Chapter 34 : การพนันเป็นสิ่งไม่ดีสองหนุ่มยืนอยู่ที่ในลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ หลังจากตกลงเรื่องพนันกันเรียบร้อย ทันตแพทย์หนุ่มก็ชี้ไปที่เป้ของคนอ่อนวัยกว่า “เอาหนังสือมาให้ผมยืมถือหน่อย”
“เอ้า เลือกเอา”
รวินท์หยิบหนังสือออกมาหนึ่งเล่มกับเอกสารอีกชุด เขาหยิบหมวกแก๊ปที่เหน็บกระเป๋ากางเกงไว้ขึ้นมาสวม แล้วกระชับแว่นบนใบหน้าเล็กน้อย “ไฟนอลเช็กหน่อย เป็นไง”
“อืม...” ภูพิงค์ยิ้มมุมปาก
ทันตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว “ทำไมทำหน้าแปลกๆ”
“กำลังคิดว่าพี่วินก็เข้ากับเสื้อชอปวิดวะดี พอมายืนมีตึกเรียนเป็นแบ็กกราวน์ยิ่งเหมือนเด็กวิดวะมากๆ”
รวินท์มองเด็กหนุ่มอย่างระแวง เพราะปกติอีกฝ่ายไม่ค่อยจะพูดดีๆ ด้วยสักเท่าไหร่
แต่สำหรับภูพิงค์นั้น เขาคิดว่าพี่วินใส่ชอปของเขาแล้วน่ารักดีชะมัด เขาปลื้มจนยิ้มหน้าบานไม่หุบเลยเนี่ย “ปะ เข้าไปเรียนกัน” คนอ่อนวัยกว่าก้าวเข้ามาโอบไหล่ “พร้อมนะพี่”
“อือ พร้อมก็ได้”
เมื่อถึงเวลาเดินเข้าห้องเลคเชอร์ รวินท์ก็เดินปะปนเข้าไปพร้อมกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คน พวกเขาก้มหน้าก้มตาเดินไปนั่งตรงที่ว่างข้างหลังสุด ทันตแพทย์หนุ่มเดินผ่านเข้าไปฉลุย ช่วงเช้าพวกนักศึกษายังง่วงเหงาหาวนอนกันอยู่ จึงไม่มีใครใส่ใจใคร ไม่มีใครหันมามองเขาเลยสักคน
ภูพิงค์นั่งลงข้างรวินท์ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นซัน หลังจากนั่งไปไม่นาน ชั่วโมงเรียนก็เริ่มขึ้น ทันตแพทย์หนุ่มจึงก้มหน้าลงทำเป็นอ่านเอกสารกับจดเลคเชอร์
แล้วชั่วโมงเรียนภาคเช้าก็จบลงไปง่ายๆ โดยที่ไม่มีใครในห้องใส่ใจ พวกเขาไปนั่งกินมื้อเที่ยงด้วยกัน เดินไปไหนมาไหนในตึกก็ไม่มีใครสนใจจะถามไถ่อะไร ทุกอย่างดูเหมือนวันปกติทั่วไป
จนกระทั่งถึงชั่วโมงเรียนในภาคบ่าย ซึ่งกลุ่มของเด็กหนุ่มไปนั่งหลังห้องด้วยกันเหมือนเคย
ช่วงแรกๆ อาจารย์ก็สอนไปเรื่อยๆ หากบรรยากาศยามบ่ายตอนอิ่มท้องแบบนี้ชวนให้ท้องตึงหนังตาหย่อน ชั่วโมงเรียนสองชั่วโมงยาวนานราวกับครึ่งปี รอบๆ ตัวทันตแพทย์หนุ่มเริ่มสัปหงกกันไปทีละคน ส่วนภูพิงค์ก็นั่งตาปรือ
แต่รวินท์คิดว่าวิชานี้ก็น่าสนใจดี กลายเป็นเขาเพียงคนเดียวที่ตั้งใจฟังอาจารย์ และจดเลคเชอร์ลงในสมุดไว้ให้เด็กหนุ่มที่นั่งสัปหงกอยู่ข้างกัน
อาจารย์ยกตัวอย่างการแก้ปัญหาโจทย์ไปทีละข้อ จนกระทั่งถึงยี่สิบนาทีสุดท้ายที่ดูท่าเหล่านักศึกษาจะไม่ไหว เขาจึงต้องหาวิธีปลุกวิญญาณไอ้พวกนี้ขึ้นมา “เอาล่ะ ง่วงกันนักใช่มั้ย เอางี้ละกัน ผมจะสุ่มออกมาทำโจทย์หน้าห้องทีละคน”
เท่านั้นล่ะ ตื่นกันทั้งห้องจริงๆ แล้วอาจารย์ก็เรียกคนที่นั่งสัปหงกในตอนแรกสองสามคนให้ออกไปแก้ปัญหาโจทย์คล้ายๆ กับที่เพิ่งสอนไป
รวินท์นั่งจดตัวอย่างไปเรื่อยๆ ดูเหมือนจะตั้งใจเรียนที่สุด แต่แล้วจู่ๆ ความซวยก็มาเยือนซะงั้น
“นั่นน่ะ คนที่ใส่หมวกสีดำข้างหลังสุดน่ะ ออกมาทำข้อต่อไปด้วย”
ทันตแพทย์หนุ่มเงยหน้าขึ้น หันมองไปทางซ้ายที ขวาอีกที ในแถวหลังสุดนี่มีเขาเพียงคนเดียวที่สวมหมวกสีดำ
อ้าว ฉิบหาย!
นัยน์ตาเรียวเบิกโพลง เขาหันขวับไปทางภูพิงค์ทันที “พิงค์! แย่แล้วอะ”
“พี่เอาหมวกมา เดี๋ยวผมออกไปเอง”
หากรวินท์ยังไม่ทันได้ถอดหมวก อาจารย์ก็เรียกเขาซ้ำอีก คราวนี้ทั้งห้องหันมามองเขาเป็นตาเดียว ฉิบหายแรงๆ!
“ออกมาไวๆ ยึกยักอะไรอยู่นั่น ผมเห็นคุณมองกระดานจดเลคเชอร์ตลอด ทำได้อยู่แล้วน่ะ” อาจารย์กวักมือเรียก
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน” ทันตแพทย์หนุ่มคว้าสมุดจดเลคเชอร์ติดมือไปด้วย เขาเดินก้มหน้างุดตรงไปหาอาจารย์ เมื่ออีกฝ่ายส่งโจทย์ให้ก็รับแล้วเดินไปหยุดยืนที่หน้ากระดานไวต์บอร์ด
ภูพิงค์กับเพื่อนๆ ชะเง้อมองรวินท์ด้วยความเป็นห่วง “จารย์จะจับได้มั้ยวะเนี่ย ไอ้พวกในห้องด้วย”
“กูบอกในไลน์กลุ่มไปเมื่อเช้าแล้วว่าวันนี้จะพาพี่หมอมาด้วย ให้ทุกคนช่วยทำตัวเป็นปกติ ห่วงแค่จารย์นี่ล่ะ” ดิวกระซิบตอบ
รวินท์เขียนโจทย์ลงบนกระดานอย่างเร่งรีบ ทำให้ลายมือหวัดจนอาจารย์ต้องตะแคงมองดูแล้วมองดูอีก
“เขียนให้มันดีๆ หน่อยสิครับนักศึกษา! เป็นหมอเรอะ เขียนหวัดแบบนี้น่ะ!”
ทันตแพทย์หนุ่มสะดุ้ง เขาลดความหวัดของลายมือลงเล็กน้อย พอเขียนโจทย์เสร็จก็เริ่มทำตามตัวอย่างของอาจารย์ไปเรื่อยๆ มันก็พอมั่วไหว ผิดถูกช่างแม่ง แต่ถ้าถูกก็จะถือว่าฟลุ้คสุดๆ ไปเลย
พอได้คำตอบออกมา รวินท์ก็หันไปหาอาจารย์อย่างงงๆ อันที่จริงก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำเสร็จแล้วหรือยัง แต่ขอมั่วตอบไปก่อน “สะ...เสร็จแล้วครับ”
“เปลี่ยนหน่วยด้วยสิ”
ทันตแพทย์หนุ่มหันขวับกลับไปที่กระดานใหม่ เปลี่ยนหน่วย? ตรงไหนยังไงวะ! เขาถือปากกาไวต์บอร์ดนิ่งค้างเป็นหิน
“เปลี่ยนหน่วยตอนจบไง สอนไปเมื่อกี้ คุณลืมแล้วเรอะ”
“อ้อ! ครับๆ จริงด้วย” ที่อาจารย์ย้ำเมื่อกี้ ดีนะเขาเสือกว่างจนตั้งใจเรียน! รวินท์จัดการเปลี่ยนหน่วยตามตัวอย่างที่จดไว้ แล้วหันไปถามอาจารย์อีกที “เสร็จรึยังครับ”
“ผมจะรู้มั้ยล่ะ คุณคิดว่าเสร็จรึยัง”
รวินท์ขมวดคิ้ว หันขวับไปตรวจคำตอบบนกระดานอีกครั้ง “เสร็จแล้วมั้งครับ”
“เออ เสร็จก็เสร็จ โอเค ถูกต้อง เอ้า คนต่อไป!”
ทันตแพทย์หนุ่มอ้าปากค้าง เฮ้ย! ไม่น่าเชื่อ! เขารอดด้วยเว้ย!
“ยืนทำอะไรอยู่ล่ะคุณ ไป๊ กลับไปนั่ง!”
“ครับๆ” รวินท์ยิ้มกว้าง รีบรุดเดินกลับไปนั่งที่ทันควัน
เมื่อนั่งลง ภูพิงค์ก็โอบไหล่เขาแล้วหัวเราะ “เจ๋งเว้ยพี่วิน”
ซันดิวและขิงโผล่หน้าเข้ามาร่วมวงด้วย “พี่หมอแม่งเก่งโคตร งี้ก็ติวพวกผมได้อะดิ”
“โห ฟลุ้คชัดๆ อะ ผมนึกว่าจะโดนจับได้ซะแล้ว”
คนอ่อนวัยกว่าสังเกตเห็นว่าทันตแพทย์หนุ่มกุมมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน เขาจึงเอื้อมมือไปสัมผัส “โอ้โห มือเย็นเจี๊ยบเลยว่ะ” จากนั้นก็หัวเราะ
“ก็คนมันตกใจนี่หว่า กลัวโดนจับได้ด้วย”
“ไหนๆ” ขิงยื่นมือมาจะจับมือของรวินท์บ้าง แต่โดนภูพิงค์ดีดกลับไปก่อน
“ไม่ต้องเว้ย กูจับแล้ว เย็นก็บอกว่าเย็นแล้วไง”
ขิงดึงมือตัวเองกลับไปแบบงงๆ พลางส่งสายตาด่ากลับไป โอ้โห หวงแฮะ จับมือยังไม่ได้เลยอะ! นี่กูเพื่อนมึงนะ!
แล้วชั่วโมงเรียนชั่วโมงสุดท้ายก็จบลง โดยที่อาจารย์ไม่ได้แสดงทีท่าสงสัยอะไร ขณะที่มีนักศึกษากลุ่มหนึ่งเดินไปรุมล้อมถามคำถามอาจารย์ต่อ หลายคนในห้องก็หันหลังมามองดูชายหนุ่มผู้มาเยือนเป็นระยะๆ พลางอมยิ้ม
รวินท์ก้มหน้าลง ไม่สบสายตากับใครทั้งสิ้น เขาดึงหมวกลงมาบังใบหน้าด้วย “พิงค์ ออกไปกันได้ยัง”
“เออ ได้แล้ว เดี๋ยวไปหาอะไรกินกันแล้วจะได้ไปอ่านหนังสือต่อ”
หลังจากกลุ่มของภูพิงค์เดินออกจากห้องไปสักพัก พวกนักศึกษาก็ยังรุมอาจารย์กันอยู่ไม่เลิกรา จนอาจารย์ต้องเอ่ยปากอย่างเหนื่อยหน่าย
“พวกคุณนี่แย่จริง ดูซิ หมอเขามานั่งเรียนแป๊บเดียวยังทำโจทย์ได้เลย นี่พวกคุณเรียนมาทั้งเทอมแล้วนะ”
“อ้าว จารย์จำได้ด้วยเหรอ” พวกนักศึกษาถามด้วยความประหลาดใจ
“โห หน้าตาแบบนี้ใครจะจำไม่ได้ ไอ้พวกที่ผมสอนๆ มา ไม่เห็นจะมีใครหล่อขนาดนี้สักคน”
“จารย์ใจร้ายว่ะ” เหล่านักศึกษาโวยวาย “แต่จารย์รู้แล้วยังเรียกพี่หมอออกไปทำโจทย์อีกอะ โหดฉิบ”
อาจารย์หัวเราะ “เอ้า มาเรียนกับผมก็ต้องได้ความรู้กลับไปสิ หมอเขาตั้งใจเรียนกว่าพวกคุณอีกนะ ไปๆ เขียนโจทย์ขึ้นกระดานอีกรอบละกัน เดี๋ยวผมอธิบายให้ใหม่” แล้วเสียงอื้ออึงภายในห้องก็ยังคงดังต่อไปอีกพักใหญ่ๆ
ช่วงที่ติวหนังสือกันหลังเลิกเรียน รวินท์เอาตัวรอดด้วยการฟุบหน้าลงกับโต๊ะแล้วหลับแม่งซะ จะได้ไม่มีใครสงสัย พนันกันครั้งนี้เขาต้องชนะแน่นอน
เป็นอย่างที่ทันตแพทย์หนุ่มคาดไว้ เมื่อเขาฟุบหน้าลงก็ไม่เป็นที่สงสัย คนอื่นๆ ก็มัวแต่วุ่นวายกันกับการติวหนังสือจึงไม่ได้สนใจอะไร
หากตลอดเวลานั้นภูพิงค์นั่งอยู่ไม่ห่าง คอยระวังไม่ให้ใครมาปลุกรวินท์ให้ตื่นได้ เขาอมยิ้มขณะที่มองอีกฝ่ายไถศีรษะลงบนท่อนแขนที่ใช้รองนอน ท่าทางเหมือนเด็กๆ ไม่มีผิด
เขาล่ะอยากจะมุดโต๊ะลงไปมองหน้าอีกฝ่ายซะจริงๆ แต่ขนาดไม่เห็นหน้า ไอ้พี่วินแม่งยังน่ารักเลย
ซันมองเพื่อนรักแล้วเบะปาก เมื่อวานยังหน้าบูดเป็นตูดอยู่เลย พอมาวันนี้นี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนใกล้บ้า “น้อยๆ หน่อยไอ้พิงค์ หันกลับมาสนใจโจทย์ตรงหน้ามึงบ้าง แก้กันมาตั้งแต่เมื่อวานยังไปไม่ถึงไหนเลยเนี่ย”
“แล้วอีจิ๊บไปไหนวะ”
“วันนี้มันขอลาตกเลือด เห็นเรียนเสร็จก็เดินกุมท้องเซกลับหอไปเลย”
“กรรมของมันแท้ๆ”
ขิงขยับเข้ามาแจม “ดีแล้วที่มันไม่อยู่ ถ้ามันอยู่แล้วมึงไปนั่งแก้โจทย์กับมัน เดี๋ยวพี่หมอจะงอนเอา”
ภูพิงค์หันขวับไปทางคนพูด “มึงพูดอะไร!”
“ก็พูดตามที่คิด”
“พี่เขาจะมางอนกูทำไม บ้าน่ะ” เด็กหนุ่มพูดไปเช่นนั้น แต่ปากหุบยิ้มไม่ได้แล้ว
ซันเบะปาก “แรด”
“สัส”
“เออ กูรู้”
“รู้เหี้ยไร”
“รู้ว่าแรดเป็นสัตว์ไง เหี้ยก็ด้วย”
“กวนตีนนะมึงอะ ดีนะที่กูอารมณ์ดี” ภูพิงค์ตอบพร้อมกับส่งนิ้วกลางให้ “ทำโจทย์ๆ”
“บอกตัวมึงเองเหอะ สัส”
เวลาล่วงเลยไปจนถึงหนึ่งทุ่มแล้ว รวินท์หลับจนเพลิน เขาเงยหน้าขึ้นทำหน้ามึนๆ งงๆ หน้าผากกับแก้มเป็นรอยแดงเป็นปื้น ที่โต๊ะไม่มีใครนั่งอยู่แล้วนอกจากเขากับภูพิงค์ เพราะคนอื่นๆ ลงไปนอนเกลือกกลิ้งกันบนพื้น
“หิวแล้วใช่มะพี่ ถึงตื่นได้เนี่ย โห หน้ายับไปข้างเลย นอนสบายดีมั้ยล่ะ”
“ไม่สบายหรอก แต่คนมันง่วงอะ” รวินท์หยิบแว่นขึ้นมาสวม ก่อนจะหันมองไปรอบๆ ทุกคนกำลังตั้งใจอ่านหนังสือกันอย่างเต็มที่ ทำให้เขานึกย้อนไปถึงบรรยากาศเก่าๆ เวลาใกล้สอบน่ะ เขากับไอ้เต้ กับเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะก็เคยมานั่งสุมหัวท่องหนังสือกันแบบนี้เหมือนกัน
หากพอนึกถึงเตชิตก็ต้องถอนหายใจออกมาหนักๆ เพราะพรุ่งนี้คงเลี่ยงที่จะไม่เจอหน้ากันไม่ได้แล้ว
“หิวจัดเหรอวะพี่ ถอนหายใจซะดัง พวกผมเสร็จแล้วล่ะ กลับกันเลยมะ”
“อือ”
ภูพิงค์ลุกขึ้นเรียกเพื่อนพ้อง “เฮ้ยๆ กลับได้แล้วเว้ย แดกข้าวกัน”
“มึงไปก่อนละกัน ฝากซื้อราดหน้ากับผัดซีอิ้วให้ด้วย เดี๋ยวไปกินที่บ้าน”
“เออ โอเค”
สองหนุ่มเดินออกไปจากใต้ตึกช้าๆ แล้วจึงซ้อนมอเตอร์ไซค์กันออกไป
ขิงยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองตามมอเตอร์ไซค์ไปพลางเก็บของใส่กระเป๋าเป้ไปด้วย
“แหม เดี๋ยวนี้ไอ้พิงค์แม่งก๋ากั่นว่ะ ถึงกับพาพี่หมอมาเรียนด้วยเลยเนอะ” เพื่อนคนหนึ่งในภาคเปรย “ถึงกับให้ใส่ชอป แม่งอย่างกะแฟน”
“กูบอกแล้วไงว่าพี่หมอมีปัญหานิดหน่อย สัส ไอ้พิงค์มันเลยไม่อยากให้อยู่คนเดียว พวกมึงนี่ก็เชียร์กันจัง เดี๋ยวเกิดได้กันขึ้นมาจริงๆ...”
“ก็ดีสิวะ จะได้หมดคู่แข่งหน้าตาดีๆ ไปอีกสอง นี่พวกมึงจะกลับแล้วเหรอวะ”
“เออ ขอบใจพวกมึงมากเว้ยที่ช่วยกันปิดเรื่องพี่หมอ” ดิวบอกกับเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ด้วยกันแถวนั้น
“ไม่เป็นไรเว้ย”
สามหนุ่มเก็บของเสร็จก็เดินไปยังรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้ในที่จอดมอเตอร์ไซค์ เดินไปก็พูดคุยกันไป “พี่หมอแม่งคิดว่าคนอื่นๆ จะจำตัวเองไม่ได้จริงๆ เหรอวะเนี่ย แค่เสี้ยวหน้าก็ออร่ากระจายกลบทั้งคณะซะขนาดนั้น”
“แถมตัวสูงชะลูดตูดปอด ทั้งหน้าทั้งหุ่นแบบนี้หาได้ทั่วไปซะที่ไหน”
“แต่ยืนกับไอ้พิงค์ก็ดูสมกันดีนะมึง ตัวพอๆ กัน แต่ดูแล้วโคตรแฟน”
“แล้วเวลาพวกมึงกับกูยืนกับพี่หมอล่ะ...”
สามหนุ่มหันมองหน้ากัน “มึงจะเทียบให้พวกเราดูอนาถาไปทำไมวะ ปกติก็เรื้อนอยู่แล้ว เวลายืนข้างๆ พี่หมอนี่คงกลายเป็นหมาขี้เรื้อนอะ ไม่เหมือนไอ้ห่าพิงค์หรอก”
“คิดแล้วน่าหมั่นไส้ฉิบหาย”
ขิงส่ายหน้าไปมา “กูถามจริง พวกมึงว่าไอ้พิงค์น่ะ จากที่ชอบนมโตๆ จะกลายมาเป็นชอบลูกเกดติดข้างฝาได้จริงๆ เหรอวะ กูละงง”
“แต่ถ้าเป็นกู...กูก็เอาพี่หมอนะเว้ย แม่งได้ทั้งโคตรหล่อทั้งโคตรน่ารัก เห็นพี่เขายิ้มทีไรก็ใจบางเป็นกระดาษซับมัน มองได้ไม่เบื่อเลยว่ะ กูเข้าใจเลยว่าทำไมสมัยอยู่มหาลัยถึงดังขนาดนั้น”
ซันชี้หน้าเพื่อนรักพร้อมกับคาดโทษให้เสร็จสรรพ “ถ้าไอ้พิงค์ได้ยิน มึงหัวกุดแน่ไอ้ดิว มันหวงพี่หมอของมันอย่างกับจงอางหวงไข่”
“มึงก็อย่าเอ็ดไป อยากให้กูตายทั้งยังซิงเหรอ ไอ้เหี้ย”
“ไม่ต้องห่วง ยังไงมึงได้ซิงจนตายแน่”
“เหมือนพวกมึงแหละ”
สามหนุ่มแซะกันไปแซะกันมาอยู่สักพักจึงค่อยขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านเช่ากัน
ฝ่ายภูพิงค์กับรวินท์ พวกเขามานั่งกินมื้อเย็นกันที่ร้านราดหน้านั่นล่ะ จะได้สั่งใส่ถุงทีเดียว ไม่ต้องเดินไปไหนมาไหนหลายรอบ
“พี่วินจะซื้อขนมไว้กินเล่นด้วยมั้ย วันนี้พวกผมคงอยู่อ่านหนังสือต่อจนดึกอะ”
ทันตแพทย์หนุ่มที่กำลังซดราดหน้าอยู่พยักหน้าหงึกหงัก เขาเคี้ยวๆ แล้วกลืนลงคอ “ก็ดี อยากกินขนมหวานๆ เย็นๆ”
“เป็นหมอฟันแต่กินขนมหวานๆ เย็นๆ เนี่ยนะ”
“หมอฟันก็มีปากมีกระเพาะมั้ยล่ะ”
คนอ่อนวัยกว่าเอื้อมมือไปลูบศีรษะคนที่นั่งด้วยกันพลางหัวเราะเบาๆ “เออ ครับๆ” ทั้งคู่ก็นั่งกินกันต่อไปจนเสร็จ จากนั้นจึงแวะไปซื้อขนมหวานเย็นตุนไว้ แล้วจึงขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปที่บ้านเช่า
ระหว่างที่คนอื่นๆ กินมื้อเย็นกัน รวินท์กับภูพิงค์ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทันตแพทย์หนุ่มยืมเสื้อผ้าของคนอ่อนวัยกว่าใส่ เขาไม่อยากกลับไปเอาที่คลินิก เพราะคิดว่าเตชิตน่าจะมาแล้ว
ทุกคนมานั่งอ่านหนังสือรวมกันที่ห้องนั่งเล่นเพราะมีเครื่องปรับอากาศ พวกเขาสลับกันไปอาบน้ำบ้าง ส่วนรวินท์ก็นอนเล่นไปบนโซฟา มองดูพวกเด็กหนุ่มสุมหัวอ่านหนังสือกันไปเรื่อยๆ
เวลาสามชั่วโมงผ่านไป อาหารและขนมที่ยัดลงท้องไปก็ย่อยหมดแล้ว ซันกับดิวจึงพูดขึ้น “วันนี้พี่หมอไม่โดนจับได้อะ ได้ตังค์มาสองร้อย ออกไปซื้ออะไรมากินรอบดึกกันเหอะ”
“เออ ดีๆ เดี๋ยวกูขับรถให้” แซนดี้รีบเสนอตัว
“กูไม่ไปนะ ขี้เกียจอะ” ภูพิงค์รีบพูด
สี่หนุ่มหันไปต่อว่าทางสายตา... อยากจะอยู่กับพี่หมอสองคนก็บอกตรงๆ เถอะมึง! เขามองออกกันหมดแล้วโว้ย! ตัวติดกันมาทั้งวันแล้วยังไม่สาแก่ใจอีกเหรอวะ!
“งั้นพี่หมออยู่เป็นเพื่อนไอ้พิงค์มันละกันนะ อยากกินอะไรเดี๋ยวพวกผมซื้อมาให้”
รวินท์พยักหน้า “เอาหมูสะเต๊ะละกัน”
“โอเค เดี๋ยวพวกผมมา” ทั้งสี่คนโบกมือลา ก่อนจะพากันเดินไปขึ้นรถของแซนดี้ แล้วขับออกจากบ้านเช่าไป
ภูพิงค์นั่งอยู่บนพื้นข้างหน้าโซฟา เขาใช้โต๊ะตัวเล็กตรงหน้าแทนโต๊ะญี่ปุ่นแบบเพื่อนๆ พอทุกคนออกไปก็หันไปหาคนที่นอน อยู่บนโซฟาด้านหลัง “พี่เต้น่าจะมาคลินิกเย็นนี้ใช่มะ”
“ผมก็ไม่รู้ว่ะ แต่คิดว่าใช่”
“แล้วพรุ่งนี้ล่ะ พี่คิดไว้ยังว่าจะเอาไง”
“พรุ่งนี้คงหลบหน้าไม่ได้แล้ว มือก็ไม่ได้เจ็บแล้วด้วย ผมคงต้องไปทำคลินิกเหมือนเดิม” รวินท์ทอดถอนใจ
คนอ่อนวัยกว่าใช้หลังมือไล้แก้มของทันตแพทย์หนุ่มอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องห่วงนะ ตอนเช้าผมจะไปส่ง เที่ยงผมจะไปรับมากินข้าว แล้วเย็นผมจะไปรับมานอนด้วยกันที่นี่”
รวินท์ยิ้มบาง ขณะที่มองเข้าไปในดวงตาที่ฉายแววจริงจังของเด็กหนุ่ม เขาผงกศีรษะขึ้นเล็กน้อย “ขอบใจ” จากนั้นจึง ค่อยๆ ขยับลงไปนั่งบนพื้นเคียงข้างอีกฝ่าย แล้วใช้หัวไหล่เบียดเข้าหา “พิงค์ ผมชนะพนันนะ”
ภูพิงค์หันไปสบสายตาด้วย “เออ รู้แล้ว พี่จะขอไร”
รวินท์ไม่ตอบ หากวางมือประกบลงบนหลังมือเด็กหนุ่มพลางเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหา นัยน์ตาเรียวหลุบลงมองริมฝีปากของอีกฝ่าย เข้าไปใกล้จนเขารู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเด็กหนุ่ม ก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกันก็อมยิ้มเล็กน้อย
มือที่ประกบหลังมือของคนอ่อนวัยกว่าเปลี่ยนเป็นบีบเบาๆ เขามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่หวานฉ่ำ ซึ่งปกติแล้ว เวลาที่เขาทำแบบนี้ไม่เคยมีใครปฏิเสธเขาได้หรอก
ภูพิงค์นิ่งค้างอยู่ดีๆ ในคราวแรก ทว่าพอริมฝีปากสัมผัสกันแค่เพียงแผ่วเบา เขาก็ผลักไหล่ของทันตแพทย์หนุ่มออก พลางเบือนหน้าหนี “พี่วิน คือตอนนี้ผมยังไม่...”
รวินท์นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ตกใจที่ถูกปฏิเสธจังๆ เขาพยายามเก็บเศษหน้าและเรียกสติกลับคืนสู่ร่าง จากนั้นจึงถอยกลับขึ้นไปนั่งบนโซฟาอีกครั้ง
เขาถูกปฏิเสธ ไม่อยากเชื่อก็คงต้องเชื่อ คนอย่างเขานี่ล่ะ เด็กหนุ่มทำดีกับเขาสารพัด เพียงเพราะแค่เป็นเพื่อนกันเท่านั้นจริงๆ เหรอวะ ไม่มีใจเอนเอียงมาทางเขาบ้างเลยหรือไง
หรือว่าหน้าตากับวิธีเต๊าะของเขาจะใช้ได้แต่กับผู้หญิงเท่านั้นวะ
แม่ง... อุตส่าห์ตื่นเต้น อย่างกับไม่เคยจูบมาก่อนทั้งชีวิตเลยกู
รวินท์ทำหน้าเศร้า พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เขานั่งนิ่งเป็นก้อนหิน ในใจชักนึกกลัวว่าบางทีตัวเขาอาจจะทำให้ภูพิงค์รู้สึกไม่ดี เหมือนที่เขารู้สึกกับเตชิตก็ได้ เวลาที่เพื่อน... คิดเกินคำว่าเพื่อน
เอาไงดีวะ ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนไป หรือแกล้งหลับไปเลยดี
คนอ่อนวัยกว่าชำเลืองมองทันตแพทย์หนุ่มแล้วถอนหายใจหนักๆ “ติดไว้ก่อนนะ เรื่องสัญญาอะ”
“ไม่เป็นไร ช่างเหอะ”
“ปากผมเป็นแผล พี่ก็รู้”
“อือ” ...จะแก้ตัวให้เขามีหวังไปทำไมวะ! แม่ง! เวลานี้เขาอยากจะหอบเศษหน้าหนีไปให้ไกลๆ แต่ปัญหาคือไปไหนไม่รอดน่ะสิโว้ย
ภูพิงค์ขยับขึ้นไปนั่งบนโซฟาข้างกัน เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดแก้ตัวกับทันตแพทย์หนุ่มว่าอย่างไรจึงเคลื่อนมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้
“ขึ้นมาทำไมวะ”
“อย่างอนดิวะพี่”
“ไม่ได้งอนเว้ย จู่ๆ ผมจะงอนทำไม”
เด็กหนุ่มจ้องหน้าอีกฝ่าย “พี่วิน ผมรู้นะว่าพี่จะขออะไรผม”
“อ่านหนังสือไปเหอะคุณน่ะ” รวินท์ชักสีหน้า เขาดึงมือตัวเองออก หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเอนหลังพิงพนักโซฟาไป พอกดเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเท่านั้นก็เป็นอย่างที่คิด มีข้อความจากเตชิตเรียงรายนับสิบ เขาได้แต่ทอดถอนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี
อยู่กับภูพิงค์ก็ทั้งเจ็บทั้งหน้าแหก กลับไปคลินิกก็ต้องเผชิญหน้ากับไอ้เต้ ทำไมชีวิตเขาซวยได้ถึงขนาดนี้วะเนี่ย
ขณะที่ไล่ดูข้อความบนหน้าจอโทรศัพท์ คนอ่อนวัยกว่าก็เอนตัวพิงไหล่เขา ในมือถือชีตเรียนและอ่านไปด้วย
รวินท์ชำเลืองมองอย่างไม่เข้าใจ... จะทำให้เขาคิดไปมากกว่าการเป็นเพื่อนทำไม ให้ความหวังเขาทำไม ถ้าสุดท้ายแล้วก็จะปฏิเสธเขาอยู่ดี
แม่ง...เห็นภาพตัวเองเมื่อก่อนชัดเลย กรรมตามสนองกูเร็วมาก!
“ผมขึ้นไปนอนก่อนดีกว่า”
ภูพิงค์หันหน้าไปทางคนพูด “ทำไมล่ะ พี่ไม่กินหมูสะเต๊ะละเหรอ ไอ้พวกนั้นอุตส่าห์ไปซื้อ”
“ไม่อะ รู้สึกเหนื่อยๆ”
“นอนมาตลอดเย็นยังเหนื่อยอีกเหรอวะ” เด็กหนุ่มจ้องใบหน้าบึ้งตึงของอีกฝ่ายนิ่ง เขาจะทำอย่างไรดี จะจูบก็เกรงใจแผลในปาก เขาไม่รู้ว่าวิตกจริตเกินไปหรือเปล่า แต่เมื่อเช้าบ้วนปากยังมีรสชาติแปลกๆ อยู่เลย เขาไม่อยากให้พี่วินต้องมารับรู้รสชาติแบบนี้กับจูบครั้งแรกกับเขาหรอกนะ แต่จะทำยังไงให้พี่วินหายงอนได้วะ ไอ้เขาก็ไม่เคยเรื่องพวกนี้ซะด้วยสิ
ภูพิงค์หยุดคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาทันตแพทย์หนุ่มช้าๆ
“คุณจะทำอะไร”
“พี่วินรู้มั้ย เมื่อตอนเย็นที่พี่หลับใต้ตึกคณะ ไอ้พวกในคณะมันเดินมาแซวผมเรื่องที่พาพี่มาเรียนด้วย”
“ฮะ!”
“เพราะงั้นพี่ก็ไม่ได้ชนะพนันหรอกนะ ที่พวกไอ้ซันมันบอกว่าพี่ชนะน่ะ ก็เพราะอยากให้พี่ดีใจน่ะสิ” เด็กหนุ่มอมยิ้ม
ทันตแพทย์หนุ่มคิ้วกระตุก “อ่อ แต่คุณไม่ได้อยากให้ผมดีใจใช่มะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ แต่ผมจะทวงสิทธิของผมบ้างต่างหาก”
รวินท์ถอนหายใจหนักๆ “จะขออะไร”
“หอมแก้มทีดิ”
ทันตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว แต่เด็กหนุ่มก็ใช้โอกาสนั้นจรดปลายจมูกลงมาบนแก้มเขาแล้วถอนออกอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ตัวเขารู้สึกแค่เหมือนยุงบินผ่าน จากนั้นอีกฝ่ายก็กระซิบบอก
“เดี๋ยวถ้าแผลหายดีแล้ว ค่อยทำแบบที่พี่วินอยากทำนะ”
ทันตแพทย์หนุ่มยังคงทำหน้ายุ่ง แม้ในใจจะรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย แต่เพราะส่วนหนึ่งคิดว่าภูพิงค์พูดไปอย่างนั้น เพื่อเอาใจเขา ไอ้แค่หอมแก้มกันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยสักหน่อย
การชอบใครอยู่ฝ่ายเดียวนี่... ไม่เห็นสนุกอย่างที่ขวัญบอกเลยว่ะ มีแต่เรื่องให้ผิดหวัง เจ็บๆ คันๆ อยู่ตลอดเวลา
หรือขวัญแก้แค้นเขากันวะ?
“คิดอะไรอยู่วะ อยู่กับผมยังคิดถึงคนอื่นได้อีกเหรอ”
รวินท์ชะงัก สีหน้ากับน้ำเสียงจริงจังแบบนั้นทำให้ใจเขาอ่อนยวบ แต่พออีกฝ่ายยิ้มมุมปาก เขาก็รู้ได้ว่าโดนหลอกให้ดีใจเก้ออีกแล้ว ทันตแพทย์หนุ่มจึงย้อนกลับไปเพื่อไม่ให้เสียฟอร์มมากนัก “โห เอาความมั่นใจมาจากไหนวะเนี่ย”
ภูพิงค์หัวเราะ “อยากลองพูดแบบพระเอกหนังบ้างไง เหมาะมะ”
“ไม่ว่ะ”
“พี่วินแม่งใจร้าย”
“ใครกันแน่วะที่ใจร้าย” ทันตแพทย์หนุ่มลุกขึ้นพรวด “อ่านหนังสือต่อไปเลยนะคุณน่ะ ผมไปนอนล่ะ”
“อ้าว พี่วิน เดี๋ยวดิ!”
รวินท์ไม่ฟังเสียง เขาก้าวฉับๆ ตรงไปยังบันได แล้วขึ้นไปชั้นบนทันที
คนอ่อนวัยกว่าลุกตาม เขาเดินไปหยุดอยู่ที่ตีนบันได จะตามขึ้นไปก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะยิ่งโกรธ ในเมื่อสั่งเขาเสียงแข็งให้อ่านหนังสืออยู่ข้างล่างนี่ อีกอย่างบางทีพี่วินอาจจะอยากอยู่คนเดียวก็ได้
“เอาไงดีวะ”
สุดท้ายแล้วภูพิงค์ก็ตัดสินใจไม่ตามขึ้นไป เขานั่งอ่านหนังสือไปเงียบๆ ไม่นานเพื่อนพ้องก็กลับมา พวกเขานั่งอ่านหนังสือกันต่อ ขณะเดียวกันก็กินของกินที่ซื้อมาไปด้วย ยาวไปจนถึงตีหนึ่งกว่าๆ นู่นล่ะ
“ไอ้ซัน คืนนี้กูนอนกับมึงนะ”
“ไอ้สัส จะมาเบียดกับกูเพื่อ?”
“อยากให้พี่วินนอนสบายๆ ว่ะ”
“แต่กูช่างแม่งงั้นสิ” ซันถอนหายใจหนักๆ “เออๆ ตามใจมึง”
เมื่อทั้งสองกลับขึ้นไปบนห้อง รวินท์ก็หลับไปเรียบร้อยแล้ว โดยที่ยังมีโทรศัพท์มือคาอยู่ในมือ เด็กหนุ่มจัดการหยิบผ้าห่มมาห่มให้ จากนั้นก็ถอยไปนั่งลงบนเตียงอีกเตียง
“นอนๆ เว้ย” ซันตบไหล่เพื่อนรักเบาๆ พร้อมกับเอนตัวลงนอน
ภูพิงค์พยักหน้า เขามองทันตแพทย์หนุ่มที่นอนสบายอยู่บนเตียงของตนตาละห้อย ใจจริงอยากนอนกอดพี่วินนะ แต่เห็นว่าวันนี้พี่วินนอนแบบระทดระทวยมาทั้งวันแล้ว เขาอยากให้พี่วินได้ยืดแข้งยืดขาสบายๆ
คนอ่อนวัยกว่าถอนหายใจ ก่อนจะเอนตัวลงนอนข้างเพื่อนรักที่นอนอยู่ก่อนแล้ว
รวินท์สะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้ามืด เขากังวลเรื่องเตชิตมากเสียจนเก็บไปฝัน ในความฝันนั้นอีกฝ่ายตามหาเขาและมันก็ร้องไห้ ส่วนเขาก็เอาแต่หลบไปเรื่อยๆ ทั้งที่ก็สงสารเพื่อนสุดใจ พอตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกเหนื่อยและหนักใจยิ่งกว่าตอนก่อนจะเข้านอนเสียอีก
ทันตแพทย์หนุ่มลุกขึ้นนั่ง แล้วยกมือขึ้นลูบใบหน้า จากนั้นจึงสังเกตเห็นว่าตัวเขานอนอยู่บนเตียงตามลำพัง
พิงค์ยังไม่ขึ้นมานอนเหรอวะ?
หากเมื่อมองผ่านความมืดออกไป ก็พอเห็นได้รางๆ ว่าบนเตียงอีกเตียงมีเด็กหนุ่มสองคนนอนเบียดกันอยู่
รวินท์แค่นหัวเราะ แล้วถอนหายใจออกมายาวเหยียด
*TBC*จะฟินก็ฟินไม่สุดเนอะ อย่าเพิ่งเฟี้ยงเกือกมาทางเน้~ 55555555
ช่วงนี้จิตใจพี่วินอ่อนแอ มีเรื่องถาโถมเข้ามาเยอะ ก็เพราะความผิดพลาดของตัวเองในอดีตทั้งนั้น เรื่องของเต้เพื่อนรักก็ยังไม่เคลียร์ เพราะงั้นให้เวลาพี่วินนิดนุงนะคะ
น้องพิงค์ก็โอ๋พี่เขาเยอะๆ นะลูกกกกก จะได้มีแฟนเป็นหมอฟันสักที 555555555
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่ะ ชู๊ฟๆ