนี้เหมือนจะยืดเยื้อไปหน่อย ต้องขอโทษด้วยนะครับ
พล็อทตอนนี้ถ้าตัดออกก็จะไม่เข้าในตอนต่อๆไป
ยังไงก็ฝากติดตามกันไปเรื่อยๆนะครับ
 :mew2:






« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-11-2017 22:48:57 โดย Peppermint Choco »

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
              ตอนนี้ผมกำลังขับรถบนทางด่วนเพื่อมุ่งไปบ้านของอีกครอบครัวที่ผมเคยอยู่กับพวกเขา และไม่ได้ไป 12 ปี นับต่อจากนั้น ไม่รู้ว่าคนที่นั่นจะจำผมได้หรือเปล่า ในสภาพที่ขี้เหร่แบบนี้อะนะ รอเวลานี้มานานแสนนาน ในที่สุดก็จะได้เจอสักทีผมยิ้มระรื่นด้วยความดีใจ พร้อมกับฟังเพลงและขับรถไปด้วยวันนี้เป็น วันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าผมจึงเลือกที่จะมา หาคนเหล่านั้นในวันนี้

             เมื่อวาน
             อันที่จริงผมเจอกับพวกท่านสองคนเมื่อวันวานนี้ ในตอนนั้นผมเดินห้างเล่นตามประสาคนโสดไร้คู่ เดินเข้าร้านนั่น ร้านนี้บ้าง แต่ก็ เพราะผมรู้ว่าจะเจอท่านสองคนที่นี่ จึงเลือกมาที่ห้างแห่งนี้ และหลังจากที่ผมแยกกับเนท ก็เดินเล่นตามประสาคนโสด เพื่อจะฆ่าเวลาให้หายเหงาได้บ้าง จนได้มาเจอร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ในร้านช่างตกแต่งได้ทันสมัยตามสไตล์วินเทจ บรรยากาศในร้านช่างเหมาะแก่การคุยงานของผู้ใหญ่เอามากๆ ผมเห็นว่ามันสบายดี สงบดี ก็เลยเดินเข้าไปในร้านและมุ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อสั่งอะไรรองท้อง
             "รับอะไรดีค่ะ" พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ซักถาม
             "อืออออออ" ผมค้างเสียงลากยาวครุ่นคิด ระหว่างที่คิดเพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไรดีขณะที่มองเมนูที่เขียนไว้ข้างบน " แป๊บนึงนะครับขอเลือกเมนูก่อน" คำพูดในขณะที่ตายังจ้องเมนูบนแผ่น เมนูหน้าเคาน์เตอร์
              “ค่ะ” พนักงานตอบรับ แล้วหันไปทำงาน ที่ค้างไว้
              ผมเปิดแผ่นเมนูไปเรื่อยๆจนกระทั่งได้เมนูที่จะกินรองท้อง " งั้นเอานมวนิลาปั่น แล้วก็ฮันนี่โทส ไอศกรีมรสช็อกโกแลตชิพและรสมะนาว" อันที่จริงตัวผมก็อยากกินบิงซูอยู่แหละ แต่มาคนเดียวเนี่ยสิ ยังไงก็กินไม่หมดหรอกเสียดายตังค์ด้วย
              “ค่ะ งั้น รอสักครู่นะคะ” พนักงานตอบ
              ผมพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปหาโตที่ว่างหามุมเงียบๆ พี่จะสิงสถิต พอเดินหาอยู่สักพัก ที่แห่งนั้นกับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว ผมจะไปนั่งใกล้ ผู้ชายและผู้หญิงวัยทองสองคนที่นั่งโต๊ะข้างๆแทน กลุ่มคนนั้นพูดถึงเรื่องธุรกิจอะไรไม่รู้ที่ผมฟังแล้วไม่เข้าใจ ปวดหัวสุดๆ ไม่ใช่ว่าแอบฟังนะแต่ผมได้ยินเองถึงมันจะเบาไปหน่อยก็เหอะ ก็ได้ยินอยู่ดี
              ขณะรอของที่สั่งไว้อยู่นั้น ผมลอบมองคนพวกนั้นอยู่บ่อยครั้งเพราะพวกเขาช่างเหมือนกับคนที่ผมรู้จักอย่างมากถึงจะไม่ได้เจอกันนานแล้วก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าผมจะจำไม่ได้ จำได้ขึ้นใจเลยล่ะ ในขนาดนั้นพนักงานก็เข้ามาขัดจังหวะ ทำให้ผมต้องหันมาสนใจ ของตรงหน้าแทน
              “มาแล้วค่ะ” พนักงานตอบเสียงหวาน ถ้าผมชอบผู้หญิงนะ อาจจะขอเบอร์โทรไว้แล้วก็ได้ผู้หญิงอะไรน่ารักชะมัด เอาซักคนที่ไม่ชอบผู้หญิงอย่างผมเคลิ้มไปเลยทีเดียว เธอก็ต้องรู้จักระวังในทันที พอมีสายเรียกเข้า ผมดูแบบเดียว ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร จึงกดรับเพื่อไม่ให้เสียเวลา
               “ว่าไงมึง” ผมถามปลายสายอย่างสนิทสนม ก็คนที่โทรมา เป็นนายอามี่ คณะวิศวะ บอกผมเองแหละ
               “จะอะไรซะอีกล่ะ กูอยากเจอมึง" มันบอกเสียงอ้อน ครับผมจะใจอ่อนไม่มีทางซะหรอก
               “กูไม่ว่าง” ก็ไม่ว่างจริงๆนี่นา อีกอย่างที่ยังไม่อยากให้มึงเห็นสภาพกูแบบนี้หรอก
               “ไม่ว่างได้ไง เมื่อกี้กูยังเห็นมึงเดินเล่นคนเดียวอยู่เลย”
               "มึงว่าไงนะ!" ผมตะโกนไปยังปลายสาย แล้วหันขวับไปรอบรอบทันที ไม่รู้ว่าที่มันพูดจริงหรือเปล่า เดี๋ยวถ้ามันเข้ามาหาผมล่ะ จะทำยังไงดี สองมือก็กำลังกุมศีรษะอย่างสับสน ไม่รู้จะเอายังไงต่อ เลยถามมันไปอีกครั้ง
               "555" มันหัวเราะอย่างชอบใจ จนพูดอีกประโยค กูล้อเล่น มึงอย่าตกใจขนาดนั้นดิ ค่อยโล่งอกหน่อยว่าแล้วเชียว มันต้องล้อเล่นถึงจะอยู่ที่ห้างนี้จริงๆฟันธงเลยว่า ยังไงก็จำผมไม่ได้
               “ไอ้ห่า! ใช่เวลาเล่นมั๊ยมึง” ผมด่ามันทันทีที่ทำให้ผมหัวเสีย
               “ทำไมวะอยู่กับแฟนสินะ จึงไม่อยากให้กูไปเป็นกอขอคอ”
               “แฟนเฟิร์นที่ไหนกัน กูไม่มีหรอก”
               “จริงหรอ มึงออกจะดูดีกว่าผู้ชายต้องติดมึงตรึมแน่” มึงมาดูสภาพกูตอนนี้ก่อนเถอะ ถ้าผู้ชายไม่พากันไปทางอื่น
               “กูว่ามึงเอาเวลาไปเดทกับแฟนดีกว่ามั้ย”
               “ฮึ” มันตกใจ ถึงได้อุทานแบบนั้นออกมา “มึงรู้ได้ไง ว่ากูมาเดทกับแฟน” คงตกใจไม่น้อยที่กูรู้สินะ
               “แล้วใช่มั๊ยล่ะ”
               “ไม่ใช่เว้ย!” มันตอบกลับเสียงดัง “แค่พาผู้หญิงมาเดินห้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นแฟนกันอีก จริงมั๊ย” มันอธิบาย และตอกย้ำว่าไม่ใช่แฟน
               “อ้าว!ก็เห็นๆอยู่ว่าเขาอยากได้มึงเป็นแฟน”
               “กูคงให้เขาไม่ได้หรอก” ดูเหมือนเสียงไอ้อาร์มจะแผ่วลง
               “ทำไมวะ” ผมถามมันเพราะไม่เข้าใจว่ามันคิดอะไรอยู่กันแน่
               “กูมีคนที่กูชอบอยู่แล้ว จะให้กูไปรักคนอื่นได้ไงวะ” ก็จริงของมัน ถ้าเป็นผมก็คงทำแบบมันนั่นแหละ “แต่กูไม่กล้าสารภาพรักกับเขา” ทำไมมันช่างดูโหดจังว่ะ ที่จริงก็อยากว่าขี้ขาดอยู่หรอก แต่กลัวมันจะเสียความรู้สึกซะก่อน
               “ใครวะ”
               “กูบอกมึงไม่ได้จริงๆเมื่อถึงเวลากูจะบอกมึงเอง”
               “เออเออ” ที่ตอบไปแบบนั้นเพราะผมไม่อยากเซ้าซี้มัน เดี๋ยวถ้ามันอยากบอกก็คงบอกเองนั่นแหละ
               “เออมึง แค่นี้ก่อนนะจิ๊บมาแล้วว่ะ” กลัวถูกจับได้ล่ะสิ ว่าคุยกับคนอื่น
               “เออๆ อย่าดราม่าให้มาก เดี๋ยววันจันทร์ กูไปหาที่คณะ”
               “จริงหรอวะ ห้ามเบี้ยวล่ะมึง” มันน่าดีใจขนาดนั้นหรอวะ ที่เพื่อนจะไปหาที่ขณะ
               “เออๆจำกูให้ได้ล่ะมึง แค่นี้แหละ” 
               พอผมพูดเสร็จก็ตัดสายไปในทันที แล้วหันมาสนใจกับของกินตรงหน้าซึ่งตอนนี้นั้น ไอศกรีมได้ละลายจนเกือบจะหมดแล้ว ส่วนเครื่องดื่มที่สั่ง ก็สื่อจากการละลาย จนแทบจะเป็นน้ำเปล่าไปแล้ว
ผมยังคงมองโต๊ะข้างๆ เงี่ยหูฟัง ซึ่งตอนนี้ยังคุยงานกันไม่เสร็จจึงรีบกินของที่สั่งให้หมดโดยเร็วเพื่อจะได้มีโอกาสเข้าไปหา หลังจากที่สองคนนั้นคุยงานกับลูกค้าเสร็จ
               เป็นไปตามความคาดหมายผมกินหมดภายใน 10 นาทีกับการเรียกพี่เลยล่ะแล้วรออีกประมาณ 10 นาทีก็เห็นลูกค้าคนนั่งตรงข้ามลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินออกจากร้าน ผมจึงลุกขึ้น เดินไปยังที่นั่งของลูกค้าคนนั้นที่นั่งเมื่อสักครู่ถือวิสาสะนั่งลงในขณะที่สองคนนั้นกำลังก้มลงเก็บเอกสารบนโต๊ะยัดใส่กระเป๋า ดูเหมือนว่ามีคนมานั่งตรงหน้า ทั้งสองจงเงยหน้าขึ้นสบตาผม
               “หนูมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” ผู้หญิงวัยทองเลยถามอย่างเอ็นดูนัยน์ตาสีดำถ้าสังเกตดูดีจะเห็นความห่วงใยซ่อนอยู่ถึงตอนนี้จะมีแค่ความสงสัยและก็ตาม
ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมพูดตอบเพื่อดูว่าท่านทั้งสองจะจำผมได้หรือเปล่า
               “งั้นถ้าไม่มีอะไรพวกเราสองคน กลับก่อนนะหนู" ฝ่ายชายเป็นคนพูดถึงหน้าตา ดูแล้วจะโหดและเข้มงวดไปบ้างแต่ความดีใจ นี่ไม่เป็นสองรองใครแม้แต่ภรรยาของตนเองอย่างแน่นอนขณะที่ทั้งสองกำลังลุกขึ้น แล้วเดินออกไป ผมจึงยื่นแขนไปจับมือกับหญิงแทน
               “เดี๋ยวก่อนครับ” ทั้งสองหันมาสบตาผมอีกครั้ง “คือ...ผมมีเรื่องจะคุยด้วยอ่ะครับ” พอทั้งสองได้ยินที่ผมพูดก็มองหน้ากันอยู่สักพัก ก่อนจะนั่งลงที่เดิมที่ใช้คุยกับลูกค้าคนก่อน
               ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเราทั้งสามคนพวกท่านคงจะรอให้ผมเป็นคนเปิดประเด็นแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนก็เลยเงียบไว้ก่อน และก่อนที่พวกท่านทั้งสองจะทนไม่ไหวผมจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมดแล้วพูดออกไป
               “คือ...แม่ จำผมได้หรือเปล่าครับ” ท่านทั้งสองถึงกับตาจะถลนจนเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้า แล้วหันมองกันและมุ่งสายตามายังผม
               “น้าไม่เข้าใจที่หนูพูดเมื่อกี้ หนูคงจำคนผิดแล้วล่ะ” ทั้งสองท่านคงไม่คิดว่าผมเป็นเด็กที่มาขอให้ท่านอุปถัมภ์หรอกนะ จึงตอบปฏิเสธ
               “งั้นเข้าเรื่องกันเลยนะครับ” ผมเอ่ยเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ประเด็นหลักแล้วสูดหายใจเข้าเต็มปอด
               “จะ” ท่านผู้หญิงยิ้มตั้งหน้าตั้งตารอ ที่ผมจะพูด
               “ผมเปอร์ไงครับ” แม่กับพ่อจดจำผมไม่ได้หรือเปล่าฮะ” ประเด็นแรกคือคำถาม จนทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้า ทั้งสองคนถึงกับมองผมด้วยความสงสัยเด็กคนนี้รู้ชื่อเราได้ไงเข้าหาเราโดยมีผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า
               “เปอร์ที่เรารู้จัก เราจำไม่ได้หรอกนะหนู ไม่ได้เจอกันนานแล้วด้วย” ฝ่ายท่านผู้ชายเป็นคนพูด ผู้ชายพูด
               “หนูคงไม่ใช่มิจฉาชีพที่มาหลอกเราแล้วเอาชื่อเปอร์ลูกอีกคนของเรามาอ้างหรอกนะ”  อ้าวซะงั้น กลับถูกมองเป็นมิจฉาชีพอีกสงสัยจะยังไม่เชื่อครับผมชื่อเปอร์และเป็นตัวจริงสินะ ก็ไม่แปลกหรอก ไม่ได้เจอกันนาน 10 กว่าปีแถมผมยังอยู่ในรูปแล้วแต่แบบนี้อีกจะให้เชื่อคนตรงหน้าก็ยังไงๆอยู่ แต่ผมคงต้องพิสูจน์ให้ท่านรู้
               “งั้นถ้าผมบอกว่าคนที่ทำให้พี่หมอกกับน้องเมฆคืนดีกัน ในวันที่พี่หมอกทำของรักของเมฆพังโดยไม่ได้ตั้งใจ คือเปอร์หรือเปล่าครับ” พวกท่านทั้งสองมีสีหน้าตกใจมากเลยทีเดียว เพราะไม่มีคนนอกที่รู้เรื่องนี้นอกจากคนในครอบครัวไม่กี่คนจะหาเหตุผลใดมาแย้งเรื่องที่ผมพูดเมื่อสักครู่ก็ไม่มี
จนเวลาผ่านไป 3 นาทีทุกคนพากันเงียบ คุณที่ผมพูดว่าพ่อเขียวก็พูดขึ้น
               “ถ้าเป็นเปอร์ตัวจริง ต้องรู้ว่าทำไงให้สองพี่น้องนั้นคืนดีกันได้” คุณพ่อยังไม่แน่ใจในตัวผม ถึงจะรู้เรื่องนี้ก็ตามก็ไม่ได้แปลว่าเป็นเปอร์ตัวจริง อาจจะซักถามจากเปิดตัวจริงมาอีกทีก็เป็นได้เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ถามคีย์เวิร์ดของเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะไม่รู้ว่าลูกสาวกับลูกชายเอาเรื่องนี้ไปเที่ยวบอกใครหรือเปล่า
                ผมยิ้มกริ่มด้วยความดีใจ “ผมใช้เงินเก็บของผมซื้อของเล่นที่เหมือนชิ้นนานที่สุดให้น้อง แล้วใช้จดหมายแทนคำขอโทษส่งให้ทางพี่หมอก น้องเมฆเนื้อความในจดหมายนั้นเขียนไว้ว่า ‘พี่ขอโทษที่ทำของเล่นของเมฆพัง หวังว่า ของขวัญที่พี่ให้คงจะแทนของที่พังได้ไม่มากก็น้อย พี่ไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้ มาคุยกันที่สวนหน้าบ้านหน่อยนะ เวลา 6 โมงเย็นนะ พี่จะรอ’
                “...” หลังจากที่ผมพูดจบ ท่านทั้งสองกับสิ่งที่ผมพูด เป็นเอามากถึงกับพูดไม่ออกทีเลยทีเดียว
                “จะให้ผมพูดเนื้อความในจดหมายของพี่หมอกด้วยมั๊ยครับ” แม่ส่ายหน้าทันทีพลางเม้มปากหากันใช้มือปาดน้ำใสๆที่กำลังไหลอาบแก้มลงมาทิ้งไป คงไม่คิดหรอกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองจะใช่ลูกอีกคนของเขาที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กถึงจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันก็ตามแต่ไม่ถึงก็ถือว่าถือว่าเด็กคนนี้ เป็นคนในครอบครัว เด็กหนุ่มพูดออกมามันตรงไปซะจนแทบไม่อยากจะเชื่อ
                 คนเป็นแม่น้ำตาปริ่มที่ขอบตาอีกครั้งหน้าใสใสรักที่กำลังจะไหลร่วงส่วนมือขวาก็อย่าเพิ่งปิดตาไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกมาดีใจอย่างบอกไม่ถูกเหมือนคนเป็นพ่อก็ขยับเข้าใกล้คนข้างๆให้เอนซบไหล่แล้วปลอบประโลม
                 ในที่สุดท่านทั้งสองคนจำได้อีกแล้วสินะผมเกือบน้ำตาซึมอยู่เหมือนกันเมื่อเห็นน้ำตาของแม่ที่อยู่ตรงหน้าได้ก็อยากจะขอเข้าเฝ้าเต็มที่แต่สถานการณ์ยังไม่อำนวยลูกค้า ต่างพากันนั่งเต็มร้านจนไม่มีที่นั่งเหลือให้ว่างแต่คุณจะมีแค่ผมเท่านั้นแหละที่คิดแบบนี้เพราะหลังจากนาทีนั้น แม่และพ่อตาพากันลุกขึ้นแล้วเดินมาขอผม ผมจึงต้องลุกตามน้ำตาก็ยังซึมอยู่ก็ไหลอาบแก้มอย่างถ้าไม่ได้โดยไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ผมจึงปล่อยให้มันไหลออกมาโดยไม่สนใจคนในร้านเลยแม้แต่น้อยแต่คนตรงหน้า คือคนที่สำคัญสำหรับผมของแค่นี้ถ้าทำได้ก็ทำมันไปเหอะเพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเราจะได้ทำแบบนี้อีกหรือเปล่า
                 อ้อมกอดที่ไม่ได้สัมผัสมานานคิดถึงมาโดยตลอดและเป็นอ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นสบายใจได้ถึงเพียงนี้ผมเห็นน้ำตาของคนตรงหน้าทั้งสองเรามาเหมือนกัน ได้ยินแม่พูดบางอย่างกระซิบข้างหูผมกลับมาหาแม่แล้วอย่าหายเงียบไปอีกนะเพราะผมได้ยินอย่างนั้นผมก็พยักหน้ารับคำพูดให้สัญญาที่ว่ายังไงก็จะไม่ทำผิดสัญญาอีกเป็นครั้งที่ 2
ผมไม่รู้ว่าคนเห็นเยอะหรือเปล่าน่าจะเยอะอยู่แล้วล่ะก็คนเต็มร้านสักขนาดนั้นคิดได้แค่ว่าสิ่งที่ผมทำมันไม่ได้ผิดไม่ต้องอายมันเป็นสิ่งที่คนเป็นลูกทุกคนต้องทำด้วยซ้ำ
                 หลังจากนั้นผมจึงร่ำลาบุคคลทั้งสองที่เคารพเพื่อกลับไปพักผ่อนร่างกายที่ห้องหลังจากที่ผ่านกิจกรรมมาทั้งวัน
โดยก่อนจะลานั้นผมก็ไม่ลืมที่จะพูดอวยพรให้เดินทางปลอดภัย
                 "ราตรีสวัสดิ์นะครับ"ผมพูดด้วยรอยยิ้มเอิบหัวใจที่สุดในตอนนี้
                 “จะ เปอร์ก็เหมือนกันนะลูกรีบนอนรีบมาหาแม่เร็วๆนะอย่านอนดึกล่ะ” รอยยิ้มนั้นมันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมผ่อนคลายทั้งร่างกายและหัวใจไปพร้อมๆกันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครเหมือนกับพ่อแม่บังเกิดเกล้ามาก่อนจนได้พบกันอีกออมกอดนึง
 
แต่อ้อมกอดที่เราอยากจะใช้ชีวิตร่วมด้วยนั้น จะได้สัมผัสบ้างไหมนะ

             ตลอดทางกลับหอผมเสมองทางด้านในและด้านนอกของรถในหัวข้อคิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดความสุขนี้รอยยิ้มนี้จะรักษาไว้ได้หรือเปล่าไม่สิต้องรักษาไว้ให้ได้จึงจะเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริงอีกไม่นาน ภาพแห่งความสุขก็จะครบองค์ประกอบแล้วเหลือแค่จิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย

********************************************************************************************

                วันนี้
                ผมกวาดสายตามองด้านนอกมองไปยังท้องฟ้าที่มืดครึ้มเมฆตั้งเค้า มีเปอร์เซ็นที่จะตกในไม่ช้าซ้ำกดสวิตซ์ให้บานกระจกเลื่อนลงแล้วเอามือออกไปสัมผัสอากาศข้างนอกกับสายฝนที่กำลังตกไปปอยรู้สึกเย็นทั้งที่ข้างนอกไม่มีแอร์ด้วยซ้ำข้างเย็นนี้ไม่มีผลทำให้ร่างกายจิตใจที่อบอุ่นด้านชาตัวเองแม้แต่น้อยเท่าไฟจราจรให้สัญญาณไฟเขียวผมจึงต้องเก็บมือเข้ารถเข้ามาในรถแล้วขับออกไปทันที ไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวทำให้ผมคิดต่างๆนานาแต่สิ่งที่ผมใจจดใจจ่ออย่างมากก็น่าจะเป็นเสียงของหัวใจที่บอกว่ามันจะมีสักคนไหมที่จะทำให้เรารู้สึกแบบนี้ได้บ้าง
                จากที่ขับรถมานานนับหลายชั่วโมงตอนนี้ก็ถึงจุดหมายสักทีผมจอดรถอยู่หน้าบ้านนางหนึ่งแค่มองข้างเดียวก็รู้ว่าเป็นบ้านของใครแต่ถึงจะมีสิ่งที่เปลี่ยนไปบ้างก็เถอะ ผมก็เดินไปกดกริ่งหน้าบ้านทันที
                 กริ่ง!
                 ไม่นานคนที่อยู่ในบ้านก็ออกมาเปิดประตูรับแขกข้างนอก คนที่ผมเห็นคือพี่หมอก หญิงสาวอยู่ในชุด Private ที่ธรรมดาแต่ก็ไม่ธรรมดางงไหมพรุ่งหน้าที่ได้รูปแถมผิวพรรณที่สว่าง เป็นธรรมดาของคนที่มีเชื้อสายจีนร่วม อยู่ด้วยพี่เมาโดยตรงมาหาผมจ้องมองผมตั้งแต่หัวจดเท้าโดยมีแค่ประตูรั้วเท่านั้นที่กั้นเราไว้ที่คอมเม้นพูดอะไรผมก็นิ่งนิ่งตอบจนกระทั่งอีกฝ่ายทนไม่ไหวจึงเลยทำ
                 “สวัสดีค่ะ มาหาใครคะ” เสียงก็กล้าๆเกรงๆ ที่ไม่ไว้วางใจคนแปลกหน้า ถูกเผยออกมา อย่างปิดน้ำเสียงนั้นไม่มิด
                 “สวัสดีครับพี่หมอก” คนตรงหน้ามีสีหน้าแปลกไปทันทีที่ผมเอ่ยชื่อ รู้จักชื่อเราได้ไงเจ้าตัวคนกำลังจะคิดแบบนี้เหมือนกัน
                 “ผมมาหาแม่ของพี่อ่ะครับ”  พี่เขาผอกหัวตอบรับที่บอกว่ามาหาใครแต่อีกใจก็ยังระแวงตัวผมอยู่
                 “งั้นเข้าไปรอในบ้านก่อนนะคะ”  พี่เขาพูดจบก็เดินมาเปิดประตูสำหรับคนเดินเข้าออกให้แล้วนำทางผมเข้าไปในเขตของบ้าน ผมเองก็มองสำรวจทั้งซ้ายขวา แล้วพูดในใจ 12 ปีถ้าไม่เปลี่ยนไปบ้างก็คงแปลกน่าดู ถ้าไม่ใช่บ้านร้างอ่ะนะ
                 เดินมาได้สักพักก็ไปในตัวบ้านผมมาสำรวจในบ้านสายตากูไปอยู่ที่รูปภาพหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่บนตู้โชว์จึงเดินไปดูภาพถ่ายดังกล่าว หยิบขึ้นมาดูอีกครั้งเพราะมองแล้วผมก็ยิ้มอิ่มเอมหัวใจทำให้นึกถึงตอนเด็กขึ้นมาทุกทีภาพถ่ายหนังเป็นภาพถ่ายคลิปผมไทยกับครอบครัวนี้ตอนไปเที่ยวทะเลด้วยกันในตอนที่ผมอยู่กับครอบครัวนี้พวกเรา 5 คนยืนถ่ายรูปบนหาดทรายสีทองรายละเอียดสวยระราน ตา กับสีฟ้าของน้ำทะเล ที่ไส ขนาดมองเห็นผืนทรายที่อยู่ใต้น้ำเลย
                 ผมเคลิ้มกับการมองดูภาพถ่ายได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกเจ้าของบ้านเรียกคืนสติ
                 “นี่น้อง! ถ้าจะดูทำไมไม่ขออนุญาตพี่ก่อนล่ะ” เจ้าบ้านรู้สึกไม่พอใจ ที่คนแปลกหน้าถือวิสาสะดูสิ่งสำคัญของตัวเองกับครอบครัวจึงกล่าวตักเตือนแล้วว่ากล่าวที่ไม่ขออนุญาต
                 “ครับ” ผมพยักหน้า “ขอโทษครับ” จากนั้นจึงวางภาพถ่ายที่ใส่กรอบรูปนั้นไว้ที่เดิม
                 “ถ้าภาพถ่ายใบนี้พังหรือเสียหายขึ้นมาเราจะชดใช้ยังไง” พี่หมอกล่าวออกมาอย่างหัวเสีย
                 “ขอโทษครับ” ผมก้มหน้าส่งผิด สำนึกผิดอีกครั้ง
                 “รู้มั้ยภาพถ่ายนี้มันสำคัญกับพี่ขนาดไหนมันเป็นอีกความทรงจำที่พี่ไม่อยากให้มันหายไปมันทำให้พี่มีกำลังใจในวันที่พี่ท้อ” พี่หมอกร่ายยาวพร้อมทั้งบอก คุณสมบัติของแผ่นกระดาษที่อยู่ในกรอบ ถ้าเกิดมันพังหรือสูญหายขึ้นมาเจ้าตัวจะทำยังไง
                 “ครับ ผมเข้าใจ” ผมแอบเห็นสีหน้าพี่บอกไม่เป็นมิตรมีอคติ อย่างมากที่ผมทำแบบนั้นแล้วพูดอีกประโยคก่อนจะเดินผละออกไป
                 “งั้นนั่งรอตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่ไปตามม้าพี่ก่อน”  พูดจบที่เขาก็เดินผละออกไปในทันที ข่มอารมณ์ไม่ให้หัวเสียใส่แขก
                 “ครับ”
                 จากนั้นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ใหญ่สุดของบ้านแต่ได้ยินเสียงเรียกม้าดังก้องไปทั่วบ้าน แล้วไม่นานคนที่ถูกเรียกชื่อก็เดินมาหาแขกพร้อมกับคนในครอบครัว
                 “เปอร์”
                 คนที่เรียกชื่อผมคือแม่ แล้วเดินเข้าสวมกอดในทันทีที่เรียกชื่อ ผมก็สวมกอดตอบกลับแล้วยิ้มให้ทำให้สองพี่น้องคู่นั้นตกใจทำอะไรไม่ถูกแล้วงงไปตามตามกันด้วย ส่วนพ่อก็รู้แล้วล่ะว่าผมเป็นใครจึงไม่สงสัยอะไรนอกจากยิ้มให้อย่างเดียวท่านใดนั้นก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายจากสองพี่น้อง ก็เอ่ยถามบุพการีของตน
                 “เดี๋ยวๆนี่มันอะไรกันน่ะม้า” เสียงน้องชายวัยหนุ่ม เสียงแตกเอ่ยถาม
                 “นั่นสิม้า เด็กคนนี้เป็นใครทำไมมาถึงเรียกชื่อเด็กคนนี้ว่าเปอร์” ความสงสัยเต็มประดาของพี่หมอกมีมากจนแสดงออกมาทางสีหน้า
                 แม่ผละตัวออกจากการสวมกอดผม ผมเองก็เช่นกันหันไปทางลูกสาวก่อนจะพูดอะไรออกมาท่านก็เอามือมาลูบศรีษะผมเบาเบา
                 “หมอกเข้าใจถูกแล้วนี่แหละเปอร์ น้องชายอีกคนของหนูไงล่ะ” คนเป็นแม่พูดกับลูกสาวก่อนจะหันมาหาผมเพื่อเป็นการยืนยัน
                 “หะ! นี่ พี่เปอร์หล่อม้า นี่เปอร์จริงๆหรอม้า” สองพี่น้องทานเสียงดังพร้อมกันตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
                 “ม้า เมฆไม่เชื่อหรอกว่าเป็นพี่เปอร์” เมฆพูดคัดค้านผู้เป็นมารดา ถึงจะไม่ได้เจอกัน 12 ปี แต่ก็ใช่ว่าเมฆจะไม่รู้นี่ว่าพี่เปอร์จะเป็นยังไง พอพูดความเป็นไปได้หมดเสร็จสรรพ นี่ก็หันมาจ้องมองผมแทน
                 “ใช่ๆ” พี่หมอกกอดอกพูด
ตอนแรกมาก็คิดเหมือนกับเมฆนั่นแหละ แม่เองก็พูดออกความเห็นบ้าง แต่มาว่าเปอร์ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นหรอก ประโยคสุดท้ายแม่ก็หันมาทางผมแล้วกระพริบตาข้างเดียวให้แล้วยิ้มให้อีกครั้ง
                 “ถอดหน้ากากออกได้แล้วมั้งลูก” แม่ยิ้มให้ผมเปิดเผยตัวตนที่ซ่อนอยู่แต่ยิ่งทำให้สองพี่น้องงงเข้าไปอีกเต็มขั้น
ผมเองก็ไม่รู้ว่าแม่รู้สิ่งนี้ได้ไงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องทำตามที่แม่บอกคงจะไม่เป็นอะไรหรอกครอบครัวนี้เป็นกี่ครอบครัวที่ผมไว้ใจที่จะไม่เปิดเผยความลับของผมจะยังไงก็ตามผมก็คิดที่จะบอกพวกท่านอยู่แล้วถึงแม้ว่าแม่จะไม่ถามก็ตาม
                 เป็นไงเป็นกันวะ
                 ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะพูดเรื่องต่อจากนี้
                 “ครับแม่ รอผมสักครู่นะครับ”  พูดจบผมก็ก้าวเท้าออกจากบทสนทนานี้เดี๋ยวขึ้นไปบนบันได ก่อนจะเอี่ยวตัวหันหลังมาพูดกับน้องชายตัวแสบขณะหยุดอยู่บนบันได “เมฆที่ขอใช้ห้องน้ำเมฆนะ”เจ้าตัวก็ผงกหัวรับ ทั้งที่ยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำ สงสัยยังงงอยู่แน่เลย
                 จากนั้นไม่นานก็เดินเข้าห้องน้องชายก่อนจะถอดเสื้อผ้าทั้งหมดลงพื้นจัดการธุระให้สรรพเสร็จเรียบร้อย แล้วรีบลงไปพบกับคนข้างล่างที่รอดูคำตอบฟังคำตอบ คนที่พี่น้องคู่นั้นจะอารมณ์เสียไปซะก่อน
                 30 นาทีในการที่ผมชำระล้างร่างกาย ล้างเครื่องสำอางที่ปกปิดร่างกายที่แท้จริงออกจนหมดจดจนไม่เหลือสิ่งที่บอกว่าเป็นเบอร์เมื่อชั่วโมงที่แล้วให้เห็นอีกต่อไปใครจะรู้แล้วว่า ถึงข้างนอกจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนแต่ข้างในก็อยากจะรู้เหมือนเดิมอยู่
                 พอทำทุกอย่างเสร็จผมก็มุ่งตรงไปยังห้องรับแขกที่อีกครอบครัวหนึ่งนั่งรอกันอยู่รอมร่อ พ่อผมเดินเข้าไปเท่านั้นแหละทุกคนต่างตกใจดวงตาจ้องมองผมในกระพริบ อาจจะไม่คิดด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ตรงหน้า กับคนที่พูดบอกว่า คือเปอร์ จะเป็นคนๆเดียวกัน
                 แต่ผมกลับยิ้มให้กับพวกเขา มี่หมอกกับแม่ลุกจากที่นั่งแล้วเดินมาสำรวจผมจับแขนจับตัว ให้หมุนเหมือนผมเป็นตัวอะไรสักอย่าง แต่ผมก็ทำตามที่บอกทุกอย่างอย่างว่าง่ายโดยไม่ขัดอะไร หันสบตากับพ่อที่นั่งอยู่บนโซฟา ท่านเองก็ตกใจไม่ต่างจากทุกคน แต่ก็ไม่พูดอะไร เหมือนจะให้ผมเป็นคนพูดเองมากกว่าที่จะถาม ส่วนน้องชายก็กำลังกดชัตเตอร์ถ่ายรูปผมแบบรัวๆ เพราะเจ้าตัวก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ก็ยัง ไง ความจริงก็คือความจริงจึงยอมจำนน ก่อนจะอ้าปากพูด พี่หมอกก็แทรกขึ้น มาซะก่อน
                 “เปอร์หรอเนี่ย! พี่ไม่อยากจะเชื่อเลย” พี่หมอกพูดพลางให้ผมหมุนตัวเพื่อให้แน่ใจ “พี่จำแทบไม่ได้ โตขึ้นเยอะเลยนะเรา พี่บอกยังไม่เลิกยุ่ง กับร่างกายของผม
                 “หล่อมากเลย แม่จำคนที่แม่เห็นเมื่อกี้ไม่ได้แล้ว” แม่พูดติดตลกและหัวเราะทำไมคนที่อยู่รอบรอบระเบิดเสียงหัวเราะไปต่างๆกัน ในขณะที่เราทุกคนต่างหัวเราะกันอย่างนั้นก็ได้ยินเสียงเข้มดังขึ้นขัดจังหวะเสียงหัวเราะจนทำให้พวกเราหยุดหัวเราะแล้วหันไปมองต้นเสียงที่ทำหน้าสงสัย
                  "พ่อว่าเราเข้าประเด็นก่อนดีกว่านะเดี๋ยวจะมืดค่ำซะก่อน ไม่ได้ทำอะไรพอดี  ถ้าหากสองคนนั้นยังลูบๆคลำๆอยู่อย่างนั้น" พอพ่อพูดขึ้น มันทำให้ผมกับก็สุขความคิดที่ว่าเรื่องที่จะพูดต่อไปนี้ เป็นเหตุผลหรือข้อแก้ตัวกันแน่
                  ผมนั่งตรงโซฟาที่ว่างซึ่งคนที่นั่งข้างๆจะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากพี่น้องคู่นี้ไปที่โซฟาอีกตัวพ่อกับแม่กำลังนั่งอยู่ท่านจ้องมองหน้าผม จดจ่อรออยู่กับใบหน้าผมว่า ที่จะพูดอะไรออกมา แต่ผมกับก้มหน้าลงไม่กล้าสบตามือไม้สั่นไปหมดทั้งที่เตรียมคำตอบที่จะพูดมาแล้วแท้ๆแต่ทำไมเมื่อถึงเวลากลับไปอีกอย่างแทน
                  กังวลเอาอย่างมากไม่กล้าพูดไม่กล้าสบตาไม่กล้าแม้แต่จะเรียกชื่อคนมีครอบครัวกลัวว่าเขาจะคิดอีกแบบมันอย่าพึ่งไปหมดเหลือก็เริ่มพูดขึ้นทั้งที่อากาศภายในบ้านก็ยังเย็นสบายอยู่เลยสักชนมาบตะพุดดีหรือเปล่าแต่ก่อนที่ผมจะคิดฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ก็มีมือสองมือยื่นมากุมมือผมทั้งสองจะห่างกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจก็คือ มันมีสองมือมากุมด้วยตอนนี้กลายเป็น4ีมือ กำลังกุมมือผมเอาไว้ แขวงไปด้วยความห่วงใยกำลังใจและการยอมรับ ซึ่งเมื่อผมหันมองสบตาก็รู้ทันทีว่า สี่มือที่ว่านั้นมันไม่ได้มาจากคนสองคนแต่กลับมาจากบุคคลทั้ง 4 ที่นั่งอยู่ในห้องผมรับรู้ได้ถึงสิ่งที่บุคคลทั้ง 4 ส่งมาให้แล้วเงยหน้าขึ้น ตั้งสติก่อนจะพูด
                  ก้มหน้าสูดอากาศเข้าไปอย่างเต็มปอดพลางถอนหายใจออกมาเป็นระลอกระลอก บอกเป็นนัยๆว่า พร้อมที่จะพูดแล้ว
                  “ที่ผมทำแบบนี้นะผมมีเหตุผลนะครับ ไม่ใช่ว่า แค่อยากแกล้งคนอื่นเล่นเฉยๆ อยากให้พ่อแม่ พี่หมอก เมฆ ฟังให้ดีๆก่อนที่จะมองผมเป็นอีกแบบนะครับ” พูดเกริ่นไปแค่นิดเดียวความกลัวก็แผ่ส่านไปทั่วร่าง จนทำให้ทั้งร่างของผมสั่นไม่หยุด แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครพูดขัด ทุกคนกำลังตั้งใจฟังอย่างแน่วแน่ๆ “ คือ...” ผมเอ่ยค้างตาหลบต่ำลงได้สักพักก็ได้ยินเสียงแล้วถึงพูด
                  “ไม่ต้องเกรง หรือกลัวอะไรนะเปอร์ แม่บอกแล้วไงเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าจะยังไง เราก็จะไม่ทิ้งกัน” แม่พูดจบก็ยิ้มกว้างเชิงให้กำลังใจ คนเงยหน้าแล้วพยักหน้าอย่างเราต้องกุมมือเข้าหากันแน่นเพื่อที่ว่าเหตุผล
                 

มีต่อนะ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2017 00:11:26 โดย Peppermint Choco »

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
                นานนับชั่วโมง ที่ผมอธิบายเหตุผลออกมาจนหมดจนครบ โดยทั้ง 4 ก็คอยถามไปเรื่อยๆผมก็บอกหมดไม่ได้ปิดบังอะไร นอกจากพลังในตัวผมที่จะบอกใครไม่ได้เด็ดขาด จนกว่าผมจะมั่นใจว่าคนๆนั้นจะไม่หักหลังผมหลังจากที่ฟังที่ผมพูด  จากนั้นพวกเราก็พูดถึงการเปิดร้านกาแฟของพี่หมอกดูให้ผมถือหุ้นครึ่งนึง มีหน้าที่ทำเค้กมาขายที่ร้าน ผมก็อยากจะไป แต่พอและหลายเหตุผลก็เลยต้องรับมัน มันไม่ใช่สิ่งที่ผมเกลียด แต่กลับเป็นสิ่งที่ชอบ ผมจึงตอบตกลง ส่วนเรื่องทำเค้กต่างๆ ก็ต้องเรียนสถานเดียว พ่อแม่ได้ติดต่อไปที่โรงเรียนทำขนมเค้กไว้แล้ว ผมน่ะทำเป็นแค่เค้ก แบบbasic อย่างเดียวเท่านั้น นอกนั้นก็ไปแสวงหาที่โรงเรียนทำเค้กก็แล้วกัน

                 ตอนเย็น
                 อากาศยามเย็นของที่นี่ช่างเย็นสบาย เหมาะแก่การนอนอ่านหนังสือซึ่งนั่นเป็นงานอดิเรกผมเองแหละ ถ้าใกล้สอบ รอบตัวจะเต็มไปด้วยกองหนังสือทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษกองรวมกัน ไม่เว้นแม้แต่ชีทที่ได้รับจากอาจารย์ภาควิชาที่ถูกไฮไลท์ด้วยปากกาหลากหลายสีสัน จนบางครั้งผมถูกเอ็ดจากเพื่อนๆ “นี่มึงขีดอะไรเยอะแยะ ไม่ขีดเต็มหน้าเลยล่ะ” อย่ายุกูนะ กูทำจริงๆแน่
                 ส่วนเวลาเบื่อจากพวกหนังสือพวกนี้ ผมก็จะหยิบพวกอื่นมาอ่านแทน อย่างงี้แหละชีวิตที่ไร้การผูกมัดจากใคร มันทำให้ผมได้ใช้เวลากับตัวเองมากไปจนเสียจนผมโหยหาความรักจากอีกคน แต่เพราะไม่รู้ว่าใครจะรักเราจริง รักเราที่ตรงไหน และเพราะอะไร ผมจึงต้องทำเป็นอีกคน ถึงแม้มันจะเป็นการเสแสร้งหรือโกหกใครก็ตามแต่ และส่งผลต่อชีวิตผมยังไง ผมก็พร้อมที่รับมันด้วยสองมือนี้
                 ดวงอาทิตย์ที่กำลังละจากขอบฟ้า เผยให้เห็นแสงสุดท้ายของวันที่สาดส่อง ย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีส้มแดง ช่วงเวลานี้ผมชอบมาก เพราะจะได้เห็นความงามของดวงอาทิตย์เต็มตา อาทิตย์อัสดงนั่นเอง
                 ขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น ก็มีแผ่นกระดาษสีขาว ที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือพร้อมกับรอยขีดเขียนจากทั้งดินสอและปากกา ลอยละลิ่วปลิวมาใกล้ๆกับโต๊ะหินอ่อนที่ผมนั่ง  ผมเหยหน้ามองแผ่นกระดาษนั่นที่กำลังจะตกลงพื้นหญ้าอย่างช้า แต่ที่ทำให้แปลกใจจนขมวดคิ้วก็คือ มันไม่ได้มาแค่แผ่นเดียว อาจจะนับสิบเลยล่ะ ไม่เว้นแม้แต่ชีทของผมเองก็เช่นกัน
                 เสียงเจื้อยแจ้วที่ไม่ค่อยสุภาพทำให้ผมหันมองทิศทางของต้นเสียง ก็พบว่ามันมาจากนอกรั้วบ้าน  ผมลุกขึ้นและเดินไปหาเจ้าของเสียงทันที
                 “มึงรีบเก็บเร็วๆดิวะ เดี๋ยวชีทที่ยืมมาก็ถูกประทับตราด้วยล้อรถหรอก” ชายคนหนึ่งที่ใส่เสื้อลายขวาง กางเกงขาสั้นเอ่ยสั่งเพื่อนอีกคนที่อยู่ใกล้ๆกันให้ทำตามคำสั่ง  ขณะที่ตัวเองก็กำลังเก็บกระดาษที่กระจายอยู่บนพื้นถนน
                 “เออ รู้แล้วน่า ลมแม่งอะไรมาพัดตอนนี้วะ ให้กูถึงบ้านก่อนสิวะ ค่อยพัดมา แม่งเอ๊ย!!!”ชายหนุ่มอีกคนที่ใส่เสื้อยือกางเกงยีนส์บ่นอย่างเหลืออด จนแทบจะลุกขึ้นแล้วเตะกระดาษพวกนั้น แต่จะทำให้สมบัติที่มีคุณค่านี้ยับเยิน เขาคงถูกเพื่อนที่มาด้วยกันเอ็ดอีกแน่
                 “มึงบ่นไปมันก็ไม่หยุดหรอก เร็วๆ รีบเก็บ” ชายอีกคนสั่งเพื่อนอีกครั้ง
                 “เออๆ เลิกสั่งกูได้แล้ว มึงก็รีบๆเก็บของมึงเหอะเนท กูรำคาญญญญ”
                 ผมมองดูชายสองคนก้มๆเงยๆเดินเก็บกระดาษไปรวมกัน เอ๊ะ! ทำไมคุ้นชื่อนี้จังวะ
                 “ให้เราช่วยอะไรมั๊ย” ผมเอ่ยถามทั้งสองด้วยความเต็มใจ เผื่อมันจะทำให้ทั้งสองเลิกเถียงกันและเก็บกระดาษที่เป็นสาเหตุให้ทั้งคู่เอ็ดกันไปมา จนมันรบกวนการอ่านหนังสือให้เสร็จเร็วที่สุด
                 “ช่วยไปไกลๆเลย คนกำลังอารมณ์ไม่ดี” คนที่ใส่เสื้อยือกางเกงยีนส์พูดโดยไม่แม้แต่จะหันมามองผม เพราะกำลังวุ่นกับสิ่งตรงหน้า
                 “มึงไปพูดกับเขาอย่างนั้นได้ไง” ชายอีกคนพูดกับเพื่อน อีกแล้ว! ไม่หันมามองกูเลยสักคน “ถ้าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่มึงได้โดนดีแน่” เสียงเตือนของเพื่อนเริ่มทำให้คนที่ถูกว่าหยุดชะงักคิดอะไรในใจ ด้วยสีหน้าบอกว่าความซวยกำลังจะบังเกิด
                 “เราไม่ใช่ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนายพูดหรอก เราก็อายุประมาณพวกนายนั่นแหละ” ผมพุดพลางใช้มือจับรั้วไม้
ทั้งสองเงยหน้า หันมองมาที่ผมทันที ผมนี่ถึงกลับผงะ เพราะคนที่ผมเห็นหนึ่งในนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก เริ่มทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่บอกจะช่วยแต่ผมกลับยืนนิ่ง คิดอยู่แต่ว่า คนนั้นอาจจะจำผมได้ จนทำให้เกลียดผมในที่สุด ความลับจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป จนทั้งสองหยุดเก็บแผ่นกระดาษแล้วมุ่งตรงมาหาผมแทน หนึ่งในนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เนท ที่ทำให้ผมอึ้งและยังนิ่งค้างอยู่แบบนี้


TBC...

**********************************************************************************************************************


นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ไม่ได้อัพ น่าจะ 2 สัปดาห์ละมั้ง
ขอโทษที่ห่างหายไปนานนะครับ งานรุมเร้าซะจนไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย
เดี๋ยวพรุ่งนี้อัพตอนที่ 9 ให้นะ
หวังว่าคงจะไม่เบื่อกันนะ :3123:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2017 00:15:52 โดย Peppermint Choco »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
            “เราไม่ใช่ผู้หลักผู้ใหญ่อย่างนายพูดหรอก เราก็อายุประมาณพวกนายนั่นแหละ” ผมพุดพลางใช้มือจับรั้วไม้
ทั้งสองเงยหน้า หันมองมาที่ผมทันที ผมนี่ถึงกลับผงะ เพราะคนที่ผมเห็นหนึ่งในนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก เริ่มทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่บอกจะช่วยแต่ผมกลับยืนนิ่ง คิดอยู่แต่ว่า คนนั้นอาจจะจำผมได้ จนทำให้เกลียดผมในที่สุด ความลับจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป จนทั้งสองหยุดเก็บแผ่นกระดาษแล้วมุ่งตรงมาหาผมแทน หนึ่งในนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เนท ที่ทำให้ผมอึ้งและยังนิ่งค้างอยู่แบบนี้

             “หวัดดี นายจะช่วยเราจริงๆหรอ” ชายคนที่ใส่เสื้อลายขวาง กางเกงขาสั้น ซึ่งนั่นก็คือ เนท เอ่ยถามผม แต่ผมกลับนิ่งเหมือนเดิมยังไม่หลุดจาภวังค์แห่งความกังวล
             “เฮ้ยนาย! ไม่ได้ยินที่เราพูดหรือไง” อีกคนทุบกำปั้นลงประตูรั้วจนมันสั่งสะเทือน ทำให้ผมหลุดจากความกังวลที่ตัวเองสร้างขึ้น
             “หะ!”
             “เอ๋อ ป่าวเนี่ย! คนนี้” มันยังไม่หยุดที่จะว่าผม มึงเป็นใครวะถึงได้มาว่ากูแบบนี้
             “มึงก็สุภาพหน่อย เขาตกใจอยู่นะนั่น” เนทเอ็ดเพื่อนครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

             “อ๋อ คือเรากะจะช่วย กระดาษของพวกนายบางแผ่นมันปลิวเข้ามาน่ะ” ผมพูด “เดี๋ยวเราจะไปเก็บมาให้แล้วกัน”
             “อืม” เนทเอ่ยอย่างเข้าใจ
             ผมมุ่งตรงใจหาเก็บกระดาษที่ว่านั้นทันที แต่ที่ทำให้ลำบากมากกว่าเก็บขึ้นมาแล้วส่งให้เจ้าของก็คือ มันกระจายปนกับชีทของผม นี่กูต้องมาแยกของตัวเองอีกหรอเนี่ย!
             พอแยกและรวบรวมเสร็จ ผมก็มุ่งไปประตูรั้วไม้ทันที ส่วนชีทของผมมันจะไม่ปลิวอีกต่อไป เพราะผมเอากองหนังสือนั่นทับหมดทุกแผ่น จะแรงแค่ไหนก็จัดมาเลยลมเอ๋ย อย่ามาเป็นพายุก็พอ ไม่งั้นคงไม่เหลือให้เก็บแน่
             “อะ” ผมยื่นให้พวกเขาทั้งสอง
             “ขอบคุณนะ” เนทรับจากผมแล้วส่งให้เพื่อนข้างนับ ซึ่งไอ้หมอนั่นก็รับและรู้หน้าที่
             “ไม่เป็นไร เราเต็มใจ” ผมพูดอย่างแก้เก้อ เพื่อไม่ให้อีกคนจับพิรุธได้ ว่าแต่เขาจะจำเสียงผมได้หรือป่าววะ
             “นายเป็นคนแถวนี้หรอ” เนทถาม
             “เอ่อ..คือ... ใช่ๆ เราเป็นลูกของบ้านหลังนี้” ไม่รู้จะตอบยังไง ผมจะตองแบบส่งๆไปพลางชี้นิ้วไปข้าง
             “แต่แปลกนะ เราไม่เคยเห็นนายเลย ตั้งแต่อยู่ที่นี่มา” เนททำท่าครุ่นคิด
             “มึงครับ เขาอาจจะเพิ่งย้ายมาอยู่มั้ยละ มึงไม่ใช่เจ้าของบ้านจัดสรร มึงจะรู้ได้ไง”อีกคนออกความเห็น
             “เออนั่นดิ”
             “เราเพิ่งย้ายมาอย่างที่เพื่อนนายว่านั่นแหละ” ในเมื่อมีคนโยนแพมาช่วย เราก็ต้องเล่นตามน้ำต่อไป เข้ามาช่วยชีวิตได้ทันพอดี
             “แล้วนายชื่ออะไร เราชื่อเนท ส่วนไอ้หมอนี่ชื่อ เปป” เนทแนะนำตัวพลางชี้นิ้วไปข้างๆ
             “เอ่อ...คือ...” กูจะชื่ออะไรวะ จะเอาชื่อไหนดี จะบอกชื่อจริงก็ไม่ได้ แต่ก่อนที่ผมจะอ้าปากบอกชื่อไปพลางๆก่อน แม่ที่อยู่ในบ้านก็ตะโกนเรียกชื่อผม
             “ต้าเก้อ ลูกอยู่ไหนมาช่วยแม่ทำกับข้าวหน่อย” นี่แหละชื่อนี้แหละเหมาะมาก ขอบคุณนะครับแม่
             “ต้าเก้อ” ทั้งสองพูดพร้อมกัน
             “ใช่ๆ เราชื่อต้าเก้อ ยินดีที่ได้รู้จัก” นึกว่าจะตายซะแล้ว โล่งอกไปที
             “เราก็เช่นกัน”เนทและอีกคนพูด
             “งั้นเราไปช่วยแม่ก่อนนะ บาย” ผมบอกพลางโบกมือลาแล้วหมุนตัวเดินเข้าบ้าน
             “อืม”
             “แล้วเจอกัน” คำพูดนี้เป็นของเนท ที่ทำให้ผมหยุดเดินแล้วหันหลังไปมองเจ้าของเสียงดด้วยใจสั่น
และแล้วพวกเขาก็กับบ้านพร้อมกับกระดาษกองใหญ่ที่ช่วยกันแบก ผมนี่คิดเป็นตุเป็นตะหมดเลย ขอคำปรึกษาจากทั้งทุกคนในครอบครัว เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันเหมือนที่เขาพูดหรือเปล่า
             แต่ความรู้สึกมันบอกว่า ‘ต้องได้เจอกันอีกแน่’
             จะทำไงดีวะ โอ้ยยยย ปวดหัวชิบหาย
             ตายดาบหน้าเอาก็แล้วกัน


*****************************************************************************************************************************


               วันนี้เป็นอีกวันที่ร้อนมากๆทำเอาคนที่ไม่ได้หยุดในที่ที่มีแอร์ ถึงกับเหงื่อไหลไคลย้อยเลยทีเดียวแต่ยังดีหน่อยที่ผมอยู่ในรถ แสงแดดที่มีไม่มากแต่ทำไมถึงร้อนอบอ้าวขนาดนี้เธอคงจะคิดไปเองแหละว่าตัวเองอยู่ในรถ ก็ไม่เห็นจะร้อนสักหน่อย ก็ไม่เห็นจะรอสักหน่อย แต่ที่รู้อย่างนั้นเพราะตอนที่มองออกไปข้างนอกเมื่อคู่เห็นคุณลุงคนหนึ่งเหนือท่วมตัวที่แล้วอย่างเดียวว่าข้างนอกร้อนขนาดนั้นเลยหรอวะ
               “เปอร์” เสียงเรียกชื่อผมดังคลื่นไม่รู้ว่าใครเรียกแต่ผมก็ไม่ได้หันตามเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเก็บเครื่องเขียนพร้อมกับสมุดเลคเชอร์ทางจากจบคลาสภาษาอังกฤษ แต่ที่แน่ๆต้องเป็นอย่างนี้เพื่อนกลุ่มใหม่อย่างแน่นอน
               “อิเปอร์” คราวนี้เป็นเสียงตะโกนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหนักผมจึงหันตามเสียงเรียกก็เพราะว่าเป็นสตรีศรีสมุทรที่แนะนำว่าชามนางกำลังจ้องหน้าผมเขม็ง
               “อะไรของมึง” ผมไปถามเสียงเรียกเข้ารู้ว่าจากนี้คงเป็นการเทศนาชุดใหญ่ที่ผมควรพนมมือขอขมาลาโทษที่ไม่ได้ฟังนานตั้งแต่ต้น
               “มึงจะไปกินข้าวที่ไหนวันนี้” มาแปลกกว่าทุกทีไม่ต้องร้องขอชีวิตเลยทีเดียว
               “เอ๊าอีนี่!ก็ต้องโรงอาหารดิ ขี้เกียจขับรถหาร้านหน้ามอ” กว่าจะได้กินก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายโมงนั่นแหละ รถยิ่งติดอยู่ด้วย
               “โรงอาหารของมหาลัยก็มีตั้งเยอะไหมคะ” เสียงของนางเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมาทุกที
               “ก็จริง”
               “ตกลงที่ไหน”
               “คณะวิศวะ”
               “หะ!” เสียงรวมพลแก๊งเพื่อนดังลั่น แล้วก็หันมาจ้องมองที่ผม
               “อะไรของพวกมึงเนี่ย” ผมจ้องหน้าพวกมันด้วยความสงสัยว่าทำไมถึงตกใจขนาดนั้น
               “แหมๆจะไปอ่อยผู้หรอคะ” ทรายมองจิกมาทางผม
               “อ่อยเหี้ยไร ดูหน้ากูด้วย” ผมพูดพร้อมกับชี้นิ้วมือ อยู่บนหน้าจนทำให้นกมาจนถึงทุกวันนี้
               “แล้วไปทำไมวะ” เสียงแพรเอ่ยถาม
               “นั่นดิ” ทรายเองก็ถามย้ำ
               “ไปหาเพื่อนพอดีแม่มันฝากของมาให้มันอ่ะ” ผมชี้แจงเหตุผล พร้อมกับอธิบายเรื่องที่จะทำ ที่ตึกวิศวะ ก่อนที่พวกเพื่อนทั้งหลายจะมโนเกินความจริง
               “ใครวะ” อังเองก็ถามพลางทำหน้ามุ่ยออกมาทีหลัง
               “ไอ้อาร์ม ปี 1 วิศวะไง ไม่รู้จักหรอ” พวกนางทั้งหลายแหล่ต่างส่ายหน้าไม่รู้ หน้าตาไอ้หมอไอ้นั่นดีขนาดนั้น ทำไมพวกนี้ไม่รู้จักว่ะ ทุกทีไม่เห็นเป็นแบบนี้ ถือว่าพลาดแล้วนะพวกนี้
               “แล้วมึงจะไปกับใคร” ทรายเอ่ยถาม
               “พวกมึงไง” ตอบเสียงหวานพร้อมยิ้มให้พวกนางไปเป็นเพื่อน ไม่ใช่อะไรหรอกนะ ไม่กล้าไปคนเดียว ดงผู้ชายเถื่อนแบบนั้น จะให้ใจดีสู้เสืออยู่ยังไงก็ไม่น่ารอด ถึงหน้าตาจะเป็นแบบนี้แต่ผมก็ห่วงตัวเองอยู่นะ
               “เดี๋ยวๆพวกกูเกี่ยวอะไรด้วย” แพรถามเสียงแข็งพลางยืนกอดอก
               “ใช่” สามคนที่เหลือพร้อมใจกันตอบ
               “ไปเป็นเพื่อนกูหน่อยไม่กล้าไปคนเดียว นะนะ” ผมเกาะแขนชามเขย่าไปมา เพื่อให้น้ำใจอ่อนไปด้วย วิธีอ้อนที่ไม่คิดว่าจะได้ผลแต่ก็ต้องทํา
               “เบาๆหน่อยแขนกูจะหลุดแล้ว ชามพูดแขวะพลางสะบัดแขนอันอวบอึ๋นให้มือผมหลุดแต่ก็ไม่ได้ผลหรอก กูติดกาวตราช้างไว้แล้วฮ่าๆๆๆ
               “ถ้ามึงไม่ไปกับกู กูจะเขย่าให้แขนขาดไปข้างเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแล้วใช้แขนเกาะกลุ่มแข่งอีกฝ่ายให้แน่นกว่าเดิม
               “เออๆ”ชามตอบเสียงเรียบที่แฝงไปด้วยความดีใจที่ที่ไปไม่แสดงทางสีหน้า
               “จะไปกับกูใช่มั้ย”ถามอีกรอบด้วยความแน่ใจ
               “ไม่ไปมั้ง ถ้าถามอีกรอบคุณจะไม่ไปด้วยแล้วนะ” พอชามพูดจบผมก็ปล่อยแขน อีกฝ่ายที่เกาะกุมให้เป็นอิสระในทันที เดี๋ยวนางจะอารมณ์ไม่ดีเอาเสียก่อน ไม่ไปเป็นเพื่อนผมอีก ผมจะทำยังไง
               “เข้าใจแล้วครับ”
               “แล้วพวกมึงที่เหลือล่ะว่าไง จะไปกับพวกกูมั้ย” ชามถามเพื่อนอีกสามคน ก่อนจะสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า แล้วเดินออกจากห้องเรียนกับผมก่อนใครเขา
               “กูไปด้วย” ทรายตะโกนตอบ แล้วรีบวิ่งมาสมทบผมกับชามที่เดินมาได้สักพักแล้ว บางทีก็แอบสงสัย นางจะไปทำไม แต่ก็พอได้ยินว่า ได้แฟนเป็นเด็กวิศวะละมั้งนะ
               “จะไปหาแฟนก็บอกเหอะมึง” พอวิ่งมาทันพวกผม ชามก็เอ่ยแซวทันที
               “แล้วไงคะ ก็คนมันคิดถึงนิ “ทรายพูดด้วยสีหน้าระรื่น ทะเล้น แหมแหม กูละอิจฉางจริงๆ
               “เดี๋ยวๆกูได้ยินว่าเมื่อวานนี้ ก็ไปเที่ยวด้วยกันนิ” ผมเอ่ยขัดทันทีที่เห็นสีหน้าแบบนั้นของเพื่อน ถ้าหากคิดถึงขนาดนั้น ทำไมพวกมึงไม่มาติดกันเลยวะ เป็นข้าวต้มมัดเลยล่ะ
               “ก็...นะ” นางผายมือพร้อมกับยักไหล่ราวกับไม่ได้ใส่ใจคำพูดผม
               “กูว่ามึงต้องไปจับผิดมันแน่ๆ” ระหว่างที่เดิน มีแค่บทสนทนาระหว่างผมกับทราย ชามก็แทรกขึ้น
               “รู้ทันกูอีก” ทรายถึงกับหงุดหงิด ที่พวกเราจับผิดสังเกตนางได้ “ก็มันน่าสงสัยนิ ได้ยินว่าคาสโนว่าตัวพ่อเลยอ่ะมึง ทั้งกลุ่มเลยแหละ ต้องโดนแบบนี้ถึงจะเข็ดหลาบ” แววตาอันจริงจัง มุ่งมั่น ราวกับว่าตั้งใจเพราะงานนี้โดยเฉพาะ การเรียนไม่เห็นได้แบบนี้บ้างเล๊ย
               “ให้มันน้อยๆหน่อย เดี๋ยวผู้ชายเขาก็ลำไยมึงเอาหรอก จู้จี้จุกจิกแบบนี้” ชามว่าเตือนทราย ก่อนที่มันจะทำเกินไป ล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของเขา
               “เชอะ” ทรายเอ่ยอย่างหงุดหงิดพลางสะบัดเส้นผมไปทางขวา ละเลงน้ำหนักไปที่ปลายผม ทำให้เส้นผมกระทบเข้ากับใบหน้าของชามเต็มๆ ชามจ้องหน้าทรายเขม็ง พร้อมที่จะหาเรื่อง ส่วนเจ้าตัวก็ยิ้มให้ชามพลางเดินนำหน้าไป แต่อย่างชามน่ะหรอจะยอม นางรีบเร่งฝีเท้าไปให้ทันทรายในทันที
               ชะนีอ้วนกับชะนีสมส่วน เดินจ้องหน้ากัน พร้อมกับฝีเท้าที่เร่งจนกลายเป็นการ แข่งเดินเร็วเข้าไปทุกที เตรียมพร้อมทำศึกสงครามกัน และมันก็ออกไปไกลทุกทีจนไม่เห็นร่างของสองคนนั้น ผมจึงรีบวิ่งตามให้ถึง รถให้เร็วที่สุด พวกนั้นคงจะรออยู่รถแล้ว อีกอย่างพวกเราไม่ได้มีเวลาขนาดที่จะมาเอ่อระเหยเหมือนกับคนอื่นเขา


********************************************************************************************************************************


                โรงอาหารของตึกวิศวะ
                หลังจากที่สองคนนั้นแทบจะกินหัวกันเราก็มาถึงโรงอาหาร พี่เต็มไปด้วยดงผู้ชาย พอเดินเข้าไปเท่านั้นแหละถึงกับหยุดชะงัก ทั้งสามคนเลยทีเดียวต่างคนต่างมองหน้ากัน เห็นพ้องต้องกันว่า นี่กูคิดถูกแล้วใช่ไหมเนี่ย! ที่มาทานข้าวที่นี่ นี่มันไม่ต่างอะไรกับ สถานที่เปลี่ยวๆเต็มไปด้วยอาการเสียวสันหลังถูกส่งมาจากทุกทิศทางเลยนะ (บรรยากาศนะ สภาพโรอาหารก็โอเค ไม่ต่างอะไรจากคณะอื่น) หรือว่าพวกเราคิดไปเองวะ
                อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ถอยกลับไปทานข้าวที่โรงอาหารของคณะตัวเองแน่ๆ อยู่ไกลกันไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้ารถติดอีกล่ะก็ คาบบ่ายคงไม่ต้องลงไม่ต้องเรียนกันแล้วแหละ พอคิดได้เช่นนั้น ผมก็ยื่นมือไปจับแขนเพื่อนสองคนที่เป็นตัวร่วมเป็นร่วมตายเอาไว้ ก่อนที่พวกนางจะหันหลังแล้วเดินออกจากไป พวกนางหันมองมาสบตากับผมแล้วกระพริบตาปริมๆให้ ผมเองก็ส่งสายตาจริงจังเป็นไงให้ไปว่ามาถึงที่นี่แล้วก็ต้องแดกสิ ไม่มีเวลาให้ไปที่อื่นอีกแล้วนะพวกมึง
                ทั้งสองมองตาผมก็รู้ทันทีว่าผมหมายความว่ายังไงถึงไม่ขัดขืนแล้วยอมเดินตามมายังที่นั่งที่ยังว่างอยู่พวกเรานั่งมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่งแต่สีหน้าของทั้งคู่ที่นั่งตรงข้าม กับผม มันดูจริงๆยังไงไม่รู้ ผมจึงเปิดประเด็นสนทนายามท้องร้อง ขอข้าวสักจาน
                “นี่พวกมึงจะไปไม่กินข้าวกันใช่มั้ย”  ผมเอ่ยเสียงเรียบแกมเอ่ยถาม
                “กินสิ” ทั้งสองพูดพร้อมกันแล้วก้มหน้าลงตัวเหมือนกลัวอะไรสักอย่าง
                “กินก็ไปซื้อดิ จะมองมารออะไรอยู่ตรงนี้เวลายิ่งมีน้อยอยู่ด้วย”
ทั้งสองหน่วยหน้ามามองผมตามด้วยหันมองหน้ากัน สีหน้าดูไม่ได้เอาเสียเลย แกล้งพวกมันสักหน่อยดีกว่าความคิดชั่ว ก็ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดหน้าฝนในป่า
                ผมโน้มตัวเข้าหาตัวเล็กน้อยถ้าว่างเชิญแล้วเอามือทั้งสองข้างประสานกัน เอ่ยคำพูดที่ทำให้ทั้งสองเสียวสันหลังวาบ
                “พวกมึงไปซื้อมาให้กูด้วยนะ เดี๋ยวกูจะอยู่เฝ้าโต๊ะเอง”พูดจบสีหน้าอีกฝ่ายก็แสดงความวิตกกังวลออกมาทันทีแต่ผมกลับแสดงรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ออกมาแทน
                “ได้ไง! ไปซื้อด้วยกันดิ” ทายเองก็เหมือนจะรู้ว่าผมหมายถึงอะไรถึงพูดดักทางไว้
                “นั่นสิ” ชามพูดตามเข้าข้างทรายเพื่อให้ผมไปด้วยกัน
                “แล้วใครจะเฝ้าโต๊ะล่ะ” คำถามแม้จะธรรมดาแต่ก็ทำให้ทั้งคู่ไปไม่เป็น
                “ก็...” สายลากเสียงยาวไม่รู้จะเอายังไงเอาอะไรมาตอบอีกฝ่ายผมจึงเริ่มมาตรการที่ 2 ทันที
                “แล้วอีกอย่างนะ ถ้าเราไปกันหมดไม่มีคนเฝ้าโตแล้วโตเต็มหมด มึงจะทำยังไงล่ะ บอกกูมาดิ” ผมร่ายยาวเอาทุกสิ่งอย่างมาเหมารวมกัน รวมๆแล้วนั่นแหละคือเหตุผลบอกความอยากแกล้งเข้าไปด้วยชีวิตจะได้มีสีสัน
                ถึงแม้ว่าทั้งสอง อาจจะตามคำพูดผม ไม่ทันทั้งหมด แต่ก็น่าจะเข้าใจว่าผมหมายความว่ายังไง แล้วทั้งคู่จึงหันมามองกันอีกรอบเพื่อตัดสินใจเข้าฝ่าดงผู้ชาย
                “เออๆ ก็ได้ว่ะ แล้วมึงจะเอาอะไรล่ะ” เข้าทางผมแล้วสิ ไม่นานผมก็หัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นสีหน้าจำยอมของเพื่อนทั้งสอง นี่แหละนะแกล้งคนมาสนุกแบบนี้แหละ
                “อาหารตามสั่งอะไรก็ได้ เร็วๆด้วยกูหิว มีธุระต้องไปต่อ” ถ้าหากพวกนี้รู้ว่าแผนนี้ผมเป็นคนคิดพวกมันต้องเอาผมคืนโดยการสั่งอะไรที่ไม่ใช่ข้าวมาให้แน่ๆแล้วคนที่หัวเราะทีหลังก็คือพวกมัน
                “คร้าาาา” ชามลากเสียงยาวที่แฝงไปด้วยความหมั่นไส้ “ได้ทีนี้สั่งจังนะคุณชาย” น้ำเสียงกระทบกระทั่งจนทำให้เพื่อนตัวดีอีกคนอดไม่ได้ที่จะต่อว่าผมตาม
                “ถ้าอยากกินเราไปซื้อให้ได้ แต่ถ้าอยากได้เร็วๆกรุณาไปซื้อเองนะคะ” น้ำเสียงนุ่มนวลของทรายตอนแรกมันดีต่อใจมาก แต่มาติดตรงประโยคสุดท้ายนี่แหละ หัวเราะไม่ออกเลย
                “คร้าบบบๆ” ผมอดไม่ได้ที่จะทำเสียงยาวเหมือนกับทั้งสอง แล้วจะไปได้ยัง คุณขี้ข้า!” เอาคืนไปให้หนำใจ
                “มึง!!!” ทรายขึ้นเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโห ชามก็ขวางเอาไว้เสียก่อนแล้วรีบจูงมือทรายไปซื้ออะไรมาทาน ก่อนจะเข้าเรียนไม่ทันในช่วงบ่าย
                ก่อนไปทรายได้ชี้นิ้วค่าโทษผมไว้ เดี๋ยวจะมาเอาคืนทีหลังผมจึงพนมมือไหว้ขอโทษแล้วจึงเอานิ้วทั้ง 9 โรงพร้อมพร้อมกันเหลือแต่นิ้วกลางข้างขวา ที่ยังตั้งตรงให้อีกคนได้เห็น
                ขณะรอเพื่อนทั้งสองก็รู้สึกยังไงอย่างบอกไม่ถูก จะว่าไปแค่นี้ก็น่ากลัวแปลกๆ คงพอมีแต่ผู้ชาย และความไม่คุ้นชินของสถานที่ด้วยละมั้ง จึงทำให้ผมรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
                คิดอะไรเพลินๆได้ไม่นานก็เสียวสันหลังวาบสะดุ้งพร้อมกับสั่นไปทั้งร่าง ราวกับอยู่ในป่าช้า จากนั้นจึงหันมองรอบๆ ตัวว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่สิ่งที่เห็นทำให้หัวใจอันระแวงกลับสูงขึ้นมาทันตาเห็น ก็จะอะไรซะอีกล่ะ ผู้ชายคนหนึ่งเขาก้มๆเงยๆ ขอโทษผมตอนเดินผ่าน กระเป๋าที่เขาสะพายมาสัมผัสตัวผมจนรู้สึกถึงผิวกายที่อยู่ข้างใน เขาจึงกล่าวขอโทษ ผมก็บอกไม่เป็นไร แล้วเขาก็เดินไปสมทบกับเพื่อน
                ผมเอามือข้างขวามาทาบกับหน้าอกถอนหายใจที่มันไม่มีอะไรอย่างที่คิด แล้วอย่างที่คิดมันอะไรกันวะโล่งใจไปอีกรอบนึง แต่ไม่ทันไรเพื่อนทั้งสองที่ฝากซื้อข้าวก็เดินมาสมทบพร้อมกับข้าวราดแกงแล้วยิ้มมาให้ผมซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
                มองหน้าเพื่อนทั้งสองกับการข้าวที่ได้ด้วยสีหน้าเอือมระอา ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัดแต่ทั้งคู่กับแสดงสีหน้าสดใสยิ้มให้อย่าง ปิดไม่มิด สั่งอีกอย่างได้อย่างแทน กูละปวดใจ มันเอาคืนจริงๆด้วย แต่เรื่องที่ควรกังวล มันไม่ใช่เรื่องนี้ส่วนเรื่องที่แล้ว ทิ้งไปแล้วก็ทิ้งไปสิวะพยายามพูดกับตัวเองหลายรอบ แต่ก็ใช้เวลานะ
                “เฮ้อ...” ผมถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้เป็นการเอาคืนของพวกนางนั้นแหละ สงครามนี้ไม่รู้ใครจะชนะแต่ก่อนจะเริ่มอัดสงครามประสาทอีกหรอ ผมก็สลัดความคิดนั้นออกไปผมก็สลัดเอาความคิดนั้นออกไปเดี๋ยวลงไปทานข้าวให้หมดโดยเร็วจะได้ไปทำธุระต้องสงครามประสาทอะไรนั่นเริ่มไปแล้วก็แพ้อยู่ดีฝ่ายเรามีคนเดียวฝ่ายมีสองคนด้วย
                รีบจ้วงข้าวในจานด้วยความเร็วสุดขีด จนหมดเกลี้ยงในเวลา 5 นาที แล้วลุกออกจากที่นั่งไปซื้อน้ำโดยไม่บอกเพื่อน
                “มึงไปไหนวะ” ทรายเอ่ยถามแต่ผมไม่ได้ตอบอะไรไปเพราะมัวแต่สนใจที่จะไปซื้อน้ำอย่างเดียว และผมกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่า 3 ขวดแล้วยื่นให้เพื่อนตามมารยาท แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพื่อนทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากรับน้ำ แล้วนำไปดื่มเพื่อแก้กระหายเท่านั้น
                ผมเองก็ดื่มน้ำที่ซื้อมาเหมือนกันขณะนั้นเองชามจึงเอ่ยถาม “มึงงอลพวกกูใช่มั้ย” ผมส่ายหน้าทันทีแต่ไม่ได้พูดอะไรอีกตามเคย เพราะกลัวว่ามันจะบ้วนออกมา จึงไม่ได้ตอบคำถาม
                “ไม่จริงอ่ะ” น้ำเสียงตัดพ้อแบบนี้ เดาได้ไม่ยากว่าเป็นใคร ทรายนั่นเอง “ถ้ามึงไม่ได้โกรธพวกกูมึงก็พูดแล้วล่ะ” กูเองก็อยากจะพูดแต่น้ำมันเต็มปากอยู่ไง หรือจะให้กูพูดทั้งๆแบบนั้น
                ต่อจากนั้นผมจึงกินน้ำลงคอแล้วตอบพวกนางไป “ไม่ได้โกรธ ที่กูไม่พูดกับพวกมึงตอนแรก กูเพิ่งช่วงข้าวเสร็จ แล้วข้าวมันก็ติดคอกูจึงรีบไปซื้อน้ำ ส่วนรอบสองนั้นน่ะ พวกมึงถามกูได้ตอนที่กูดื่มน้ำ แล้วจะให้กูพูดทางที่น้ำยังคาปากออกไปเนี่ยนะ!” จบด้วยประโยคคำถามที่ย้ำให้พวกนางดึงสติมาจากสงครามเมื่อครู่นี้ให้ได้
                “ก็มันน่าคิดนิ” ชามพูดราวกับว่ากำลังน้อยใจ
                “ใช่” ทรายเองก็พูดตามน้ำเหมือนกัน
                “อย่าคิดมากกูไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น ซีเรียสกับการเรียนก็พอแล้ว อีกอย่างนะพวกมึงควรจะคิดมากในเรื่องที่ควรคิดมาก ไม่ใช่คิดมากเอาซะหมดแบบนี้ เข้าใจนะ” ว่าจะพูดแค่ประโยคสองประโยค แต่ดันร่ายยาวเป็นคำสอนซะ
                “คร้าาาคุณพ่อ” อีกแล้วประสานเสียงลากยาว “บ่นจริ๊งงง บ่นยิ่งกว่าพ่อกูซะอีก” ประโยคถัดมาเป็นชามที่พูด
                หลังจากจบสงครามประสาทและอธิบายสิ่งที่ค้างคาใจแล้วเสร็จพวกเราต่างแยกย้ายไป ทำธุระของตนที่ดั้นด้น มาจนถึงตึกวิศวะผมกับชามแยกไปใต้ถุนขณะส่วนทรายก็แยกไปตามนัดแฟนอีกทีนึง เวลาที่เหลือมีแค่ 30 นาทีก่อนจะเข้าเรียนในช่วงบ่ายอย่างน้อย 20 นาทีต่อจากนี้ธุระต้องเสร็จ เพราะต้องเหลือเวลาในการขับรถและเดินเข้าห้องอีก กับอีกแค่ 10 นาทีอาจจะไม่ทันก็ได้


มีต่อนะ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2017 00:19:17 โดย Peppermint Choco »

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
                การรอคอยอะไรก็ตาม ช่างเป็นอะไรที่น่าเบื่อมาก พร้อมทั้งพิมพ์จากข้าวที่ทานเมื่อครู่ ทำให้ตอนนี้ท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน หาววอดวอดเข้าไปทุกที
                “เพื่อนมึงมายังวะ” ชามถามพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือ
                “ไม่รู้ว่ะ”
                “แชทไปถามมันดื๊  ไม่งั้นก็โทรหามันเลย” ชามบอก “เดี๋ยวจะถึงคาบเรียนช่วงบ่ายก่อนนะมึง” แล้วกล่าวเตือนในภายหลัง
                “เออๆ” พอเอ่ยอิดออดออกไป มือก็เอื้อมไปหยิบ โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมา ทำตามที่เพื่อนตัวดีสั่ง แต่โดยดี
               
แชทไปไม่ถึง 10 วินาที ปลายสายก็ตอบกลับ
มึงอยู่ไหน
รีบมา
ไม่งั้นกูจะกลับไปเรียนก่อนนะ
อยู่ใต้ถุนแล้ว
มึงอยู่ไหน
ไหนวะ
พอเห็นข้อความที่ส่งมา ผมยืดตัวขึ้นแล้วหันมองรอบๆ ไม่นานก็เห็นมันทันทีเด่นซะขนาดนั้นหาไม่ยากหรอก
เห็นแล้วๆ
เดี๋ยวกูเข้าไปหามึงเอง
ไหนๆ
                ผมไม่ยอมให้มันเข้ามาหาเพราะยังไงในอนาคตมันอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่จะคุมความรักของผมเอาไว้ในกลุ่มเพื่อนนะแต่ไม่รู้ว่าใครจะรู้อีกบ้างและยังรู้อีกว่าตัวจริงผมเป็นใครแต่มันก็แค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น อย่างน้อยก็จนกว่าผมจะถอดหน้ากากนี้ออก
                พอเห็นผู้ชายที่หน้าตาคล้ายๆไอ้อาร์ม จึงรีบเดินเข้าไปหาอย่างเร่งรีบโดยเร็ว ผมยื่นมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายที่กำลังมองหาผมเอาไว้แล้วพาจูงไปในที่ๆ ไม่เป็นที่สนใจของผู้คน ซึ่งนั่นเป็นร่มไม้ข้างตึกที่คนไม่ค่อยไปนัก แต่มันเป็นที่สูบบุหรี่เนี่ยสิ ยิ่งเป็นสถานที่ที่ผู้ชายเยอะที่สุดในม. ยิ่งไว้ใจไม่ได้ ร้อยละ 90 ของผู้ชายคณะนี้ต้องเป็นคนที่สูบบุหรี่อยู่แล้ว ถึงจะไม่ชอบที่ที่แบบนี้ แต่คงฝืนยืนอีกนานแหละ
                เอาวะ! ยังไงเราก็ต้องทน ความอดทนที่หนักหนากว่านี้เราก็เคยผ่านมาแล้ว
ไม่รู้ว่าจะมีคนมาเห็นตอนไหนต้องรีบเล่าเรื่องคร่าวๆ ให้อีกฝ่าย ฟังก่อนแล้วค่อยมาอธิบายทีหลังแล้วกัน
                ถึงที่หมายผมก็เหลียวหน้าเหลียวหลังกวาดสายตามองรอบๆ เผื่อมีคนมาดูความรับเข้าและเห็นว่าไม่มีใครมา ผมจึงหันหน้ามามองอีกฝ่ายเริ่มเข้าประเด็น แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังงงอยู่ เพราะสีหน้าแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าคนข้างหน้าเป็นใครแล้วทำไมถึงพาเขามาที่นี่
                “เอ่อ...” ไอ้อาร์มเอ่ยขึ้นติดติดขัดขัดๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี เนื่องจากถูกลากมาโดยไม่รู้สาเหตุ ผมจึงเอ่ยแทรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมา
                “มึงจำกูได้ป่ะ” ผมชะโงกหน้าเข้าหาอีกฝ่าย ถ้าหากมันอยู่ใกล้ๆมันอาจจะคิดออก แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มหน้าเจื่อนแล้วก้าวถอยหลังไปทีละนิด
                “จำไม่ได้หรอก เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายเป็นใคร” สีหน้าบ่งบอกได้ชัดว่าจำไม่ได้ ผมนี่ถึงกับมองบน จากนั้นจึงก้มลง ถอดแว่นที่อำพรางใบหน้าเอาไว้ออก แล้วเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย
                “แล้วแบบนี้ล่ะ จำกูได้ไหมวะไ ผมถามย้ำอีกรอบ เผื่ออไม่มีแว่นตากรอบหนาสีดำนี้ มันจะจำได้
                “เอ่อ...คือ...” มันยังคงทำหน้าสงสัยอีกครั้งพลางใช้นิ้วชี้ข้างหลังหูแก้เก้อ
                “มึงลองมองดูดีๆดิ๊  กูว่ามึงทำกูได้นะ” ผมเริ่มขึ้นเสียงกับมัน ทั้งที่ทำขนาดนี้ยังจำไม่ได้อีก อารมณ์ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะดีนะ แต่อีกฝ่ายกลับขยับเข้าใกล้ผมเลยเรื่อยๆ ผมเห็นแบบนั้นก็เริ่มที่จะถอยหลังให้ห่างจากคนตรงหน้า ทันใดนั้นอีกฝ่ายก็ตะโกนเสียงดัง
                “ฮึ่ย! เปอร์! นี่มึงใช่ป่ะ” อีกฝ่ายทำเสียงสูง บีบหน้าผมเข้าหากัน
                “...” ผมก็พยักหน้าตอบรับ
                “จริงๆหรอวะ” พูดจบมันก็ยิ่งบีบก็หากันอีกจนผมไม่สามารถพูดออกมาได้
                “เออ ปล่อยกูสักที” ผมพูดเสียงบุ๊จากการที่ถูกบีบหน้าเข้าหากัน
                “โทษๆ”  ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมวางมือ ทำให้ผมได้มีโอกาสสูญหายใจเข้าทาง ถอนหายใจในภายหลัง
                อีกฝ่ายมองสำรวจร่างกายผม ตั้งแต่หัวจดเท้า เหมือนกับครั้งแรกที่เราเจอกันแล้วทำหน้าแปลกๆ
                “มึงไปทำอะไรมาวะ” เจ้าของเสียงเอ่ยถามพลางมองสำรวจอีกรอบ
                “เอาน่า” ผมตบข้างหัวไหล่อย่างสนิทสนม “ไว้ค่อยอธิบายทีหลังแล้วกัน ถ้าจะอธิบายถึงตอนเย็นก็คงไม่จบหรอก” อีกฝ่ายพยักหน้ารับพลางเอามือมาขยี้กลุ่มผมของผมด้วยรอยยิ้มที่สมกับเป็นเจ้าตัวจริงๆ ผมจึงจับมืออีกฝ่ายออกก่อนที่จะยุ่งไปมากกว่านี้
                “มาคุยกับกูแค่เนี๊ย!!!” ไอ้อาร์มถามกับเสียงสูง ไม่รู้ว่ามันต้องการคำตอบแบบไหน จึงได้แต่พยักหน้าไป
                “เชี่ย! เกือบลืม!” ผมมองซ้ายมองขวาหาของที่แม่ให้ไอ้อาร์ม ฝากมาไม่เห็น ก็นึกขึ้นได้ว่า ฝากชามไว้ที่โต๊ะอีกที
                “อะไรวะ” อีกฝ่ายถามพร้อมกับมองหาของฝากเหมือนกับผม
                “มึงรออยู่ตรงนี้แป๊บนะ เดี๋ยวกูไปเอาของก่อน”
                ก่อนจะวิ่งด้วยความเร็วเต็มสปีช ผมก็ลืมที่จะหันมาย้ำกับอีกฝ่ายว่า 'ห้ามไปไหน' แล้วจึงวิ่งไปให้ถึงโต๊ะที่ชามนั่งอยู่ให้เร็วที่สุด เพราะเวลาในคาบบ่ายจะเริ่ม ในอีกไม่ถึง 20 นาที ข้างหน้านี้แล้ว โดยไม่ลืมที่จะสวมแว่นที่ถอดเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง
                พอถึงโต๊ะ ชามก็เงยหน้ามามองจากที่นั่งเขียนโทรศัพท์ไปมาแล้วถาม
                “มึงไปไหนมา”
                “เดี๋ยวกูมาตอบนะ ตอนนี้กูขอของไปให้เพื่อนก่อน” ผมไม่ได้หยิบถุงที่เป็นหูหิ้วมารวมรวมกัน แล้วยกมาถือด้วยมือทั้งสองข้าง
                “อ่าๆ”
                “เอานี่” ผมยื่นแว่นตาคู่ใจไปฝากไว้กับชาม
                “อะไร" ชามงงกับสิ่งที่ผมยื่นให้
                “กูฝากหน่อย” ไม่ทันที่ชามจะพูดอะไร ผมก็วิ่งไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

                ทางด้านไอ้อาร์มก็นั่งรออย่างสบายใจเฉิบยิ้มหน้าระรื่นอีกนะมึง
                “แฮกๆ มึง...” ผมกะจะพูดต่อแต่ดันขาดช่วงไป เพราะความเหนื่อยที่วิ่งไปวิ่งมา เลยทำให้พูดออกมาได้แค่นั้นต้องพักหายใจก่อนอ่ะนะ
                มือของผมวางของที่ถูกบรรจุในถุงลง การใช้มืออีกข้างเช็ดเหงื่อบนหน้าผากออกไป อีกครั้งก็ควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงข้างหลัง แล้วเช็ดในทันที ก็ยังดีที่เครื่องสำอางไม่หลุด ยี่ห้อไหนติดทนนานจริงๆ
                “ทำไมรีบจังวะ”
                “ไม่รีบได้ไง กูมีเรียนตอนบ่ายอีก”
                “เออ เข้าใจ แต่ก็ไม่น่ารีบแบบนี้เลยนี่ เกิดหกล้มขึ้นมาใครจะมาช่วยกันล่ะ” มันพูดด้วยความเป็นห่วง มันเป็นอะไรของมันวะ วันนี้มาแปลก ดูห่วงใยผมเกินคำว่า ‘เพื่อน’
                “บ่นจังนะพ่อ ถ้าคณะมึงกับคณะกูห่างกันไม่กี่ก้าว ก็คงไม่รีบขนาดนี้หรอก”
                “ครับครับ” ไอ้อาร์มตอบกลับอย่างว่าง่าย
                “เอานี่! ของมึง” พูดจบผมก็ยื่นถุงปริศนาให้อีกฝ่ายไป แล้วมันก็ยื่นมือมารับพลางเปิดดูของในนั้นทันที
                “แล้วของมึงล่ะ แม่กูบอกว่าฝากให้มึงด้วยนิ”
                “กูแยกเอาไว้ก่อนแล้ว”
                “จริงดิ ไม่ใช่ว่าหยิบฉวยเอาของกูไปหรอกนะ” ประโยคสุดท้ายทำให้ผมถึงกลับมองบน มึงกล้าพูดได้ไง กูไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้น แต่ก็นิดนึงแหละ
                หลังจากมันพูดจบก็เข้ามาพูดใกล้หูผม แถมหน้ายังห่างกันไม่กี่เซนอีก ลมหายใจที่หายใจออกรดต้นคอและข้างหูทำให้ผมขนลุกซู่
                น่าขนลุกชิบหาย
                “กู... กูจะทำแบบนั้นทำไมวะ ไม่อิ่มก็ซื้อใหม่ได้นิ” ผมพูดตะกุกตะกัก เพราะยังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่
                “นั่นสินะ” มันพูดราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรพลางถอยหลังจากผมออกทีละก้าว
                ในนาทีนั้น ก็มีคนวิ่งเข้ามาหาไอ้อาร์มด้วยมาความเร็วแสง
                “อาร์ม” เสียงของบุคคลปริศนานั้นคือเนท “มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” เนทเอ่ยถามทีนทีที่เห็นไอ้อาร์มยืนยืนกับคนต่างคณะ
                “คือกูมา...” ไอ้อาร์มพูดไม่จบประโยค เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ชี้เข้าหาตัวเองกับตัวผม
เนทเองก็หันมองคนต่างคณะที่ไอ้อาร์มชี้เข้าหา ถึงกลับตกใจดวงตาแถบจะถลนออกมา
                “อ๊าว! เปอร์ มาทำอะไรที่นี่อ่ะ” อีกคนเอ่ยถามอย่างสงสัย ขมวดปมคิ้วเข้าหากัน
                “คือ...”
                ผมเป็นเหมือนไอ้อาร์มตอนที่เนทถามเลย ไม่รู้จะตอบยังไงดี ด้วยความที่รีบอยู่แล้ว จึงคิดที่จะออกจากสถานการณ์นี้ทันทีโดยเร็ว ว่าจะไม่ให้คนอื่นนอกจากเพื่อนผมรู้เรื่องความสัมพันธ์ของผมกับไอ้อาร์มแล้วแท้ๆ ดันมีคนมารู้เข้าซะได้ ถ้าหากเป็นคนอื่นผมว่าจะไม่กังแบบนี้หรอก แต่นี่ดันเป็นคนที่ผม...
                เรื่องวุ่นๆจะต้องตามมาทีหลังแน่ๆ
                “มึง กูไปก่อนนะ แล้วเจอกัน” ผมโบกมือผายลาอีกฝ่าย ซึ่งเจ้าตัวก็พูดเหมือนกับผมและโบกมือตาม
ซึ่งก่อนที่ผมจากไปจากบทสนาเมื่อครู่ ผมได้ยินเนทถามไอ้อาร์มด้วยว่า ‘มึงกับเปอร์เป็นอะไรกัน’
                จากที่ต้องเดินกลับมาเอาของที่โต๊ะและจะได้ไปเรียน กลับกลายเป็นว่า เพื่อนอีกคนหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมจึงโทรไปหาอีกคนที่พูดถึง นางบอกว่า ‘นางไม่อยู่รอ เพราะขี้เกียจรอ แค่นี้แหละเหตุผล จบป่ะ’ ดูมีความเป็นเหตุเป็นผลอย่างมาก ก่อนจะวางสาย ชามบอกให้ผมไปเรียกทรายที่อยู่ใต้ถุนตึกวิศวะมาด้วย ซึ่งนางรออยู่รถแล้ว ย้ำด้วยว่า ‘เร็วๆ’
                ระหว่างที่คุยกับชามผมก็เหลียวมองรอบรอบให้ทั่วอย่างเร็วมองซ้ายมองขวาอยู่สักพัก ก็เจอสิ่งที่ตามหาซึ่งเจ้าตัวกำลังนั่งคุยกับผู้ชายอย่างออกรส ผู้ชายพวกนั้นดิบเถื่อนสะด้วยสิ หรือว่ามองผิดไปเองว่ะ แต่พอไม่มีแว่นแล้วมันดูอย่างกับโลกมันกลับตาลปัตร เห็นแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้ที่ทรายเข้ากับคนอื่นได้ง่าย จนรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทุกขณะ
                ผมเดินเข้าไปหาตัวที่ทรายกำลังนั่งสนทนา ตอนนี้ในหัวมีแต่เรื่องเรียนและเรื่องที่อิจฉามาปะปนกัน จนทำให้ผมเกิดคิดทำอะไรบ้างขึ้นมา
                ตุ๊บ!!!
                เสียงตบโต๊ะตรงหน้า ดังสนั่นจนทำให้โต๊ะข้างๆแถวนั้น เหลียวมามองที่โต๊ะที่ผมใช้มือตบลงไป จะว่าไปก็เจ็บเหมือนกันนะ จนทำให้ตอนนี้กลายเป็นจุดสนใจของชาวคณะวิศวะและผู้ที่เดินผ่านเป็นอย่างมาก
                น่าอายชิบหาย กูทำลงไปได้ไงวะ
                เหล่าชายที่นั่งโต๊ะนั้นหันมามองทันทีที่ผมตบโต๊ะ งงกับการกระทำของผม ทำหน้าสงสัยไปต่างๆกันและถูกสายตาเพ่งเล็งจากคนในโต๊ะทุกคน ก่อนที่ผมเอ่ยเรียกเพื่อน
                “ทราย มัวแต่คุยกับผัวอยู่นั่นแหละ ไปเรียนกันได้แล้ว” ผมตะโกนเรียกชื่อเพื่อนออกไป อย่างกับคนเมาเลยกู แต่นั่นยิ่งทำให้คนที่ นั่งร่วมโต๊ะทำหน้าหูเข้าไปอีก งงอีกรอบ แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร
                “นี่มึงจะไม่ไปเรียนใช่มั้ย” ตะโกนถามออกไปอีกครั้งแต่สิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือความเงียบ ก่อนที่ผมจะตะโกนอีกรอบก็ได้ยินเสียงคนหนึ่งพูดขึ้นจากทางด้านหลัง
                “เปอร์ มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย!”  ทรายเข้ามาห้ามก่อนที่ผมจะโดนตีนพวกที่ผมไปตะโกน "แว่นก็ไม่ใส่ ขอโทษนะคะพี่ คือเพื่อนหนูมันสายตาสั้นอ่ะค่ะ มันอาจจะมองผิดไปบ้าง ยกโทษให้มันด้วยนะคะ” ทรายร่ายยาวพร้อมกับว่าผมไปด้วย แล้วก้มขอโทษรุ่นพี่ตรงหน้า โดยไม่ลืมที่จะจับหัวผมให้โค้งเหมือนตัวเองทำอยู่พลางทำปากมุ๊บมิ๊บ บ่นผมซะยกใหญ่ จนไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้าง
                “นี่ไม่ใช่โต๊ะของมึงกับแฟนหรอ” ผมถามออกไปอย่างไม่รู้ ยังไม่รู้สึกผิดด้วยซ้ำ
                “ก็ไม่น่ะสิ! มึงนี่ล่ะก็” อีกฝ่ายด่าผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ กูถูกคนรอบข้างคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย
พอได้รู้ว่าตอนที่ผมไปอาละวาดใส่เมื่อครู่ ไม่ใช่เพื่อนตัวดี ผมถึงกลับหน้าซีด เหงื่อแตกพร่าเลยทีเดียว มือไม้ก็สั่นไม่หยุดดด้วยความกลัว เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นรู้ที่วิศวะทั้งแก๊งเลย
                 พอถึงคราวซวย ทำไมถึงซวยได้ใจอย่างนี้ว่ะ แม่ง!
                 คงไม่โดนตีนพวกพี่เขาใช่ไหมเนี่ย...



TBC...


*******************************************************************************************************************************


มาเล้วครับ มาแล้ว ว่าจะเขียนไม่ยาวแต่ดันยาวซะได้
ต้องขอโทษที่ผิดนัดนะครับ อาทิตย์หน้ารอติดตามตอนต่อไปด้วยนะครับ
อาจจะอัพ 2 ตอนนะ ถ้าคนเขียนปั่นงานทันนะ
 :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-11-2017 00:25:31 โดย Peppermint Choco »

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
               “นี่ไม่ใช่โต๊ะของมึงกับแฟนหรอ” ผมถามออกไปอย่างไม่รู้ ยังไม่รู้สึกผิดด้วยซ้ำ

               “ก็ไม่น่ะสิ มึงนี่ล่ะก็” อีกฝ่ายด่าผมเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ กูถูกคนรอบข้างคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย พอได้รู้ว่าตอนที่ผมไปอาละวาดใส่เมื่อครู่ ไม่ใช่ตัวเพื่อน ผมถึงกลับหน้าซีด เหงื่อแตกพร่าเลยทีเดียว มือไม้ก็สั่นไม่หยุดดด้วยความกลัว เมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นรู้ที่วิศวะทั้งแก๊งเลย

                พอถึงคราวซวย ทำไมถึงซวยได้ใจอย่างนี้วะ

                คงไม่โดนตีนพวกพี่เขาใช่ไหมเนี่ย...




               “ขอโทษด้วยครับ ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ ผมผิดไปแล้ว จะให้ผมทำอะไรก็ได้ถ้าพวกพี่จะยกโทษให้” ผมยังกล่าวขอโทษพวกรุ่นพี่ในกลุ่ม พูดด้วยสกิวปากที่เร็วจนแทบจะจับใจความไม่ทัน แล้วโค้งหยุดชะงัก รอรุ่นพี่ตอบกลับ ร่างกายยังสั่นเทาไม่หาย

                ไหนจะเหงื่ออีก ฉี่จะราดไงวะ จนได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วจากรุ่นพี่ที่นั่ง

                 “เอาไงดีวะ”

                 “นั่นดิ”

                 “สาดดดด มึงเป็นหัวหน้าแก๊ง มึงก็จัดการเองเลย” เอาแล้วไงกู ถูกยำเละเป็นเขียดแน่งานนี้

                 “อือออออออ เอางั้นหรอ” เสียงหัวหน้าเก่งพึมพำในลำคอ จะเถียงหรือเสนอข้อเสนอไม่ได้ต้องก้มยอมรับอย่างเดียวสินะ

                 “เออ” พี่คนหนึ่งเอ่ยเสียงเข้ม

                 “แล้วแต่มึงเลย ไอ้เสือ”

                 “งั้น...” ไม่รอดแล้วแน่ๆกู

                 “เฮ้ย! อย่าร้องดิน้อง พวกพี่ยังไม่ทำอะไรเลยนะ” กูร้องไห้หรอ พอจับใบหน้าดูก็พบว่ามันเปียกไปด้วยน้ำใสที่ไหลจากหัวตา

                 “ผมไม่ได้ร้องซะหน่อย นี่เหงื่อต่างหาก ไม่ใช่น้ำตา” โกหกหน้าตายแบบดื้อดื้อ

                 “อ่อหรออออ” รุ่นพี่คนหนึ่งตอบตามน้ำที่ผมเล่นก่อนหน้านี้ด้วยน้ำเสียงล้อเล่นลากยาว ย้ำสิ่งที่ผมพูดกับสิ่งที่ตัวเองเจอ มันกลับไม่ใช่อย่างที่เห็นเลยสักนิด

                 “พวกมึงหยุด!” พี่คนนั้นคนที่เป็นหัวหน้าแก๊ง ตะโกนห้ามเพื่อนในกลุ่มที่ส่งเสียงแซวเด็กปีหนึ่งดวงซวย 2 คน

                 “งั้นเอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ตอนเย็น ให้น้องมาหาพี่เวลา 5 โมงหน้าตึกวิศวะ”

                 “หะ!” จากที่ยืนก้มหน้ากลับต้องเงยหน้ามาเผชิญกับเจ้ากรรมนายเวรในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทรายเองก็เงยหน้าขึ้นมามองเหมือนกัน

                 “คือผม...” ผมเอ่ยเสียงติดขัด

                 “คืออะไร” พี่เขาเอ่ยทำเสียงแข็ง

                 “คือผมมีประชุมเชียร์ของคณะอ่ะ วันอื่นไม่ได้หรอครับ หรือไม่ก็ทำอย่างอื่นก็ได้” ผมเสนอทางเลือกที่น่าจะทำให้ ตัวเองรอดไปได้ให้พี่เขาได้คิดทบทวน

                 เผื่อพี่เขาจะใจอ่อนแล้วไม่คิดจะทำอะไรผม

                 “เอาไงดีล่ะ วันอื่นพี่ก็ไม่ว่างซะด้วยสิ แถมเรายังเป็นคนพูดเองว่าจะให้ทำอะไรก็ได้” พี่เขาพูดพลางใช้มือจับคาง ใช้ความคิด บรรลัยแล้วไหมล่ะปากพาซวยอีกแล้ว จะพูดอะไรไม่พูด ดันไปพูดให้ทำอะไรก็ได้

                 กูอยากจะบ้าตาย

                 “...” ผมพูดไม่ออกเพราะยังไงก็ต้องเป็นไปตามที่อีกฝ่ายว่าเถียงไปก็เสียคำสัตย์เอาเปล่าๆ

                 “เอางี้ หลังประชุมเชียร์เสร็จมาหาพี่ที่นี่ได้มั้ย” พี่เขายื่นข้อเสนอมาให้ พอได้ยินที่พี่เขาพูด ผมก็คิดไตร่ตรองอยู่สักพัก แล้วก็ได้ข้อสรุป

                 เอาวะ! หลังประชุมเชียร์เสร็จก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว

                 “ได้ครับ” พยักหน้ารับคำขาดอย่างช่วยไม่ได้

                 “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” พวกเราพนมมือไหว้รุ่นพี่ก่อนจะก้าวขาออกมาจากตรงนั้นโดยสายเป็นคนควงแขน ไม่สิใช้คำว่า ราก น่าจะดีกว่า

                 “โชคดีไอ้น้อง” พี่คนหนึ่งตะโกนบอก ทว่าผมกับทรายไม่ได้ยิน เพราะมัวแต่รีบเดินไปข้างหน้าจนไม่ได้สนใจข้างหลังแม้แต่น้อย

                 “มึงรีบเดินสิ ชักช้าอยู่ได้” ผมเอ่ยติเพื่อน

                 “ขนาดไม่มีแว่นมึงยังเดินได้ปกตินะ”  ทรายมันเอ่ยประชดประชัน

                 “เออว่ะ จริงด้วย” ตอนนี้กูไม่ได้ใส่แว่นนี่หว่า “มึงอ่ะรีบเดินหน่อยดิ” ติเพื่อนอีกรอบให้เดินมาเร็วๆ

                 “ทำไมวะ”

                 “ก็กูจะให้มึงพาไปไงกูมอง ไม่ค่อยเห็น” ตีหน้าตายไปอีก โกหกไม่ค่อย จะเนียนเลย

                 “เหรออออ”

                 ผมมองเห็นน่ะ ที่จริงแล้วผมไม่ได้สายตาสั้นหรอก แต่เพราะต้องเปลี่ยนจากอีกคนเป็นอีกคน จึงใช้พลังปรับโฟกัสในการมองเห็น หรือจะบอกว่า ‘อยากสายตาสั้นหรือยาวตอนไหนก็ปรับได้ตามใจอย่าง’

                 ตอนที่ฝากแว่นตาไว้กับชามผมก็ปรับให้เป็นแบบที่ผมเป็นเหมือนเดิม ซึ่งนั่นก็คือสายตาปกตินั่นเอง แต่ก็ระยะเวลาสั้นเท่านั้น ต่อจากนั้นมันจะกลับไปเป็นแบบที่ผมตั้งไว้(สายตาสั้น) ทำให้ตอนที่ผมตบโต๊ะนั้น มองไม่ชัดว่าคนที่เราเห็นนั้นเป็นใครกันแน่ แล้วก็ตอนที่ก้าวออกจากบทสนากับรุ่นพี่ผมก็ปรับให้กลับไปเป็นสายตาปกติ

                 จากนั้นผมกับทราย ก็มาสมทบกับชามที่รอที่รถแล้ว พาสามร่างไปเข้าเรียนในคาบ บ่าย พวกเรารีบมากเพราะถ้าคราวนี้สายอีก คงถูกบ่นจนหูชาแน่ มิหนำซ้ำ ยังขายหน้าอีกต่างหาก เพราะจะถูกประจานหน้าชั้นเรียน แล้วต่อจากนั้นก็จะรู้สึกอายไปตลอด 1 อาทิตย์ แทบจะเอาปี๊บคลุมหัว เลยทีเดียวพูดแล้วก็ขำแต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาขำตอนนี้



****************************************************************************************************



               วันต่อมา

                  วันนี้ก็เป็นวันปกติธรรมดาเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เรียนเสร็จก็เข้าห้องเชียร์ควบคุมพฤติกรรมและเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากรุ่นพี่ ผมล่ะไม่ชอบเอามากๆ เพราะที่มหา'ลัยเก่า ถูกพี่ว๊ากๆใส่ น้ำตาเล็ดออกมาทันทีในวันสุดท้าย เพราะทนมาตั้ง 5 วัน ตอนอยู่ที่บ้านก็ไม่เคยมีแบบนี้ พอมาเจอกับตัว เลยตั้งตัวไม่ถูก ตกใจกับคำพูดที่ทิ่มแทงหัวใจ เสียงดังบาดแก้วหู ทำให้น้ำตาไหลอาบแก้มเลยทีเดียว มันเจ็บจี๊ดไปถึง รู้สึกโกรธ ไม่ให้อภัย แค้นที่ทำให้ผมต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้

                   พอได้รู้ความจริงเข้า ผมกลับให้อภัยพวกเขาอย่างไม่คิดไว้เลย อาจจะเป็นเพราะความใจอ่อนของผมเองที่ทำให้ต้องเป็นแบบนั้นและเป็นมากระทั่งจนถึงทุกวันนี้ ผมเกียจสิ่งที่เป็นตัวเอง แก้ยังไงก็แก้ไม่หาย อยากจะ...ให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย เอาล่ะ นอกเรื่องมามากแล้ว เข้าเรื่องกัน

                  "มึง" ผมหันขวับเมื่อถูกเรียก "กูว่าถ้าถูกว๊ากอีก 4 วันที่เหลือ กูได้ปี๊ดแตกแน่" คนที่พูดประโยคนี้คือ แพร

                  "เออ"พยักหน้าขึ้นรับ "กูก็ว่างั้น"

                  "แต่กูว่ามึงปี๊ดแตกไม่เป็นหรอก"

                  "ทำไมวะ?" ผมถามด้วยความสงสัย

                  "ก็...เท่าที่ก็รู้จักมึงมา มึงดูเรียบร้อยเกินกว่าจะเป็นแบบนั้น ถึงจะซุ่มซ่ามไปบ้างก็เถอะ" จริงด้วย ตอนนี้เรากำลังใส่หน้ากากอยู่นี่นา

                  "ด่าหรือชมวะ"

                  "ก็ทั้งสองอย่าง หรือไม่จริง"

                  "เออ จริงก็จริง" ไม่อยากเถียงกับมันต่อ เลยตัดบทสนทนายอมรับกับสิ่งที่เพื่อนพูด

                  เสียงกลองดั่งสนั่นทั่วบริเวณที่ใช้เป็นห้องเชียร์ของคณะแพทย์ เหล่าพี่สันทนาการต่างเต้นกันอย่างสนุกสนานไม่มีใครยอมใคร เต้นให้ตายไปข้าง ยามที่พี่สันทนาการเข้ามาช่วยลดความกดดันจากพี่ว๊ากไปได้มาก ทั้งท่าเต้น เพลง และเสียงดนตรี มันทำให้รุ่นน้องได้รู้สึกผ่อนคลายไปอย่างมากเลยทีเดียว

                  "ตามสบายเลยนะ"

                  "ผ่อนคลายๆ"

                  "นั่งท่าไหนก็ได้ ตามอัธยาศัย"

                  พอรับคำ ปีหนึ่งต่างก็นั่งตามความสบายของตน เอนหน้าเอนหลังจนไม่เป็นแถวเหมือนในนาทีก่อนหน้านี้

                  "เปอร์ มึงเป็นไร ทำไมต้องนั่งตัวแข็งทื่อขนาดนั้นวะ" ว่าพลางแพรก็จับไหล่ผมให้หันไปแรงมือ

                  "อีเชี่ย!! มึงจะทำไรกูเนี่ย" ผมถึงสบถคำหยาบออกมา เพราะการที่หันไปหาคนข้างหลังทำให้ตะคริวที่ยังไม่หายดีเกิดการเคลื่อนไหวและผลที่ตามมาคือการเจ็บจี๊ดๆ เรี่ยวแรงหายไปหมด

                  "ก็มึงไม่ตอบกู" คนตรงหน้าทำหน้า

                  "กูเป็นตะคริว จะให้กูหันไปหามึงปุ๊บปั๊บได้ไง"

                  "แล้วเป็นไงบ้างวะ"แพรชะโงกหน้าเข้ามาดู ซึ่งผมกำลังบีบ คลำกล้ามเนื้อช่วงขาให้คลายตัวขณะคุยกัน

                  "ก็ ทุเลาลงแล้วล่ะ"

                  "กูขอโทษนะ"

                  "กูไม่ยกโทษให้" ผมหัวเราะในลำคอแกมยิ้ม

                  "อีสัดด"

                  "555"

                  "ใช่เวลาเล่นมั้ย"คนตรงหน้าเริ่มขยับเข้าหาเรื่อยๆ "มานี่กูช่วย" แพรยื่นมือเพื่อจะคลายกล้ามเนื้อช่วย

                  ผมรีบจับมือแพรไว้พลางส่ายหน้าแล้วพูด "ไม่เป็นไร มันใกล้หายแล้ว ขอบใจสำหรับน้ำใจ"

                  อีกฝ่ายดึงแขนตัวเองกลับ "เอางั้นหรอ"

                  "เออๆ"

                  "แล้วมึงเป็นบ่อยป่ะ"แพรเริ่มประเด็นนี้อีกครั้ง

                  "ก็บ่อยอ่ะ" ผมพูดพลางมือก็บีบๆคลำๆช่วงเท้า"แทบจะทุกครั้งก็ว่าได้ ถ้าได้นั่งเกิน 30 นาที มันก็จะเป็นแบบที่เห็นนี่แหละ"

                  "ทรมานจังวะ" แพรพูดพร้อมกับทำหน้าสงสาร

                  "นี่ยังไม่หนักเท่าไหร่นะ ที่หนักจะเป็นตอนที่มันลามมาถึงขาอ่อน ตอนนั้นกู... แม่ง!ทำอะไรไม่ได้เลย ทำได้แค่รอให้มันหายเองอย่างเดียว" ผมพูดพลางทุบกำปั้นเบาๆลง ทั่วบริเวณที่เป็นตะคริว

                  "อ้อ" แพรพยักหน้าเข้าใจ

                  "ยังดีที่กูเป็นแล้วพี่เขาไม่ให้ลุก ไม่งั้นกูคงได้นอนพะงาบๆอยู่ตรงนี้แหละ" ผมพูดติดตลก

                  "ทรมานสัดๆ" แพรพูดพร้อมกับทำหน้าหยี

                  "เออ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเป็นแบบนี้บ่อยกว่าคนอื่น" ผมบ่นด้วยความสงสัย เพราะเป็นแบบนี้มานาน

                  "กูว่ามึงต้องขาดธาตุอะไรแน่เลย" นั่นสิ กูก็คิดอย่างนั้น

                  "ก็จริงนะ"

                  "แล้วมึงไม่ไปหาหมอหรอวะ" แพรถามด้วยความเป็นห่วง

                  "ไม่อ่ะ ขี้เกียจ มันก็ไม่ได้อันตรายสักหน่อย" พูดจบผมก็ยักไหล่ให้ทันที

                  "ก็จริง"

                  หลังจากนั้นเราหันกลับประจำที่ ที่พวกพี่สันทนาการเริ่มทยอยออกไป พี่เชียร์ก็เข้ามาทำหน้าที่แทน จนล่วงเวลาที่กิจกรรมเสร็จ

                  ทุกคนต่อแถวแยกย้ายกลับที่พักของตนเอง และหน้างานก็จะมีเช็คชื่อโดยใช้บัตรนักศึกษา มีข้าว น้ำผลไม้ และ  ขนมปังแจกฟรีจากรุ่นพี่เป็นเวลา 5 วัน

                  กลุ่มเพื่อนผมยังไม่กลับกัน เพราะนัดรวมกันตามประสาเพื่อนกลุ่มเดียวกัน

                  "พวกมึงจะไปไหนต่อวะ" ทรายเริ่มถาม

                  "พวกกูว่าจะกลับหอกัน" อังเอ่ยตอบ คนที่อยู่หอในก็มี อัง ชาม แพร จึงต้องกลับพร้อมกัน

                  "อ้อ" ทรายพยักหน้ารับ

                  "แล้วมึงล่ะเปอร์" ทรายหันมาถาม

                  "กูหรอ" ผมชี้มาที่ตัวเอง

                  "เออ แล้วมึงชื่อเปอร์ป่ะล่ะ" ทรายถามเชิงหาเรื่อง

                  "ก็ใช่" ผมเอ่ยเสียงเรียบ

                  "งั้นตอบมา" ส่วนทรายเองก็ยังเค้นเอาคำตอบเหมือนเดิม

                  "ตอบไร"

                  "อย่ากวนตีน" ทรายยืนกังขา มือทั้งสองท้าวสะเอวเชิงหาเรื่อง

                  "ก็กลับหออ่ะ แล้วมึงล่ะ" ผมตอบมันทันที เพราะถ้ายังกวนตีนมันต่อไป เดี๋ยวจะกลับหอแบบศพไม่สมประกอบเอา

                  "กูก็กลับบ้านสิคะ ถามทำไม" มันตอบพร้อมกับเอ่ยถามพลางยืนกอดอก

                  "ก็ไม่มีอะไร" ผมยักไหล่ให้

                  "งั้นพวกกูกลับก่อนละ" พวกที่อยู่หอในทั้งสามโบกมือลากลับหอ

                  "เออ เดินกลับดีๆล่ะ อย่าไปฉุดผู้ชายล่ะ" ผมเอ่ยแซวชะนีทั้งสาม

                  "อี่นิ" ทั้งสามพูดพร้อมกันพลางชี้นิ้วคาดโทษแล้วยกนิ้วกลางให้ในเวลาต่อมา

                  "5555" ผมหัวเราะด้วยรอยยิ้มชื่นใจ ทั้งที่มีเรื่องต้องสะสางต่อแท้ๆ ดันลืมซะเนี่ย

                  "มึงไปส่งกูได้มั้ย" ทรายร้องขอเมื่อเพื่อนทั้งสามไม่อยู่แล้ว

                  "บ้านมึงอยู่ไหน"

                  "เดี๋ยวกูบอกละกัน" อ๊าว ถ้ามึงเผลอหลับ ใครจะบอกทางกู

                  ผมกับทรายกำลังเดินไปที่จอดได้ไม่ทันไร ทรายมันก็ตะโกนขึ้น เหมือนเพิ่งนึกอะไรได้ทั้งที่อยู่ใกล้กันไม่ถึงเมตร มึงยังจะตะโกนอีกเนอะ

                  "เออมึง" มันเอ่ยด้วยความตกใจ

                  "ว่า"
     
                  "มึงไม่ไปเจอพี่เขาหรอ" สีหน้าที่เป็นทุกข์ของคนตรงหน้าทำให้ใจผมอยู่ไม่สุขอีกต่อไปแล้ว

                  "หะ! พี่ไหน" อดถามไม่ได้ เอาแล้วกูมีพี่กับเขาที่ไหนกัน ถ้าไม่ใช่ไอ้พี่รหัสที่ชื่อเฟิร์สนั่น จะว่าไปก็หายเงียบไป

เลยว่ะ สงสัยติดหญิงแน่เลย
 
                  "ก็พี่วิศวะที่มึงไปตะโกนใส่พี่เขาไง" ทรายมันเอ่ยเสียงเรียบ จนทำให้ผมตาลุกวาวด้วยความตกใจ

                  เอาแล้วไง กูว่าแล้วเชียว ก็ว่าเหมือนมีเรื่องต้องทำอะไรสักอย่าง แต่ทำไมถึงมานึกได้ตอนนี้วะ

                  "เหี้ย!!!" ผมร้องตกใจดังลั่น "กูลืมไปได้ไงวะ" สติแตกกระเจิงทันทีกับเรื่องที่เพิ่งนึกได้ "บรรลัยแล้วกู" ใช้มือทั้งสองแนบบนหูทั้งสองข้าง แล้วหันซ้ายหันขวาไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี ไปหาพี่ หรือไปส่งเพื่อน

                  “โอ๊ยยยยย จะทำไงดี” ผมทุบกำปั้นลงหัว เผื่อจะคิดอะไรออก เหมือนที่เห็นในหนัง

                  "เปอร์" ผมหยุดคิดเมื่อเพื่อนเอ่ยขึ้น "มึงไม่ต้องไปส่งกูแล้วก็ได้ มึงไปหาพี่วิศวะเถอะ"

                  "ได้ไง กูไม่ปล่อยมึงกลับคนเดียวแน่ นี่มันก็จะดึกแล้ว เดินทางคนเดียวเปลี่ยวๆ มันอันตราย" ผมชี้แจงหวาทล้อมด้วยเหตุผลนานับประการเพื่อให้เพื่อนตัดสินใจใหม่อีกครั้ง

                  "ถึงกูจะเป็นผู้หญิงกูก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะเว้ย" ทรายพยายามอธิบายแย้ง ห้าวซะจริง เกิดถูกฉุดขึ้นมาอย่า

มานั่งร้องไห้ให้พวกเราปลอบทีหลังล่ะ

                  "เออๆ กูเข้าใจ แต่..." ผมพยายามพยักหน้าเข้าใจ แต่สีหน้ากลับไม่ได้เป็นไปตามท่าทางตอบกลับอีกฝ่าย               

                  "ไม่มีแต่" ผมกำลังจะพูดต่อแต่ก็ถูกคนตรงหน้าเอ่ยขัด

                  กูปลงแล้วล่ะ ถ้ามึงจะพูดแบบนี้แถมยังเน้นคำซะขนาดนี้

                  ผมได้แต่ถอนลมหายใจ หันหลังเดินต่อไป

                  "มึง" ทรายเข้ามาเกาะไหล่ผม "อย่าโกรธกูเลยนะ ที่กูต้องทำแบบนี้ก็เพื่อให้มึงไปหาพี่เขาเร็วๆ เราเป็นคนผิด เราก็ต้องรับผิดชอบ" มันพูดว่า ‘เรา’ แต่กลับให้ผมไปคนเดียว นี่มันโยนขี้ให้กันชัดๆ

                  "กูไม่ได้โกรธ" ผมเงยหน้ามองท้องฟ้ายามกลางคืน โดยไม่ได้หันไปมองอีกคนที่ยังเกาะไหล่ผมอย่างกับปรสิต "ก็แค่... ช่างมันเถอะ รีบไปดีกว่า"

                  จากนั้นผมก็มุ่งหน้าไปที่คณะวิศวะอย่างเร็วจี๋และจอดที่หน้าตึก บรรยากาศตอนนี้ช่างเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยว ยังได้กลิ่นดินที่ส่งกลิ่นหลังฝนตกเมื่อชั่วโมงที่แล้วอยู่เลย

                  อยากจะบอกว่า วังเวงด้วย

                  ผมเดินเข้าไปใต้ถุนก็เจอพี่เขาและเพื่อนนั่งรออยู่ จึงรีบวิ่งเข้าไปหาในทันที

                  "แฮก แฮก ขอโทษครับพี่ ที่มาสาย" ผมหอบจากการวิ่ง ถึงระยะจะไม่ไกลเท่าไหร่ก็เถอะ แต่มันเหนี่อยมาจากการเข้าห้องเชียร์สะสมอยู่แล้ว

                  "ไม่เป็นไร ไอ้น้อง" พี่คนหนึ่งเอ่ยขึ้นพลางผายมือไม่ถือโทษโกรธ

                  "ไม่เป็นไรได้ไง น้องมันทำให้เราต้องรอ อย่างนี้ต้องลงโทษให้หนักๆ" ผมถึงกับเหงื่อแตกพร่าเมื่อพี่เขาพูดจบ พี่เขาพูดอย่างหัวเสีย ไม่สบอารมณ์อย่างมาก ขนาดหน้าผมยังไม่กล้ามองเลย กลัวว่าจะไปจ้องแล้วโดนกระทืบเข้าให้

                  "มึงก็เบาๆหน่อยละกัน น้องเขาไม่ใช่เด็กคณะเรา อย่าทำอะไรเกินขอบเขตล่ะ เดี๋ยวความซวยจะบังเกิดเอา" พี่คนที่นั่งตรงข้ามชี้หน้าเตือนหัวหน้าแก๊งค์

                  "เออๆ ไม่หนักไม่เบาเกินไปหรอกน่า" พี่ที่หัวโจกก็พูดพร้อมกับมีเล่ห์นัยน์

                  "เหอะ กูจะเชื่อตายล่ะสัด" พี่อีกคนพูดแขวะ

                  "ทำไม หน้ากูมันดูโหดขนาดนั้นหรอวะ" พี่ที่เป็นหัวโจกหันไปพูดกับเพื่อน ปล่อยให้ผมได้แต่ฟังบทสนทนาโดยไม่ได้ออกความเห็นอะไร

                  "ก็เออน่ะสิ" พี่อีกคนตะคอกใส่

                  "ไอ้สัดดด" พี่ที่ตะคอกถูกเบิ๊ดกะโหลกไปทีหนึ่งโดยหัวหน้าแก๊งค์

                  "เออน้อง" ผมหันจ้องหน้าพี่ที่เรียกชื่อขวับ "ถ้ามันทำอะไรเกินเลย บอกพี่นะ เดี๋ยวจะจัดการไอ้หัวหน้านี่เอง" พูดพลางหักนิ้วเสียงดังพลางจ้องหน้าเพื่อเตือนเพื่อนตัวดีไปด้วย เตรียมตัวที่จะลงหมัดทุกเมื่อ

                  แก๊งค์นี้มันนักเลงจริงๆ

                  "ครับ" ผมพยักหน้ารับคำ

                  "ตามผมมา" องค์ลงแล้วมั้ยล่ะ พี่เขาลุกขึ้นแล้วพูด จากนั้นก็เดินออกไป ผมที่ไม่รู้อะไร ก็ได้แต่พยักหน้าและเดินตามหลังไปโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

                  จะว่าไปใช้คำว่า ‘ผม’ ล่ะ พี่เขาเป็นรุ่นน้องของผมหรือไง แต่ว่ามันคุ้นๆแฮะ คำนี้เขาใช้ที่ไหนกันหว่า...

                  เดินมาสักพัก ผมรู้สึกได้ว่ามันมืดและเปลี่ยว ถึงจะมีเสาไฟที่ให้ความสว่างตามทาง มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาเลยสักนิด เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้วว่าพี่เขาจะทำอะไรกันแน่ บรรยากาศก็เป็นใจอีก หนาวเย็นยะเยือกจากฝนที่ตกไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วบวกกับสถานที่ที่ไม่มีใครเดินผ่านแม้แต่คนเดียว ยกเว้นผมกับพี่เขาที่กำลังเดินไปไหนสักแห่ง

                  ความระแวงเริ่มบังเกิดขึ้นมาทีละนิดทีละน้อย จนอยากจะกลับหอไปพักผ่อนแทนแล้ว รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่น่าไว้วางใจขณะลอบมองอย่างไม่วางตา

                  ถึงเขาจะเป็นผู้ชายที่ธรรมดาสำหรับผม แต่เล่ห์เหลี่ยมที่ซ่อนอยู่ข้างในใครล่ะจะรู้ ผมห่วงแค่ว่าถ้าเขาทำอะไรผมจริงๆ แล้วถ้าผมเกิดใช้พลังไปล่ะ จะทำยังไง มันอาจจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายไปมากกว่าที่เคยเป็นอาจจะถูกเปิดโปงในเวลาต่อมาก็ได้ อย่างน้อยก็ขอให้ถอดหน้ากากนี้ออกไปก่อนก็คงจะดี

                  ตอนนี้สังเกตเห็นว่ามีโรงยิมอะไรสักอย่างตั้งอยู่ข้างหน้า มีแสงไฟส่องสว่างทั่วบริเวณ ยังดีที่มีแสงไฟและคนสองสามคนให้สบายได้บ้าง โล่งอกไปที แล้วสองสามคนนั้นก็เดินเข้ามาทักพี่คนนั้นในเครื่องแบบกางเกงยีนส์ เสื้อช็อป

                  หรือว่าคนเหล่านี้เป็นพี่ว๊ากกันวะ

                  "ลมอะไรหอบมึงมาถึงที่นี่วะ"

                  "ไม่มีลมที่ไหนหอบกูมาหรอก กูนี่แหละหอบตัวเองมา" พี่เขาวางมาดขรึมใส่สองคนนั้น

                  “โวะ” ทั้งคู่ทำสีหน้าตกใจ "แล้วมาทำไรวะ"

                  "ไม่เกี่ยวไรกับพวกมึง" พี่เขาบอกปัดป่ายอีกฝ่ายทันที

                  "หรออออออ" พี่คนตรงข้ามลากเสียวยาว "แล้วที่บอกให้พวกกูไม่ต้องทำความสะอาดนี่คืออะไร"

                  "ก็...ไม่มีไรหรอกน่า" พี่เขาพูดตบหัวไหล่คนตรงหน้าอย่างสนิทสนม แต่คนตรงหน้ายังจับจ้องมาที่พี่ที่ยืนข้างๆผมโดยไม่ละสายตา

                  "ให้มันจริงเหอะ" พี่ที่อยู่ตรงข้ามพูดเสียงสูง "อย่าให้เกินเลยล่ะ สั่งสอนคือสั่งสอน ลงโทษคือลงโทษ แกล้งก็คือแกล้ง อย่าทำเพื่อความสะใจ มึงเป็นผู้ใหญ่แล้วนะเว้ย" เดี๋ยวนะ! กูถูกแกล้งหรือเนี่ย

                  "เออๆ" พี่เขาตอบกลับเสียงเรียบ "บ่นอยู่ได้ เป็นพ่อกูหรือไง"

                  "มึงอยากให้เป็นมั้ยล่ะ" พี่คนตรงข้ามยังพูดจากวนตีนไม่เลิก

                  "ไม่เว้ย!" พี่เขาตอบกลับเสียงห้วนหนักแน่น

                  "เออๆ กูกลับก่อนล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน" คนตรงข้ามบอกลาพลางตบไหล่เบาๆ แล้วเดินไปสมทบกับอีกคนที่รออยู่ก่อนหน้า แล้วพากันเดินออกจากบริเวณโรงยิม

                  ตอนนี้ผมยืนอยู่ข้างๆ พี่ที่สวมเสื้อช็อปตัวสูง ดูท่าจะเป็นพี่ว๊ากซะด้วย แล้วพี่เขาก็หันมาพูด   

                  "ตามมานี่" พูดจบพี่เขาก็เดินนำหน้าเข้าโรงยิม ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับและเดินตามไป

                  ไม่นานผมก็เข้ามาในบริเวณโรงยิม

                  "รออยู่นี่" พี่เขาพูดแล้วเดินจากตรงที่ยืนอยู่เมื่อครู่ ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง ยอมรับทุกสิ่งอย่างที่จะเกิดขึ้น

                  ในเวลาต่อมาพี่ว๊ากคนนั้นก็เดินมาพร้อมกับอุปกรณ์ทำความสะอาดสารพัดและวางลงตรงหน้าผมอย่างเย็นชา

                   "เสร็จตอนไหนก็กลับตอนนั้นแล้วกันนะ แล้วถ้าทำไม่สะอาด พรุ่งนี้คุณจะโดนหนักมากกว่านี้อีก" คนตรงหน้าพูดเตือน ใบหน้าเต็มไปด้วยเฉยชาอย่างหาใครเปรียบไม่ได้

                   น่ากลัววะ ไม่ชอบบุคลิกแบบนี้เลย

                   "ครับ" ผมพยักหน้ารับอีกรอบ

                   จากนั้นพี่ว๊ากคนนั้นก็เดินออกจากไป ปล่อยให้ผมก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดที่เด็กวิศวะทำเอาไว้ ทั้งเศษโคลนและอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้โรงยิมเกิดคราบรองเท้าผ้าใบทั่วบริเวณ



มีต่อนะ...


ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
             


                 ผมก้มลงหยิบไม้กวาด และที่ตักผง มองดูบริเวณที่จะทำ ถึงกลับอุทานออกมาพร้อมกับบ่นกับตัวเอง 'แม่ง! แค่ตะโกนใส่แค่นี้ ถึงกลับต้องให้ทำแบบนี้เลยหรอวะ' จากที่เคยอยู่สบายๆ ไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนี้ กลับต้องมาทำหรอเนี่ย!

                 ผมน่ะก็ไม่อะไรเท่าไหร่หรอก เคยทำมาก็จริงแต่นั่นก็นานมาแล้ว ตั้งแต่ที่ครอบครัวผมตั้งตัวได้ ผมก็ไม่ได้ทำอะไรแบบนี้อีกเลย อย่างมากก็แค่ทำอาหาร ส่วนงานบ้านก็ให้แม่บ้านทำ พอทำความสะอาดได้สักพักก็ได้ยินเสียงตะกุกตะกักคล้ายกับมาคนวิ่งเข้ามา จึงเงยหน้ามองหลังจากที่ก้มปัดฝุ่นใส่ที่ตักผง ภาพที่เห็นเป็นผู้ชายร่างสูง ผิวพรรณดูโอเค คล้ายคนที่เรารู้จัก  แต่ว่าคนที่เรารู้จักจะมาทำอะไรที่นี่ เวลานี้ล่ะ จึงก้มหน้าตั้งหน้าตั้งตาลงทำความสะอาดต่อ เพราะผมเงยหน้าดูแค่ผ่านๆ ภาพที่เลยก็เลยออกมาแบบเบลอหน่อยๆ ผมก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก

                 เสียงฝีเท้าคนเดินกำลังเดินเข้ามาหาผม แต่ผมกลับไม่สนใจเสียงนั้น เพราะกำลังใจจดใจจ่อกับงานตรงหน้า ผมรู้สึกได้ว่ามีคนเข้ามาใช้นิ้วสะกิดไหล่ของผม จึงเอี้ยวตัวเองด้านหลังมือก็กำลังถือทั้งไม้กวาดและที่ตักผง ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นผู้ชายรูปร่างสูง หน้าตาดี รอยยิ้มที่ทำให้ทุกคนอยากยิ้มตามเวลาสบตากับเหงื่อที่ผุดที่ใบหน้า ซึ่งผมก็ไม่ต่างกัน แต่การกระทำกลับทำให้ผมตั้งตัวไม่ติด

                  คนตรงหน้าคือ เนท นักศึกษาปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ คนที่เคยช่วยเหลือผมไว้ครั้งก่อน ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าตัวมาทำอะไรที่นี่ตอนนี้ ผมนิ่งค้างอยู่นานจนอีกฝ่ายเอ่ยเรียกสติ

                  "อ้าวเปอร์ มาทำอะไรที่นี่อ่ะ" เนทเอ่ยถามอย่างเป็นมิตร

                  "เอ่อ...คือ..." ผมก้มหน้าพลางเกาหัว "เอาความจริงหรือความเท็จอ่ะ"

                  "เอาความจริงดิ" พอเนทพูดจบ ผมก็หน้าเจื่อนทันที "เราว่าคำโกหกไม่เหมาะกับเปอร์หรอกนะ" อีกฝ่ายยังยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่เราก็กำลังโกหกนายอยู่แล้ว
 
                  "นั่นสินะ แต่เราว่ามันก็ไม่เสมอไปหรอก คนเราจะไม่มีสักครั้งเลยหรือไงที่จะไม่โกหก" ผมพูดทั้งที่ยังก้มหน้าสมเพชตัวเองที่โกหกคนรอบข้างอยู่แบบนั้น

                  "ก็จริงนะ แต่เราไม่อยากให้เปอร์โกหกเลย ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าโกหกเลยนะ" ทำไมถึงไม่อยากให้กูพูดโกหกวะ หรือว่า... ไม่หรอกเขาคงพูดแบบนี้กับทุกคนนั่นแหละ

                  "เราจะพยายามแต่ไม่รับปากหรือสัญญาหรอกนะ" ผมพูดเสียงแผ่ว เพราะคงรักษาไว้ไม่ได้แน่ๆ

                  "ทำไมอ่ะ"

                  เนทยื่นหน้าเข้ามาจนใบหน้าห่างหันไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ผมต้องก้าวถอย ใครจะไปรู้ล่ะว่าข้างหลังมีที่ตักผงตั้งอยู่ ผมเผลอเหยียบมุมจนทำให้เกือบจะล้มหงายหลังกองกับพื้น ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากคนตรงหน้าซึ่งยื่นมือมาจับผมเอาไว้ก่อนที่ผมจะลงไปนอนกองกับพื้น

                  กำลังแขนเนทดีมากจนเห็นความเกรงแขน เส้นเลือดตามแขนก็ปูดโปนขึ้นเช่นกัน ขนาดใช้แค่แขนเดียวยังยื้อไม่ให้ผมล้มลงได้ ผมล่ะทึ่งกับปฏิกิริยาที่รวดเร็วของคนตรงหน้า                   

                  หรือว่ากูผอมไปเขาก็เลยใช้แรงไม่เยอะ

                  และนาทีต่อจากนั้น แทนที่เขาจะพยุงให้ผมยืนได้ แต่เขากลับดึงผมเข้าไปใกล้ชิดกับแผงอกแกร่งตรงหน้า หน้าผากผมชนกับเข้าแผงอกนั่นแนบอยู่แบบนั้น จนได้ยินเสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะ จนผมต้องยกมือคลำหน้าผาก แล้วผลักคนตรงหน้าให้ออกห่าง

                  “นายทำอะไรของนาย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สบอารมณ์ อย่าเต้นนักสิวะหัวใจ กูยังไม่อยากรักใคร ยังไม่อยากพบกับความเสียใจ ยังไม่อยากเจ็บ ขอทีเถอะ
                  หวังว่าหน้ากูจะไม่แดงจนคนตรงหน้าสังเกตเห็นนะ

                  “ก็กลัวว่าจะล้มไง” เนทพูดอย่างสบายใจ ราวกับไม่มีเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

                  “ไม่ต้องดึงแรงขนาดนั้นก็ได้มั้ย” เสียงพูดของผมแผ่วลงเมื่อจะจบประโยค

                  “ขอโทษๆ เราไม่รู้ว่าจะทำให้เปอร์ตกใจแบบนี้” คนตรงหน้าก้มหน้าสำนึกผิด “แล้วที่ถามล่ะ เมื่อไหร่จะตอบซักที” สำนึกผิดได้ไม่กี่นาที เนทก็เงยหน้าขึ้นถาม

                  “ถามอะไร”

                  “ก็...ไอ้เรื่องที่จะพยายามไม่โกหกอ่ะ” อีกฝ่ายพูดพลางเกาท้ายทอยแก้เก้อ ยังจำได้อีกหรอวะ แต่มันก็ผ่านมาแค่ สองสามนาทีเองนี่นา จำได้ก็คงไม่แปลกหรอก

                  "ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ เราก็มีเหตุผลของเรา แต่ก็อยากให้คนใกล้ตัวเข้าใจเราด้วย" เสียงที่หนักแน่นของผมจนทำให้อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างเข้าใจ

                  "เราเข้าใจนะ" เนทยังแสดงรอยยิ้มแบบเดิมให้ ไม่รู้เหมือนกันนะว่า เวลาได้เห็นรอยยิ้มนี้ทีไร ผมกลับสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

                  "เราว่ามันเข้าใจยากกว่าที่คิดนะ ก็ไม่ได้ต้องการให้เข้าใจความรู้สึกเราหรอก ขอแค่เข้าใจเหตุผล" อย่างที่พูดแหละ ผมไม่สามารถทำให้ทุกคนเข้าใจเราได้หรอก

                  "โหหหหห ดราม่าไปอี๊ก" เนทพูดกวนประสาทเพื่อให้ผ่อนคลายอารมณ์ แล้วใครมาบิ้วให้กูเป็นแบบนี้ล่ะ

                  "แค่อยากระบายอะไรบางอย่าง ขอถามอะไรหน่อยสิ" อีกฝ่ายทำสีหน้าสงสัยทันที

                  "ตามบายเลย" ช่างเป็นคนที่ยิ้มเก่งจริงๆ

                  "เนทเกลียดคนโกหกป่ะ" ผมจ้องมองโครงหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่กระพริบตา รอคอยคำตอบที่อาจจะทำให้ผมเลิกทำแบบนี้เสียที ถ้าหากมีใครรักที่ผมเป็น แต่มันก็มาไกลกว่าที่ถอยหลังกลับแล้วล่ะ

                  "เกลียดสิ เราว่าไม่ใช่แค่เราหรอกที่ไม่ชอบ คนอื่นก็น่าจะคิดแบบเดียวกัน" อีกฝ่ายพูดจบรอยยิ้มก็หายไปทันที

                  "ทำไมอ่ะ"

                  "ไม่รู้สิ มันเหมือนไม่มีความจริงใจต่อกัน ไม่ว่าจะความสัมพันธ์แบบไหนก็ตาม" เนทพูดพลางเงยหน้ามองไปข้างบน บรรยายความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

                  "นั่นสินะ" ผมก้มหน้ามองต่ำ นึกถึงวันหนึ่งที่คนรอบข้างรู้ความจริงเข้า เขาจะมองเรายังไง

                  "เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเศร้าๆ " อีกฝ่ายคงจับสังเกตสีหน้าผมได้ ถึงได้ถามออกมา

                  "เปล่า" ผมส่ายหน้า

                  "มีอะไรก็บอกเราได้นะ" คนตรงหน้าบอกด้วยความเป็นห่วง

                  "อืม"
                  ผมพยักหน้ากลับไปกับรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความดีใจอย่างที่สุด มันทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ไม่ว่าคนอื่นจะคิดหรือว่ายังไง ผมก็จะเดินหน้าต่อไปเพื่อพิสูจน์ความสงสัยนี้ ขอแค่คนที่ผมรักไม่คิดแบบคนพวกนั้นก็พอ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีที่พึ่งให้พักในยามล้มแน่

                  "แล้วนี่ทำอะไรอ่ะ" เนทถามตัดบทพลางมองอุปกรณ์บนมือกับพื้น

                  "ก็ถูกพี่ว๊ากแกล้งนิดๆหน่อยๆอ่ะ" เผลอพูดออกไปจนได้อุตส่าห์เตรียมคำไว้อย่างดี พังหมดเลยที่คิดไว้ เขาจะหาว่าผมปลักปลำคนอื่นป่าวเนี่ย

                  "ไม่หน่อยแล้วนะ แล้วพี่ว๊ากคณะแพทย์หรอ" โล่งอก อย่างน้อยเนทก็ไม่แสดงสีหน้าว่าผมใส่ร้ายใคร

                  "เปล่าหรอก วิศวะอ่ะ" คนตรงหน้าแสดงสีหน้าทันที

                  "หะ!" เนททำสีหน้าตกใจ ตาแถบถลนจากเบ้า ปากก็ยังค้างอยู่อย่างนั้น "แล้วไปทำอะไรอิท่าไหน ถึงได้ถูกแกล้ง" เขาถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

                  "ก็ตะโกนใส่พี่เค้าเมื่อวานนี้อ่ะ"

                  "อ๋ออออ" เนททำสีหน้าเข้าใจทันที "ที่ใต้ถุนอ่ะนะ"

                  "อืม" ผมพยักหน้ารับ "ว่าแต่ รู้ได้ยังไง" ผมถามกลับทันที เพราะเท่าที่ผมรู้ เนทไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แน่หรือเปล่า ตอนนั้นก็สายตาสั้นด้วยสิ อาจจะเป็นไปได้

                  "ก็ได้ยินมาอ่ะ" ว่าแล้วชียว

                  "คงโด่งดังข้ามคืนเลยสินะ" เสียงผมแผ่วลงอีกครั้ง ข่าวแพร่กระจายไปเร็วมาก อย่างนี้จะมีหน้าไปพบไอ้อาร์มหรือ

คนที่ตึกวิศว์ยังไงวะ

                  "ก็แหงสิ นั่นพี่ว๊ากในตำนานเลยนะ"

                  "จริงหรอ แล้วคนรู้เยอะป่าว"

                  "เยอะ ทั้งคณะเลยล่ะ" หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มแล้วล่ะ

                  "โหหห คนคงเกลียดเราหมดแล้วมั้ง"  สีหน้าผมเปลี่ยนไปเป็นความกังวลทันทีที่ได้รับคำตอบ

                  "ไม่หรอก" เนทพูดตัดบท

                  "ถึงจะไม่เกลียด แต่จะเอาหน้าที่ไหนไปสู้เขาล่ะ" ผมพูดอย่างเหลืออด

                  "ไม่มีใครแคร์หรอก ไม่มีใครโกรธด้วย แต่..." เนทลากเสียงยาวคำสุดท้ายที่ยังไม่จบประโยค ทำให้ผมเกิดความ
สงสัยขึ้นมาทันที

                  "แต่อะไร"

                  "ก็...มีแต่คนหัวเราะมากกว่า" พูดจบเจ้าตัวก็ระเบิดเสียงหัวเราะ แต่กลับไม่เป็นไปตามบรรยากาศที่อีกคนทำให้มันดีขึ้น

                  "มันน่าหัวเราะขนาดนั้นเชียว" กำลังใจเริ่มถดถอย เพราะถ้ามีคนรู้เยอะ บางทีตอนกลับจากทำความสะอาด รุ่นพี่พวกนั้น อาจจะเตรียมของแถมไว้ให้ผมแล้วก็ได้

                  "ก็...นะ เพราะไม่มีใครกล้าขึ้นเสียงพี่ว๊าก ยกเว้นพี่ว๊ากรุ่นก่อนและเปอร์ มันก็กลายเป็นเรื่องตลกไปด้วย" เนทพูดไปพลางหัวเราะในลำคอไปด้วย มันใช่เรื่องที่ต้องหัวเราะมั้ยล่ะ

                  "น่าอายจังวะ" ผมสยถพลางก่ายมือบนหน้าผาก

                  "มันก็แน่อยู่แล้ว แต่ไม่ต้องคิดมากหรอก ปล่อยมันผ่านๆไป เดี๋ยวคนก็ลืมเอง" เนทพูดให้กำลังใจ แทนที่ผมจะใจชื้นกลับกลายเป็นว่าต้องพะวงกับการหลบหน้าเด็กวิศวะปีหนึ่งหรอเนี่ย

                  ผมก้มหน้าหลบสายตาคนข้างๆ คิดว่าจะเอายังไงดี ถ้าเจอเด็กวิศวะ แล้วยิ่งไอ้อาร์มอีก คงถูกล้อยันลูกบวชแน่

                  "เปอร์"               

                  "ฮี๊" ผมหันตามเสียงเรียก "มีไรป่าว"

                  "เอามานี่มา เดี๋ยวเราช่วย" ว่าพลางเนทก็ยื่นมือมาหยิบไม้กวาดกับที่ตักผงจากมือผมไป แล้วยังทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่า คนๆนี้เป็นเดือดเป็นร้อนกับผมถึงได้ทำอะไรแบบนี้ ไม่ได้อะไรตอบแทนด้วยซ้ำ แถมเหนื่อยอีกต่างหาก กลับหอไปพักแล้วรอเรียนพรุ่งนี้จะไม่ดีกว่าหรอ

                  "อะไร" ผมถามกลับเสียงเรียบ "ไม่ต้องมาช่วยเราก็ได้ นายรีบกลับเหอะ เดี๋ยวมันจะดึกซะก่อน" ผมมุ่งเข้าไปแย่งอุปกรณ์สองอย่างที่ว่า แต่ก็แย่งไม่ได้ซะที เพราะคนตรงหน้านั้นสูงกว่าผมตั้ง 10 ซม. เวลาพูดกันทีไร ต้องเงยหน้ามองทุกที นี่แหละเนอะ คนเตี้ยก็เป็นแบบนี้แหละ

                  "ไม่เป็นไร เราอยากช่วย" เขาไม่ถือสาอะไรนอกจากยิ้มให้

                  "มันจะดีหรอ" ผมยังสองจิตสองใจ เพราะไม่อยากให้คนรอบข้างมายุ่งเกี่ยวกับความเดือดร้อนที่ผมก่อ

                  "ดีสิ" เจ้าตัวยิ้มให้อีครั้ง ก่อนจะแยกจากที่ๆยืน แล้วไปทำความสะอาดตรงที่ผมยังไม่ได้ทำ

                  "ตามใจแล้วกัน จะทำอะไรก็ทำ" ผมละสายตาจากคนข้างๆ ขี้เกียจที่จะพูดเหมือนกัน ถ้าหากพูดไปแล้วยังดื้อด้านอยู่แบบนี้ แล้วผมหันมามีสมาธิกับงานตรงหน้าแทน

                  หลังจากนั้นพวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำอย่างแข็งขัน โดยจะมีบทสนทนาแทรกตลอดการทำความสะอาด ส่วนมากก็จะคุยเรื่องเรียน เรื่องใช้ชีวิตในมหา'ลัยซะมากกว่า เรื่องอื่นก็มีอยู่ปะปลาย การพูดคุยกันมันทำให้บรรยากาศรอบตัวไม่เงียบจนเกิน แถมยังทำให้รู้สึกเพลิดเพลินไม่รู้สึกเบื่อกับการทำความสะอาดเลยสักนิด ทั้งๆที่เป็นงานที่ผมไม่ชอบแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกอยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันสิ้นสุด คงเป็นคนๆนี้แหละมั้งที่ทำให้การทำความสะอาดที่แสนเบื่อหน่ายและหนักหนานี้ ดูน่าสนใจขึ้น

                  ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เราทำความสะอาดพื้นโรงยิม ทั้งปัด กวาด เช็ด ถู สารพัดอย่าง จนทำให้ลืมไปว่าตอนนี้กินเวลาไปเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งเหลียวมองนาฬิกา

                   "เหี้ย!!! นี่มึงมันเที่ยงคืนแล้วนี่หว่า" ผมทำสีหน้าตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะใช้เวลาเยอะขนาดนี้

                   "ก็แหงสิ" คนที่อยู่ข้างๆเอ่ย

                   "ฮึ!!!" หลังจากตกใจเมื่อครู่ แต่ตอนนี้กลับมีความสงสัยเจ้ามาแทน "หมายความว่าไงอ่ะเนท"

                   "ก็...เรามองดูเวลาตลอดแหละ" เจ้าตัวพูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นเตือน

                   "แล้วทำไมไม่บอกเราวะ" ผมเริ่มอารมณ์ไม่ดี เพราะทำให้อีกคนมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระด้วย ถ้าหากมีแค่ผมเดียว ยังไงผมก็ไม่คิดมากอยู่แล้ว แต่นี่กลับทำให้เขามาเหนื่อยกับเราทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ

                   "ก็เราเห็นเปอร์กำลังสนุกอยู่อ่ะ ก็เลยไม่อยากกวน" อีกฝ่ายหยุดถู ตั้งที่จับขึ้นกุมมือที่ปลายไม้ถูพื้นแล้วใช้คางพักลงที่ปลายอย่างไม่เดือดร้อนกับเวลา

                   "ไอ้เราไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่เนทเหอะ ทางบ้านจะว่าไงบ้างก็ยังไม่รู้"

                   "ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก เราโทรบอกไว้ก่อนที่จะมาช่วยเปอร์แล้ว" แปลกๆแฮะ ทำไมถึงรู้ล่ะว่าเราจะมาที่นี่

                   "อย่าบอกนะว่า เนทตามเรามา" ผมชี้นิ้วไปยังคนที่คอยช่วยเหลือผมในยามลำบาก "รู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่าเราจะมาที่นี่"

                   "ก็ใช่แหละ" เขาเกาท้าทายอย่างเขินอายเพราะถูกจับได้ ที่ผมรู้ว่าการมาของเขาเป็นการตั้งใจ ไม่ใช่บังเอิญ

                   "ทำแบบนี้ทำไม" ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย

                   "เราอยากช่วยเพื่อนของเราเท่านั้น" เจ้าตัวพูดอย่างไม่ได้กังวลหรือปิดซ่อนอะไรไว้ แต่ผมว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่

                   "แน่นะว่าไม่มีอะไรนอกจากนั้น" ผมเดินเข้าไปใกล้ตัวอีกฝ่าย จับจ้องใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างไม่วางตา ดูซิว่าจะจับผิดสังเกตอะไรได้ แต่แล้วก็ไม่ได้อะไรเลย คงคิดมากเองแหละเรา

                   "ไม่มี๊" อีกฝ่ายพยายามพูดแต่เสียงนั่นกลับกลายเป็นเสียงสูงแทนที่จะเป็นเสียงต่ำ พลางยกมือผายโยกไปมา เพื่อให้ผมเข้าใจว่าไม่มีอะไรอย่างที่เจ้าตัวพูด

                   "ก็ดี" ผมผละออกจากรัศมีความใกล้ตัวอีกฝ่าย

                   "..." เนทไม่ตอบอะไร นอกจากพยักหน้าพร้อมอมยิ้มตาหยีให้

                   "งั้นเราเอาของพวกนี้ไปเก็บก่อนนะ"พูดจบผมจึงเดินไปหยิบไม้กวาดและที่ตักผงพร้อมกับไม้ถูพื้นขึ้นจากพื้น ก่อนที่จะเดินเอาของที่ว่าไปเก็บห้องเก็บของ เนทก็พูดขึ้นแล้วเดินเข้ามาหา

                   "เดี๋ยวเราช่วยนะ" เขาเข้ามาแย่งไม้ถูพื้นจากการเกาะกุมมือผม

                   "ไม่เป็นไร"ผมพูดพลางจะปัดมืออีกฝ่ายออก แต่กลับถูกแย่งไปอยู่บนมืออีกฝ่ายเสียก่อนที่จะถูกปัดมือออก

                   "นะนะนะ" ดีกฝ่ายพยายามอ้อนวอนให้ตกลง

                   "ตามใจ" ผมเหลืออดกับการบอกม่ได้ผล จนละความพยายามที่จะห้ามปราม

                   "..." เนทไม่พูดแต่กลับเดินตามผมต้อยๆ อย่างว่าง่าย

                   จนกระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยและเลยเวลามาจนถึงเที่ยงคืนครึ่ง ผมกับเนทออกมาจากโรงยิม มุ่งหน้าไปยังรถที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของตึกวิศวะ

                   ระหว่างทางที่เดินผ่านเนทหาเรื่องคุยเสมอ เพื่อไม่ให้มันเงียบจนเกินไปเหมือนกับบรรยากาศรอบๆทางที่เดินผ่าน

                   "เปอร์"    ผมหันมองด้านข้างที่มีคนข้างๆเดินด้วย

                   "ว่า"

                   "เปอร์กลัวผีหรือป่าว" เนทพูดพร้อมกับมองบรรยากาศรอบๆข้างทาง

                   "ทำไมหรอ หรือว่าเนทกลัว" ผมพูดเปื้อนรอยยิ้มพร้อมกับหัวเราะในลำคอ เมื่อคนข้างๆแสดงทีท่าว่ากลัวอะไรอยู่

                   "ก็นิดหน่อยน่ะ" อีกฝ่ายกลับเข้าสู่โหมดผู้ชายเข้มแข็งที่ไม่กลัวอะไรอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นผมไม่กลัวมั้ง เจ้าตัวเลยไม่อยากแสดงความรู้สึกป๊อดออกมา

                   "โห ป๊อดเหมือนกันนะเนี่ยเรา" ผมเอ่ยแซวเพราะเกิดขำเมื่อรู้ว่าผู้ชายตัวสูงใหญ่เกิดกลัวสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น

                   "ก็หน้ามันเละ ตัวซีด และชอบมาทำให้ตกใจแบบไม่ได้ตั้งตัว" เนทอธิบายลักษณะสิ่งที่ตัวเองกลัวอย่างชัดเจน จนทำให้ผมหัวเราะในลำคอ คนๆนี้ช่างเหมือนเด็กจริงๆ

                   "..."

                   "แล้วเปอร์ไม่กลัวหรือไง"

                   "ก็กลัวนะ แต่ก็ชอบดูอ่ะ" ผมหันมายิ้มให้คนข้างๆ แล้วหันมามองถนนแล้วเดินต่อไป

                   "แบบนั้นเขาไม่เรียกว่ากลัวแล้วมั้ง" เนทเอ่ยแขวะ

                   "ก็กลัวอยู่แหละ ถ้ามาแบบที่เนทว่า เราก็กลัวเหมือนกัน แต่ก็นิดนึงนะ” พอพูดมาถึงประโยคสุดท้าย ผมก็ยกนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ที่ปลายประสานเข้าหากันแน่นให้ดู

                   “เปลี่ยนให้ปลายนิ้วทั้งสองเอียงออกมาจะดีกว่านะ จะได้เป็นรูปหัวใจ” เนทพูดออกมาลอยๆจนแทบจะไม่ได้ยินเสียง แต่ผมก็ได้ยินเสียง แต่ก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นคำว่าอะไร

                   “เมื้อกี้เนทพูดอะไรนะ” ผมหันไปถามอีกฝ่ายเพราะไม่รู้ว่าพูดอะไร จนฟังไม่เป็นศัพท์

                   "ไม่ได้พูดอะไร เราแค่จะบอกว่า ‘นั่นสินะ’"

                   "..." ผมพยักหน้ารับรู้ตามคำพูดของอีกฝ่าย

                   "จะให้ไปส่งอีกก็ได้นะ" เนทพูดตัดบท

                   "ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ก็ไม่ได้เหนื่อยแบบตอนนั้น ให้วิ่งยังไหวเลย" ผมทำท่าจะวิ่งให้คนข้างๆดู แต่กลับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน

                   จากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึงที่จอดรถ ผมกดปลดล็อคและเปิดประตูออก และก่อนจะเข้าไปในรถ เนทก็มาเคาะกระจกประตูฝั่งคนขับ

                   "เปอร์ ขับรถไหวแน่นะ" เจ้าตัวถามให้แน่ใจ ทั้งที่แขนอีกข้างยังวางขนานกับหลังคารถ

                   "อืม" ผมพยักหน้ารับคำ "ไว้เจอกัน"และโบกมือลา

                   "ไว้เจอกัน" เนทก็โบกมือลาเช่นเดียวกันบวกกับรอยยิ้มที่ทำให้หลายคนหลงเสน่ห์ เมื่อจบบทสนทนาผมกับเนทต่างก็เข้าไปในรถ สตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป       



 
บางทีมันในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างนะ



TBC...





*******************************************************************************************************

ครั้งนี้ไม่ผิดนัด ลงให้ตามสัญญาแล้วนะ
เรื่องจะเป็นยังไงต่อ ติดตามตอนต่อไปนะ
ตอนนี้อาจจะแฮปปี้ ไม่แน่ตอนหน้าอาจจะโซ แซดก็ได้

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0




               เรื่องราวเมื่อวานที่เกิดขึ้นกับผม อยากจะใช้คำว่าตั้งใจมากกว่าบังเอิญเพราะเจ้าตัวบอกเองว่า ‘ตามมาเอง’ แต่อาจจะเข้าข้างตัวเองมากจนเกินไป จนทำให้ผมได้แต่นั่งใจลอยรอเริ่มคลาสในวิชาของมหาลัยท่ามกลางเสียงคุยกันของแต่ละคณะ เรียกว่าคุยแข่งกันก็ได้ เพราะจำนวนคนที่เรียนด้วยล่ะมั้ง จนทำให้มีเสียงดังมากขนาดนี้

               เพื่อนในกลุ่มผมก็นั่งคุยกันอย่างออกรส สกิลปากและท่าทางการโบกไม้ใช้มือ บ่งบอกถึงเรื่องที่พูดได้อย่างชัดเจนว่าเป็นยังไง

               มีแต่ผมคนเดียวนี่แหละที่นั่งใจลอยอยู่ข้างๆพวกมัน ไม่มีอารมณ์ที่จะเข้าวงสนทนา ผมก็ถูกถามไปหลายทีเหมือนกันว่า 'เป็นอะไรหรือเปล่า' ผมก็ตอบบ่ายเบี่ยงกลับว่า 'ไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย"

               หลังจากที่ผมพูดออกมาแบบนั้น พวกมันก็ไม่สนใจผม กลับเข้าสู่วงสนทนาอีกรอบ

               จะว่าไป'ทำไมเราถึงยังคิดเรื่องเมื่อคืนอยู่นะ มันมีอะไรให้ใส่ใจมากกว่าการเรียนหรือพูดคุยกับเพื่อนหรือไง'

               ไม่เข้าใจตัวเองจริงจริ๊ง

               "เปอร์ อาจารย์จะเริ่มคลาสแล้วนะมึง" ทรายกล่าวเตือน

               "อีเปอร์! มึงได้ยินกูมั้ยเนี่ย" ทรายตะโกนเรียกอีกครั้ง ทำให้แถวหน้าและแถวหลังที่อยู่ใกล้ๆที่นั่งพวกผมหันมอง

               "เออๆ" ผมตอบกลับเสียงเฉื่อย จัดท่านั่งที่พร้อมจะเรียน หันมองจอโปรเจกเตอร์ที่กำลังฉายหัวข้อที่จะเรียนวันนี้

               "มึงเป็นไข้ป่าวเนี่ย" ทรายหันมาถามพลางใช้หลังมือมาแตะเข้าที่หน้าผากผม

               "ไม่เท่าไหร่ว่ะ แต่กูเพลียนิดๆ"  ที่มันดูออกเพราะตั้งแต่เจอกันวันนี้ ผมดูไม่ร่าเริงเอาเสียเลย

               "ไหวนะมึง" ทรายถามอย่างเป็นห่วง

               "ไหวๆ" ผมฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย แต่เสียงกลับแหบไปแล้วด้วย ไม่รู้มันจะเชื่อผมหรือเปล่า

               "ไม่ให้กูพาไปโรงพยาบาลแน่ นะ"ทรายพยายามถามย้ำ ให้แน่ใจ ก่อนที่จะเป็นอะไรไป

               "เออๆ มึงก็เรียนๆไป" ผมยังเอ่ยเสียงเอื่อย ตาก็จับจ้องไปที่จอโปรเจกเตอร์โดยไม่หันตอบเพื่อน

               "ถ้ามึงจะหลับ ก็หลับเลยนะ เดี๋ยวก็จะเลคเชอร์ไว้ให้"

               "ขอบใจ"  พูดจบผมก็โน้มตัว ก้มลงบนโต๊ะเรียน ใช้แขนข้างขวาแทนหมอน เตรียมที่จะหลับเต็มแก่แล้ว

               ผมไม่รู้ว่าตั้งแต่ที่ผมหลับไปนั้น อาจารย์พูดเรื่องอะไรบ้าง เป็นการนอนหลับที่ไม่รับรู้เสียงที่ได้ยินจากเพื่อน

               หรือรับรู้ที่อาจารย์สอนเข้าโสตประสาทแม้แต่นิดเดียว เป็นการหลับลึกในยามที่เหนื่อยจากการทำอะไรสักอย่างมา ผมชอบที่สุด เพราะมันได้พักผ่อนเต็มอิ่ม

               ที่เหนื่อยมาขนาดนี้ก็ทั้งจากหลายๆเรื่อง แต่ผมว่าน่าจะมาจากการทำความสะอาดเมื่อวานแหงๆ พื้นที่โรงยิมก็ไม่ใช่เล็กๆ ซะด้วย ต้องปัด กวาด เช็ด ถู ทุกระเบียบนิ้ว จนเมื่อยมือเมื่อยแขนไปตามๆกัน ผมไม่รู้คนๆนั้นที่มาช่วยผมจะเหนื่อยแค่ไหน เดาไม่ออกเลย ถ้าไม่ได้เขาช่วยผมคงจะเหนื่อยกว่านี้ ไม่งั้นก็คงต้องใช้สิ่งนั้นเพื่อที่จะช่วยลดความเหนื่อยล้า อันที่จริงผมกะจะใช้มันอยู่แล้วล่ะ ถ้าหากไม่มีบุคคลที่สองมาช่วย ผลที่ได้ออกมาก็คือ ต้องทำเหมือนกับธรรมดาทั่วๆไป

               พักได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องตื่น เพราะคลาสนี้เรียนแค่ 4 ชม. ถึงจะเรียน 4ชม.แต่อาจารย์ก็เลิกคลาสก่อนอยู่ดี ผมจึงต้องตื่น ทั้งที่พักได้ไม่เต็มที่ ในสภาพที่งัวเงียแถมรอยจากการนอนที่ปรากฏบนหน้า

               "กี่โมงแล้ววะ" ผมถามทั้งที่ตายังไม่ลืมเปลือกตาเลยสักนิด

               "11โมงครึ่งแล้ว" ชามตอบ" มึงนี่หลับลึกเนอะ ขนาดเรียกยังไม่ตื่นเลย"

               "ก็เออสิ" ผมเอ่ยเสียงควบกัน เพราะยังไม่ตื่นดี จนต้องใช้มือทั้งสองข้างเข้าที่ใบหน้าดัง แปะ แปะ แปะ

               "นี่ถ้ามึงไม่ตื่นนะ กูคงต้องเอาน้ำราดหัวแล้วล่ะ" มันเอ่ยแซว มึงนี่มันนางยักษ์จริงทั้งนิสัยและรูปร่าง

               "เกินไปนะกูว่า" แต่กลัวมันจะทำจริงอยู่นะ นางนี่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ความคิดพลิกแพลงตลอด

               "ไม่หรอก กูว่าสมควรกับที่มึงหลับแล้ว" ชามพูดพลางหัวเราะในลำคอ

               "ถ้าเขย่ามึงไม่ได้ผล พวกกูก็จะทำแบบนั้นแหละ" ตอนนี้เพื่อนในกลุ่มต่างหัวเราะกันอย่างตลกขบขัน ผมจึงทำได้แค่ส่งมองตาขวางใส่

               "ป๊ะ ไปกินข้าวกัน"พอแพรพูดขึ้น มันก็ชวนทำให้ท้องร้องขึ้นมาทันที

               บางทีผมคงต้องกินข้าว 2 จานเลยล่ะมั้ง เพราะตอนกลางคืนมีภาระอันหนักอึ้งต้องทำต่ออีก 4 วัน



*****************************************************************************************




               ร้านอาหารแห่งหนึ่งหน้าม.

               "เรียนเสร็จแล้วพวกมึงจะพากันไปไหนกันวะ" บทสนทนาเริ่มโดยอังเป็นคนพูด

               "พวกกูสองคน ก็กลับหอไปอ่านหนังสือ" สองคนที่ว่ามี อังและชาม

               "สอบอาทิตย์หน้านุ่น นี่พวกมึงขยันจังเนอะ" ผมพูด

               "ไม่ขยันได้ไง พวกกูไม่ได้เก่งเหมือนมึงนิ" พวกมันพูดตอกย้ำตัวเอง

               "กูก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น ก็ต้องอ่านหนังสืบ้างมั้ยล่ะ"  ผมพูดให้พวกนั้นรู้ว่า ผมไม่ได้เก่งวิเศษเหมือนที่มันพูด

               "คร้าาาา" ชามเอ่ยเสียงลากยาว "ว่าแต่พวกมึงที่เหลือ จะไปไหนกัน"

               "กูมีธุระนิดหน่อย" ผมตอบ "แล้วพวกมึงสองคนล่ะ"

               "กูกับทรายจะไปดูเครื่องสำอางที่ลดราคา" แพรตอบจุดประสงค์ของการไปธุระ                       

               "ธุระของมึงนี่อะไรวะเปอร์" ผมที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวกลับต้องเงยหน้าขึ้นมองคนที่ถามคำถาม แล้วหันมองทรายที่นั่งข้างๆ เจ้าตัวก็มองหน้าผมเช่นกัน

               ขี้เสือกซะจริง

               "ไปหาเพื่อนที่คณะวิศวะว่ะ" ขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อนแล้วก่อน

               "อีกและ ไปทำอะไรวะ ไปหาผัวหรือไง" ชามเอ่ยถาม

               “ไม่ใช่เว้ย!!!” ผมตอบเสียงห้วน

               “แล้วไปทำอะไรวะ” มันยังถามต่อ

               "กูไม่รู้เหมือนกันว่า มันนัดกูไปทำอะไร มันบอกแค่ว่า ให้มาหาตามเวลาที่บอก"

               ตั้งแต่ใส่หน้ากากมา ผมว่าผมเริ่มแต่งเรื่องเก่งขึ้นมากแล้วล่ะ แต่เรื่องที่ผมแต่งโดยส่วนมาก จะไม่ค่อยมีสาระสักเท่าไหร่ เพราะถ้ามีสาระ ผมคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดที่ต้องโกหกพวกมัน

               เรื่องนี้ไม่อยากให้มันรู้จริงๆนะ เดี๋ยวก็ไปมีเรื่องกับพวกพี่เขาอีก

               ที่ยอมก็เพราะอยากให้เรื่องมันจบ จะได้ไม่มีปัญหากันทีหลัง

               หลังจากที่ได้คำตอบ อังก็ไม่ถามอะไรใครอีก แต่ละคนต่างสนใจกับของกินตรงหน้ากันหมด ไม่มีเวลามาสนใจคนข้างๆ เพราะตอนบ่ายมีเรียนอีก 2 ชม. จึงได้แต่รีบกินรีบไปเรียน

               พอเรียนคลาสเคมีเสร็จ พวกเราต่างแยกย้ายกันไปคนละทาง ซึ่งทรายกับแพรจะเดินมาด้วยกันกับผม แต่คนที่เดินประจบคือทราย ส่วนแพรก็เดินตามหลังมาอีกที

               "นี่มึงไปทำอะไรที่ตึกวิศวะวะ" ทรายโน้มตัวมากระซิบข้างหู ยังไม่จบอีกนะ จะรู้จุดประสงค์กูให้ได้เลยหรือยังไง

               "ก็ไปตามที่พวกพี่วิศวะบอกอ่ะ" ที่ผมกล้าบอกกับทรายไปตามตรง ก็เพราะทรายมันอยู่ในเหตุการณ์วันนั้นวันที่น่าสงสารของผม โกหกไปก็ไม่ได้อะไร จึงเลือกที่จะบอกความจริงแทน นางคงจะรู้อยู่แล้วล่ะ

               "หรอ" ทรายเอ่ย "แล้วพี่เขาให้มึงไปทำอะไร"

               "ช่วยงาน"

               "หึ!" ทรายทำเสียงตกใจ "งานไรวะ เมื่อไหร่"

               "หลังเลิกเรียนนี่แหละ พอดีกูเจอพี่เขาเมื่อเช้านี้อ่ะ" โชคร้ายตั้งแต่เช้าเพราะเจอพี่มันนี่แหละ

               "ยังไง!เล่ามา" ทรายถามหาจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมต้องมาช่วยงานพี่เขา

               

               ตอนเช้าของวัน

               พอจอดรถข้างหอประชุม ผมก็รีบลงจากรถด้วยความร้อนรน ไม่เดินไปแม่งแล้ว ขนาดวิ่งจะทันหรือป่าวก็ไม่รู้ แต่ถึงจะไม่ทันเริ่มคลาส ก็ขอเลทเวลาไม่มากแล้วกัน

               ผมวิ่งขึ้นบันไดอย่างรีบร้อน ตาก็ก้มมองขั้นบันได แทบจะไม่มองข้างหน้าด้วยซ้ำถ้าไม่ถึงขั้นบนสุด พอถึงขั้นบนสุดผมก็เงยหน้าขึ้นมองข้างหน้า แล้วรีบวิ่งไปประตูใหญ่ที่อยู่ตรงกลางของหอประชุม

               จนกระทั่งสะดุดตากับคนที่เดินผ่านคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกเหมือนเคยเจอกันเมื่อไม่กี่วันมานี้ จึงหยุดวิ่งหมุนตัวกลับไปมองแผ่นหลัง ซึ่งคนที่ผมเดินผ่านเองก็หันหลังกลับมามองเหมือนกัน

               ภาพที่เห็นมันทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจอย่างบอกไม่ถูก ก็จะใครซะอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่กลุ่มไอ้พี่ว๊ากนั่น ทำผมได้เจ็บแสบมากเรื่องทำความสะอาดเมื่อคืน ตื่นเช้ามาแทบจะคลานเข้าห้องน้ำ

               กลุ่มพี่ว๊ากยืนสบตากับผมอยู่ไม่ไกล ร่างกายผมเริ่มสั่นเทา เพราะกลัวว่าถ้ายืนจ้องหน้ากันนานกว่านี้ ผมได้ถูกซ้อมก่อนแน่

               พอคิดแบบนั้น สมองก็สั่งให้หมุนตัวกลับและพร้อมจะวิ่งทันที แต่...หนึ่งในกลุ่มพี่นั้นเรียกผมให้หยุดทุกการกระทำทั้งความคิด

               "เฮ้!น้อง!"

               แล้วผมก็หยุดชะงักตามที่พี่เขาเรียก พร้อมกับใบหน้าที่ขื่นขม ก่อนจะหันหลังไปมองในทีหลัง รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้T-T

               "มีอะไรหรือป่าวครับพี่" เสียงพูดที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตนเนื่องจากความหวาดกลัวของรุ่นน้องถูกส่งให้รุ่นพี่ที่เรียกชื่อได้รับทราบ

               จากนั้นพวกพี่เขาก็เดินเข้ามาใกล้ๆตัวผม ผมก็ไม่คิดจะวิ่งหนี เพราะมันอาจจะเสียเวลาไปเปล่าๆ จึงได้แต่ยืนนิ่งให้คนข้างหน้าตรงเข้ามา

               "มีเรียนหรอวะ" พี่ว๊ากหัวโจ๋กเอ่ยขึ้น

               "ครับ" ผมพูดพร้อมกับพยักหน้า

               "ทำไมต้องกลัวขนาดนั้นวะ" พี่อีกคนเดินเข้าหาพลางใช้แขนคล้องคอผมอย่างกับคนสนิท ผมก็ตัวแข็งทื่อในทันทีที่ถูกสัมผัสร่าง

               "คือผมมีเรียนอ่ะครับ แล้วมันก็สายแล้วด้วย งั้นผมขอตัวก่อนนะ" พูดจบผมก็เตรียมหมุนตัวกลับและตั้งหลักวิ่งเข้าห้องเรียน แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความคิดโง่ๆที่ไม่รู้ว่าผมคิดได้ยังไง เพราะจะหนีจากผู้ชายร่างสูงใหญ่ได้ไง ทั้งที่เขาก็ล็อคคอผมไว้

               "เดี๋ยวก่อน อ.ยังไม่เช็คชื่อหรอกน่า" พี่เขาพูดห้ามเอาไว้

               "แต่ว่า..."

               "เหอะน่า" พี่เขาพูดอย่างไม่สนใจอะไร

               "..." ผมไม่ตอบอะไร นอกจากยืนสั่นนิ่งๆ พร้อมกับเหงื่อที่กำลังผุดขึ้น

               พี่คนนึงเห็นผมท่าไม่ดี ก็เลยพูดดักเพื่อนที่เกาะกุมผมไว้ซะก่อน

               "เฮ้ยมึง! พอได้แล้ว น้องเขากลัวมึงแล้วนั่นน่ะ ไม่เห็นหรือไงวะ" พี่คนที่ล็อคคอผมเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน แล้วปล่อยผมให้อิสระจากการล็อคคอของคนตัวสูง แล้วเดินเข้ากลุ่มเพื่อน ปล่อยให้ผมยืนอยู่คนเดียว

               ผมก็เงยหน้าขึ้นมองพวกพี่เขาเหมือนกัน ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าห้อง พี่เขาก็เรียกซะก่อน

               "เดี๋ยว" ผมหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเสียง แล้วหันมาหาพี่เขา

               "เรียนเสร็จกี่โมง" พี่คนนึงถาม

               "บ่ายสามโมงครับ พวกพี่อะไรหรือป่าว" ตอบไปทั้งๆที่หน้าของผมก็สบตาคนตรงหน้าเลย

               "ทำไมไม่เงยหน้าขึ้นมองพวกพี่ล่ะ"

               "ก็...ผมกลัวพวกพี่นี่นา หน้าโหดแบบนี้จะให้ผมหัวเราะหรือไงครับ"กลัวจริงๆแหละ ไม่งั้นผมไม่มาก้มหน้าอยู่แบบนี้หรอก

               "หาว่าพวกกูขี้เหร่หรือวะ"พี่คนนึงหัวร้อนกับคำตอบของผม จนเกือบจะพุ่งเข้ามา ง้างหมัดอันแกร่งนั่นใส่ผมซะแล้ว ถ้าไม่โดนเพื่อนดึงแขนไว้ซะก่อน

               "ก็ไม่ใช่อย่างนั้นซักทีเดียวหรอกครับ แต่จะพูดยังไงล่ะ มันเป็นตราบาปที่ผมเคยทำกับพวกพี่ ก็เลยรู้สึกกลัวมากไปหน่อยน่ะ" พูดจบผมก็เกาท้ายทอยแก้สบประหม่า พร้อมกับยิ้มเจื่อน

               "พี่ว่าไม่หน่อยแล้วมั้ง"

               "..."

               "เอ้อ เรียนเสร็จบ่ายสามโมงใช่ป่ะ"

               "ครับ" ผมพูดพร้อมกับพยักหน้า

               "งั้น...ถ้าเรียนเสร็จ มาหาพวกพี่ที่สนามกีฬาด้วยนะ เลทได้ไม่เกิน 10 นาที เข้าใจนะน้อง"

               "หา!" ผมอ้าปากค้างกับคำขาดของพวกพี่เขา

               "อย่าลืมนะว่า เราน่ะติดค้างอะไรพี่อยู่" พี่เขาพูดพลางชี้นิ้วขึ้นๆลงๆเล็กน้อย

               "ครับ ผมรู้ครับพี่"

               "ถ้างั้นก็ไปเรียนได้แล้วล่ะ เดี๋ยวถูกอาจารย์เช็คขาดพี่ไม่รู้ด้วยนะ" พอพูดจบพวกพี่เขาก็แยกตัวออกจากจุดสนทนาทันที ส่วนผมก็วิ่งเข้าห้องเรียนตามที่คิดไว้ตอนแรก

               ตอนนี้กำลังผมก็คิดอยู่ว่า พวกพี่จะไม่รู้ไม่ชี้ได้ไง ในเมื่อตอนแรกผมกะจะวิ่งเข้าห้องเรียนตั้งแต่ 10 นาทีก่อนแล้ว แต่ถูกพวกพี่ดึงตัวไว้ซะก่อนเนี่ยสิ อย่างนี้ไม่รู้ไม่ชี้หรอ สุดจะทนแล้วนะ

               มึงนะมึง อย่าให้กูได้เอาคืนบ้างนะ เดี๋ยวจะหนาวกันทั้งแก๊งค์



****************************************************************************************



               ปัจจุบัน

               ณ สนามกีฬา

               เสียงของวิศวะปี 1 ดังประสานกันทั่วบริเวณ ที่ประสานเสียงกันดังก้องขนาดนี้ ก็เพราะถูกพี่ว๊ากบังคับให้ออกเสียง

               ผมมองดูทั้งชายทั้งหญิงรุ่นเดียวกันออกกำลังกาย ไม่สิ! จะบอกว่าถูกลงโทษเสียมากกว่า ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะมาไม่ตรงตามกำหนด ความซวยก็เลยบังเกิด ไม่ว่าจะสายแค่คนเดียว ก็ลงลงโทษทั้งหมดอยู่ดี ผมได้ยินพี่ว๊ากพูดว่า'พวกคุณไม่ดูเวลาหรือไง นี่มันกี่โมงแล้ว ถึงพากันมาสาย แล้วคนที่มาสายไม่คิดจะว่าถูกลงโทษหรือไง หรือคุณไม่มีเพื่อน กิจกรรมนี้สอนให้พวกคุณรู้จักคำว่า 'มิตรภาพ' ไม่ใช่หรือไง บลาๆๆ ผมจับใจความได้แค่นี้ นอกนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจจึงจำไม่ได้

               เวลาล่วงเลยผ่านไป ทุกคำสั่งที่ออกจากพี่ว๊ากทำให้รุ่นน้องพากันทำตามอย่างขัดไม่ได้ ถึงแม้จะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม ก็พยายามทำให้สุดกำลัง ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่ไหว ก็กัดฟันสู้อย่างไม่ท้อถอย จนถูกพี่ฝ่ายพยาบาลดึงตัวออกมาก่อนที่จะเป็นอะไรไปเสียก่อน

               "หลีกทางหน่อย อย่าขวางทาง" เสียงปริศนาดังขึ้น ทำให้พี่ฝ่ายพยาบาลคนอื่นต้องหลบให้ทางผู้มาเยือนในสภาพทุลักทุเล

               ชายร่างสูงสองคนพยุงรุ่นน้องผู้หญิงที่ได้รับบาดเจ็บมาทางที่ผมนั่งรอทำหน้าที่ แล้วค่อยวางผู้หญิงคนนั้นให้นั่งพิงต้นไม้ชันเข่าขึ้น

               "เป็นอะไรมาเนี่ยครับ" ผมถามพี่สองคนนั้นที่พาผู้หญิงคนนี้มาด้วยความสงสัย เพราะดูจากสภาพแล้วน่าจะเกิดจากการหกล้มแล้วกระแทกกับอะไรบางอย่างที่แข็งๆ น่าจะเป็นก้อนหินละมั้ง

               "ช่วยดูน้องด้วยนะ" พูดจบพี่เขาก็เดินจากไปทิ้งให้ผมและฝ่ายพยาบาลดูแลคนที่ได้รับบาดเจ็บ

               อ้าว! แล้วที่กูถามล่ะ

               "น้องไปทำอะไรมาคะ" พี่คนนึงถามขึ้น

               "คือหนูวิ่งแล้วล้มกระแทกก้อนอิฐอ่ะค่ะ เจ็บมากเลยพี่" หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าหยีเต็มไปด้วยความเจ็บปวด "พี่ถ้าหนูเข้าไม่ครบตามกำหนด หนูก็ไม่ได้เกียร์ ไม่ได้ยอมรับจากพี่ว๊ากน่ะสิคะ หนูจะทำยังไงดี" ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับเขย่าแขนพี่ที่อยู่ใกล้ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

                นี่ไม่คิดจะห่วงตัวเองก่อนเลยแม่คุ๊นนนนนน

                "อย่าคิดมาก พี่ว๊ากเขาไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นหรอก" พี่อีกคนพูดปลอบใจหญิงสาวโดยลูบศีรษะเพื่อคลายความกังวลลง

                "น้องค่ะ มาช่วยพี่หน่อย เราเรียนแพทย์ใช่มั้ย"

                "ครับ" ผมตอบอย่างภาคภูมิใจ พอเดินเข้าไปหากลับเห็นหญิงสาวจมอยู่บนกองเลือด ส่วนฝ่ายพยาบาลต่างพากันหัววุ่นไม่รู้จะทำยังไง ห้ามเลือดแล้วแต่มันก็ไม่หยุดไหลเสียที

                ผมนั่งลง แล้วมองดูบาดแผลอย่างชั่งใจในขณะคนอื่นยังหัววุ่น ต้องปฐมพยาบาลก่อนที่จะส่งไปโรงพยาบาล ไม่งั้นเลือดได้ไหลหมดตัวก่อนแน่ มองแล้วมองอีก ผมก็พอรู้จะทำยังไงวิชาชีพที่เรียนมาก็ไม่ได้ช่วยอะไรถ้าหากไม่มีสติ มือชะงักค้าง สองจิตสองใจ จนแทบจะยื่นมือไปรักษาบาดแผลนั่นให้หายขาดไปซะดื้อๆ แต่ก็ถูกรุ่นพี่ฝ่ายพยาบาลว่าซะก่อน

                "น้องคะ จะทำอะไรคะ" มือผมหยุดชะงัก แล้วหันมองตามเสียงเรียก

                "ครับ" ผมตกใจ และรู้สึกโล่งใจไปในเวลาเดียวกัน เพราะถ้าหากรุ่นพี่คนนั้นไม่เอ่ยขัด ผมคงได้ใช้พลังรักษาบาดแผลท่ามกลางกลุ่มคนที่อยู่รอบๆไปแล้ว

                "สงบสติอารมณ์ก่อนเนอะ แล้วค่อยมาช่วยพี่"

                "ครับ" พูดจบพวกพี่เขาก็เริ่มปฐมพยาบาลบาดแผล โดยผมก็ก้าวถอยหลังมาสงบสติอย่างที่พี่เขาว่า

                เกือบไปแล้ว เกือบจะเผยความลับกับคนพวกนั้นแล้วสิ จากนั้นก็สลัดความฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วเดินไปสมทบกับพี่ฝ่ายพยาบาล

                ผมช่วยเท่าที่ผมจะทำได้ แล้วเสียงไซเรนของรถพยาบาลก็ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พวกเราต่างหันมอง แล้วพาคนเจ็บขึ้นรถ

                นานสองนานกว่าจะถึงโรงพยาบาลเนื่องจากรถติดบวกกับฝนที่ตกทำให้ทัศนะวิสัยในการมองเห็นดูด้อยลง ถ้าคนบาดเจ็บขั้นโคม่า คงไม่ต้องพาไปโรงพยาบาลแล้วล่ะ พาไปวัดเลย

                พอถึงโรงพยาบาลก็ปลส่อยให้หน้าที่ของหมอและพยาบาล ส่วนพวกเราที่เหลือก็ได้แต่รอ แล้วรอต่อไป รอรับคนบาดเจ็บที่ทำแผลเสร็จแล้วพากลับหอ

                ผมเคยบอกแล้วนะว่า ไม่ชอบการรอคอย แค่ครั้งนี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะครั้งนี้มันเป็นหน้าที่ ก็เลยมีสิ่งที่ใช้เป็นเหตุผลพอได้อยู่นะ

                พวกพี่ฝ่ายพยาบาลขอตัวกลับไปดูแลรุ่นน้องปีหนึ่งก่อน ปล่อยให้ผมรอและดูแลคนบาดเจ็บ ผมได้แต่พยักหน้ารับโดยไม่ปริปากต่อความยาวสาวความยืดแม้แต่น้อย

                "นั่งรอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวเราไปรับยาให้" ผมบอกผู้หญิงคนนั้นก่อนจะเดินไปช่องรับยา ฝ่ายผู้หญิงก็พยักหน้ารับคำ

                หลังจากที่จ่ายยาและรับยามา ผมกะจะไปส่งเธอแต่โดนปฏิเสธไว้ซะก่อน โดยบอกว่า ‘คนรู้ใจจะมารับเธอ อีกเดี๋ยวคงมาแหละ’ หลังจากที่เธอทำแผลเสร็จ เธอก็โทรบอกคนๆนั้นทันที

                น่าอิจฉาจังเนอะ คนมีความรักเนี่ย ผมก็อยากมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน แต่ใจดันไม่เปิดให้ใครเข้ามาเนี่ยสิ จะมีแต่บานประตูหัวใจที่แง้มออกให้คนๆนั้นเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าอีกคนจะเป็นแบบผมหรือเปล่า

                ผมกับเธอนั่งรออยู่ในพื้นรอญาติซึ่งนอกเหนือจากที่นั่งรอรับยา เธอกับผมนั่งคุยกันอย่างเป็นมิตร ทั้งที่เป็นแบบที่ผมเห็นและรับรู้ แต่ทำไมใจกับคิดไปอีกแบบว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่อย่างที่เห็น  เหมือนในตอนแรกที่ผมอาสาไปส่งแต่เธอกลับปฏิเสธ ผมก็ไม่อยากจะว่าเธอหรอก ถ้าหากเธออยากจะให้แฟนมารับ

                ไม่นานระหว่างที่ผมชวนเธอ ก็มีคนเดินเข้ามาหาเรา

                “เอ็ม” ชายคนดังกล่าวเอ่ย “รอนานป่าว” พวกผมทั้งสองหันไปมองต้นเสียงทันที

                ผมถึงมองตาค้างเมื่อเห็นชายคนนั้น คนที่เอ็มบอกว่าเป็นคนรู้ใจ เขาเป็นคนที่ทำให้ผมหวั่นไหว จนแทบจะเปิดใจให้เขา ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่เรียนอยู่ที่ ม. เก่า ตอนปีหนึ่ง ผมไม่เคยที่จะให้ใครเข้ามาแม้แต่จะแง้มออกก็ไม่มี แต่ทำไมคนที่ผมเผลอใจให้ต้องมีแฟนแล้วด้วย อาจจะผิดที่ผมเอง ผิดที่เผลอใจไปให้เขา ยังดีที่ผมเผลอใจไปไม่มาก ไม่อย่างนั้นผมต้องตามตื้อเขา แล้วเอากลับมานั่งอมทุกข์ เสียใจ ร้องไห้ทุกวันแน่

                ที่มันน่าปวดใจสุดก็ตรงที่พวกเขาดูสนิทนมกันอย่างมาก พูดคุยไปยิ้มไป ตอนแรกผมไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน รู้สึกหน่วงอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่เคยเป็นแบบนี้ อยากจะถามเขาว่า ‘ที่เข้าหาผม เขาต้องการอะไร หรือเพียงแค่เบื่อกับชีวิตจึงเข้ามาผม หรือเป็นแค่ความอยากแกล้งกันเท่านั้น’

                 มาให้ความหวังแล้ว ก็ทิ้งไปซะดื้อๆแบบนี้น่ะหรอ

                 อยากจะออกไปจากตรงนี้ ใครก็ได้ช่วยเอากูออกจากตรงนี้ที



               
มีต่อนะ...   


ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0


                “อ้าวเปอร์! กลับด้วยกันป่าว” เนทถามอย่างเป็นมิตร โดยที่สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกผิดออกมาแม้แต่น้อย มีเพียงแต่รอยยิ้มที่เขาส่งมาให้

                 ถ้าจะยิ้มให้แบบนี้ เอามีดมาแทงหัวใจกูเลยเถอะ

                 “...” สีหน้าผมยังเฉยชาแบบที่คนเราไม่คิดเรื่องที่ทำจะเป็นอีกแบบ

                 “เขาคงไม่อยากจะกลับกับเราหรอกเนท เราไปก่อนได้มั้ย เอ็มหิวแล้ว” ไม่เพียงแค่ควงแขนเนท เธอยังช่วยเร่งเร้าให้อีกฝ่ายรีบพาเธอออจากโรงพยาบาลด้วย

                 หล่อนคนนี้ร้ายจริงๆ

                 “ก็อย่างที่เอ็มบอกนั่นแหละ เราธุระต้องไปทำต่อ เชิญพวกคุณสองคนไปสวีทกันตามสบาย” พูดจบผมก็เดินออกจากตรงนั้นแล้ววิ่งทันที โดยไม่รอให้เอ็มเอ่ยปากพูดเสียดแทงหัวใจรอบที่สอง

                 “เปอร์...” เนทตะโกนเรียก “เดี๋ยว! รอก่อน” เนทไม่รีรอที่จะให้ผมออกนอกบริเวณโรงพยาบาล เขารีบแกะแขนที่เอ็มเคยควงออก แล้ววิ่งไปหาผม

                 ด้วยความที่ผมเสียใจอยู่แล้วว่าคนที่ใช่ มันไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิด ผมคาดหวังว่าเขาอาจจะตามผมมาเพื่อปรับความเข้าใจในฐานะเพื่อน และเขาก็มาจริงๆ อย่างที่ผมคิด ผมรีบหลบเข้ากำแพงใช้สนามพลังที่ส่องแสงเป็นรัศมีวงกลมออกมา จนมันล่องหน ยากที่อีกคนที่วิ่งตามผมมาจะตามเห็น

                 น้ำตาผมไหลโดยไม่มีเสียงร้องออกจากปาก ผมว่าผมควรที่จะหยุดใจไว้แค่นี้เพื่อตัวของผมเองและเพื่อคนในอนาคต

                 รถก็ไม่ได้ขับมา แถมขี้เกียจไปยืนเบียดกับคนอื่นบนรถเมย์ที่แออัดอีกด้วย เพื่อนในกลุ่มก็ไม่มีใครมีรถ พอคิดถึงเพื่อน ก็นึกถึงไอ้อาร์มขึ้นมาทันที ผมจึงโทรไปหาอีกฝ่าย ไม่นานเกินรออีกฝ่ายก็กดรับ

                 [ว่าไงครับ ที่รัก] ไอ้นี่มันไม่รู้จักเวล่ำเวลาที่เหลือที่จะเล่นเอาซะเลย

                 “ที่รักพ่องมึงสิ! พูดอีก เดี๋ยวกูตัดลิ้นแม่งเลย!” ผมพูดเสียงเกรี้ยวกราด เนื่องจากอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนัก

                 [ว่าไง มีอะไรหรือป่าว] มึงควรจะรู้ไว้ว่าถ้าไม่มีอะไรเพื่อนเขาไม่โทรหากันหรอก

                 “มี มารับกูที่โรงพยาบาลxxxด้วย แค่นี้แหละ” ผมไม่รีรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเทศน์ จึงวางสายไปซะก่อน

                 เนทกับเอ็มออกไปนานแล้ว หลังจากที่หาตัวผมไม่เจอ เจ้าตัวจึงเลิกล้มความพยายามที่จะหาแล้วพาอีกคนไปส่งตามคำขอ

                 ยังดีนะ ช่วงที่ผมใช้พลังบริเวณนั้นมันเป็นมุมมืด และไม่มีคนอยู่แถวๆนั้น แต่ไม่รู้ช่วงที่แสงวูบวาบมีใครเข้ามาสนใจหรือเปล่า รอดตัวไปได้เพราะโชค แต่โชคไม่ได้มาบ่อยเหมือนกับอย่างอื่นหรอกนะ คงไม่มีครั้งสองที่รอดจากสายตาคนรอบข้างแน่ ถ้าหากยังไร้สติในการคิดและใช้พลังนี้

                  เวลาที่ผมรอไอ้อาร์มมันเท่ากันกับเวลาที่รอคนที่รู้ใจของเอ็มอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจมาก่อน มันเดินเข้าแล้วพาขึ้นรถราวกับผมเป็นคุณหญิงคุณนายของมัน

                  “มีอะไรจะเล่ามั้ย” ไอ้อาร์มเริ่มเปิดประแด็น เมื่อเห็นผมไม่ปริปากพูดกับมัน

                  “มี แต่ไม่เล่า” ผมพูดเสียงเกรี้ยวกราดใส่มันอีกรอบ คนยิ่งอารมณ์ไม่ดีอยู่ ยังจะมาคุยกับกูอีก

                  “อะไรของมึงเนี่ย เมนส์มาหรือไง” มันตะคอก จะไม่ทำอย่างนั้นได้ไง กูอยู่ของกูดีๆ ดันมาถูกมึงว่าอย่างนี้หรอ มันแฟร์แล้วที่มึงถูกตะคอก

                  “กูมีเมนหรือไง หะ!” ผมเริ่มจะพานไปทั่วแล้ว

                  “ถ้ามึงเป็นแบบนี้ก็ลงไปเลย” มันพูดจบ ผมไม่รีรอที่จะให้มันจอดรถก่อน ยื่นมือไปกดสวิตต์ควบคุมการล็อกทันที เตรียมตัวที่จะเปิดออกทั้งที่รถยังวิ่งอยู่บนถนน

                  “เฮ้ย! นี่มึงจะทำอะไร เป็นบ้าไปแล้วหรอ” ระหว่างที่พูดมันก็จับแขนผมไว้ กลัวว่าผมจะโดดลงไปอย่างที่ตัวเองว่า

                  “ก็ทำอย่างที่มึงพูดไง” ผมหันกลับมาพร้อมกับคำประชด

                  “กูขอโทษ มึงอย่าทำแบบนี้อีก ที่กูทำไปก็แค่ประชดมึงก็เท่านั้นเอง มันเป็นเรื่องล้อเล่นที่ไม่ควรใส่ใจด้วยซ้ำ แต่กูไม่คิดว่ามึงจะทำจริง” มันร่ายยาวทันทีที่รู้ว่ามันผิด แต่ส่วนใหญ่คงจะเป็นผมนี่แหละที่ผิด แต่ผมกลับไม่สำนึกและไม่ขอโทษมัน

                  “...” ผมมองมันพูด กลัวว่ามันพูดแล้วหันหน้ามาด้วย เดี๋ยวได้แหกโค้งตายก่อนที่จะเจอคนรู้ใจแน่

                  ชีวิตต้องมาก่อน

                  “กูขอไรอย่างสิ” ผมหันกลับมาหน้าตรงอีกรอบ ตอนที่มันพูด

                  “ขออะไร” เสียงผมยังเป็นโทนเดิม โทนเสียงเรียบตั้งแต่ขึ้นรถมา

                  “อย่าทำแบบนี้อีก ไม่งั้นกูคง...” มันละตรงคำสุดท้ายจนทำให้ผมสงสัยแล้วหันเอาคำตอบ

                  “คงอะไร” อารมณ์ผมกำลังเย็นลงเรื่อย จึงไม่ได้ถามน้ำเสียงก้าวร้าวเหมือนอย่างเคย

                  “คง...คงใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้” เสียงมันแผ่วลงทุกขณะ

                  “กูไม่ใช่ชีวิตมึง” ผมเอ่ยแขวะ

                  “ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เป็นส่วนนึงนะ ขอบอกเอาไว้ให้รู้” มันหันชั่วพริบตาแล้วยิ้มให้

                  ต่อจากนั้น บทสนทนาบนรถก็ไม่มีน้ำเสียงเสียดแทงแก้วหู ซึ่งมันเองตั้งใจจะพาผมไปผ่อนคลายซะหน่อย แต่ที่ผมไม่รู้คือที่ไหนคือที่ผ่อนคลายของมัน จนมาถึงที่หมาย ร้านอาหารข้างๆแม่น้ำเนี่ยนะ

                  แต่ก็เอาเถอะ ผมว่ามันก็ช่วยทำให้ผมผ่อนคลายได้เหมือนกันไม่มากก็น้อย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้สัมผัสความเงียบสงบกับอากาศและสายลมเย็นๆแบบนี้ น่าจะตั้งแต่ที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพนี่แหละ วุ่นวายตั้งแต่เปิดเทอมจนถึงตอนนี้ ไม่ได้มีเวลาที่จะพักผ่อนมองดูบรรยากาศรอบนอกแบบที่หวัง จนกระทั่งถึงวินาทีนี้



                  ไอ้อาร์ม กูอยากบอกมึงมากเลย อยากบอกว่า “ขอบคุณ”



TBC...



********************************************************************************************

        ตอนนี้เปอร์ซึมจนแอบร้องไห้ออกมาเลย

        แต่ก็ได้อาร์มมาช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น

        เขาจะไขว้เขวหรือเปล่า

        อย่าลืมติดตามตอนต่อไปในสัปดาห์ต่อไปนะครับ

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
          ผมจิตตกดำดิ่งสู่ความเศร้าหลังจากที่ไอ้อาร์มมาส่งถึงหอและกลับไป ไม่สิ! มันมาส่งถึงห้องก็ว่าได้ มันรู้ความรู้สึกตอนนี้ของผมว่าเป็นแบบไหน แทนที่จะปล่อยให้ผมเล่าในเวลาเหมาะสม แต่มันดันเซ้าซี้เกินมนุษย์มนาคนอื่นๆเขา ยิ่งเซ้าซี้ผมก็ยิ่งรำคาญ รู้สึกโกรธมาแทนเศร้าแล้วเนี่ย พอทนมันไม่ไหว ผมจึงไล่ตะเพิดออกจากห้อง มันก็ยอมไปแต่โดยดี โดยไม่เถียงกลับแม้แต่คำเดียว หากแต่มันมีข้อแม้ด้วยเนี่ยสิ 'มึงต้องไปส่งกูหน้าหอ ไม่งั้นกูไม่กลับ' ผมก็เบิดกะโหลกมันไปทีนึง แต่ก็ยอมไปส่งมันอยู่ดี

           คิดอีกแบบ ทำอีกแบบ นี่แหละตัวผม

           พอส่งมันเสร็จ กลับมาห้องก็ใช่ว่าจะได้นอนซะทีเดียว กลับเข้าสู่ความคิดเดิมๆอีกครั้ง อยากจะร้องไห้ แต่ก็ปฏิญาณกับตัวเองไว้แล้วว่า จะเสียน้ำตาให้กับคนที่รักผมและคนที่ผมรักเท่านั้น จึงได้แต่กั้นน้ำตาไม่ให้ไหล  พอแล้วกับความผิดหวังครั้งนี้ ถ้าหากรู้จะเป็นแบบนี้ ผมจะหยุดตัวเองไว้ตั้งแต่แรก

           ความคิดฟุ้งซ่านมันส่งผลทำให้ผมในทางที่ไม่ดีนัก เพราะกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเกือบตี4 แล้วนอกจากนั้นก็ยังมีเรียนตอนเช้าอีก จ้าเอามันเข้าไป

           ตื๊ด ตื๊ด

           ผมคว้าและคลำหาโทรศัพท์ที่ถูกวางไว้อีกที่กับที่คลำหา ในสภาพที่งัวเงียแบบนี้ใครมันบังอาจมาปลุกท่านเปอร์ผู้นี้! ผมน่ะถ้าใครปลุกจะไม่ตื่นง่ายๆหรอก ถ้าหากเป็นเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ที่แสนน่ารำคาญนี้ล่ะก็ รู้สึกตัวเร็วอย่างกับมีเรดาห์อยู่กับตัว จึงคลำเจอในที่สุด ทั้งเสียงนาฬิกาปลุกและเสียงเรียกเข้าผมตั้งเป็นเสียงเดียวกันแหละ

            “ว่าไงมึง” ผมพูดออกมาแทบจะเป็นเดียวกัน เพราะยังไม่ตื่นดี เสียงก็เลยออกมาเป็นแบบนี้

            [เปอร์ นี่มึงอยู่ไหน คลาสจะเริ่มแล้วนะมึง!] คนปลายสายเอ่ยเสียงแข็ง

            “หะ!” ถึงกลับอุทานแล้วลุกพรวดจากที่นอนในทันที หันมองดูนาฬิกาที่ตั้งโต๊ะ เหี้ย! นี่มันแปดโมงสี่สิบห้าแล้วนี่นา อีก 15 นาทีเริ่มคลาสวิชาเอก

            ตายยยๆ กูตายแน่ๆ

            “ทำไมมึงเพิ่งโทรบอกตอนนี้วะ” ผมตวาดใส่ปลายสายอย่างหัวเสีย

            [กูโทรไปหลายสายแล้ว แต่มึงไม่รับเอง ช่วยไม่ได้] มันพูดอย่างเต็มปาก ไม่ห่วงกูบ้างเลย ว่าแต่มันก็โทรมาบอกอย่างที่มันว่าแหละ แล้วทำไมกูไม่รู้สึกตัวอีกวะเนี่ย

            “...”

            [ว่าแต่มึงอยู่ไหนเนี่ย อย่าบอกนะว่าเพิ่งตื่น]

            “เพิ่งตื่นห่าไร กูใกล้ถึงแล้วโว้ย” โกหกหน้าตายเอาซะดื้อๆเลยกู ศีลข้อ 4 ไม่ต้องรักษาแม่งแล้วล่ะ พูดโกหกไปทั้งๆที่ตัวเองยังนั่งอยู่บนเตียงจมคราบน้ำลายพร้อมก้อนขี้ตาที่แข็งตัวไปแล้ว

            [รีบมาเร็วๆล่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันเอา]

            “จ้าๆ” ผมตอบเสียงเอื่อย แต่มันใช่เวลามานั่งเอื่อยบนเตียงไหม พอคิดได้เช่นนั้น ผมจึงรีบลงจากเตียง วิ่งเข้าห้องน้ำอย่างเร่งรีบ เชี่ย! ลืมผ้าเช็ดตัว! รีบออกมาเอาที่ระเบียงทันที

            รู้ไหมผมใช้เวลาเท่าไหร่ จากที่ต้องใช้เวลาสองชั่วโมง แต่ตอนนี้ผมได้ลดเวลาให้เสร็จแค่ 10 นาที ไม่ใช่ว่าอยากลดเวลา แต่เวลามีจำกัดต่างหาก อาบน้ำ แปรงฟัน 5 นาที แต่งหน้าเมคอัพให้เป็นอีกคนอีก 5 นาที เจ๋งมั้ยล่ะ

            พอทำทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย ผมรีบเดินไปกุญแจรถ แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะว่าผมไม่ได้เอารถกลับมานิ เมื่อวานไอ้อาร์มมาส่ง ก็เลยปล่อยทิ้งไว้ที่ตึกวิศวะ มีกุญแจ แต่ไม่มีรถก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ตอนนี้ทางเลือกผมเหลือไม่มากนัก จะให้นั่งรถเมย์เข้าม.ไปก็ยังไงๆอยู่ เวลาก็ไม่ได้มีพอที่จะทำแบบนั้น

            นอกจาก...ใช้พลังนั่น

            และผลที่ตามก็คือ ความอ่อนแรงจากการใช้พลัง เพราะมันเป็นซะแบบนี้ไง ผมถึงจะไม่อยากใช้ มันผลเสียเมื่อใช้พลังนี่ เพราะไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถ้าหากเราไม่ยอมเสียอะไรไปซะก่อน ก็จะไม่ได้ของอีกอย่างมา

            เป็นไปตามความคาดหมาย ผมเข้าห้องเรียนทันแบบเฉียดฉิว ถ้าไม่มีพลังนี้ผมคงตัดใจจากคลาสเรียนวิชานี้ไปแล้ว จะว่าไปมันก็มีประโยชน์เหมือนกันแฮะ

            “เปอร์ มึงมาทันได้ไงวะ” ชามเริ่มเปิดประเด็น มันคงสงสัยเหมือนกันว่าผมมาถึงที่นี่ได้ทันยังไงกัน

            “กูก็คนมั้ย แค่เนี่ย! สบายมาก” ผมพูดอย่างภูมิอกภูมิใจพลางยักไหล่ให้อีกฝ่ายที่ถาม เพราะมันเป็นคนที่โทรปลุกผมเองแหละ ใช่ครับ ชามนั่นเอง แต่แทนที่จะขอบคุณดันยักไหล่ให้ซะนี่

            “มันเกี่ยวอะไรกับคนวะ” มันถามอย่างสงสัยพลางขมวดคิ้วเป็นปม

            “นั่นสิ” ไม่ต้องถามว่าเป็นใคร แพรนั่นแหละ นางชอบแขวะแบบนี้ และหน้าที่แขวะคือหน้าที่ของนาง

            “ไม่เกี่ยวหรอก กูว่ามันเท่ดี ก็เลยพูด”

            “ไม่เห็นเท่ตรงไหนเลย กูว่ามันเห่ยมากกว่า”

             “อ้าว! เห่ยหรอวะ กูไม่ควรเล่นเล๊ยยยย” ผมพูดพลางหนหน้าหนีไปหน้าชั้นที่อ.เพิ่งเดินมาถึง

             “อย่าเล่นอีกล่ะมึง ถ้าใครมาถาม กูจะบอกว่าไม่ใช่เพื่อนนะ”

             ผมได้ยินมันพูดทุกคำ แต่ไม่ตอบกลับเฉยๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรออกไป กลัวจะผิดใจกันเอาเปล่าๆ และเวลานี้เป็นเรียน ไม่มีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงพวกมันหรอก แถมอารมณ์เมื่อวานยังค้างอยู่ด้วย

             ยังดีนะที่ผมไม่แสดงอารมณ์ของเมื่อวานนั้นออกมา ไม่งั้นตอนพักเที่ยงคงต้องนั่งอธิบายให้ฟังแบบยาวเหยียดเชียวล่ะ

             ผมยังตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างตั้งใจ ถึงจะอ่อนแรงจากนอนไม่พอและใช้พลังไปบ้าง แต่ก็ต้องนั่งเรียนอย่างหยุดไม่ได้ การสอบก็ของบทเรียนแรกก็เข้ามาเรื่อยๆ จะให้มานั่งน้ำลายยืดก็คงจะทำไม่ได้ ยิ่งเป็นคนที่จะเป็นแพทย์ในอนาคตแล้วล่ะก็ ยิ่งทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด แต่ในขณะที่ผมตั้งหน้าตั้งตาสนใจข้อมูลบนโปรเจคเตอร์อยู่นั้น ไม่ได้สังเกตเลยว่า มีใครคนใดคนหนึ่งนั่งจับจ้องมาที่ผม

             จนกระทั่งจบคาบเรียนช่วงเช้าและช่วงบ่าย แทบจะอ้วกออกมาเป็นสิ่งที่เรียนมาเลยทีเดียว นอนก็น้อย อ่อนแรงจากใช้พลัง ถึงจะได้ข้าวเที่ยงมาประทังชีวิตแต่ก็ไม่สามารถช่วยคลายความเหนื่อยอ่อนได้เลยสักนิด แต่ยังไงวันนี้มาจะไปนั่งร้านคาเฟ่สักหน่อย เผื่อจะได้คิดอะไรช่วยพี่หมอกเรื่องร้านคาเฟ่ที่จะเปิดตัวในปีหน้า

             แต่ก่อนจะไปถึงร้านคาเฟ่ที่ว่า ผมต้องหอบสังขารไปตึกวิศวะเพื่อไปเอารถเสียก่อน อาจจะเจอคนๆนั้นและภาพบาดตาบาดใจนั่นด้วย

              จะทำยังไงดีวะ

              “เปอร์”

              บุคคลปริศนาเสียงเข้มเดินมาพลางตบไหล่ผมอย่างเป็นสนิทสนม แต่กูไม่สนิทกับมึงโว้ยยยย เพราะมันเป็นเสียงผู้ชายนี่แหละผมถึงไม่สนิท ก็ผมไม่มีเพื่อนผู้ชายในคณะชั้นปีเดียวที่สนิทนิ ส่วนมากก็จะเป็นผู้หญิง แต่ก็จำชื่อผู้ชายพวกนั้นได้หมด

               เพราะการปรากฏตัวของบุคคลเสียงเข้มที่ขึ้นชื่อเป็นผู้ชายอย่างกะทันหันโดยไม่ได้นัดหมาย ผมจึงหันข้างมองอีกฝ่าย ถึงกลับมองบนเลยล่ะเมื่อรู้ว่าเป็นใคร

               คนที่ชื่อเหมือนผม เขียนเหมือนกัน แต่อ่านออกเสียงไม่เหมือนกัน

               “ว่าไงเปอร์ มึงมีอะไรหรือป่าว” เหมือนพูดกับตัวเองเลยกู

               “มี กูมีอะไรจะคุยด้วย” เจ้าของเสียงเข้มนั้นพูดอย่างจริงจังทั้งใบหน้าและเสียง แถมท่าทางไปด้วยเนอะ

               “แต่กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึง แล้วอีกอย่างกูไม่ว่างพอมานั่งฟังที่มึงพูดหรอกนะ” ผมพูดบ่ายเบี่ยงอีกฝ่ายไป เพื่อตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า

               กูอยากจะมึงอยู่หรอก แต่ปัญหากูก็เยอะเหมือนกัน ยังแก้ไม่เสร็จไม่หมดด้วยซ้ำ

               พอพูดจบผมก็เดินหนีจากไอ้เปอร์ที่ยืนด้วยสีหน้าเรียบเฉยออกมา ผมไม่สนหรอกว่า มันจะใช้คำพูดอะไรมาทำให้หยุดเดินหนีจากมัน จากที่ดูแล้วไม่น่าจะมีคำพูดแบบนั้นหรอก ผมจึงเดินต่อไป

               “เดี๋ยว! ถ้ามึงไม่หยุดเดิน กูจะเอาความลับมึงไปบอกทุกคน” มันตะโกนเสียงดังจนผมต้องหยุดชะงัก

               “เอาให้คนทั้งมหา’ลัยรู้เลยมั๊ย” มันพูดด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเจ้าเล่ห์ ความลับกูมึงรู้ได้ไง นอกจากไอ้อาร์มแล้วก็ไม่มีใครรู้นี่นา แล้วมันไปเอาข้อมูลมาจากไหนวะ

               ลองถามดูก็ไม่เสียหายหรอกมั้ง ทั้งที่คิดว่าจะไม่มีคำพูดไหนมาทำให้หยุดชะงักแล้วเชียว แต่ก็มี...

               ผมหันไปถามมันทันที “ความลับอะไร กูไม่มีความลับ” ผมถามเสียงแข็ง แต่อีกฝ่ายก็ยังยิ้มเจ้าเล่ห์พลางถอนหายใจสมเพชคนตรงหน้า ซึ่งนั่นก็คือผม

               น๋อยยยย บังอาจมาทำกับกูแบบนี้หรอมึง คิดว่าเข้าถ้ำเสือแล้ว มึงจะได้ออกไปง่ายๆหรอวะ

               “ก็ไอ้ที่มึงซ่อนจากสายตาทุกคนไง” มันพูดเสียงเรียบพลางจับจ้องมาที่ผมแล้วสังเกตปฏิกิริยา

               “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึง” ผมเองก็ถามกลับเสียงเรียบ

               “จะเกี่ยว หรือไม่เกี่ยว แต่มึงต้องช่วยกู”

               “แล้วทำไมกูต้องช่วย”

               “นี่ก็เพื่อความลับมึงนะ ไม่คิดจะเปลี่ยนใจหรือยังไง” พอมันพูดจบผมก็เดินตรงไปหามันทันที

               “ความลับที่ว่าคืออะไร บอกกูมา” ผมเข้าไปคว้าคอเสื้อมันเชิงหาเรื่องแล้วผลักมันเข้าชิดกับผนัง แต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงปฏิกิริยาของมา ได้แต่ยิ้มด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์นั่น

              ผมล่ะเกลียดรอยยิ้มแบบนี้ที่สุด รอยยิ้มที่เหมือนไอ้อาร์ม จนผมเกือบเผลอให้ใจมันไปอีกคน

             “ก็นี่ไง” มันพูดพลางใช้นิ้วปาดบนแก้มขรุขระที่เต็มไปด้วยสิว จนเมคอัพที่ลงบนหน้าหลุดออกมาเผยสีของผิวที่แท้จริงอันสว่าง อีกแล้ว มันยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว

             “...” ผมตกใจที่มันรู้ จนพูดอะไรไม่ออก

             “แล้วแบบนี้จะช่วยได้ยัง”

             “แล้วมึงรู้เรื่องได้ไง!” ผมตะคอกเสียงใส่มันพลางกระแทกมันเข้ากับกำแพงอีกรอบ ดูแล้วน่าจะเจ็บน่าดู ขอโทษนะมึง แต่ตอนนี้กูกำลังโกรธ ถ้าเผลอใช้พลังไปก็อย่าว่ากันล่ะ

             “...” มันไม่พูด ยิ่งทำให้ผมโกรธจัด จนเปลี่ยนจากคอเสื้อเชิ้ตที่ยับจากการกุมด้วยแรงแห่งความโกรธมาเป็นคอมันแทน จนเผลอบีบคอมันอย่างขาดสติ

            “...” ผมถลึงตาใส่มัน ตอนนี้ถ้ามองผมดีๆล่ะก็ ก็เป็นปีศาจที่กำลังโกรธจัดนี่เอง

            “แฮ่กๆ” เสียงไอจากกการถูกบีบคอ และพยายามจะบอกบางอย่างกับขาดช่วงตอน จนไม่สามารถฟังเป็นภาษามนุษย์ได้

             “...” ผมถลึงตาจ้องมองมันอีกรอบ ที่กำลังดิ้นทุรนทุราย พยายามแกะมือผมออก แต่ก็ไร้ความหมายเมื่ออยู่ต่อหน้าปีศาจตนนี้

             “ปะ ปะ ปล่อย ปะ ปะ ปล่อย กะ กะ กู” เสียงของมันขาดช่วง แต่ก็พอฟังรู้เรื่องที่คำสุดท้าย เมื่อได้ยินและเห็นแบบนั้นที่เริ่มจะไม่มีแรงดิ้นเหมือนแต่ก่อน

             ทันทีที่รับรู้คำพูดของอีกคน จึงคลายมือจากการบีบคอแล้วดึงออกคนตรงหน้า แต่ก็ปล่อยมันลงอย่างกะทันหันราวกับเพิ่งได้สติ ส่วนคนตรงหน้าก็ล้มลงไปนั่งกับพื้นแล้วไอกระแอมจากการขาดอาศอยู่ช่วงหนึ่ง มันยืนขึ้นมาพูดกับผม

             “มึงเอาแรงมาจากไหนวะ” มันพูดอย่างหัวเสีย “กูเกือบตายแล้ว! มึงรู้ไหม!” มันตะโกนว่าอย่างโมโหพร้อมกับพ่นเสียงไอออกมาเป็นระยะๆ เนื่องจากอาการเจ็บคอ

              “กูขอโทษ” ผมพูดด้วยเสียงสั่นเครือพลางก้มมองฝ่ามือที่เกือบจะฆ่าคนตาย เพียงแค่อยากรู้อะไรบางอย่าง ถึงกับต้องฆ่าคนคนเลยหรอเรา

              “แล้วจะตอบคำถามกูได้ยัง” ถึงอาการจะเริ่มดีขึ้น ไม่ค่อยไอแล้ว มันก็ยังพยายามเค้นเอาคำตอบจากผมอย่างไม่ลดละ

              “กูขอไม่ตอบ แล้วมึงจะให้กูช่วยอะไร” ประโยคแรกที่พูดออกมาเมื่อครู่ผมยังมองทางอื่น โดยไม่ได้ชายตามองแม้แต่นิดเดียว แต่กลับหันมาสบตากับอีกฝ่ายในประโยคคำถาม

              “อ้าว! เชี่ยไรอีกวะ แค่นี้ก็บอกกูไม่ได้” มันบ่นใส่อารมณ์เข้าไปอย่างเต็มที่

              “มึงไม่ต้องรู้หรอก” ผมบอกเสียงเรียบ “เลือกเอาแล้วกันจะให้กูช่วยโดยไม่รู้เหตุผล หรือรู้ทุกอย่างแล้วไม่มีความช่วยเหลือจากกู”

              “มึงนี่ความลับเยอะนักนะ” มันชี้นิ้วมาทางผมอย่างเอื่อมระอา ยอมแพ้ที่จะถาม น้อมรับข้อตกลงข้อแรกอย่างไม่เต็มใจนัก

              “แล้วจะให้กูช่วยอะไร” ผมถามย้ำอีกรอบ

              “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่...” คำพูดมันขาดช่วงอย่างสงสัย

              “แค่อะไร”

              “แค่ติว” มันเอ่ยเสียงแผ่วพลางมองผมด้วยสายตาอ้อนวอนให้ช่วยเหลือ พร้อมกะพริบตาปริ้งๆให้อีกอีกต่าง กูนึกว่าจะอะไรเสียอีก ผมว่าในตอนแรกที่มันไม่กล้าพอที่จะบอก อาจจะเป็นเพราะกลัวเสียฟอร์มตามประสาผู้ชายแน่เลย และผมก็คิดถูกซะด้วย

              แค่ติวก็ทำเป็นเรื่องใหญ่

              “หะ! ติวเนี่ยนะ” ผมอุทานและสงสัยจนคิ้วขมวดปม มันจะแค่ติวแน่เรอะ

              “เยส” มันยืนยันด้วยเสียงจริงจัง จนผมต้องทำทีท่าวะเข้าใจ

              “ติวอะไรอีกวะ คนอื่นก็มีตั้งเยอะ ทำไมต้องเป็นกู”

              “ข้อแรกนะ คนอื่นเขาไม่มีเวลาว่างพอติวให้กู ข้อสองกูไม่สนิทกับพวกผู้หญิง ส่วนข้อสาม มึงก็รู้อยู่แก่ใจนิ” มันอธิบายยาวเหยียดพร้อมยักคิ้วให้ในข้อที่สาม ผมก็เข้าใจเหตุผลข้อแรกกับข้อสองมันอยู่หรอก สำหรับคณะนี้แล้วถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิทจริงๆคงไม่ติวให้หรอก ส่วนข้อสองนี้ผมคิดว่ามันไม่ใช่เหตุผลของมันหรอก อาจจะแถไปเรื่อยเพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม บางทีก็อยากถามว่า ‘กูสนิทกับมึงหรือไง ถึงให้กูติวให้ ทั้งๆที่กูเพิ่งคุยกับมึงแท้’ ส่วนไอ้ตรงข้อสามนี่มันอะไรกัน

              อะไรคือกูรู้อยู่แก่ใจ?

              “อะไรคือกูรู้อยู่แก่ใจ” พอสงสัยก็ถามขึ้นทันที

              “ก็ความลับมึงไง” มันพูดออกมาแบบนั้น ผมถึงกับกรอกตาใส่ แผ่รังสีอาฆาตไปทั่วบริเวณ จนมันยกมือขึ้นปิดปากด้วยความกลัว ยิ่งทำให้ตัวมันรู้ว่าคำนี้เป็น คำต้องห้าม

               “...”

               “โทษทีว่ะ เผลอตัวไปหน่อย” มันก้มหน้าเกาหลังคอแก้เก้อ “มึงคิดว่าถ้ามึงไม่ช่วยกูเอาความลับไปป่าวประกาศ มันจะเกิดอะไรขึ้นวะ”

               “มึงอยากตายอีกรอบมั้ย” ผมทำเสียงขู่

               “ล้อเล่น” มันผายมือเชิงปฏิเสธพลางส่ายหน้าไปพร้อมๆกัน

               “...” ผมมองบนที่อีกฝ่ายทำทีท่าอย่างนั้น

               “นะๆ ช่วยกูหน่อยนะ” มันแทบจะคุกเข่าข้อร้อง จนผมต้องพูดอะไรออกมาหยุดการกระทำของมัน

               “เออๆ จะติววันไหนก็บอกก่อนหน่อยละกัน” ผมบอกมันอย่างยอมแพ้ ขี้เกียจต่อความยามสาวความยืดแหละประเด็น
               
               “กูไปละ” พูดจบผมก็เดินออกจากที่ๆเราสนทนากัน

               “ไปไหนวะ” ผมถามพร้อมกับเดินตาม

               “ไปตึกวิศวะ”

               “ไปทำไมวะ”

               “ไปเอารถ”

               “เดี๋ยวกูไปส่ง” ผมหยุดเดินที่ได้ยินมันบอก แล้วมันก็เดินชนผมในที่สุด

               ผมหันหลังกลับ “ก็ดี นำทางไปหารถมึงเลย” ผมยักไหล่อย่างไม่ถือสา ให้อีกฝ่ายทำตามใจ

               บทสนทนาบนรถระหว่างไปตึกวิศวะ มีแต่มันเป็นคนถาม ‘มึงเอารถไปจอดทำไมที่ตึกวิศวะ’ ส่วนผมก็แค่ตอบ ‘ลืมตั้งแต่เมื่อวาน’ และมันก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่คำถามในเรื่องลืมรถ แต่มันดันถามโดยโยงเข้าเรื่องส่วนตัวเนี่ยสิ กูกับมึงเพิ่งรู้จักกันมั้ยล่ะหะ! จนบางครั้งผมก็รู้สึกรำคาญไม่อยากจะตอบ

               เลี่ยงได้ก็เลี่ยง ตอบได้ก็ตอบ


*********************************************************************************************************************************

         
        ลานจอดรถ ณ ตึกวิศวะ

              ไม่นานก็มาถึงตึกวิศวะ ผมเดินลงจากรถ บอกไอ้เปอร์ไปรอที่ร้านที่ผมจะไปนั่งจิบชาเขียว พอได้รับสาส์นจากผม มันก็ขับรถพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ในบขณะที่ผมเดินไปหารถที่จอดตากอากาศทั้งคืน ผมกลับเห็นบุคคลที่ทำให้ผมไม่ได้นอนทั้งคืนยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรถ ราวกับกำลังรอใครสักคน พยายามจะหนีแต่ก็หนีไม่พ้นสินะ ผมจึงสูดหายใจให้กำลังใจตัวเองว่า
              ‘จะไม่หนี แต่จะเลี่ยงแทน’

              พอกดปลดล็อครถจนได้ยินเสียง คนที่ถูกพูดถึงก็เดินเข้ามาทางผมจนผมไม่รู้สึกตัวว่าเขาจะมา และถ้าจะมาหาผมจริงๆ จะอย่างไรก็ตามก็ไม่น่าจะตามทัน แต่เพราะความชะล่าใจของผมเองจนทำให้เขาเดินมาถึงตัวอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะเปิดประตูและกำลังจะเข้าไปนั่ง อีกฝ่ายกลับดึงแขนรั้งเอาไว้ซะก่อน

              “เปอร์ เดี๋ยวก่อน! ขอคุยก่อนได้มั้ย” น้ำเสียงของอีกฝ่ายช่างดูเว้าวอน จนทำให้ผมเกือบจะใจอ่อนขณะหันหลังมองใบหน้าอีกฝ่าย  ไม่ได้! อย่ามองเขา! อย่าเต้นใจ!

              ผมนิ่งค้างอยู่สักพัก จนความคิดผุดขึ้น ‘ถ้าเรายังใจอ่อนอยู่อย่างนี้ เราไม่หลุดพันสักทีสิ!’

              “โทษทีนะ แต่เรามีธุระ” ผมฝืนพูดอย่างใจเย็น “ขอตัวก่อน” ผมแกะมืออกจากแขน ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่แบบนั้น แล้วผมก็ดึงตัวเองเข้าไปในรถ แล้วขับรถออกไปทันทีโดยที่อีกฝ่ายก็ยังไม่ขยับไปไหน ไม่มีแม้แต่คำพูด ไม่ได้แม้แต่จะรั้งผมไว้ บางทีเขาอาจจะเลิกยุ่งกับผมแล้วก็ได้ จึงไม่ได้ทำอย่างที่ผมคิด

               แต่ผมเนี่ยสิจะทำได้อย่างที่คิดหรือเปล่า ถึงจะเลี่ยงหรือหนีแค่ไหนก็ตาม ก็คงไม่พ้นหรอก ถ้าหากเขายังเดินตามผมอยู่อย่างนี้

               ทำไมนะ ทำไมคนที่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนอย่างเขา ทำไมถึงต้องมายุ่งกับผมอีก



*********************************************************************************************************************************

           
       ร้านคาเฟ่

              “เปอร์ มึงทำอย่างนั้นทำไมวะ” ยังไม่ได้พักหายใจ ไอ้ตัวที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็คำถามที่ติดค้างในทันที ถึงกลับมองบนใส่อีกฝ่าย มึงจะถามอะไรกันนักกันหนาวะ รู้อย่างนี้กูจะบีบคอมึงให้แหลกคามือไปในตอนนั้นยังจะดีกว่า

              “นั่นมันเรื่องของกู มึงไม่ต้องเสือก! ” ผมพ่นคำหยาบอย่างหัวเสียใส่อีกฝ่าย แล้วมันก็ทำท่าว่าเข้าใจแล้ว “แล้วจะให้กูติวอะไรให้” ผมพูดเข้าประเด็นหลักของงานที่เกี่ยวกับความช่วยเหลือของอีกฝ่ายทันทีที่มันหุบปากถามถึงเรื่องส่วนตัวของผม

              ถ้าหากไม่บอกมันว่า ‘ห้ามเสือก!’ มันคงจะถามต่อ เซ้าซี้จนผมบ่ายเบี่ยงเรื่องที่ว่านั้นไม่ได้ กลัวว่าถ้าถูกต้อนจนมุม แล้วผมจะเผลอพูดความลับนั่นออกมา

              “เรื่องนี้ไง” มันพูดพร้อมกับยื่นชีทปึกหนามาให้ดู

              ผมถอนหายใจอย่างเบาแรง หยิบชีบเล่มนั้นขึ้นมาดู แล้ววางลงพร้อมกับอธิบายเรื่องที่อีกฝ่ายเข้าใจ จนเวลาล่วงเลยถึงตอนเย็น ชาเขียวหมดไป 3 แก้วเลยทีเดียว ผมต้องขอต้องไปทำธุระที่ค้างไว้ก่อน

              จะอะไรอีกล่ะ ก็ช่วยงานพวกพี่วิศวะนั้นแหละ



***************************************************************************************************************************



             โรงยิม

              การทำความสะอาดของผมเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การประชุมเชียร์จบลง วันนี้ผมคิดว่าต้องได้ทำคนเดียวแน่ๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะใช้พลังให้มันรีบๆเสร็จรีบๆกลับหอไปนอน แต่ความคิดที่ว่าก็ต้องจบลงเหมือนกับทุกๆครั้ง เนื่องจากบุคคลที่สองปรากฏและเข้ามาช่วยเป็นประจำไม่เคยขาดแม้แต่วันเดียว แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงเงียบเหงาขนาดนี้ราวกับทำความสะอาดคนเดียวเชกเช่นในสองสามนาทีแรก

              หรือทะเละกับผู้หญิงคนนั้น ไม่สิ! ควรเรียกว่าแฟนน่าจะถูกกว่า

              บทสนทนาระหว่างเราไม่เกิดขึ้นเลย ผมก็ไม่ถาม เนทเองก็เช่นกัน ไม่มีแววว่าจะปริปากถามกันทั้งสองฝ่าย ยิ่งเป็นแบบนี้ ผมยิ่งอึดอัด มันทรมานกว่าการเลี่ยงหรือตอนเดินหนีเขาเสียอีก

              เมื่อไหร่จะทำเสร็จสักทีวะ! กูอึดอัด! ช่วยเอากูออกไปจากตรงนี้ที

              “เปอร์” เสียงสั่นเครือของเพื่อนร่วมงานทำให้ผมต้องหยุดทุกการกระทำ เงยหน้าขึ้นจากพื้นโรงยืมแล้วมองอีกฝ่าย

              “...”ผมมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่ปริปากพูด

              “โกรธอะไรเราหรือเปล่า” เนทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่แสนหม่นหมอง “ทำไมเรารู้สึกว่าเปอร์กำลังหลบหน้าเราอยู่ หรือว่าเราแค่คิดไปเอง” เสียงของอีกฝ่ายแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัดราวกับกำลังน้อยใจผมอยู่

              แล้วทำไมเขาต้องน้อยใจผมด้วยวะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย

              “เราว่าเนทคิดไปเองมากกว่า” ผมพูดออกไปทั้งๆที่มันสวนกลับการกระทำอย่างมาก “เราน่ะ ไม่ได้โกรธอะไรหรอก เพียงแต่ช่วงนี้มันเครียดหน่อยๆน่ะ ก็เลยไม่อยากพูดอะไรมาก”

              “จริงหรอ” เสียงอีกคนยังดูแผ่วเบาเหมือนเดิม แต่ดีขึ้นมากกว่าเมื่อนาทีที่แล้ว

              “อืม” จริงๆผมไม่ได้โกรธเขาหรอก เพียงแค่ต้องการออกจากสถานะมือที่สาม

              “มีอะไรก็บอกเราได้นะ เรายินดีช่วยเสมอ” รอยยิ้มเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของเนท สำหรับผมแล้วใบหน้าเหมาะกับเขามากกว่าใบหน้าที่หม่นหมองตลอดเวลาเสียอีก

              “อืม” ครั้งนี้ผมยิ้มอย่างไม่ต้องฝืน ผมล่ะชอบตรงนี้ของเขาสุดๆ

              หลังจากนั้นก็ไม่มีคำพูดใดอีกนอกจาก “กลับกันเถอะ และ ไว้เจอกัน” มันช่างเงียบและดูห่างเหินราวกับเราเป็นแค่คนรู้จัก ทั้งๆที่เราเป็นมากกว่านั้น ผมไม่เขาใจหรอกว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ถึงยังไงผมก็คิดจะให้มันจบลงเร็วๆนี้แหละ ให้ผมเจ็บแค่คนเดียวก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องเจ็บจนผมเป็นโรคซึมเศร้าหลังจากที่ผมชอบเขาจนไม่สามารถออกจากจุดนั้นได้ เพราะถ้าหากผมรักใครเข้าจริงๆแล้วล่ะก็ จะออกจากจุดนั้นยากเกินจะถอนตัว มันเป็นเรื่องยากที่จะตัดใจและหลังจากตัดใจได้แล้ว ผมอาจจะไม่เชื่อในความรักอีกเลยก็ว่าได้

              วันศุกร์ เสียงพ้องที่เหมือนกับ ‘สุข’ แต่กลับไม่มีความสุขเลยสักนิด เพราะมีเรียน เรียนแล้วก็เรียน เรียนตั้งแต่เช้าจนเย็นแทบทุกวัน ได้พักหายใจก็แค่ช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น เหนื่อยจากการเรียนไม่พอ แถมยังเหนื่อยจากเรื่องหัวใจอีก ผมล่ะอยากระเบิดมันออกมาซะตอนนี้ แต่ก็กลัวสิ่งอื่นจะระเบิดแทนอารมณ์ สิ่งรอบตัวจะเละเป็นจุนในเสียววิถ้าหากผมคุมมันไม่ได้ คนรอบข้างอาจจะหายไปตลอดกาลและทิ้งตราบาปไว้ให้ผมรู้สึกผิดจนสิ้นอายุขัย และเรื่องอาจจะไม่จบอยู่แค่นั้นก็ได้ แต่วันนี้ไม่ได้ไปช่วยพวกพี่วิศวะหรอก เห็นบอกว่ามีการชิงธงและรับขวัญน้องอะไรนี่แหละ จึงห้ามคนนอกคณะเข้าไปเด็ดขาด เข้าทางผมล่ะทีนี้ ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการอย่างที่สุดจากพวกพี่เขา



ถ้ามีแฟนแล้วก็ไม่ควรมาให้ความหวังคนอื่นเปล่าวะ

​ทำแบบนี้โครตเหี้ยเลยว่ะ

ไม่ตัดเพื่อนก็ดีแค่ไหนแล้ว หลบหน้าแค่นี้ไม่ตายหรอกนะ
 

TBC...

***********************************************************************************************************************



ห่างหายมาเกือบ 2 เดือน ขอโทษที่ไม่ได้ลงให้อ่านนะครับ

ความยุ่งและวุ่นวายไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ

พอจะมาทีก็แทบไม่ได้หายใจ

วันนี้จะอัพให้ 2 ตอน และจะทยอยอัพเรื่อยๆนะครับ

เรื่องนี้จะได้จบและได้เขียนเรื่องใหม่

เดี๋ยวพอร์ทเรื่องที่เหลือจะลืมเอาเสียก่อน

ฝากติดตามด้วยนะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2018 23:18:49 โดย Peppermint Choco »

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0


             เช้าวันเสาร์นี้ ผมต้องเดินทางไปเรียนการทำเค้กของร้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นร้านคนรู้จักของม้า(แม่อีกครอบครัวนะ) ผมไม่รู้หรอกว่าสถานที่แห่งนั้นมันอยู่ที่ไหนกันแน่ เท่าที่รู้ก็แค่โลเคชั่นที่ส่งมาจากแอปไลน์ นอกจากนั้นก็คงแล้วแต่เวรแต่กรรมแล้วล่ะ ตอนนี้ทางเดียวที่เป็นที่พึ่งได้ก็คือ GPS แต่ก็ใช่ว่า GPS จะพาไปถึงที่หมายได้สมดังใจหวัง เพราะผมเคยหลงทางมาแล้ว หลงจากอีกจังหวัดไปอีกจังหวัดเลยล่ะ จนต้องกลับรถไปทางที่ถูกต้อง เสียทั้งเวลา เสียทั้งตังค์เติมน้ำมันอีก วันนั้นเป็นวันแห่งความซวยซะจริงๆ เอาล่ะเข้าเรื่อง ก็อย่างว่าแหละเคยหลงมาครั้งหนึ่งแล้ว มันก็ต้องมีครั้งที่สองแหละเนอะ เป็นไปตามกฎแห่งชะตากรรม กว่าจะร้านที่ว่านั่นก็ปาไป 9 โมงครึ่ง ทั้งๆที่เผื่อเวลาไว้แล้วเชียว แต่ก็ยังมาสายอีก เลทมา 30 นาทีเลยตอนจอดรถ

             หรือว่าผมควรจะกลับรถดี ไปหาเที่ยวจะดีกว่ามั้ย

             กริ๊ง กริ๊ง

             ผมเปิดประตูเข้าไปเสียงกระดิ่งที่แขวนตรงหัวมุมประตูก็ส่งเสียง เป็นสัญญาณที่บอกว่ามีผู้มาเยือน พอเข้าไปในร้านทุกคนก็ต่างหันมองมายังผม จนกลายเป็นจุดสนใจแทนที่ครูสอนทำเค้กไปแล้ว

             น่าอายชะมัด

             ผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งพลางโค้งหัวขอโทษที่มาสาย

             “ขอโทษที่มาสายครับ” ผมพูดเสียงดังฟังชัด ขณะอยู่หลังประตู

             “ไม่เป็นไรจะ เข้าโต๊ะตัวเองเลยจ้า” ผู้หญิงที่เป็นอาจารย์สอนเอ่ยตอบรับอย่างไม่ถือสาพลางผายมือไปยังที่โต๊ะของผม พอเดินไปยังโต๊ะนั่น ก็รู้ว่าเป็นโต๊ะของผมจริงๆ เพราะมันมีป้ายชื่อของผมตั้งตระหง่านอยู่ให้เห็น ครูเขาคงจะรู้แล้วล่ะว่าเป็นใคร เพราะอย่างไรก็ตามก็ต้องสมัครโดยใส่ข้อมูลรายละเอียดในใบสมัครอยู่แล้ว

             “เอาล่ะ หลังจากอธิบายไปคร่าวๆแล้ว” นี่กูพลาดอะไรไปบ้างวะ “พี่อยากให้ทุกคนแนะนำตัวตัวเองให้เพื่อนๆในห้อง จะได้รู้จักกันให้มากขึ้นไปอีกนะ” เขาใช้คำแทนตัวเองว่า ‘พี่’ ก็ไม่แปลกใจอะไรมากหรอก เพราะจากที่สังเกตคร่าวๆ อายุยังไม่ถึง 30 ด้วยซ้ำ สงสัยยังไม่อยากให้แก่ ยังอยากจะเป็นวัยรุ่นอยู่ละมั้ง จะให้เรียกอาจารย์ก็ทางการเกินไป เรียกป้าก็ไม่งามไม่เหมาะสม เรียกพี่น่าจะดีที่สุด “ไล่จากหน้าหลังแล้วกันนะ น้องที่อยู่ตรงมุม เริ่มเลยจ้า”

             “สวัสดีค่ะ หนูชื่อคะน้า ม.2 ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”

             “สวัสดีค่ะ หนูชื่อฝน ม.5 ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

             การแนะนำตัวดำเนินมาเรื่อยๆ จวนจะถึงผมในไม่ช้า จะว่าไปทำไมมีแต่ ‘สวัสดีค่ะ หนูชื่อ...’ ล่ะ หรือว่า! พอคิดแบบนั้น ผมก็หันมองรอบๆ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด

              จริงด้วยวะ กูเป็นผู้ชายคนเดียวที่มาเรียนที่นี่

              “สวัสดีครับ ผมชื่อเปอร์ ปี 1ยินดีที่ได้รู้จักครับ” และที่ต่างจากการคำแทนตัวเอง ผมยังเป็นพี่ใหญ่สุดของคลาสซะด้วย คนที่เหลือก็ระดับมัธยมต้นและมัธยมปลายกันทั้งนั้น

              ผู้ชายในหมู่ชะ...ผู้หญิง

              หลังจากนั้นครูพี่แบม(ลืมบอก พี่เขาชื่อแบม) ก็ให้เราทุกคนทำเค้กเบสิกตามแบบที่ตัวเองชอบ ย้ำว่าเป็นแบบเบสิกคนละปอนด์ขนาดเล็ก ที่ต้องทำอย่างนั้น เพราะพี่เขาบอกว่าจะดูฝีมือของแต่ละคน จะได้บอกข้อบกพร่องของแต่ละคนถูกและเอามันมาสอนให้เราแก้ไขจุดบกพร่องนั้น จะได้ดึงเอาความอร่อยของวัตถุดิบที่ใส่ออกมาให้มันอร่อยมากยิ่งขึ้นและมันจะทำให้เค้กอร่อยอย่างไม่มีที่ติได้

              ส่วนเค้กของผมก็เป็นรสวนิลาเหมือนๆกับทุกคน แต่จะต่างกันตรงที่หน้าเค้กและรสชาติ ซึ่งเราก็ต้องตัดแค่ส่วนหนึ่งไปให้พี่เขาชิมจะได้วิจารณ์ บอกข้อบกพร่องและนำไปแก้ไขในเค้กปอนด์ต่อๆไป ส่วนที่เหลือก็เอากลับบ้านได้ ส่วนรสชาติเค้กของผมก็พอใช้ได้ ห่างหายมานานได้แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว  แค่พอใช้ ก็จิตตกไปนิด ยังไม่ดีพอ ผมดีใจที่แบมพูดตรง แต่บางครั้งมันก็สะเทือนจิตใจไปบ้าง จนอาจจะทำให้หมดกำลังใจในการทำเค้กต่อไปบ้างก็เถอะ แต่ก็จะสู้ๆในสิ่งที่อยากทำ

              เย้! สู้ๆ!

              จนเวลาล่วงเลยหมดชั่วโมงเรียน ผมที่กำลังจะเดินออกจากร้านก็ถูกเรียกด้วยเสียงครูพี่แบม

              “เปอร์” ผมหันทันทีที่ถูกเรียกชื่อ

              “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามด้วยความสงสัย ทั้งๆที่คนอื่นก็ต่างทยอยเดินกลับ แต่ทำไมถึงถูกเลือกแค่ผมล่ะ

              “ไปหน้าร้านดีกว่าเนอะ” พี่แบมพูด “พี่มีเรื่องจะถามเยอะแยะเลยล่ะ” พี่เขาว่าแบบนั้น ผมก็พยักหน้ารับก่อนจะพาเดินไปหน้าร้าน ผมเพิ่งจะรู้ว่าทางที่ผมเข้ามาและเรียน อยู่ทางด้านหลังของร้าน แหม! อย่างกับหน้าร้าน

               ก็ว่าทำไมมันแปลกๆ

               พอผมนั่งลง พี่เขาก็ถามทันที “เปอร์นี่ ทำไมแบบนี้นานหรือยัง” ผมถึงจ้องตาค้าง คำถามแบบนี้อีกแล้ว จะว่าไปมีกี่คนนะที่ถามคำถามนี้กับเรา เหมือนพี่เขาจะรู้ ไม่นะ ม่ายยยยยย

               หรือเราจะคิดไปเอง

               “ทำอะไรหรอครับ” ผมถามอย่างใสซื่อ ราวกับตัวเองไม่มีความลับ แต่ก็รู้สึกประหม่าไม่น้อย

               “ก็ตัวตนที่อยู่ข้างในไง” พี่แบมพูดกับผมจ้องตาไม่กะพริบ

               “พี่พูดเรื่องอะไรครับ ผมไม่เข้าใจ” ผมยังทำหน้าไร้เดียงสาเหมือนเดิมพลางยิ้มแห้งให้คนตรงข้าม

               พี่เขาพูดอะไรวะ หรือว่ามีใครเอาเรื่องผมไปเที่ยวป่าวประกาศ ไอ้เปอร์แน่ๆเลย มึงตาย*!*

                “ก็เรื่องที่เราปกปิดเอาไว้ไง พี่ดูออกนะ แค่นี้ปิดวายตาพี่ไม่ได้หรอกนะ” พี่เขาพูดไปยิ้มไป แต่ก็ไม่แสดงรังเกียจผมที่ปกปิดร่างเอาไว้แม้แต่นิดเดียว

                “พี่รู้ได้ไง” เพราะไม่รู้จะแถอะไร ผมจึงถามไปตามตรง

                “พี่ก็บอกไม่ถูก แต่พี่ดูคนออก มันเหมือนเชื่อตามความรู้สึกน่ะ” พี่แบมช่วยอธิบาย “แล้วอีกอย่างนะ พี่ว่าคนอย่างเปอร์ อย่างน้อยก็ต้องดูแลตัวเองมากกว่านี้สิ” พี่เขาพูดพร้อมชูนิ้วชี้ขึ้นแล้วยิบตาข้างขวาให้

                “...” ถึงกับอ้าปากค้างเลยทีเดียว ไม่รู้ว่าพี่เขาจะรู้และสังเกตได้มากขนาดนี้

                “ใช่มั้ยล่ะ” พี่แบมกะพริบตาขวาให้อีกครั้ง

                “ครับ” ผมตอบตามที่พี่เขาพูดอย่างว่าง่าย ไม่มีข้อใดแย้งได้เลย ผมเองก็ขี้เกียจแถ ถ้าหากพี่เขาต้อนจนมุมแล้วจับได้ อย่างไรก็ต้องบอกอยู่ดี เพราะฉะนั้นควรจะบอกตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนจะเข้าสู่มหกรรมการแถ เดี๋ยวคนตรงหน้าจะรังเกียจเอาได้

                “นี่ไม่มีอะไร จะบอกพี่หน่อยหรอ” พี่แบมถามอย่างอยากรู้แล้วหันมองรอบๆ “ไม่เป็นไร เราอยู่กันสองคน” พี่เขาพูดเสียงแผ่วราวกับกระซิบ แน่ใจหรอว่าอยู่กันสองคน แล้วพนักงานตรงเคาน์เตอร์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตสินะ

                “เอ่อ...คือ” ผมใช้นิ้วชี้เกาจอนผมด้วยความกังวล จะบอกได้ไงวะ ก็มันเป็นความลับที่คนสำคัญขิงผมเท่านั้นที่จะได้รู้ แล้วพี่เขาเป็นใครล่ะถึงต้องบอก

                ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดความลับออกมา ก็มีเสียงขึ้นแทรกจนพี่แบมต้องหันมองตามเสียง

                กริ๊ง กริ๊ง เสียงกระดิ่งอีกแล้ว เกือบทำกูหัวใจวายแล้วมั้ยล่ะ แต่มันก็ช่วยชีวิตผมไว้เหมือนกัน

                “พี่แบม สวัสดีครับ” ผู้ชายเสียงทุ้มเอ่ยทัก พี่เขาก็ส่งยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า พอผมเห็นพี่เขาส่งยิ้มให้บุคคลปริศนาอย่างมีความสุข ผมเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า เขาคนนั้นเป็นใคร  จึงหันมองตามพี่เขา

                หรือว่าจะเป็นแฟนพี่เขา

                ถึงกับผงะ ชะงักมองอีกฝ่าย ส่วนคนที่ถูกมองก็มองสบตาเหมือนกัน เป็นใบหน้าที่เหมือนคิดถึงแต่ก็ไม่คิดถึงซะทีเดียว งงป่ะ เพราะยิ่งเป็นแบบนี้นานเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตัดใจจากคนๆนี้ไม่ได้เท่านั้น คนๆนั้นก็คือเนทที่มาพร้อมกับเพื่อนอีกคน ซึ่งคนๆนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเพื่อนผมเหมือนกัน

                ไอ้อาร์ม

                “ไง มาทำอะไรอ่ะเรา” บางคำพูดที่ไม่สุภาพเพราะความสนิทสนมอาจจะไม่ใช่คนอ่อนโยนอย่างพี่แบม แต่ก็ใช่

                บางเวลาเราก็ไม่สุภาพได้ตลอดหรอก เพราะแต่ละคนนั้นก็ล้วนแตกต่างกัน ซึ่งคำพูดที่ใช้กับคนแต่ละคนนั้นก็ล้วนแตกต่างกันเหมือนกัน

                “ผมมาเอาเค้กที่สั่งไว้อ่ะครับ” เนทพูดอย่างสุภาพ เขาเคารพพี่แบมมากทีเดียว

                “อ้อ รอแปปนะ เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้ก่อน” พูดจบพี่แบมก็ลุกจากเก้าอี้เดินตรงไปหลังร้านเอาเค้กที่เนทสั่งไว้

                หลังจากพี่แบมเดินลับไป เขาก็มาคุยกับผม “เปอร์ มาทำอะไรอ่ะ” สีหน้าเขาไม่ค่อยเป็นสุขเท่าไหร่ ดูฝืนยิ้มอย่างไรไม่รู้

                 “มึงก็พูดเพราะไปนะ ขึ้นกูขึ้นมึงเลยก็ได้ มันไม่ว่าหรอก ใช่มั้ย!” ไอ้อาร์มพูดบอกเนท แล้วมาถามผมด้วยสีหน้าระรื่นที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจนแทบไม่เห็นตา

                 “กวนตีน ใช่ก็ผีสิ” ผมเอ็ดมัน “กูจะพูดเฉพาะกับคนที่กูอยากสุภาพด้วยเท่านั้น และจะหยาบคายกับคนอย่างมึง!” ขณะพูดในประโยคสุดท้าย ผมก็ชี้หน้าด่ามันไปพร้อมๆกัน

                 “อุ้ย!” ไอ้อาร์มอุทานพลางยิ้มเจื่อนแล้วหลบข้างหลังเนท น่าขำมาก ขำตรงที่มันตัวใหญ่กว่าผมแต่กลับกลัวคนที่ตัวเล็กกว่า

                 “แล้วมาทำอะไรอ่ะ” เนทยังเซ้าซี้ถามอีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะอารมณ์ที่ขึ้นมาได้ เพราะไอ้อาร์มที่เกาะหลังอย่างกับปรสิต

                 “นั่นสิ” คราวนี้ไอ้อาร์มมาแต่เสียงกับหัว ส่วนร่างกานส่วนอื่นยังหลบอยู่หลังเนท

                 “มึงน่ะ หยุดไปเลย” ผมเพิ่งได้เห็นอีกด้านของเนท ดุอย่าบอกใคร ไอ้อาร์มถึงกับหดเข้ากระดองไปตามเดิม

                 “เอ่อ...คือ...” จะบอกตามความจริงหรือโกหกดีวะ

                 “เนท พี่แถมคุกกี้ให้ด้วย เอาไปแบ่งกันกินกับเพื่อนด้วยละกัน” พี่แบมเดินมาจากด้านหลังร้าน ตรงมาหาเนทแล้วยื่นถุงที่ใส่กล่องพลาสติกใสที่มีเค้กอยู่ข้างในให้

                  “โหยยยพี่ ของซื้อของขาย ทำไมให้ผมฟรีล่ะ” เนทถามอย่างเกรงใจ ใจจริงไม่อยากรับด้วยซ้ำ หากแต่พี่แบมเป็นคนที่เขาเคารพ

                ใจดีไปอี๊กกกกกกกก
 
                ผมมองทั้งสองคุยกันอย่างสนิทสนม ท่ามกลางความเงียบ ผมกับไอ้อาร์มต่างก็มองสองคนนั้นตาเป็นมัน สีหน้าก็แสดงความสงสัยออกมาเต็มที่ บางทีผมก็ไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำว่า เขาคือพี่น้องที่สนิทสนมกัน ส่วนไอ้อาร์มน่ะหรอ มันออกมาจากกระดองแล้วมายืนเกาะเก้าอี้ผมแทน

                 “มึงคิดเหมือนกับกูมั้ย” ไอ้อาร์มโน้มตัวมากระซิบข้างหูจากทางด้านหลัง ขณะที่ทั้งคู่กำลังยืนคุยกัน

                 “คงงั้น” ผมทำเสียงเรียบราวกับไม่สนทั้งคู่

ไม่นานเนทก็ถามด้วยเรื่องที่มีชื่อผมอยู่ในนั้น “เอ้อ! พี่แบม เปอร์มาทำอะไรที่นี่อ่ะพี่” นี่จะไม่ล้มเลิกความตั้งใจจริงๆใช่มั้ย

                 “เปอร์น่ะหรอ มาเรียนทำเค้กกับพี่น่ะ” ผมทำหน้าแหย พี่แบมทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะพี่ ต่อจากนี้ชีวิตผมก็อยู่ไม่สุขน่ะสิ ไม่รู้ว่าเขาจะมาดักเจอตลอดหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ตัดใจจากผู้ชายคนนี้ไม่ได้สักทีน่ะสิ

                 “ทำไมมึงทำหน้าอย่างงั้นวะ” ไอ้อาร์มมองสีหน้าผมแล้วถาม

                 “กูปวดขี้มั้ง!” ผมประชดมันไปเผื่อมันจะหุบปากซะที

                 “ให้กูไปเป็นเพื่อนมั้ย” มันยังยอกย้อนผมอีก

                 “กูประชดมั้ยล่ะ” ผมหันบอก “ยังจะเล่นตามกูอีก” แล้วมันก็เงียบไป

                 “เอาเค้กไปเซอร์ไพรท์ใครหรอเนท” ผมเผลอถามออกไปอย่างไม่คิด แต่ใจก็อยากรู้จริงๆทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้ ถ้ารู้แล้วบางทีผมอาจจะจิตตกไปเลยก็ได้ นี่แหละที่ไม่อยากรู้

                 “เอาไปเซอร์ไพร์ทเพื่อนสมันม.ปลายน่ะ มีอะไรหรือป่าว” เนทยกถุงใส่ที่ใส่กล่องเค้กขึ้นแล้วตอบ

                 “ป่าว แค่อยากรู้”

                 “งั้นหรอ”

                 “อืม” ผมว่าผมกับเนทเริ่มจะคุยกันได้เหมือนเดิม แต่มันก็ยังมีความรู้สึกหน่วงๆมากั้นผมกับเขาไว้อยู่ดี ทำให้ไม่สามารถเปิดใจกับเขาได้ทุกเรื่องเหมือนแต่ก่อน

                 “เปอร์ มึงจะไปกินข้าวป่ะเนี่ย กูหิวแล้วนะ” ไอ้อาร์มพูดแทรกด้วยเสียงโมโหหิว

                 “ท้องมึงอยู่กับกูหรือไง” ผมพูดกวนตีนมันไม่เลิกเหมือนกัน เจอกันทีไร ไม่ค่อยพูดจากันดีๆนักหรอก

                 กัดกันเสียมากกว่า

                 “ไม่หรอก แต่ใจมึงอยู่กับกู” มันพูดทีเล่นทีจริงส่วนผมก็ได้แต่ถลึงตาใส่

                 “แหวะ” ผมพูดแขวะมัน คำพูดคำจาหวานจนขนลุก ควรเอาคำพูดนี้ไปให้คนที่มึงรักมั้ยล่ะ

                 ผมรำคาญที่จะเถียงต่อจึงตัดปัญหาด้วยการลุกจากที่นั่ง ก่อนหน้านั้นก็ไม่ลืมที่จะกล่าวลาพี่แบมกับเนทที่กำลังมองผมกับไอ้อาร์มเถียงกัน แล้วเดินออกจากร้านไปที่รถ แต่รถที่ผมกำลังเดินหาไปกลับเป็นรถไอ้อาร์มแทน เพราะเจ้าตัวบอกไว้ในแชทก่อนจะมาถึงที่ร้าน ส่วนไอ้อาร์มก็วิ่งหยอยๆตามออกมาทีหลัง

                 “เร็วๆกูหิวแล้ว” ผมพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ทั้งๆที่เมื่อครู่เจ้าตัวที่อยู่ในร้านแล้วพูด แต่ทำไมไอ้คนที่หิวมันไม่รีบมาล่ะ

                 ทำให้กูหิวแทนแล้วนิ

                 “ครับๆ” มันว่าแล้วกดปุ่มปลดล็อครถ ผมก็ไม่รีรอให้มันบอก จึงถือวิสาสะขึ้นรถไปตามประสาเพื่อนสนิท แต่มันดันเดินมาเปิดให้ซะงั้น

                 “กูไม่ใช่ผู้หญิง” ผมเอ็ดมันไป

                 “จะหญิงหรือชายก็มาต่างกันหรอก ถ้ากูจะทำให้” ผมเดาใจมันไม่ถูกว่ามันจะไปเพื่ออะไรกันแน่

                 “คราวหลังมึงก็ทำให้เพื่อนมึงบ้างนะ มันจะได้ยุติธรรม” ผมพูดแหย่มันไปด้วยรอยยิ้มปนขำ

                 “ฮึ่ยยยยยยย” มันทำท่าขยะแขยงอะไรบางอย่าง สั่นไปทั้งตัว ขนลุกด้วยมั้งนั่น ผมเห็นแล้วก็หลุดขำ

                 หลังจากนั้นมันก็ปิดประตูฝั่งผม เดินไปฝั่งคนขับ แล้วขับรถออกไปจากสถานที่เป็นทั้งร้านสอนทำเค้กและร้านคาเฟ่ทั่วไป มันขับรถเร็วมาก ไม่รู้ว่าผมออกปากว่าหิวหรือเปล่า ตั้งแต่รู้จักกับมันมาวันนี้มันขับเร็วสุดแล้วราวกับไม่กลัวความตายที่จะเกิดกับการขับรถความเร็วที่เกินกฎหมายกำหนด

                 การไปกินข้าวครั้งนี้ มันเป็นคนชวนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไม่รู้ว่าข้ออ้างมันสมเหตุสมผลหรือเปล่า กะอีแค่ ‘คิดถึง’ เนี่ย ใช้เป็นเหตุผลได้ด้วยหรอวะ จะว่าไปผมก็เจอมันเกือบทุกวันนะ จะกลับไม่ได้เข้าไปทักก็แค่นั้นเอง


******************************************************************************************************************************


            ร้านก๋วยเตี๋ยว

                 เจ้าไหนไม่รู้ ไม่ได้จำชื่อ แต่ขอบอกว่าอร่อยมาก

                 ถึงจะบอกว่าหิวข้าว แต่นี่มันอาหารเส้นนี่นา

                 “มึงเอาอะไร” ผมถามมันขณะกำลังเลือกเมนูโดยไม่เงยหน้ามองมันแม้แต่น้อย

                 “เอามึง”

                 “ว่าไงนะ” ผมเงยหน้าพร้อมกรอกตาใส่

                 “เอาเหมือนมึงไง” มันแก้ตัวหน้าตาเฉย

                 “เมื่อกี้มึงไม่ได้พูดแบบนี้นิ” ผมยังเค้นถาม สังเกตทุกอากัปกิริยาจับผิดเหตุมันทุกท่วงท่า

                 “ก็พูดแบบนี้แหละ มึงคิดไปเองป่าว” มันพูดแก้ตัว ราวกับผมจะไม่รู้ว่ามันพูดอะไร ตอนที่ถามคำถามแรก

                 “เออ กูอาจจะคิดไปเอง”

                 “ชอบมโนนะมึง”

                 “...” ผมไม่พูดแต่กลับชูนิ้วกลางให้มัน

                 พอได้เมนูที่อยากกิน จึงเขียนลงบนกระดาษแผ่นเล็ก บะหมี่เกี๊ยวกุ้งต้มยำพิเศษ เพิ่มชีส ผมมองเมนูสลับกับมองหน้ามัน แล้วเกิดคำถาม

                 “จะว่าไป มึงกินกุ้งได้แล้วหรอ”

                 “ไม่ได้หรอก คนแพ้กุ้งก็แพ้วันยังค่ำแหละ มันไม่หายขาดนะมึง” มันบอก “แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูแพ้” มันถามด้วยสายตามีประกาย

                 “แม่มึงบอก แล้วมึงจะกินได้ป่าวเนี่ย” ผมถามมันด้วยความร้อนรน นี่ถ้ามันกินเข้าไปจริงล่ะก็ จะไม่เป็นความผิดของผมหรอที่ทำให้มันต้องเข้าโรงพยาบาล

                 “ไม่เป็นไร ค่อยให้มึงกินก็ได้” มันพูดแล้วยิ้มดีใจอย่างปิดไม่มิด ดีใจที่จะตายเพราะกุ้งหรือไงวะ

                 “ตามใจ ตายแล้วอย่าหาว่ากูไม่ห้ามแล้วกัน” พูดจบผมก็ปิดใบเมนูแล้วเขียนส่วนของไอ้อาร์มที่ไม่ได้ใส่กุ้งแต่เปลี่ยนเป็นหมูแทน จากนั้นก็เดินเอากระดาษแผ่นเล็กไปเสียบไว้ตรงเคาน์เตอร์แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ

                 “กูไม่ว่ามึงหรอก แต่กูจะมาอยู่ด้วยถ้าเกิดตายขึ้นมาจริงๆ” มันพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์พลางยักคิ้ว

                 “ไปไกลๆเลย” แล้วมันทำหน้าทะมึนทึ่ง หลังจากที่ผมว่า ประชดแค่เนี้ย ทำเป็นปอดไปได้

                 รอไม่นาน ก๋วยเตี๋ยวที่สั่งก็มา ผมรับชามมาแล้วปรุงนิดๆหน่อยๆ แล้วเอาเข้าปากด้วยความหิว ส่วนไอ้อาร์มก็เอาแต่มองอย่างนั้น ทั้งมองผมและมองบะหมี่ในชามด้วยความสงสัย สงสัยว่าทำไมไม่ใช่กุ้งแต่เป็นหมูแทน แต่แล้วมันก็ลงมือกินแถมไม่ได้โวยวายอะไรเลย

                 “เอ้อมึง พากูไปร้านกีตาร์หน่อยได้มั้ย” มันพูด

                 “ร้านกีตาร์ไปทำไมวะ”

                 “กูจะซื้อสายกีตาร์ มึงไม่ไปดูไวโอลินหรือไง” มันบอกพร้อมกับถามถึงเครื่องดนตรีที่ผมสนใจ ตอนเจอครั้งแรกมันถามถึงเรื่องนี้ ผมก็บอกตามที่มันอยากรู้ ตัวผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าถามทำไม คงแค่จะถามตามแบบคนที่เพิ่งรู้จักล่ะมั้ง

                 “กูไม่ได้มีเวลาเล่นขนาดนั้น” ผมบอกอีกฝ่ายก่อนจะก้มหน้าคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก

                 “ก็หาสิ ไม่เห็นยาก” มันเอ่ยแขวะ
 
                 “มันไม่ได้หาง่ายเหมือนบะหมี่นะมึง! ขนาดกูบริหารเวลาแล้ว ก็แทบจะไม่มีเวลาหายใจ สมองก็มี คิดบ้างสิ!” มันแขวะ แต่ผมด่าแม่งเลย คิดได้เนอะ

                 “อย่าเพิ่งโวยวายสิ”

                 “ไม่ได้โวยวาย แค่บอกตามความเป็นจริง” ผมเงยหน้าบอกมัน อยู่ดีๆ ก็วิ่งเข้าหาโทสะอีกละ

                 “ตกลงจะไปกับกูมั้ย” มันพูดขณะเคี้ยวเส้นบะหมี่พลางจ้องมองตัวผมตาไม่กะพริบ

                 “ไปดิ ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างก็ดี”

                 “งั้นรีบกิน”

                 “อืม”


มีต่อนะ...


     
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-02-2018 23:22:58 โดย Peppermint Choco »

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0


 ร้านดนตรี

                ร้านนี้เป็นร้านขนาดใหญ่ที่ได้รวบรวมเครื่องดนตรีพวกสายมารวมกันทั้งแบบที่ผมรู้จักและไม่รู้จักมากมาย มันไม่ใช่แค่พวกเครื่องดนตรีสากล มีทั้งของชาติและวัฒนธรรมอื่นรวมอยู่ด้วย ซึ่งที่ตั้งแห่งนี้คือประเทศไทย ย่อมมีเครื่องดนตรีไทยอยู่แล้ว แต่จะแบ่งเป็นโซนๆไม่ได้รวมกันยากที่แยกแยะได้ว่าเครื่องดนตรีเป็นของชาติไหน ซึ่งมันเหมาะแก่การให้ความรู้อย่างมาก บางทีผมก็คิดว่ามันเป็นพิพิธภัณฑ์ด้วยซ้ำ

                พอได้เดินเข้ามาร้านจริงๆ มันกว้างและใหญ่กว่าที่คิด แต่ละโซนจะมีป้ายใหญ่ๆบอกว่าเป็นจำพวกใดรหรือชาติใด ผมกับแยกกันเพราะไอ้อาร์มมันมีจุดประสงค์ของมันอยู่แล้ว ส่วนผมที่มากับมันเฉยๆ ก็แค่เดินดูฆ่าเวลาเล่นๆ แต่โซนที่ผมกำลังเดินอยู่เป็นโซนที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ชาติตะวันตก โซนดนตรีไทย  มีทั้งแบบไว้ประดับและไว้ขาย บางชิ้นก็เก่าแก่คร่ำครึเกินกว่าจะประเมินราคาได้ บอกได้เลยว่าน่าขนลุกมากกกก เนื่องจากลูกค้าส่วนมากไม่ค่อยเดินมาโซนนี้สักเท่าไหร่จึงทำให้บรรยากาศคล้อยตามความคิดของผม และที่สำคัญยังยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางเครื่องดนตรีโบราณพวกนี้อีกต่างหาก

                 ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เดินมาโซนนี้เหมือนกัน เหมือนกับว่ามีแรงดูดของเครื่องดนตรีได้พาให้ผมมาเดินชมความเป็นไทยในที่แห่งนี้ ถึงจะน่ากลัวไปหน่อย แต่ผมว่ามันก็มีเสน่ห์ในตัวมันไปอีกแบบ เสน่ห์แบบของโบราณ มีค่า บางชิ้นก็มีค่ามากกว่าพวกเครื่องดนตรีสากลเสียอีก สำหรับพวกนักสะสมอ่ะนะ
 
                 หลังจากแยกกับไอ้อาร์มผมก็ยังไม่เห็นหน้ามันอีกเลย มันคงยุ่งอยู่กับสายกีตาร์ของมันนั่นแหละ ส่วนผมก็มีหน้าที่เดินดูของในร้าน ยังไงก็ดีว่ารออยู่ตรงที่มันซื้อแหละ ไม่รู้ว่ามันรู้หรือเปล่าว่าผมไม่ชอบอรอะไรนานๆ จึงให้ผมไปเดินเล่นไปก่อน

                 ไวโอลินที่ว่าจะมาดูก็ลืมสนิทเลย

                 “เปอร์ มาอยู่นี่เอง มาทางนี้เร็ว” มันโผล่มาไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัวพลางกวักมือเรียกให้เดินตาม

                 “ไปไหนวะ” มันยืนรอผม ขณะที่ผมก็สาวเท้าเข้าไปหาอีกมัน

                 “เหอะน่า” ไม่รอให้ผมได้เดินถึงตัว อีกฝ่ายก็เดินเข้ามาจูงมือในทันที ผมก็ไม่รู้ว่ามันรีบอะไรนักหนา บางทีอาจจะมีธุระต้องไปต่อ ผมจึงไม่เอ่ยว่าอีกฝ่าย ยอมเดินไปตามอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย แต่มือมันอุ่นมาก ทั้งที่อากาศในร้านจนเกือบจะหนาว ซึ่งต่างจากมือผมที่เย็นหรืออุ่นสภาพอากาศรอบนอก

                 บางทีผมก็คิดนะว่าตัวเองพวกสัตว์เลื้อยคลานหรือเปล่า

                 พอหยุดเดิน ผมก็รู้ว่าโซนนี้เป็นเคาน์เตอร์สำหรับจ่ายตังค์และให้คำแนะนำแก่ลูกค้าที่สงสัย มันคลายมือออกจากมือผม แล้วเข้าไปคุยอะไรก้ไม่รู้กับเจ้าของร้าน หลังจากนั้นก็หันหลังมาพร้อมเครื่องดนตรีที่ผมอยากได้

                 “เป็นไงวะ” มันถือไวโอลินในมือพลางก้มลงมองเครื่องดนตรีไปด้วยเอ่ยถามไปด้วย

                 “สวยดี” เห็นแล้วผมถึงกับตาวิ้งพราว ผมเข้าไปจับดู ลูบๆคล้ำๆ อย่างอยากได้ จนตอนนี้มันมาอยู่ในมือผมแทนที่จะเป็นไอ้อาร์ม

                 “อยากได้หรือเปล่า” มันถาม แล้วผมก็เงยหน้าขึ้นมอง สบตาเข้ากับดวงตาสีดำขลับ

                 “ไอ้อยากได้ ก็อยากได้อยู่หรอก แต่...” เสียงผมขาดช่วงไป จนทำให้อีกฝ่ายแสดงสีหน้าสงสัย

                 “แต่อะไรวะ” เวลามันถามกับพูดธรรมดาช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ตอนถามจะเป็นเสียงเข้ม ส่วนพูดคุยกันทั่วไปก็จะเป็นอีกเสียงตามแบบฉบับผู้ชายคูลๆอย่างมัน

                 “กูไม่มีเงินและยิ่งไปกว่านั้น กูไม่มีเวลาเล่น ซื้อไปก็ปล่อยทิ้งไว้เสียของเอาป่าวๆ แถมเสียตังค์ฟรีอีกต่างหาก”

                 ทุกคนคงจะคิดว่าผมงกมากล่ะสินะ อย่างที่บอกในตอนแรกผมเป็นคิดมากเรื่องซื้อของ คิดแล้วคิดอีก คิดอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะได้ข้อสรุป เหตุที่เป็นแบบนั้น ถ้าหากผมซื้อของสิ่งใดแล้วผมก็ต้องรักษาและดูแลของสิ่งนั้นจนกว่าจะหมดอายุการใช้งาน ถ้าซื้อมาแล้วปล่อยทิ้งไว้ สู้เอาไว้ที่ร้านที่มีคนดูแลยังจะดีเสียกว่า

                 อีกอย่างเงินที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็มาจากครอบครัวทั้งนั้น ตราบใดที่ผมยังหาเงินใช้ด้วยตัวเองไม่ได้ ผมก็ไม่อยากจะใช้ตังค์สิ้นเปลืองไปกับของไร้สาระไปวันๆให้มากกว่านี้

                 “พอเข้าใจแล้วว่ะ” มันบอก “แล้วมึงคิดว่าคนๆนั้นของกู เขาจะชอบป่าววะ” มันขอความคิดเห็นพลางก้มมองดูไวโอลินด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง

                 “กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร กูจะรู้ได้ไงว่าเขาชอบหรือป่าว” ที่จริงผมก็ไม่รู้จริงๆแหละ ตอนแรกก็คิดว่าเป็น ‘จิ๊บ’(เด็กควงของไอ้อาร์ม) แต่พอมันบอก ‘แค่คนควง’ ผมก็ไม่รู้แล้วว่าเป็นใคร ตั้งแต่ถามตอนโทรหามันในครั้งนั้น ก็ยังไม่เคยถามมันอีกครั้งเลยจนถึงตอนนี้

                 “จริงด้วยว่ะ เขาก็อยู่ใกล้ตัวมึงนั่นแหละ” ไอ้อาร์มเผลอบอก

                 “มึงว่าอะไรนะ”

                 “ป่าว” มันตอบตัดบท “กูแค่บอกว่าเขาน่าจะชอบแหละ”

                 “ทำไมมึงถึงมั่นใจขนาดนั้นวะ” นั่นน่ะสิ! ไม่เขาเป็นคนบอก มันก็อ่านใจเขาได้นั่นแหละ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
                 
                 ชัวร์ป้าบ!

                 “เพราะเขาเป็นคนบอกเอง คนอย่างกูไม่มีทางเดาใจเขาได้หรอก”

                 “นั่นสินะ” ผมตอบตัดกังวล “จะทำอะไรก็ตามใจมึงแล้วกัน”

                 “อืม” มันตอบรับ “พี่ครับจองไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจ่ายครึ่งเดียวก่อน” ว่าแล้วไอ้อาร์มก็หยิบธนบัตรสีเทาปนน้ำตาลหลายใบออกมา ก่อนจะยื่นธนบัตรพวกนั้นให้กับเจ้าของร้าน

                 พวกเขาคงจะตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นคงมีต่อรองเกิดขึ้นไปแล้ว

                 “ทำไมทำงั้นวะ”

                 ผมถามด้วยความสงสัยอย่างที่สุด ทั้งๆที่ควรจะจ่ายราคาเต็มได้แท้ๆ แต่กลับจะแค่ครึ่งเดียว มันไม่กลัวหรือไงถ้าหากมีคนอยากได้ไวโอลินเครื่องนี้แล้วให้ราคาสูงกว่า แต่ถ้าเจ้าของร้านมีสัจจะก็คงไม่ขายมีใครง่ายๆหรอก เพราะมีคนจองไว้อยู่แล้ว

                 “มันยังไม่ถึงเวลา กูบอกได้แค่นี้แหละ”

                 พูดจบไอ้อาร์มมันก็จับมือผมแล้วพาเดินออกจากร้าน ที่จริงผมก็ไม่อยากให้ใครจับมือ แล้วพาเดินไปแบบนี้ แต่เพราะความคิดที่จะสะบัดนั้นมันช้าเกินที่นึกได้ราวกับโลกหยุดหมุน สมองหยุดการประมวณผล ไม่ออกคำสั่งให้ความคิดจิตสำนึกทำงานขยับร่างกายเหมือนตอนเรียนอยู่ที่ ม.เก่าเลยสักนิด

                 ระหว่างทางที่ไอ้อาร์มขับรถไปส่ง มันชวนผมไปทานข้าวเย็นที่บ้านมันเหมือนแต่ก่อน แต่ผมก็ต้องตอบปฏิเสธกลับไป เพราะต้องการจะทานข้าวกับครอบครัวที่อยู่กันพร้อมหน้าในวันสุดสัปดาห์ อีกฝ่ายก็ตอบโอเคอย่างปลงๆพร้อมกับทำท่าคอตก

                 ขณะลงจากรถ “เปอร์ พรุ่งนี้มึงว่างมั้ย”

                 ผมหันขวับทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกพร้อมคำถาม “ไม่ว่าง โทษทีว่ะ”

                 ไอ้อาร์มคอตกอีกรอบจนทำให้ผมหลุดยิ้มและขำในเวลาเดียวกัน

                 “อาร์ม” พอผมเอ่ยเรียกมันก็เงยหน้ามามองผม “ขอบคุณสำหรับวันนี้นะมึง” นี่เป็นการขอบคุณครั้งที่ 2 แล้วมั้ง มันชอบมาตอนที่ผมเศร้าและเปล่าเปลี่ยว มาทำให้ผมอารมณ์ดีตลอดราวกับมันรู้ล่วงหน้า รู้เวลา รู้โอกาสที่จะเข้าหา

                 “อืม” มันพยักหน้า “กูเต็มใจ”

                 ถ้าหากเปลี่ยนใจจากเนทมาชอบไอ้อาร์มได้ก็คงจะดีกว่า คนที่ทำเพื่อเราขนาดนี้ ผมก็อยากจะรัก อยากให้เขาดูแล แต่ใจกลับยังตัดใจจากอีกคนยังไม่ได้ แถมผมก็ไม่รู้ว่ามันชอบผมหรือเปล่า เพราะมันมีคนที่มันชอบ

                 บางทีมันอาจจะไม่ถึงเวลาที่ผมจะคิดเรื่อง ‘ความรัก’

                 มันอาจจะเร็วเกินไปสำหรับผม



                 TBC...


***************************************************************************************************



พรุ่งนี้ตอนที่ 14 อัพแน่นอน

รออ่านด้วยนะครับ


ออฟไลน์ พัดลม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-2
Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
«ตอบ #29 เมื่อ03-02-2018 13:49:20 »

 :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด