สัปดาห์ต่อมา ที่หมู่บ้านจัดสรร
ทุกวันที่ผ่านมาในหนึ่งอาทิตย์ เป็นสัปดาห์แห่งการเก็บคะแนนสอบย่อยผมยุ่งกับการเรียน ทั้งอ่านเอง ติวให้ไอ้เพื่อนตัวดีที่ชื่อเหมือนผม มิหนำซ้ำยังให้ผมไปติวให้เพื่อนคนอื่นๆของมันอีก
กูอยากจะบ้าตาย จนบางครั้งก็ละเมอเผลอท่องสูตรเคมีโดยไม่รู้ตัว
ทั้งสัปดาห์ที่ผ่านจึงวนลูปอยู่แค่นี้ จนไม่ได้คิดเรื่องที่จะถอยออกจากเนท บางทีถ้าลืมมันลงไปได้ก็คงจะดีกว่านี้
"เปอร์ ลูกจะออกไปวิ่งจริงหรอ" ม๊าถาม ต่อจากนี้ผมจะใช้ชื่อนี้แทนชื่อแม่อีกคนของผม เพราะผมได้ตกลงกับทุกคนแล้ว ทั้งแม่และพ่อจึงกลายเป็นม๊ากับป๊า
"ทำไมล่ะครับ" ผมถามในขณะที่ตัวเองกำลังผูกเชือกรองเท้าสำหรับวิ่ง ซึ่งม๊าเองก็ยืนเกาะประตูอยู่
"ม๊าว่าฝนมีเคล้าว่าจะตก เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก" ม๊าพูดอย่างกังวลและห่วง กลัวว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ที่กำลังระบาดอยู่ ณ ตอนนี้
"ไม่เป็นไรหรอกครับม๊า ผมดูแลตัวเองได้" หลังจากผูกเชือกผมจึงลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับม๊า แล้วเบ่งกล้ามแขนที่มีอยู่อย่างน้อยนิดให้นิด “อีกอย่างฝนแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ”
ม๊าถอนหายใจ ไม่ว่าจะเป็นลูกคนไหนก็ทำให้เธอเป็นห่วงแบบนี้เสมอ ช่างไม่คิดถึงความรู้สึกเธอเลย ได้แต่ส่งรอยยิ้มให้ แต่ก็ยังดีที่เธอยังไม่ได้เจอเหตุการณ์ที่ทำให้ลูกเป็นอะไรไป ไม่อย่างนั้นคงจะทำใจยอมรับไม่ได้
"อย่างไรก็ตาม ลูกก็ควรจะถือร่มไปเผื่อด้วยนะ" สายตาอันอ้อนวอนของเธอทำให้ผมถึงกับใจอ่อน ผมหยิบร่มกับน้ำเปล่ามาอย่างละหนึ่ง แล้วสบตาผู้ที่เปรียบดั่งบุพการีอีกคน
"งั้นผมไปก่อนนะครับ" พอว่าแบบนั้นจึงหันหลังแล้วเดินออกจากตัวบ้าน
"ระวังรถด้วยนะลูก" ถึงจะเชื่อลูกคนนี้ดูแลตัวเองได้ แต่มันก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ จิตใจคนเป็นแม่ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น
"ครับ" ผมหันมาพยักหน้าและยิ้มแก้มปริส่งให้คลายกังวล แล้วหันกลับไปดูทางข้างหน้าแล้วเปิดประตู ถึงกับชะงักเลยทีเดียว เพราะคนที่ผมไม่ได้อยู่ในหัวผมมาหนึ่งสัปดาห์ เขามารออยู่ก่อนหน้าแล้ว กำลังยืนพิงกำแพงรั้วซะด้วย
เขาหันมาและเดินตรงหน้าผมแทน มิหนำซ้ำยังทำผมใจเต้นแรงอีกต่างหาก แถมรอยยิ้มแบบนั้นอีกที่ผมหรือใครเองยากที่จะละสายตาจากเขา
"ว่าไงอาต้า มาตามนัดเราด้วย" เนทยิ้มอย่างดีใจที่ผมทำตามสัญญา เอ๊ะ! นัดตอนไหนวะ ที่จำได้ก็คือ 'ไว้คราวหน้ามาวิ่งด้วยกันนะ' หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อหรือพูดกันถึงเรื่องวิ่งอีกเลย แล้วไหงมาบอกแบบนี้ล่ะ
หรือว่าแท้จริงแล้ว เนทมาดักรอหน้าบ้าน แต่ความคิดนี้เหมือนจะเข้าข้างตัวเองไปนะ แต่เขารู้ได้ไงว่าวันไหนเราจะวิ่งหรือไม่วิ่ง
"นัดอะไรอ่ะเนท" ผมถามอย่างไม่รู้
"ไม่มีอะไรหรอก" เนทรีบพูดตัดบท "ไปกันดีกว่า"
"..."
ตลอดทางผมต่างลอบมองอีกฝ่ายโดยไม่ให้เขารู้ตัว แต่ผมก็ไม่รู้ว่ารู้ตัวหรือเปล่า เพราะดูจากปฏิกิริยาแล้ว เนทก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากวิ่งไปข้างหน้า ผมสังเกตรูปร่างของเนท เสื้อผ้าที่กระเพื้อมจาการเคลื่อนไหวร่างกายแล้วกระทบเข้าผิวหนัง เสื้อแขนกุดระบายอากาศที่เหมาะสำหรับวิ่ง ทำให้เขาช่างดูมีเสน่าห์และแซ็กซี่กับกล้ามแขนที่มีบ้างจนไม่ได้ดูน่าเกียจ ถึงจะไม่ได้มีมากเหมือนพวกเพาะกล้ามที่ทำให้ใครต่อใครคนกลัวจนแทบจะวิ่งหนี แต่ก็ถือว่าหุ่นดีใช้ให้ ทำให้ผมรู้ว่าเขาดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
ผมลอบมองจนเพลินแทบไม่ได้มองถนน จนชนเข้ากับสายไฟของสวนสาธารณะ ถึงขนาดล้มลงแล้วใช้มือจับส่วนที่ชนเลยทีเดียว
"โอ๊ยย!!!"
"เป็นไรป่าว" เนทตรงเข้ามาดูอาการแล้วถาม
"ชนเสาไฟขนาดนี้ จะไม่ให้เป็นอะไรได้ยังไง" ผมประชดเพื่อนร่วมทางด้วยความอารมณ์ฉุนเฉียว เนื่องจากยังเจ็บจากการชนเสาไฟ แถมตอนนี้ยังรู้สึกมึนๆอีกต่างหาก
เนทนั่งลงดูอาการพลางเสยผมของผมขึ้นที่ปิดอยู่ขึ้น เพื่อดูบาดแผลอย่างอ่อนโยน ผมมองตามทุกกิริยาของอีกฝ่าย จนเผลอใจเต้นแรงอีกครั้ง เป็นอีกครั้งที่ใจเต้นแรงแต่คราวนี้มันกลับรู้สึกเป็นมากกว่าครั้งที่แล้ว เพราะคราวนี้ผมสัมผัสได้ถึงสัมผัสจากมือของอีกฝ่าย ยิ่งเป็นส่วนที่ทำให้หวั่นไหวแล้วล่ะก็ มันก็ยากจะที่บังคับไม่ให้หวั่นไหว แถมลมหายใจที่เข้าปะทะหน้าอีก ผมล่ะตั้งตัวไม่ถูกเลยทีเดียว
มันเป็นช่วงเวลาที่ดำเนินเนิบช้าเหมือนถูกชะลอเอาไว้ ผมมองอีกฝ่ายกะพริบตาที่อีกคนมีให้ รับเอาความรู้สึกนั้นเข้าใจในดวงใจน้อยๆดวงนี้
จนกระทั่งความทรงจำที่ผมในวันนั้นได้ผุดขึ้น ภาพของคนตรงหน้ากับ ‘คนรู้ใจ’ ลอยมาปรากฏตรงหน้าแทนใบหน้าของเนท ความรู้สึกทุกอย่างมันกำลังหายไป สัมผัสที่ได้รับกลับกลายเป็นใบมีดที่เข้าแทงให้หยุดทุกการกระทำ
ผมปัดมือเนทออกแล้วพูด แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองด้วยความสงสัย “ไม่เป็นไร แค่นี้สบายมาก” หลังจากนั้นก็ทำท่าจะลุกขึ้นในขณะที่อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นไปแล้ว พร้อมส่งมือมาเพื่อที่จะพยุง
ผมมองฝ่ามือหนานั่นที่เขาเต็มใจ ในหัวก็เอาแต่บอกว่า
ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ต้องคิดให้นานเสียเวลาอะไรมาก ผมทำตามที่หัวสั่งทันทีเพื่อให้ตัวเองหลุดจากบ่วงแห่งความเจ็บปวดนี้ และมันจะตอกย้ำเมื่อผมใจอ่อน ถ้าหากเอาแต่ทำตามหัวใจ กลัวว่าจะถอนตัวหรือตัดใจจากเนทไม่ได้ จึงตัดสินใจที่จะไม่รับมือนั่น ยันตัวขึ้นโดยใช้เสาไฟข้างๆเป็นตัวพยุง
ในวินาทีนั้นผมก็ลอบมองอีกฝ่ายเหมือนกัน เนทตอบกลับแค่ใบหน้าเรียบนิ่ง ซึ่งผมก็คิดอยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนั้น จึงพยายามที่จะไม่แสดงอาการรังเกียจออกไป แต่กลับยิ้มให้เขาแทน
“วิ่งต่อกันดีกว่า” ผมชวนอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มร่าที่ปิดเอาความเกรงใจเอาไว้ แต่อีกคนกลับตอบรับรอยยิ้มที่ฝืนจนดูออกอย่างง่ายดาย
ถ้าเราไม่ยอมใจร้ายเสียที อีกฝ่ายก็จะไม่หยุด ผมเองก็จะต้องอยู่กับความขมขื่นนี้ไปตลอด
ผมเข้าใจที่อีกฝ่ายตอบกลับอย่างนั้น ถ้าหากเป็นผมก็ทำแบบเดียวกัน แต่ที่ผมยังสงสัยอยู่ ณ ตอนนี้ คือ เขาเข้าหาผมเพื่ออะไร ทั้งๆที่มีแฟนอยู่เคียงข้าง ให้ความหวังผมทำไมทั้งๆที่มันเป็นไปไม่ได้
หรือว่าแค่เบื่อจึงหาอะไรใหม่ๆทำแก้เหงา
ถ้าหากเป็นอย่างที่คิด
ไอ้หมอนี่ก็โคตรสารเลวเลยล่ะ
เห็นข้างนอกเงียบๆแบบนี้ ข้างในอาจจะร้ายยิ่งกว่าเราจะคิดได้เสียอีก ผมตั้งท่าจะวิ่งต่อแต่กลับต้องหยุดชะงักหันหลังมองเนท เขามีอาการซึมและค่อนข้างอิดโรยจากความหวัง ซึ่งแตกต่างจากคนที่ผมเห็นเมื่อตอนเช้าตรู่อย่างเห็นได้ชัด
ดีแล้วล่ะที่เป็นแบบนั้น
มึงจะได้สำนึก!
TBC...
*********************************************************************************************************
มาแล้วจ้า ถึงจะข้ามวันมานิดก็อย่าว่าคนเขียนล่ะ
ตอนหน้ามาดูฝั่งพระเอกกัน
จะเป็นใครกันแน่
ฝากติดตามด้วยนะครับ
แต่คงเป็นสัปดาห์นะ ถึงจะอัพให้