ตอนที่ ๒๕
“มึง!!” “พวกมึงทำอะไรกันวะ นี่พี่กูเอง” นฤนารถได้ยินเสียงโวยวายเลยเอะใจผละออกจากงานที่ทำอยู่แล้วเดินขึ้นมาชั้นสองพอดี กลุ่มลูกน้องที่กำลังเดินตรวจตรากำลังปรี่เข้าไปหารุ่นพี่เขา
“มึงไม่ได้บอกพี่มึงหรือว่าตรงนี้นายไม่ให้เข้ามายุ่ง” มันมองหน้าเขาแล้วชี้ไปที่ห้องด้านในสุด ห้องที่เขายังไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าใกล้ “ทำตัวน่าสงสัย ระวังตัวไว้เหอะมึง” หัวโจกชี้หน้าใส่ชลธีก่อนจะเดินหันกลับไปประจำเวรยามตามที่เดิม เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเดินเข้าไปตบไหล่รุ่นพี่
“พี่อย่าเพิ่งไปยุ่งกับพวกมันจะดีกว่า” นายตำรวจหนุ่มมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นไม่มีใครจึงพูดด้วยเสียงแผ่ว “เท่าที่ผมรู้มา อาทิตย์หน้าพวกมันจะนัดส่งของครั้งใหญ่ เราจะตามพวกมันไป” อุตส่าห์สวมรอยเข้ามาเป็นลูกน้องจนพวกมันตายใจได้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องถล่มรังของพวกมันให้ได้
“แจ้งทีมของเราให้พร้อม เราจะรวบพวกมันให้หมด” ชลธีพูดเสียงเครียด คิ้วหนาขมวดแน่นเมื่อเห็นสภาพที่แท้จริงของบ่อนกาสิโน ทั้งยาเสพติดและขบวนการค้ามนุษย์
“ส่งข่าวไปทางหน่วยด้วยแล้วกัน ผมไม่ไว้ใจพวกมันเลย” หากมีคนในเป็นสายจริงๆ พวกเขาต้องแย่แน่ เขาจะต้องกำจัดเชื้อร้ายออกไปให้เร็วที่สุด
“ได้” เขารับคำ “มึงก็ระวังตัวด้วย ไม่มีใครไว้ใจได้ทั้งนั้น”
“พี่ก็อย่าไปเผลอตัวเผลอใจให้คุณมาเรียก็แล้วกัน” นฤนารถยิ้มขำก่อนจะพูดทีเล่นทีจริง เห็นปานชีวันบอกว่าแฟนของชลธีน่ารักมาก เขาก็ชักอยากจะเห็นบ้างเหมือนกันว่าจะสักแค่ไหนกันเชียว ถึงทำให้นายทหารหนุ่มหัวหน้าทีมของเขายึดมั่นถือมั่นได้ขนาดนี้
“ไม่มีทางว้อย!”
เขาคุยกับนฤนารถได้สักครู่จนอีกฝ่ายขอตัวไปทำงานต่อ งานที่คอยบริการลูกค้า VIP ในการเข้ามาเล่นการพนันทำให้นายตำรวจหนุ่มดูจะช่ำชองเป็นพิเศษ ทำเอาลูกค้าติดใจกันเป็นทิวแถวไม่เว้นแม้แต่สาวๆชั้นสองที่มองตามกันตาละห้อย ชั้นสองดูเหมือนจะเงียบสงบมากขึ้นเมื่อบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ที่เขาเห็นเมื่อสักครู่ต่างพากันเข้าห้องไปแต่งตัวเพื่อเตรียมรับแขกในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า เขาคว้าเครื่องอัดเสียงที่เตะกระเด็นไปอีกทางขึ้นมาเก็บ เมื่อเช็คว่าเครื่องไม่มีปัญหาอะไรจึงเก็บใส่กระเป๋าตามเดิม ก่อนจะกลับเข้าห้องพักเพื่อเตรียมทำงานต่อไป เสียงตึงตังในห้องที่เขากำลังเดินผ่าน ทำให้เขาชะงักก่อนมองลอดเข้าไปในห้องที่กำลังเปิดประตูอ้ากว้าง ห้องที่ติดกันเรียงรายเหมือนเป็นที่อยู่ขนาดย่อมของบรรดาหญิงสาวที่ใช้เรือนร่างทำมาหากิน แม้จะมีเสียงอะไรลอดออกมาแต่ก็ไม่มีใครสนใจราวกับไม่ใช่เรื่องของตนเอง
“ไม่ ปล่อยหนู!”
“อีแพร ออกมานี่เดี๋ยวนี้”
“ไม่!”
“พี่ช่วยหนูด้วย!!” ชลธีเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กผมยาวประบ่าผิวขาวเหลืองกำลังสะบัดข้อมือให้หลุดออกจากการเกาะกุม หลังจากเห็นเขาอยู่หน้าประตูเธอก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าสงสาร เสียงกรีดร้องโหยหวนคร่ำครวญราวกับจะขาดใจ ภาพตรงหน้าทำเอาเขารู้สึกสะเทือนใจไม่น้อย
“คนใหม่ใช่ไหมน่ะเรา” หญิงสาวร่างบอบบางในชุดแนบเนื้อหันมามองเขา ก่อนจะกวักมือให้เขาเข้าไปใกล้ๆ “มาจัดการมันหน่อยซิ” หญิงสาวเดินเข้ามาหาเขา ไม่สนใจเด็กผู้หญิงที่ลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นเลยสักนิด “อ้อ!อย่าทำมันแรงนะ คืนนี้แขกเขาจองมันไว้แล้ว”
“คืนนี้?”
“ใช่ เดี๋ยวเราก็พามันไปส่งด้วยเลยแล้วกัน” หญิงสาวส่งกุญแจห้องให้เขาแล้วกำชับเสียงหนักแน่น “แขกคนนี้ VIP ต้องไปตรงเวลาห้ามให้เสียเด็ดขาด เดี๋ยวชั้นฉจะให้คนมาช่วยแต่งตัวให้มัน”
ปัง!!
เสียงปิดประตูดังลั่นทำเอาเด็กหญิงสะดุ้งเฮือก ดวงตากลมโตบอบช้ำแดงก่ำผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นเสมอเข่าขมุกขมอมเป็นรอยเปื้อนไปทั่ว เขาเดินเข้าไปใกล้ส่งมือเข้าไปสัมผัสร่างเล็กสั่นระริกก่อนเสียงร้องไห้ฮือจะดังขึ้นมาอีกระลอก
“ไม่ต้องร้อง พี่ไม่ทำอะไรหนู”
“ฮึก ฮือ อย่าทำหนูเลย” สองมือเล็กกระพุ่มมือไหว้เขาทั้งน้ำตา ภาพซ้อนคนรักทาบทับเข้ามาจนเขาเผลอขบกรามแน่น แค่คิดว่าหากคนที่เขารักต้องมาเผชิญสภาพแบบนี้ใจเขาคงไม่อาจทานทน “ปล่อยหนูไปเถอะนะ”
“ไม่ต้องร้องแล้ว” เขาบอกเสียงแผ่วมือหนาลูบไปที่ศีรษะเล็กก่อนที่เจ้าตัวจะเงยหน้ามองด้วยสายตาตกตะลึงเสียงสะอื้นยังคงดังออกมาไม่หยุด
“ฮึก.. ฮือ”
“พี่ไม่ทำอะไรหนูแน่นอน” เขาก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร หากเป็นลูกชายเขาคงคว้ามากอดไปแล้ว
“จริงหรือจ้ะ พี่ไม่โกหกหนูใช่ไหม”
“ไม่โกหกแน่นอน” เขาลูบหัวเด็กหญิง “แต่เราบอกพี่ได้ไหมว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“หนูไม่รู้ อยู่ดีๆก็มีคนเอาตัวหนูมา” เด็กหญิงส่ายหัว สองมือปาดน้ำมูกน้ำตามารวมกันจนเขาต้องใช้กระดาษทิชชู่ซับรอยเปื้อนทั่วใบหน้าออกให้หมด
“พ่อกับแม่หนูรู้ไหม?”
“หนูไม่มีพ่อกับแม่ หนูอยู่กับป้า” ตอบเขาเสร็จเด็กหญิงก็ทำท่าจะร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ จนเขาต้องลูบหัวลูบหลังอยู่หลายครั้ง
“ไม่ร้องนะครับคนดี”
“หนู.. จะ ฮึก ไม่ร้อง” สองมือบอบบางนั่งกอดเข่าใบหน้าซุกลงไปส่งเสียงอู้อี้ “หนูกลัว”
“หนูชื่ออะไรครับ?” เขานั่งลงข้างๆ “ไหนบอกพี่ได้ไหม?”
“ชื่อแพรค่ะ”
“อายุเท่าไหร่แล้วครับ”
“สิบสามค่ะ.. ฮึก” เด็กหญิงปาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มอีกรอบ ดวงตากลมจ้องเขาไม่วางตา “พี่จะช่วยหนูออกไปใช่ไหม”
ชลธีเจอคำถามนี้เข้าไปเขาไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไรต่อไปดีแต่ที่แน่ๆเขาจะไม่ยอมให้เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้แน่ ชายหนุ่มเอื้อมไปลูบหัวเด็กหญิงไปมาเพื่อให้หยุดร้อง เขาก็เป็นพ่อคนมีลูกชายหนึ่งคน หัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่มีลูกไม่อาจจะยอมรับสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นตรงหน้าได้ ในหัวเขาคิดแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด คว้าโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงติดต่อหารุ่นน้องที่เพิ่งแยกจากกันได้ไม่นานนัก
“ไอ้นารถ”
“มีอะไรพี่”
“กูมีเรื่องให้ช่วย” เขาเล่าสิ่งที่เขาเจอให้กับนายตำรวจหนุ่มฟัง ไม่ว่าเด็กคนนี้จะมาด้วยวิธีอะไรก็ตาม เขาจะไม่ยอมให้พวกมันทำร้ายเด็กบริสุทธิ์คนนี้แน่ นฤนารถส่งเสียงอืออาตอบรับเขาเหมือนไม่ตั้งใจฟัง คงจะอยู่ในที่ที่พูดมากไม่ได้นัก
“พี่แน่ใจนะ”
“กูจำเป็นต้องทำ”
“พี่รู้ไหมว่าข้างในนั้นไม่ได้มีแค่เด็กผู้หญิงคนนั้นคนเดียว” นายตำรวจหนุ่มเตือนรุ่นพี่ด้วยความหวังดี “ถ้าพี่ช่วยเด็กคนนี้ พี่ก็ต้องช่วยทั้งหมด” เขาเองใช่ว่าจะไม่เข้าใจ.. ไม่สมควรมีผู้บริสุทธิ์คนไหนโดนทำร้ายทั้งนั้น
“ทั้งหมดคงไม่ทัน.. แต่เด็กคนนั้นกูจะต้องไปส่งให้แขกวันนี้.. กูยอมไม่ได้นารถ” นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจพรูบีบขมับเพื่อคิดหาทางออก ข้างในมีการคุ้มกันแน่นหนากว่าที่คิดนัก ไอ้พวกที่จ้องจะเล่นงานพวกเขามันไม่ยอมปล่อยให้เขาไปยุ่งเกินหน้าที่แน่ๆ
“พี่ใจเย็นๆก่อน” เขาไม่เคยเห็นรุ่นพี่คนนี้หลุดอาการโมโหมาก่อน แม้จะเจอกับสถานการณ์ไหนก็ตาม นฤนารถไม่แน่ใจว่ามีอะไรไปสะกิดความรู้สึกในใจของผู้พันหรือเปล่า
“กูกำลังคิดอยู่”
“พี่บุกไปคนเดียวไม่ได้แน่”
“กูรู้” นายทหารหนุ่มรู้ทั้งรู้ว่ามันเสี่ยงขนาดไหนแต่เขาก็ไม่อยากปล่อยเด็กคนนี้เข้าไป “มึงติดต่อไอ้นัชให้กูที ให้มันเข้ามาที่นี่” นฤนารถแทบกุมขมับ ชลธีคงจะให้ธนัชมารับเอาเด็กผู้หญิงคนนั้นกลับไปส่งบ้าน ให้ตายเถอะ ชลธีไม่ยอมแพ้เลยจริงๆ
“ฟังผมก่อน.. ถ้าเด็กคนนั้นหายไป พี่ตายแน่” เขาย้ำอีกครั้ง “เจ๊มาเรียแล้วก็ไอ้บอสใหญ่มันไม่เอาพี่ไว้แน่”
“ไม่ลองก็ไม่รู้”
“งั้นพี่ก็โทรไปบอกลาเมียพี่ได้เลย!” นฤนารถขมวดคิ้วแน่นกดวางสายแล้วติดต่อนายทหารหนุ่มลูกน้องคนสนิทของชลธีทันที หวังว่าธนัชจะช่วยให้รุ่นพี่เขาใจเย็นลงได้บ้าง เขาคนเดียวตอนนี้ห้ามไม่อยู่แล้ว!
เวลาล่วงเลยไปเกือบสองทุ่มครึ่งเขาพยายามสำรวจตามจุดต่างๆรอบทั้งตัวตึก แต่มีคนคุ้มกันหนาแน่นและตรวจตราตลอดเวลาจนเขาแทบจะไม่มีเวลากระดิกตัวไปไหน ได้แต่คอยปลอบเด็กหญิงที่กำลังผวาอยู่ไม่หาย ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตั้งใจจะพาเด็กคนนี้หลบหนีออกไปจากขุมนรกนี้ให้ได้
“อีแพร” ทันทีที่ประตูห้องเปิดร่างสมส่วนของหญิงสองคนก็เข้ามาในห้องเด็กหญิงโผเข้ากอดเขาทันทีเขาต้องทำเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่อยๆแกะมือเด็กออกช้าๆ “เงียบแล้วก็ดี ร้องแหกปากอยู่ได้นะมึง น่ารำคาญจะตายห่า” เธอนั่งหย่อนก้นลงข้างเขา ส่วนอีกคนที่ตามมาก็มานั่งขนาบข้างเขาอีกฝั่ง
“อุ๊ย.. พี่ชื่ออะไรอะจ้ะ ไม่เคยหน้ามาก่อนเลย” หันไปมองหน้าคนที่มาช่วยแล้วก็ทำเสียงแง่งอน “พี่โบว์ไม่เห็นบอกชั้นเลยว่ามีพี่สุดหล่อคนนี้ด้วย”
“อีนี่ ทำไมกูต้องบอกมึงด้วย” หล่อนหันไปด่ากันก่อนจะเบนสายตามามองเขาหยาดเยิ้ม
“หนูชื่อกลอยนะจ้ะ พี่ล่ะ?”
“ชื่อเต็ม”
“พี่ชายพี่กิตแน่ๆเลย ชั้นเห็นเขาเม้ากันอยู่”
“อีนี่ให้มันน้อยๆหน่อย แต่งหน้าให้อิเด็กบ้านี่ได้แล้ว” หล่อนคว้าเข้าที่ไหล่เล็กของเด็กหญิง ดวงตากลมเบิกโพลงพยายามกระเถิบถอยหนีจนชิดเข้าไปมุมห้อง ก่อนจะมองหน้าเขาอย่างขอความช่วยเหลือ
“มะ.. ไม่เอา”
“น้องแพร อยู่เฉยๆก่อน” เขาเรียกให้เด็กหญิงอยู่เฉยๆให้ความร่วมมือไปก่อน แต่ดูเหมือนว่าความกลัวในใจของเด็กหญิงจะฝังแน่นลึกจนลืมอะไรที่เตรียมกันเอาไว้
“ทีพวกกูพูดจนปากจะฉีกมึงไม่เคยจะฟัง พอผู้ชายพูดนิดพูดหน่อยฟังเขาเชียวนะ” หญิงสาวคนเดิมหันมาด่าใช้นิ้วจิ้มที่หัวเด็กหญิงจนเซไปอีกทาง “ฤทธิ์เยอะนักนะมึง”
ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเด็กหญิงอยู่ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย ต่อไปเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องพาเด็กไปส่งให้กับแขกตามเวลาที่กำหนดเอาไว้คืออีกครึ่งชั่วโมง หญิงสาวส่งกุญแจห้องให้เขาและบอกทางลัดที่จะเดินออกจากชั้นนี้โดยที่ไม่มีคนเห็น
“ได้” เขามองกุญแจบนฝ่ามือ ท่องจำเลขห้องได้ขึ้นใจ “ต้องให้ไปรับกลับมาไหม”
“ไม่ต้องไปรับมันหรอก คงจะสว่างโน่นแหละ”
“เสร็จงานแล้วพี่ไปไหนหรือเปล่า ชั้นอยากจะชวนพี่ไปทานข้าวด้วยกันสักหน่อย” หญิงสาวที่ชื่อกลอยหันมายิ้มหวานให้ เขาได้แต่ส่ายหน้า
“พี่ไม่ว่างหรอก ต้องไปช่วยงานไอ้กิตต่อน่ะ”
“หูย เสียดายอะ นานๆทีจะมีผู้ชายหน้าตาหล่อๆโทนอบอุ่นมาบ้าง ที่นี่มีแต่หน้าโจรทั้งนั้น เสียลูกตาชะมัด” หล่อนบ่นเสียงอุบก่อนจะส่งสายหวานเชื่อมให้เขาอีกครั้ง
“พอเลย อิกลอยไปทำงานต่อได้แล้ว”
“โถ่ เจ๊ ขออ่อยผู้ชายหน่อยก็ไม่ได้อะ” หล่อนทำท่าสะบัดสะบิ้งก่อนจะเดินเชิดไปอีกทาง
“อย่างมึงต้องไอ้พวกข้างล่างโน่น.. ไป๊” โบว์หันมามองหน้าเขาก่อนจะเดินออกจากห้องตามกลอยไป หลังจากที่ออกไปกันจนหมดแล้ว เขาก็หันมาหาเด็กหญิงที่ขอบตาแดงก่ำทำท่าจะร้องไห้อีกรอบ สองมือขยุ้มเสื้อเขาไว้แน่น
“ฮือ.. หนูกลัว”
“ไม่ต้องกลัวพี่อยู่ตรงนี้แล้ว”
“พี่จะไม่พาหนูไปใช่ไหม”
“ฟังพี่นะแพร พี่จะพาหนูไป” ทันที่เขาพูดจบเด็กหญิงก็ถอยห่างจากเขา
"ไม่เอา.. หนูไม่ไป" เด็กสาวร้องตะโกนพยายามจะวิ่งหนีจากเขา แม้ว่าเขาจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมฟัง ได้แต่หันมาทุบมาตีเขาปากก็พร่ำพูดไม่หยุด "พี่ใจร้าย"
"ไม่เชื่อใจพี่หรือ"
"หนูกลัว.. พี่สาวคนก่อนก็พูดแบบนี้ แล้วเขาก็ไม่กลับมาหาหนูอีกเลย"
"แต่พี่ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน เชื่อใจพี่นะครับ"
"จริงนะๆ" เด็กสาวยกมือเกี่ยวก้อยสัญญาเขาจึงจูงมือพาเด็กหญิงหาทางออกจากตัวตึกไป ระหว่างทางที่เขาไปนั้นไม่มีใครผ่านมาสักคนราวกับถูกตระเตรียมไว้โดยเฉพาะ ลัดเลาะไปตามทางได้สักพัก ชายหนุ่มสังเกตสองฟากฝั่งของทางเดินเป็นทางยาวเชื่อมไปยังห้องพักบรรยากาศคล้ายโรงแรม ชลธีมองดูลาดเลาก่อนจะส่งสัญญาณให้กับลูกน้องที่ซุ่มรออยู่.. สุดท้ายนฤนารถก็ต้องตามใจหัวหน้าทีมอย่างเขาด้วยการติดต่อธนัชให้ ชลธีหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กที่เขาซ่อนเอาไว้ขึ้นมาติดต่อ
"กูจะไปรอที่ห้อง A45"
"รับทราบ"
“งานนี้อย่าชักช้านะมึง”
“ทราบ!” ตกลงกับทีมที่เตรียมพร้อมรออยู่เรียบร้อยแล้ว เขาก็จัดการทิ้งโทรศัพท์แล้วพาเด็กหญิงไปตามหมายเลขห้องที่ได้รับกุญแจมา ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นสี่ห้องอยู่ด้านในสุด เขาเคาะประตูอยู่สองสามทีก่อนจะถือวิสาสะไขกุญแจเข้าไป ความเย็นจากแอร์สะท้อนออกมาทันทีที่เปิดประตูออก ไฟในห้องมืดสลัวมีเพียงทีวีเปิดไว้เท่านั้น เขาหรี่ตามองเมื่อสังเกตว่าในห้องไม่ได้มีคนอยู่เพียงแค่คนเดียว กลิ่นเหล้าคลุ้งไปทั่วห้องดูจากสภาพแล้วคงจะมีปาร์ตี้กันมาแน่ เด็กหญิงหลบอยู่ด้านหลังเขาเกาะกุมเสื้อเขาแน่น
“มาแล้วหรือ” เมื่อเจ้าของห้องเห็นผู้มาใหม่จึงเปิดไฟให้สว่างทั่วห้อง เขาเห็นชายหนุ่มสูงวัยสวมชุดคลุมอาบน้ำ ใบหน้าที่คุ้นเคยเหมือนเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว
“ครับ.. ท่าน” ชลธีเบิกตาโพลงเมื่อชายหนุ่มสูงวัยที่เดินเข้ามาหาเขาคือ.. นายทหารชั้นสูงที่เขาเคารพยิ่งและเคยมีศักดิ์เป็นถึงพ่อตาของเขา
พ่อของเกศรา..(ต่อด้านล่าง)