Internal Love
ตอนที่ 25
They say nothing lasts forever,
We’re only here today.
“เป็นไงบ้างลูก เมื่อคืนนอนหลับดีมั้ย ทำไมตาบวมๆ” มารดาเงยหน้าขึ้นถามเมื่อเมืองแมนเดินลงบันไดมา ลูกชายหลบตา เสมองอาหารเช้าบนโต๊ะแทน
“ดีครับ ไม่ได้กลับบ้านเสียนานเลยนอนเพลินไปหน่อย” เมืองแมนนั่งประจำที่ ถามขึ้นลอยๆคล้ายไม่สนใจ “คนอื่นล่ะครับ เจ้าเมย์ทานแล้วเหรอ”
“เมย์รีบไปมหาลัยน่ะ เห็นว่ามีงานที่คณะ” แม่ของเขาตอบ ส่งจานบรรจุแซนวิชน่ากินมาให้
“อ้อ..” เมืองแมนพยักหน้า อ้ำอึ้งไปเล็กน้อย พอเห็นเเม่ไม่พูดต่อก็เม้มปาก
คุณจุไรเหลือบมองหน้าลูกชายเเล้วกลั้นหัวเราะอยู่ในใจ เจ้าลูกคนนี้ยังดื้อไม่มีเปลี่ยน เธอวางหน้าเฉยไม่ขยายความเพิ่ม อยากรู้เหมือนกันว่าลูกชายจะทำอย่างไร
“เกือบเจ็ดโมงแล้ว” เมืองแมนกินเสร็จก็พูดลอยๆ พอเห็นแม่ไม่พูดเข้าจริงๆ ก็จำต้องถามออกมา “แล้วเพลิงกัลป์ล่ะครับ ผมไม่เห็นตั้งเเต่เช้า”
“เพลิงไปส่งเจ้าเมย์ที่หน้าปากซอยน่ะ” แม่ตอบเสียงเรียบ แต่เมืองแมนอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีรอยยิ้มขำแฝงอยู่ในสีหน้าของมารดา “โกรธอะไรกันเหรอ เมื่อคืนเเม่เห็นเขามาเดินอยู่ข้างล่างตั้งนาน”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ” ลูกชายอ้อมแอ้ม หลบตาคนถาม
“แล้วไป มากันแค่สองคน มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจานะลูก อย่าใช้แต่อารมณ์” เธอพูดเนิบๆ แล้วเปลียนเรื่องอย่างนุ่มนวล “เสียงรถมาเเล้ว เพลิงน่าจะมาแล้วล่ะ”
“เขา…กินอะไรหรือยังครับ” เมืองแมนถามเร็วปรื๋อ
“ออกไปส่งเมย์ตั้งเเต่เช้า น่าจะยังไม่ทันได้กินอะไรนะ” คุณจุไรพูด แล้วหยิบกล่องใสส่งมาให้อย่างรู้ใจ เธอไม่ได้อยู่รอดูให้ลูกชายทำตัวไม่ถูกไปมากกว่าเดิม แต่กลับลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัว
“ผมไปก่อนนะครับเเม่” เสียงลูกชายดังขึ้นแว่วๆ ก่อนที่จะได้ยินเสียงรถถอยออกไปจากบ้าน
คุณจุไรถอนหายใจยาว เดินกลับออกมาจากห้องครัว แซนวิชในจานหายไปเกือบครึ่ง คงเป็นฝีมือของลูกชายหยิบไปฝากคนขับรถล่ะมั้ง
จัดการอาหารเช้าจนเสร็จเรียบร้อยเเล้ว คุณจุไรก็จัดการเก็บกวาดบ้านเหมือนทุกวัน ระหว่างนั้นก็อดนึกถึงคำพูดของชายหนุ่มรุ่นลูกเมื่อคืนไม่ได้
กรอบรูปเรียงรายอยู่บนหลังตู้ เด็กน้อยเมื่อยี่สิบปีก่อนส่งยิ้มร่ามาให้เธอ ข้างๆกันนั้นเป็นรูปสามีกำลังอุ้มลูกชายคนแรกเอาไว้ในอ้อมแขน อีกมือก็โอบไหล่ของเธอเอาไว้
“ถ้าคุณยังอยู่ จะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้นะคะ ฉันอดกลุ้มใจไม่ได้”
ไม่มีคำตอบจากรอยยิ้มของคนในรูปภาพ
....................................................................................
“เย็นนี้จะไปกินข้าวกับเพื่อน ไม่ต้องรอ” เมืองแมนพูดลอยๆ หลังจากขึ้นมานั่งเงียบอยู่บนรถมาตลอดทาง ลอบมองใบหน้าคมเข้มของคนขับก็เห็นอีกฝ่ายวางหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติมเหมือนที่เคย “น่าจะเลิกประมาณสองทุ่ม” เขาขยายความอย่างไม่ตั้งใจ
“อืม” เสียงห้าวๆรับคำราวกับเสียไม่ได้ เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่หน้าตึกคณะแพทยศาสตร์
“อาจจะเลิกเร็วกว่านั้น ไว้จะโทรหาก็เเล้วกัน” เมืองแมนพูดต่อ ครั้นเห็นอีกฝ่ายไม่มีท่าทางสนใจก็เม้มปาก กระแทกกล่องพลาสติกบรรจุอาหารที่วางไว้บนตักมาตลอดทิ้งเอาไว้ตรงคอนโซลรถก่อนจะเปิดประตูลงไป
เพลิงกัลป์มองตามหลังร่างโปร่งบางที่เดินดุ่มๆตรงไปทางอาคาร เพื่อนสองสามคนเข้ามาสบทบทักทายกับเมืองแมน ทำให้ใบหน้ารูปหัวใจจ๋อยๆบึ้งๆนั้นค่อยยิ้มออก
เพลิงกัลป์ถอนหายใจ วนรถหาที่จอดอยู่พักใหญ่ วันนี้มีบรรดาญาติพี่น้องเพื่อนของบัณฑิตแพทย์มาให้กำลังใจกันไม่น้อย บ้างก็หอบช่อดอกไม้มาแสดงความยินดี บ้างก็สะพายกล้องพะรุงพะรัง
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋ากล้องมาสะพายเอาไว้บ้าง เกือบจะลงจากรถแล้วถ้าท้องไม่ร้องประท้วงเสียก่อน เหลือบมองกล่องบรรจุอาหารที่อีกฝ่ายทิ้งเอาไว้ หึ... อยากจะแสร้งงอนต่ออยู่เหมือนกันหรอกนะแต่ว่า…
พริบตาเดียวแซนวิชในกล่องก็หมดเกลี้ยง เพลิงกัลป์เปิดประตูลงมาจากรถได้ก็เดินตรงไปทางอาคารที่เห็นเหล่าบัณฑิตไปรวมตัวกัน กวาดตามองหาครู่เดียวก็เจอร่างโปร่งบางของเมืองแมนโดดเด่นออกมาจากกลุ่มคนที่พลุกพล่าน เจ้าตัวอยู่ในชุดครุยตัวยาวเรียบร้อยแล้ว ความโคร่งใหญ่ช่วยอำพรางหน้าท้องของฝ่ายนั้นได้ดีทีเดียว
ผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างๆเมืองแมนทำท่าพยักพเยิดมาทางเขา เพลิงกัลป์จำอีกฝ่ายได้ทันทีว่าชื่อเจมส์ เพื่อนสนิทที่เคยไปเยี่ยมแมนถึงโรงพยาบาลคนนั้น เขาเห็นเมืองแมนมองมาทางเขาแวบเดียวแล้วก็หันกลับไป ศีรษะทุยส่ายไปมาคล้ายกำลังปฏิเสธอะไรสักอย่างกับเพื่อนๆ
จากนั้นเหล่าบัณฑิตก็ทยอยเข้าไปในหอประชุม เพลิงกัลป์มองหาที่นั่งรอทว่าเมืองแมนกลับเดินย้อนมาหาเขาเสียก่อน
“กลับไปก่อนเลย ไม่ต้องรอ มันหลายชั่วโมง” เมืองแมนพูด ไม่สบตาเขา
“ไม่ได้มีธุระที่ไหน” เขาตอบกลับไป รักษาน้ำเสียงให้เรียบเฉย
“กูจะไปกับเพื่อน ไม่ต้องรอหรอก”
“หมายถึงพวกเจมส์อะไรนั่นใช่มั้ย”
“ใช่” เมืองแมนอึกอักราวกับจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ไม่พูด
“ก็ได้ ถ้าไม่สบายใจล่ะก็ กูจะกลับก่อน ขากลับจะให้ไปรับที่ไหนก็บอกแล้วกัน” เพลิงกัลป์มั่นใจว่าอีกฝ่ายสามารถจับน้ำเสียงหมางเมินที่เขาใส่ลงไปอย่างจงใจได้อย่างเเน่นอน ใบหน้าอ่อนใสซีดลงนิดหนึ่ง เหลือบมองเขาสลับกับมองปลายเท้าตัวเอง
“งั้น…ก็ตามนั้น” บัณฑิตพึมพำ หมุนตัวเดินตามหลังเพื่อนเข้าไปในหอประชุม
คล้อยหลังได้ไม่กี่ก้าว เมืองแมนก็หันกลับไปมองคนตัวสูงนั้นอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายกำลังพูดคุยอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง ท่าทางคงจะเป็นญาติหรือเพื่อนของบัณฑิตที่มาร่วมงาน ใบหน้าคมมีรอยยิ้มเเต้มอยู่ราวกับเป็นคนละคนกับที่คุยกับเขาอยู่เมื่อครู่นี้
“สรุปรูมเมทมึงไปด้วยหรือเปล่า” เจมส์เอียงหน้าเข้ามาถามหลังจากเข้ามาในหอประชุมแล้ว
“ไม่หรอก”
“ว้า เสียดายจัง” เพื่อนสนิทของเขาทำท่าเสียดายจริงจัง “อยากทำความรู้จักให้มากกว่านี้เสียหน่อย”
“ทำไมต้องอยากรู้จักคนพรรค์นั้นด้วย”
“ก็มันเป็นเพื่อนมึงไม่ใช่หรอ กูก็ต้องอยากรู้จักเพื่อนของเพื่อนเป็นธรรมดา” เจมส์พูด แล้วก็ยกมือขึ้นยอมแพ้เมื่อเขาขมวดคิ้วใส่ “ก็ได้ๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่.. มีสาวๆเพื่อนเราเขาสนใจเพื่อนมึงอยู่น่ะ เลยอยากให้มาทำความรู้จักกัน”
“มันไม่ว่าง” เมืองแมนตอบ
“งั้นขอแค่เบอร์โทรเอาไว้ก็ได้ ไลน์ก็ยังดี”
“ไว้ไปขอมันเองแล้วกัน” หางเสียงของเมืองแมนสะบัดอย่างไม่ตั้งใจ
“ทำไมมึงต้องใส่อารมณ์ด้วยวะแมน เรื่องแค่นี้เอง” เจมส์หรี่ตาลง “มึงหวงเพื่อนหรอครับ”
“กูไม่ได้หวง ไม่มีความจำเป็นอะไรที่กูจะต้องหวงมัน” เมืองแมนพูดเสียงเข้ม “จะทำอะไรก็ทำ”
ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆดังมาจากอีกฝ่าย เมืองแมนยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
กว่าจะกลับออกมาจากห้องประชุมก็เกือบบ่ายสามโมง เมืองแมนกวาดตามองบรรดาญาติๆที่ยืนรอกันอยู่ข้างล่าง …ไม่มีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนรออยู่ด้วย
ใจวูบลงอย่างไม่มีเหตุผล เมืองแมนเม้มปาก ยกมือขึ้นกระพือชายเสื้อครุยเรียกลม
… พอบอกให้กลับก็กลับจริงๆ ไม่ได้เป็นห่วงกันเลยใช่มั้ย หรือว่าไปกับสาวคนไหนแล้ว…
หรือจะยังโกรธเรื่องเมื่อคืน…ไม่หรอกมั้ง
“ไปกันไอ้แมน ร้านเดิม ไอ้ป๊อกจองโต๊ะเอาไว้แล้ว” เจมส์เดินมาเกาะไหล่ “มึงไปรถกูมั้ย”
“อืม”
“เป็นอะไรไป หรือว่าไม่สบาย”
เมืองแมนสั่นศีรษะ เดินตามหลังเพื่อนสนิทไปที่รถยนต์ อาหารเย็นมื้อนั้นผ่านไปแบบไม่ค่อยรู้รสเท่าไหร่ เมืองแมนอยากจะโทษว่าเป็นเพราะความเหนื่อยเพลียจากการซ้อมรับปริญญามาทั้งวันมากกว่าเป็นเพราะเพลิงกัลป์ไม่ยอมอ่านไลน์ของเขาเสียที
“ไอ้แมนไปร้องเพลงบ้างสิ วันนี้มึงยังไม่ได้ร้องสักเพลงเลย เหล้าก็ไม่แตะ” เพื่อนๆเริ่มส่งเสียงเชียร์
“กูเจ็บคอ” แมนอ้าง
“ไม่เชื่อ” เพื่อนยัดเยียดไมค์มาให้เขาถือเอาไว้ เมืองแมนรับมาอย่างเสียไม่ได้ กดเลือกเพลงส่งๆมาหนึ่งเพลง ได้เป็นเพลงสนุกๆที่กำลังฮิต
“พอๆ ไอ้แมนปั้นข้าวเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากเลย กูเห็นแล้วกินข้าวไม่ลง” เพื่อนโบกมือ
“กูบอกแล้วว่าอย่าไปบังคับมัน” ป๊อกพูดยิ้มๆ เหลือบมองดูเวลา “ครบสองชั่วโมงแล้วมึง กลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้มีซ้อมอีกนะเว้ย”
เมืองแมนเดินตามหลังเพื่อนๆออกมาจากห้องอาหาร บ้างก็ชวนกันไปเที่ยวต่อที่อื่น เพื่อนส่วนใหญ่มีรถส่วนตัวกันทั้งนั้น เจมส์หันมามองเขาแทนคำถาม
“มึงกลับก่อนเลย” เมืองแมนพูด
“นัดไอ้เพลิงเอาไว้กี่โมง”
“สองทุ่ม”
“อ้าว… อีกตั้งครึ่งชั่วโมง” เจมส์พึมพำ “มึงโทรไปบอกเพลิงให้มาก่อนเวลาสิ
“ไม่เป็นไรหรอก” เมืองแมนส่ายหน้า
“งั้นกูจะนั่งเป็นเพื่อน” เจมส์เปิดประตูรถของตนเองแล้วกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปนั่งด้วย “นั่งรอในรถนี่เเหละ ข้างนอกยุงเยอะ”
“แล้วตกลงเรื่องมึงกับน้ำเป็นอย่างไรบ้าง” เมืองแมนถามขึ้นเบาๆ เจมส์เงียบไปครู่จนคนถามรู้สึกเสียใจที่ถามละลาบละล้วง
“ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไร”
“มึงทำใจได้แล้ว?”
“ถ้ามันทำได้ง่ายๆก็ดีนะสิ” เจมส์ถอนหายใจแผ่วเบา “กลับไปคราวนี้เค้าอาจจะประกาศหมั้นกันก็ได้มั้ง เลิกพูดเรื่องของกูเถอะ เรื่องของมึงล่ะแมน ว่าจะถามตั้งแต่ไปคราวที่แล้ว …เพลิงกัลป์กับมึงเป็นอะไรกันแน่ อย่าบอกว่าเพื่อน เพราะกูไม่เชื่อ”
“มึงจะบ้าเหรอเจมส์” เมืองแมนฝืนหัวเราะ
“กูเป็นเพื่อนมึงมากี่ปีแมน คิดว่ากูดูไม่ออกเหรอ” เจมส์พูดแกมหัวเราะ “มึงอ่ะ อาการหนักแล้ว”
“กูเนี่ยนะ” เมืองแมนชี้ที่ตัวเอง “ตลกน่า” เสียงหัวเราะของเขาฟังดูฝืดเฝื่อนชอบกล
“กูเคยมีความรักมาก่อน มองปราดเดียวกูก็รู้ ถ้าเพลิงกัลป์ไม่ได้สำคัญกับมึงจริง มึงไม่นั่งมองนาฬิกาสลับกับมองถนนทุกสองนาทีแบบนี้หรอก”
เมืองแมนหน้าแดง
“กูแค่จะรีบกลับบ้านเฉยๆ เหนื่อยจะตาย” เขาแก้ตัว
“กูคงจะเชื่ออยู่หรอก ถ้ามึงไม่ได้นั่งมองนาฬิกาตั้งแต่บ่ายสามอ่ะนะ” เพื่อนหันมาหรี่ตามองเขาอย่างจับสังเกต
“ไม่มีอะไรจริงๆ” เมืองแมนยืนยัน
“มึงจะหลอกใครก็ได้ แต่หลอกหัวใจตัวเองไม่ได้หรอกแมน เวลาไม่เคยคอยใครนะเว้ย ชีวิตคนเราสั้นนิดเดียวมึงก็รู้ จะทำอะไรก็รีบทำ คนอย่างนั้นเท่าที่ดูกูว่าเขาก็คงเป็นคนจริงคนหนึ่ง ไม่งั้นคงไม่ตามมึงลงมาถึงนี่หรอก คนอย่างมันน่าจะมีใครต่อใครล้อมรอบเยอะแยะ อย่าเสียเวลาเลยแมน อย่ากลัวที่จะรักใคร เพราะถึงสุดท้ายต่อให้ไม่สมหวัง แต่ความสุขความทรงจำที่ได้มาระหว่างนั้นมันคุ้มกับความเจ็บปวดมากนัก”
เมืองแมนนั่งเงียบ
“แบบกู...ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ กูก็จะรักน้ำจีบน้ำอยู่ดี”
รถยนต์คันหนึ่งเลี้้ยวเข้ามาภายในที่จอดรถของร้านอาหารตรงเวลาเผง เมืองแมนขยับตัว หันไปมองเพื่อนนิดหนึ่งแทนคำลาแล้วก็เปิดประตูลงไปจากรถ เจมส์มองตาม เห็นเพื่อนเปิดประตูขึ้นไปนั่งเคียงข้างคนขับ
“ไอ้แมนเอ๊ย..พอเขามาก็ตาเป็นประกายเลย ลองส่องกระจกดูหน้าตัวเองบ้างก็คงจะรู้เอง”
เมืองแมนไม่ได้ส่งกระจก เพราะตอนนี้เขากำลังนั่งแอบมองใบหน้าของคนขับรถเป็นระยะ
“.....................” หางคิ้วคมเข้มเลิกขึ้นน้อยๆแทนคำถาม เมืองแมนรีบดึงสายตากลับมาโดยเร็ว
“คุณแม่กับเมย์ทานข้าวแล้วหรือยัง” เขาถามลอยๆ
“ทานกันไปหมดแล้ว” อีกฝ่ายตอบกลับมา
“แล้ว…เข้านอนกันหมดแล้วเหรอ” เมืองแมนถามขึ้นอีก
“กลับไปถึงก็รู้เอง” เพลิงกัลป์ยังคงรักษาการถามคำตอบคำด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งไปจนถึงบ้าน เมืองแมนมองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินเข้าไปในบ้านทันทีโดยไม่หันมาสนใจกันอีกครั้งนั้น ขอบตาชักจะร้อนๆจนไม่อยากจะเข้าไปในบ้านเพื่อเผชิญหน้ากับใครตอนนี้
ชายหนุ่มเดินไปหยุดในสวนหลังบ้าน นั่งอยู่ครู่เดียวก็ทนยุงกัดไม่ไหว เลยต้องย้ายกลับเข้ามาในบ้าน ทุกคนขึ้นห้องนอนกันหมดแล้ว แม้แต่มารดาก็ไม่ได้อยู่รอเขา
เมืองแมนเปิดประตูเข้าไปในห้องของตน เจอร่างสูงใหญ่นอนตะแคงหันหลังให้อยู่ ท่าทางคล้ายหลับสนิทไปแล้ว ทั้งๆที่น่าจะเพิ่งเข้ามาในห้องได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง
“หลับแล้วเหรอ” เมืองแมนพูดกับแผ่นหลังนั้น ไม่มีเสียงตอบกลับมา
เมืองแมนเม้มปาก ขยับเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้นอีกนิด
“เมื่อเย็นกินอะไรกัน”
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ...
“กูรู้นะว่ามึงยังไม่นอน ทุกทีถ้ามึงหลับสนิทจะต้องหายใจดังกว่านี้” เมืองแมนพูด ยกมือขึ้นกอดอก “ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีๆได้มั้ย เพลิงกัลป์”
เสียงของเขาอ่อนลงนิดหนึ่งแต่คนหลับก็ยังไม่ยอมขยับ ดูท่าคราวนี้อีกฝ่ายอาจจะโกรธเขาเข้าจริงๆก็เป็นได้
ใครใช้ให้เมื่อวานหน้าเป็นนักล่ะ ...ทำยังไงดี ...
“โอ๊ย”
จู่ๆคนท้องก็ร้องอุทานออกมาเสียงดังลั่นจนคนแกล้งหลับลืมตาโพลง ลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรไป” เพลิงกัลป์จ้องมองอีกฝ่ายที่ตัวงอลง สีหน้าเหยเกราวกับกำลังเจ็บปวดเต็มประดา
“ไม่รู้ ปวดท้องจัง”
“เดี๋ยวกูเรียกรถพยาบาลก่อน” เพลิงกัลป์กระโจนลงจากเตียง ทว่ามือเล็กคว้าแขนเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ต้อง เริ่มดีขึ้นแล้ว” เมืองแมนพูดเร็วปรื๋อ “สงสัยลูกดิ้นแรงไป”
เพลิงกัลป์คงเชื่อถ้าไม่เห็นแววตาเจ้าเล่ห์แกมพออกพอใจตัวเองของเจ้าตัว ท่าทางเมืองแมนดีใจมากที่ทำให้เขาลุกจากเตียงได้สำเร็จ
“เนี่ย...ดูสิ ดิ้นใหญ่เลย” คนพูดคว้ามือเขาไปวางบนหน้าท้องกลมนูนของตัวเอง แถมยังขยับเข้ามาจนเกือบชิด “ลูกดิ้นอ่ะ สงสัยจะหิว”
ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังช้อนตากลมๆขึ้นมองเขาอีกด้วย แววตาอ่อนเชื่อมแบบนั้นทำเอาคนมองใจสั่น จากที่ตั้งใจว่าจะ 'งอน' ต่ออีกหน่อยเป็นอันต้องล้มเลิก
“อยากกินอะไร” ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่วายตวัดเสียงนิดๆพอให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไม่ได้เต็มใจนัก
ใบหน้ารูปหัวใจม่อยลงเล็กน้อย ปลายนิ้วเอื้อมมาจิ้มที่ท่อนแขนล่ำสันเบาๆ
“อะไรก็ได้….มาม่าก็ดี” ตอบอ้อมแอ้ม “เมื่อเย็นกินน้อย ลูกคงไม่อิ่มแน่ๆ”
“ลูกหรือแม่ เอาดีๆ” เพลิงกัลป์พูดแกมหัวเราะ เสียงอ่อนลงจนอีกคนใจชื้น ความกังวลที่แฝงอยู่ตั้งแต่เช้าค่อยคลายลงไปมาก
“ทั้งคู่”
“หิวก็ลงไปทำกินซิ”
“.............” เมืองแมนย่นจมูก
เพลิงกัลป์เอื้อมมือไปดึงจมูกรั้นๆนั้นเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว เห็นใบหน้าอ่อนใสเริ่มแดงจัดก็ยิ่งเอ็นดู อดใจไม่ไหวก้มลงไปหอมแก้มข้างขวาแรงๆ
คนถูกหอมตาโต แต่ก็ไม่ได้ถอยออกเหมือนทุกที เมืองแมนเพียงแต่หันหน้าหนีเท่านั้น
“ลงไปข้างล่างกัน” เพลิงกัลป์กระซิบ
ลงมาจัดการต้มมาม่าให้คนบงการที่นั่งเท้าคางมองเขาตาแป๋วอยู่ที่โต๊ะ ความจริงเพลิงกัลป์ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะมาไม้นี้
....ไม่ชินเอาเสียเลย ให้ตายสิ..
“เสร็จแล้ว”
เมืองแมนพึมพำขอบคุณก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเส้นบะหมี่เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย
เพลิงกัลป์นั่งมองอยู่ครู่หนึ่ง เห็นอีกฝ่ายสูดเส้นยังไม่ทันเข้าปากดี ก็ชะโงกเข้าไปงับเส้นบะหมี่ที่ติดมุมปากของเมืองแมน ทำเอาคนกำลังกินสะดุ้งจะผละหนี แต่ว่ามือใหญ่กลับรั้งท้ายทอยของเขาเอาไว้
ริมฝีปากคู่นั้นกลืนกินเส้นบะหมี่ที่มุมปากก่อนจะลามเลยมายังเรียวปากอ่อนนุ่ม บดเบียดดูดดื่มจนแนบสนิทเป็นเนื้อเดียว
เมืองแมนขนลุกทั่วตัว ความร้อนแผ่ซ่านจากริมฝีปากที่สัมผัสไล่ลงมาจนถึงลำคอ เพลิงกัลป์จูบเขาราวกับต้องการแกล้งให้เขาขาดอากาศหายใจตาย ปลายลิ้นเคล้าเคลียไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นอิสระ หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่าจะโลดออกมานอกอก
นานจนสมองเริ่มพร่าเบลอ บางทีมันอาจจะสัมพันธ์กับออกซิเจนที่ลดน้อยลง เมืองแมนก็ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ
“มาม่าอร่อย” คนพูดยิ้มใส่ตาของเขา ยกมือขึ้นเช็ดริมฝีปากเบาๆ
เมืองแมนเผลอค้อนเข้าเต็มๆ
ช่วยกันกินบะหมี่ในชามจนหมด เมืองแมนทำเป็นไม่เห็นสายตาแวววับของคนตรงหน้า อดคิดไม่ได้ว่าทำไมการง้ออีกฝ่ายถึงได้ดูเปลืองเนื้อเปลืองตัวนัก
เดินตามกันขึ้นบันไดไปจนถึงชั้นสอง เงาของใครคนหนึ่งยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุด
“คุณแม่…” เมืองแมนอุทาน ขยับห่างจากคนที่เดินตามหลังมาโดยอัติโนมัติทว่าคนข้างหลังกลับวางมือลงบนบ่าของเขาทั้งสองข้างแล้วบีบเบาๆ
“แมน เพลิง กลับมาแล้วเหรอ เป็นอย่างไรบ้าง ซ้อมรับปริญญาสนุกไหม”
“สนุกดีครับ คนเยอะหน่อย” เมืองแมนตอบ เบี่ยงตัวหลบมือของเพลิงกัลป์
“เพลิงไปรับมาเหรอ”
“ครับ” เมืองแมนอ้อมแอ้ม เห็นมารดาไม่ขยับตัวราวกับมีเรื่องต้องการคุยกับเขาโดยเฉพาะ
“เหนื่อยแย่เลยสิ ทั้งคู่”
“ไม่หรอกครับ//ไม่ครับ” ทั้งสองตอบพร้อมกัน
“งั้นเข้ามาช่วยแม่จัดของหน่อยสิจ้ะ ยังไม่ง่วงกันใช่มั้ย” แม่พูดยิ้มๆเหมือนถามความสมัครใจ แต่เมืองแมนรู้ดีว่านี่คือคำสั่ง