คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness)  (อ่าน 9249 ครั้ง)

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0




             เช้าวันต่อมาก็คืนคลานมาถึงอย่างรวดเร็ว เป็นอีกวันที่ผมจะได้พักก่อนจะกลับไปรับศึกกับการเรียนในวันพรุ่งนี้ แถมมีสอบอีกต่างหาก แต่ผมก็ไม่ลืมหยิบพวกหนังสือและชีทประกอบการเรียนมาด้วย จึงทำให้ได้อยู่กับครอบครัวอย่างเต็มที่ ได้อ่านหนังสือก่อนสอบ

             จะมีอะไรสุขไปกว่านี้อีกล่ะ

             อ้อ! ส่วนเรื่องรถผมก็ลืมไปเลยล่ะ กระทั่งเห็นรถมาจอดในโรงรถในบ้านเฉยเลย พอถามแม่ก็ได้คำตอบว่า 'พี่แบมขับมาส่งให้' แล้วผมก็ถามต่ออีกว่า 'เอากุญแจรถมาจากไหน'  พ่อก็ตอบว่า(ทีนี้เป็นพ่อที่ตอบ) 'ก็เราลืมกุญแจไว้ที่ร้าน' จำไม่ได้หรือไง คำตอบมาพร้อมกับคำถามจนทำให้หน้าเสีย นิสัย ‘ลืม’ ไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆ โดยเฉพาะคนอย่างผม

             นี่ถ้าได้เป็นหมอจริงๆ ผมว่าผมคงจะลืมมีดผ่าตัดไว้ในท้องคนไข้แน่นอน

             ที่ผมตื่นเช้ามาขนาดนี้ก็เพราะอยากออกกำลังกาย เห็นแบบนี้ผมชอบกำลังกายมากเลยล่ะ ตอนอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดก็ออกกำลังกายแทบทุกวัน เพราะมันก็เป็นเหมือนการฝึกใช้พลังไปในตัว แต่ตอนนี้หุ่นแบบมีกล้ามนิดๆซิกแพคหน่อยๆ ได้กลายเป็นพุงไปแล้ว เนื่องจากขาดการทำอย่างต่อเนื่องก็เลยเป็นอย่างที่บอก ตั้งแต่เปิดเทอมมาก็อยู่กับกองหนังสือ กองชีท แถมไปช่วยรุ่นพี่วิศวะอีก เวลาก็เลยเต็มทุกช่อง มีเวลาให้พักหายใจก็ดีแค่ไหนแล้ว กลับมาถึงนอนสถานเดียว

              วันนี้แหละจะเป็นวันที่ได้ออกกำลังกาย สู้โว้ยยยยยยย!

              ผมออกวิ่งตั้งแต่หน้าบ้าน จนตอนนี้ก็กำลังวิ่งอยู่ในสวนสาธารณะ ที่มีที่ให้ออกกำลังกายกลางแจ้งด้วย บางคนอาจจะสงสัยว่าผมออกกำลังกายและฝึกใช้พลังอย่างไร ทำไมคนอื่นๆถึงไม่สังเกตเห็น แม้แต่ครอบครัวผมที่ต่างจังหวัดก็ตาม คำถามนี้ง่ายมากทีเดียว ถ้าหากลองสร้างสนามพลังที่บิดเบือนสภาพแวดล้อมภายในอาณาเขตให้ล่องหนได้ คุณก็จะรู้ว่าผมทำอย่างทำอย่างไร จะใช้พลังแบบไหน จะเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครสังเกตหรือจับผิดได้

              ผมกางม่านพลังนั่นให้มากที่สุด ให้พอสำหรับการฝึกโดยจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่พอฝึกเสร็จก็ต้องคลายม่านพลังให้กลับเป็นเหมือนเดิม ถ้าหากมีคนเดินหลงเข้ามาอาจจะมีปัญหาให้แกในภายหลังก็เป็นได้ และไม่ใช่แค่นั้น ต้องลบร่องรอยที่เกิดจากการใช้พลังทิ้งเสียให้หมด เพื่อไม่ให้มีใครสงสัยในตัวผม ซึ่งสถานที่แห่งนั้นมันเป็นเพียงทุ่งหญ้าเปล่าๆ ที่ครอบครัวผมยังไม่ได้จัดสรรทำอะไรกับบริเวณนี้ มันจึงง่ายและเหมาะที่จะฝึก

              ง่ายที่คนงานจะไม่สงสัยอะไร

              ส่วนหนึ่งก็เพราะผมขอเอาไว้

              พอผมวิ่งมาได้ระยะหนึ่ง จึงนั่งลงตรงม้าหน้าข้างถนนในสวนสาธารณะ กระดกน้ำเปล่าในมือขึ้นดื่มอย่างกระหาย เหงื่อก็ผุดขึ้นตามผิวหนังในบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าห่อหุ้ม(ผมใส่เสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้น) ส่วนที่เหลือก็ซึมเข้ากับเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม

              ขณะดื่มน้ำอีกระลอก ผมก็เห็นผู้ชายที่ผมยังไม่อยากจะเจอ ถึงกลับสำลักน้ำออกมา พุ่งใส่คนข้างอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่

              พ๊วด!

              “เป็นอะไรหรือป่าวครับ” คนที่ถูกน้ำพุ่งเข้าใส่เข้ามาถามผม ทั้งๆที่ตัวเองถูกน้ำผสมน้ำลายกระเซ็นใส่ แต่กลับไม่ปริปากว่าผมแม้แต่น้อย

              “แค่ก​! แค่ก!” น้ำที่ดื่มไหลออกมาทั้งจากปากและจมูกจนแสบจมูกไปหมด ดวงตาพร่ามัวน้ำตาก็ไหลออกมาหัวและหางตา จนผมต้องบอกคนตรงหน้าไปด้วยเสียงไม่เต็มร้อย “มะ ไม่เป็นไร แล้วนายล่ะ”

              ทั้งๆที่ควรห่วงตัวเองก่อนแท้ๆ แต่ผมกลับห่วงอีกฝ่ายเสียกว่าตัวเอง

               “เห้ย! เราไม่เป็นอะไรสักหน่อย นายนั่นแหละเป็นอะไรป่าว”

              อีกฝ่ายเอ่ยพลางโน้มตัวมาลูบหลังให้หายสำลักอย่างเป็นห่วง ถ้าเป็นคนอื่นผมก็รู้สึกเฉยๆ แต่เพราะเป็นคนๆนี้จึงทำให้ผมใจเต้นรัวไม่หยุด ตึก ตึก ยิ่งตอนเขาลูบหลังให้ ทั้งใจเต้นรัว ทั้งขนลุกไปตามๆกัน

              ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าแดงต่อหน้าเขาหรือเปล่า บางทีเนทอาจจะอัธยาศัยดีและนิสัยดี พอเห็นใครเดือนร้อนก็เลยอย่างเข้าช่วยเหลือ จึงทำให้มีคนเข้าหาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม

              “เห้ย! อาต้า มาทำอะไรเนี่ย ออกกำลังกายคนเดียวหรอ” อีกฝ่ายถามเองตอบเอง จนผมหลุดขำ ก่อนที่เนทจะยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้

              ผมดูสิ่งของนั่นก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร “ไม่เป็นไร เราก็พกมาเหมือนกัน นี่ไง” ผมพูดพร้อมล้วงผ้าเช็ดหน้าของตัวเองในถุงกางเกงออกมา แล้วยื่นให้อีกฝ่ายดู เป็นเครื่องยืนยันว่าผมไม่ได้โกหกหรือบ่ายเบี่ยงเพราะความเกรงใจ แต่เป็นเพราะที่พูดนั้นมันเป็นเรื่องจริงต่างหาก

              แต่อีกฝ่ายกลับส่ายหน้า “อันนั้นอาต้าเช็ดแล้วนี่ เปียกชุ่มหมดแล้ว เอาอันนี้ไปใช้ก่อนดีกว่า กลัวจะติดเรื้อโรคเอาป่าวๆน่ะ” เนทพูดราวกับเห็นผมเป็นคนแพ้อะไรง่ายๆ แต่ทุกอย่างที่เขาพูดก็ถูกอีกนั่นแหละ ผ้าเช็ดหน้าที่เช็ดเหงื่อแล้วไม่ควรเอามาเช็ดปากอีก

              ผมยิ้มให้แล้วเอื้อมมือรับมัน แต่เนทกลับไม่ได้ยื่นให้ เขาทำตรงกันข้าม

              เขายื่นมาเช็ดรอบๆปากและริมฝีปากจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจและเขินในเวลาเดียวกัน ใจก็เอาแต่เต้นรัวไม่หยุด แทบจะหลุดออกจากอก อีกฝ่ายจะรู้ไหมว่าเราหน้าแดงขนาดไหน

              เวลาแค่สัปดาห์เดียวคงจะลืมไม่ได้สินะ

              คงหลงรักเขา จนแทบจะถอนตัวออกมาไม่ได้แล้วล่ะ

              “นายทำอะไรของนาย”

              ผมจับมือเนทเชิงบอกให้หยุดการกระทำ สบตาเขา มองเขาตาไม่กะพริบ เจ้าตัวเองก็ยิ้มตอบราวกับไม่ได้สนใจคำพูดของผม จนกระทั่งอีกฝ่ายละมือออกไปเอง ผมจึงรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาเช็ดปากตัวเอง ส่วนตัวเนทก็ขยับมานั่งข้างๆผมแล้วไม่พูดอะไร นอกจากมองผม มองอย่างไม่ลดละ อย่างกับว่าสิ่งตรงหน้ามองยังไงก็ไม่มีเบื่อ

              “ขอบคุณนะ”

              “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” พูดจบเนทก็ขยับตัวมาใกล้อีกนิด จนตัวเราแทบจะติดเป็นคนๆเดียวกัน ทำให้ผมได้กลิ่นเหงื่อความเป็นชาย มันไม่เหม็นนะ แต่กลิ่นนั่นกลับดึงดูดผมเสียจนผมอยากจะขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายเสียเอง

              ถึงแม้ว่าไม่ปล่อยฟีโรโมนจากกลิ่นเหงื่อ แต่ผู้หญิงก็เข้าหาเนทเยอะอยู่ดีนั่นแหละ

              ทันทีที่เนทโน้มหลังแนบม้านั่ง แขนเนทก็สัมผัสกับหัวไหล่ผม จนรู้สึกได้ถึงแขนที่เปียกฉ่ำไปด้วยเหงื่อเช่นเดียวกับผม หัวใจก็กลับมาเต้นเร็วและแรงอีกครั้ง จนผมไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่าเพราะเขากับผมอยู่ชิดกันขนาดนี้

              ผมรีบเขยิบขยับตัวมาติดอีกฝั่งของม้านั่ง ออกห่างจากเนท แต่ก็ไม่มากนัก เพราะม้านั่งก็ไม่ได้ใหญ่หรือยาวเหมือนอย่างที่คาดไว้ ผมหันมองอีกฝ่ายแต่อีกฝ่ายกลับมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างผ่อนคลายอารมณ์

              อยากรู้จังว่าเขากำลังคิดอะไร

              “จะว่าไป อาต้าเรียนที่ไหนนะ” เนทเริ่มเข้าประเด็นนี้อีกครั้งที่เขาเกริ่นไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

              ทำไมยังไม่ลืมอีกวะ

              “เรื่องนี้เองหรอที่อยากรู้” ผมไม่ตอบคำถามที่ว่าแต่กลับถามด้วยเสียงและสีหน้าเรียบนิ่ง

              “อืม” เนทหันมาตอบด้วยกรอยยิ้ม “แล้วอยู่ไหนล่ะ”

              “อยู่ม.เอ่อ...” เสียงมขาดช่วง ส่วนอีกคนก็จ้องจะเอาคำตอบให้ได้ “ม.xxxน่ะ ทางภาคตะวันออก”

              “ไปเรียนไกลจากบ้านจังเนอะ” เนทเอ่ยคำพูดที่ส่อแววประชด แต่ก็ยังเล่นตามน้ำอย่างที่ผมว่า จนกว่าผมจะหาอะไรมาอ้างไม่ได้ เพราะดูจากสีหน้าและรอยยิ้มแล้ว เขากลับไม่ได้เห็นด้วยกับคำตอบของผม

              เหมือนเขาจะถามไปเรื่อยๆ ผมเองก็จะโกหกไปเรื่อยๆเหมือนกัน

              แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะโกหกไปถึงไหน ถ้าโกหกแค่ครั้งสองครั้งก็พอปล่อยผ่านไปได้ แต่ถ้าต้องโกหกไปเรื่อยๆอย่างที่คิดก็คงรู้ไม่ดีเหมือนกัน

               “ก็ที่นี่ไม่ติด ก็เลยไปเรียนที่โน่นไง” ผมฝืนยิ้มแล้วพูดโกหก

               “นั่นสินะ” น้ำเสียงของเนทดูไม่เห็นด้วย

               “เป็นอะไรหรือเปล่า ดูอาการไม่ค่อยดีเลยนะ” ผมถามเอีกฝ่ายเพราะเขาทำสีหน้าแบบนั้นจริงๆ ถึงจะยิ้มก็ตาม แต่ผมก็รู้ว่าเขามีอะไรที่ทุกข์ใจอยู่

               มันไม่ใช่พลังพิเศษของผมนะ แต่เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้ ทุกคนคงจะเคยเป็นเหมือนกับผม เวลาที่คนใกล้รู้สึกไม่ดีแล้วพยายามฝืนยิ้ม

               “นิดหน่อยน่ะ” เนทพูดเสียงแหบ “เรารู้สึกกระวนกระวายอย่างบอกไม่ถูก” เนทหันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้งด้วยสายตาละห้อยและเศร้าปะปนกัน

               “มีอะไรก็บอกได้นะ” ผมบอกอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มให้กำลังใจ

               “อืม”

               ความเงียบเริ่มปกคลุมพื่นที่ราวกับเป็นช่วงเวลากลางคืนที่ไม่มีคนเพ่นพ่าน แต่ไม่เลย! ตอนนี้คนพลุกพล่านมาเป็นระยะๆ แต่บรรยากาศรอบตัวเราทั้งสองกลับเงียบเหลือเกิน คนข้างๆก็เอาแต่มองฟ้าด้วยสายตาแบบเดิมไม่มีเปลี่ยน ส่วนตัวผมกลับทำต่างจากอีกฝ่าย ผมก้มหน้าลงมองพื้นที่จะเห็นขาคนวิ่งผ่านเป็นระยะๆ มองและคิดในเวลาเดียวกัน คิดว่าอยากชวนคุย แต่ก็ไม่รู้จะคุยอะไร เพราะถ้าหากไม่สนิทกันถึงขั้นขึ้น 'กู-มึง' จริงๆล่ะก็ ผมก็จะเงียบจนไม่มีตัวตนอยู่บริเวณนั้น แต่ก็พอมีกรณีที่ยกเว้นอยู่บ้าง

               ผมหันมองรอบๆ เผื่อจะช่วยให่ผมคิดหัวข้อสนทนาออก เพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้น แต่สิ่งที่คิดได้กลับนำหายนะมาให้โดยผมไม่ได้คิดให้ดีก่อนที่จะพูดมันออกมา

               “เอ้อ แล้วเค้กเมื่อวานอร่อยป๊ะ” คำพูดนี้แหละที่จะนำความซวยมาให้ผม แต่มันก็หลุดออกไปแล้ว คงจะทำอะไรไม่ได้นอกจาก...

               แถ…

               “หะ!” เนทตกใจ “อาต้ารู้ได้ไงว่าเมื่อวานเรากินเค้ก” เขาหันมามองผม จ้องมอง สบตาโดยไม่วางตา จนบางครั้งผมก็รู้สึกกลัว…

               กลัวจะเผลอพูดความลับออกไป

               “เอ่อ...คือ...ว่า” ผมเริ่มทำเสียงลังเล ขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่จับจ้อง “อ้อ คือเราชอบเค้ก ชอบมากๆเลยด้วย ก็เลยถามออกไป” เป็นอีกครั้งที่ผมเผลอพูดโดยไม่ได้คิดให้ดีเสียก่อน ขายผ้าเอาหน้ารอดแบบไม่เนียนเอาเสียเลย แต่ก็เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อวานผมอยู่ในคราบของเปอร์ ไม่ใช่อาต้าอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้

               นี่สินะที่เขาเรียกว่า 'คิดก่อนพูด'

               อีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้ จ้องมองเหมือนเดิม แต่กลับปรากฏความสงสัยมายังคิ้วทั้งสองที่ขมวดเข้าหากัน แต่ก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ส่วนผมก็ไม่รู้จะพูดอะไร กลัวว่าถ้าหากชวนคุยอีก มันจะเป็นแบบเดิม แล้วผมก็ต้องโกหกอีกฝ่ายต่อไปอีก หรือไม่เนทก็อาจจะจับได้ก็เป็นได้

               “ถึงเวลากลับบ้านแล้วล่ะ ไปก่อนละ” ผมลุกขึ้นเตรียมตัวจะเดินออกจากที่นั้ง แต่ก็ต้องหยุดเดิน เมื่อมีมือของอีกคนมาดึงแขน ผมหันกลับไปมองด้วยความสงสัย มองทั้งมือที่จับแขน มองทั้งใบหน้าของอีกฝ่าย ร่างกายก็สั่นเทากลัวว่าเขาจะรู้ความจริงเข้า

               “อาต้า ไว้ว่างๆ เรามาวิ่งด้วยกันอีกนะ” อีกฝ่ายจ้องหน้าผมด้วยสายตาวิงวอน แต่เผยรอยยิ้มข้างๆแก้มให้เห็น จนรู้สึกถึงความอบอุ่นของมือที่จับ ขนาดแขนยังรู้สึกดีขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นจับมือหรือกอดมันจะรู้สึกดีขนาดไหนกัน ผมต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆเลย ถ้าหัวใจจะเต้นรัวขนาดนี้ คงไม่เหลือแล้วล่ะ

               เดี๋ยว!ๆ นี่กูคิดไปถึงไหนแล้วเนี่ย!

               “ได้ๆ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี “เราจะรอ”

               พออีกฝ่ายได้ยินประโยคหลัง ใบหน้าที่เคยหม่นหมองเต็มไปด้วยความสับสนก็กลับกลายเป็นรอยยิ้มอีกครั้งเหมือนครั้งแรกที่เราเจอกัน แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนข้างๆผม ทั้งๆที่มือยังจับแขนผมไว้

               “ปล่อยแขนเราได้แล้วมั้ง” ผมบอกพลางมองเรียวแขนตัวเอง

               “อ๋อๆ โทษที” อีกฝ่ายดึงแขนกลับ “ไม่เป็นไรนะ”

               “ไม่เป็นไรหรอก ก็แค่มีคนมากำแขนจนขึ้นสีแดงก็เท่านั้น” ผมพูดหยอกล้ออีกฝ่าย

               “จริงดิ” เรียวแขนของเนทคว้าเรียวแขนผมขึ้นมาดูอีกครั้ง

               “ล้อเล่นน่า” ผมจับมืออีกฝ่ายออกไป

               “...” เนทปล่อยจิตสังหารใส่ ด้วยใบหน้าที่บูดบึ้งที่ถูกแกล้งทางคำพูด

               หลังจากนั้นผมกับเนทก็เดินคุยกันมาเรื่อยๆจนถึงบ้านผมก่อน ก่อนจะแยกย้ายกลับไปบ้านของตน แต่เนทก็ไม่ลืมที่จะชวนไปทานข้าวที่บ้าน แต่นี่ช่วงเช้านะ กินที่บ้านตัวเองจะไม่ดีกว่าหรอ เห็นใบหน้าของเขาแล้วก็อยากตอบตกลง แต่ผมก็ต้องตอบปฏิเสธไปเพราะมีธุระยาวเป็นหางว่าวที่ต้องทำให้เสร็จในวันนี้ ซึ่งคำตอบนั้นก็ไม่บอกว่าเป็นธุระแบบไหนอีกตามเคย และเนทก็ไม่ได้ถามเซ้าซี้ แต่ก็เดินคอตกกลับบ้านด้วยความหวังที่มีอยู่น้อยนิด

               ชั่วโมงเรียนทำเค้กในวันที่สองผ่านไปเร็วอย่างเร็วราวกับจรวด  ซึ่งก่อนที่ผมจะได้แยกย้ายไปหาเพื่อน พี่แบมก็ดึงตัวผมไว้อีกตามเคย หาเรื่องชวนคุยพร้อมกับแนะนำแฟนที่รักให้ผมรู้จัก ผมก็พอจะจับจุดได้แล้วล่ะว่า เมื่อวานใครเอารถมาส่งพร้อมพี่แบม ก็แฟนที่เขานั่นแหละ

               พี่เขาชื่อนาย รูปร่างสูง เกือบจะร้อยเก้าสิบได้ เมื่อเทียบกับผมและพี่แบมแล้ว  เราทั้งคู่กลับสูงเท่าหัวไหล่เอง เวลายืนคุยกันทีไรก็ต้องเงยหน้าขึ้นรับอากาศในที่สูงทุกที เข้าใจหัวใจคนที่สูงน้อยกว่าแล้ว รู้ซึ้งถึงจิตใจแล้วล่ะ อย่างน้อยก็รู้สึกดีใจมีความสุขที่เวลาคุยกับเพื่อนผู้หญิง ไม่ต้องทำแบบที่ว่า แต่ต้องก้มหน้าพูดเนี่ยสิ

               อย่างน้อยกูก็ดูสูงส่งในบางเวลาล่ะวะ

               ธุระอย่างแรกเสร็จไป อย่างสองที่สองก็ตามมา ด้วยการกินเลี้ยงกับสายรหัส งานนี้ทำให้ผมถึงกับหยุดประหม่าไม่ได้ ไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะถามอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวบ้าง

               ถึงจะไม่ถามตรงๆ แต่ต้องวกมาเรื่องนี้แน่นอน

               จะเผลอตอบคำพูดที่จะสาวให้ถึงตัวจริงได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องเตรียมคำตอบเอาไว้ดีๆ จะได้ไม่ตกหลุมพรางเอาง่ายๆ


****************************************************************************************************************************


      ร้านปิ้งย่าง

              พอถึงร้านที่นัดกันไว้ ผมเข้าไปหาพี่เขาโดยไม่ต้องมองหาให้ยาก เพราะพี่เขาไม่ได้จองโต๊ะไว้ข้างในจนเกินไป จะบอกว่าอยู่นอกๆเลยก็ว่าได้

              "สวัดดีครับพี่เฟิร์ส พี่แจน พี่แนน พี่ตุ้ย" ผมยกมือไหว้พี่แต่ละคนพลางผงกหัวอย่างละครั้งกับพี่แต่ละคน

              "หวัดดี จ้า" พวกพี่ทั้งหลายก็รับไหว้ ยกเว้นไอ้พี่เฟิร์ส นั่นแหละ ได้แต่ผงกหัวนิดๆหน่อยๆให้

              "มาๆ มานั่งข้างพี่" พี่แนนตบโต๊ะข้างๆ เชิงให้นั่ง

              "ครับ" ผมเดินไปแล้วนั่งลงข้างๆพี่เขาอย่างเกร็งๆ เพราะยังไม่สนิทกับพี่คนไหนมากนัก ถ้าบอกว่าสนิทที่สุดตอนนี้ล่ะก็ ก็น่าเป็นไอ้พี่เฟิร์สนี่แหละ

              "อยากกินอะไร ตามสบายเลยนะ" เสียงนี้เป็นของพี่แจน แต่พอเหลียวมองของบนโต๊ะแล้ว ไม่ต้องเดินไปตักอีกก็อิ่ม จัดมาซะเต็มโต๊ะขนาดนี้บางทีอาจจะกินไม่หมดกัน

              "ตักมาขนาดนี้จะหมดหรอครับ" ผมพูดกับคนบนโต๊ะอย่างเกร็งๆ กลัวจะถูกปรับ แล้วอีกอย่างคือผมลืมกระเป๋าไว้ในรถ ตั้งใจเอาไว้ในนั้น แล้วฝากปากท้องไว้กับพวกพี่แทน

              หวังว่าผมคงไม่ต้องเดินไปเอากระเป๋าสตางค์หลังจากกินอิ่มแล้วนะ

              "แค่นี้ไม่พนาท้องพี่หรอก"  พี่ตุ้ยบอกพลางลูบท้อง "ถ้าน้องกินไม่หมด เดี๋ยวพี่ตามเช็ดตามกวาดเอง"

              พี่เขาว่าที่จริงที่เล่นอย่างสนุกปาก พี่คนอื่นก็หัวเราะตาม แต่คนที่อยู่นิ่งๆนั่งกินโดยไม่พูดหรือหัวเราะดูเหมือนจะเป็นพี่เฟิร์ส บางทีก็อยากจะถามว่าทำไมไม่พูดอะไรบ้าง แต่ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าจะได้อะไรตอบกลับ 'กูมานี่ก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่ามาซักไซ้อะไรมาก' คิดว่าน่าจะเป็นทำนองนี้ ฉะนั้นควรจะปล่อยไว้อย่างนั้น เดี๋ยวถามอะไร ถ้าพี่เขาอยากตอบก็คงตอบเองแหละ

               "เรียนเป็นไงบ้างเรา"  พี่ตุ้ยปี5ถามขณะที่ตัวเองคีบเนื้อมาย่างบนเตา

               "ตอนนี้ก็เรื่อยๆครับ ผมคิดว่ายังไม่ยากเท่าไหร่" ผมตอบอย่างมั่นใจในการเรียน

               "ดีแล้วล่ะ ปีหนึ่งเรียนง่าย รีบๆเก็บคะแนนไว้ตุลปีสอง เผื่อเกรดตกตอนปีสอง"

               "พูดอย่างนี้ พี่เคยเกรดตกล่ะสิ๊" พี่แจนพูดหยอกเล่นเสียงสูง

               "นิดนึง ตอนนั้นพี่ติดเกมและเข้าร้านเหล้าบ่อยไปหน่อย" พี่ตุ้ยพูดอย่างเขินอายแก้เก้อ

               "ติดแฟนก็บอกมาตรงๆเลยพี่" พี่แนนแขวะ จนพี่ตุ้ยถลึงตาใส่ กลัวว่าจะมีปากเสียงกันซะแล้ว แต่ทุกคนกลับหัวเราะ แม้แต่พี่เฟิร์สยังหลุดขำ พวกขี้ติสท์ก็แสดงอาการเหมือนกันแฮะ

               "อย่าเผาพี่สิ น้องรหัสสุดน่ารัก"

               "พี่ไม่ต้องมาหวานใส่เลย เอาไว้ไปหวานกับแฟนพี่เหอะ" พี่แนนพูดทีเล่นทีจริง จนพี่ตุ้ยถึงกับเงียบ แต่ก็มีคนยิ้มขำกันทุกคน

               "ว่าแต่เราเหอะ มีคนรู้ใจหรือยัง" ทุกคนถึงกับอึ้งและต่างหันมอง เพราะคำพูดนี้มันเป็นคำพูดของไอ้พี่เฟิร์ส แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำ มีน้อยที่ไอ้พี่เฟิร์สจะเอ่ยปากพูด ผมตกใจที่สรรพนาทระหว่างผมกับพี่เขาเปลี่ยนเป็น'เรา'แทนที่จะเป็น'กู-มึง'เหมือนทุกที

               ทั้งตกใจและอึ้ง แต่ก็จุกในเวลา มันตอกย้ำและซ้ำเติมที่คำว่า'คนรู้ใจ'เหมือนมีเข็มนับพันที่ทิ่มแทงหัวใจ จี้จุดอ่อนให้นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวันวาน ถึงจะมีขนาดเล็กแต่ความเจ็บปวดที่ได้รับกลับไม่แพ้ใบมีด

               "ไม่มีหรอกครับ" ผมว่า" ผมไม่ได้หน้าตาดีพอที่จะเลือกคนอื่น และให้คนอื่นมาเลือกผมด้วย" ผมพูดเสียงแผ่วเบา จนนำพาบรรยากาศตรึงเครียดเข้ามาในวงเลี้ยงโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะผมก้มนึกถึงเหตุการณ์นั้น พวกพี่ทั้งหมดต่างหันมองหารือหาทางออก ก่อนจะดราม่าไปมากกว่านี้

               "เอ่อ...พี่ว่าไม่มีก็ดีแล้วล่ะนะ" พี่แนนพูดขัดบรรยากาศที่มีแต่ความเงียบ "กินต่อดีกว่าเนาะ เดี๋ยวจะกลับดึกกัน" แล้วพวกเราก็กินเลี้ยงต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้วกเข้าเรื่องที่เป็นประเด็นดราม่าเมื่อครู่อีกเลย จนเกือบจะสี่ทุ่มค่อยแยกย้ายกันกลับหอ




           มีแต่นะ...

ออฟไลน์ Peppermint Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0




      สัปดาห์ต่อมา ที่หมู่บ้านจัดสรร
 
               ทุกวันที่ผ่านมาในหนึ่งอาทิตย์ เป็นสัปดาห์แห่งการเก็บคะแนนสอบย่อยผมยุ่งกับการเรียน ทั้งอ่านเอง ติวให้ไอ้เพื่อนตัวดีที่ชื่อเหมือนผม มิหนำซ้ำยังให้ผมไปติวให้เพื่อนคนอื่นๆของมันอีก

               กูอยากจะบ้าตาย จนบางครั้งก็ละเมอเผลอท่องสูตรเคมีโดยไม่รู้ตัว

               ทั้งสัปดาห์ที่ผ่านจึงวนลูปอยู่แค่นี้ จนไม่ได้คิดเรื่องที่จะถอยออกจากเนท บางทีถ้าลืมมันลงไปได้ก็คงจะดีกว่านี้

               "เปอร์ ลูกจะออกไปวิ่งจริงหรอ" ม๊าถาม ต่อจากนี้ผมจะใช้ชื่อนี้แทนชื่อแม่อีกคนของผม เพราะผมได้ตกลงกับทุกคนแล้ว ทั้งแม่และพ่อจึงกลายเป็นม๊ากับป๊า

               "ทำไมล่ะครับ" ผมถามในขณะที่ตัวเองกำลังผูกเชือกรองเท้าสำหรับวิ่ง ซึ่งม๊าเองก็ยืนเกาะประตูอยู่

               "ม๊าว่าฝนมีเคล้าว่าจะตก เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก" ม๊าพูดอย่างกังวลและห่วง กลัวว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดอยู่ ณ ตอนนี้

               "ไม่เป็นไรหรอกครับม๊า ผมดูแลตัวเองได้" หลังจากผูกเชือกผมจึงลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับม๊า แล้วเบ่งกล้ามแขนที่มีอยู่อย่างน้อยนิดให้นิด “อีกอย่างฝนแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ”

               ม๊าถอนหายใจ ไม่ว่าจะเป็นลูกคนไหนก็ทำให้เธอเป็นห่วงแบบนี้เสมอ ช่างไม่คิดถึงความรู้สึกเธอเลย ได้แต่ส่งรอยยิ้มให้ แต่ก็ยังดีที่เธอยังไม่ได้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้ลูกเป็นอะไรไป ไม่อย่างนั้นคงจะทำใจยอมรับไม่ได้

               "อย่างไรก็ตาม ลูกก็ควรจะถือร่มไปเผื่อด้วยนะ" สายตาอันอ้อนวอนของเธอทำให้ผมถึงกับใจอ่อน ผมหยิบร่มกับน้ำเปล่ามาอย่างละหนึ่ง แล้วสบตาผู้ที่เปรียบดั่งบุพการีอีกคน

               "งั้นผมไปก่อนนะครับ" พอว่าแบบนั้นจึงหันหลังแล้วเดินออกจากตัวบ้าน

               "ระวังรถด้วยนะลูก" ถึงจะเชื่อลูกคนนี้ดูแลตัวเองได้ แต่มันก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ จิตใจคนเป็นแม่ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น

               "ครับ" ผมหันมาพยักหน้าและยิ้มแก้มปริส่งให้คลายกังวล แล้วหันกลับไปดูทางข้างหน้าแล้วเปิดประตู ถึงกับชะงักเลยทีเดียว เพราะคนที่ผมไม่ได้อยู่ในหัวผมมาหนึ่งสัปดาห์ เขามารออยู่ก่อนหน้าแล้ว กำลังยืนพิงกำแพงรั้วซะด้วย

               เขาหันมาและเดินตรงหน้าผมแทน มิหนำซ้ำยังทำผมใจเต้นแรงอีกต่างหาก แถมรอยยิ้มแบบนั้นอีกที่ผมหรือใครเองยากที่จะละสายตาจากเขา

               "ว่าไงอาต้า มาตามนัดเราด้วย" เนทยิ้มอย่างดีใจที่ผมทำตามสัญญา เอ๊ะ! นัดตอนไหนวะ ที่จำได้ก็คือ 'ไว้คราวหน้ามาวิ่งด้วยกันนะ' หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อหรือพูดกันถึงเรื่องวิ่งอีกเลย แล้วไหงมาบอกแบบนี้ล่ะ       

               หรือว่าแท้จริงแล้ว เนทมาดักรอหน้าบ้าน แต่ความคิดนี้เหมือนจะเข้าข้างตัวเองไปนะ แต่เขารู้ได้ไงว่าวันไหนเราจะวิ่งหรือไม่วิ่ง

               "นัดอะไรอ่ะเนท" ผมถามอย่างไม่รู้

               "ไม่มีอะไรหรอก" เนทรีบพูดตัดบท "ไปกันดีกว่า"

               "..."

               ตลอดทางผมต่างลอบมองอีกฝ่ายโดยไม่ให้เขารู้ตัว แต่ผมก็ไม่รู้ว่ารู้ตัวหรือเปล่า เพราะดูจากปฏิกิริยาแล้ว เนทก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากวิ่งไปข้างหน้า ผมสังเกตรูปร่างของเนท เสื้อผ้าที่กระเพื้อมจาการเคลื่อนไหวร่างกายแล้วกระทบเข้าผิวหนัง เสื้อแขนกุดระบายอากาศที่เหมาะสำหรับวิ่ง ทำให้เขาช่างดูมีเสน่าห์และแซ็กซี่กับกล้ามแขนที่มีบ้างจนไม่ได้ดูน่าเกียจ ถึงจะไม่ได้มีมากเหมือนพวกเพาะกล้ามที่ทำให้ใครต่อใครคนกลัวจนแทบจะวิ่งหนี แต่ก็ถือว่าหุ่นดีใช้ให้ ทำให้ผมรู้ว่าเขาดูแลตัวเองเป็นอย่างดี

               ผมลอบมองจนเพลินแทบไม่ได้มองถนน จนชนเข้ากับสายไฟของสวนสาธารณะ ถึงขนาดล้มลงแล้วใช้มือจับส่วนที่ชนเลยทีเดียว

              "โอ๊ยย!!!"

              "เป็นไรป่าว" เนทตรงเข้ามาดูอาการแล้วถาม

              "ชนเสาไฟขนาดนี้ จะไม่ให้เป็นอะไรได้ยังไง" ผมประชดเพื่อนร่วมทางด้วยความอารมณ์ฉุนเฉียว เนื่องจากยังเจ็บจากการชนเสาไฟ แถมตอนนี้ยังรู้สึกมึนๆอีกต่างหาก

              เนทนั่งลงดูอาการพลางเสยผมของผมขึ้นที่ปิดอยู่ขึ้น เพื่อดูบาดแผลอย่างอ่อนโยน ผมมองตามทุกกิริยาของอีกฝ่าย จนเผลอใจเต้นแรงอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่ใจเต้นแรงแต่คราวนี้มันกลับรู้สึกเป็นมากกว่าครั้งที่แล้ว เพราะคราวนี้ผมสัมผัสได้ถึงสัมผัสจากมือของอีกฝ่าย ยิ่งเป็นส่วนที่ทำให้หวั่นไหวแล้วล่ะก็ มันก็ยากจะที่บังคับไม่ให้หวั่นไหว แถมลมหายใจที่เข้าปะทะหน้าอีก ผมล่ะตั้งตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

              มันเป็นช่วงเวลาที่ดำเนินเนิบช้าเหมือนถูกชะลอเอาไว้ ผมมองอีกฝ่ายกะพริบตาที่อีกคนมีให้ รับเอาความรู้สึกนั้นเข้าใจในดวงใจน้อยๆดวงนี้

              จนกระทั่งความทรงจำที่ผมในวันนั้นได้ผุดขึ้น ภาพของคนตรงหน้ากับ ‘คนรู้ใจ’ ลอยมาปรากฏตรงหน้าแทนใบหน้าของเนท ความรู้สึกทุกอย่างมันกำลังหายไป สัมผัสที่ได้รับกลับกลายเป็นใบมีดที่เข้าแทงให้หยุดทุกการกระทำ

              ผมปัดมือเนทออกแล้วพูด แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองด้วยความสงสัย “ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก” หลังจากนั้นก็ทำท่าจะลุกขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นไปแล้ว พร้อมส่งมือมาเพื่อที่จะพยุง

              ผมมองฝ่ามือหนานั่นที่เขาเต็มใจ ในหัวก็เอาแต่บอกว่า ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ต้องคิดให้นานเสียเวลาอะไรมาก ผมทำตามที่หัวสั่งทันทีเพื่อให้ตัวเองหลุดจากบ่วงแห่งความเจ็บปวดนี้ และมันจะตอกย้ำเมื่อผมใจอ่อน ถ้าหากเอาแต่ทำตามหัวใจ กลัวว่าจะถอนตัวหรือตัดใจจากเนทไม่ได้ จึงตัดสินใจที่จะไม่รับมือนั่น ยันตัวขึ้นโดยใช้เสาไฟข้างๆเป็นตัวพยุง

              ในวินาทีนั้นผมก็ลอบมองอีกฝ่ายเหมือนกัน เนทตอบกลับแค่ใบหน้าเรียบนิ่ง ซึ่งผมก็คิดอยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนั้น จึงพยายามที่จะไม่แสดงอาการรังเกียจออกไป แต่กลับยิ้มให้เขาแทน

               “วิ่งต่อกันดีกว่า” ผมชวนอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มร่าที่ปิดเอาความเกรงใจเอาไว้ แต่อีกคนกลับตอบรับรอยยิ้มที่ฝืนจนดูออกอย่างง่ายดาย



ถ้าเราไม่ยอมใจร้ายเสียที อีกฝ่ายก็จะไม่หยุด ผมเองก็จะต้องอยู่กับความขมขื่นนี้ไปตลอด



               ผมเข้าใจที่อีกฝ่ายตอบกลับอย่างนั้น ถ้าหากเป็นผมก็ทำแบบเดียวกัน แต่ที่ผมยังสงสัยอยู่ ณ ตอนนี้ คือ เขาเข้าหาผมเพื่ออะไร ทั้งๆที่มีแฟนอยู่เคียงข้าง ให้ความหวังผมทำไมทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้

               หรือว่าแค่เบื่อจึงหาอะไรใหม่ๆทำแก้เหงา

               ถ้าหากเป็นอย่างที่คิด ไอ้หมอนี่ก็โคตรสารเลวเลยล่ะ

               เห็นข้างนอกเงียบๆแบบนี้ ข้างในอาจจะร้ายยิ่งกว่าเราจะคิดได้เสียอีก

               ผมตั้งท่าจะวิ่งต่อแต่กลับต้องหยุดชะงักหันหลังมองเนท เขามีอาการซึมและค่อนข้างอิดโรยจากความหวัง ซึ่งแตกต่างจากคนที่ผมเห็นเมื่อตอนเช้าตรู่อย่างเห็นได้ชัด

               ดีแล้วล่ะที่เป็นแบบนั้น

               มึงจะได้สำนึก!



TBC...



*********************************************************************************************************

มาแล้วจ้า ถึงจะข้ามวันมานิดก็อย่าว่าคนเขียนล่ะ

ตอนหน้ามาดูฝั่งพระเอกกัน

จะเป็นใครกันแน่

ฝากติดตามด้วยนะครับ

แต่คงเป็นสัปดาห์นะ ถึงจะอัพให้

 :katai5:


ออฟไลน์ Peppermint_Choco

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: คน(ไม่)ธรรมดา (Giftedness) บทนำ
«ตอบ #32 เมื่อ30-03-2018 23:58:36 »

บทนำ

 

               มนุษย์ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ต่างก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปตามชาติพันธุ์ สภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ และการอบรมสั่งสอนของผู้ให้กำเนิดที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมและการใช้ชีวิตในวันข้างหน้า ฯลฯ  ถึงจะเหมือนๆกันทุกอย่างที่กล่าวมามนุษย์ก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี จากสถานที่เดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน แต่จะมีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือ ความคิด ไม่ว่าจะลักษณะภายนอกหรือภายในก็ตามแต่ สิ่งเหล่านั้นล้วนบ่งบอกได้ว่า ‘เราเป็นคนยังไง’ แต่ก็ไม่เสมอไป

               โลกปัจจุบันนี้แบ่งแยกคนยากกว่าในอดีตที่ผ่านมา ถึงในอดีตจะเคยมีแบบในปัจจุบัน แต่มันก็คนละยุคคนละสมัย ยิ่งมีความเจริญมากขึ้นแค่ไหน ความซับซ้อนของสิ่งรอบตัวหรือจิตใจคนก็ยิ่งซับซ้อนมากกว่าเดิมอย่างที่เคยเป็น มันไม่แปลกเลยที่เราจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นยังไง

               ค่านิยมที่เห็นภายนอกของบุคคลใดบุคคลหนึ่งทำให้คนส่วนมากมองคนที่ภายนอก ตัดสินที่ภายนอกแทนการพินิจพิจารณา ไม่ได้มองเข้าไปในห้วงลึกของใจคนๆนั้น  เราควรจะตัดสินคนที่การกระทำไม่ใช่หรอ? แต่ก็อย่างว่าถึงจะเป็นการกระทำของคนๆนั้น เราก็ไม่สามารถบอกได้หรอกว่า ‘เขาเป็นยังไง’ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง เราไม่สามารถบอกได้ นอกจากเจ้าตัวจะเป็นคนบอกเอง ยิ่งเป็นคำพูดยิ่งไม่สามารถเชื่อได้ว่าเขาพูดความจริงหรือเปล่า?

                นี่แหละความซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ เพราะฉะนั้นเราควรจะไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะตัดสินใคร

                อย่างที่บอกข้างต้น การกระทำไม่สามารถบอกความจริงได้เสมอไป เพราะใครบางคนเขาอาจจะทำดีเพื่อให้ตัวเองดีในสายตาคนอื่น ปกปิดตัวตนที่อยู่ภายในเอาไว้ ไม่ให้ออกมาสู่สายตาคนรอบข้าง

                สังคมปัจจุบันที่มีคนสวมหน้ากากเข้าหากัน เขาอาจจะมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ ซึ่งมันเป็นความลับของแต่ละคนและเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่เอ่ยออกมา แต่หารู้ไม่ว่าบางครั้งการสวมหน้ากาก ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่น่ายินดีนัก มันไม่ดีเสมอไป มีทั้งดีทั้งร้ายปะปนกันไปตามการกระทำ แต่เราก็ไม่สามารถหลักเลี่ยงได้บางครั้งอาจจำเป็นที่จะต้องหยิบมันขึ้นมาใส่

                 เพราะความกลัวทำให้เราทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับมันซึ่งๆหน้า พยายามหลีกเลี่ยง หลีกหนีปัญหา พยายามปกปิดเอาไว้ดีกว่าจะได้ไม่วุ่นวายในภายหลัง มันเป็นการหนีปัญหาที่อาจจะได้ผลแค่น้อยนิด แต่ก็ไม่ได้ออกมาอย่างที่คิดเสมอไป เพราะฉะนั้นควรมีสติที่จะตัดสินใจทุกครั้ง ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

                 ถ้าหากเราเลือกใช้มันโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม สิ่งที่เราแสดงออกมาไม่ได้เดือดร้อนใคร มันก็ควรจะทำ แต่อย่าให้เกินขอบเขตที่ตั้งไว้ก็พอ

 

 

                  ผมก็อยากจะคนเหล่านั้นสักครั้งบ้างว่า‘ไม่อึดอัดหรือไง’ แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้น คุณคงจะรู้กันอยู่แล้วล่ะว่าจะเป็นยังไง หรือบางทีผมอาจจะได้ทำแบบนั้นบ้างก็ได้ หากได้เข้าไปในสังคมใหญ่ๆ

                  เอาล่ะเข้าเรื่องเลยดีกว่า แต่ก่อนหน้านั้นผมขอแนะนำตัวก่อนนะ ผมชื่อ ปัณณธร อมรผดุงศิลป์ ชื่อเล่น เปอร์ (อ่านออกเสียงเหมือนเตอร์ ของคอมพิวเตอร์) เปอร์ตัวเดียวโดดๆ ไม่มีอะไรต่อท้ายหรืออยู่ข้างหน้าชื่อทั้งนั้น ชื่อแปลกย่อมมีฉายาตามมาจากเพื่อนๆในกลุ่ม โดยไม่ปรึกษาเจ้าของชื่อเลยสักนิด เปอรี่บ้าง เปปเปอร์บ้าง เปเปอร์บ้าง ซุปเปอร์บ้างล่ะ (ซุปเปอร์ ตาเป็นคนเรียก) ปัจจุบันหรือที่พูดบ่อยๆคงหนีไม่พ้นคำว่า ‘อีเปอร์’ เรียกแม่งกันทุกคนเลยนะในกลุ่มน่ะ

                  ส่วนหน้าตาผมหรอ? ใบหน้าทรงรูปไข่ แต่แก้มเยอะไปนิด ผิวเนียนขาวอมชมพู สันจมูกมีไม่มากแต่ก็ถือว่าโอเคอยู่พอควร ปลายจมูกรูปหยดน้ำแบบของผู้ชาย นัยน์ตาสีน้ำตาลปานกลาง ไม่อ่อนหรือเข้มจนเกินไป ขนตาเป็นแพงอนสวยจนผู้หญิงต้องอิจฉา ฟันเรียงกันไม่ค่อยสมบูรณ์ เพราะกำลังอยู่ในช่วงจัดฟัน ส่วนสูงไม่ได้มาตรฐานชายไทย ก็แค่ 170 ซม.ต้นๆเอง ไม่เตี้ยหรือสูง คิดเอาเองนะ 555

                  ผมเป็นคนเงียบๆ ถ้าใครไม่สนิทด้วย ก็จะไม่ปริปากพูดแม้แต่คำเดียวนอกจากจะมีงานร่วมกัน เวลาทำหน้านั่งนิ่งๆเงียบขรึม เพื่อนมันจะกลัวกันเป็นเอามาก แต่เวลาสนุกก็ร่าเริง ยิ้มบ่อย อย่างกับเป็นคนละคน ซึ่งตอนที่อยู่กับเพื่อนในกลุ่มผมมักจะเป็นคนร่าเริง พออยู่กับคนอื่นก็จะเป็นแบบแรก เหมือนไบโพล่าเลยเนอะ

                  สิ่งที่ทำให้ผมแตกต่างจากคนอื่นคงหนีไม่พ้นพลังพิเศษ ซึ่งพลังนี้มันเกิดมากับผมและติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้ และการที่พิเศษ แตกต่าง หรือประหลาดกว่าคนอื่นนี่แหละ มันทำให้ผมต้องเก็บซ่อนพลังที่ว่านี้ให้พ้นจากสายตาคนรอบข้างหรือแม้แต่บุพการีเองก็ตาม บอกใครไม่ได้เด็ดขาด ผมไม่รู้ว่าถ้าเกิดเขารู้ขึ้นมาเขาจะคิดกับผมเช่นไร กลัวเป็นอย่างมาก

                  รู้แค่เพียงว่า ‘ถ้าเขาเกิดรู้ขึ้นมา เขาต้องมองว่าผมเป็นตัวประหลาด รังเกียจในสิ่งที่ผมเป็น คนรอบข้างจะค่อยๆ ถอยห่างจากไป’ ผมไม่อยากเสียคนเหล่านั้นไป


แต่ใครจะไปห้ามความคิดคนอื่นได้ล่ะ จริงมั้ย?

สารบัญอยู่ข้างล่างนะครับ(เพิ่งทำได้)
คราวนี้ก็เลือกแต่ละตอนง่ายกว่าเดิมแล้วนะ

 



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด