vampire kiss ตอนจบ p2 27/11/60 จบแล้วย้ายด้วยจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: vampire kiss ตอนจบ p2 27/11/60 จบแล้วย้ายด้วยจ้า  (อ่าน 9604 ครั้ง)

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


...


เรื่องนี้เป็นนิยายที่เราเขียนเรื่องแรกและทิ้งไว้นานแล้ว จับมารีไรท์ใหม่หมดเลย

หวังว่าคงจะสนุกสำหรับคนอ่านน้า

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-11-2017 18:29:08 โดย Violasheep »

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่1-2 10/9/60
«ตอบ #1 เมื่อ10-09-2017 10:17:33 »

Vampire kiss

ตอนที่1

“สุดยอดไปเลยแฮะ” คามิชิโระ ฮินาตะมองดูการแสดงสดของวงดนตรีอินดี้มีชื่อ DEVIL CLAWด้วยความตื่นเต้น

 เพราะอย่างนี้ถึงจำเป็นต้องมาดูสินะ ฮินาตะถอนหายใจพลางใช้มือแหวกทางเดินออกมาจากวงล้อมผู้คนที่กำลังโยกตัวเต้นไปตามจังหวะเสียงเพลงอย่างบ้าคลั่ง ได้มาดูการแสดงสดครั้งนี้แล้วก็รับรู้ถึงความมีฝีมือของอากาสึกิ เรน นักร้องนำซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาได้เป็นอย่างดี

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถจะทนอยู่ฟังเพลงที่แสนไพเราะนี่ได้จนจบ เหตุผลนั่นก็เพราะเขาเกลียดสถานที่ที่อึดอัด และก็ไม่ชอบการถูกเบียดด้วยร่างกายของคนแปลกหน้าเอามากๆ แน่นอนว่าเขาไม่ได้รังเกียจหรือรู้สึกไปในทำนองดูถูกคนอื่น เหตุผลในเรื่องนี้สามารถอธิบายได้ด้วยชาติกำเนิดของตัวเขาเอง

ก็ใครใช้ให้เขาเกิดมาเป็นลูกครึ่งแวมไพร์แบบนี้ล่ะ ด้วยความสามารถพิเศษที่ทำให้จมูกของตัวเขารับรู้กลิ่นได้ไวกว่ามนุษย์ปกติถึง 10 เท่า ทั้งกลิ่นตัวและน้ำหอมของผู้คนรอบข้างจึงทำให้ฮินาตะรู้สึกมึนหัวไปหมด และที่สำคัญกว่านั้น เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองไปที่ดวงจันทร์

เพราะเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงหรือไงนะ คืนนี้เขาถึงได้คันเนื้อคันตัวอย่างประหลาด ใจคอเขามันวอกแวกยังไงพิกลอยู่ หรือว่าความรู้สึกกระหายเลือดในฐานะแวมไพร์ของเขาได้ตื่นขึ้นมาแล้วกันแน่

“ ไม่มีทางหรอก” ฮินาตะยังจำรสชาติการลิ้มลองเลือดของมนุษย์ในครั้งแรกได้เป็นอย่างดี รสชาติของเลือดในครั้งที่ถูกพี่ชายบังคับให้ดื่มมันน่าขยะแขยงเหลือทน กลิ่นของมันทำให้เขารู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาเสียให้ได้ นับจากนั้นเป็นต้นมาตัวเขาก็ได้สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมดื่มเลือดของมนุษย์หน้าไหนอีก โง่เง่า นั้นคือคำพูดของพี่ชายที่ใช้ด่าเขา

 “ กลับบ้านดีกว่าเรา ถ้ากลับไปนอนพักอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างก็ได้” ฮินาตะก็สาวเท้าเดินไปตามทาง

“ เฮ้ย.. จะรีบไปไหนล่ะน้องหนู” คนแปลกหน้าเอ่ยทักเขา เจ้าสองคนนั้นยืนขวางทางเดินของฮินาตะอย่างจงใจ

“ จุ จุ จะรีบไปไหนละจ๊ะ อยู่สนุกกะเราสองคนก่อนไม่ดีกว่าเหรอ” พวกมันไม่พูดเปล่ากลับเดินเข้ามาประชิดที่ตัว คนหนึ่งโอบแขนที่ไหล่ส่วนอีกคนก็ใช้มือลูบไล้มาที่ใบหน้า

“ อย่ามาทำบ้าๆนะ” ฮินาตะปัดมือของฝ่ายตรงข้ามออก การกระทำของเด็กหนุ่มทำให้พวกมันไม่พอใจ หนึ่งในนั้นตะคอกใส่เขาเต็มเสียง

“อะไรวะ ทำมาเล่นตัว เฮ้ยจับมันนอนลงกับพื้นดิวะ เด๋วข้าจะสั่งสอนไอ้เด็กนี่เอง”

“งี่เง่า” ฮินาตะอาลาวาดและฉวยโอกาสที่พวกมันไม่ทันตั้งตัวผลักพวกมันคนหนึ่งล้มลงไป

“ทำอะไรกันอยู่นะ” ฮินาตะหันมองไปตามเสียงเรียก เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปหาเจ้าของเสียงโดยไม่รอช้า

“ เรน นายมาได้จังหวะพอดีเลย เจ้าพวกนี้มันหาเรื่องฉัน” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มตวัดมองคู่กรณี เรนใช้มือกวาดร่างของฮินาตะให้หลบไปยืนข้างหลัง

“ พวกนายมีปัญหาอะไรกับเพื่อนของเราหรือเปล่า” แทนคำตอบ พวกมันพุ่งเข้าจู่โจมร่างสูงเสียอย่างนั้น

“ อวดดีใช่ใหมแก” ชายร่างท้วมหัวเราะเมื่อต่อยไปที่ท้องของเรนจนจุกได้สมใจ

“ เจ๋งไปเลยลูกพี่ ไอ้หมอนั่นมันกระจอกว่ะ” เรนรู้สึกได้ว่าถูกอะไรบางอย่างฟาดลงมา แม้จะเอามือกันไว้ได้ แต่สองรุมหนึ่งแบบนี้ ยังไงเขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยเฉพาะถ้าถูกลอบกัดตั้งแต่ต้น

“ โอ้ย” ชายหนุ่มเหลือบไปมองที่แขนของตัวเอง เสื้อหนังสีดำถูกกรีดเป็นรอยไปพร้อมๆกับกลิ่นคาวเลือด แล้วกำปั้นหนักก็กระแทกซ้ำมาที่ใบหน้าซีกขวา

“.......” เรนปาดมือเช็ดของเหลวสีแดงเข้มออกจากมุมปากนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับน้ำทะเลลึกจ้องตรงไปที่ตัวการทั้งสองชวนให้รู้สึกกดดัน

“ลูกพี่สงสัยมันจะประสาทกลับไปแล้ว” ชายร่างผอมมองอาการที่เปลี่ยนแปลงไปของเรนด้วยความหวาดระแวง

“ กลัวอะไรกับไอ้สวะนี่กันหะ ไอ้อ่อนเอ้ย” มันซัดคู่หูเบาๆ ก่อนจะตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อชายหนุ่ม กลายเป็นว่าข้อมือแข็งแรงของมันถูกยึดไว้ เพียงหมัดเดียวเท่านั้น สำหรับคนร่างใหญ่ขนาดนี้ล้มลงไปกองอย่างง่ายดาย เมื่อชายร่างผอมเห็นดังนั้นก็วิ่งหนีทันที แต่กลับโดนขัดขาไว้จนล้มลงเสียก่อน

“อา.......หัดทำหัวให้เย็นซะบ้างเถอะ” รองเท้าบูทหนังสีดำของเรนเหยียบเข้าที่กลางหลังของเจ้าคนที่บังอาจมาเล่นงานตน

“สำหรับพวกที่บังอาจทำให้ใบหน้าของฉันมีริ้วรอย” พอเรนเตะซ้ำอีกครั้งร่างนั้นก็หมดสติไป

“ ไม่เป็นไรใช่ใหม ฮินะ “ เรนฉีกยิ้มได้ทั้งๆที่มีเลือดไหลออกมาจากแขน

“ บ้าสิฉันต่างหากที่ควรจะถามนาย”  ฮินาตะเดินไปหาร่างสูง เด็กหนุ่มบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามถอดชุดหนังออกเพื่อดูความลึกของรอยแผลที่แขน

“ โห...ทำไมเลือดถึงได้ออกมาขนาดนี้นะ”

ฮินาตะแหยงนิดๆ ทว่าทันทีที่ถอดเสื้อหนังออก กลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงที่ลอยขึ้นมากระทบจมูกก็ทำให้เด็กหนุ่มตาพร่าไปด้วยความต้องการบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะอะไร

รู้สึกตัวอีกก็รับรู้เพียงว่าเลือดที่ไหลอาบแขนของคนตรงหน้ามันช่างน่าลิ้มลองและเชิญชวนเขาเสียเหลือเกิน เด็กหนุ่มใช้ปลายลิ้นไล้เลียลงไปที่ที่ปากแผลของเรนอย่างช้าๆราวกับกำลังละเลียดชิมรสขนมหวาน

“ ฮินะทำอะไรน่ะ” ดวงตาสีน้ำเงินเข้มค่อยๆ เบิกกว้างเมื่อดวงตากลมโตสีพระจันทร์ช้อนขึ้นมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกระหายก่อนจะก้มกลับลงไปลิ้มรสเลือดจากรอยแผลอีกครั้งอย่างเพลิดเพลิน

หวานจัง......นี่เขากำลังดื่มน้ำหวานอยู่หรือเปล่านะ อืม....
ยิ่งรสชาติหวานล้ำผ่านลำคอไปมากเท่าไหร่ฮินาตะก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาต้องการมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มผลักร่างของเรนให้นอนลงไปที่พื้นและขยับกายขึ้นคร่อม ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาหวานฉ่ำเว้าวอนให้กับคนที่อยู่เบื้องล่าง

“ เรน...ได้โปรด.......ฉันต้องการมากกว่านี้.....”

“ ฮินะใจเย็นก่อนสิ” เรนใช้มือตบไปที่ใบหน้าของเด็กหนุ่ม พริบตานั้นฮินาตะก็สะดุ้งผงะถอยหนีห่างจากร่างสูงไปไกล ดวงตากลมโตเหมือนแมวเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก

ทำอะไรลงไปเนี่ย นี่มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นพวกกระหายเลือดไร้สติไปแล้วอย่างนั้น ฮินาตะสามารถจดจำการกระทำอันแสนน่ากลัวเมื่อครู่ของตนได้เป็นอย่างดี

“ ฉันขอโทษ” เขากล่าวคำขอโทษอย่างห้วนๆแล้วผลุนผลันวิ่งจากไป บ้าๆๆๆแล้วอย่างนี้จะมีหน้าไปพบกับเจ้าเรนที่โรงเรียนอีกได้ยังไง หรือว่า  เขาควรจะปั้นหน้ายิ้มแย้มแล้วบอกเพื่อนสนิทของเขาไปว่าเลือดของนายอร่อยดีนะอย่างนั้นเหรอ นั้นมันบ้าเกินไปแล้ว

ฮินาตะคิดเรื่อยเปื่อยขณะที่เดินทางกลับ ในที่สุดเด็กหนุ่มก็มาถึงที่บ้าน เขาเปิดประตูเข้าไปข้างในพร้อมกับสาวเท้าวิ่งขึ้นบันได โดยที่ไม่ทันได้สังเกตุร่างบางก็ชนเข้ากับใครบางคนที่เดินสวนทางลงมา

“ รีบอะไรของนายนักหนาหืม.....”

“ ไคยะ” ฮินาตะเม้มริมฝีปากเข้าหากัน คนตรงหน้าคือพี่ชายของเขาเอง ศัตรูฟ้าประทานที่มักจะคอยสรรหาวิธีการมากลั่นแกล้งเขาอยู่เสมอ ทำไมไอ้พี่บ้านี่ถึงได้ยังอยู่บ้านได้นะ ทั้งๆที่ถ้าเป็นปกติแล้วล่ะก็เวลาแบบนี้น่าจะเป็นเวลาที่ พี่ชายจอมเจ้าเล่ห์จะใช้เวลาสนุกกับเหยื่อหน้าหวานแล้วนี่นา ให้ตายสิไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายไอ้พี่บ้านี้ก็แทบจะไม่เก็บเอามาใส่ใจให้ปวดหัวเลยสักนิด

นอกจากความเป็นแวมไพร์กระหายเลือดที่ทำให้เขารู้สึกไม่ชอบใจแล้วนิสัยของหมอนี่ก็เป็นอีกสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เขานึกรังเกียจ ด้วยใบหน้าที่งดงามไม่ว่าจะเป็นเหยื่อแบบไหนก็คงจะยอมสยบภายใต้คมเขี้ยวอันโหดร้ายของไอ้พี่จอมลามกคนนี้สินะ

“เกี่ยวอะไรกับพี่ด้วยล่ะ”

“ หืม...” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของผู้ถูกว่าลากยาว เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเหยียดยิ้มร้ายอย่างไม่ใคร่จะพึงพอใจ

“ แต่ฉันกลับคิดว่า ฉันได้กลิ่นเลือดของใครจากตัวนาย” ไคยะตั้งข้อสังเกตุ

“ อะไร นอกจากจะสติไม่ดีแล้วจมูกของพี่ก็ยังเพี้ยนตามไปด้วยแล้วหรือไง” บ้าจริงแทบไม่อยากจะคิดเลย ถ้าเกิดเจ้าพี่บ้านี่รู้ว่าเขาสติแตกไล่ดูดเลือดเพื่อนตัวเองขึ้นมาละก็ เจ้าพี่ตัวแสบจะล้อเลียนกลับมายังไงบ้างนะ

“ หึ... เจ้าเด็กดื้อ” ไคยะกระชากร่างบางเข้ามากอดรัด

“ ฉันได้กลิ่นเลือดจากปากนาย ยอมรับมาซะดีดี”

“ อย่ามาเล่นบ้าบ้านะ เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือนพี่” ไคยะแสยะยิ้มกับคำขู่ เรื่องสนุกที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับยิ้ม นั่นคือเรื่องที่เจ้าตัวเล็กนี่คิดว่าจะใช้กำลังของตัวเองเล่นงานเขาได้

เจ้าเด็กไม่รู้จักโลกเอ๊ย น่าสงสารคนเป็นพ่อแม่เหลือเกิน ไม่สิที่น่าสงสารยิ่งกว่าคือตัวเขาที่เป็นพี่ของหมอนี่สินะ ดวงตาคมกริบมองสำรวจผู้เป็นน้องอย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ ปล่อยซะทีสิ...อะ...เจ้าบ้าทำอะไรเนี่ย....” ฮินาตะโวยวายเมื่อถูกชายหนุ่มง้างปากของตนให้เปิดกว้างก่อนจะใช้ปลายลิ้นสอดเข้ามาสำรวจหารสเลือดที่อยู่ในปากของเขาอย่างจาบจ้วง

“อึก...อือ...”

 รสชาติหวานจากปลายลิ้นที่สอดแทรกสร้างความพึงพอใจให้กับฮินาตะอย่างคาดไม่ถึง ดวงตากลมโตหรี่ปรือลงด้วยความซาบซ่าน ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้รู้สึกดีมากยิ่งไปกว่านี้ ไคยะก็ถอนปลายลิ้นที่รุกเร้าพัวพันจากริมฝีปากของคนตรงหน้าเสียก่อน

“ ฮะ ฮะ มีรสเลือดอยู่จริงๆนี่ นายไปดูดเลือดคนอื่นมาอย่างที่ฉันคิด”

“ ไอ้บ้า” ฮินาตะที่ทั้งโกรธทั้งอายผลักไคยะออกไปให้พ้นทางแล้ววิ่งกลับขึ้นห้องของเขาไป

“ เฮ้.....เอาไว้ฉันจะบอกพ่อกับแม่ให้นะว่านายหายจากโรคแพ้เลือดแล้ว” ไคยะกลั้วหัวเราะขณะที่คิดไปไกลว่าค่ำคืนที่ยาวนานขนาดนี้ เจ้าน้องชายตัวดีของเขาจะทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดทั้งค่ำคืนได้เชียวหรือ

”พระจันทร์สวยขนาดนี้แท้ๆ” ชายหนุ่มยิ้มให้กับตัวเอง

“ทั้งๆที่ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความหฤหรรษ์ จะยาวนานอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโลกจริงๆ อย่างนี้จะเรียกว่าน่าอิจฉาหรือน่าสงสารดีนะ”

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่1-2 10/9/60
«ตอบ #2 เมื่อ10-09-2017 10:20:14 »

ตอนที่ 2

ภายในห้องรับประทานอาหารมืดสนิท จะมีเพียงแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านจากร่องม่านเท่านั้นที่สาดส่องเข้ามา ภายในห้องกว้างมีบุคคลสามคนกำลังรับประทานอาหารพร้อมกับกำลังปรึกษาเรื่องสำคัญกันอย่างคร่ำเคร่ง

 “จริงหรือไคยะที่ว่าน้องเริ่มจะดื่มเลือดเหมือนชาวแวมไพร์ปกติได้แล้ว” เสียงของผู้เป็นแม่ถามด้วยความตื่นเต้น ซึ่งผู้เป็นลูกชายก็ทำเพียงก้มหัวรับรองคำถามเพียงเบาๆ

 “แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะว่าการผ่าเหล่าทางสายเลือด ฮินะถึงได้เป็นแค่ เดมี่แวมไพร์ เป็นจริงอย่างที่คุณปู่ของลูกพูดเอาไว้ไม่ผิด” ชายผู้มีเสียงแหบพร่ากล่าวอย่างเคร่งเครียด

 “เดมี่ แวมไพร์ ....หึ...นั้นมันต่ำชั้นเสียยิ่งกว่าแวมไพร์กระจอกที่พวกเราสร้างขึ้นมาด้วยมือเสียอีก” ผู้เป็นลูกกล่าวเสียงเย้ยหยัน

 “อย่าบังอาจมาพูดแบบนั้นกับน้องของลูกนะ” ผู้เป็นแม่ตวาดก้องใส่หน้าลูกชาย ใบหน้าหล่อนปริ่มไปด้วยน้ำตา

 “เพราะสายเลือดมนุษย์ของแม่แท้ๆ แม่ผิดเอง....  ไคยะลูกโชคดีแค่ไหนที่เกิดมาย้อนเผ่า ถึงแม้พ่อของลูกจะเป็นเพียงแค่แวมไพร์กิ๊กก๊อก แต่ลูกกลับเกิดมาเป็นแวมไพร์ชั้นสูงและมีสายเลือดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าใครในหมู่แวมไพร์ แต่ถึงอย่างนั้นลูกก็ไม่มีสิทธิ์มาว่าน้องอย่างนี้นะ” เธอพูดเสียงสั่นเครือ

 “ใจเย็นที่รัก” เสียงแหบพร่าเอ่ยปราม

“ยังไงก็แล้วแต่ แกฟังพ่อไว้นะไคยะ ถึงแม้ว่าพ่อจะเป็นแค่แวมไพร์กิ๊กก๊อกตามที่แม่แกบอก แต่พ่อก็เป็นแวมไพร์ที่มีอายุยืนยาว และแม่ของแกที่ ดาร์คฮาร์ฟ ก็จะมีชีวิตยืนยาวเช่นกัน สำหรับเรื่องของตัวแก ....แกก็น่าจะรู้เรื่องนั้นอยู่แก่ใจ.....แต่ว่า....” ผู้เป็นพ่อกวาดตามองไล่ไปที่ภรรยาและลูกชาย

 “สำหรับ เดมี่ แวมไพร์ ถึงแม้จะมีความกระหายเลือดดั่งเช่นเผ่าพันธุ์ ทว่าอายุกลับไม่ยืนยาว เป็นแค่เพียงความผิดพลาดของเชื้อพันธุ์ในเหล่าแวมไพร์เท่านั้น”

 “ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้ฮินะกลายเป็น ดาร์คฮาร์ฟ เหมือนกับฉัน” ผู้เป็นภรรยาเสนอความเห็น

 “นั้นไม่ได้เด็ดขาด ดาร์คฮาร์ฟ คือเครื่องหมายการแต่งงานระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ เป็นพันธสัญญาชั้นสูง เรื่องอย่างนี้จะจะล้อเล่นไม่ได้ อีกอย่างแวมไพร์ที่จะคู่ควรกับลูกเราซึ่งเป็นตระกูลแวมไพร์เก่าแก่นั้นหายาก”

 “หึ....ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณพ่อไม่ลองให้เลือดเจ้าลูกชายคนดีของพ่อดูล่ะครับ หรือถ้ายังไงจะเป็นผมเองก็ไม่มีปัญหา”

 “พิธีกรรมสร้างแวมไพร์ทาสหรือจ๊ะ” ผู้เป็นแม่ถาม หล่อนตื่นเต้นจะแทบจะกระโจนเข้าไปหาลูกชายคนโต

 “นั้นก็ไม่ได้ และจะไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด” ผู้เป็นพ่อทุบโต๊ะด้วยความโกรธก่อนจะพูดต่อไปด้วยเสียงทรงอำนาจ

 “เราจะไม่ยอมให้เกิดสิ่งผิดปกติใดใดที่จะเป็นการเสื่อมเสียต่อโลกแห่งแวมไพร์อีกเด็ดขาด ที่สำคัญจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดใดกับร่างของลูกชายเราทั้งสิ้น”

 “แล้วคุณจะให้ฉันทนอัดอั้นอยู่แบบนี้ไปตลอดกาลหรือคะ” ผู้เป็นภรรยาแยกเขี้ยว เจ้าหล่อนกระโดดออกจากเก้าอี้ตัวเอง กระโจนไประดมทุบสามีของเธอด้วยมะเหงกหลายทีต่อหลายที

 “ฉันไม่ยอมนะ ฉันคงทนไม่ได้แน่ๆที่จะเห็นลูกชายสุดที่รักต้องแก่ตายไปต่อหน้าต่อตา  นี่แนะ...นี่แน้...ถ้าคุณไม่ทำอะไรสักอย่างฉันจะตีคุณไปอย่างนี้เรื่อยๆทุกวัน”

 “ใจเย็น ใจเย็นก่อนแม่ฟังพ่อก่อนสิ”

“ฉันไม่ฟัง ไม่ฟังคำพูดแก้ตัวทั้งนั้น คุณมันไม่รักลูกนี่คนใจร้ายแวมไพร์เลือดเย็น”

ไคยะมองดูภาพน่าสังเวชของผู้เป็นพ่อและแม่ด้วยความละเหี่ยใจ ถ้าจะให้เอาเรื่องของเจ้าตัวแสบมาเป็นหัวข้อสนทนาแล้วล่ะก็ ต่อให้คุยกันสามวันเรื่องก็ไม่จบ ทว่าก่อนที่เรื่องจะได้ลุกลามมากไปกว่านี้เสียงกระแทกเท้าวิ่งลงบันไดทำให้ทั้งสามคนในห้องรู้สึกตื่นตัว เจ้าเด็กตัวแสบคงจะตื่นขึ้นมาแล้วสินะ

 “สว่าง  สว่าง ฮินะไม่ชอบที่มืด” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างร้อนรน เธอละจากการทุบตีสามีแล้วรีบวิ่งไปเปิดผ้าม่าน  เมื่อผ้าม่านเปิดออกแสงสว่างยามรุ่งอรุณก็ส่องสว่างไปทั่วห้องเป็นเวลาเดียวกับที่ลูกชายสุดที่รักของเธอเปิดเข้ามาพอดิบพอดี

 “อรุณสวัสดิ์.... . .อ๊ะ...ทำไมอยู่พร้อมหน้ากันจัง” เด็กหนุ่มหวาดระแวง เขากวาดตามองไปที่ทุกคนบนโต๊ะอาหาร
 นับเป็นเรื่องน่าแปลกใจในสายตาของฮินาตะมากเมื่อเทียบกับเช้าวันก่อนๆที่ผ่านมา เริ่มจากเจ้าพี่ชายบ้าหมอนี่ถ้าไม่นอนหลับก็จะไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยเขาแทบจะไม่เจอหน้าเลยทั้งวัน ส่วนคุณพ่อยามเช้าคือเวลาหลับอันแสนสงบสุข  แต่ทำไมวันนี้ถึงได้อยู่พร้อมหน้ากันแต่เช้าได้นะฮินาตะค่อยๆลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ว่างในขณะที่ผู้เป็นแม่เริ่มวางอาหารหลายชนิดลงตรงหน้า

“กินให้เยอะๆนะจ๊ะลูกรัก แล้วคืนพรุ่งนี้ค่อยฉลองกัน”

 “ฉลองอะไรกัน”  ฮินาตะงงไปหมด เขายังไม่เข้าใจว่าเช้านี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 “ฉลองที่ลูกดื่มเลือดคนได้เป็นครั้งแรกไงล่ะลูกรัก” คนเป็นพ่อตอบคำถามแทน

 “.เอ๋....” นึกว่าเรื่องอะไร   เด็กหนุ่มตวัดตามองค้อนไปที่คนเป็นพี่ชาย ซึ่งฝ่ายนั้นทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ใส่

 “ที่นี้เราก็ทำพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่แบบชาวแวมไพร์ได้แล้วนะคะ แฮร์โรล” ผู้เป็นแม่หันไปหอมแก้มของสามีอย่างรักใคร่
 
“ใช่แล้วล่ะจ๊ะ มินาโกะที่รัก....ว่าไงเชิญพวกญาติๆมาให้ครบทุกคนเลยดีมั้ยฮินาตะ”

 “อย่าดีกว่า”เด็กหนุ่มพูดห้วน พร้อมตักอาหารใส่ปากอย่างกระแทกกระทั้น

“ญาติๆของพ่อแต่ละคนประหลาดทั้งนั้น ผมสงสัยว่าญาติฝั่งแม่ไม่มีบ้างรึไง”

 "ก็แม่มีแต่ ตากับยายนี่จ๊ะ แม่เป็นลูกคนเดียวด้วย” มินาโกะตัวสั่น มือของเธอที่ประสานเข้ากันสั่นเทาอย่างมาก
ดวงตาคู่สวยนั้นปริ่มไปด้วยหยาดน้ำ อาการอย่างนี้เดาได้อย่างเดียวว่าเธอกำลังคิดจะร้องไห้ แต่ลูกชายคนเล็กกลับไม่สนใจ

 “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าจัดเลยดีกว่า ไม่เห็นจำเป็นตรงไหน อายเขาเปล่าๆ" ฮินาตะกล่าวสรุป

“ให้มันน้อยๆหน่อยทุกคนเขาเอ็นดูนายกันหรอกนะ คุณแม่ครับถ้าเจ้าตัวเขาไม่ชอบก็อย่าจัด ....อันที่จริง.....”
ไคยะแสยะยิ้มเยาะส่งกลับไปให้ฮินาตะซึ่งจ้องเขม่นมาอย่างอาฆาต
 
“เด็กชาวแวมไพร์อื่นที่เป็นปกติไม่เหมือนนายเขาเริ่มดื่มเลือดของคนเป็นแม่ตั้งแต่ 3ขวบตามสัญชาติญาณแต่ว่าหมอนี่กลับ....จริงๆนะครับมาจัดเอาตอนนี้ก็อายพวกญาติๆเราเปล่าๆ”

 “ใช่สิ ก็ผมมันผิดปกตินี่” ฮินาตะโยนช้อนใส่จานข้าวด้วยลุแก่โทสะ

“ผมอิ่มแล้ว จะไปโรงเรียน” ร่างบางคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งออกจากบ้านไป
 ทำไงดี

ฮินาตะยืนตีหน้ายุ่งอยู่หน้าประตูโรงเรียน เพราะเรื่องวุ่นวายเมื่อเช้าแท้ๆทำให้เขาลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานไปเสียสนิท ก็ไอ้ที่เขาเสียสติจนดูดเลือดของเรนเข้าไป ทั้งๆที่คิดว่าจะโดดเรียนหลบหน้าเจ้าเรนไปสักพัก

 “เพราะเจ้าพี่บ้าคนเดียว” ฮินาตะขบเขี้ยวสบถสาปชายหนุ่ม

 “คอยดูเถอะสักวันหนึ่ง...ฉันจะแกล้งให้หมอนั้นขาดเลือดจนตายให้ได้ อืม....จะแกล้งยังไงดีนะ” ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังคิดแผนชั่วร้ายเสียงเรียกของใครบางคนที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

 “ฮินะ” ไม่ทันตั้งตัวก็ถูกสวมกอดจากเจ้าของเสียง

 “เรน.....เอ่อ.....อะ...” ทำไงดี เขาไม่อยากหน้าเจ้าหมอนี่ตอนนี้เลย

 “ฉันเป็นห่วงนายมากนะ เรื่องเมื่อวานน่ะ” เรนตั้งใจจะถามต่อแต่ถูกร่างบางใช้มือปิดปากสกัดกั้นคำพูดเอาไว้ก่อน

 “อย่าพูดออกมาตรงนี้นะ”ฮินาตะแผดเสียง

 “เฮ้ย...สวีตกันแต่เช้าเลยนะพวกนาย....”

“รักกันดีจริง ไอ้เพื่อนสมัยเด็กคู่นี้”

 “ยุ่งอะไรกับพวกนายด้วยล่ะ”เด็กหนุ่มหันไปตะคอกเจ้าของเสียงแซวที่ดังมาจากรอบข้าง เขาลากเพื่อนสนิทไปอีกทาง

 “ถ้าเป็นที่นี่คงสะดวกสินะ” ฮินาตะมองซ้ายมองขวาทั้งคู่ยืนอยู่ระหว่างซอกตึกชั้นเรียนที่ไม่ค่อยมีคนสนใจจะเดินผ่านมาสักเท่าไหร่

 “ฮินะ เรื่องเมื่อวานน่ะ” เรนเริ่มเปิดฉากสนทนาก่อน

“อย่าพูดนะ” ฮินาตะเริ่มลนลาน

 “คือ....ว่า”

 "ก็บอกว่าอย่าพูดไง เดี๋ยวฉันจะเป็นฝ่ายอธิบายให้เองได้ยินไหมล่ะ” เด็กหนุ่มเริ่มโวยวายอย่างคนเสียสติ ทว่าฝ่ายตรงข้ามดันโผเข้ามากอดเขาแน่นพร้อมกับใช้มือลูบหัวอย่างปลอบโยน

 อะ..  อะไรกันหว่า สับสนงุนงงไปหมด ฮินาตะไม่เข้าใจปฏิกิริยาของเรนเลยซักนิด

 “ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ ฉันไม่เอาไปบอกใครแน่ เรื่องที่นายถูกเจ้าอันธพาลพวกนั้นมอมยา”

 “อะไรนะ” ฮินาตะผลักเรนออกจากตัว

“นายว่าใครมอมยาใคร”

 “อ้าวก็นายไง” เรนดูงุนงง เขาเริ่มสับสนในท่าทีแปลกๆ ของเพื่อนสนิท นี่คนน่ารักตรงหน้ายังมึนยาไม่หายสินะ

 “ก็เมื่อคืนฮินะถูกมอมยามาสินะ ถึงได้มีพฤติกรรมประหลาดๆอย่างที่คิดจะดูดเลือดเราขึ้นมา....ยาหลอนประสาทน่ะฮินะไม่ต้องกังวลหรอก”

 “เอ๋...เออ.....” หรือว่าหมอนี่กำลังเข้าใจผิด

 “นี่ฮินะไม่ต้องกังวลนะ แล้วคราวหน้าก็ไม่ต้องไปดูการแสดงเพลงของเราแล้วก็ได้.......อืม...ฮินะน่ะน่ารักถ้าไปเจอพวกอันธพาลพวกนั้นอีกก็คงจะสู้พวกนั้นไม่ได้ใช่ใหมล่ะอันตรายออก” เรนใช้มือลูบเบาๆไปที่ใบหน้าของฮินาตะ ทว่าคำพูดเจาะจงประมานว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ ดูจะไม่ค่อยเข้าหูเสียเท่าไหร่ ฮินาตะจึงสะบัดหน้าหนีออกจากการลูบไล้ของฝ่ายนั้น

“ ใครบอกว่าฉันอ่อนแอกันล่ะ”

“ แต่ก็ไม่ค่อยมีแรงใช่ใหม” เรนฉีกยิ้มกว้างแล้วคว้าเอามือของฮินาตะจูงเดินไปตามทางด้วยกัน

“ ไปกันเถอะเดี๋ยวได้เวลาโฮมรูมแล้ว”

“ อา...อืม...”  ช่วยไม่ได้แฮะ ก็ยังดีกว่าถูกหมอนี่ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นนั่นล่ะ ยิ่งไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไงอยู่ด้วย อืม....โชคดีแล้วเรา เด็กหนุ่มเดินตามเรนไปด้วยอารมณ์ที่ดีกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

 ทำไมกลิ่นมันถึงได้แรงอย่างนี้นะ

 ฮินาตะมองดูแกงกระหรี่ของโปรดตรงหน้าด้วยความรู้สึกพะอืดพะอม เด็กหนุ่มใช้ช้อนเขี่ยอาหารไปมาก่อนจะตัดสินใจส่งเข้าปาก ทว่าทันทีที่แกงกระหรี่สัมผัสกับปลายลิ้น ความรู้สึกขมเฝื่อนก็แพร่กระจายไปทั่ว ความร้ายกาจของรสชาติและกลิ่นที่รุนแรงทำให้ไม่สามารถที่จะตักกินคำต่อไปได้อีก

 ทั้งทั้งที่มันเคยเป็นของชอบของเขาแท้ๆ ดวงตากลมโตเหม่อมองไปรอบข้าง วันนี้จมูกของเขาก็ยังมีความสามารถในการรับรู้กลิ่นได้ไวเหมือนเดิมเพียงแต่รู้สึกว่ามันแปลกไปมากกว่าทุกวัน

ยกตัวอย่างเช่น ไอบะ ฮินาตะปลายตามองไปที่ร่างอ้อนแอ้นซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลจากตัว ถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็แค่เดินเฉียดยัยนี่เขาก็ยังไม่อยากจะทำ เพราะกลิ่นน้ำหอมที่แม่คุณตะโบมใส่มาทุกวันนี่ล่ะ แต่ทำไมกันนะวันนี้พอเขามองไปที่ยัยนี่กลับรู้สึกวูบวาบๆชอบกล เด็กหนุ่มมองไปที่ต้นคอขาวเนียนของฝ่ายนั้น

 ขาวดีจังแฮะ.....น่ากัด.......

 “ อา....คิดบ้าอะไรของเราอยู่นะเนี่ย” ฮินาตะสะบัดศีรษะไปมา ดวงตากลมโตเสมองไปทางอื่นก็ปะกับเจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดนักกีฬาที่กำลังเดินผ่านหน้าไป

อืม.....นักกีฬาประจำโรงเรียนหมอนี่แข็งแรงมาก....ท่าทางเลือดจะเยอะ...

 “อะ...อา...” เด็กหนุ่มร้องคราง เขาเอามือขยี้ไปที่หัวตัวเองแรงๆอย่างไม่ค่อยจะชอบใจ

นี่เขาเริ่มเพี้ยนมากขึ้นไปทุกที แทนที่จะอยากกินแกงกระหรี่ของโปรดกลับเห็นผู้คนที่เดินอยู่รอบข้างกลายเป็นอาหารไปเสียนี่ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ

" ฮือ....ให้ตายสิหิวก็หิว....แต่ว่า.." เด็กหนุ่มมองลงไปที่แกงกระหรี่แล้วปลายตามองไปที่คนรอบตัวอย่างอ่อนล้า

“ ช่วยไม่ได้แฮะต้องอดทน”

 เมื่อไหร่จะถึงบ้านน้อ.....

ฮินาตะลากขาเดินไปตามทางด้วยความท้อแท้โดยมีเรนตามติดมาด้วยตลอดทางเป็นเงา อันที่จริงฝ่ายนั้นไม่ค่อยจะมีเวลามาส่งเขาในตอนเย็นเพราะจำเป็นจะต้องไปซ้อมดนตรีกับเพื่อนที่วง

 แต่ว่าวันนี้ร่างสูงกลับทิ้งการซ้อมดนตรีเดินกลับบ้านเป็นเพื่อนเขา รู้สึกซาบซึ้งยังไงก็ไม่รู้นะ ดวงตากลมโตช้อนมองคนข้างตัวที่กำลังพูดเรื่อยเปื่อยให้เขาฟังไม่หยุด จริงๆเวลานี้อยากอยู่คนเดียวมากกว่าและกำลังหิวมาก
 
 นับจากอาหารเช้าที่บ้านแล้วไม่ว่าเขาจะพยายามซื้ออะไรมากินเองซักเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกอิ่มซักที แถมกลิ่นของอาหารบางชนิดก็ทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนมากเกินกว่าที่จะทานลงไปได้ ในทางกลับกันกลิ่นเลือดจางๆที่โฉยออกมาจากแผลที่แขนของเรนกลับดึงดูดความอยากอาหารของเขาได้อย่างชะงัด จะทนไมไหวอยู่แล้วน้อ...........

 “ ฮินะเป็นอะไรมากหรือเปล่า”  เรนเอ่ยปากถามเมื่อสังเกตเห็นใบหน้าของร่างบางดูซีดเซียวลงไปทุกที

“ ก็ไม่เป็นไรนี่”

“ จริงๆนะฮินะ  หน้าของฮินะซีดเซียวอย่างกับคนขาดเลือด”   เรนใช้มือของเขาดึงแขนให้ฮินาตะหยุดเดิน

 “ อือ....ก็ไม่เป็นไรนี่...แทนที่จะมาห่วงฉันนายห่วงแผลของตัวเองก่อนเถอะ วุ่นวายจริงๆเลย”   

ฮินาตะดุเรนด้วยเสียงที่แผ่วหวิว โดยที่คิดว่าฝ่ายตรงข้ามคงจะเลิกเซ้าซี้  แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ร่างสูงรั้งตัวเด็กหนุ่มเข้าไปโอบกอดพร้อมกับใช้ฝ่ามือทาบลงมาบนหน้าผาก

 “ ตัวก็ไม่ร้อนเนอะ”  เรนพึมพำ ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าเพื่อนสนิทของเขากำลังรู้สึกทรมาณมากแค่ไหน

“ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไร”  เสียงฮินาตะกล่าวเสียงแข็ง เขาอยากจะบีบคอหมอนี่ให้ตายคามือไปเลย
 ไม่สิ.....อันที่จริง...เด็กหนุ่มจ้องเขม็งไปที่ลำคอขาวของร่างสูง จะทนไม่ไหวอยู่แล้วนะ อยากกินๆๆๆ ถ้ายังไม่ปล่อยตัวเขาเดี๋ยวนี้ล่ะก็ เขาไม่รับประกันแน่ๆว่าจะทำอะไรลงไปบ้าง โอย..ตาลายไปหมดแล้ว................

โดยที่ไม่รู้ตัว เด็กหนุ่มก็โน้มริมฝีปากลงบนต้นคอของร่างสูง แต่ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากงับ ที่หลังคอก็รู้สึกว่ามีมือของใครจับแล้วกระชากให้ออกห่างจากเรน

 “...”

“ ทั้งสะเพร่าและไม่ระมัดระวังเลยนะ”

ออฟไลน์ P_Methayot

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-0
Re: vampire kiss บทที่1-2 10/9/60
«ตอบ #3 เมื่อ10-09-2017 18:08:51 »

 :กอด1: :pig4: :pig2:

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
Re: vampire kiss บทที่1-2 10/9/60
«ตอบ #4 เมื่อ10-09-2017 22:38:50 »

 :mc4:

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่3 11/9/60
«ตอบ #5 เมื่อ11-09-2017 08:28:33 »

บทที่3

“ทั้งสะเพร่าทั้งไม่ระมัดระวังเลยนะ” เจ้าของเสียงกล่าวเย้ยหยัน

“คุณไคยะ”

“ไม่เจอกันนานเลยนะ อากาสึกิ” เรนก้มหัวให้กับชายหนุ่ม ดวงตาสีน้ำเงินเข้มปลายมองไปที่ฮินาตะด้วยความเป็นห่วงชั่วครู่ก่อนจะหันเหความสนใจกลับมายังไคยะ
 
นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้เจอคนคนนี้ นับตั้งแต่เมื่อ7ปีก่อนการหายตัวไปของไคยะนำมาซึ่งความสนิทสนมที่ฮินะมีให้แก่เขา ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเขาได้แต่ยืนมองคนทั้งคู่ยิ้มแย้มให้แก่กัน เรนขมวดคิ้วเข้าหากันทั้งที่คิดว่าควรจะเลิกอิจฉาคนคนนี้ไปได้แล้วแท้ๆ

 “ปล่อยเสียทีสิ” เสียงแว้ดๆเรียกสติของเขาให้กลับมาอีกครั้ง ที่เบื้องหน้าฮินาตะกำลังอาละวาดแยกเขี้ยวใส่ไคยะซึ่งยืนมองน้องชายนิ่งๆด้วยท่าทีสบอารมณ์

“ทำบ้าอะไรของพี่”

“ฉันก็แค่ช่วยหยุดนายก่อนที่จะทำเรื่องหน้าอายให้อากาสึกิได้ดูนะสิ” ไคยะยิ้มเย้า

“นี่แอบดูอยู่ตั้งแต่ต้น”

“ หึ ก็แค่เฝ้าดูไม่ให้นายก่อเรื่องเดือดร้อน ยังไงก็แล้วแต่” ดวงตาคมกริบปลายมองไปที่เรน

“ฉันคงต้องขอตัวเจ้าเด็กตัวแสบนี่กลับไปก่อนนะอากาสึกิ”

 “แต่ฉันยังไม่อยากกลับ”  ไคยะฉุดฮินาตะที่เริ่มโวยวายให้มายืนเคียงข้างแล้วกระซิบข้างหูเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“ไม่อยากรู้วิธีแก้ไขสภาพน่าสมเพชของตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้แล้วหรือไง” ชายหนุ่มพูดเพียงแค่นั้นแต่ก็มากเกินพอที่จะกระตุ้นให้เด็กหนุ่มทำตามอย่างที่สั่ง ฮินาตะหันไปกล่าวคำอำลากับเรนด้วยใบหน้าที่กระตือรือร้น

“ฉันกลับก่อนนะเรน”
 
ที่ห้องนอน ฮินาตะถอดกระเป๋าและเสื้อนอกออกโยนทิ้งไว้ที่ข้างเตียง ดวงตากลมโตตวัดมองไคยะที่ลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานก่อนจะตัดสินใจนั่งลงบนเตียง

 “มีอะไรก็รีบๆพูดเข้าสิ”

“หือ…” คิ้วเรียวบนใบหน้างดงามเลิกขึ้นให้กับวิธีการพูดที่แสนอวดดี

“ หึ  อวดดีเหลือเกินนะ  ฉันจะบอกอะไรให้ว่าวิธีแก้น่ะ มันไม่มีหรอก”

“ว่าอะไรนะ”

“ก็แล้วเมื่อครู่ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรือไงเจ้าเด็กประหลาด อย่าให้ฉันคนนี้ต้องพูดซ้ำเป็นครั้งที่สองสิ”

 ฮินาตะขึงตาใส่ชายหนุ่มที่กำลังยิ้มเยาะ ถ้ารู้ว่าจะได้คำตอบแบบนี้ล่ะก็สู้เขางับคอเจ้าเรนซะตรงนั้นเลยจะไม่ดีกว่าหรือไง
ยิ่งคิดเด็กหนุ่มก็ยิ่งโมโห พอรู้สึกโกรธความหิวโหยที่มีผลมาจากการอดอาหารเมื่อตอนกลางวันก็ยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว อันที่จริงความอดทนของเขามันก็สิ้นสุดมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ตามลำพังกับเจ้าเรนเมื่อครู่นี้แล้วทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วนะ หรือว่าเขาจะต้องขาดเลือดตายไปทั้งอย่างนี้ ฮินาตะทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงด้วยความสิ้นหวัง เขาไม่น่าหลงเชื่อคำโกหกของเจ้าพี่บ้าเลย

“เป็นอะไรไปล่ะ”

ไคยะเหยียดยิ้มให้กับท่าทางหมดอาลัยของฮินาตะ ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปนั่งลงที่เตียง ใช้มือลูบไล้ไปที่เส้นผมอ่อนนุ่มด้วยความเอ็นดู ไม่มีแม้ปฏิกริยาตอบรับเวลานี้ฮินาตะนอนหลับตาพริ้มปล่อยให้ไคยะใช้มือลูบหัวไปมาอย่างว่าง่าย ทั้งทั้งที่ถ้าตามปกติแล้วร่างบางคงจะอาละวาดด้วยความไม่พอใจแน่นอนที่ถูกชายหนุ่มทำกับเขาเหมือนเด็กที่ยังไม่โต 

“เจ้าเด็กเอาแต่ใจ” ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นร่างบางว่าง่ายกว่าที่คาดก็ทำให้เขาอดนึกถึงเรื่องน่ารักๆของเด็กหนุ่มเมื่อสมัยที่ยังเป็นเด็กไม่ได้

 “มันจะต่างกันตรงไหนล่ะ มนุษย์ก็กินอาหารของมนุษย์แล้วแวมไพร์อย่างเราล่ะจะเช้าหรือเย็นก็ต้องกิน” ไคยะกระซิบแผ่ว

“เพียงแต่ว่าจะกินอะไรก็เท่านั้น ก็แค่เลือดของสิ่งมีชีวิตที่มีอยู่ดาษดื่น” ดวงตากลมโตเบิกโพลงกับคำพูดของชายหนุ่ม ร่างบางเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น  อันที่จริงสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มหวาดกลัวการดื่มเลือดย่อมไม่ใช่เหตุผลในแง่ของมนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน

 ยังไงก็ตาม ถ้าสำหรับแวมไพร์การดูดเลือดมนุษย์เป็นเรื่องธรรมดาแล้วเขาที่ดูดเลือดมนุษย์ไม่ได้ล่ะถึงแม้ว่าเขาในตอนนี้จะมีความกระหายเลือดอย่างชาวแวมไพร์แล้วก็เถอะแต่คนอย่างเขาก็เป็นได้แค่ตัวครึ่งๆกลางกลางอยู่ดี
เขาเป็นได้แค่ตัวประหลาดที่อยู่ท่ามกลางสังคม ในทางกลับกันถ้าเกิดว่าเขาในตอนนี้ยังคงดูดเลือดไม่ได้แล้วล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ยังสามารถหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางมนุษย์ที่ปกติแบบนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ

ทว่า….มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วสินะ ขณะที่กำลังครุ่นคิดหยาดน้ำใสก็เอ่อล้นไปทั่วดวงตาโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจ ทั้งๆที่คิดว่าจะเลิกสนใจปมด้อยตรงนี้ไปได้แล้วแท้ๆเชียว

 “อะไร...นี่ร้องไห้เพราะโมโหหิว...”

 ไคยะกล่าวอย่างขบขันก่อนจะจูบซับน้ำตาให้ฮินาตะ ดวงตาคมกวาดมองทั่วใบหน้าเนียนอย่างพิจารณาแล้วก็รู้สึกใจหาย เจ้าเด็กจอมโวยวายซีดเซียวลงไปได้ถึงขนาดนี้ โดยไม่รอช้าชายหนุ่มขบเขี้ยวลงบนปลายลิ้นของตนแล้วประทับจูบป้อนเลือดที่ไหลจากรอยแผลผ่านทางริมฝีปากให้กับเด็กหนุ่ม

“อึก…..อือ…”

 รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก ความวาบหวามของรสเลือดทำให้ความคิดที่จะต่อต้านของร่างบางค่อยๆหมดลง รสซาบซ่านที่มอบความมึนเมาส่งผลให้ฮินาตะลืมเลือนความเศร้าและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะตวัดปลายลิ้นเกี่ยวรัดดื่มดำรสเลือดจากปากผู้เป็นพี่ชายด้วยความหิวกระหาย ไคยะค่อยๆถอนริมฝีปากจากเด็กหนุ่มอย่างเชื่องช้า

“คงจะเพียงพอแล้วสินะ” ไคยะยิ้มน้อยๆให้ฮินาตะที่นอนหมดแรงบนเตียง ดวงตากลมโตปรือปรอยเคลิ้มฝันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ากำลังจะหลับ ชายหนุ่มลุกจากเตียงแล้วก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่ที่ประตู

“จริงสิลืมบอกนายไป  พ่อกับแม่ไปเยี่ยมญาติคงอีกนานกว่าจะกลับ มันเป็นความผิดของนายนะที่ไม่ยอมให้จัดงานฉลอง  แล้วก็…อากาสึกิ จะว่ายังไงดีนะ….”  ไคยะเว้นทำหน้าเจ้าเล่ห์

“ยิ่งเป็นมนุษย์ที่มีใจปฏิพัทธ์ต่อเรามากเท่าไหร่ รสเลือดก็จะยิ่งหอมหวานดึงดูดเรามากเท่านั้น หึ…นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้นายขาดความยับยั้งชั่งใจก็ได้ใครจะรู้” ชายหนุ่มพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากห้องไป

 “เบื่อจัง”

 ฮินาตะพึมพำขณะเหม่อมองออกไปข้างนอกกระจก เวลานี้เด็กหนุ่มนั่งอยู่ในร้านอาหารซึ่งเป็นที่นิยมมากเป็นพิเศษในหมู่เด็กสาว ที่รอบๆตัวเขาคราคร่ำไปด้วยกลุ่มเด็กสาวที่นั่งรับประทานอาหารพร้อมกับส่งสายตามองมาที่ตนกับเพื่อนสนิทด้วยความสนอกสนใจ

อันที่จริงเขาไม่อยากมาที่นี่เลยซักนิด ฮินาตะมองไปรอบๆ  ถ้าไม่เพราะเรนชวนเขาออกมาล่ะก็ เขาจะไม่ยอมเข้ามาในสถานที่ที่มีแต่เด็กผู้หญิงอย่างเด็ดขาด ก็มันน่าอายไม่ใช่หรือไงแต่ก็นั่นล่ะยังไงก็ดีกว่าต้องเก็บตัวอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครอยู่เลยตามลำพัง

 ฮินาตะลอบถอนหายใจขณะปลายดูไปยังร่างสูงที่ตกเป็นเป้าสายตาของหญิงสาวรอบตัว สองวันแล้วสินะที่เขาไม่มีความคิดที่อยากจะดื่มเลือด ในเวลานี้ต่อให้เขาจ้องมองเรนมากแค่ไหนความรู้สึกกระหายเลือดอย่างชาวแวมไพร์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว

 ไม่สิ ไม่เฉพาะกับเจ้าเรนเท่านั้น เขาแทบไม่รู้สึกอะไรเลยกับคนรอบตัวมันดูคล้ายกับว่าได้กลับไปเป็นคนเดิมเหมือนเมื่อก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องบ้าๆขึ้นอย่างนั้นล่ะ นับตั้งแต่ได้รับเลือดจากเจ้าพี่บ้าตัวเขาก็ไม่รู้สึกกระหายหรือหิวอยากกินอะไรเป็นพิเศษ นี่เขาควรจะกล่าวขอบคุณดีหรือเปล่านะ

 ฮินาตะมองดูเมนูตรงหน้า ดวงตาสีพระจันทร์ฉายแววเซื่องซึมเมื่อนึกถึงความอ่อนโยนที่ชายหนุ่มมอบให้กับเขา
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ใจดีแบบนี้หรือเปล่านะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนไม่ว่าเวลาแบบไหนพี่ชายก็จะยิ้มให้เขาเสมอ ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจพี่ชายก็จะอยู่เคียงข้างพร้อมกับโอบกอดเขาไว้ด้วยอ้อมแขนที่อบอุ่นอ่อนโยน แล้วมันตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขากับพี่ชายเริ่มมึนตึงใส่กันจนกลายมาเป็นสภาพในแบบทุกวันนี้
 

ใช่สิ  นับจากวันที่พี่ชายบังคับให้ดื่มเลือดในตอนนั้นเมื่อเขาอายุได้สิบขวบทั้งหมดก็เป็นความผิดของเจ้าพี่บ้านั่นล่ะ

“ฮินะ” เสียงเรียกของเรนสร้างความตื่นตัวให้กับฮินาตะเด็กหนุ่มช้อนตามองฝ่ายตรงข้ามที่กำลังมองตรงมาที่เขา

“ฮินะไม่สั่งอะไรเลยหรือ”

“อืม……ก็ยังไม่ค่อยหิวนี่”

“อย่างนั้นหรือ” เรนพยักหน้าแล้วหันไปสั่งอาหารกับพนักงานหญิง เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงหันกลับมาสนทนากับเด็กหนุ่มอีกครั้ง

“หมู่นี้ฮินะไม่ค่อยร่าเริงเลย มีอะไรไม่สบายใจก็ปรึกษาเราได้นะ”

“อือ……ก็เปล่านี่” ฮินาตะใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้วเล่นก่อนจะเงยหน้ามองฝ่ายตรงข้ามทันทีที่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเงียบเสียงไป

“มีอะไรหรือไง”

“เปล่า”

“ก็มันอะไรล่ะ” ฮินาตะถามด้วยเสียงที่เริ่มจะกลายเป็นการตะโกน เมื่อสังเกตุเห็นอีกฝ่ายมองตรงมาที่เขาเนิ่นนานจนดูผิดสังเกตุ อยู่ๆก็มาจ้องหน้ากันแล้วบอกว่าไม่มีอะไร อย่างนี้แล้วจะไม่เรียกว่าน่าสงสัยแล้วเรียกว่าอะไร

“บอกมาเลยนะอย่าให้ต้องใช้กำลัง” เด็กหนุ่มยื่นคำขาด ทว่าดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่มองมาในเวลานี้ช่างคล้ายคลึงกับสุนัขยามถูกเจ้าของดุอย่างไรอย่างนั้น เรนใช้เวลาในการอ้ำอึ้งเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

 “จะว่าไปก่อนหน้านั้น…….” เรนเว้นระยะคำพูดพร้อมปลายมองฮินาตะที่มีท่าทางสนอกสนใจอย่างเต็มที่

“ตอนที่ฮินะกินเลือดเรา ฮินะรู้สึกยังไงหรือ” เด็กหนุ่มนิ่งงันกับคำถามของฝ่ายตรงข้าม เขายังไม่เข้าใจกับคำถามที่ถูกป้อนให้ คิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย

“ที่พูดนี่หมายความว่ายังไงนะ  ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด” เด็กหนุ่มจ้องมองเรนที่เผยอยิ้มร่าเริงแบบแปลกๆ

“ก็อย่างเช่นว่า  ฮินะรู้สึกดีใหมตอนที่ดูดเลือดเรา แล้วเทียบกับคนอื่นแล้วเลือดของเราอร่อยกว่าใหม”

 รู้สึกดี? อร่อยกว่า ? ฮินาตะ พยายามเรียบเรียงคำถามของเรนในสมอง ยิ่งเรียบเรียงเป็นใจความได้มากเท่าไหร่ ที่แก้มของเขาก็ปรากฎสีแดงชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น

“พ…..พูดอะไรของนายน่ะ รู้สึกดีอะไรกัน” เด็กหนุ่มโวยวายด้วยความร้อนรน

“แล้วเทียบกับคนอื่นอะไร ฉันไม่เคยไปงับคอใครซี้ซั้วนอกจากนายนะ ไอ้บ้า”

“จริงหรือฮินะ” เรนยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยความกระตือรือร้นจนเด็กหนุ่มต้องผงะหนี  ยิ่งฝ่ายตรงข้ามทำสีหน้าดีใจมากเท่าไหร่ฮินาตะก็ยิ่งรู้สึกมึนงงมากขึ้นไปทุกที

 “ท…..ทำหน้าดีใจอะไรของนายวะ เดี๋ยวก็โดนชกหรอก”

“อ๊ะ….. เราทำให้ฮินะรู้สึกแย่ขนาดนั้นเลยหรือขอโทษนะ”

“เพิ่งจะรู้ตัวหรือไง เพราะงั้นมื้อนี้นายต้องเป็นคนจ่ายด้วยนะ รับผิดชอบซะด้วย” เด็กหนุ่มขู่กลับด้วยน้ำเสียงเอือมระอาปนโล่งใจเมื่อเจ้าเพื่อนเพี้ยนกลับมามีสีหน้าท่าทางตามปกติที่เจ้าตัวเคยเป็นอีกครั้ง

เขาควรจะจำเอาไว้ว่าเวลาหมอนี่เกิดเพี้ยนขึ้นมาบุคลิกภาพจะเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดไหน และอาจจะต้องจำให้ขึ้นใจด้วย ใจหายหมดเลยอยู่ๆก็ถามอะไรบ้าๆขึ้นมาไม่รู้ ฮินาตะลูบอกปลอบใจตนเองก่อนจะถลึงมองไปยังเรนที่ยิ้มบางๆตอบกลับมา

“เอาเมนูมาสิฉันจะสั่งอาหารบ้างแล้วเร็วเข้า”

ฮินาตะละเลียดชิมรสชาติอาหารตรงหน้าด้วยความพอใจพร้อมกับรู้สึกอยากจะขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ที่ทำให้เขากลับมาลิ้มรสอาหารอย่างคนปกติได้  คิดอย่างนั้นแล้วเด็กหนุ่มก็นึกอยากจะกลับไปขอบคุณพี่ชายที่อุตส่าห์ช่วยเหลือด้วยสำนึกบุญคุณจากใจจริง

ยังไงไคยะก็เป็นพี่ชายของเขานี่นะ เรื่องเล็กน้อยที่ผ่านมาเขาน่าจะทำลืมๆไปได้แล้วล่ะมั้ง  ฮินาตะขมวดคิ้วถ้ากลับไปเขาควรจะปฎิบัติตัวยังไงดีนะ พลันเสียงเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้นเด็กหนุ่มมองดูเรนพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์

 “ว่าไง”

“ตอนนี้ฉันไม่ว่าง” ฮินาตะดื่มน้ำมะนาวผ่านหลอดกาแฟ มองดูใบหน้าจริงจังของร่างสูงที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยๆด้วยความสนใจ

“เข้าใจแล้วแค่ไปก็พอใช่ใหม”

“มีอะไรหรือ”ฮินาตะถาม เรนแสดงสีหน้ายุ่งยากใจออกมา

“ขอโทษนะฮินะ สงสัยเราคงต้องให้ฮินะกลับไปก่อนแล้วล่ะ แย่จังเจ้าพวกบ้านั่นจัดคิวกันตามใจชอบ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันไปด้วยดีหรือเปล่านะ” ฮินาตะพึมพำอย่างลังเลใจ

“จะดีหรือฮินะ เราไม่อยากให้ฮินะไปเจอเรื่องแย่ๆอีก”

 “ไม่เป็นไรหรอกมั้ง ไม่ได้ไปดูนายที่เวทีเสียหน่อย ถ้าแค่ไปนั่งรอในห้องสต๊าฟล่ะก็นะ”

“นั่นสินะ” เรนยิ้มกว้าง ร่างสูงเรียกพนักงานให้คิดเงินเมื่อเรียบร้อยก็พาฮินาตะซ้อนมอเตอร์ไซด์พาตรงไปยังสถานที่จัดการแสดงทันที

 “น้องหนูจ๋า~”

“ค….ครับ” ฮินาตะถอยหนีอย่างตื่นตระหนกเมื่อสาวประเภทสองหุ่นล่ำบึ๊กกระเถิบเข้าประชิดตัว

“แหม้…..แหม….ไม่ต้องหนีพี่สาวขนาดนั้นก็ได้นะจ๊า...พี่สาวไม่เขมือบหรอก น้องหนูไม่ใช่เสปค แต่ถ้าแบบเรนคุงล่ะก็พี่เขมือบแน่จ้า ฮุฮุ”

“ร…..หรือครับ” ขอแสดงความเสียใจกับนายด้วยแล้วกันนะ ฮินาตะยิ่มแหยๆ เมื่อมโนภาพคุณพี่ร่างยักษ์เตรียมเขมือบเจ้าเพื่อนสนิท

“น้องหนู” ฝ่ายตรงข้ามฉีกยิ้มหวานพลางเขยิบเข้าประชิดฮินาตะอีกครั้ง ซึ่งเด็กหนุ่มก็หมดทางหนีเพราะเขาได้เขยิบหนีมาจนสุดโซฟาแล้ว

“อะไรครับ” หญิงร่างบึ๊กหัวเราะคิกคักกับท่าทางขยาดกลัวเสียเต็มประดา

“ไม่ต้องกลัวไปน้า~  แค่จะขอถามอะไรแบบล้วงลึกนิดนึง”

“…”

“น้องหนูเป็นแฟนของเรนคุงหรือจ๊ะ”

“ไม่ใช่ครับ” ฮินาตะปฏิเสธ ไม่เข้าใจพี่บึ๊กจริงๆว่าเอาเซลล์สมองส่วนไหนคิดกันนี่

“จริงหรือจ๊ะ”ฝ่ายตรงข้ามมองอย่างไม่ค่อยจะเชื่อถือเท่าใดนัก

“จริงแท้แน่นอน”

 “ว้า...ทั้งๆที่คิดว่าอย่างเธอต้องเสปคเรนคุงแน่เลย  แต่ก็ดีแล้วละจ้า เพราะหมายความว่าเราไม่ใช่คู่แข่งกันนะจ๊ะ”

“ใช่ครับดีจริงๆ”  ขอแสดงความเสียใจกับนายอีกครั้งนะ ฮินาตะลอบยิ้มเจื่อนๆโดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว

“แต่ว่านะคู่แข่งของคุณพี่ก็เยอะเหมือนกันน้า ก็เรนคุงเนี้ยควงแต่คนสวยๆไม่ซ้ำหน้าประจำเลยนี่น้า”  พี่สาวร่างยักษ์กัดผ้าเช็ดหน้าสีหวานอย่างเคืองใจก่อนจะกระเถิบตัวแนบชิดฮินาตะมากกว่าเดิมจนแถบไม่เหลือช่องว่าง

“เธอที่เป็นเพื่อนสนิทน่าจะรู้อะไรดีๆของเรนคุงบ้างน้าเอามาบอกบ้างสิจ๊ะ อย่างเรื่องที่ชอบหรืองานอดิเรกเงี้ย”

 “เรนนี่มีผู้หญิงควงเยอะเลยหรือครับ”

“คู่แข่งเยอะเลยล่ะจ้า~”

“อย่างนั้นหรอกหรือเนี่ย”ฮินาตะพึมพำพลางทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจ ได้รู้เรื่องที่คาดไม่ถึงเข้าเสียแล้วสิ เพิ่งจะรู้นะนี่ว่าหมอนี่เป็นคาสโนว่า ทั้งๆที่คิดว่าเป็นคนซื่อๆบื่อๆแท้ๆ

“อ๊ะ”

“เป็นอะไรไปน้องหนู” พี่สาวร่างยักษ์เข้าไปลูบหลังด้วยความตกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มฟุบลงไปและร่างกายก็สั่นเทาอย่างมากจนดูผิดปกติ แย่แล้วรู้สึกขึ้นมาอีกแล้วทำไมกันทั้งๆที่คิดว่าน่าจะหายดีแล้วแท้ๆ

 “อะ”

“น้องหนูจ๋า  ตายแล้วฉันทำไงดีเนี้ย ถ้าเรนคุงรู้เข้าว่าฉันอาจจะทำให้เธอป่วย เรนคุงเอาฉันตายแน่” ร่างยักษ์เริ่มกระวนกระวาย เธอพยายามจะจับตรงโน้นตรวจตรงนี้เพื่อหาสาเหตุอาการของเด็กหนุ่ม

“ถอย…..ออกไป” ฮินาตะบอกด้วยเสียงแผ่วหวิวทั้งที่ยังฟุบบนโซฟา เขาจะทนไม่ไหวอยู่แล้วทำไงดี  มันรู้สึกคอแห้งไปหมดเขากระหายอยากจะให้ของเหลวข้นสีแดงไหลผ่านลำคอลงไปเพื่อดับความร้อนรุ่ม มันต้องแย่แน่ๆถ้าเขาเผลอไปทำอย่างนั้นกับคนคนนี้ แค่คิดผลลับที่จะตามมาก็รู้สึกว่ามันจะเลวร้ายจนเกินจะรับได้

“ออกไปให้พ้นจากตัวผมเดี๋ยวนี้นะ” ฮินาตะตะคอกเสียงกร้าวจนพี่สาวร่างยักษ์ผงะถอยออก ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดตามด้วยร่างสูงที่ก้าวเข้ามาด้านใน
 “นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับคุณลิซซี่ เสียงดังไปถึงข้างนอกเลย”

“เรนคุง”พี่สาวลิซซี่พุ่งเข้าใส่เรนพร้อมกับเริ่มอธิบาย ยังไม่ทันได้พูดอะไรมือใหญ่ก็กวาดร่างยักษ์ให้พ้นจากทางแล้วเดินเข้าไปหาฮินาตะซึ่งนอนฟุบอยู่บนโซฟา

“ฮินะเกิดอะไรขึ้น”

“เรน” ฮินาตะเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตเอ่อคลอด้วยน้ำตา ร่างบางโผเข้าหาเรนพลางสะอึกสะอื้นเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่ต้องการที่พึ่ง

“เรนคุง  เรนคุง  น้องหนูเป็นอะไรหรือจ๊ะ” ลิซซี่เดินวนไปรอบๆตัวเรนพร้อมกับโวยวายเสียงดัง ทำให้ร่างสูงชักจะเริ่มหงุดหงิด เขาปลายมองร่างยักษ์ด้วยสายตาเย็นชา

 “ถ้าจะโวยวายก็ช่วยออกไปก่อนได้ไหมครับคุณลิซซี่มันเกะกะ” สิ้นคำพูดใบหน้าของเธอก็ซีดเผือด ลิซซี่รีบออกจากห้องไปโดยที่ไม่ต้องให้ร่างสูงพูดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง
 
“ฮินะเกิดอะไรขึ้น” เรนลูบใบหน้าของเด็กหนุ่มที่ส่ายหน้าปฎิเสธไปมาทั้งน้ำตาบอกว่าตนไม่ได้เป็นอะไรด้วยร่างกายที่สั่นเทา ร่างสูงถอนหายใจด้วยความระอาในความปากแข็งของคนตรงหน้า

“ถ้าทนไม่ไหวล่ะก็จะดูดเลือดฉันก็ได้นะ” ดวงตากลมโตมองคนพูดด้วยความตื่นตระหนก ฮินาตะรู้สึกสับสนเริ่มไม่แน่ใจว่าฝ่ายตรงข้ามรู้ตื้นลึกเกี่ยวกับเรื่องของตนมากน้อยแค่ไหน

“พูดอะไรของนายนะเรน”

“ก็ถ้ามันจะทำให้ฮินะรู้สึกดีขึ้นล่ะก็นะ เร็วเข้าสิ” เรนดุขณะแหวกคอเสื้อของตนกดศีรษะของฮินาตะให้ซบลงที่ต้นคอ

“ไม่เอานะ”

“ทำไมล่ะ”เรนเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างขบขัน

“คือ…..ว่าฉัน….” ดวงตาฮินาตะพร่าเลือน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเลือดของเรนส่งกลิ่นดึงดูดยั่วยวนเขามากแค่ไหน ทว่า… ถ้าเขาดูดเลือดเรนเข้าไปตอนนี้ เขา เขาจะ…

“ถอยออกมาให้ห่างจากน้องชายของฉันเดี๋ยวนี้อากาสึกิ” ร่างสูงรู้สึกถึงแรงฝ่ามือของคนในอ้อมกอดที่ขยุ้มเสื้อเขาแรงขึ้น ฮินาตะเงยหน้าจากต้นคอของเขามองผ่านไปยังไคยะด้วยดวงตาที่เอ่อไปด้วยหยาดน้ำตา

“พี่”

 “กลับบ้านกันได้แล้ว” ไคยะสะบัดหน้าเป็นเชิงเรียกให้เดินเข้าไปหา

“แต่ว่า….” ดวงตากลมโตมองกลับมาที่เรนอีกครั้งจะด้วยความอาวรหรืออะไรก็แล้วแต่ ฮินาตะรู้สึกเพียงว่ายังไม่อยากจากเรนไปในตอนนี้ ความต้องการส่งผ่านทางแววตาไม่เพียงแค่เรนเท่านั้นแม้แต่ไคยะเองก็ยังรู้สึกได้ เรนโอบกอดฮินาตะเอาไว้อย่างหลวมๆพลางลูบไล้ไปตามร่างกายที่ยังสั่นเทาเป็นการปลอบโยน

“ถ้าฮินะยังไม่อยากกลับก็ยังไม่ต้องกลับ”

“ตลกสิ้นดีอากาสึกิ นายมีสิทธิอะไรมาออกคำสั่ง” ไคยะกระชากข้อมือของร่างสูงให้ยืนขึ้นมาประจันหน้ากับตน  ด้วยแรงที่มากมายขนาดที่ควรจะสร้างความเจ็บปวดให้ แต่เรนกลับไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกไปนอกจากดวงตาเย็นเยียบที่มองตอบกลับ

“หึ….”ไคยะเหยียดยิ้ม

“แสดงธาตุแท้ออกมาจนได้ คิดมาตั้งนานแล้วสักวันนายจะต้องก่อปัญหา”

 “เอ๋….ธาตุแท้” เรนลอบยิ้มที่มุมปาก

“ผมก่อปัญหาอะไรให้คุณไคยะหรือครับ”

“นั่นสินั่นสินะ ก็ไม่ได้ก่อปัญหามากจนทางนี้จัดการอะไรไม่ได้หรอกนะ” ไคยะละมือจากเรนก่อนจะเดินไปช้อนตัวฮินาตะขึ้นอุ้มเดินไปที่ประตูแล้วหยุดยืนชั่วครู่ราวกับจะนึกขึ้นได้

“จากนี้ไปคงไม่ต้องให้นายช่วยดูแลเจ้าเด็กแสบนี่แล้วล่ะ ฮินาตะฉันดูแลเองได้ นายก็วางมือได้อย่างสบายใจแล้วล่ะนะอากาสึกิ” ไคยะอุ้มฮินาตะเดินจากไปโดยไม่ได้ใส่ใจแววตาอันเต็มไปด้วยความปฎิปักษ์ที่มองไล่หลังเขาแต่อย่างใด

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่4 11/9/60
«ตอบ #6 เมื่อ11-09-2017 16:09:22 »

บทที่4

 หลังจากที่จับฮินาตะวางลงบนที่นอนข้างคนขับ ไคยะก็เริ่มจดจ่อกับการขับรถและห้วงความคิดของตนชายหนุ่มนึกถึงเรื่องเมื่อสมัยที่เขากับฮินาโตะยังเป็นเด็ก


“เจ้าอากาสึกิ”


ไคยะนึกถึงภาพเด็กชายผมดำอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฮินาตะเขายังจำได้ดีวันที่ได้พบกับเจ้าเด็กนั่นเป็นครั้งแรก ลูกชายคนเดียวของครอบครัวนักดนตรีคลาสสิคที่ย้ายมาอยู่ข้างบ้าน คิดไปก็อดตลกไม่ได้ที่เจ้านั่นเกิดแปลกแยกจากครอบครัวมาเล่นดนตรีร็อคเสียได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา


ชายหนุ่มดึงความสนใจกลับมายังฮินาตะอีกครั้ง แปลกเจ้าเด็กแสบเงียบเกินไปจนผิดปกติ ไคยะจอดรถที่ริมถนน เขาขยับตัวเข้าไปสำรวจร่างของเด็กหนุ่มที่นอนแน่นิ่งทันใดนั้นข้อมือของเขาก็ถูกคว้าเอาไว้ด้วยแรงที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นของฮินาตะ


“...”


ดวงตาคมเบิกกว้าง เด็กหนุ่มฝังคมเขี้ยวลงบนข้อมือของเขาอย่างตะกรุมตะกรามราวกับจะสูบเลือดให้หมดไปจากตัว ไคยะขบฟันเข้าหากันแน่นเวลาผ่านไปไม่นานเมื่อฮินาตะรู้สึกว่าเพียงพอแล้วจึงผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ยังเกาะข้อมือของเขาเอาไว้ ปวดใจจนไม่อาจจะสรรหาคำพูดออกมาได้ ไคยะขมวดคิ้วมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ลูบไปที่ศีรษะของน้องชาย


“คงอีกไม่นานแล้วสินะ” ชายหนุ่มพึมพำ


 ใบหน้างดงามปรากฎรอยยิ้มขมขื่น ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเลือดของตนนั้นเปรียบเสมือนยาเสพติดสำหรับเหล่าแวมไพร์ด้วยกันแต่เขาก็ยังดึงดันที่จะฉุดรั้งฮินาตะเอาไว้ด้วยเลือดของเขาเอง เดมี่แวมไพร์ที่ไม่สมบูรณ์ น่าขำ มันสมควรแล้วหรือที่คนที่เขารักจะต้องมาประสบกับเรื่องแบบนี้

“ถ้าสามารถทำให้นายเป็นดาร์คฮาร์ฟของฉันได้จะดีซักแค่ไหนนะ” ไคยะกระซิบที่ข้างหูก่อนจะแนบจูบแผ่วลงบนริมฝีปากของคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง


“คงต้องติดต่อกับบ้านทางโน้นก่อนที่จะเกิดปัญหาใหญ่แล้วสินะ” ชายหนุ่มดึงมือของตนออกจากการเกาะกุมอย่างช้าๆแล้วขับรถมุ่งตรงกลับบ้าน


 “ฉันจะไม่อยู่บ้านซักสองสามวัน หยุดอยู่บ้านซะ ในเมื่อไม่สบายก็อย่าหาเรื่องออกไปข้างนอกให้เกิดปัญหา”


ฮินาโตะนอนพลิกตัวสะลึมสะลือถึงแม้สติของเขาจะยังไม่แจ่มชัดนักเพราะเพิ่งตื่นนอน แต่ก็ยังพอจะจับใจความของข้อความฝากที่ดังมาจากโทรศัพท์ได้ เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งอย่างเกียจคร้านพร้อมหยิบโทรศัพท์มือถือจากหัวเตียงขึ้นมาดูวันและเวลา


“ว…..วันอาทิตย์หรือนี่บ้าน่า” นับจากวันที่เกิดเรื่องขึ้นก็เป็นวันพฤหัสบดี นี่เขานอนหลับไม่รู้เรื่องผ่านมาจนเข้าวันที่สามเลยหรือนี่ เจ้าพี่บ้าต้องเล่นลูกไม้อะไรกับเขาแน่ๆ


“โธ่……โว้ย” ฮินาโตะขยี้หัวไปมา ไม่รู้ว่าผ่านไปสามวันจะเกิดอะไรกับรอบตัวเขาไปบ้างแล้ว


“ยังไงโทรหาเจ้าเรนก่อนน่าจะดี” มือเล็กกดมือถือรัวเร็วแต่ก็เปลี่ยนใจลบเบอร์ทิ้งเสียก่อน


“บ้าจัง ทำไมถึงไม่โทรเข้าเบอร์มือถือนะ เรานี่ท่าจะบ้า” ฮินาตะกดต่อสายโทรศัพท์อีกครั้งคราวนี้เด็กหนุ่มดูมีสติมากกว่าเดิม


“อือ...ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์นะเจ้าบ้า…” ฮินาตะรอสายด้วยความร้อนใจ


“พอแล้ว…ออกไปหาเรนที่บ้านก็ได้” เขาผลุนผลันลุกจากเตียงหยิบเสื้อคลุมจากตู้เสื้อผ้ามาสวมใส่ก่อนจะเดินทางออกจากบ้านโดยมีเป้าหมายเป็นบ้านของเรน


 ฮินาตะกระพริบตาปริบๆมองดูประตูบ้าน เขาอยากกดกริ่งเรียกฝ่ายนั้นออกมาเปิดประตูใจจะขาดแต่ในขณะเดียวกันก็ลังเล จะว่าไปตอนที่เรนบอกให้เขาดูดเลือด หมอนี่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะว่าเขาไม่ใช่คนปกติ ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว ฮินาตะสะบัดหน้าไปมาด้วยความรำคาญกับนิสัยช่างคิดมากของตน


“ไว้ค่อยเข้าไปถามเอาก็ได้นี่น่า จะคิดให้มากเรื่องไปทำไมนะเรา” พอเอื้อมมือจะกดกริ่ง เด็กหนุ่มก็ชะงักมือด้วยความลังเลอีกครั้ง


ยังไงดีล่ะ ทั้งๆที่บ้านของเรนก็อยู่ห่างจากบ้านเขาเพียงไม่กี่สิบหลังแต่เขาแทบจะไม่เคยมาบ้านของหมอนี่เลยด้วยซ้ำ จะว่าไปก็ต้องโทษตัวเขาเองที่ไม่ว่าจะถูกเรนชวนเท่าไหร่ก็คิดแต่จะกลับไปนอนเล่นที่บ้านเสียทุกที นอกจากนั้นแล้วตัวเขาก็ไม่ยอมให้เรนวุ่นวายในที่ส่วนตัวด้วยเสียอีก

 
“แค่จะเข้าบ้านเจ้าเรนก็ต้องรู้สึกตื่นเต้นด้วยหรือเรา ไม่ใช่ว่าไม่เคยเข้าไปซักหน่อยงี่เง่าจังเรานี่” พอเอื้อมมือจะกดกริ่งฉับพลันประตูก็ถูกเปิดจากด้านใน


“อ๊ะ” ฮินาตะอุทานด้วยความตกใจเพราะคนที่ก้าวออกมาคือคนที่เขาตั้งใจว่าจะมาหา เรนซึ่งสวมเสื้อกันลมในมือถือหมวกกันน็อคสภาพแบบนี้หมายความได้อย่างเดียวว่าเจ้าตัวกำลังจะออกไปทำธุระ


“อ้าว ฮินะ” เรนเอ่ยทักด้วยเสียงราบเรียบ ใบหน้าเย็นชาที่เขาไม่เคยได้เห็นมอบความรู้สึกประหลาดที่แม้แต่ตัวฮินาตะเองก็ยังไม่เข้าใจ รู้สึกปวดแปล๊บๆที่อกยังไงชอบกล


“อ….อรุณสวัสดิ์”


“นี่มันไม่เช้าแล้วนะ ฮินะ” เรนก้มดูนาฬิกาข้อมือของตน


“ยังไงก็ขอตัวก่อนล่ะนะ ฮินะกลับไปก่อนเถอะเรามีธุระ”


“เอ๋…..เอ่อ..งั้นแล้วเจอกันก็แล้วกัน” ฮินาตะหลีกทางให้เรนด้วยความเกรงใจ ขณะที่ใช้ดวงตาสีพระจันทร์มองร่างสูงเดินผ่านหน้าไปในใจกลับรู้สึกวูบๆแบบแปลกๆ รู้สึกอัดอั้นในใจจนต้องตะโกนออกไป


“เดี๋ยวก่อนสิ ธุระสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ อยู่คุยกับฉันก่อนไม่ได้หรือไงนะเจ้าบ้า” ร่างสูงชะงัก ดวงตาสีน้ำเงินเข้มที่มองกลับมาเบิกกว้างเล็กน้อย พลันเสียงเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้นเรนกดรับสายโทรศัพท์ของตน


“ครับ  เข้าใจแล้ว ถ้ายังไงคุณลิซซี่จัดการตามนั้นได้เลยผมไม่ไปแล้วล่ะ” ฮินาตะมองดูเรนหย่อนโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าเสื้อ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มปลายมองมาที่ตนก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้าน


“ถ้าจะคุยก็เข้ามาในบ้าน รีบๆหน่อยนะเรายังไม่แน่ใจว่ามีธุระอะไรให้จัดการอีกหรือเปล่า” ฮินาตะเดินตามร่างสูงเข้าไปในบ้านที่ห้องรับแขกมีเคาร์เตอร์บาร์เล็กๆ เรนเดินตรงเข้าไปที่นั่นพร้อมกับหยิบอุปกรณ์บางอย่างขึ้นมาวาง


“ฮินะอยากทานน้ำอะไร”


“เอ่อ...น้ำส้มมั้ง” เรนพยักหน้าพร้อมกับหยิบส้มในตู้เย็นออกมาคั้น


“เอาของว่างด้วยไหมฮินะ” เรนเอ่ยถามเมื่อคั้นน้ำส้มเสร็จ โดยไม่รอคำตอบร่างสูงหยิบขนมปังกับแฮมขึ้นมาวางบนโต๊ะ


“เอาเป็นแซนวิชก็แล้วกันนะ” เรนตัดสินใจเสร็จสรรพซึ่งฮินาตะก็ได้แต่นั่งดูท่าทางคล่องแคล่วของร่างสูงด้วยความทึ่งปนประหลาดใจ เพิ่งจะรู้ว่าหมอนี่ก็ทำแบบนี้ได้ด้วย


“นายทำของแบบนี้เป็นด้วยหรือเรน”


“ใคร ใครก็ทำได้นะ ฮินะต่างหากที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกินไปแล้ว นี่ท่าทางจะโดนเอาใจมากซะจนไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองเลยล่ะสิ” พอเรนพูดจบในหัวของฮินาตะก็รู้สึกเหมือนมีอะไรระเบิดออก เขาเม้มปากเข้าหากัน


“นายอยากจะพูดอะไรกันแน่เนี่ย” เรนปลายมองคนที่ออกอาการฮึดฮัดก่อนจะหันไปจัดการกับงานตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจต่ออารมณ์ไม่คงที่ของเด็กหนุ่ม


 “แล้วตกลงว่าฮินะมาหาเราที่บ้านเพื่อจะมาทะเลาะกับเราเรื่องนี้หรอกหรือ” ฮินาตะนิ่งงันกับวิธีการพูดอันเจ็บแสบของฝ่ายตรงข้าม พลันนึกได้ว่าตนเองมีธุระที่สำคัญกว่า


“เอ่อ…..ก็เปล่า”


“ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเริ่มพูดธุระได้แล้วนะฮินะ มาเที่ยวบ้านเรานานนานคุณไคยะจะดุเอาว่าชวนน้องชายสุดที่รักของเขามาเที่ยวเล่นไร้สาระ”


“เกี่ยวอะไรกับไคยะด้วยล่ะเนี่ย” ฮินาตะชักงง ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยเห็นเจ้าบ้าพูดถึงไคยะด้วยอารมณ์ทำนองนี้เลยซักครั้ง


“ ฉันแค่จะถามนายว่า..เอ่อ..ทำไมเมื่อสองสามวันก่อนที่ฉันไม่สบาย อยู่ๆนายถึงได้ชวนฉันดูดเลือดของนายต่างหากล่ะ เอาล่ะตอบฉันมาสิว่านายคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น” ฮินาตะรอคำตอบอย่างตื่นเต้น เมื่อเรนหันมาเผชิญหน้ากับตนก็พบกับรอยยิ้มที่คล้ายกับจะบอกว่าน่าสงสาร


 “ฮินะเนี่ยบางครั้งก็ไม่รู้อะไรมากเกินไปจนดูซื้อบื้อเหมือนกันนะ”


“ว่าไงนะ” ฮินาตะลุแก่โทสะแต่ยังไม่ได้ตอบโต้ออกไปฝ่ายที่ยั่วโมโหก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน


“ฮินะไม่สังเกตุบ้างหรือว่าคนที่บ้านฮินะ น่ะประหลาด อย่างแรกก็คุณพ่อของฮินะที่ไม่ยอมออกมาพบหน้าผู้คนเลยในตอนกลางวันถึงจะอ้างว่าเป็นนักเขียนก็เถอะ จะว่าไปตอนกลางคืนก็ใช่ว่าจะออกมาพบหน้าผู้คนเสียหน่อย แล้วยังคุณแม่ของฮินะอีกคน” เรนหัวเราะด้วยเสียงที่ดูซุกซน


“ท่าทางคนที่บ้านฮินะจะชอบทานเนื้อดิบกับเลือดสดๆเอามากๆ เพราะบางครั้งเราก็เห็นคุณมัตสึอิที่ร้านขายเนื้อพึมพำให้ฟังว่ามาทีไรก็ซื้อแต่ของแบบนี้กลับไปทุกที แต่เห็นว่าน่าจะซื้อพวกเลือดหมูกลับไปอย่างเดียวบ่อยกว่านี่นะ”


เรนทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้


“จริงนะ ฮินะ เมื่อเร็วๆนี้ มิกิจังที่เข้ามาคุยกับเราบ่อยๆช่วงนี้ก่อนหน้านั้น น่าจะเคยคบอยู่กับคุณไคยะ แต่พอเราถามถึงเรื่องนั้นมิกิกลับบอกเราว่าไม่รู้จักคุณไคยะ ฮินะคิดว่ายังไง” ฮินาตะหน้าซีดเผือด เขามองดูเรนที่จัดวางแซนวิชลงบนจานด้วยใบหน้าที่ดูอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆในขณะที่พูด


 “ไม่คิดมาก่อนว่านายจะรู้” เรนเดินตรงมาที่เด็กหนุ่มก่อนจะวางจานแซนวิชกับแก้วน้ำส้มคั้นลงบนโต๊ะเบื้องหน้าฮินาโตะพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามากระซิบด้วยใบหน้าที่เย็นชา


“ฮินะจะรู้อะไรบ้างล่ะ เคยสังเกตหรือสนใจความรู้สึกของเราด้วยหรือ”


“ไม่ใช่ว่าไม่สังเกตซักหน่อยนะ” เรนยิ้มอย่างเหนื่อยหนายกับคำแก้ตัวแล้วเบือนหน้าหนี


“ช่างเถอะ ฮินะมาบ้านเราเพื่อถามเรื่องนี้” ฮินาโตะมองดูเรนที่เมินหน้าหนีไปอีกทางด้วยความรู้สึกแย่ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่กับท่าทีที่ดูแปลกไปจากปกติของเรน ทั้งการหาเรื่องชวนทะเลาะ ทั้งวิธีการพูดเหน็บแนมซึ่งๆหน้าอย่างไม่มีเหตุผล จะว่าไปไม่เคยเลยซักครั้งที่เรนจะแสดงท่าทางทำนองนี้กับเขา ตกลงว่าโกรธเรื่องปิดบังว่าตัวเขากับครอบครัวเป็นแวมไพร์หรือไงนะ


“ ฮินะ แต่ไหนแต่ไรแล้วมักจะมีความลับที่บอกเราไม่ได้อยู่เสมอ แต่ว่านะเรื่องที่ครอบครัวของฮินะไม่ใช่คนปกติก็เป็นแค่หนึ่งในเรื่องหลายๆเรื่องที่ฮินะปิดบังเราแต่เรากลับรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว จะยังไงดีล่ะฮินะคงไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ต้องกังวลอยู่ตลอดเวลาสินะ แล้วถ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมายังไงฮินะก็คงจะตัดสินใจหนีหายไปพร้อมกับครอบครัวโดยที่ไม่ยอมบอกอะไรกับเราเลยใช่ไหม”


เรนหันกลับมามองฮินาตะ ใบหน้าหล่อเหลาดูย่ำแย่แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความยโสดึงดันที่เจ้าตัวมีอยู่เต็มเปี่ยม เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกอึดอัดกับแววตาคาดคั้นของอีกฝ่าย


 “เรื่องนั้นถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นก็เพราะบ้านของฉันเป็นแวมไพร์กันทั้งบ้าน นายก็รู้นี่ว่าเราอยู่ที่ไหนนานๆไม่ได้ แล้วยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่ฉันจะจากไปโดยที่ไม่ได้บอกอะไรกับนาย ฉันไม่เคยคิดจะทำให้นายรู้สึกแย่อย่างนั้น”


เรนกระตุกยิ้มหยัน ร่างสูงใช้ดวงตาสีน้ำเงินเข้มมองตำหนิเด็กหนุ่ม


“แต่ฮินะทำแล้วนะ  ฮินะทำให้เรารู้สึกว่าถูกทิ้ง ที่สำคัญจะให้เราเชื่อคำพูดของฮินะที่ไม่เคยบอกความจริงกับเราซักเรื่องอย่างนั้นหรือ”


“ฉันทำอะไรที่ไหนเล่า ที่สำคัญที่ฉันไม่บอกนาย นายก็น่าจะรู้นิสัยฉันดีนี่น่าว่านั่นเป็นเพราะฉันรู้สึกอึดอัดและกังวล” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ฮินาตะก้มหน้าลงด้วยความลำบากใจเขาไม่กล้าสบตากับฝ่ายตรงข้ามที่มองตรงมา


“สองสามวันมานี่เราติดต่อฮินะไม่ได้เลย จนทำให้เราคิดว่าฮินะอาจจะแอบย้ายบ้านไปแล้วเพราะเราไปรู้ความลับที่ไม่อยากให้รู้เข้า” เรนลุกจากที่นั่งของตนไปนั่งที่โซฟาอีกตัวเคียงข้างฮินาตะ มือเรียวเชยคางคนที่ก้มหน้าให้เงยขึ้นมาสบตากับตน ดวงตาสีพระจันทร์หม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด


“ถามจริงๆเถอะฮินะยังยืนยันอยู่อีกไหมว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้เรารู้สึกแย่ ฮินะยังเห็นว่าเราเป็นเพื่อนอยู่อีกหรือเปล่า”


“ฉัน…..ฉัน…. แน่นอนอยู่แล้วว่ายังต้องเห็นนายเป็นเพื่อน” ฮินาตะพูดด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย เด็กหนุ่มเพิ่งจะเคยรู้สึกว่าตัวหดเล็กเป็นครั้งแรกก็คราวนี้ ชักอยากจะร้องไห้ขึ้นมาแล้วสิ ก็อะไรเล่าทำไมเรนจะต้องมาคาดคั้นเอาชนะเขากับเรื่องแค่นี้ด้วย


“ตกลงว่าฉันควรจะกล่าวขอโทษนายใช่ไหม”


“ ไม่ต้องหรอกฮินะ แค่สัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ปิดบังเรื่องสำคัญกับเราก็พอ”


แค่นี้นี่นะ ฮินาตะเบิกตามองคนที่กำลังยิ้มระรื่น รู้สึกใจชื้นขึ้นมาที่บรรยากาศเดิมๆระหว่างเขากับเรนกลับมาอีกครั้งแต่ว่า…………


 “ยกเว้นเรื่องส่วนตัวนะ ยังไงนี่มันก็เป็นเรื่องของฉันที่ไม่จำเป็นจะต้องบอกนาย” ใบหน้าของเรนกระตุกวูบอย่างขัดเคือง


“แล้วเรื่องที่เราทะเลาะกันอยู่นี่ก็เรื่องส่วนตัวใช่หรือเปล่านะ”


“แล้วนี่นายตั้งใจว่าจะล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของฉันใช่หรือเปล่าล่ะ” ฮินาตะชักไม่พอใจขึ้นมาเหมือนกัน


“ฮินะ”


“เรียกทำไม” โดยไม่ทันคาดคิดฝ่ายตรงข้ามก็แนบจูบลงมา ใบหน้าของฮินาตะร้อนวูบเด็กหนุ่มผลักเรนให้ถอยออกห่างจากตัว


“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย  อยู่ๆ ก็…..” ฮินาตะใช้หลังมือถูริมฝีปากไปมาด้วยความประหม่า เขามองดูเรนที่หัวเราะคิกคัก


 “ชอบนะฮินาตะ ชอบมาตั้งนานแล้ว เพราะว่าชอบนายมากถึงได้ไม่อยากให้นายมีเรื่องปิดบังฉันแม้แต่เรื่องเดียว” ใบหน้าหวานแดงเรื่อด้วยความอาย เด็กหนุ่มกลอกตาไปมาอย่างว้าวุ่นเขาสับสนไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก คิดได้อย่างเดียวคือโกรธที่อีกฝ่ายฉวยโอกาสจูบเขาโดยที่ยังไม่ได้อนุญาติ


“ตลกน่ะสิไอ้บ้า ถ้าจะละเมอก็กลับไปนอนที่บ้านเลยไป”


“นี่ก็บ้านเรานะฮินะลืมแล้วหรือ” เรนหัวเราะร่วนกับท่าทางเงอะงะของฮินาตะ รู้สึกตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็ผลุนผลันออกไปโดนมีเสียงก่นด่าเขาดังห่างออกไปเรื่อยๆ


 ภายในห้องกว้างที่ถูกตกแต่งสวยงามด้วยสีแดงของดอกกุหลาบ ไคยะกำลังนั่งสงสบสติอารมณ์ที่ร้อนรุมจนแทบระเบิด เจ้าเด็กแสบป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ ดวงตาคมกริบมองเขม่นไปด้านหน้า วันนี้แล้วสินะที่มนต์สะกดของเขาจะคลายออก ป่านนี้เจ้าจอมโวยวายคงจะตื่นจากการหลับแล้ว สามวันนับจากที่เขาจากมาโดยทิ้งฮินาตะให้อยู่เพียงลำพัง


“ถ้าไม่เกิดเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายก็จะดีมาก” ชายหนุ่มพูดกับตัวเองแล้วปลายมองไปยังคนรับใช้ที่เปิดประตูเข้ามาพร้อมถาดของว่าง


“เลือดสดๆของสาวพรหมจรรย์ขอรับ” ไคยะหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบเลือดสดๆ หลังจากที่มันถูกวางลงตรงหน้า


“เทเรซ่าล่ะ”


“ท่านเทเรซ่าติดธุระสำคัญขอรับ” คนรับใช้ชุดดำตอบคำถามก่อนจะขอตัวทว่ามือแกร่งของผู้สูงศักดิ์กลับยื่นบีบที่ลำคอของเขาแน่นร่างทั้งร่างถูกยกลอยขึ้น ดวงตาของผู้ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นนายอีกคนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว


 “ฉันใช้เวลานั่งรออยู่ที่นี่นานถึงสองวัน ถ้าไม่นับวันอีกหนึ่งวันที่ใช้ในการเดินทางมาที่นี่ก็นับได้ว่าเป็นวันที่สาม บอกมาหน่อยสิว่าเทเรซ่าอยู่ที่ไหน”


“อ่อก….อ่อก…”


“หือ…???” ไคยะเลิกคิ้วน้อยๆ มือแกร่งบีบแรงขึ้นด้วยอารมณ์ที่ระงับไม่อยู่ พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้


“อ้อ…..”  ชายหนุ่มคลายมือปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระร่างของคนรับใช้ทรุดลงกับพื้นอย่างน่าเวทนาแล้วตั้งต้นไอด้วยความทรมาณ


“บอกฉันมาทีสิว่าเทเรซ่าอยู่ที่ไหน”


“แค่ก…..แค่ก….ท่านเทเรซ่า…..”


“ว่าไง” ไคยะขมวดคิ้ว


“ท่านไม่อยู่แล้วขอรับ ท่านไปที่บ้านของท่านแฮร์โรลท่านพ่อของท่านที่ญี่ปุ่น”

ทันใดนั้นเองคนรับใช้ชุดดำก็ถูกไคยะคว้าจนตัวลอยแล้วถูกจับเหวี่ยงไปกระแทกกับกำแพงเต็มแรงสลบเหมือดแน่นิ่งไปในที่สุด


...



บทถัดไปจะเป็นตอนที่ไม่เหมือนจากเรื่องที่เคยเขียนเอาไว้ในของเก่านะคะ

พรุ่งนี้จะเอามาลงอีกนะคะ

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่5 12/9/60
«ตอบ #7 เมื่อ12-09-2017 10:12:43 »



บทที่ 5

วันนี้ก็เป็นเช้าที่น่าเบื่อเช่นเคย ฮินาตะถอนหายใจขณะเดินลงไปยังชั้นล่างของบ้าน ผ่านมาห้าวันหลังจากไคยะหายตัวไปแล้วก็นับเป็นสองวันได้ที่ถูกเรนจูบพร้อมกับสารภาพรัก

ทว่าช่วงเวลาจากตอนนั้นจนถึงปัจจุบันเพื่อนสนิทคนนั้นไม่ได้มาประจ๋อประแจ๋รอบกายอย่างที่คิดเอาไว้ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีเพราะหากว่าอีกฝ่ายพยายามรุกคืบสานต่อจากจูบคราวก่อนเขาคงทำทุกวิถีทางผลักไสเรนออกไปให้พ้นจากตัว

“ใครน่ะ” ระแวดระวังตัวเมื่อเดินผ่านห้องนั่งเล่นแล้วเห็นเงาของใครในห้องมืด ทว่าแสงสว่างที่ลอดผ่านเข้ามาทางผ้าม่านทำให้รู้ว่าคนที่อยู่ตรงนั้นเป็นผู้หญิง

“ใครนะถ้าไม่ตอบฉันจะแจ้งความนะ” ฮินาตะมองหาสิ่งที่น่าจะเป็นอาวุธให้ได้

“คิดไม่ถึงว่าหลานทั้งคนจะจำหน้ากันไม่ได้” คนปริศนาหัวเราะ ฮินาตะจำเสียงหัวเราะเย้ายวนได้ในทันที เขาไม่มีทางลืมน้ำเสียงแบบนี้

“คุณย่าเทเรซ่า” ฮินาตะเดินไปเปิดไฟ ท่ามกลางแสงไฟเจ้าของร่างระหงผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับไคยะยืนอยู่ที่ตรงนั้น

“ได้ข่าวจากแฮร์โรลว่าดื่มเลือดได้แล้วหรือ” เทเรซ่ากรีดยิ้มยั่วเย้า

“ดื่มเลือดได้แล้วจะทำไม ถ้าทำได้ผมจะไม่ดื่มมันอีกเป็นครั้งที่สอง” ฮินาตะกล่าวเสียงเย็นชา “ที่นี้จะใช้ใครมาบังคับให้ผมดื่มเลือดอีกล่ะ หรือว่าจะทำด้วยตัวเอง”

“หึหึ...ไม่ละ ฉันแค่รอให้เธอกระหายแล้วจัดการเหยื่อด้วยตัวเองก็พอแล้ว”

“คุณพูดอะไรผมไม่...” ฮินะตะตวาดเสียงแข็ง เขาหอบเบาๆด้วยความเลือดพล่านแล้วนิ่งงันไปเพราะนึกอะไรได้บางอย่าง

“นี่ก็น่าจะเป็นวันที่ห้าแล้วสินะ หลังจากไคยะทิ้งเธอไว้ ถ้าให้เดา ฉันได้กลิ่นเลือดของไคยะจากตัวเธอ นี่คงจะดื่มเลือดไคยะสินะ”

“แล้วทำไมครับ” ฮินาตะเสียงสั่นนึกกลัวรอยยิ้มแปลกๆบนใบหน้าของเทเรซ่า

“แล้วยังไงนะหรือ” เทเราซ่ากลั้วหัวเราะ “จะให้ฉันเดาต่อไปจากกลิ่นเลือดที่จางลง คาดว่าไคยะน่าจะให้เลือดเธอเมื่อห้าวันก่อน รับรองว่าไม่นานเธอต้องกระหายเลือดอีกแน่”  ฮินาตะถึงแม้กังวลกับข้อเท็จจริงแต่เลือกจะสะบัดหน้าเดินหนี

“อ้าวจะไปไหนล่ะ” เทเรซ่าทำเสียงเย้าแหย่

“ไปให้พ้นจากหน้าคุณไง”

“แต่ฉันมีข้อเสนอนะ”

“ผมไม่มีอารมณ์จะฟัง”

“ฟังก่อนเถอะ” เทเรซ่าเข้ามายืนข้างกายเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ มือเรียวเชยคางเด็กหนุ่มให้หันไปสบตา

“มีวิธีที่จะทำให้เธอไม่กระหายเลือดอีกต่อไป” ฮินาตะใจเต้นระทึกเขารอฟังอยู่

“ถ้าเธอดื่มเลือดของฉันและเข้าพิธีเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นดาร์คฮาร์ฟ นอกจากจะไม่ต้องดื่มเลือดแล้วเธอยังจะมีชีวิตอมตะไม่แก่ไม่ตายมีสภาพแบบเดียวกับมินาโกะแม่ของเธอ”

“แต่นั้นมันเป็นพิธีแต่งงานของแวมไพร์กับมนุษย์นี่” ฮินาตะรู้ดีว่าพีธีกรรมสร้างดาร์คฮาร์ฟมีจุดประสงค์เช่นไร ทั้งหมดเพื่อให้คนรักของแวมไพร์เป็นอมตะพร้อมทั้งยังสร้างประโยชน์เป็นแหล่งเลือดให้ไปจนกว่าจะตายไปพร้อมกัน

“คุณจะแต่งงานกับผมหรือคุณย่า”

“ทางนิตินัยล่ะก็ใช่แต่ทางพฤตินัยนี่ต้องขอคิดดูก่อน” เทเรซ่าหัวเราะเจ้าเล่ห์

“ผมขอปฏิเสธ”

“ทำไม” เทเรซ่ามีสีหน้าเคร่งขรึม

“เพราะผมเกลียดคุณ ถ้าจะให้ต้องมีชีวิตอมตะร่วมกับคุณไปจนตายผมยอมตายดีกว่า”

“อ้อ...” เทเราซ่าเหยียดยิ้มเย้ยหยัน “คงยังโกรธที่ฉันใช้ให้ไคยะไปบังคับให้ดื่มเลือดสินะ อยากให้รู้ไว้ว่าไคยะเต็มใจทำเอง”

“ผมไม่สนเรื่องนั้น มันนานเกินจนลืมไปแล้ว”

“งั้นรึ” เทเรซ่าทำเสียงล้อเลียนพลางยื่นหน้าเขามากระซิบข้างหู “รู้กันแค่สองคนนะ เธอแอบรักพี่ชายตัวเองใช่ไหม”

ฮินาตะกัดฟันกรอด ใบหน้าของเขาแดงซ่านด้วยทั้งโกรธและอาย เด็กหนุ่มพลุนพลันออกจากบ้านไปโรงเรียนโดยมีเสียงหัวเราะดังไล่หลังมา

“ทำไม” ฮินาตะพึมพำด้วยความอึดอัดใจเมื่อหน้าห้องเรียนอาจารย์ประจำสายชั้นแนะนำตัวเทเรซ่าให้รู้จักในฐานะอาจารย์คนใหม่

“ตั้งแต่วันนี้ไปอาจารย์เทเรซ่า น็อกซ์จะมาสอนแทนจนกว่าอาจารย์มิยาชิตะจะกลับมาสอนต่อได้นะ” อาจารย์ประจำสายชั้นกล่าวกับนักเรียนในห้อง

ทำไงดี ถ้าต้องถูกจับตามองตลอดเวลาเขาจะทำอะไรได้ แถมเทเรซ่ายังเป็นพวกกระหายเลือดกินไม่เลือกหน้าไม่รู้ว่าพวกนักเรียนจะเจอกับอะไรบ้าง

ขณะที่คิดเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ยกมือขึ้นปิดจมูกของตน ขนลุกเกรียวเมื่อกลิ่นเลือดที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนังของเพื่อนๆ กระตุ้นเร้าเขาจนกระสันอยาก ทำไมต้องมาเป็นตอนนี้ด้วยนะ

“อ้าวเธอตรงนั้นเป็นอะไรไปหรือเปล่า” เทเรซ่าซึ่งแสร้งทำเป็นคนไม่รู้จักเดินนวยนาดเข้ามาใกล้

“ไม่เป็นไรครับ” เขาจวนเจียนจะถึงขีดจำกัดแล้วยังไงก็ต้องไปจากที่นี่ เด็กหนุ่มรู้ได้จากร่างกายที่สั่นระริกเหมือนคนป่วย

“ผมจะไปห้องพยาบาลครับ” ลุกขึ้นยืนอย่างปุ๊บปั๊บ ระหว่างก้าวเดินดันสะดุดขาตัวเองล้มลงไปท่ามกลางสายตาของผู้คนในห้อง แข้งขาเขาอ่อนแรงไปหมดเพราะขาดเลือดนั่นเอง

“คุณคนนั้นน่ะ”

“คะ” เด็กสาวขานรับเทเรซ่า

“คุณช่วยพยุงเด็กคนนี้ไปห้องพยาบาลทีสิจ๊ะ” นักเรียนหญิงเข้ามาพยุงตัวฮินาตะไปห้องพยาบาลโดยมีเทเรซ่าเดินตามไปติดๆ

บ้าที่สุดแค่ขืนไม่ให้กระหายก็เต็มทนแล้ว นี่เขาไม่มีแรงแม้แต่จะกล่าวปฏิเสธ

“ค่อยๆนั่งนะคามิชิโระคุง” นักเรียนหญิงประคองฮินาตะที่อ่อนระโหยด้วยความอยากให้นั่งลง ขณะที่พยุงก็เผยช่องว่างให้เขางับต้นคอได้ในระยะประชิด ลำคอขาวผ่องกับกลิ่นของสาวบริสุทธิ์ทำให้เด็กหนุ่มขาดสติเผยอปากหมายฝังเขี้ยวลงไป ทว่าสายตาเจ้ากรรมดันปะเข้ากับเทเรซ่าซึ่งยืนยิ้มกริ่มดังนั้นเขาจึงผลักเด็กสาวให้ออกห่างจากตัว

“ออกไป”

“เอ๋...อะไรกัน” เด็กสาวงุนงงไปหมดเธอถูกผลักจนเซแล้วยังถูกไล่ด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร

“เธอกลับไปที่ห้องเรียนเถอะจ๊ะเดี๋ยวครูจัดการเอง”

“ค่ะ” เด็กสาวมองดูฮินาตะด้วยแววตาสงสัยก่อนจะเดินจากไป เมื่ออยู่ตามลำพังเทเรซ่าก็ระเบิดหัวเราะชอบใจ

“ความยับยั้งชั่งใจต่ำ ความกระหายเลือดที่มากกว่าแวมไพร์ปกติหลายเท่า สมกับที่เป็นเดมี่แวมไพร์ผู้พิกลพิการในหมู่แวมไพร์จริงๆ” หล่อนถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

“หากว่าเป็นแดมพีลคงไม่สร้างความลำบากใจให้มากถึงขนาดนี้” เทเรซ่าเดินเข้าไปใกล้ฮินาตะใช้ปลายนิ้วเกี่ยวคางให้หันมาสบตา “กลับกลายเป็นผ่าเหล่าในทางแย่ๆซึ่งมีความเป็นไปได้แค่เพียงน้อยนิดเท่านั้น รู้ไหมว่าการปล่อยให้เธออยู่ร่วมกับมนุษย์ต่อไปมันเสี่ยงต่อการคงอยู่ของเผ่าพันธ์มากแค่ไหน ว่ายังไงจะยอมเป็นดาร์คฮาร์ฟของฉันหรือว่าจะปล่อยให้ฉันฆ่าทิ้งตรงนี้ตามกฎของเผ่า”

ต้องตายอย่างนั้นหรือ เขายังไม่อยากตาย แต่ก็กลัวผลลับของข้อเสนอที่ได้รับมา หากเลือกที่จะเป็นดาร์คฮาร์ฟอาจไม่มีวันได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ปกติอีก ยิ่งกว่านั้นยังตนทนอยู่กับคนที่เกลียดตลอดกาลอีกด้วย

“เลือกมา” เทเรซ่าใช้มือบีบเข้าที่ลำคอของฮินาตะอย่างหลวมๆ บอกชัดว่าถ้าปฏิเสธจะฆ่าทิ้งอย่างแน่นอน

“ฉัน...” ฮินาตะกัดฟันกรอดพร้อมกับหลับตาปี๋ ถ้าจะต้องเลือกในตอนนี้ยังไงก็ไม่อยากตาย “ฉัน...”

“จะไม่มีใครเป็นดาร์คฮาร์ฟของใครทั้งนั้น” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นในจังหวะที่สถานการณ์ตึงเครียด ฮินาตะลืมตาตาขึ้น เทเรซ่าบีบรัดคอของเขาจนต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บปวด

“เห...” เทเรซ่าลากเสียงยั่วเย้าขณะหันไปมองไคยะซึ่งยืนตระหง่านยังเบื้องหน้าเธอ “แกนี่มาขัดจังหวะกันได้นะ”

“ขัดจังหวะอะไรไม่ทราบยัยเฒ่า”

“แกเปลี่ยนไปนะ กลายเป็นคนก้าวร้าวอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เทเรซ่าห่อไหล่แสร้งทำเป็นกลัว เมื่อหลานชายคนโตส่งสายตาแข็งกร้าวมาให้

“ปล่อยมือจากเจ้านั่นแล้วกลับรังลับไปซะ”

“ปล่อยหรือ” เทเรซ่าทำเสียงจุจุในปากพร้อมกับบีบคอฮินาตะแน่นยิ่งกว่าเดิม

“อึก...” ฮินาตะครางขณะที่เจ็บยังรับรู้ได้ถึงความร้อนรนของไคยะ เป็นห่วงเขาด้วยหรือ ทำไมล่ะทั้งที่ก่อนหน้านั้นเมินเฉยกันมาตลอดหลายปี จนเขาคิดว่าถูกพี่ชายเกลียด

“ถ้าเจ้านั่นเป็นอะไรไปฉันจะฆ่าเธอซะ” ดวงตาของไคยะฉายแววอำมหิต

“แกกล้าฆ่าผู้นำอย่างฉันงั้นรึ” เทเรซ่าหัวเราะอย่างประสงค์ร้ายพลางจิกเล็บลงบนลำคอของฮินาตะจนเลือดไหลซิบ

“ยังไงฉันก็จะขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไปอยู่แล้ว แวมไพร์แก่ๆ ทิ้งไว้ให้มีชีวิตก็เปล่าประโยชน์”

“พูดได้ดี” เทเรซ่ากล่าวเสียงเนิบนาบ พลันลงมือกับฮินาตะอย่างไม่ปรานี ทว่าไคยะไวกว่ามากเข้าถึงตัวในทันที ผู้เป็นย่าแก้ลำด้วยการเหวี่ยงหลานคนเล็กเข้าใส่

“แค่กๆ” ฮินาตะไอโขลกๆในอ้อมกอดของไคยะ แววตาที่มองสบมาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

“พี่” ฮินาตะรู้สึกอยากจะร้องไห้ เขาเจ็บปวดที่ใจอย่างไม่อาจอธิบายทั้งยังร้าวที่บริเวณบาดเจ็บอีกด้วย

“ยัยเฒ่าทำนายเจ็บถึงขนาดนี้” เสียงของไคยะช่างรวดร้าวราวกับเป็นคนเจ็บเสียเอง

“กลับรังลับไปซะ” ชายหนุ่มกระชับฮินาตะไว้ในอ้อมกอด

“กลับงั้นหรือ” เทเรซ่าหัวเราะด้วยสีหน้าเย้ยหยัน

“บอกไว้ก่อนนะไคยะว่าเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว ถ้าไม่อยากให้มีปัญหามอบฮินาตะมาให้ทางนี้จะดีกว่า”

“ไปให้พ้น” เทเรซ่ามองดูสองพี่น้องด้วยแววตาเวทนา เจ้าหล่อนกลายร่างเป็นค้างคาวยักษ์บินออกนอกหน้าต่างหายลับไป

“คุณคิซาระจะมาที่นี่หรือ” ฮินาตะกังวล เด็กหนุ่มรู้จักคิซาระดีเพราะหล่อนมักมาหาในวันเกิดของไคยะทุกปี ยกเว้นห้าปีหลังที่ไคยะไปงานฉลองวันเกิดตัวเองที่รังลับ

“ไม่จำเป็นที่นายต้องใส่ใจ ถ้าฉันห้ามไม่ให้มาคิซาระก็จะไม่มา”

ไคยะมีสีหน้าเคร่งขรึม ฮินาตะซุกใบหน้าลงไปบนอกของพี่ชายด้วยความรู้สึกสับสน คิดไปเองหรือเปล่านะเขาไม่ต้องการให้คิซาระมาที่นี่ ที่บ้านซึ่งเขาอาศัยอยู่กับพี่ชายตั้งแต่แรกเกิด



...



เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างน้า

ฝากกดติดตามเพจบ้างน้า   https://web.facebook.com/Violasheep-143717016230496/

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่6 13/9/60
«ตอบ #8 เมื่อ13-09-2017 10:12:13 »



บทที่6

“เธอเองหรือคือเด็กที่จะมาเป็นน้องสามีของฉัน” คิซาระยื่นหน้าเขามาใกล้ ดวงตาสีฟ้าใสไม่ได้ดูเป็นมิตรเหมือนใบหน้าที่ยิ้มอยู่

“เป็นน้องชายที่ดูน่ารักเสียจริงนะ” คิซาระกล่าวเสียงแหลมสูงฟังดูแล้วเหมือนเธอไม่พอใจฮินาตะอย่างไรชอบกล

“นี่ช่วยหน่อยเถอะนะ ช่วยออกห่างจากไคยะให้ฉันได้มีโอกาสใกล้ชิดเขาบ้างสิ” กล่าวพลางสะบัดศีรษะไปมาเพื่อไล่ผมบรอนด์สวยที่ปรกบนใบหน้าออกไปแล้วฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม

“เธอช่วยหายๆไปเสียทีได้ไหมพ่อหนูแวมไพร์พิกลพิการ รู้ไหมว่าเธอเป็นภาระที่ไคยะต้องแบกรับนะ”

ฮินะตะตื่นจากฝันนานแล้วที่ไม่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ในอดีตขณะนอนหลับเช่นนี้ ทำไมเขาต้องฝันถึงคุณคิซาระด้วยนะ บ้าชะมัด วันนี้ต้องเป็นวันที่เขาซวยที่สุดในรอบปีแน่ๆเลย

ไม่สิเมื่อวันก่อนเป็นวันที่ไม่น่าเชื่อที่สุดในรอบปีมากกว่าเพราะไคยะกลับมาคอยเอาใจใส่เขาอีกครั้ง พี่ชายทั้งคอยทำแผลปลอบโยนและอธิบายอย่างใจเย็นจนเขาเข้าใจว่าทำไมต้องดื่มเลือดของพี่ลงไป

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำตามที่ไคยะต้องการแต่ว่ากับฝ่ายนั้นไม่ได้ญาติดีกันมาตั้งห้าหกปีแล้ว ถึงเมื่อวานจะเชื่อฟังคำพูดทุกคำ กระนั้นเขากำลังเสียขวัญทั้งยังเจ็บตัวทำให้ว่าง่ายไปเสียทุกเรื่อง นึกๆดูแล้วมันก็น่าอายแม้จะเป็นการดูดเลือดจากข้อมือของพี่ชายก็ตาม

ควรจะวางตัวยังไงดีนะ ฮินาตะก้าวเท้าลงบันไดเมื่อเดินไปถึงห้องรับแขกได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆของหญิงสาวมากกว่าสองคน เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเข้าหากันพอจะเดาอะไรได้บางอย่าง

“อุ๊ยตาย น้องชายของไคยะหรือน่าร๊าก...” หญิงสาวในชุดรัดรูปกล่าวชมเธอวาดลีลาชงเหล้าแล้วส่งให้ไคยะรับไป

“มองอะไรเจ้าเด็กประหลาด ไม่ใช่เรื่องของเด็กนะไปโรงเรียนซะสิ” ไคยะโบกมือไล่ด้วยท่าทางประหนึ่งราชาก่อนจะหันไปประกบจูบกับหญิงสาวข้างกายเมื่อเจ้าหล่อนเหนี่ยวคอแล้วเสนอจูบมาให้ จากนั้นจึงกลายเป็นว่าผู้หญิงที่เหลือพากันร้องขอให้ชายหนุ่มมอบจูบให้กันอย่างเท่าเทียม

ไม่ได้เปลี่ยนหรือดีขึ้นเลยซักนิด ฮินาตะส่ายหน้ากระแทกเท้าเดินหนีออกจากบ้านมา รู้สึกหมดศรัทธาเมื่อวานทำดีด้วยคงแค่สงสารเพราะเห็นเขาเจ็บไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น โชคยังดีที่หลังจากดื่มเลือดของไคยะเข้าไปบาดแผลก็สมานตัวเหลือแต่รอยชมพูจางๆ

 “ฮินะ” ฮินาตะตะขิดตะขวงใจอย่างไรบอกไม่ถูก เมื่อพบว่าเรนมารอรับอยู่ที่หน้าบ้าน เด็กหนุ่มยังจดจำรสชาติจูบของเพื่อนคนนี้ได้ดีจนขึ้นใจ

“มีอะไรหรือเปล่ามาแต่เช้า”

“วันนี้เราขับรถมารับฮินะไปโรงเรียนด้วยกันไง” ฮินาตะปรายตามองมอเตอร์ไซด์คันโตที่จอดอยู่ด้านข้าง

“ขับไปโรงเรียนจะดีหรือ”

“ไม่ได้จอดที่โรงเรียนแต่จะไปจอดบ้านคนรู้จักเดินต่อไปอีกนิดก็ถึงโรงเรียนแล้ว” เรนเดินมาจูงมือนำฮินาตะไปยังรถ พลันได้ยินเสียงหัวเราะของบรรดาสาวๆ ไล่หลังมา เด็กหนุ่มหันกลับไปมอง

“อรุณสวัสดิ์ครับคุณไคยะ” เรนทักทายรอยยิ้มพึงพอใจผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อได้เห็นสาวๆที่รุมล้อมไคยะ

“สวยๆทั้งนั้นเลยนะครับ” ไคยะมองดูเรนด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่งแล้วกระตุกยิ้มเมื่อสบตากับฮินาตะ

“ถ้าสนใจจะแนะนำให้”

บรรดาหญิงสาวส่งเสียงเกรียวกราวเพราะพวกเธอเองก็สนใจในตัวเรนเช่นกัน พวกหล่อนช้อนสายตามองไคยะพลางถามเสียงจอแจว่าจะดีหรือ เมื่อไคยะผงกหัวอนุญาตจึงพากันกรูเข้าไปเขียนเบอร์โทรของตนบนมือของเรนทันที

“บายนะจ๊ะ” พวกสาวๆเอ่ยลาก่อนพากันเดินตามไคยะขึ้นรถคันหรูแล้วขับจากไป

“หึหึ” เรนหัวเราะในลำคอ จะไม่ให้เขาบันเทิงใจได้อย่างไร ในเมื่อศัตรูหัวใจยังคงเฉยชาต่อคนที่เขารักเช่นเดิม ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ฮินะไม่มีทางจะหันกลับไปสนใจคนคนนั้นเด็ดขาด เขารู้นิสัยฮินะดีหัวแข็งดื้อรั้นนิสัยนั้นไม่เคยเปลี่ยน

“เหมือนกันไปหมด” ฮินาตะมีสีหน้าผิดหวัง เด็กหนุ่มสาวเท้าหนีเรนไปตามทาง

“อ๊ะ..ฮินะ” เรนรีบเดินตาม ร่างสูงคว้ามือของฮินาตะมากุมไว้

“เราแค่นึกสนุกที่สามารถทำให้ผู้หญิงของคุณไคยะสนใจได้เท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นอย่างอื่น เอ๊ะ...หรือว่าฮินะหึง” เรนฉีกยิ้มกว้าง ฮินะตีหน้าบึ้งสนิทจนเขาหุบยิ้ม

“เราก็นึกว่าฮินะจะหึงเราบ้าง”

“หึงบ้าอะไร เราสองคนเป็นเพื่อนกัน” สาวเท้าเดินหนีทว่ากลับถูกเรนกระตุกแขนวูบ เพื่อนสนิทประทับจูบลงมาบนแก้ม

“ทำบ้าอะไรนี่...” ฮินาตะหน้าแดงก่ำอับอายระคนโกรธ

“เราแค่อยากขอโทษเท่านั้น” เรนยักไหล่แล้วปั้นหน้าจริงจัง “ที่เราสารภาพรักไปเราจริงจังนะ”

“เรื่องนั้น...มัน...” ปั่นป่วนใจอย่างไรบอกไม่ถูกเมื่อถูกเรนมองด้วยแววตาที่แสดงความรักอย่างลึกซึ้ง

“ฮินะต้องให้เรารออีกนานแค่ไหนถึงจะตอบรับรักเรา”

“ฉัน...”

ใบหน้าฮินาตะบิดเบี้ยวไปมา เขาในตอนนี้ทั้งอึดอัดเต็มตื้นและรู้สึกผิด อึดอัดที่เพื่อนสนิทสมัยเด็กเอาแต่คาดคั้น เต็มตื้นเมื่อมีผู้ชายดูดีมาอ้อนว้อนขอความรักพร้อมทั้งพะเน้าพะนอ รู้สึกผิดเพราะเขาในตอนนี้ไม่อาจพูดได้ว่าคิดอย่างไรกับเรนกันแน่

อาจเป็นเพราะอยู่ข้างกันในฐานะเพื่อนสนิทมานาน คงเป็นการยากที่จะให้ก้าวข้ามความเป็นเพื่อนไปเป็นคนรักอย่างที่เรนต้องการ

“คนเขาคิดว่านายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเลยแท้ๆ”

 ฮินาตะทำหน้าเศร้าๆ ทว่าเรนกลับรู้สึกทั้งขมขื่นและแช่มชื่นในอก แค่สีหน้าท่าทางของฮินะก็รู้ว่าเขามีค่าพอที่จะทำให้แสดงใบหน้าแบบนี้ออกมา แต่ไม่พอใจกับการเป็นเพียงเพื่อนสนิทเขาต้องได้มันมากกว่านั้น

“ฮินะ” เรนรั้งร่างของฮินะเข้ามากอดไว้อย่างหลวมๆโดยที่เจ้าตัวตั้งสติไม่ทัน

“ขอจูบได้ไหม” ฮินาตะส่ายหน้าไปมาพร้อมกับส่งสายตาตำหนิมาให้

“ฮินะคงคิดว่าเรากำลังเอาเปรียบสินะ”

“หรือว่าไม่จริง”

เขาจะร้อนรนไปทำไมนะ ทั้งที่อดทนมาได้ตั้งหลายปี คิดดังนั้นเรนก็หัวเราะเบาๆแล้วคลายอ้อมกอดปล่อยให้ฮินาตะเป็นอิสระ

“นึกว่านายจะกลายเป็นพวกชอบข่มเหงน้ำใจไปแล้วเสียอีก”

“ก็ถ้าฮินะปฏิเสธเราอาจจะกลายเป็นคนประเภทนั้นก็ได้ใครจะรู้” เรนยกยิ้มมุมปาก ฮินาตะเบ้หน้าอย่างไม่เห็นด้วย   

“นายไม่ใช่คนแบบนั้นฉันรู้จักนายดี”

“ฮินะยังไม่รู้จักเราดีพอหรอก”

“รู้จักสิ”

“ไม่หรอก” ทั้งคู่ยืนจ้องตากันอย่างดุดันจนราวกับมีประกายไฟในดวงตา

“งั้นฉันไปโรงเรียนดีกว่าไม่อยากเสวนากับคนที่ยังไม่รู้จักดีพอ”

“ฮินะ”

“อะไร” สะบัดเสียงด้วยความกรุ่นโกรธ

“มันจะสายแล้วนะไปรถเราดีกว่า” ฮินาตะมองดูนาฬิกาในมือถือแล้วก็พบว่าเป็นเรื่องจริง เขายืนทำตาปริบๆ

“ไปกับเราเถอะ” เรนจับจูงมือฮินาตะนำมายังรถของตน อีกฝ่ายซ้อนท้ายเขาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

“ยังอยู่อีกหรือ” เมื่อมาถึงโรงเรียนก็พบกับคนที่ไม่ชอบหน้า นึกว่าคนคนนี้จะกลับรังลับไปแล้วเสียอีก

“อุ๊ยตาย พูดอย่างนี้กับอาจารย์ได้ยังไงกันจ๊ะ” เทเรซ่าหัวเราะ วันนี้เธอได้รับมอบหมายให้มาเฝ้าประตูรอคอยนักเรียนที่เดินทางมาในช่วงเช้า

“คุณควรจะกลับไปได้แล้ว”

“ฉันจะกลับไปต่อเมื่อพาเธอไปด้วยได้” เทเรซ่ายิ้มกริ่ม ฮินาตะชิงชังรอยยิ้มแบบนี้ของผู้เป็นย่ายิ่งนัก

“ใครนะฮินะ” เรนเฝ้ามองดูบนสนทนาของทั้งคู่นานแล้ว เขาจำได้ว่าคนคนนี้เป็นอาจารย์ที่ย้ายเข้ามาใหม่ แถมยังมีใบหน้าคล้ายกับไคยะราวกับฝาแฝดต้องมีอะไรบางอย่างแน่ถ้าเดาไม่ผิด

“คุณย่าของฉันเอง” เรนไม่แปลกใจเท่าไหร่นักเมื่อได้ฟังความจริง

“พ่อหนุ่มคนนี้ใครกันเอ่ย” เทเรซ่าลากเสียงยั่วยวนพร้อมกับโปรยยิ้มทรงเสน่ห์ สำหรับเรนแค่หน้าตาที่เหมือนไคยะทำให้ไม่น่าเข้าไปยุ่งด้วยอยู่แล้วการที่จงใจหว่านเสน่ห์ก็ยิ่งไม่น่าไว้วางใจ

“ไม่เกี่ยวกับคุณ” ฮินาตะตวาด

“ต้องเกี่ยวสิจ๊ะ ถ้าเป็นเพื่อนของเธอเราก็ควรรู้ว่าพ่อหนุ่มคนนี้รู้ตื้นลึกหนาบางของครอบครัวเราไปมากแค่ไหน” เทเรซ่าคุกคามอย่างเห็นได้ชัด

“หมอนี่ไม่เกี่ยว” ฮินาตะรุนหลังให้เรนเดินเข้าไปในโรงเรียน เลือกจะไม่สนใจเทเรซ่าจอมเจ้าเล่ห์ที่มองตามมา

“ไม่มีอะไรแน่นะฮินะ” สำหรับเรนนั้นโดยสัญชาติญาณเขาไม่ไว้ใจคุณย่าของฮินะเลยซักนิด ยิ่งเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ่งปักใจเชื่อว่าคนคนนั้นไม่ใช่คนดีแน่นอน ดังนั้นจึงเค้นเอาความจริงจากฮินะแล้วก็ได้รับคำตอบ

“สรุปว่าคุณย่าจะพาตัวฮินะกลับไปด้วยอย่างนั้นหรือ” เรนมีสีหน้าเย็นชา

“ใช่”

“ทำไม”

“เพราะว่ายิ่งนานเข้าความกระหายเลือดของฉันจะเริ่มรุนแรงขึ้น ไม่มีใครบอกแต่รู้สึกได้เอง”

“แต่ตอนนี้ฮินะก็ปกติดีอยู่นี่นา”

“เรื่องนั้นมันเพราะ...” ฮินาตะลังเลที่จะบอก “เพราะฉันดื่มเลือดจากไคยะ”

“อะไรนะ” เรนมีสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวานหรือแล้วรอยแผลล่ะ”

“คงเป็นเพราะได้ดื่มเลือดจำนวนมากเข้าไปมั้งร่างกายเลยสมานแผลเหลือแค่รอยจางๆ”

“ขอดูหน่อยสิ” ฮินาตะเปิดคอเสื้อให้เร็นดู

“ฮินะ ดูดเลือดของคุณไคยะมากี่หนแล้ว” เรนกล่าวขณะตรวจรอยจางๆบนลำคอ

“ซักสองครั้งได้มั้ง”

“ฮินะถ้าทนไม่ไหวจะดูดเลือดเราก็ได้นะ”

“ไม่ล่ะถ้าไม่จำเป็นก็ไม่อยากดูดเลือดใคร”

“แต่ถ้าตามที่ฮินะเล่า ร่างกายฮินะอยู่โดยขาดเลือดไม่ได้นี่”

“นั่นมัน...” ถูกต้อนจนมุมเสียได้ ฮินาตะไม่ได้เล่าเรื่องที่คุณย่าจะเปลี่ยนเขาเป็นดาร์คฮาร์ฟให้เรนฟัง

“ถ้ากลับไปอยู่กับคุณย่าจะมีวิธีหรือ หรือว่าทางนั้นจะหาเหยื่อให้ไปเรื่อยๆ ฮินะไม่ชอบไม่ใช่หรือแล้วทนได้หรือที่จะต้องดูดเลือดคนอื่นไปเรื่อยๆ”

“แล้วจะให้ทำไง” ฮินาตะเสียงแข็งเนื่องจากโมโหที่อีกฝ่ายอธิบายถึงปัญหาไร้ทางแก้จนเห็นภาพชัดเจน ทว่าเรนยังไม่รู้วิธีแก้ปัญหาของเทเรซ่าหากได้ฟังจะทำหน้าอย่างไรนะ

“ฮินะทำไมไม่หาแหล่งเลือดถาวรล่ะ” เรนยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหู “ถ้าเราเสนอตัวเอง ฮินะจะรับพิจารนาไหม”

“นายยอมหรือ” ฮินาตะเสียงสั่นไม่อาจเก็บความกังวลและสับสนได้อีกต่อไป

“ถ้าเป็นเงื่อนไขที่จะทำให้เราได้อยู่กับฮินะตลอดไปเรายอม”

“นายจะขาดทุนนะ ยกตัวอย่างเช่นถ้าฉันมีชีวิตเป็นอมตะเรนจะต้องตายไปก่อนหรือในขณะที่ฉันไม่แก่เรนจะแก่ลงไปเรื่อยๆ นายทนได้หรือ”

“แล้วฮินะทนเห็นเราแก่ตายไปต่อหน้าต่อตาได้ไหมล่ะ” เรนยิ้มหยัน

“เรื่องนั้น...”

 ฮินาตะครางเบาๆ เรนไม่เข้าใจเรื่องที่เขาเป็นเดมี่แวมไพร์ เขาไม่ได้เป็นอมตะและไม่สามารถทำให้ใครเป็นแวมไพร์ได้ ที่เขาพูดทั้งหมดแค่อยากทำให้กลัวแล้วตัดใจไปเสียเท่านั้นเอง กลายเป็นว่าสร้างความคาดหวังอีกรูปแบบหนึ่งให้เสียแล้ว

“ฮินะ ถ้าต้องการละก็เรายินดีสละเลือดของเราให้ไปทั้งชีวิต ฮินะไม่ต้องกังวลว่าเราจะขาดทุนเพราะเราไม่ใช่คนใจกว้าง บางทีวันใดวันหนึ่งก่อนที่เราจะตายเราอาจหาวิธีฆ่าฮินะให้ตายไปก่อนก็ได้ใครจะรู้” เรนยิ้มหวานฮินาตะตัวแข็งทื่อด้วยตกใจในความคิดของเพื่อนสนิทคนนี้

“นายจะไม่ต้องฆ่าใครหรอก” ฮินาตะยอมจำนน “เพราะฉันถึงจะกระหายเลือดแต่ก็ไม่ได้เป็นอมตะเหมือนแวมไพร์ตนอื่น”

“อย่างนั้นสินะ” เรนกระตือรือร้น “แล้วคุณไคยะล่ะ”

“ไคยะเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ยังไงก็เป็นอมตะอยู่แล้ว ดีใจอะไรนักหนา” ฮินาตะเอือมระอาต่อเรนที่ทำหน้าดีอกดีใจเสียเต็มประดา

“คุณไคยะคงผิดหวังเรื่องนี้น่าดู” เรนเหยียดยิ้มสมใจ เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่ไคยะอาจทำทุกวิถีทางในการยืดอายุไขให้ฮินาตะ

“ทำไมไคยะจะต้องผิดหวังด้วยในเมื่อหมอนั่นไม่สนใจฉันอยู่แล้ว”

“ฮินะไม่เข้าใจก็ดีแล้วเราไม่อยากให้เข้าใจหรอกตลอดไปเลย”

เพราะอะไรนะหรือ เขารู้ดีจากสายตาของคนที่มองดูพี่น้องคู๋นี้มาตลอด ไคยะรักฮินาตะ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็แค่หลอกตัวเองไปวันๆ ทีแรกเข้าใจว่าเป็นแค่เรื่องการเป็นพี่น้อง ทว่าท่าทางคงจะเจ็บปวดที่ต้องเห็นน้องชายแก่ตัวไปเรื่อยๆจึงตีตัวออกห่าง หึ...ขอให้หนีความจริงให้ได้อย่างนี้ตลอดไปเถอะ



...



เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างน้า

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: vampire kiss บทที่6 13/9/60
«ตอบ #9 เมื่อ13-09-2017 11:58:18 »

 :pig4:  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: vampire kiss บทที่6 13/9/60
« ตอบ #9 เมื่อ: 13-09-2017 11:58:18 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่7 14/9/60
«ตอบ #10 เมื่อ14-09-2017 11:14:28 »

บทที่7

“พอใจแล้วสินะ” ฮินาตะกล่าวอย่างหงุดหงิดหลังจากทำการสูบเลือดจากข้อมือไคยะตามคำสั่ง อันที่จริงก็รู้อยู่นะว่าตัวเองได้ผลประโยชน์เต็มๆ แต่ยังไม่วายต่อต้านชายหนุ่มจนติดเป็นนิสัย

“เด็กดี” ไคยะหาได้ถือสาไม่ ทำเพียงแค่กล่าวชมพร้อมทั้งยกยิ้มละมุนละไม ทั้งสองอย่างที่ได้รับมานี้มันทำให้ฮินาตะอดคิดถึงเมื่อครั้งยังเป็นเด็กไม่ได้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มเห่อร้อนแบบแปลกๆ เกลียดตัวเองที่เป็นอย่างนี้จริงๆ

“ถ้าไม่คอยย้ำเตือนบ่อยๆ ว่าฉันสร้างความเดือดร้อนให้ฉันก็ไม่คิดที่จะว่าง่ายอย่างนี้หรอก” รู้ว่าเป็นคำพูดอวดดี แต่ก็ยังกล่าวออกไปทำอย่างนี้เพื่อปิดบังความรู้สึกประหลาดๆ ที่เล่นงานเขาอยู่

“ดูเหมือนว่าจะไม่ได้โตแต่ตัวสินะ” ไคยะยิ้มเยาะ รอยยิ้มนั้นสร้างความหงุดหงิดให้ฮินาตะเป็นทวีคูณ บ่อยครั้งที่หมอนี่ชอบยิ้มแบบนี้ เด็กหนุ่มตีความได้อย่างเดียวว่ากำลังเย้ยหยันหรือล้อเลียนความเป็นตัวเขามาโดยตลอด

“ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมอย่างนั้นฉันไปโรงเรียนนะ”

“เดี๋ยวก่อน” ฮินาตะหยุดชะงักการก้าวเดินหันกลับไปมองไคยะรอคอยว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

“ยังไงฉันก็ต้องไปโรงเรียนของนายเหมือนกันติดรถฉันไปดีกว่า”

“พี่จะไปโรงเรียนของฉันทำไม” ฮินาตะทำสีหน้ายุ่งยากใจ อย่าบอกนะว่าคิดอยากจะทำตัวเป็นผู้ปกครองแสนดี มันไม่โอเคเลย ถ้าจะให้ดีช่วยปล่อยเขาเอาไว้เหมือนเดิมอย่างที่เคยจะดีที่สุด

“ฉันเป็นครูฝึกสอนที่โรงเรียนของนายและจะเริ่มสอนวันนี้ นี่คือเหตุผลชัดเจนไหม”

ฮินาตะเผลอครางเสียงประหลาดออกมา คิดไม่ถึงจริงๆ คนไร้สามัญสำนึกอย่างไคยะกลับเลือกประกอบอาชีพอาจารย์ แต่ถึงอย่างนั้นในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้านจึงได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไปยังรถซึ่งจอดรออยู่ด้านนอก

หลังจากการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของไคยะในฐานะอาจารย์ฝึกสอน พวกนักเรียนสาวก็วุ่นวายกันทั้งวัน ฮินาตะถูกพวกเธอผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาซักไซ้ประวัติส่วนตัวของไคยะ

“คามิชิโระคุงๆ อาจารย์ฝึกสอนคนใหม่เป็นอะไรกับเธอหรือจ๊ะ”

ถูกรุมล้อมโดยเด็กสาวอีกครั้งในตอนพักเที่ยง ฮินาตะคิดว่ามันช่วยไม่ได้ ถึงแม้จะรำคาญแต่ไปเป็นศัตรูกับเด็กผู้หญิงนี่เขาขอผ่าน ดังนั้นจึงให้ความร่วมมืออย่างดี

“อาจารย์ไคยะเป็นพี่ชายของฉัน”

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องรู้สิว่าอาจารย์ไคยะเขาชอบอะไรเป็นพิเศษ”

“อะไรที่ว่านี่หมายถึง...” ฮินาตะย้อนถาม เขาอยากให้จำเพาะเจาะจงลงไปมากกว่านี้

“ก็อย่างเช่นอาหารที่ชอบ หรือผู้หญิงแบบที่ชอบนะสิ”

“เอ่อ...อาหารแบบที่ชอบหรือ...”

จะตอบได้ไงว่าหมอนั่นชอบเลือด แถมผู้หญิงแบบที่ชอบก็ไม่เลือกเหมือนกัน แต่ท่าทางคงจะชอบคนสวยเพราะผู้หญิงที่ควงด้วยล้วนแล้วแต่สวยสุดยอดทั้งนั้น เหนื่อยใจชะมัด ฮินาตะพยายามเรียบเรียงคำตอบให้เพื่อนนักเรียนหญิง

“เห็นว่ากินได้ทุกอย่างนะ ส่วนผู้หญิงที่ชอบ ก็คบแต่คนสวยๆดูเป็นผู้ใหญ่ คงชอบแบบสาวเต็มวัยสุดเซ็กซี่ละมั้งนะ”

พวกเด็กสาวส่งเสียงจอแจ หลายคนเมื่อรู้คำตอบก็มีสีหน้าผิดหวัง แน่ล่ะพวกเธอยังเด็กจะสู้เสน่ห์ของหญิงสาวโตเต็มวัยได้อย่างไร ทว่าบางคนกลับยิ่งฮึกเหิม ฮินาตะเห็นใจพวกเธอเพราะสำหรับไคยะคงไม่มองเธอเหล่านี้เป็นมากไปกว่าอาหารหรือของเล่นเอาไว้หยอกล้อ

 เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นเจ้าพี่ตัวแสบให้ความสำคัญกับเหยื่อคนไหนหรือรักใครจริงๆซักครั้ง หากว่าไคยะมีตัวจริงขึ้นมามันจะน่าสนใจมากเขาอยากเห็นคนคนนั้น ทว่าไม่รู้ทำไมแค่คิดถึงบุคคลในอนาคตเขาก็รู้สึกเจ็บแบบแปลกๆ เหมือนมีใครเอาเข็มมาทิ่มในกระเพาะ

“ถ้าอย่างนั้นคามิชิโระคุงพวกเราฝากของพวกนี้ไปให้อาจารย์ด้วยนะ”

 พวกผู้หญิงทิ้งของกินเอาไว้ให้เยอะแยะ ฮินาตะลอบถอนหายใจ อย่างนี้เขาก็ต้องเอาของไปให้นะสิ อารมณ์กำลังดีๆ แท้ๆ ต้องไปพบหน้าเจ้าหมอนั่นให้รู้สึกแย่อีก

“ยังไงก็ต้องเอาไปให้สินะ” ฮินาตะกวาดของบนโต๊ะลงถุงแล้วนำพวกมันติดตัวไปยังห้องพักอาจารย์

“ขอโทษครับอาจารย์คามิชิโระอยู่ไหมครับ” ฮินาตะชะโงกหน้าเข้าไปในห้องแล้วพบว่าข้างในมีเพียงไคยะเท่านั้น

รู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว ฮินาตะมองดูใบหน้างดงามซึ่งมีเครื่องประดับเป็นแว่นตากรอบบางเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้น ปกติเวลาไม่ใส่แว่นจะวางมาดเป็นราชา แต่พอสวมบทอาจารย์แบบนี้ให้บรรยากาศเคร่งขรึมทรงภูมิอย่างประหลาด

“เข้ามาสิ” ไคยะเงยหน้าขึ้นจากงานเอกสาร

“ของพี่” ฮินาตะวางของฝากจำนวนมากลงบนโต๊ะส่วนตัวของไคยะ “ทำไมถึงใส่แว่นล่ะไม่ได้สายตาสั้นซักหน่อย”

“ไม่อยากเป็นจุดเด่น”

 ฮินาตะร้องเสียงพิลึกออกมาอีกแล้ว แว่นตามันไม่ได้ช่วยพลางสายตาหรือทำให้บุคลิคแย่ลงซักหน่อย แทนที่จะช่วยไม่ให้เป็นจุดสนใจดันเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์เอาแต่ใจแบบราชาให้กลายเป็นชายหนุ่มที่สุดภูมิฐานดูดีไปได้เสียอีก

“ฮินาตะ”

“อะไร” แทนคำตอบไคยะชูกระดาษเอกสารแผ่นหนึ่งมาตรงหน้า

“ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนาย” ไคยะแสยะยิ้ม

“เฮ้ย” ฮินาตะตะปบมือคว้าแผ่นกระดาษ ทว่าก็พลาดไคยะมือไวกว่าหดแขนหลบได้อย่างรวดเร็ว

“คะแนนย่ำแย่ขนาดนี้ สงสัยจริงว่านายยังมีสมองอยู่หรือเปล่า”

“มันเรื่องของฉันพี่จะสนใจอะไร ยังไงก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว”

ฮินาตะแยกเขี้ยว จิตใจจดจ่ออยู่กับกระดาษข้อสอบในมือของไคยะ จะทำอย่างไรได้ล่ะเขาไม่ถัดวิชาเลขเลยซักนิด แต่ว่าหากเป็นภาษาอังกฤษล่ะก็เขาทำได้ดีสุดๆเลย แทนที่จะชมในวิชาที่ถนัด กลับขุดคุ้ยในส่วนที่แย่นี่นะ เกินไปแล้วนะเจ้าบ้า

“แต่ช่วงที่ฉันมาสอนที่นี่ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเคี่ยวเข็ญนาย นายรู้ไหมว่าฉันต้องทนตอบคำถามพวกอาจารย์คนอื่นเกี่ยวกับผลการเรียนของนายยังไง”

“ก็ไม่ต้องไปสนใจสิ” ฮินาตะขบเคี้ยวฟันดังกรอด แค่มาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนของเขาก็แย่แล้ว อย่าบอกนะว่าจะมาสอนพิเศษให้ตัวต่อตัวด้วย

“ฉันจะไม่จ้ำจี้จ้ำไชสอนนายหรอกนะ แต่ทุกๆวัน ช่วงพักกลางวันต้องมาเอาแบบฝึกหัดที่ห้องพักอาจารย์ เอาไปทำในชั่วโมงว่างแล้วเลิกเรียนเรามาตรวจคำตอบกัน”

“ทำไมไม่สอนที่บ้าน”

“นายก็รู้นี่ว่ากลางคืนฉันต้องออกไปล่า ไม่มีเวลายุ่มย่ามด้วยหรอกนะ” ไคยะสะบัดหน้าส่งสัญญาณไล่ฮินาตะให้ออกไป เด็กหนุ่มบ่ายหน้าจากมาด้วยความหงุดหงิด

ผ่านชั่วโมงเรียนไปจนถึงเที่ยง เหมือนทุกๆ วันฮินาตะจะทานอาหารกลางวันร่วมกับเรนบริเวณสนามหญ้าไม่ก็โรงอาหาร เด็กหนุ่มใจลอยมองดูแซนวิชในมือเอาแต่คิดถึงเหตุการณ์แย่ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์มานี้

“ฮินะ ไม่กินหรือ”

“อ๊ะ...เปล่าๆ กินสิ” ฮินาตะกัดแซนวิชเข้าไปหนึ่งคำ ตั้งแต่เขาดื่มเลือดของไคยะเป็นต้นมาหมู่นี้ไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่

“อ๊ะ” อุทานออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ เพิ่งรู้ตัวว่าผิดนัดกับไคยะ เอาเถอะยังไงก็ลืมแล้วนี่แกล้งลืมให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน

“เมื่อกี้นึกอะไรได้หรือฮินะ”

“เปล่าๆรีบกินกันเถอะ” จู่ๆรอยยิ้มบนใบหน้าของเรนก็เลือนหายไป เพื่อนสนิทตีหน้าเคร่งขรึมจนผิดสังเกต

“คุณไคยะ”

 ฮินาตะสะดุ้ง ในที่สุดก็รู้สาเหตุที่เรนตีหน้าเคร่งขรึมจนได้ เพราะทำความผิดเอาไว้เด็กหนุ่มจึงหันไปเผชิญหน้าอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

“อร่อยไหม ลืมแล้วหรือไงว่านัดฉันไว้” ฮินาตะทำอะไรไม่ถูก ไคยะยัดเยียดกระดาษเอกสารสองแผ่นมาให้

“ทำในชั่วโมงว่างให้เสร็จ แล้วเลิกเรียนให้รอที่ห้องเรียนฉันจะไปหา” กล่าวจบไคยะก็เดินจากไปโดยไม่ได้หันมามองซ้ำสอง ดูแล้วช่างเย็นชายโส ฮินาตะอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นปริ้นตาใส่แผ่นหลังของชายหนุ่ม

“อะไรหรือฮินะ” ฮินาตะยื่นกระดาษให้ดูแทนคำตอบ

“โจทย์เลข อ๋อ...” เรนระบายยิ้ม “ฮินะไม่เก่งเลขนี่นะ ทำไมไปขอร้องคุณไคยะล่ะ”

“เปล่าเลย เจ้านั่นเจ้ากี้เจ้าการเองต่างหาก” เรนพยักหน้าขณะมองดูโจทย์ในกระดาษ ร่างสูงตัดสินใจอะไรบางอย่าง

“เย็นนี้ให้เราอยู่เป็นเพื่อนไหม”

“ไม่ล่ะไม่อยากให้นายเห็นฉันตอนถูกสั่งสอนหรือก่นด่า โธ่เอ๊ยโจทย์อะไรนี่ไม่เห็นเข้าใจ” ฮินาตะครวญคราง ยอมรับว่าตัวเองแย่มากในวิชาคณิตศาสตร์

“ให้เราทำให้เอาไหม”

“จะดีหรือ” ฮินาตะฉีกยิ้มกว้าง รู้ว่าทำตัวเจ้าเล่ห์ แต่ก็ไม่ลังเลซักนิด

“ต้องดีแน่อยู่แล้วเราจะได้รีบกลับกันไง เราจะรออยู่ตรงประตูโรงเรียน ฮินะก็เอากระดาษคำตอบไปส่งให้คุณไคยะตกลงนะ” ฮินาตะผงกหัวหงึกๆ เรนหยิบปากกาขึ้นมาลงมือแก้โจทย์อย่างรวดเร็ว

เสียงระฆังดังบอกเวลาเลิกเรียน ฮินาตะมองดูเพื่อนในห้องเก็บสัมภาระแยกย้ายกันกลับบ้านจนในที่สุดก็เหลือเขาเพียงลำพังในห้อง

“รออยู่นานแล้วสินะ” ไคยะเดินเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งประจันหน้า ฮินาตะยื่นกระดาษเอกสารส่งให้ทันที

               “...” ไคยะเริ่มตรวจข้อสอบไปพร้อมกับมองดูฮินาตะผ่านทางแว่นตาเป็นระยะๆ

               “หึ ทำถูกประมาณหกในสิบข้อ ใช้ได้เหมือนกันนะแล้วอันนี้ล่ะลองแก้โจทย์ในเอกสารนี่สิ” ไคยะยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ ฮินาตะผงะไปเล็กน้อย

               “ให้ทำเฉพาะที่ทำได้ก็พอ”

 ฮินาตะเหงื่อตก เขาไม่แม่นยำในสูตรคำนวณเลยซักนิด สมองน้อยๆเริ่มทำงานอย่างหนัก เอาวะลองทำตามแบบที่เข้าใจเองดูแล้วกัน

               “ว่าไงทำได้ซักข้อไหม” ไคยะแสยะยิ้มเมื่อเห็นฮินาตะจดๆจ้องๆโดยยังไม่เริ่มอะไรซักที “ทำไม่ได้สินะ งั้นอันนี้ล่ะ”

               ชายหนุ่มเก็บกระดาษอันเดิมไปแล้วยื่นแผ่นใหม่มาให้ ฮินาตะมองดูอย่างละเอียดพบว่าตนเองก็สามารถทำโจทย์ทั้งหมดได้บางส่วน

               “เสร็จแล้ว” หลังจากผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีฮินาตะก็ยื่นกระดาษคำตอบส่งคืนให้ ไคยะรับไปโดยไม่ได้พูดอะไร ทันทีที่ตรวจเสร็จชายหนุ่มถอดแว่นตาของตนออก เอามือเท้าคางกับโต๊ะมองดูใบหน้าน้องชายนิ่งนาน

               “ทำไมนายสามารถแก้โจทย์ในกระดาษคำถามสองแผ่นแรกได้ตั้งเยอะ แต่สองแผ่นหลังนี่กลับทำไม่ได้ล่ะ”

               “เอ่อ...ก็ได้ตั้งสามสี่ข้อนะ” ฮินาตะพยายามทำตัวให้เป็นปกติ ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกไปยังสั่นนิดๆ ร้อนๆ หนาวๆ ชอบกลเมื่อถูกมองมาด้วยสายตาเย็นเยียบ

               นานแล้วสินะที่ไม่ได้ถูกเอาใจใส่ขนาดนี้ จำได้ว่าเคยถูกพี่ชายจ้ำจี้จำไชเช่นนี้โดยตลอดเมื่อสมัยที่ยังเล็ก บรรยากาศที่เคยคุ้นดึงความรู่สึกเก่าๆ ให้หวนกลับมา เคยกลัวพี่ชายแค่ไหนตอนนี้เขาก็ยังหวาดผวาเช่นเดิมอย่างนั้นหรอกหรือ น่าสมเพชเกินไปแล้วจริงๆ

               “อากาสึกิทำให้สินะ” ความเงียบแทนคำตอบได้เป็นอย่างดี ฮินาตะหลบตาด้วยความอับอาย

               “อายเป็นด้วยนะ” ไคยะยิ้มหยามหยัน “ถ้าอายก็ไม่น่าให้คนอื่นทำแทน คราวหน้าหากทำอย่างนี้อีก” ไคยะยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหู “ฉันจะลงโทษ”

               ชายหนุ่มไม่ได้กล่าววาจาคุกคามเพิ่มแต่อย่างใด เขาทำเพียงแค่เก็บข้าวของแล้วออกจากห้องไปทิ้งให้ฮินาตะเดินลากขากลับไปหาเรนด้วยความหดหู่อย่างที่สุด

               “ฮินะ” เรนยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนที่รักเดินตรงมาหา ทว่าสีหน้าหดหู่ของฮินาตะทำให้จำต้องหุบยิ้ม

               “เกิดอะไรขึ้น”

               “ถูกจับได้นะสิ” ฮินาตะห่อเหี่ยว เขาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เรนฟัง

               “ขอโทษนะฮินะ เราน่าจะสอนฮินะแก้โจทย์ไปด้วยเลย อุตส่าห์ทำให้ผิดๆหลายข้อเพื่อจะได้เข้ากับสติปัญญาของฮินะแล้วแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าคุณไคยะจะจริงจังขนาดนี้”

               “ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน”

               ใช่ คล้ายกับว่าเวลาได้ย้อนกลับไปเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ระยะนี้ไคยะรุกคืบเข้ามาในชีวิตประจำวันจนแทบไม่ได้กระดิก สมัยก่อนจำได้ว่าเขาดีใจมากต่อการเอาใจใส่ขนาดนี้ ทว่าฮินาตะกลับทั้งยินดีและไม่ยินดีแปลกประหลาดไปหมดจิตใจปั่นปวนจนจำแนกไม่ออกว่ามันยังไงกันแน่



...



เราไปต่างจังหวัด3วันน้าเจอกันอีกทีวันที่18นะจ๊ะ



เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างน้า

ออฟไลน์ Lukaka

  • ★น้อยนิดมหาศาล★
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 613
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: vampire kiss บทที่7 14/9/60
«ตอบ #11 เมื่อ14-09-2017 16:38:04 »

ดีใจมากกกกกกกกกก  ที่เรื่องนี้กลับมา ตอนแรกนึกว่าเชื่อเรื่องที่ คล้ายๆกัน

ขอบคุณที่กลับมาแต่งแต่นะคะ

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่8 15/9/60
«ตอบ #12 เมื่อ15-09-2017 14:16:25 »

บทที่8

               เหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ฮินาตะต้องอยู่เย็นตรวจคำถามกับไคยะ วันนี้ก็เช่นกันเด็กหนุ่มส่งกระดาษคำตอบให้พี่ชายรับไปตรวจ ระหว่างที่อีกฝ่ายจัดการกับสิ่งนั้นก็ให้ลุ้นระทึกยังไงชอบกล

               ฮินาตะมั่นใจว่าตนเองทำแบบฝึกหัดได้ถูกต้องเกินครึ่ง ที่เป็นเช่นนี้เพราะถูกเอาใจใส่อย่างต่อเนื่องจนไม่อาจละเลยการหาความรู้เพิ่มเติมทั้งศึกษาเองและให้เรนติวให้ในชั่วโมงว่าง

               “ถูกเกินครึ่งนะใช้ได้นี่”

               “ถ้าอย่างนั้นฉันกลับบ้านเลยได้ไหม”

               “พยายามได้ดีมาก”

               ฮินาตะอุทานดังเอ๊ะ หันไปมองหน้าไคยะอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฝ่ายนั้นชมเขาด้วยแถมยังมีสีหน้าอ่อนโยน นอกจากนั้นการที่ได้เห็นรอยยิ้มหวานๆ ซึ่งไม่ได้พบมานาน มันทำให้จังหวะหัวใจเขาเต้นรัวแปลกๆ หมู่นี้คำพูดของเทเรซ่าวนเวียนในหัวอย่างไม่อาจสลัดหลุด

               เธอแอบรักพี่ชายตัวเองใช่ไหม

               ฮินาตะไม่อยากจะยอมรับคำกล่าวของเทเรซ่าแต่หลอกตัวเองไม่ได้เลยกับหัวใจที่เต้นระทึกยามอยู่ใกล้ชิดกับไคยะ บางทีก็คิดเข้าข้างตัวเองนี่คงเป็นอาการบราค่อนแบบเดียวกับสมัยเมื่อครั้งยังเด็ก ก็แค่ติดพี่ชายเท่านั้นไม่ได้ใจเต้นเพราะความรู้สึกเกินเลยที่เรียกว่า....

               “มานี่สิ”

 ฮินาตะสะดุ้ง ยังไม่ทันจะได้ข้อสรุปในใจดี ไคยะกวักมือเรียกให้เดินเข้าไปหา ดังนั้นจึงทำตามคำสั่งอย่างพาซื่อ ทันทีที่อยู่ในระยะเอื้อมชายหนุ่มรวบเขาไปไว้ในอ้อมกอดประกบจูบลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว

               “อึก...อื้อ...”

ฮินาตะส่งเสียงอู้อี้ อาการขัดขืนในตอนแรกลดลงเมื่อรู้สึกถึงรสชาติหอมหวานของเลือดซึ่งถูกส่งเข้ามาในปากจากปลายลิ้นของไคยะ เด็กหนุ่มปล่อยให้ตัวเองเพลิดไปกับเลือดและชั้นเชิงอันสุดยอด ความหวานละมุนละไมทำให้หมดแรงต่อต้าน

               “อืม...”

คิดอะไรแทบไม่ออก แวบหนึ่งกลัวใจตัวเองระยะหลังมานี้ความคิดที่จะต่อต้านไคยะลดน้อยลงไปเหมือนไม่ใช่คนเดิม ไม่สิเขากลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกครั้งเมื่อสมัยที่ยังคลอเคลียพี่ชายไม่ห่าง

               หัวใจของเขาเต้นตึกตักเป็นจังหวะเดียวกันกับพี่ชาย ตามจริงมันเต้นรัวเร็วทีเดียว ทว่าไคยะเองก็เป็นคล้ายกับเขาหรือว่าเขาสองคนจะรู้สึกแบบเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ คงจะดี.... แต่มันคงเป็นแค่ฝันเพ้อไร้สาระชั่วแวบหนึ่งที่ราวกับได้ขึ้นสวรรค์ ใบหน้าของคิซาระผ่านเข้ามาในความคิด

ฮินาตะกลับมาสู่ความเป็นจริงและพยายามผลักไสให้ไคยะออกห่างจากตัว อีกฝ่ายยอมปล่อยให้เป็นอิสระง่ายๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่พี่ชายทำประหนึ่งตามใจเขาเสียเต็มประดา แต่ลึกๆ วูบโหวงแบบแปลกๆ ด้วยเช่นกัน คล้ายกับยังไม่อยากให้ช่วงเวลานี้หมดลง

“รีบกลับบ้านไปซะ”

“ทำไมต้องให้เลือดทางปากด้วย”

 เพราะอับอายต่อความคิดดำมืดของตัวเอง ฮินาตะเลือกที่จะกลบเกลื่อนด้วยการทำตัวดื้อแพ่งต่อไคยะเหมือนทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเวลานี้เขาเริ่มกลัวว่าพี่ชายจะเบื่อหน่ายกับนิสัยแย่ๆ ของตัวเองขึ้นมาแล้วก็ตาม

“หึ...เพราะหมู่นี้นายเอาแต่ปฏิเสธที่จะดื่มเลือดของฉันนั่นแหละถึงได้ต้องบังคับแบบนี้”

“เอ่อ...” ไม่รู้จะโต้เถียงยังไง ใช่มันเป็นความผิดของเขาเอง แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะหัวใจเจ้ากรรมเต้นระทึกปานจะหลุดออกจากอกทุกครั้งยามที่เขาใกล้ชิดดูดดื่มเลือดจากไคยะ

 ก็ตอนที่ดูดเลือดมันรู้สึกราวกับจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพี่ชาย ทุกครั้งเขาเผลอกอดรัดออดอ้อนราวกับเป็นเด็ก ยิ่งรสชาติเลือดหวานล้ำถูกใจเขาด้วยแล้วยิ่งเหมือนกับจะเสพติดอีกฝ่ายเข้าไปทุกที

“เมื่อวานก็บ่นใช่ไหมว่าฉันให้เลือดนายบ่อยเกินไปแล้ว”

“ก็มัน...” ฮินาตะไม่รู้จะเอาอะไรมาโต้เถียงได้แต่อึกอักอยู่อย่างนั้น

“อธิบายไปแล้วใช่ไหม ว่าทำไมต้องดูดเลือดบ่อยๆ”

 ไคยะทำหน้าเอือมระอาในขณะที่ฮินาตะจนมุมไร้คำกล่าวใดๆ ตามจริงอีกฝ่ายอธิบายให้ฟังแล้วว่าเพราะเขาเป็นเดมี่แวมไพร์ความกระหายจึงมีมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงจำต้องดื่มเลือดทุกๆวันเพื่อไม่ให้เกิดอาการขาดเลือดจนคุ้มคลั่ง

“แล้วถ้าพรุ่งนี้นายยังดื้ออีกฉันก็จะบังคับแบบนี้อีกเหมือนกัน”

 กล่าวจบไคยะก็เดินจากมาทิ้งให้ฮินาตะอยู่เพียงลำพัง ชายหนุ่มเดินไปยังรถส่วนตัวตั้งใจจะไปยังคลับประจำออกล่าเหยื่อเหมือนทุกครั้ง ทว่าทันทีที่เปิดประตูรถประโยคคำพูดของเทเรซ่าก็ถูกส่งเข้ามาในสมองโดยตรง

“ฉันรู้นะว่าแกตั้งใจจะทำอะไรอยู่” ไคยะหันไปมองบนดาดฟ้าโรงเรียน ที่นั่นเทเรซ่ากำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจและคงกำลังโกรธมากทีเดียว

“รู้แล้วจะยังไง” ไคยะส่งกระแสความคิดกลับไปด้วยใบหน้าเฉยชา ไม่สะทกสะท้านแม้ว่าอีกฝ่ายจะรู้ความต้องการของเขา

“กล้าลงมือทำทั้งๆที่ส่วนสำคัญในบันทึกขาดหายไป หากผิดพลาดขึ้นมาฮินาตะจะมีสภาพคล้ายติดสารเสพติดจะอยู่ต่อไปไม่ได้หากขาดเลือดอันหอมหวานจากแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์” ตอนนี้เองที่เทเรซ่ามีสีหน้าเวทนาอย่างชัดเจน

“จนตรอกถึงกับกล้าทำเรื่องโหดร้ายต่อน้องชายตัวเองถึงขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าเด็กโง่”

“ก็ยังดีกว่าปล่อยให้อยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์หรือถูกฆ่าตายเพราะคุ้มคลั่ง”

 ไคยะขมขื่นเหลือเกินเมื่อนึกถึงชะตากรรมในรูปแบบต่างๆของฮินาตะ เขาทำใจไม่ได้ทั้งนั้นและไม่อยากอยู่ห่างคนที่รักไปมากกว่านี้อีกแล้ว หกปีที่เขาทำเย็นชามันมากเกินพอจะสร้างความทรมานให้เขากับฮินาตะ แต่ถึงแม้จะปวดร้าวใจอย่างที่สุดหากแต่การแสดงออกยังคงเย็นชาไร้หัวใจ เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ความจริงข้างในแม้แต่กับน้องชายที่รักยิ่งยังกลัวว่าจะทำให้ผิดหวัง

               “ข้อเสนอของฉันไม่ดีตรงไหน” ไคยะไม่ตอบคำ ข้อเสนอนั้นไม่ดีต่อเขาอย่างที่สุด ปัญหามันอยู่ที่ตัวเขาเองเพราะไม่ต้องการจะปล่อยมือจากฮินาตะอีกเป็นครั้งที่สอง

               “อย่าลืมนะว่าตัวเองมีคู่หมั้นอยู่แล้ว มันจะวุ่นวายเปล่าๆ”

               “เรื่องนั้นฉันไม่สนใจซักนิด”

               “เจ้าเด็กเห็นแก่ตัว” เทเรซ่ารู้สึกชิงชังหลานชายคนโตขึ้นมาจับใจ ตามจริงใช่ว่าเธอจะไม่รักฮินาตะ ทว่าที่ต้องกลายเป็นตัวร้ายเช่นนี้เพราะพวกเด็กๆผลักไสเธอออก ทำราวกับว่าเธอเป็นตัวร้ายก็ไม่ปาน

               “แล้วแต่แม่เฒ่าจะคิด” เมื่อหมดเรื่องจะพูดไคยะก็ขับรถออกจากโรงเรียนไป เทเรซ่าเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็นเพียงลำพัง เธอไม่คิดล้มเลิกแผนที่วางไว้แล้วอย่างเด็ดขาด

               หลังจากแยกกับไคยะ ฮินาตะก็มาพบเรนที่รออยู่หน้าประตูโรงเรียน พวกเขาพากันเดินไปยังลานจอดรถ เพื่อนสนิทส่งหมวกกันน็อคมาให้สวมใส่ ทว่าก่อนจะจัดการให้เรียบร้อยอีกฝ่ายกลับมีคำถามแปลกๆ ชวนให้สงสัย

               “ฮินะหมู่นี้มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นไหม”

               “เรื่องแปลกที่ว่ามันอะไรล่ะ”

               “ก็อย่างเช่นมีคนแปลกหน้ามายุ่ง หรือเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล”

 ฮินาตะครุ่นคิดเล็กน้อย ถ้าคนพิลึกก็ต้องหมายถึงคุณย่าเทเรซ่า แต่เหตุการณ์แปลกๆ เหมือนว่าจะไม่มี

               “ไม่มีนี่” จากนั้นก็สวมหมวกกันน็อคแล้วขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ ไม่เข้าใจว่าเรนต้องการอะไร แต่เลือกจะไม่เซ้าซี้ปล่อยให้เรนขับรถแล่นไปตามทาง

               ขณะที่ขับรถไปตามทางเรนครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา สองวันก่อนเขาถูกไคยะเรียกให้ไปพบหน้า เกี่ยวกับเรื่องนี้เขาไม่ได้เล่าให้ฮินาตะฟัง

               “ขออนุญาติครับ” เรนชะโงกหน้าเข้าไปในห้องพักครูและพบว่าไคยะยืนอยู่เพียงลำพังที่ริมหน้าต่าง

               “มีอะไรจะพูดกับผมหรือครับอาจารย์ไคยะ”

               “ก็มีเรื่องให้ช่วยนิดหน่อย”

เรนเลิกคิ้วขึ้น นึกไม่ถึงคนอย่างไคยะจะขอความช่วยเหลือจากเขา คนที่ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตา แสดงว่าต้องมีเรื่องที่ไม่สามารถทำเองได้คนเดียวและคงสำคัญมาก หรือจะเกี่ยวกับฮินะ

               “ถ้าทำได้จะทำให้ครับ” ไคยะยื่นนามบัตรมาให้

               “อะไรครับ” รับของมาแล้วพบว่าเป็นนามบัตรส่วนตัวของไคยะ

               “มีเบอร์ส่วนตัวกับไลน์ของฉันอยู่ เห็นนายตัวติดกันกับเจ้าเด็กแสบ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับเจ้านั่นแล้วรับมือไม่ไหวให้ติดต่อฉันทันที”

               ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง คิดจะใช้เขาให้เป็นประโยชน์

               “มีอะไรเกี่ยวกับฮินาตะที่ผมควรรู้ไหม”

               “นายไม่จำเป็นต้องรู้แค่คอยดูแล่เจ้านั่นในส่วนที่ฉันทำไม่ได้ก็พอ”

 เรนชักฉุนขึ้นมาแล้ว ช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวนัก รู้ทั้งรู้ว่าเขารักฮินะ คิดจะมาใช้งานกันโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยนใดๆ ทำเหมือนเขาเป็นเบี้ยที่มีไว้ทิ้งอย่างไรอย่างนั้น

               “ถ้าผมไม่ให้ความร่วมมือล่ะ” เรนส่งยิ้มท้าทาย นึกอยากเห็นสีหน้าเดือดดาลร้อนรนเพราะไม่ได้ดั่งใจของไคยะขึ้นมาครามครัน

               “ก็แล้วแต่นายสิ” ไคยะไม่หันมามองเรนด้วยซ้ำในระหว่างที่พูด ชายหนุ่มเอาแต่จ้องมองไปยังนอกหน้าต่าง

               “แต่ว่าหากเจ้านั้นหายตัวไปโดยที่นายไม่มีสิทธิได้พบอีกเป็นครั้งที่สอง จะมาร้องตีโพยตีพายกับฉันไม่ได้นะ”

               เรนกัดฟันกรอด คนคนนี้ฉลาดและรู้ดีว่าจุดอ่อนเขาอยู่ที่ตรงไหน แม้กระทั่งว่าเขาจะทนไม่ได้หากฮินะหายตัวไป ถูกบีบจุดตายเช่นนี้เขาจะทำอย่างไรได้

               “เข้าใจแล้วครับ”

ความหงุดหงิดที่ตนเป็นผู้แพ้ยังคงอยู่แม้กระทั่งตอนนี้ ทว่าหลังจากวันนั้นเรนเข้มงวดกับฮินะมากขึ้นประกบติดจนไม่เว้นเวลาว่างอย่างเนียนๆ โชคดีที่ฮินะไม่เอะใจเลยซักนิดเดียว

               “พรุ่งนี้เจอกันนะฮินะ” เรนกล่าวคำลาหลังจากขับรถมาถึงหน้าบ้านของฮินาตะ กระนั้นไม่ลืมถามในสิ่งที่ยอกใจตนมาโดยตลอด

               “หมู่นี้สนิทกับคุณไคยะจังนะ”

               “ทำไมถามอย่างนั้นละ”

ฮินาตะสับสนลนลานเมื่อถูกย้ำเตือนให้เห็นความเป็นจริง เรื่องที่ว่าหมู่นี้แม้แต่ตัวเองก็ไม่ปฏิเสธการเข้ามาควบคุมชีวิตของไคยะ นี่แม้แต่เรนยังรู้สึกได้ คงไม่ใช่กำลังหึงจนหน้ามืดอยู่นะ อย่างเรนน่าจะเป็นไปได้อยู่

เด็กหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเพื่อนสนิทแต่เมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีดังคิด แถมยังจากไปง่ายๆไม่เซ้าซี้ต่อก็ให้เกิดอับอายในความหลงตัวเองขึ้นมา จังหวะนั้นสายเรียกเข้ามือถือก็ดังขึ้น ฮินาตะกดรับทันที

“ฮัลโหล”

<ฮินะเองหรือนี่แม่เองนะ>

“แม่หรือครับ” ฮินาตะดีใจอย่างที่สุด นี่มันเกือบสองอาทิตย์แล้วที่พ่อกับแม่ไปเยี่ยมเยียนพวกญาติๆ

<ฟังแม่นะฮินะ เกิดเรื่องหลายอย่างที่นี่ ดูเหมือนว่าแม่จะถูกพ่อของลูกและคนอื่นๆห้ามไม่ให้กลับไปหาลูกที่บ้าน>

“ทำไมล่ะครับ” ฮินาตะงุนงงไปหมดและเสียงปลายสายก็ร้อนรนอย่างมาก

<ถ้าแม่เดาไม่ผิดคงเป็นคำสั่งของยัยเฒ่าเทเรซ่า แม่เฒ่านั่นพยายามมาเกลี่ยกล่อมให้แม่ยกลูกให้>

“แล้วแม่ตอบไปว่าไงครับ”

<แม่ก็ปฏิเสธไปน่ะสิ ลูกแม่ทั้งคน แค่เสียไคยะไปคนเดียวก็พอแล้ว ยังจะมาขอลูกคนเล็กของแม่ไปจากอกอีก แม่ไม่ยอมหรอก>

“แม่ครับ” ฮินาตะตื้นตันอย่างที่สุด ยังไงเสียแม่ก็อยู่ข้างเขามาโดยตลอดในเวลาที่ถูกพี่ชายทิ้งไว้เพียงลำพัง

“แล้วแม่จะกลับมาเมื่อไหร่”

<แม่จะพยายามหนีออกไป แต่คงต้องไปคนเดียว พ่อของลูกยังโง่เง่าปล่อยให้ยัยเฒ่าเทเรซ่าเชิดเหมือนเมื่อครั้งเจอแม่ใหม่ๆไม่มีผิด>

“พ่อเห็นด้วยที่จะให้ผมไปอยู่กับคุณย่าหรือครับ”

<ไม่เชิงหรอก แต่แม่คิซาระอดีตคู่หมั้นของพ่อเรานะสิ มาพูดอะไรไม่รู้พ่อเราถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน> น้ำเสียงของแม่ฟังดูเกรี้ยวกราด คงจะโมโหพ่ออย่างมาก ฮินาตะเองก็ชักจะโกรธพ่อขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

<แค่นี้ก่อนนะฮินะ พ่อของลูกกำลังมา คนพวกนี้ห้ามไม่ให้แม่ติดต่อกับลูก>

“เดี๋ยวแม่ครับ...แม่...”

แม่วางสายไปแล้ว ฮินาตะเดาว่าเรื่องยุ่งยากคงจะตามมาในอีกไม่ช้า เขาไม่รู้มันคือเรื่องอะไร แต่มันคงเกี่ยวกับตัวเขาเองไม่มากก็น้อย



...



แวะเอานิยายมาลง5555พอดีว่าง คราวนี้จะหายไปจริงๆนะเจอกันอีกทีวันที่18เน้อ



เม้นเป็ฯกำลังใจกันบ้างนะ

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่9 16/9/60
«ตอบ #13 เมื่อ16-09-2017 13:26:18 »



บทที่9

“ดีมากจ๊ะคามิชิโระ” เทเรซ่ากล่าวชมฮินาตะที่สามารถแต่งประโยคภาษาอังกฤษเป็นตัวอย่างให้แก่เพื่อนร่วมชั้นได้สำเร็จ เธออนุญาตให้เด็กหนุ่มนั่งลงได้แล้วทำการสอนนักเรียนคนอื่นๆต่อไป

ถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกในตอนนี้ก็ต้องบอกว่าเขาทึ่งและประหลาดใจ คิดไม่ถึงคุณย่าเทเรซ่าจะตั้งอกตั้งใจสอนหนังสือ แถมไม่ก่อเรื่องเลยซักครั้งนับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่

“คามิชิโระคุงๆ” ไอดะซึ่งนั่งอยู่ข้างหลังเขาสะกิดเรียก ฮินาตะหันหน้าไปหาเธอรอฟังว่าต้องการอะไร

“วันนี้คามิชิโระกลับบ้านพร้อมอากาสึกิคุงสินะ”

“ก็ใช่ฉันกลับพร้อมเรน”

นึกแปลกใจ นักเรียนดีเด่นที่สนใจแต่เรื่องเรียนทำไมถามถึงเรื่องของเขา ทว่าหลังจากตอบคำถามไปไอดะดูเหมือนไม่ได้สนใจจะพูดอะไรด้วยอีก จวบจนเสียงกริ่งหมดเวลาเรียนดังขึ้น

ฮินาตะเก็บข้าวของลุกขึ้นจากโต๊ะเตรียมออกจากห้องเรียน ทว่าก็รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติ เพื่อนๆในห้องต่างนั่งนิ่งไม่ไหวติง แวบหนึ่งเขาสบตากับเทเรซ่า คุณย่าฉีกยิ้มดูมีเลศนัยเป็นจังหวะเดียวกับที่ทุกสิ่งรอบตัวเริ่มมีเสียงพูดคุยอื้ออึงขึ้นพร้อมๆกัน

“ไปพักได้แล้วนะจ๊ะทุกคน”

 เสียงของเทเรซ่าเหมือนเป็นสัญญาณเตือนบางคนหยิบเอาข้าวกล่องขึ้นมาทาน บางคนก็ออกจากห้องไปโรงอาหาร หรือว่าเขาจะคิดไปเองนะ ที่ทุกคนเงียบน่าจะเป็นเพราะคุณย่ายังไม่ได้อนุญาตให้ทุกคนออกจากห้องมากกว่า

 “ไม่ไปทานอาหารกลางวันหรือจ๊ะคามิชิโระคุง” ถูกเรียกเข้าจนได้ ฮินาตะไม่อยากเสวนากับเทเรซ่า จึงผลักข้อสงสัยในใจออกไปจนหมดแล้วสาวเท้ารีบเร่งไปหาเรนที่โรงอาหาร

“วันนี้ไม่มีแบบฝึกหัดจากคุณไคยะหรือฮินะ”

“วันนี้พี่ไม่ว่างช่วงเย็น มีธุระนะเลยรีบกลับ”

“ถ้าอย่างนั้นฮินะไปดูเราเล่นดนตรีไหม”

“อืม ก็ได้”

“งั้นหลังเลิกเรียนเราไปรอหน้าประตูโรงเรียนนะ”

หลังจากนัดกันเสร็จ เวลาเลิกเรียนเสียงกริ่งก็ดังขึ้นเหมือนทุกวัน ฮินาตะกับเพื่อนทุกคนแสดงความเคารพอาจารย์ จากนั้นเขาก็เก็บข้าวของลงกระเป๋าเตรียมออกจากห้อง แต่ก็ถูกไอดะเรียกเอาไว้อีกแล้ว

“คามิชิโระคุงวันนี้ห้องเรามีนัดประชุมที่โรงยิมนะจ๊ะ”

ฮินาตะร้องอุทานดังเอ๊ะ เอียงคอมองเด็กสาวด้วยความสงสัย ประชุมอะไรนะทำไมเราถึงไม่ได้ยินมาก่อนเลย

“ประชุมอะไรหรือ”

“ประชุมเรื่องงานออกร้านที่ห้องเราจะทำไงจ๊ะ”

“อ้อ” ฮินาตะลอบมองดูนาฬิกา เขานัดเร็นเอาไว้เสียด้วย แต่ประชุมงานสำคัญของห้องเขาจะไม่ไปก็ไม่ได้

“ไปกันเถอะจ๊ะคามิชิโระคุง”

 กล่าวจบไอดะก็จับมือเขาลากจูงไป ฮินาตะงงไปหมดที่จู่ๆก็ถูกทำเช่นนี้ เขาไม่สนิทกับไอดะถึงขนาดนั้น ทว่าพอพวกเขาออกจากห้องพวกเพื่อนๆในห้องก็พากันเดินตามมาเป็นกลุ่มก้อน ฮินาตะร้องเสียงพิลึกในลำคอ

ประหลาดๆจริงๆ ทุกคนเดินตามมาในสภาพคล้ายหุ่นยนต์ ไม่มีเสียงพูดคุยกันซักคำ ดวงตาเองก็แข็งเกร็งเหมือนพวกตุ๊กตา สังหรณ์ใจว่าตนเองจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงลอบส่งข้อความไปให้เรนผ่านทางมือถือในกระเป๋าเสื้อ

“อากาสึกิคุง”

“ครับ” เรนหันไปคุยกับเด็กสาว เขาจำได้ว่าคนคนนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องของฮินาตะ

“คามิชิโระคุงให้มาบอกว่าไม่สบายแล้วกลับบ้านไปก่อนนานแล้ว”

“ครับ” เรนเริ่มจะสงสัย ฮินะจะไปไหนทำไมต้องฝากคนอื่นมาบอกเขาด้วย บอกกันทางไลน์ก็ได้นี่ จังหวะนั้นแรงสั่นสะเทือนของมือถือทำให้ต้องหยิบมันขึ้นมาดู ฮินาตะส่งข้อความมาให้เขาสั้นๆ เพียงแค่คำว่าโรงยิม

โรงยิม แล้วมันที่ไหน ในเมื่อโรงยิมของโรงเรียนมีถึงสี่แห่ง เรนเข้าใจว่าฮินะมีเรื่องเดือดร้อน ดังนั้นจึงใช้มือกวาดเด็กสาวให้พ้นทาง ขณะเดียวกันก็ต่อสายไปยังไคยะด้วยความร้อนรน

ขณะนั้นไคยะนั่งรับประทานอาหารมื้อเย็นกับหญิงสาวคนหนึ่ง เธอคนนี้คือคู่หมั้นของเขาคิซาระ การมากะทันหันทำให้ต้องมาคอยเอาอกเอาใจอย่างเสียไม่ได้

“ขอเวลาซักครู่” ไคยะลุกจากที่นั่งออกไปด้านนอกเมื่อพบว่าคนที่โทรมาคือเรน แปลกใจที่ได้รับการติดต่อมาเร็วกว่าที่คิด ตอนแรกคาดว่าเจ้าเด็กนั่นจะดื้อแพ่งไม่ยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี

“มีอะไรอากาสึกิ”

<ฮินะเหมือนจะมีเรื่อง เขาส่งเมลมาบอกแค่สั้นๆว่าโรงยิมของโรงเรียน ผมว่ามันแปลกๆเพราะก่อนหน้านิดหน่อยเพื่อนร่วมห้องมาบอกผมว่าฮินะกลับบ้านไปก่อนแล้ว>

เสียงปลายสายกระหืดกระหอบ เป็นเพราะว่าเรนวิ่งตามหาสุดแรงที่มี โรงยิมทั้งสี่อยู่ห่างกันมากเขาไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหาฮินะพบ

“ฉันจะรีบไป” ไคยะวางสายแล้วเดินกลับมายังโต๊ะอาหาร

“มีอะไรหรือคะไคยะ” คิซาระยิ้มหวาน

“ฉันต้องขอตัวก่อนนะคิซาระ”

“อยู่ต่อไม่ได้หรือคะ” คิซาระกล่าวเสียงออดอ้อน

“ไว้จะชดเชยให้คราวหน้า”

กล่าวจบก็ออกจากห้องอาหารของโรงแรมตรงไปยังลานจอดรถ ชายหนุ่มตัดสินใจทิ้งรถไว้ที่นั่นก่อนจะเริ่มวิ่งไปด้วยความเร็วประดุจสายลม

ฮินาตะถูกพามายังโรงยิม ที่นั่นเขาพบกับเทเรซ่า คิดไว้อยู่เหมือนกันว่าคนคนนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ว่าทำไปเพื่ออะไรกันแน่

“คุณทำแบบนี้ทำไม แล้วคุณทำอะไรกับเพื่อนของผม”

“ก็แค่สะกดจิต ใช้เวลานิดหน่อยแต่อุ่นใจดีนะที่มีผู้ช่วยเยอะๆ”

“คุณลากพวกเขามาเกี่ยวข้องทำไมกัน” ฮินาตะตวาดเสียงกร้าว

“ก็เผื่อว่ามีอัศวินมาขัดขวางแผนการไงล่ะ อย่างเช่นเป็นต้นว่าพ่อหนุ่มเพื่อนสนิทของเธอ”

ทันทีที่เทเรซ่ากล่าวจบ ฮินาตะได้ยินเสียงโวยวายของเรนจากด้านนอก ร่างสูงพยายามฝ่าฝูงชนเขามาแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อเทเรซ่าออกคำสั่งกับทุกคน

“จัดการเจ้านั่นซะ” สิ้นคำสั่งเหล่านักเรียนชายก็เข้าไปรุมล้อม เรนพยายามขัดขืนแต่ถูกคนจำนวนมากจับยึดเอาไว้จนขยับไม่ได้

“เรน” ฮินาตะร้องตะโกนด้วยความเป็นห่วง โล่งใจนิดหน่อยที่เพื่อนคนอื่นๆ ทำเพียงแค่ยึดจับเรนเอาไว้เฉยๆ

“มัวแต่สนใจคนอื่นไม่ห่วงตัวเองเลยนะ” ฮินาตะสะดุ้งไม่รู้ตัวเลยว่าเทเรซ่าเข้ามาประชิดตัวเมื่อไหร่ อีกฝ่ายลากเขาไปยังวงแหวนเวทย์ที่ถูกเขียนไว้บนพื้นกลางโรงยิม

“จะทำ...อะไร..คุณย่า” ฮินาตะพูดไม่ถนัดนักเมื่อถูกรัดคอเอาไว้จากด้านหลัง

“ปล่อยนะ...”

 ฮินาตะดิ้นรนขัดขืน ทว่ายิ่งต่อต้านเทเรซ่าก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก จังหวะนั้นคุณย่าก็เริ่มร่ายบทสวดยาวเหยียดจนเมื่อบทสวดสิ้นสุดวงกลมเวทย์ก็เรืองแสงสีแดง

“ไม่ต้องเกร็งนะ” เทเรซ่าหัวเราะ เธอฝังเขี้ยวลงมาบนลำคอแล้วสูบเลือด เรนร้องตะโกนโวยวายราวกับคนเสียสติพยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุม

“คุณตั้งใจจะทำอะไรกับฮินาตะกันแน่” เทเรซ่าซึ่งเงยหน้าจากการฝังเขี้ยวแล้วหัวเราะต่อคำถาม

“เป็นแค่มนุษย์ก็อย่ามายุ่ง แต่น่าสงสารนิดๆนะ เพราะนี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้พบหน้าฮินาตะแล้วล่ะนะ”

กล่าวจบก็ใช้มือง้างปากฮินาตะจัดการกรีดข้อมือตัวเองแล้วบังคับให้เด็กน้อยดื่มเลือดของเธอลงไป แม้ว่าจะขัดขืนแต่ก็กลืนลงไปเป็นจำนวนมากจนได้

“แค่กๆ” ฮินาตะไอโขลกๆ จังหวะนั้นไคยะกระโจนผ่านเข้ามาทางหน้าต่างโรงยิม เทเรซ่าเหยียดยิ้มเย้ยหยัน

“แกมาช้าไปมากนะ” ผู้เป็นย่าปล่อยมือจากฮินาตะ ร่างบางไหลลื่นลงไปกองกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง

“ทำอะไรลงไป” ไคยะถามเสียงเย็นเยียบ ชายหนุ่มเตรียมตัวเข้าปะทะกับผู้เป็นย่า

“แกประมาทเอง”

 ในตอนนั้นเสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดก็ดังขึ้น ฮินาตะบิดกายไปมาบนพื้น สภาพราวกับปลาถูกทุบหัวก็ไม่ปาน เทเรซ่าเลิกคิ้วให้กับอาการที่เกิดขึ้น พิธีการเปลี่ยนเป็นดาร์คฮาร์ฟไม่น่าสร้างความทรมานให้เช่นนี้ มันเกิดบ้าอะไรกัน

ไม่นานนักฮินาตะก็สลบไปเพราะทนต่อความเจ็บปวดไม่ได้ เทเรซ่าถลาเข้าไปหาคนที่นอนแน่นิ่งและตัดสินใจฝังเขี้ยวทดสอบรสชาติของเลือด หากเป็นดาร์คฮาร์ฟของเธอแล้วรสชาติมันจะต้องยอดเยี่ยมอย่างที่สุด แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เรื่องนี้เกินความคาดเดาของเธอไปมากทีเดียว

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

 เทเรซ่าตื่นตระหนก ไม่อยากจะเชื่อ ผลจากพิธีกรรมเปลี่ยนหลานชายคนเล็กให้กลายเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธ์แทนการเป็นดาร์คฮาร์ฟไปเสียได้

“เพราะเลือดจากแวมไพร์บริสุทธิ์ถึงสองตนอย่างนั้นหรือ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าบันทึกส่วนที่หายไปจะหมายถึงการทำพิธีแบบเดียวกับการเปลี่ยนให้เป็นดาร์คฮาร์ฟ” เทเรซ่ามีสีหน้าพรั่นพรึง ชั่วพริบตาที่พลั้งเผลอไคยะถีบเธอจนกระเด็นไปปะทะกับกำแพง

“แม่เฒ่าพลาดเสียแล้ว”

ไคยะพอจะเดาได้จากสิ่งที่เทเรซ่าพูด นับเป็นความบังเอิญนัก เดิมทีเคยคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้มาซึ่งเลือด

บริสุทธิจากแวมไพร์สองตนตามบันทึก แค่นั้นก็ยากพออยู่แล้วยังมีที่ขาดหายไปในบันทึกโบราณมันทำให้ความเป็นไปได้ต่ำลงจนถึงขีดสุด ไม่คิดเลยว่าการรักษาอาการพิกลพิการของเดมี่แวมไพร์จะสำเร็จได้โดยไม่ตั้งใจเช่นนี้

“ที่นี่แม่เฒ่าก็เลิกยุ่งเรื่องของพวกเราได้แล้วซักทีสินะ” ไคยะอุ้มฮินาตะขึ้นจากพื้น เทเรซ่าแค่นเสียงดังเฮอะ

“ถือว่าฉันพลาดท่าเสียเอง แต่แกอย่าลืมนะว่ามีปัญหาเรื่องคู่หมั้นที่แกยังต้องจัดการ แกไม่สามามรถทำตามใจชอบได้ง่ายๆแน่” เทเรซ่าแปลงกายเป็นค้างคาวตัวเขื่องบินออกจากหน้าต่างโรงยิม เมื่อเทเรซ่าจากไปมนต์สะกดของเพื่อนๆก็คลายออก

“ฮินะเป็นยังไงบ้างครับ” ทันที่ที่เป็นอิสระเรนวิ่งเข้าไปหาไคยะ

“ให้เจ้าเด็กแสบฟื้นแล้วเล่าเองจะดีกว่า”

 ไคยะจากไปโดยไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น เรนได้แต่มองตามด้วยความเป็นห่วงและอัดอั้น เขาอยากจะแย่งฮินะมาจากไคยะ ทว่าถึงทำเช่นนั้นเขาก็ไม่มีปัญญารักษาอาการของคนที่รัก ทำแต่รอคอยให้ฮินะฟื้นแล้วมาหาเขาเท่านั้นเอง เรนกำหมัดแน่น เขาเจ็บใจและเจ็บปวดอย่างที่สุด



...



มันว่างๆ ก็นั่งแตะโนตบุคที่เอาไปด้วย5555 ไหนๆกะไหนๆละลงซะเลยละกัน



เด๋วจะขอพักซักสามวันจริงๆละนะเจอกันวันที่19นะจ๊ะ

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่10 19/9/60
«ตอบ #14 เมื่อ19-09-2017 10:49:04 »

บทที่10

“ฮินะน่าจะมาเล่นกับเราบ่อยๆนะ” อากาสึกิเรนในวัยแปดขวบตั้งความหวังเอาไว้สูง ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เพราะพี่ชายของฮินาตะเป็นก้างขวางคอเขาอยู่ประจำ

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากเล่นด้วยนะ แต่พี่ของฉันมีอะไรสนุกๆมาชวนเล่นตลอดเลยจนไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับนายนะสิ”

 จริงๆชวนเขาไปเล่นด้วยที่บ้านก็ได้นี่ เรนอยากจะบอกเช่นนี้ออกไป แต่เมื่อนึกถึงพี่ชายของฮินะที่มักจะตีหน้าเคร่งขรึมเสมอยามที่ได้พบหน้า เด็กชายก็หวาดกลัวจนไม่กล้าพูด

“พี่ชายของฮินะเขาดูเป็นคนดุๆนะ”

“แต่พี่ใจดีกับฉันมากนะ”

“งั้นหรือ”

“อื้อ”

“ก็เข้าใจนะ ถ้าเรามีน้องชายน่ารักอย่างฮินะเราก็คงใจดีมากเหมือนกันและเราก็คงจะหวงน้องแบบที่พี่ชายฮินะเป็นนี่แหละ”

“เรนเป็นลูกคนเดียวนี่นะ”

“อื้อ” ระหว่างที่กำลังสนทนาไคยะปรากฏตัวขึ้น เรนรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด เขาอยากจะอยู่ใกล้ชิดกับฮินะให้นานอีกหน่อย

“หวัดดีฮะ” เรนทักทาย ไคยะทำเพียงแค่พยักหน้า

“กลับบ้านกันเถอะ” ฮินาตะกระโดดลงจากชิงช้าวิ่งเข้าไปหาไคยะ

“แต่ว่ายังไม่มืดเลยนะพี่” เรนแอบเห็นด้วยในใจเขามองดูนาฬิกาข้อมือเพิ่งจะห้าโมงแย็นเท่านั้นเอง

“ฮินะไม่อยากได้ของเล่นแล้วละมั้ง หืม...” ไคยะทำเสียงเจ้าเล่ห์

เรนตกใจอย่างมากคิดว่าไม่ยุติธรรมเลยที่พี่ชายคนนี้เอาของมาล่อ หากไม่มีของแบบนั้นฮินะอาจจะยังตัดสินใจเล่นกับเขาต่ออีกซักชั่วโมง

“อะไรหรือพี่” ฮินะกระตือรือร้นอย่างที่สุด เพื่อนตัวน้อยเขย่าแขนพี่ชายไปมา

“อะไรน้า...ที่ฮินะคุงอยากได้”

“บ้านต้นไม้หรือ”

“อืม...”

ฮินาตะโผเข้ากอดพี่ชายด้วยความดีใจ เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าฮินะอยากได้บ้านต้นไม้ ไม่อย่างนั้นคงเรียกร้องให้คนของพ่อกับแม่สร้างมันเพื่อฮินะซักหลัง

“บายนะเรน”

ได้แต่มองดูฮินะจูงมือพี่ชายจากไป เรนปวดใจอย่างที่สุด เขาไม่มีโอกาสชนะคุณไคยะได้เลยตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นเด็กจวบจนเติบใหญ่ขึ้นมา เด็กหนุ่มเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้มาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้

“ฮินะ” ฮินาตะลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเรียก ที่ตรงหน้าแม่ของเขากำลังซับน้ำตาไม่รู้ว่าร้องไห้มานานเท่าไหร่แล้ว

“แม่”

“ฮินะ” มินาโกะโผเข้ากอดลูกชาย ฮินาตะสบตาเข้ากับไคยะที่อยู่ด้านหลังของแม่

“พี่..ทำไมฉันอยู่ที่นี่ล่ะ”

“นายหลับไปเป็นอาทิตย์” ไคยะตอบ ฮินาตะพอจะเรียบเรียงความทรงจำได้บ้าง ครั้งสุดท้ายที่มีสติเขาถูกบังคับให้ดื่มเลือดแล้วต้องทรมานกับความเจ็บปวดอย่างสุดแสน

“แล้วพ่อละครับแม่”

“ผู้ชายโง่เง่านั่นนะหรือ” มินาโกะปาดน้ำตา “ป่านนี้ยังมะงุมมะงาหราอยู่ที่รังลับอยู่เลยมั้ง”

“แม่ครับผมมีเรื่องจะคุยตามลำพังกับเจ้าแสบนี่ซักหน่อย” มินาโกะพยักหน้าก่อนจะล่าถอยกลับลงไปยังชั้นล่างของบ้าน

หลังจากมินาโกะจากไปไคยะทรุดนั่งลงบนเตียงข้างๆฮินาตะ ชายหนุ่มลูบไล้มือไปบนเสี้ยวหน้าผู้เป็นน้อง นึกอยากประทับจูบลงไปแต่ก็ไม่ได้ทำตามต้องการ

“พี่” เสียงเรียกหวานๆของฮินาตะกระตุ้นให้ชายหนุ่มขยี้มือลงไปบนศีรษะของน้องชาย ตามจริงอยากจะกอดรัดให้แน่น ทว่าก็ไม่ได้ทำตามใจคิด

“อาจจะทำให้นายรู้สึกแย่ แต่ว่าจากนี้ไปนายต้องมีชีวิตด้วยการดื่มเลือดไปตลอดกาลแล้วล่ะ”

“พี่พูดแบบนี้ฉันงงนะ”

 ไม่งงได้อย่างไร ในเมื่อไคยะพูดในสิ่งที่เขาเข้าใจดีอยู่แล้ว เป็นเดมี่แวมไพร์ต้องดื่มเลือดด้วยความกระหายหิวไปตลอดกาลนั่นแน่นอนที่สุด

“ฉันหมายถึงนายไม่ใช่เดมี่แวมไพร์อีกต่อไป พิธีกรรมของแม่เฒ่าเปลี่ยนให้นายกลายเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์เหมือนฉันแล้ว”  ฮินาตะนิ่งงันไปหลายอึดใจ เด็กหนุ่มโล่งใจเพียงชั่วครู่แล้วเกิดความหวาดกลัวต่ออนาคตที่จะดำเนินไป

 นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนามานานหรอกหรือ การได้อยู่กับพี่ชายไปตลอดกาลคือความต้องการสมัยเด็กของเขา ทว่าแวบหนึ่งใบหน้าผิดหวังของเรนทำให้ปวดแปลบในใจ หากเขาเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิหนทางข้างหน้าคงไม่มีวันบรรจบกับเรนได้

บ้าจริงเขาสับสนจนทำอะไรไม่ถูก ยินดีเหลือเกินที่จะได้อยู่ข้างพี่ชายและครอบครัวไปตลอด แต่เจ็บปวดเมื่อคิดถึงเรนจนไม่อาจยินดีจากใจจริงได้

“นายต้องดื่มเลือดของฉันในตอนนี้ หลับไปนานมากยังไงก็ต้องดื่ม” ไม่นึกว่าจะถูกกระตุ้นให้ดื่มเลือดในทันที ทว่าพอถูกเตือนเขาก็รู้สึกถึงความกระหายอยากเช่นกัน

“จากนี้ไปฉันต้องออกล่าเหมือนพี่แล้วหรือ”

“ถ้านายไม่ต้องการจะมาดื่มเลือดจากฉันทุกวันก็ย่อมได้ แต่หากอยากจะล่าเองก็ยังต้องเรียนรู้อีกมากทีเดียว”

“เหมือนฉันเอาเปรียบพี่”

“เงียบซะแล้วดื่มเลือดก่อนจะหมดแรง”

 ฮินาตะลังเลอยู่นานในที่สุดก็ตัดสินใจฝังเขี้ยวลงไปบนซอกคอของชายหนุ่มตามคำสั่ง รสชาติยังหอมหวานเหมือนเดิม ยามที่ได้ดื่มเลือดของพี่ชายจิตใจเขาจะสงบสุขและอบอุ่นอย่างมาก รู้สึกดีจนเผลอกอดรัดออดอ้อนราวกับเป็นเด็กตัวเล็กๆ ระหว่างที่ดูดกินไคยะปลอบประโลมเขาด้วยการลูบหัวอย่างแผ่วเบา

ไม่อยากห่างจากพี่ชายไปเลย คิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ทุกครั้งต้องมีใบหน้าเศร้าสร้อยของเรนแวบผ่านเข้ามา ฮินาตะถอนเขี้ยวออกจากไคยะอย่างกะทันหัน เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่เรียกเขาจากด้านล่าง

“ฮินะเรนคุงมาหานะลูก”

 ฮินาตะตื่นตัวทันที ครั้งสุดท้ายที่เห็นเรน ฝ่ายนั้นถูกเพื่อนร่วมห้องจับยึดเอาไว้ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นจึงผละจากไคยะลงไปชั้นล่างไปหาอีกฝ่ายโดยไม่ชักช้า

“ฮินะ” เรนลุกจากโซฟาเข้ามาสวมกอดฮินาตะเมื่อได้พบหน้า

“ทำไมนายโทรมอย่างนี้ล่ะเรน” ฮินาตะสังเกตเห็นได้ในทันที ใบหน้าของเพื่อนสนิทโทรมราวกับอดนอนมาหลายวัน

“เรานอนไม่หลับเลยฮินะ” เรนกอดรัดฮินาตะแน่นขึ้น

“เรานึกว่าฮินะจะตายไปแล้ว เรามาเยี่ยมหลายครั้งแต่ฮินะก็หลับตลอด พอถามคุณไคยะก็เอาแต่ตีหน้าขรึมไม่ตอบคำถามเรา”

“ฉันไม่เป็นไรน่า”

 ฮินาตะลูบมือมือไปบนแผ่นหลังของเรน แล้วเขาจะไม่เป็นห่วงเพื่อนคนนี้ได้อย่างไร อีกฝ่ายทำเหมือนว่าถ้าขาดเขาไปจะตายให้ได้ ขณะที่คิดเช่นนั้นใบหน้าของไคยะก็แวบเข้ามาในสมอง เป็นภาพของพี่ชายที่อ่อนโยนและเขาก็ปรารถนามันมาโดยตลอด

บ้าเอ๊ยหมู๋นี้เขาเป็นอะไรไป สับสนลังเล ยามที่อยู่กับพี่ก็คิดถึงเรน แต่เวลาที่คิดถึงเรนกลับมีภาพซ้อนของพี่ชายขึ้นมา เจ็บปวดแปล๊บที่ใจตลอดและเริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นเช่นนั้นอย่างที่สุด

“ฮินะบอกได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เรนคลายอ้อมกอด

ฮินาตะตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดเพราะสงสารเรนจับใจ อีกฝ่ายทั้งโทรมทั้งเศร้าสร้อยแบบนี้เขาจะใจดำทำเมินเฉยได้อย่างไร ดังนั้นจึงบอกออกไปจนหมดเปลือก

“ฮินะจะยังอยู่ที่นี่ต่อไปหรือเปล่า”

“จะให้ฉันไปที่ไหนล่ะ”

“ฮินะ” เรนกระซิบเรียกเสียงหวิว เด็กหนุ่มฉวยโอกาสที่ฮินาตะพลั้งเผลอ ผลักร่างบางให้นอนหงายบนโซฟาแล้วทาบทับตามลงไป

“เรนทำอะไร” แทนคำตอบเรนซุกไซ้จูบลงไปตามซอกคอของคนถาม

“เรนพี่กับแม่ฉันก็อยู่นะ”

“ก็ช่างมันสิ” เรนมีสีหน้าเฉยชาขณะเดียวกันก็ลงมือปลดกระดุมเสื้อของฮินาตะ เมื่อรู้ว่าเพื่อนสนิทคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆเขาจึงลงมือตบไปที่แก้มดังเพลียะถึงแม้จะยั้งมือเอาไว้แต่ใบหน้าหล่อเหลาก็สะบัดหันไปอีกทาง

“มือหนักนะฮินะ” เรนแสยะยิ้มร้ายก่อนจะจับรวบข้อมือฮินาตะไว้เหนือศีรษะ แนบจูบลงบนริมฝีปากของเพื่อนสนิท ทว่าแทนที่จะเป็นจูบอุกอาจรุนแรงเหมือนการกระทำ ดันกลายเป็นจุมพิตแผ่วเบานุ่มนวลราวกับผีเสื้อกระพรือปีก

“ถ้าเราไม่ทำแบบนี้ก็ไม่รู้จะสงบใจที่พลุ่งพล่านตอนนี้ได้ยังไง” เรนกระซิบเสียงแหบพร่า

“เป็นจูบที่แย่ที่สุด”

 ฮินาตะตำหนิ ถึงแม้ว่าความเป็นจริงจะปวดร้าวในใจมากกว่าโกรธก็ตาม นั่นก็เพราะเขาไม่รู้จะตอบรับความรู้สึกของเรนอย่างไร ยิ่งตอนนี้รู้สึกว่าหัวใจจะเข้าใกล้พี่ชายมากขึ้นไปทุกที การที่มีจิตใจโลเลจนน่าชิงชังเช่นนี้ฮินาตะทรมานใจจนทำอะไรไม่ถูก

“เพราะเราบังคับฮินะอย่างนั้นหรือ”

“ใช่” ฮินาตะตอบ

“ถ้าพึงพอใจก็น่าจะกลับไปได้แล้ว แค่นี่ก็ถือว่าอุกอาจจนล้ำเส้น” เรนแสยะยิ้มร้ายให้ไคยะที่โผล่เข้ามาในห้องแล้วกล่าวตำหนิตน

“คุณไคยยะเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็นานพอดู ถ้าจะให้พูดก็ตั้งแต่ต้น”

นี่อยู่ดูตั้งแต่ต้นเลยหรือ

ฮินาตะบอกไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไร ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปหมด ดังนั้นจึงผลักเรนให้ออกห่างจากตัวลุกขึ้นวิ่งหนีกลับไปยังห้องนอนทิ้งให้ผู้ชายสองคนประจันหน้ากันเพียงลำพัง

“ย่ามใจเกินไปแล้วมั้ง” ไคยะกล่าวเสียงเรียบเรื่อย

“ต่อให้หน่อยเถอะครับ” เรนลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินผ่านหน้าไคยะไป

“นายอาจจะคิดว่าเพราะความใกล้ชิดเลยดูได้เปรียบ แต่ยังไงทางนี้ก็คือพี่ชายในสายตาของเจ้าเด็กแสบ”

“พี่ชายหรือครับ” เรนหัวเราะชอบใจ เขาโบกมือลาโดยไม่หันไปมองดูสีหน้าของไคยะ

“งั้นก็ขอให้คุณทำตัวเป็นพี่ชายให้ได้ตลอดนะครับ”

ไคยะมองตามเรนไปจนลับตา ได้แต่เหยียดยิ้มให้ตัวเอง แม้แต่ในตอนนี้ยังไม่มั่นใจว่าเจ้าตัวแสบจะเลือกเขา ทว่าต่อให้เป็นวิธีที่แย่ที่สุดไคยะก็ไม่ปฏิเสธจะลองดู ขอแค่เพียงให้ฮินาตะอยู่เคียงข้างตลอดไปแม้ว่าจะต้องกลายเป็นตัวร้ายในสายตาใครก็ตาม



...



เจอกันอีกที่วันที่21น้า เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างน้า


ออฟไลน์ Lukaka

  • ★น้อยนิดมหาศาล★
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 613
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: vampire kiss บทที่10 19/9/60
«ตอบ #15 เมื่อ20-09-2017 14:02:41 »

จริงๆอ่านเรื่องนี้เพราะความพี่ความน้อง
แอบสงสารเรนนะคะ แต่เราทีมไคยะไปตั้งแต่ต้นแล้ว งืออออ

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่11 21/9/60
«ตอบ #16 เมื่อ21-09-2017 10:17:36 »



บทที่11

“อากาสึกิ เรนคุงสินะคะ” เรนมองดูหญิงสาวแปลกหน้าด้วยความสนเท่ส์ นึกสงสัยว่าเพราะเหตุใดสต๊าฟถึงปล่อยผู้หญิงคนนี้เข้ามาในห้องพักนักดนตรีได้

“ฉันให้เธอค่ะ” หญิงสาวแปลกหน้ายื่นช่อดอกไม้มาให้เรนรับมาอย่างเสียไม่ได้

“เร็วๆนี้เราคงได้พบกันอีก” เรนเลิกคิ้ว หรือว่านี่เป็นสตอล์กเกอร์ของเขากันแน่ พวกแฟนคลับของเขาส่วนใหญ่จะไม่เข้ามาวุ่นวายถึงขนาดนี้ ทุกคนรู้กาละเทสะดีเพราะเป็นข้อตกลงร่วมกันในกลุ่ม

 ดังนั้นถึงเจ้าหล่อนจะจากไปแล้วเขาก็ยังเก็บความสงสัยไว้ในใจ แม้พวกเพื่อนๆ จะโห่ฮาล้อเลียนที่มีสาวสวยตามติดมาถึงที่นี่ก็ตาม เขากลับไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแฟนคลับของเขาแต่อย่างใด

เป็นอีกครั้งที่ฮินาตะถูกไคยะสั่งให้ดื่มเลือด ชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อเผยให้เห็นซอกคอขาวที่เซ็กซี่และน่าขบกัดจนหัวใจเต้นระส่ำ

“ดื่มสิ ยังไม่ชินอีกหรือ”

“...”

ถึงแม้ว่าหลายวันมานี้เขาจะดูดเลือดของไคยะบ่อยครั้ง แต่ไม่ชินซักทีกับการต้องดูดเลือดจากซอกคอขาวสวยนั่นเป็นเพราะหัวใจจะเต้นรุนแรงทุกครั้งระหว่างการดูดดื่มถึงแม้จะเป็นเพียงการรับประทานเพื่อประทังชีวิตก็ตาม

รู้ตัวว่าตนเองนั้นไม่ปกติ การที่ต้องใจเต้นเพราะพี่ชายตัวเองอย่างนี้มันประหลาดจริงๆ คำพูดของเทเรซ่าวนเวียนอยู่ในหัวไม่อาจสลัดหลุดไปได้ และมันทำให้ต้องนึกย้อนไปเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ตอนนั้นเขาเองก็รักพี่ชายมาก มากจนถึงขั้นเคยทำสัญญาร่วมกันว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนชั่วนิจนิรันด์

คิดถึงอดีตใบหน้าก็เห่อร้อน สมัยยังเล็กเขากับพี่ชายมีพิธีน่ารักๆ คล้ายกับการสาบานแต่งงาน นึกดูแล้วตอนนั้นเขามีความสุขจริงๆ แล้วคิดมาโดยตลอดว่าพี่ชายเป็นสมบัติของตัวเองจวบจนเมื่อพี่ชายตีตัวห่างออกไป

แล้วเวลานี้ล่ะพี่ชายกลับมาเป็นสมบัติของเขาอีกครั้งแล้วหรือ ฮินาตะนึกอยากตบหน้าตัวเองแรงๆ ความคิดเขากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง การที่สามารถคิดเอาแต่ใจทำประหนึ่งไคยะเป็นสิ่งของส่วนตัวได้เช่นนี้ ทำให้นึกกลัวด้านมืดของตัวเอง แค่อีกฝ่ายกลับมาทำดีด้วย ใช่จะหมายความว่าเขาสามารถทำตามใจชอบได้ซักหน่อยนี่นา

ทว่าหมู่นี้พี่ชายก็ตามใจเขามากจริงๆ ถึงแม้จะไม่เหมือนเมื่อก่อนไปทุกอย่าง แต่ก็ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากกว่าช่วงเวลาที่ถูกทำเย็นชาใส่มากมายนัก การที่พี่ชายเข้ามาเอาอกเอาใจเช่นนี้ มันทำให้ความรู้สึกเก่าๆหวนกลับมา ฮินาตะไม่อาจห้ามตัวเองให้กลับไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่คอยแต่ออดอ้อนกระเง้ากระงอดเหมือนสมัยก่อนได้เลย แม้จะพยายามยับยั้งเอาไว้แล้วก็ตาม

“เร็วสิ” ไคยะเร่งเร้าให้ฮินาตะรีบดื่มเลือดเสียที “ฉันไม่มีเวลารอนายตลอดทั้งวันหรอกนะ”

“รู้แล้วน่า”

 แม้ว่าปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาจะดีกว่าเดิม แต่ไคยะก็ยังปากร้ายเหมือนทุกที ฮินาตะยื่นหน้าเข้าไปที่ซอกคอของชายหนุ่มจังหวะนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มผละออกจากพี่ชาย

“เชิญครับ”

“แม่เองนะ” เมื่อไคยะกล่าวอนุญาตมินาโกะก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเธอบูดบึ้งไม่สบอารมณ์

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับแม่” ฮินาตะสงสัย แม่ของเขาดูกระฟัดกระเฟียดอย่างไรบอกไม่ถูก

“พ่อของลูกกลับมาแล้วนะ”

“ก็ดีนี่ครับ”

“ดียังไงกลับมาคนเดียวไม่ว่า นี่ยังพาแม่คิซาระมาด้วย”

“คุณคิซาระ”

 ฮินาตะลอบมองสีหน้าของไคยะทว่าอีกฝ่ายมองสบตามาทันทีจนเขาต้องหลุบตามองต่ำ ปวดหนึบที่ใจอย่างไรบอกไม่ถูก คุณคิซาระมาหาพี่ ทว่าเขาไม่อยากเจอเธอซักนิด ก็คิซาระเกลียดชังเขา รู้อยู่เต็มอกมันเป็นเพราะเขากับพี่ชายสนิทกันมากเกินไป ทว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่เกิดความรู้สึกคล้ายถูกกรีดลึกในใจอย่างนี้

เขาเป็นเพียงน้องชายคนหนึ่ง ในขณะที่คิซาระคือคู่หมั้น สัญญาจะอยู่ด้วยกันชั่วนิจนิรันด์เคยถูกไคยะทำลายไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้คำสาบานเป็นแค่อดีตเขาไม่มีสิทธิหวงแหนหรือหึงหวง...

ฮินาตะกัดริมฝีปากตัวเองโดยแรง หึงหวงอะไรกัน นี่เขาคิดอะไรบ้าๆ ออกไปกันแน่ ระหว่างที่ยังสับสนต่อความรู้สึกที่มีต่อเรน เวลานี้ยังคิดบ้าๆ กับพี่ชายด้วยอีกหรือ เกลียดตัวเอง เริ่มจะเกลียดตัวเองขึ้นมาจริงๆ จังๆ เสียแล้ว

“ลงไปข้างล่างกันเถอะเจ้าเด็กแสบ” ไคยะจับมือของฮินาตะ ทว่าเด็กหนุ่มก็สะบัดออกเต็มแรง เขาไม่กล้ามองดูใบหน้าของพี่ชายได้แต่สาวเท้ารัวเร็วเดินลงไปชั้นล่างโดยไม่หันกลับไปมองอีก

“ไคยะ” เมื่อเดินลงไปถึงด้านล่างคิซาระก็โผเข้ากอดชายหนุ่มจูบซ้ายจูบขวาลงบนแก้ม ฮินาตะปวดแปล๊บในอกพยายามมองเมินไปอีกทาง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางแปลกๆของตนอยู่ภายใต้การสังเกตของไคยะตลอดเวลา

“คิซาระจะมาอยู่ที่บ้านของเราพักหนึ่ง ยังไงไคยะช่วยพาคู่หมั้นไปเที่ยวรอบเมืองดูสิ”

ผู้เป็นพ่อแนะนำ ฮินาตะยืนนิ่งงันหลุบตาต่ำมองพื้นไม่ยอมสบตากับใครแม้แต่คนเดียว เขาไม่อยากให้พี่ชายไปไหนมาไหนสองต่อสองกับคิซาระ ทว่าพยายามกลบฝังความคิดนั้นเอาไว้ เขามิสิทธิอะไรห้ามไม่ให้คู่หมั้นอยู่ใกล้ชิดกันล่ะ อึดอัดๆ จนอยากไปให้พ้นจากตรงนี้จริงๆ

“เป็นอะไรไปเจ้าเด็กแสบ”

 ไม่ทันตั้งตัวไคยะที่เข้ามาประชิด ใช้นิ้วเกี่ยวปลายคางให้เงยหน้าขึ้น ไคยะไม่ได้แสดงสีหน้าเป็นห่วง รอยยิ้มเยาะหยันยังประดับบนใบหน้าอยู่เป็นนิจ รู้สึกคล้ายว่าอีกฝ่ายกำลังหยอกล้อด้วย แต่เขาไม่มีอารมณ์จะเดินตามเกมส์ของชายหนุ่ม

“ผมไปโรงเรียนก่อนนะ” ฮินาตะสะบัดปลายคางออกจากนิ้วมือไคยะแล้วพลุนพลันไปโรงเรียนโดยไม่รอใคร อยากจะหนีไปให้พ้นจากคนที่สร้างความอึดอัดให้ อารมณ์เขาขุ่นมัวจนไม่อยากแม้แต่จะพบหน้าเรนเสียด้วยซ้ำ

หลังจากการเรียนช่วงเช้าผ่านไปได้ระยะหนึ่ง ฮินาตะก็เกิดอาการหน้ามืดเพราะขาดเลือดจนได้ มันเป็นเพราะเมื่อเช้าเขายังไม่ได้ดูดเลือดจากไคยะ ตามจริงควรไปหาพี่ชายขอความกรุณาเพื่อขจัดความหิวนี่ไปเสีย

แต่ฮินาตะไม่อยากพบหน้าอีกฝ่าย ก็พอเห็นหน้าแล้วมันเจ็บปวด มันยอกในใจเหมือนมีหนามตำอยู่ในนั้น ทำยังไงดีนะ หากไม่ดูดเลือดใครซักคนเขาคงต้องลำบากแน่ๆ

แต่ยังไงก็ไม่อาจทำใจพบหน้าพี่ชายในเวลาที่สับสนเช่นนี้ ดังนั้นจึงขออนุญาตอาจารย์ไปนอนพักที่ห้องพยาบาล โชคดีที่นั่นว่างเปล่าไม่มีใครซักคน เขาจึงสามารถกบดานทั้งที่กระหายจนแทบทนไม่ไหว

“ฮินะ” ถูกปลุกให้ลืมตาตื่นขึ้นแล้วพบว่าคนตรงหน้าคือเรนที่กำลังมองมาด้วยความเป็นห่วง

“เราไปหาฮินะที่ห้อง แล้วเพื่อนๆบอกว่าฮินะไม่สบาย” เรนใช้มือทาบหน้าผากลงมาทดสอบความร้อนจากร่างกาย   

“ฉันแค่ขาดเลือดเฉยๆ”

“ฮินะไม่ได้ดูดเลือดของคุณไคยะหรอกหรือช่วงนี้”

“...”

 ไม่อยากพูดออกไปจึงทำเงียบแล้วมองเมินไปทางอื่น จะให้เรนรู้ความคิดในใจของเขาที่มีต่อไคยะไม่ได้ หากว่าความสับสนในใจถูกแพร่งพรายออกไป เรนอาจจะทำบ้าๆ กับเขาอีก ไม่อยากรองรับอารมณ์หึงหวงจากอีกฝ่ายในตอนนี้

“ไหนลองเล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น” ฮินาตะนิ่งเงียบ เขาไม่อยากเล่าความในใจให้ใครฟังทั้งนั้น

“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร ถ้างั้นดูดเลือดเราแทนไปก่อนดีไหม” ฮินาตะส่ายหน้าไปมารัวเร็ว

“ฉันไม่ขาดเลือดจนถึงกับเห็นเพื่อนเป็นอาหารหรอกน่า”

“อ้อ...แต่นี่ก็หน้ามืดจนต้องมาหลบนอนพักไม่ใช่หรือ”

“ก็บอกว่าไม่ก็คือไม่ยังไงเล่า” เผลอตวาดออกไปจนได้ แล้วก็ต้องมานึกเสียใจที่หลังเมื่อเห็นใบหน้าตกตะลึงของเรน

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันไปตามคุณไคยะมาให้” ยิ่งรู้สึกผิดหนักเมื่อเรนไม่ได้มีสีหน้าโกรธขึงแต่อย่างใด

“ฮินะ ไม่รู้นะว่าฮินะเป็นอะไร แต่ผลักไสเราถึงขนาดนี้เราเจ็บนะ” กล่าวจบเรนก็ออกจากห้องพยาบาลไป ไม่นานนักไคยะก็ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง ฮินาตะสูดลมหายใจลึกสุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับพี่ชายทั้งที่ยังทำใจไม่ได้

“ได้ข่าวจากอากาสึกิว่านายกำลังหงุดหงิด” ไคยะใช้สายตาคมกริบมองมา ราวกับถูกสำรวจตรวจตราด้วยเครื่องจับผิดก็ไม่ปาน ฮินาตะอยากจะหลบตาแต่ก็ฝืนจ้องมองตรงๆ อย่างท้าทาย

“ไม่ใช่เรื่องของพี่”

 ไคยะแค่นเสียงดังเฮอะ อีกฝ่ายสาวเท้ายาวๆมายังข้างเตียง ไม่พูดพล่ามทำเพลงกัดปลายลิ้นของตนเองให้เป็นแผลแล้วประกบจูบป้อนเลือดผ่านทางปาก ฮินาตะดิ้นรนขัดขืนในทีแรก แต่ก็อ่อนแรงลงไป เด็กหนุ่มดูดดื่มเลือดจากพี่ชายด้วยความกระหายปลายลิ้นของทั้งคู่เกี่ยวกระหวัดพัวพันกันอย่างไม่รู้เบื่อ

“อึก...” หลังจากได้เลือดจนเพียงพอ สติสัมปชัญญะก็กลับคืนมาฮินาตะผลักไคยะออก อีกฝ่ายถอยออกโดยง่ายไม่ได้บังคับฝืนใจอะไรเขาอีก

“ทำสีหน้าเหมือนพวกขี้แพ้เลยนะ” ฮินาตะไม่กล้ามองตาไคยะ แต่น้ำเสียงเย้ยหยันบอกชัดว่าอีกฝ่ายพูดด้วยความรู้สึกอย่างไร

“เหมือนพวกขี้แพ้ที่หาจุดมุ่งหมายไม่เจอ” ไคยะใช้มือบิดคางให้ฮินาตะหันมาสบตา “ว่าไงอยากขาดเลือดตายไปทั้งอย่างนี้หรือ ปฏิเสธอากาสึกิ ทั้งยังไม่พอใจที่จะดื่มเลือดจากฉัน นายเป็นอะไร”

“...”

 ฮินาตะยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำ ดวงตาที่มองสบมาฉายแววสับสนอ่อนแอราวกับลูกกวาง สายตาเช่นนี้ฮินาตะใช้มันมองมาที่เขาโดยตลอด เป็นสายตาที่ทั้งเจ็บปวดผสมโกรธเคือง สร้างความปวดร้าวให้แก่เขาอย่างยิ่ง

“เจ้าเด็กดื้อ ไม่รู้หรอกนะว่าคิดบ้าๆอะไรอยู่ แต่ถ้ายังขัดขืนไม่ยอมดื่มเลือดอีก บอกไปแล้วนะว่าฉันจะบังคับโดยไม่สนใจความรู้สึกใดๆของนายทั้งสิ้น”

 ฮินาตะตัวสั่นไม่ใช่เพราะโกรธแต่กลัวต่างหาก เด็กหนุ่มเกรงว่าหากต้องถูกกระทำประหนึ่งคนรักแบบนี้ไปเรื่อยๆ จิตใจของเขาจะทานทนเช่นไรไหว ทั้งที่เกลียดการกระทำของพี่ชายแต่หัวใจเจ้ากรรมกลับเต้นระรัวจนแทบจะหลุดจากอก เกลียดๆตัวเองที่เป็นอย่างนี้ ไม่อยากยอมรับความจริงว่าเขามีใจให้พี่ชาย ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถสะบั้นรักเรนได้เช่นกัน

“พักผ่อนซะ ฉันจะไปบอกอาจารย์ประจำชั้นให้เอง” ไคยะออกจากห้องพยาบาลไปแล้ว ฮินาตะทิ้งตัวลงนอน ไม่รู้ทำไมอยากจะร้องไห้เสียเหลือเกิน ทว่าน้ำตากลับไม่ไหลออกมา

เมื่อเดินออกไปที่หน้าห้อง ไคยะก็พบว่าเรนอยู่ที่ตรงนั้น เขาหยุดยืนสบตากับเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง คนตรงหน้าคล้ายกับมีคำกล่าวหลายคำแต่ไม่พูดออกมาในทันที

“คุณใช่ไหมที่ทำให้ฮินะสับสน” เรนจ้องมองมาด้วยแววตาแข็งกร้าว

“ทำไมคิดอย่างนั้น”

“ถ้าไม่ใช่เรื่องของผมก็มีแต่คุณเท่านั้นที่จะทำให้ฮินะเป็นแบบนี้”

“ใช่ว่าฉันอยากจะให้เป็นแบบนี้” ไคยะมีสีหน้าข่มขืนแวบหนึ่ง เรนตกตะลึงไปชั่วครู่ไม่นึกฝันเลยจะได้เห็นอะไรแบบนี้จากผู้ชายที่ได้ชื่อว่าหยิ่งยโสที่สุด

“ขอตัวก่อนนะ”

 ไคยะเดินจากไปเงียบๆ เรนมองตามอีกฝ่ายไป เขาไม่รู้ว่าความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างเขาฮินะและไคยะดำเนินไปถึงไหนแล้ว อยากจะเข้าไปพูดกับฮินะให้เข้าใจ ทว่ามันคงเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป

 เขาไม่ต้องการสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้คนที่รักถึงเพียงนั้น กระนั้นภายในใจตอนนี้ร้อนระอุดังไฟเผา ทั้งหึงหวงทั้งเป็นห่วง การที่ฮินะไม่ยอมดื่มเลือดไคยะกับเขามันเป็นสัญญาณแปลกๆที่ถูกส่งออกมา

รัก...อยากจะตะโกนออกไปจนสุดเสียงว่าเขารักและพร้อมจะทุ่มเททุกอย่างให้ ความรู้สึกของเขาไม่แพ้คุณไคยะอย่างแน่นอน

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไม่เข้าไปรบกวนฮินาตะ เรนก็สาวเท้าหมายจะกลับไปยังห้องเรียน ทว่าที่เบื้องหน้าเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งขวางทางเขาเอาไว้

“ช่วยรับนี่ไปด้วยนะคะเรนคุง” เด็กสาวยื่นจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ เรนเบื่อหน่ายนิดๆ นี่คงไม่พ้นเป็นจดหมายสารภาพรัก เด็กหนุ่มเปิดอ่านอย่างเสียไม่ได้หลังจากเด็กสาวเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

พบกันหลังเลิกเรียนที่ห้องชีวะ

เมื่ออ่านจบก็ฉีกจดหมายทิ้งทันที ตั้งใจว่าจะไม่ไปให้เสียเวลา แต่อึดใจหนึ่งนึกอะไรได้บางอย่าง ผู้หญิงคนนั้นน่าจะคบอยู่กับกัปตันชมรมบาส ทำไมถึงได้มาสารภาพรักกับเขา ไม่ชอบมาพากลเสียแล้วสิ หากอยากรู้เขามีแต่ต้องลองไปตามนัด

ดังนั้นจึงตัดสินใจไปพบตามคำข้อร้องในจดหมาย หมู่นี้มีอะไรแปลกๆมากมายเกิดขึ้นเยอะ หากไม่ไขความจริงให้กระจ่างซักเรื่องเขาคงอึดอัดทรมานใจจนหงุดหงิด



...



เจอกันอีกทีวันที่24เน้อ เม้นเป็ฯกำลังใจกันบ้างน้า

ออฟไลน์ Lukaka

  • ★น้อยนิดมหาศาล★
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 613
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: vampire kiss บทที่11 21/9/60
«ตอบ #17 เมื่อ21-09-2017 13:55:11 »

เรื่องจะวุ่นเพราะ คุณย่าและคู่หมั้นแน่ๆ รออ่านว่าไคยะจะแก้ปัญหายังไง

เอ็นดูฮินาตะ สับสนทั้งความรู้สึกตัวเอง ทั้งการกระทำของพี่ชาย

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่12 24/9/60
«ตอบ #18 เมื่อ24-09-2017 09:49:34 »

บทที่12

“ทำไมถึงเป็นเธอได้ล่ะ” เรนประหลาดใจอย่างมากเมื่อพบว่าคนที่รออยู่ตามนัดในจดหมายคือหญิงสาวคนเดียวกับที่มอบช่อดอกไม้ให้เมื่อคราวก่อน

“ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่เนอะ” หญิงสาวแปลกหน้าระบายยิ้ม “ฉันคิซาระ”

“แล้วมีธุระอะไรกับฉัน”

“เธอชอบเด็กคนนั้นสินะ”

เรนเลิกคิ้ว เริ่มจะไม่ชอบใจที่คนตรงหน้าพูดจาเลอะเทอะ คนแปลกหน้าคนนี้กล่าวถึงคนที่เขาชอบเช่นนั้นคงหมายถึงฮินะ แต่ว่าไม่รู้จักมักจี่กันยัยนี่ทราบได้อย่างไรว่าเขาชอบรักใคร

“เธอหมายถึงใครกันล่ะ”

“รู้ๆกันอยู่นี่นะ” คิซาระยักไหล่ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ เธอใช้แขนทั้งสองโอบรอบคอของเรน

“ฉันหมายถึงคามิชิโระฮินาตะไงล่ะ”

“แล้วมันยังไง”

“อ้าว” คิซาระแสร้งทำหน้าตกใจ “ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธออกหักจากคนที่รัก ก็ฮินะสุดที่รักเขารักชอบพี่ชายตัวเองนี่เนอะ”

“เธอนี่รู้ดีจริงนะ” เรนยิ้มหยัน เขาปัดแขนทั้งสองข้างที่โอบรัดคออยู่ออก “แต่ฉันไม่มีเรื่องจะคุยกับเธอหรอกนะ”

“ถ้าหากว่าฉันมีวิธีที่จะทำให้เด็กคนนั้นเป็นของเธอได้ล่ะ” แม้ว่าเรนจะเดินไปจนถึงประตูห้องแล้วเขาก็หยุดชะงักต่อคำกล่าวอันน่าสนใจ

“ฉันแอบตามดูความสัมพันธ์ของพวกเธอได้ระยะหนึ่งแล้ว”

“แล้วไง” เรนหันกลับมาประจันหน้า เขายืนกอดอกพร้อมกับเอนตัวพิงขอบประตูห้อง

“ดูเหมือนว่าจะไม่คืบหน้าเลยนะความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฮินาตะ” คิซาระหัวเราะเยาะ

“เธอพูดเองนี่ว่ามีวิธีจะช่วยฉันไม่ต้องพิรี้พิไรน่าบอกมาสิ”

“เพราะเห็นใจเธอหรอก เพื่อเธอที่ไม่สมหวังในความรัก” คิซาระหยิบกล่องใบหนึ่งจากกระเป๋าแล้วเปิดออกเผยให้เห็นสร้อยคอทองคำซึ่งมีรูบี้สีแดงสดเป็นจี้ห้อย

“เธอจะให้ฉันเอาไปให้ฮินะหรือ คิดว่าของแบบนี้จะทำให้ฮินะสนใจฉันหรือไง”

“อย่าประมาทว่ามันเป็นแค่สร้อยคอสิ” คิซาระหัวเราะเจ้าเล่ห์

“สร้อยคอเส้นนี่นักบวชชั้นสูงได้ลงอาคมไว้” จากที่เคยเกียจคร้านเปลี่ยนเป็นจดจ่อต่อคำพูดของคิซาระ เรนขยับกายเข้าไปยืนฟังใกล้ๆอีกนิด

“ขอเพียงเธอหยดเลือดลงไปที่รูบี้แสดงความเป็นเจ้าของแล้วนำมันไปสวมที่คอของแวมไพร์ตนหนึ่ง แวมไพร์นั่นจะเชื่อฟังคำสั่งเธอทุกอย่าง”

“ทุกอย่างเลยหรือ”

“ทุกอย่างที่เธอสั่ง”

“เธอช่วยฉันแล้วเธอจะได้อะไร”

“เราได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายนั่นละน่า” คิซาระหัวเราะร่วน “เมื่อเด็กคนนั้นสวมสร้อยคอนี่แล้วจะทำตามเธอทุกอย่าง ถึงตอนนั้นเธอจะขอให้เด็กนั่นเปลี่ยนให้เธอเป็นแวมไพร์เหมือนอย่างเราก็ได้ วิเศษไปเลยใช่ไหมล่ะ”

“เธอนี่คิดอะไรได้รอบคอบดีนะ ช่างเป็นผู้หญิงที่ชาญฉลาดเสียจริง” เรนรับเอากล่องสร้อยคอมาจากคิซาระ

“ขอให้เธอได้ในสิ่งที่ปรารถนาแล้วกัน” คิซาระแนบจูบลงมาบนแก้มของเรนก่อนที่ทั้งคู่จะแยกจากกันไปคนละทาง

“ร้อน” ฮินาตะครวญคราง แสงแดงจ้าในชั่วโมงพละที่คนธรรมดายังยอมแพ้มันทำให้เขาระโหยโรยแรงอย่างที่สุด เวลานี้เพื่อนๆ รวมทั้งเขาพากันแยกย้ายหาที่พักหลังจากอาจารย์พละอนุญาต

ตลอดเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมาทั้งวันฮินาตะไม่มีสมาธิเพราะเอาแต่คิดถึงทั้งเรนและไคยะสลับกันไปมาจนรู้สึกว่าตนเองชักจะเพี้ยนมากขึ้นไปทุกที

“ไม่นั่งพักหรือฮินะ” ฮินาตะหันไปมองพบว่าเรนอยู่ในระยะประชิด นี่เขาร้อนแดดจนเบลอไม่รู้ตัวว่ามีใครเข้ามาใกล้เลยหรือนี่

“ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะ”

“ห้องเราก็เรียนพละในชั่วโมงนี้ที่โรงยิมข้างๆ พอดีเราเห็นท่าทางฮินะไม่ดีเท่าไหร่เลยแวะมาดู”

“ฉันไม่เป็นไรหรอกน่า”

“คงไม่ใช่ขาดเลือดอีกนะ” เรนใช้สายตาจับผิดมองมา ฮินาตะเริ่มจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเจ้ากี้เจ้าการเรื่องเดียวกับเมื่อวาน

“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอก”

 เมื่อเช้าเขาก็ต้องฝืนใจดื่มเลือดจากไคยะ ยังจำความอึดอัดในตอนนั้นได้ดี ไม่อยากจะนึกถึงมันการที่เรนมาคอยจี้แบบนี้ทำให้เขาอารมณ์ขุ่นมัว

“ถ้าไม่ใช่ก็ดีแล้ว” เรนยื่นเครื่องดื่มเกลือแร่มาให้ “ถ้าไม่อยากดูดเลือดเรา เรื่องที่เราพอช่วยได้ก็มีแค่นี้รับไปสิ”

ฮินาตะนิ่งอึ้ง รับของมาด้วยความรู้สึกผิด เรนเดินจากไปโดยไม่ได้พูดเซ้าซี้อะไรอีก ช่วงนี้เรนเปลี่ยนไปนิดหน่อย ทั้งที่คิดว่าจะระเบิดอารมณ์โกรธใส่เขาอย่างที่ทำประจำในระยะหลัง ทว่ากลับเว้นช่องว่างเอาไว้ให้เขาได้ทำตามใจ ผิดปกติเสียจนจับสังเกตได้ หรือจะพยายามสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้กันแน่นะ

“ไปเอาน้ำราดหัวให้เย็นหน่อยท่าจะดีนะเรา” เขาเดินไปยังก๊อกน้ำข้างโรงยิมซึ่งไม่มีคน หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยพบว่าเพื่อนนักเรียนหญิงในชุดพละ เดินสะโหลสะเหลมาหาอย่างช้าๆ

“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามยังเดินตาลอยเข้ามาหา เมื่อถึงตรงหน้าเขาเธอก็ทรุดตัวลงไปกอง ฮินาตะมึนงงจนทำอะไรไม่ถูก

“เป็นอะไรไป” เขาตัดสินใจจะช้อนอุ้มคนเจ็บเป็นจังหวะเดียวกับที่เรนเดินมากับเพื่อนร่วมห้องพอดี

“ฮินะ” เรนปราดเข้าหาฮินาตะ โดยมีเพื่อนเดินตามมาติดๆ “เกิดอะไรขึ้น”

“ไม่รู้สิเหมือนเธอคนนี้จะเป็นลม”

“ขอดูหน่อยสิ” เรนขยับกายเข้ามาดูใกล้ๆ หลังจากตรวจตราเด็กสาวได้รอบหนึ่งรอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏบนใบหน้า   

“มะ...มีอะไรหรือ” ฮินาตะตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเช่นนั้นของเรน

“พาไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ” เพื่อนของเรนเอ่ยเตือน

“ฉันอุ้มไปเอง” เรนช้อนเด็กสาวขึ้นอุ้มก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังห้องพยาบาล

“แค่หน้ามืดเพราะลมแดดนะ” ฮินาตะโล่งใจเมื่ออาจารย์บอกว่าเพื่อนนักเรียนไม่ได้เป็นอะไรมาก

“เดี่ยวครูจะดูแลต่อเองพวกเธอกลับไปได้แล้วล่ะ”

ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงพากันจากมา ระหว่างทางไปโรงยิมเรนหันไปคุยกับเพื่อนของเขา

“นายกลับไปก่อนนะเรามีธุระกับฮินะ”

“โอเคงั้นฉันไปก่อนนะ” เพื่อนร่วมห้องของเรนแยกจากไป เรนลากฮินาตะไปยังที่ลับตาคน

“มีอะไร...” ฮินาตะงงไปหมด เขาถูกเรนมองด้วยสายตาแข็งกร้าวทั้งยังผิดหวัง

“ก็บอกแล้วใช่ไหมถ้าขาดเลือดอีกให้มาดูดเลือดของเรา เราพึ่งพาไม่ได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”

“หมายถึงอะไร” เขางงไปหมด นี่ตั้งใจจะทะเลาะกันเรื่องดูดเลือดหรือไม่ดูดอีกแล้วหรือ

“ก็เด็กคนนั้นไง” เรนแข็งกร้าวมากขึ้นทุกที “ฮินะขาดสติจนต้องดูดเลือดเด็กคนนั้นใช่ไหม”

“ฉันเปล่านะ” ฮินาตะส่ายหน้าไปมา ทำไมถึงเข้าใจเป็นอย่างนั้นไปได้

“อย่าปฏิเสธเลยเห็นอยู่ชัดๆว่าที่คอมีรอยฝังเขี้ยว”

“ฉันไม่ทันได้สังเกต” ไม่ได้โกหกซักนิดเขาไม่ทันดูเลยว่าที่ตัวเด็กคนนั้นมีรอยฝังเขี้ยว แล้วถ้ามันเป็นจริงทำไมเรนถึงต้องเข้าใจว่าเขาเป็นคนทำด้วยเขาดูเหมือนปีศาจกระหายเลือดขนาดนั้นเชียวหรือ

“จะบอกว่าไม่รู้ตัวว่าดูดเลือดใครไปอย่างนั้นหรือ”

“นายพูดจาแปลกๆไปใหญ่แล้วนะ มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลย” ในหัวสับสนไปหมด พยายามคิดหาต้นสายปลายเหตุ ในขณะเดียวก็ต้องรับมืออารมณ์รุนแรงของเรนแบบนี้มันทำให้คิดหรือทำอะไรไม่ถูก

“นายเอาอะไรมั่นใจว่าฉันเป็นคนทำ จริงๆแล้วแค่คิดไปเองเพราะว่าฉันไม่ยอมดูดเลือดนายใช่ไหม”

ฮินาตะเสียใจแทบจะในทันทีที่หลุดปากออกไปอย่างนั้น เพราะว่าสับสนลนลานจึงพูดจาทำร้ายจิตใจเรนไปเสียได้ เรนยิ้มแทนคำตอบเป็นรอยยิ้มที่เหมือนสัตว์ป่าบาดเจ็บ

“เราไม่ปฏิเสธว่าเราโมโหเพราะสาเหตุนั้นด้วยเหมือนกัน แต่ว่า” เรนเสียงกร้าว เขาใช้กำปั้นทุบกำแพงแล้วประกาศสิ่งที่คิดออกมาอย่างดุดัน

“เราเป็นห่วงหากว่าความแตกออกไปฮินะจะอยู่ในสังคมไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงหากเรื่องลุกลามไปเราสองคนอาจจะไม่ได้เจอกันอีก ฮินะคงไม่ใส่ใจสินะถึงแม้จะต้องจากเราไปตลอดกาล ยังไงเราก็เป็นแค่เพื่อนที่จะทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้”

กล่าวจบเรนก็สะบัดหน้าหนีไปปล่อยให้ฮินาตะทั้งตกใจและเสียใจอยู่ที่ตรงนั้น เขาไม่รู้มาก่อนว่าเรนจะกลัวถึงขนาดนี้ และเขาก็ไม่คิดถึงเรื่องผลเสียที่จะตามมาหากเรื่องราวถูกเปิดเผยไปเลยซักนิด ตอนนี้ถูกกระตุ้นให้สำเหนียกแล้วหัวใจก็ปวดแปลบ หากเป็นอย่างที่เรนว่าเขาจะทำใจทิ้งเรนไว้เพียงลำพังได้ไหมนะ

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงสามารถปล่อยเรนทิ้งเอาไว้ได้ เพราะอย่างไรการจากไปเงียบๆ มันย่อมจะปลอดภัยและดีต่อเรน ทว่าตอนนี้เขารู้ใจเรนเสียแล้ว ยิ่งได้เข้าใจว่าเรนจะอยู่ไม่ได้หากขาดเขาไปยิ่งเหมือนมีภาระหนักอึ้งถ่วงอยู่ ทั้งเรื่องไคยะก็ดีเรนก็ดี เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ควรจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าสามารถปรึกษากับใครได้มันคงจะดีกว่านี้

หลังจากทะเลาะกับฮินาตะเสียใหญ่โตเรนก็ผละจากมาด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธทั้งน้อยใจ แม้ว่าจะเลิกเรียนแล้วเขาก็ไม่ได้ไปรับคนที่รักกลับบ้านด้วยกันเพราะจิตใจยังไม่สงบลง ร่างสูงรอให้ตนเองจัดการกับสถาวะทางใจของตัวเองให้ได้เสียก่อนตั้งใจว่าจะไม่ไปพบหน้าจนกว่าเขาจะปรับทุกอย่างให้เป็นปกติได้

“ทะเลาะกันอย่างนั้นหรือ” คิซาระยืนอยู่ตรงจุดที่เรนจอดมอเตอร์ไซด์ เห็นหน้าแล้วนึกรำคาญอย่างที่สุด เขายิ่งอารมณ์ไม่ดีไม่มีใจจะมาเสวนาภาษาดอกไม้ด้วยแน่ๆ

“ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่”

“ก็เป็นห่วงนะสิ ป่านนี้เด็กคนนั้นคงจะเกลียดหน้าเธอแล้วมั้งจะเอายังไงได้เวลาใช้สร้อยเส้นนั้นแล้วหรือเปล่า ไปขอโทษเด็กนั่นซะแล้วชวนไปที่บ้านสิ เรื่องของไคยะไม่ต้องห่วงไว้ฉันจะจัดการให้เอง”

เรนนึกถึงสร้อยคอในกระเป๋าของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่ เรนปลายมองคิซาระแล้วเหยียดยิ้ม

“ขอให้เธอทำได้อย่างที่พูดก็แล้วกัน” เรนเร่งเครื่องยนต์ขับจากไป คิซาระกระหยิ่มยิ้มย่องมั่นใจว่าเรนจะต้องทำตามแผนการณ์ของเธออย่างแน่นอน



...



เจอกันอีกที่วันที่29น้า เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างเน้อ

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่13 26/9/60
«ตอบ #19 เมื่อ26-09-2017 10:12:20 »

บทที่13

“เจ้าบ้าเอ๊ย”

 ฮินาตะออกหมัดตรงไปยังหมอนหนานุ่ม ไม่รู้เหมือนกันว่าโกรธตัวเองหรือโกรธเรนกันแน่ เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาเองก็เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้เรนเข้าใจผิด

คิดดูให้ดีๆ แล้วเป็นเขาที่พลาดเองไม่ได้สังเกตเด็กสาวให้ละเอียด ถ้าเห็นรอยเขี้ยวนั่นก่อนยังพอจะแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน แต่ว่าใครกันนะที่เป็นคนเล่นงานเด็กสาวคนนั้น ถ้าเป็นพี่คงไม่ปล่อยให้เหยื่อเดินโซเซแบบนี้

หรือถ้าเป็นคุณย่าเทเรซ่าก็ไม่น่าใช่ คนคนนั้นหายสาบสูญไปตั้งแต่เขากลายเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ ในระแวกใกล้ๆ นี่เป็นอาณาเขตของพ่อ แวมไพร์ในแต่ล่ะครอบครัวมีเขตแดนล่าอย่างชัดเจนจะไม่ก้าวก่ายล่วงล้ำที่ของคนอื่น เรื่องพ่อเป็นคนทำนั้นตัดไปได้เลย ระยะนี้แวมไพร์ต่างถิ่นที่เข้ามามีแต่คิซาระเพียงคนเดียว

คิดพลางเหลือบมองไปยังโทรศัพท์มือถือ อยากจะพูดจากับเรนให้รู้เรื่องบอกข้อสันนิษฐานให้อีกฝ่ายรู้และเข้าใจ ก็พอดีเสียงเรียกเข้าดัง ฮินาตะพบว่าคนโทรเข้ามาคือเรนนั่นเอง

“ขอโทษนะฮินะ” เมื่อรับสายเรนก็กล่าวขอโทษเขาทันที ฮินาตะนิ่งฟังเรนรอดูว่าจะพูดอะไร

“เรารู้ว่าเราไม่ควรเอาความอิจฉาของตัวเองมาระบายใส่ฮินะแล้วคิดอีกทีเราไม่ได้ให้โอกาสฮินะอธิบายเลย”

“นายไม่ผิดหรอกเรนใครๆก็พลาดกันได้ ฉันจะไปที่บ้านนายปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องคนร้ายที่แท้จริงนี่ล่ะ”

“งั้นหรือดีเลย เราเองก็มีของที่จะให้ฮินะเหมือนกัน”

หลังจากวางสายเรียบร้อยฮินาตะก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อเสียใหม่ ขณะที่กำลังจะออกจากห้องส่วนตัวแม่ของเขาก็เข้ามาชวนคุยนานเกือบยี่สิบนาที เรื่องที่พูดเกี่ยวกับคิซาระซึ่งลุกขึ้นมาจับจองครัวทำขนมให้ไคยะทานจนวุ่นวายไปหมด

“ผมต้องไปแล้วนะครับแม่”

“จะไปแล้วหรือ” มินาโกะทำท่าทางอิดออด เธออยากให้ลูกชายคนเล็กอยู่เป็นเพื่อนไม่อยากอยู่ตามลำพังกับยัยคิซาระเลยซักนิด

“ผมนัดเรนเอาไว้ไปก่อนนะครับ” กล่าวจบก็เดินลงไปยังชั้นล่าง เมื่อเปิดประตูหน้าบ้านไปพบว่าที่ประตูรั้วเรนกับไคยะกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่

“อากาสึกิมาขออนุญาตพานายไปที่บ้าน”

“อ๋อ งั้นฉันไปก่อนนะ”

ฮินาตะเลี่ยงที่จะสบตากับไคยะตรงๆ หากได้จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่สวยเกรงว่าจะไม่อาจละสายตาจากอีกฝ่ายได้ ทั้งยังกลัวหัวใจจะเต้นตึกตักเพียงเพราะแค่ประสานสายตากัน

“ไปกันเถอะเรน” ฮินาตะเดินไปจับมือเรนลากจูงไปตามทาง ระหว่างทางที่ไปยังบ้านเด็กหนุ่มแจกแจงข้อสันนิษฐานของตนจนหมดเปลือก

“ฉันมั่นใจว่าคิซาระเป็นคนร้าย อ้อนายคงไม่รู้จัก คิซาระเป็นคู่หมั้นของพี่เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านฉันเร็วๆนี้...นายจะเชื่อที่ฉันพูดไหมเรน”

“เราเชื่อฮินะ” เรนจูงมือให้ฮินะเดินตามขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน

“ทำไมเชื่อง่ายจัง ที่เมื่อตอนกลางวันยังหัวเสียออกถึงขนาดนั้น”

“ก็มันมีเรื่องไม่สมเหตุผลหลายอย่างนะสิ”

“อย่างเช่น”

“คุณไคยะคงไม่สะเพร่าถึงขนาดปล่อยให้นายขาดเลือดจนอาละวาด เป็นฉันเองที่หน้ามืดจนลืมคิดไป ขอโทษนะฮินะที่ฉันไร้เหตุผล”

“ฉันไม่โกรธนายหรอก แค่นายรู้ว่าฉันไม่ได้ทำก็พอแล้ว”

“ฮินะเรามีอะไรให้ฮินะดู” เรนเปิดประตูเข้าไปในห้องส่วนตัว ฮินาตะเดินตามเข้าไปในห้องมืด

“ไม่เปิดไฟหรือไง” ฮินาตะมองตามเงาร่างของเรน อีกฝ่ายเดินไปค้นของเสียงกุกกัก

“เปิดไฟได้เลยฮินะ” ฮินาตะเปิดไฟตามคำสั่งจนสว่าง ที่ตรงหน้าเรนถือกล่องบางอย่างอยู่ในมือ ดูแล้วน่าสงสัย

“ฮินะมานี่สิ” เรนกวักมือเรียก ฮินาตะมองรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัยแล้วรู้สึกไม่ชอบมาพากล

เวลาไม่ห่างกันเท่าไหร่นัก ไคยะนั่งละเลียดทานขนมฝีมือคิซาระในห้องนั่งเล่น แวมไพร์สาวฉีกยิ้มหวานเธอพึงพอใจที่คู่หมั้นทานอาหารฝีมือเธอโดยไม่บ่นซักคำ

“อร่อยไหม” คิซาระมองดูไคยะตักบาวาเรี่ยนช็อคโกแล็ตเข้าปาก

“ก็ไม่ซะทีเดียวของจำพวกนี้เจ้าเด็กแสบของบ้านชอบทานมากกว่า”

“งั้นหรือคะ” คิซาระแสร้งทำยิ้มหวานทั้งที่ไม่พอใจที่ไคยะกล่าวถึงน้องชายตัวน่ารำคาญ ขณะนั้นค้างคาวขนาดเล็กก็บินผ่านหน้าต่างเข้ามาวนไปมารอบหนึ่งก่อนจะกระซิบบางอย่างที่ข้างหูเธอ

“ตายล่ะ ไคยะต้องไม่เชื่อแน่ๆ” คิซาระป้องปากหัวเราะ “คุณรู้ไหมว่าพ่อน้องชายของคุณกำลังทำอะไรอยู่”

“ทำอะไร” ไคยะตีหน้านิ่ง เขาวางช้อนส้อมลงบนจานเปล่า”

“ก็น้องชายของคุณนะสิกำลังทำเรื่องไม่เหมาะไม่งามกับเพื่อนของตัวเองอยู่นะคะนี่”

“แล้วเธอรู้ได้ยังไง” หญิงสาวชี้นิ้วไปยังค้างคาวรับใช้ซึ่งบินวนไปมารอบเธอ

“เธอส่งเจ้าตัวนี้ตามสอดแนมเจ้าเด็กแสบหรือ”

“ก็เป็นห่วงนี่คะ ยังไงเรื่องของเราชาวแวมไพร์ก็เป็นเรื่องที่ต้องปกปิด เห็นเด็กคนนั้นสนิทกับมนุษย์มากเกินความจำเป็นเลยนิ่งนอนใจไม่ได้ค่ะ นึกไม่ถึงเลยว่าความสัมพันธ์ของน้องชายคุณกับเพื่อนคนนั้นจะก้าวหน้าไปถึงขนาดนี้”

ไคยะผุดลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านของเรนโดยมีคิซาระตามไปติดๆ เมื่อไปถึงประตูบ้านเธอคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มจะโกรธจนทำลายลูกบิดประตูเข้าไปอย่างอุกอาจ

“ท่าทางคุณจะโกรธมากนะคะ ถึงได้พังประตูเข้าไปแบบนี้”

“ทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้น”

“ก็คุณไม่เคยทำรุนแรงบุ่มบ่าม เป็นปกติคุณคงใช้วิธีอื่นนอกจากพังประตู”

“เธอนี่พูดเหมือนรู้จักฉันดีจริงๆ” ไคยะหัวเราะในลำคอ แม้ว่าคำพูดคำจาฟังเหมือนกระทบกระเทียบแต่คิซาระหาได้โกรธไม่ ในที่สุดเธอกับเขาก็เดินมาถึงหน้าห้องที่มีป้ายแขวนไว้ระบุชื่อเรน

“อย่านะ” เสียงร้องของฮินาตะดังออกมาจากด้านใน พวกเขาได้ยินเต็มสองหู

“พอทีเถอะ ไม่เอาแล้ว...อึก...” เสียงครวญครางปนสะอื้นชวนให้สงสัย คิซาระลอบมองดูใบหน้านิ่งเฉยเย็นชาของไคยะ เธอกำลังรอให้คู่หมั้นเปิดประตูเข้าไปดูภาพบาดตา

“ฮินะเองไม่ใช่หรือที่ไม่ขัดขืน ฮินะต้องการแบบนี้เองแถมยังตั้งอกตั้งใจเสียขนาดนั้นอีก”

คิซาระลอบหัวเราะต่อคำพูดล่อแหลมของเรนกับฮินาตะ เธอคว้ามือไคยะมาบีบเบาๆปลอบขวัญ

“เปิดประตูเข้าไปดูกันเถอะค่ะ”

เธอจัดการเปิดประตูเข้าไปแทนไคยะ ทว่าสิ่งที่เห็นกลับสร้างความตะลึงงันให้อย่างที่สุด แทนที่จะได้เห็นคนสองคนร่วมรักกันกลับเป็นฮินาตะนั่งไม่ติดที่ในมือถือจอยเกมส์เมามันกับการแข่งขันทั้งยังร้องโอดครวญอย่างต่อเนื่อง

“ไม่นะ..อึก...ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากเล่นแล้วกี่ทีกี่ทีก็แพ้ตลอดเลย แถมยังโจมตีแบบไม่ออมมือ”

“ฮินะเป็นคนอยากเล่นเจ้านี่เองไม่ใช่หรือไง” เรนหัวเราะชอบใจ นึกในใจว่าดีแล้วที่หยิบเอาเจ้าเกมส์ตัวใหม่นี่มาให้ฮินะเล่น

“ฮินะคะยั้นคะยอขอให้เราเล่นด้วยเองนะ”

“นี่มันอะไรกันคะ” คิซาระตะโกนเสียงแหว เรนกับฮินาตะหันมามองด้วยความแปลกใจ เพิ่งรู้ตัวว่ามีคนอื่นเข้ามาในห้อง

“ได้เวลากลับบ้านแล้วมั้ง” ไคยะกล่าวเสียงเรียบเรื่อย ฮินาตะยึกยักคาดไม่ถึงว่าจะมาตามพร้อมกับคิซาระ การที่ได้เห็นคู่หมั้นสนิทสนมกันขนาดนี้มันเจ็บที่ใจจนไม่อยากจะมอง

“เพิ่งจะมาได้แค่ชั่วโมงเดียวเอง” หาข้ออ้างเพื่อให้ไคยะกับคิซาระกลับไปก่อน ฮินาตะส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังเรน

“ฮินะกลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเอาเจ้าเครื่องนี้ไปให้ที่บ้าน”

อยากจะบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น จริงๆ เขาไม่อยากกลับบ้านไปพร้อมสองคนนั้น แต่เมื่อเรนไม่เข้าใจความต้องการของเขาจึงได้แต่ทำตามคำสั่งไคยะอย่างเสียไม่ได้

“เข้าใจแล้วงั้นฉันกลับก่อนนะ” ฮินาตะเดินตามหลังไคยะไป คิซาระไม่ได้ตามไปด้วยเธอถลึงตามองเรนอย่างดุดัน

“นึกว่าเธอจะใช้สร้อยคอเสียอีก”

“ก็ยังไงดีล่ะ” เรนหยิบสร้อยคอที่วางไว้ข้างกายมาคลึงเล่นไปมา

“เธอมันหน้าโง่ถึงทำลายแผนการที่ฉันวางไว้ หักหลังกันซึ่งๆหน้า”

“หักหลังงั้นหรือ” เรนหัวเราะเสียงดัง” ใครกันแน่ที่หักหลัง ฝ่ายเธอต่างหากที่พาคุณไคยะเข้ามาดูคิดจะทำอะไรกันแน่ คงไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณไคยะฆ่าฉันด้วยความโกรธหรอกใช่ไหม”

“แหมก็คิดว่าพวกเธอกำลังสร้างความสนิทชิดเชื้อ ทางนี้ก็เลยเรียกพี่ชายให้มาดูเขาจะได้เลิกหวังกับน้องชายลมๆแล้งๆตัดใจไปได้เสียที เท่านั้นไม่มีใครเสียหาย”

“เธอนี่พูดเอาแต่ได้จริงนะ ถามจริงเถอะเรื่องเด็กสาวที่ถูกดูดเลือดนี่ฝีมือเธอใช่ไหม”

“รู้จนได้นะ เธอก็หน้าโง่เชื่อจนทะเลาะกับเด็กนั่นเพราะหึงหวงไม่ใช่หรือ” คิซาระยิ้มหยามหยัน

“ก็ติดกับเข้าเต็มเปาละนะ”

“แล้วทำไมไม่ทำตามแผนเสียล่ะเจ้าโง่ ทำให้เด็กคนนั้นเป็นของตัวเองด้วยสร้อยนี่ฉันได้ประโยชน์เธอได้ประโยชน์ทั้งคู่”

“เธอสิที่ได้ประโยชน์ คิดว่าฮินะมีมลทินแล้วคุณไคยะจะเลิกสนใจในตัวฮินะหรือ คิดตื้นไปหน่อยมั้งพวกเขาสองคนเป็นพี่น้องกันนะ”

“โง่ไม่แบ่งใครจริงๆ” คิซาระแค่นเสียงหัวเราะ

“บอกความจริงก็ได้ เจ้าสร้อยนี่มีข้อดีข้อเสียอยู่ในตัว หากว่าผู้ใช้ตายในขณะที่แวมไพร์สวมใส่และอยู่ในมนต์สะกด แวมไพร์ตัวที่ว่าจะเสียสติไปหมดค่าให้ไคยะสนใจอย่างไรล่ะ”

“เธอตั้งใจให้ฉันตายตั้งแต่แรก”

“ตอนนี้ก็ยังอยากให้ตายอยู่นะ” คิซาระยิ้มเหี้ยมเกรียม ในตอนนั้นมือถือของเธอก็ดังขึ้น เธอรับสายเพียงเพราะว่าไคยะเป็นคนโทรมา

“ว่าไงคะ”

<ทำไมเธอยังไม่กลับมาอีก ฉันรออยู่นะ> คำว่ารออยู่เพียงพอจะให้คิซาระแช่มชื่นอย่างที่สุด ทว่าเธอยังต้องลงมือจัดการกับหอกข้างแคร่เสียก่อน จังหวะนั้นเสียงโวยวายจากคนแปลกหน้าดังขึ้นที่ด้านล่าง

“เรน เกิดอะไรขึ้นทำไมประตูพังแบบนี้” ตัวปัญหาเพิ่มขึ้นเสียแล้วคิซาระสบตากับเรนที่มองจ้องมา

<ยังไม่รีบกลับมาอีกหรือมีอะไรหรือเปล่า>

ถูกเร่งเร้าจากชายในฝัน ตามจริงเธอไม่อยากปล่อยเรนเอาไว้ ทว่าคิดให้ดีคำพูดของมนุษย์ตัวจ้อยต่อให้แพร่งพรายไปไคยะคงไม่เชื่อ นอกจากนั้นพวกมดปลวกดันโผล่มามากไปหน่อย หากฆ่าเยอะไปอาจทำให้วุ่นวายกว่าเดิม

“เฮอะนับว่าเธอโชคดีไปนะ ฉันจะปล่อยให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปก่อน” กล่าวจบคิซาระก็กระโดดออกนอกหน้าต่างไป เรนลดการระวังภัยลงคิซาระไม่รู้ตัวว่าเขากำปืนพกไว้แน่นเตรียมจะต่อสู้ยิบตาด้วย

“เรนเกิดอะไรขึ้นลูก” เป็นพ่อแม่ของเขานี่เองที่กลับบ้านมาในจังหวะที่ถูก เรนซ่อนปืนเอาไว้ใต้หมอน แล้วเริ่มต้นเล่าความเท็จให้ผู้ปกครองฟังด้วยน้ำเสียงร่าเริงอย่างที่สุด



...



พอดีว่าเราจะเปลี่ยนค่ายอินเตอร์เน็ตทำให้ใช้เน็ตไม่ได้หลายวัน



เจอกันอีกที่วันที่1ค่ำๆน้าเพราะทรูจะมาติดตั้งให้วันนั้น



เม้นเป็นกำลังใจบ้างน้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: vampire kiss บทที่13 26/9/60
« ตอบ #19 เมื่อ: 26-09-2017 10:12:20 »





ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่14 29/9/60
«ตอบ #20 เมื่อ29-09-2017 11:22:34 »

ตอนที่14

ฮินาตะเดินกลับบ้านมาพร้อมไคยะ มือเล็กๆถูกพี่ชายจับจูงเอาไว้แน่นจนร้อน เด็กหนุ่มนึกอยากสลัดออกก็ดึงมือกลับทันที ไคยะทำเพียงเลิกคิ้วต่อปฏิกิริยาของเขา

ระหว่างนั้นค้างคาวรับใช้ตัวนึงบินเข้ามากระซิบบางอย่างที่ข้างหูไคยะ หลังจากเจ้าค้างคาวเงาถูกทำให้หายไป พี่ชายก็ต่อสายโทรไปหาคิซาระ คำพูดคำจาบ่งชัดถึงความหวงแหนในตัวคู่หมั้นจนฮินาตะปวดแปลบในอกพี่ชายคงมีใจให้คุณคิซาระ แปลกตรงไหนกันนะเขาเป็นคู่หมั้นจะห่วงใยกันก็เป็นเรื่องที่ถูก

ดังนั้นฮินาตะจึงสาวเท้ารัวเร็วเดินกลับเข้าบ้านทิ้งให้ไคยะสนทนากับคิซาระผ่านทางมือถือต่อไป พี่ชายไม่ได้ตามมา เกลียดตัวเองนักเพราะใจในดันปวดร้าวที่ชายหนุ่มไม่ตามมาง้องอนทั้งที่ตามจริงแล้วไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนั้น

ฮินาตะเดินขึ้นไปบนห้องปิดประตูขังตัวเองในที่ส่วนตัว เด็กหนุ่มยืนพิงประตูห้องก่อนจะไถลตัวนั่งลง เจ็บปวดอะไรกันนะ เขาเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ยิ่งนึกถึงคำพูดแสดงความเป็นเจ้าของที่ไคยะมีต่อคิซาระ มือเล็กๆก็ยกขึ้นมากำเอาไว้ที่บริเวณหัวใจ

เจ็บ เจ็บแบบเดียวกับตอนที่คิดถึงความรู้สึกของเรน ไม่สิอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ กับเรนนั้นเขาไม่อยากปล่อยทิ้งอีกฝ่ายให้เคว้งคว้างเพียงลำพัง แต่กับพี่ชายเป็นเขาเองที่ไม่ต้องการถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

ปวดใจจนเกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา ไม่นานนักฮินาตะได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างพี่ชายกับคิซาระดังในบริเวณใกล้ๆ ช่างเป็นการสนทนาที่บาดหูนัก ทั้งคู่คงจะผ่านหน้าห้องเขาแล้วพากันไปหวานแหววกันต่อในห้องส่วนตัว

ในที่สุดก็ทนไม่ไหว ฮินาตะเปิดประตูห้องออกไปและพบว่าไคยะกับคิซาระจูบกันอย่างแนบแน่น น้ำตาใสๆไหลทะลักออกมาจากดวงตา แถมวินาทีที่เขาร้องไห้นั้นดันสบตาเข้ากับพี่ชาย เด็กหนุ่มผลุนผลันกลับเข้าไปในห้องอยู่ดูต่อไปไม่ไหวจริงๆ

รัก การที่เขาปวดใจขนาดนี้เหตุผลมีอยู่ข้อเดียวคือเขารักพี่ชายไม่ผิดแน่ๆ ไม่ได้รู้สึกผิดบาปต่อความรู้สึกนี้ ทว่าที่เสียใจอย่างที่สุดคือไม่มีวันจะได้มาเพราะพี่ชายไม่ได้รักเขา คนที่อีกฝ่ายปรารถนาคือคุณคิซาระ ไม่อย่างนั้นคงไม่จูบดูดดื่มกันขนาดนั้น

ทำอย่างไรดีนะถึงจะตัดใจได้ ทว่าส่วนลึกในใจกลับไม่อยากอยู่ห่างพี่ชายคนนี้เสียแล้ว หากว่าไคยะไม่มาทำดีด้วยเหมือนเมื่อก่อนเขาคงไม่ต้องรับรู้ความในใจของตัวเองเช่นนี้

ถึงจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องนี้จะโทษไคยะฝ่ายเดียวไม่ได้ แต่หากไม่โยนความผิดให้อีกฝ่ายก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ตนเกลียดชังจนสามารถตัดใจจากพี่ชาย

เวลานี้เขาเข้าใจความรู้สึกของเรนดีทีเดียว การเป็นฝ่ายถูกรักข้างเดียวย่อมไม่มีทางเข้าใจ จะเห็นแจ้งได้ก็ต่อเมื่อตกหลุมรักใครด้วยตัวเองเท่านั้น เขาเจ็บปวดขนาดนี้ เรนเองก็คงจะช้ำใจไม่น้อยไปกว่ากัน

เพิ่งจะเข้าใจว่าเขาแอบรักพี่ชายตนเองมานานนมแล้ว ถ้าจะคิดให้ดีสมัยที่ยังเป็นเด็กเขาเองก็ทำเหมือนไคยะเป็นสมบัติส่วนตัว คิดมาโดยตลอดว่าพี่ชายเป็นของๆเขาแต่เพียงผู้เดียว

เรนเองก็คงจะรู้ความจริงข้อนั้นจึงได้แสดงอาการหึงหวงเขากับไคยะมาโดยตลอด เขานึกสงสารตัวเองและเรนไปพร้อมๆกัน หากว่าสามารถรักเรนจนหมดใจได้มันจะดีซักแค่ไหนกันนะ

ถ้าเขารักเรนเพียงคนเดียว มันจะกลายเป็นต่างคนต่างมีใจให้กันและกัน เป็นแบบนั้นแล้วคงจะไม่มีใครต้องเจ็บปวด เขาทรมาณใจเพราะพี่ชายก็จริงแต่ในขณะเดียวกันก็นึกถึงใบหน้าปวดร้าวของเรนด้วยเช่นกัน

เรนนายเข้าใจความรู้สึกของฉันดีตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ คงจะรู้ดีว่าเขาปรารถนาพี่ชายตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร นับตั้งแต่จำความได้เขาก็ไม่เคยมองใครนอกจากพี่ชายของตัวเอง เจ็บปวดเพราะผิดหวังในรักในขณะเดียวกันก็ทรมาณกับความรักที่เรนมอบให้

เขานี่มันช่างเป็นคนที่ต่ำช้าเสียจริงๆ รักพี่ชายในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถผลักไสเรนไปให้พ้นทาง อยู่ตรงกลางระหว่างคนสองคน แม้ว่าจะผิดหวังจากไคยะแต่ก็ยังอยากจะไล่ตามหรือรอคอยอยู่ที่เดิม นอกจากนั้นยังเหลียวหลังกลับไปมองเรนคอยดูว่าเพื่อนสนิทคนนั้นจะอยู่ต่อไปได้ไหม ไม่กล้าปล่อยมือเพียงเพราะเกรงว่าจะทำให้ต้องเจ็บและเจ็บไปพร้อมๆกัน

เหมือนหัวใจจะหล่นลงไปกองที่พื้นเมื่อได้เห็นน้ำตาของเจ้าเด็กแสบ ไคยะไม่ได้ผละออกจากคิซาระทันที เขาทำตัวเหมือนปกติค่อยๆถอนจูบปล่อยให้ฮินาตะกลับเข้าห้องไปอย่างเงียบๆ

เจ้าเด็กแสบร้องไห้ แบบนี้จะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเจ้านั่นมีใจให้เขา ตามจริงใช่จะมองไม่เห็นสายสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างฮินาตะกับอากาสึกิ เส้นด้ายสีแดงเกี่ยวกระหวัดพันรัดให้เห็นเด่นชัดจนทีแรกมั่นใจว่าตนเองอาจจะไม่มีโอกาส

แน่ใจมากว่าเจ้าเด็กนี่มีใจให้อากาสึกิส่วนตนเองนั้นเป็นเพียงแค่พี่ชาย ทว่าเมื่อได้เห็นความเป็นจริงจึงเข้าใจว่าตนยังมีโอกาสมากพอที่จะจับยึดฮินาตะเอาไว้ให้อยู่ในมือ

ร้องไห้เพียงเพราะเห็นเขาจูบกับคิซาระ หากฉวยโอกาสแทรกเข้าไปในความสัมพันธ์ที่กำลังคืบหน้า เห็นทีจะไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ดังนั้นจึงหลอกล่อให้คิซาระไปล่าเหยื่อส่วนตัวเองเข้าไปหาฮินาตะในห้อง

“เจ้าเด็กแสบฉันจะเข้าไปนะ” คนในห้องไม่ตอบคำและดูเหมือนว่าจะไม่ได้ล็อคประตูอีกด้วย ดังนั้นจึงเปิดเข้าไปโดยไม่รอคำตอบ

“มีธุระอะไร” ดวงตาคู่สวยยังแดงช้ำ เข้าใจว่าคงยังร้องไห้อยู่ ฮินาตะปาดน้ำตาไปมา มองดูแล้วทั้งน่ารักและน่าสงสารไปพร้อมกัน

“เป็นอะไรไปทำไมถึงร้องไห้” สาวเท้ายาวๆ ไปอยู่ตรงเบื้องหน้า ใช้ปลายนิ้วเกี่ยวคางอีกฝ่ายเพื่อมองหน้าให้ถนัดๆ ทว่าฮินาตะสะบัดปลายคางหนีทันที

“พี่เข้ามาทำไม ไม่ออกไปล่าหรือไง”

“เพราะนายทำตัวแปลกๆ ฉันถึงได้ไปไหนไม่ได้”

ฮินาตะสะดุ้งกายเบาๆ เขาทำตัวประหลาดจริงๆนั่นล่ะ จู่ๆ ร้องไห้ออกมาต่อหน้าไคยะ เป็นใครก็ต้องสงสัย

“ร้องไห้ทำไม” ไคยะลดกายลงนั่งบนเตียงข้างๆ ฮินาตะ ตั้งใจว่าจะเค้นความจริงให้ได้ วางแผนฉวยโอกาสตะครุบเหยื่อ แทรกเข้าไประหว่างเจ้าเด็กแสบกับอากาสึกิ

“ไม่มีอะไรหรอก” ฮินาตะมองเมินไปอีกทาง ท่าทีดูแข็งกร้าว แต่เสียงที่เปล่งออกมาสั่นพร่าคล้ายกับปรับอารมณ์ไม่ทัน

“นายร้องไห้แบบนี้ฉันเองก็ปวดใจนะ” ฮินาตะหันมามองด้วยใบหน้าตกตะลึง ไคยะส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้อีกฝ่าย

“บอกตามตรงฉันไม่เห็นนายร้องไห้ต่อหน้ามานานแล้ว พอเห็นแบบนี้ มันก็ทนเฉยไม่ได้ขึ้นมา”

 ไคยะใช้มือลูบลงไปบนศีรษะของฮินาตะ ถึงแม้จะลังเลสงสัยต่อความใจดีของพี่ชาย แต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกดีที่ได้รับการปลอบโยนเช่นนี้

“นายรักฉันไหม” พริบตาที่ถามออกไปดวงตาของฮินาตะก็เบิกกว้าง เด็กหนุ่มตัวสั่นเทา คล้ายตื่นตระหนกทั้งยังหวาดกลัวต่อคำถาม

“ทำไมพี่ถามอย่างนั้น”

“เพราะอยากจะรู้ว่าใจเราตรงกันหรือเปล่า”

 ฮินาตะอึกอักลังเลที่จะพูดความจริงออกไป เขารักพี่ชายแต่ไม่กล้าบอกความรู้สึกเพียงเพราะว่าใบหน้าของเรนซ้อนทับกับใบหน้าของไคยะ

“ที่ลังเลแบบนี้เพราะอากาสึกิหรือเปล่า” ฮินาตะหน้าซีดทั้งลนลานทำอะไรไม่ถูก เพียงเท่านี้ไคยะก็เดาความรู้สึกของน้องชายได้

“ทิ้งอากาสึกิไปไม่ได้สินะ แล้วนายมีใจให้ฉันไหม ฉันอยากรู้แค่นี้”

“ฉันรักพี่ชายได้หรือ...ในเมื่อเรา...” ไคยะจรดนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากฮินาตะ เป็นคำสั่งคล้ายให้อีกฝ่ายหยุดพูด

“ขอแค่นายบอกว่าต้องการฉัน ต่อให้มีอุปสรรคยังไง ฉันจะอยู่ข้างนายตลอดไป”

ฮินาตะช้อนตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมามอง ไคยะใช้มือซับน้ำตาอีกฝ่ายอย่างเบามือ แล้วรุกคืบด้วยคำพูดต่อไปอีก   

“ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ใช่ที่หนึ่งในใจนายก็ตาม”

รู้ดีว่าตนเองทิ้งฮินาตะไปนานหลายปี ดังนั้นขอแค่เพียงเจ้าหมอนี่ตอบรับรักเขาก็พอ จะเป็นที่หนึ่งหรือที่สองไม่สำคัญ เพียงได้แทรกเข้าไปเป็นหนึ่งในนั้นไคยะก็ถือว่ามากเกินพอสำหรับการกระทำเย็นชาที่เขามอบให้ฮินาตะตลอดหกปีเต็ม

“พี่ไม่ได้เกลียดฉันหรือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพี่ไม่สนใจฉันเลย”

“ฉันผิดเอง จากนี้ไปหากนายไม่รังเกียจช่วยอยู่ข้างๆฉันตลอดไปได้ไหม”

น้ำตาใสๆ ไหลออกจากดวงตาในปริมาณมากเหลือเกิน มันไหลลงมาอาบแก้มแต่ฮินาตะไม่คิดจะปาดมันออก ไคยะจัดการซับด้วยริมฝีปากของตนเอง ทีแรกอีกฝ่ายตกใจจนตัวเกร็ง แต่ไม่นานนักก็ปล่อยกายตามการปลอบโยนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ

“เหมือนเมื่อครั้งสมัยเด็กที่เราเคยสาบานว่าจะอยู่ด้วยกันนะหรือ”

“ถ้านายยินยอมฉันจะสาบานกับนายอีกครั้ง” ไคยะแนบจูบลงไปบนหน้าผากของฮินาตะ เมื่อเด็กหนุ่มไม่ปฏิเสธแถมยังยอมให้ล่วงเกินง่ายๆ ดังนั้นเขาจึงเริ่มต้นพิธีสาบานอย่างรวดเร็ว

หลังจากโกหกสารพัดให้พ่อกับแม่เข้าใจ คืนนั้นเรนไปแสดงดนตรีที่ผับประจำเช่นเดิม โดยไม่คาดคิดมาก่อนไคยะมาหาเขาที่ห้องพักนักแสดง ดูเหมือนจะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย ดังนั้นจึงให้เพื่อนร่วมวงออกจากห้องไปก่อน

                “มีอะไรหรือครับคุณไคยะ”

                “จากเรื่องคราวนี้คงจะรู้ตัวแล้วสินะว่านายมันเป็นตัวถ่วง”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงอะไร จากเหตุการณ์ที่ผ่านมานอกจากเขาจะช่วยอะไรฮินะไม่ได้มาก ยังมีวี่แววว่าจะถูกทำร้ายจนถึงตายเสียด้วยซ้ำ

                “ดูท่าว่าคุณจะรู้เรื่องของผมเยอะพอดูคุณแอบสอดแนมผมอยู่หรือ”

                “นายคิดว่าคิซาระยอมปล่อยนายไปง่ายๆเพราะใครกันล่ะ” เรนแค่นเสียงดังเฮอะ

“ต้องขอบคุณ คุณไคยะจริงๆที่ช่วย ที่มาหาผมเพื่อล้ำเลิกบุญคุณหรือไง”

แทนคำตอบไคยะยื่นกล่องบางอย่างให้เรนรับไป ถึงแม้จะงงแต่เรนก็เปิดดูข้างใน ดวงตาของเขาเบิกกว้างเมื่อพบของปริศนาและจดหมาย เขาอ่านข้อความอย่างละเอียด

“ที่นี่นายคงจะเลือกได้ถูกนะว่าควรทำยังไงต่อไป คนอย่างนายหากไม่หายไปตอนนี้ รังแต่จะสร้างความลำบากให้ทั้งเจ้าเด็กแสบและตัวนายเท่านั้น เลือกให้ดีๆนะอากาสึกิ”

“ทำไมคุณทำแบบนี้ คุณกับฮินะก้าวหน้าไปถึงขั้นไหนแล้ว” เรนพลุ่งพล่านในใจอย่างที่สุด เขาสับสนกับข้อความในกระดาษและสิ่งของที่ได้รับมา

“ฉันยอมรับว่าฉวยโอกาส แต่ไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะในใจเจ้าเด็กนั่นมีนายอยู่ดังนั้น...”

“คุณมันแย่ที่สุด” เรนกระชากคอเสื้อของไคยะ ง้างหมัดจะชกหน้า ทว่าถูกชายหนุ่มบีบข้อมือเอาไว้แน่นจนเจ็บ

“หึๆๆ ดูสิอ่อนแอขนาดนี้ยังคิดว่าจะสามารถอยู่เคียงข้างเจ้าเด็กแสบได้อีกหรือ ทำตามที่จดหมายนั่นเขียนไว้ซะ นายไม่มีทางเลือกอีกแล้วคงเข้าใจสินะ”

ถูกผลักออกมาจนต้องเซถอยหลัง เรนกำหมัดแน่น ยอมรับว่าถูกบังคับให้เลือกแบบนี้มันเลวร้ายจริงๆ แถมหากไม่ทำอย่างนี้โอกาสที่เขาจะได้เจอหน้าฮินะอาจไม่มีอีกต่อไป

“คุณนี่มันเจ้าเล่ห์เกินไปแล้วนะ”

“ฉันยอมรับ” ไคยะกำลังจะเดินจากไป เรนถูกบังคับให้ตัดสินใจในทันที เขาเลือกได้ไม่ยาก หากมันจะทำให้ฮินะปลอดภัยเขายอมเดินไปตามเกมส์ของไคยะ

“ฝากดูแลฮินะด้วยนะ”

ความวุ่นวายไม่รู้จบกำลังจะเกิดขึ้น แค่เพียงปกป้องตัวเองยังทำได้ยาก เขาจะไม่ยอมให้ฮินะถูกสะเก็ดไฟจากการกระทำของเขาอย่างเด็ดขาด เพราะว่ารักดังนั้นจึงยอมสละได้แม้ใจจะไม่ต้องการก็ตาม



...



อยากเล่นเนตถึงขั้นมาร้านคอม5555 มาแล้วดันมานั่งแต่งนิยาย เจอกันอีกทีหลังเน็ตที่บ้านเรียบร้อยละเน้อ

ไม่น่าจะเกินวันที่3เดือนหน้านะ  เม้นปะกำลังใจกันบ้างเน้อ

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
Re: vampire kiss บทที่14 29/9/60
«ตอบ #21 เมื่อ29-09-2017 15:18:02 »

 :katai1:

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่15 3/1060
«ตอบ #22 เมื่อ03-10-2017 11:29:10 »



บทที่15

ฮินาตะยอมรับว่านอนไม่หลับทั้งคืน อาจเป็นเพราะตื่นเต้นและสับสนต่อพิธีการสาบานเหมือนเมื่อครั้งสมัยที่ยังเป็นเด็ก ถูกชี้นำให้กล่าววาจาสัตย์ว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป หากพี่ชายไม่ทำแบบเดียวกันเขาคงไม่ยอมตามน้ำง่ายๆ อย่างนี้แต่แรก

เมื่อคำสาบานที่เป็นพิธีกรรมจบลงไคยะได้จุมพิตลงมาแผ่วเบาที่ริมฝีปาก จำได้ว่าเต็มตื้นในอกอย่างประหลาดแต่แค่แวบเดียวเท่านั้นกลับรู้สึกผิดเพราะเอาแต่นึกถึงเรนจนนึกเกลียดตัวเอง

เขากับไคยะแค่สาบานว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงจะเป็นคนรักกัน ฮินาตะปักใจเชื่ออย่างนั้นเพราะพี่ชายไม่ได้ล่วงเกินหรือเกี้ยวพาอย่างที่คนรักเขาทำกันแต่อย่างใด ยังคงเป็นคนปากเสียและยโสเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

ฮินาตะหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็พบว่าไคยะมารออยู่แล้วในห้อง พี่ชายเสนอตัวให้เขาดื่มเลือดเหมือนทุกครั้ง ตามจริงน่าจะชินได้แล้ว แต่ก็ยังกระดากอายอยู่เหมือนเดิมจนนึกรำคาญตัวเอง

เมื่อสูบเลือดจนพึงพอใจเขาเดินตามไคยะลงไปยังด้านล่าง คิซาระพอเห็นชายหนุ่มก็เดินเข้ามาจูบอรุณสวัสดิ์ที่แก้มซ้ายตามใจชอบ ฮินาตะเบือนหน้าหนี แม้ว่าสาบานจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ไม่ต้องการแสดงตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ

ฮินาตะเลือกที่จะอยู่อย่างสงบ ขอเพียงแค่พี่ชายไม่ทอดทิ้งเขาไปแม้ว่าอีกฝ่ายจะแต่งงานกับคิซาระเขาก็จะอดทน นั่นเป็นเพราะถึงแม้รักแค่ไหนเขาก็ยังเป็นเพียงน้องชายคนหนึ่ง แล้วก็รู้ตัวดีว่าตนเองยังครึ่งๆ กลางๆ ไม่อาจปล่อยวางเรนลงได้แม้แต่วินาทีเดียว

ช่างเห็นแก่ตัวนัก ไม่อยากแยกห่างจากพี่ชายในขณะเดียวกันก็ไม่ยอมปล่อยมือจากเรน หากใครรู้เข้าคงถูกด่าเป็นคนแพศยาแน่นอนไม่มีผิด ทว่าคืนนั้นพี่ชายกลับกล่าววาจาคล้ายจะยอมให้เขาคิดถึงเรนได้ตลอดไปเพราะฉะนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่ขออะไรจากพี่ชายแค่ได้อยู่เคียงข้างกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ในฐานะน้องชายคนโปรดเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

แม้ว่าคำสาบานในคืนนั้นจะถูกบังคับให้กล่าวถ้อยคำประหนึ่งบอกรักก็ตาม ถึงพี่ชายจะยอมปฏิญาณว่าจะรักและดูแลเขาตลอดไป กระนั้นฮินาตะตระหนักถึงความเป็นจริง เขากับพี่ชายไม่สามารถอยู่ร่วมกันในฐานะคนรักได้เพราะไม่มีผู้ใดยอมรับความสัมพันธ์เช่นนี้ของพวกเขาเป็นแน่

               คิซาระเข้ามาประจ๋อประแจ๋กับพี่ชายโดยทำเมินการคงอยู่ของเขาไปเสีย ฮินาตะไม่อึดอัดแต่อย่างใด เขาเองก็ไม่อยากให้ใครรู้คำสาบานเล็กๆ ระหว่างเขากับพี่ชายเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะต้องอดทนต่อความเจ็บในใจที่ต้องเห็นภาพบาดตาก็ตามที

               “ไคยะคะฉันอยากไปเดินเที่ยวรอบเมืองเมื่อคืนคุณก็ปฏิเสธไปครั้งหนึ่งแล้วเพราะอย่างนั้นวันนี้เราไปด้วยกันนะคะ” คิซาระเกาะแขนนัวเนียไคยะแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่ แวบหนึ่งไม่มีทางคิดไปเองแน่ๆ เจ้าหล่อนมองมาที่เขาแล้วยิ้มเยาะ

               ก็ไม่แปลกใจนักคุณคิซาระคงเหมือนเรน รู้มาตั้งนานแล้วว่าเขาคิดเกินเลยกับพี่ชาย ตามจริงหากยอมแพ้ปล่อยพี่ชายไปทุกอย่างมันน่าจะลงตัว เขาจับคู่กับเรน พี่ชายก็จับคู่กับคิซาระ เขาเองตอนนี้ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น

               อยากจะหลงรักเรนหมดใจ แต่เพราะไม่อยากหลอกตัวเองหรือทำให้เจ็บปวด เขาไม่กล้าโผเข้าหาเรนเพียงเพื่อใช้เป็นที่พึ่งให้ลืมพี่ชาย แล้วยิ่งไม่อยากออกห่างจากไคยะแม้ว่าจะต้องทำตัวเป็นน้องชายที่แสนดีตลอดไป ฮินาตะหวนนึกถึงเรื่องคืนนั้นหลังจากกล่าวคำสาบานเรียบร้อย

               “หากนายต้องการฉันจะไม่แต่งงานกับคิซาระ”

 ฮินาตะเบิกตากว้าง ถึงกับไม่แต่งงานกับคิซาระเพื่อเขาเชียวหรือ ตามจริงแค่ได้ยินภายในใจก็เหมือนมีดอกไม้ผลิบาน ทว่าเขาไม่ต้องการให้พี่ชายต้องเดือดร้อน ดังนั้นจึงกล่าวปฏิเสธไป

               “พี่ไม่ต้องทำเพื่อฉันขนาดนั้น สำหรับฉันขอแค่ได้อยู่ข้างๆ พี่ตลอดไปก็เพียงพอแล้ว”

 ไคยะเลิกคิ้วด้วยท่าทางไม่ชอบใจนัก ไม่รู้ว่าเด็กแสบคิดอะไรอยู่กันแน่

               “นายจะบอกว่าถึงฉันแต่งงานกับคิซาระไปก็ไม่มีปัญหางั้นหรือ” ฮินาตะพยักหน้าแล้วกล่าวต่อ

               “ขอแค่พี่ให้ฉันตามไปอยู่ข้างๆ เป็นภาระของพี่ตลอดไปได้ ตามใจฉันอีกหน่อยเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”     

ฮินาตะก้มหน้าลงเขาไม่กล้าสบตาไคยะด้วยเกรงว่าจะขอมากเกินไป หากว่าเขาขอตามไปยังรังลับหลังพี่ชายแต่งงานโดยมีเรนตามติดเป็นเพื่อนด้วยมันจะเป็นเรื่องที่พิลึกหรือเปล่านะ คำขอเอาแต่ใจแบบนี้คงไม่มีทางยอมฟังแน่ๆ และเขาก็คิดว่าเรนเองก็คงไม่มีทางยอมด้วยเช่นกัน

 เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยซักนิดเดียวว่าไคยะเหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียมโดยที่เขาไม่เห็น สำหรับชายหนุ่มแล้ว เหนื่อยใจจริงๆ ที่คำบอกรักของตนเองดูจะไม่บรรลุจุดประสงค์ในตัวมันเอง การที่ฮินาตะยังเข้าใจผิดแบบเลื่อนเปื้อนเช่นนี้สงสัยนักมันผิดพลาดที่ตรงไหน

นอกจากจะไม่ยอมบอกรักเขาตรงๆ ยังกล้ามาขอให้เขาแต่งงานกับคิซาระเสียอีก ทั้งที่สาบานรักและจะอยู่ด้วยกันตลอดไปทั้งยังเว้าวอนให้เขาไม่จากไปไหน ช่างเป็นเด็กที่มีความคิดแปลกประหลาด รู้สึกว่าพลาดไปมากจริงๆ ที่ปล่อยให้เคว้งคว้างนานถึงหกปี

“พี่ถ้าหากว่าฉันพาเรนไปที่รังลับด้วย...”

 ช้อนสายตามองมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไคยะกระตุกยิ้มหยามหยัน ถึงแม้จะทำใจไว้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกชิงชังอากาสึกิจากก้นบึ้งหัวใจ ทว่าเป็นเขาเองที่ปล่อยให้เจ้าหมอนั่นเข้ามายึดพื้นที่ไปได้ ตอนนี้แค่แทรกเข้าไปในช่องว่างของสองคนได้ก็นับว่าทำได้ดีกว่าที่คาดแล้ว

“ตามใจนายสิ แต่จะพาไปในฐานะไหน คนรักหรือไง” อดจะพูดจาเย้าแหย่ตามประสาไม่ได้ แต่เข้าใจว่าฟังดูเหน็บแนมไปหน่อย ไม่อาจยับยั้งนิสัยแย่ๆ แบบนี้ได้เลยจริงๆ ฮินาตะหน้าซีดเผือดทำอะไรไม่ถูกในทันที

“ถ้าอากาสึกิยอมตามไปด้วยล่ะก็ นายพาเขาไปก็ได้”

 ฮินาตะเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าดีขึ้นนิดหน่อย แต่ยังมีความหวาดหวั่นปนอยู่ในแววตา

“แต่ถ้าเจ้านั่นไม่ยอมไปก็ไม่ใช่ความผิดของฉันนะ” หลังจากนั้นไคยะก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก พี่ชายผละจากไปเพราะสมควรแก่การออกล่าแล้ว ทิ้งให้ฮินาตะกังวลใจว่าจะทำอย่างไรเรนถึงจะตามไปที่รังลับด้วย

               ทว่าจะไปในฐานะไหนกันล่ะ คนรักหรือ หากมอบฐานะนั้นให้เรนคงจะดีใจ แต่ตัวเขาเองยังไม่มั่นใจเลยว่าความรู้สึกยึดติดที่มีต่อเพื่อนคนนี้มันเป็นอย่างเดียวกับที่เขามีต่อพี่ชายหรือเปล่าถ้าเป็นไปได้อยากให้ตามไปในฐานะเพื่อนคนสำคัญ

               รู้ดีมันเห็นแก่ตัวเกินไป เรนยังไงก็ต้องแก่ตายในไม่นาน แต่ว่าระหว่างที่อยู่ด้วยกันน่ามีซักวันที่เรนจะคิดได้ บางทีคงใช้เวลาไม่นานนักเพื่อนสนิทอาจได้แต่งงานกับใครซักคน ถึงตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ในที่เหมาะสม

               พี่ชายอยู่เป็นคู่คุณคิซาระ เรนเองก็มีคนรักเป็นฝั่งฝา สำหรับเขาขอแค่ซอกมุมเล็กๆ เป็นน้องชายที่ดีเป็นเพื่อนที่ดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เขาไม่อยากให้ความเห็นแก่ตัวมาฉุดรั้งทั้งคู่เอาไว้ หากว่าทั้งสองคนยังต้องการเขาก็จะขออยู่ด้วยกันสามคนในรูปแบบนี้คงไม่มากเกินไป

               “นะคะไคยะ คุณพาฉันไปด้วยคืนนี้นะคะ” คิซาระรบเร้าอย่างหนัก ไคยะทำเพียงแค่ยิ้มก่อนจะดีดนิ้วใส่หน้าผากมนๆ ของเธอ

               “จะไปก็ได้แต่ฉันไม่มีเวลาตามใจเธอหรอกนะ” ไคยะกล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันมาหาฮินาตะ

“...ฮินาตะ” พี่ชายยื่นมือมาต้องการจะให้จับ คู่หมั้นตัวดีทิ่มแทงสายตามาหาเขา ดังนั้นจึงลังเลที่จะยื่นมือออกไป

               “ไปกันเถอะ” ไคยะคว้ามือฮินาตะ ลากจูงเด็กหนุ่มไปยังรถคันงามโดยไม่สนต่อสายตาของคิซาระหรือพ่อแม่แต่อย่างใด

               “อย่างนี้คุณคิซาระจะไม่โกรธหรือ” หลังจากรถแล่นออกจากบ้านมาได้ซักระยะฮินาตะก็ตั้งคำถาม

               “ทำไม...อ้อ นั่นสิ ยัยนั่นน่าจะรู้อยู่แล้วว่าฉันรักนายนี่นะ” ฮินาตะทำเสียงพิลึกในลำคอ ไม่นึกว่าไคยะจะพูดจาบอกรักออกมาง่ายๆ เช่นนี้ ตั้งตัวไม่ทันจริงๆ

               “เพราะอย่างนั้นพี่ไม่ต้องทำดีกับฉันมากเวลาอยู่ต่อหน้าคุณคิซาระก็ได้”

               “กลัวหรือ” ไคยะจ้องเขม็งมา ฮินาตะส่ายหน้าไปมา

               “งั้นก็ไม่ต้องคิดมาก นายบอกเองว่าจะอยู่ข้างๆ โดยยอมให้ฉันแต่งงานกับคิซาระได้ คิซาระก็ต้องรับรู้ในอีกไม่นานว่าฉันจะยอมแต่งงานกับหล่อนแต่จะไม่ยอมให้นายห่างไปไหน ในใจของฉันนายคือคนรักเพียงหนึ่งเดียว และคิซาระเป็นแค่คู่แต่งงานที่พวกคนในเผ่าเห็นว่าเหมาะสมเท่านั้น” ฮินาตะหน้าแดงซ่านคำบอกรักร้อนแรงทำให้เขาร้อนไปทั้งกาย

               “ทำไมต้องทำตัวมีปัญหาด้วยนะ”

               “ทั้งหมดมันเป็นเพราะนายนั่นแหละ ฉันยอมให้ขนาดนี้แล้วยังไม่พอใจอะไรอีก”

               จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก ฮินาตะไม่กล้ากล่าวโต้เถียงใดๆ ด้วยรู้ดีว่าตนเองเอาแต่ใจมากแค่ไหน การที่ไคยะยอมทำตามใจเขาขนาดนี้นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว

               ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงโรงเรียน ฮินาตะเข้าเรียนในวิชาจนถึงช่วงพักตามปกติ ในตอนเที่ยงเรนมารับเขาถึงที่ห้องดังเช่นทุกครั้ง

               “นายเป็นอะไรไป” เอ่ยถามเพราะทุกอย่างมันผิดไปจากทุกวัน เรนที่ปกติร่าเริงวันนี้กลับเงียบขรึมไป ดูแล้วเหมือนไม่ใช่คนเดิม

               “ฮินะ...เรารักฮินะนะ” ฮินาตะสบตากับเรนเนิ่นนาน

               “ฉันรู้แล้ว”

               “ถ้าเราหายไปจากฮินะ ฮินะจะคิดถึงเราบ้างไหม” เหมือนหัวใจหยุดเต้นแวบหนึ่ง ไม่เคยคิดถึงเหตุการณ์ในรูปแบบนั้นมาก่อนเลย

               “พูดอะไรของนาย”

               “เราก็แค่อยากรู้ แต่ดีใจนะเพราะเมื่อกี้สีหน้าของฮินะชัดเจนดี”

               ฮินาตะนิ่งงัน นี่เขาแสดงสีหน้าแบบไหนออกไปกันนะ เด็กหนุ่มเริ่มจะหวาดระแวง

               “อย่ามาล้อเล่นแบบนี้อีกนะ”

 หลังจากนั้นต่างคนต่างเงียบไป ทั้งคู่แยกย้ายกันเข้าห้องเรียน ฮินาตะสังหรณ์ใจบอกไม่ถูก แต่ไม่แน่ว่าอะไรที่ติดอยู่ในใจกันแน่ เลิกเรียนวันนั้นเป็นครั้งแรกเลยที่ฮินาตะรีบวิ่งไปหาเรนที่ห้องประจำชั้น ทว่ากลับไม่พบเรนที่นั่น

               “อากาสึกิไม่สบายกลับบ้านไปตั้งแต่เมื่อกลางวันแล้วนะ”

 เพราะอย่างนั้นเย็นนี้เขาจึงกลับบ้านมาพร้อมไคยะแทนที่จะเป็นเรนดังเช่นทุกวัน เมื่อมาถึงบ้าน ฮินาตะไม่รอช้าตรงไปที่บ้านของเรน ทว่าไม่ว่าจะกดกริ่งเรียกซักเท่าไหร่ก็ไม่มีใครออกจากบ้านมา ฮินาตะทู่ซี้นานถึงครึ่งชั่วโมงในที่สุดก็ยอมแพ้กลับบ้านไปด้วยความกระวนกระวาย

               “เรนนายอยู่ไหนกันแน่นะ”



...



เจอกันอีกทีวันที่7เน้อ

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่16 7/10/60
«ตอบ #23 เมื่อ07-10-2017 11:15:14 »

บทที่16

               เรนหายตัวไปในวันสุดท้ายของการเปิดเรียนในเทอมนั้น การปิดภาคเรียนผ่านมาแล้วถึงหนึ่งอาทิตย์ เพื่อนสนิทคนนี้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ฮินาตะวนเวียนแวะไปดูที่บ้านของฝ่ายนั้นทุกวันจนเป็นกิจวัตร

               “ไม่เห็นจะต้องเป็นห่วงขนาดนี้เลยนี่คะ แค่เพื่อนคนหนึ่งหายออกจากบ้านไป” เสียงของคิซาระเตือนให้รู้ว่าตนไม่ได้มาเพียงลำพัง ยังมีไคยะและคู่หมั้นสาวตามติดมาเยือนหน้าบ้านของเรนด้วยเป็นกลุ่มสามคน

               “เอ้าเร็วสิคะ หากไม่รีบไปขึ้นเครื่องบินเห็นทีจะตกเครื่อง พวกเรายังต้องเดินทางไปที่รังลับให้เร็วที่สุดไม่ใช่หรือคะ”

“เจ้าเด็กแสบไปกันเถอะ” ไคยะยื่นมือไปหาฮินาตะ เด็กหนุ่มรีๆ รอๆ อยู่ชั่วครู่ แอบคาดหวังว่าเรนจะเปิดประตูออกมาจากด้านใน ทว่าไม่มีโอกาสได้อยู่นานขนาดนั้น เพราะพี่ชายคว้ามือกระตุกเบาๆ ให้เขาเดินตามไป

               ย้อนกลับไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วในวันแรกของการปิดเทอม คนของคุณย่าส่งจดหมายมาถึงพ่อกับแม่ เนื้อหาใจความบอกว่าต้องการให้เขาไปอาศัยอยู่ที่รังลับในช่วงปิดเทอมเพื่อเริ่มต้นการฝึกฝนตนในฐานะแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์

               ทีแรกแม่ของเขาต้องการจะตามมาด้วย แต่พ่อก็หยุดยั้งเอาไว้ได้สำเร็จ ดังนั้นคนที่จะเดินทางไปด้วยครั้งนี้จึงประกอบไปด้วยฮินาตะ ไคยะ และคิซาระสามคนเท่านั้น

               ความจริงเริ่มต้นฝึกฝนในฐานะเลือดบริสุทธิ์ฮินาตะก็เห็นว่าเป็นเรื่องดี ทว่าประจวบเหมาะต้องเป็นเวลาที่เรนหายตัวไป ดังนั้นจึงกระวนกระวายถึงขั้นขอเลื่อนเวลาออกเดินทางเป็นหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง แต่ถึงแม้จะทำอย่างนั้นก็ยังไม่ได้พบหน้าคนที่เขาเป็นห่วงมากอยู่ดี

               หลังจากเดินทางไปถึงสนามบิน ฮินาตะพบว่าหมายเลขที่นั่งทั้งสามห่างกันจนน่าประหลาด คิดว่าเจ้าของแผนการคงเป็นคิซาระ น่าจะไม่อยากให้เขาไปรบกวนเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันกับพี่ชาย

               “อุ๊ยตายขอโทษจริงๆน้า ตอนที่ฉันจองตั๋วมันไม่มีที่ว่างจริงๆ เพราะงั้นเธอถึงต้องไปนั่งคนเดียวในชั้นประหยัดแทนที่จะมานั่งด้วยกันในชั้นธุรกิจด้วยกันแย่เลยนะคะ” คิซาระแสร้งทำเป็นเสียใจจนดูไม่ธรรมชาติ หากจะคิดให้ดีคงพยายามมากกับการแสร้งทำดีด้วย ฮินาตะนึกขำต่อการเล่นละครเกินจริงของเธอ

               “เจ้าเด็กแสบเองก็โตพอสมควรแล้ว คงจะนั่งคนเดียวได้อยู่” ไคยะสบตากับฮินาตะ เด็กหนุ่มยิ้มน้อยๆ บอกให้รู้ว่าไม่ต้องเป็นห่วง ทว่าพี่ชายกลับพูดในสิ่งที่คาดไม่ถึง

               “หรือว่าจะมานั่งด้วยกันแล้วให้คิซาระไปนั่งคนเดียวดี เหงาหรือเปล่าล่ะ ถึงจะบอกว่าโตแล้วแต่ก็ยังเป็นแค่เด็กม.ปลายอยู่นี่นะ”

               “ไคยะคะ” คิซาระพยายามไม่แสดงอาการไม่พอใจออกมา กระนั้นยังเก็บอาการไม่อยู่ใบหน้าเธอบูดเบี้ยวไปมาจนดูพิลึกพิกล

               “ว่ายังไงคิซาระเธอเองก็เป็นแวมไพร์อายุเกินสามร้อยปีแล้ว น่าจะดูแลตัวเองได้ดีกว่าเจ้าเด็กแสบใช่ไหม”

               คิซาระถลึงตามองมายังฮินาตะ หากมันเป็นมีดคงทิ่มแทงเขาจนพรุน และอย่างคาดไม่ถึงเจ้าหล่อนบิดมือไปมาน้ำใสๆ เอ่อทะลักล้นดวงตาคู่สวย

               แย่ละถึงกับต้องร้องไห้เลยเชียวหรือ

               ทว่าไคยะกลับไม่สนใจ ชายหนุ่มยังยืนกรานจะให้เขานั่งในชั้นธุรกิจด้วย รู้สึกดีใจอยู่หรอกที่พี่ชายให้ความสำคัญกับเขาเป็นอันดับแรก แต่อึดอัดต่อสายตาของคิซาระ ทั้งยังเข้าใจสถานะระหว่างตนไคยะและคิซาระดี เขาเป็นแค่น้องชายควรจะหลีกทางให้คิซาระถึงจะถูก

               “ฉันนั่งชั้นประหยัดคนเดียวได้”

               “แน่นะ” ไคยะใช้สายตาคมกริบมองมา “นายจะไม่ก่อความวุ่นวายให้ทางนี้ต้องเป็นห่วงใช่ไหม”

               “โธ่ไคยะคะ ฮินาตะก็โตแล้ว จะห่วงไปทำไมล่ะคะ”

               “ฉันไม่ก่อความวุ่นวายหรอก พี่นั่งกับคู่หมั้นไปเถอะ”

               “หึ...ปีกกล้าขาแข็งจนน่าชื่นชมเชียวนะ”

 ไคยะยิ้มอ่อนหวาน เป็นรอยยิ้มที่ทำให้รูปโฉมที่งดงามอยู่แล้วเปล่งประกายเจิดจรัส ฮินาตะใจเต้นผิดจังหวะ ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่าคิซาระก็หน้าแดงมากเหมือนกัน แต่แวบเดียวเท่านั้นเธอก็ใช้สายตาริษยาจ้องมองมาที่เขา

               “ถ้าตกลงกันได้แล้วก็ไปขึ้นเครื่องกันเถอะค่ะ” คิซาระยัดตั๋วเครื่องบินมาให้ก่อนจะเกี่ยวแขนไคยะฉุดลากไปอย่างเอาแต่ใจ ไคยะไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมายังคงสุขุมเช่นทุกครั้ง แต่แวบหนึ่งกับฮินาตะพวกเขาสบตากันด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง

               ราวกับจะบอกว่าให้ดูแลตนเองให้ดี เป็นแววตาที่อ่อนโยนจนใจเต้นไม่หยุด ฮินาตะใช้มือกุมหน้าอก สาวเท้าเดินตามหลังคนทั้งคู่ไป เขากำลังจะออกนอกประเทศ ฉะนั้นโอกาสที่จะได้พบเรนยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้

               เรนตอนนี้นายจะเป็นอย่างไรบ้างนะ

               ฮินาตะเหลียวมองไปยังด้านหลัง ตาเจ้ากรรมปะเข้ากับชายร่างสูงคนหนึ่ง คนคนนี้แต่งตัวมอซอแต่มิดชิด สวมแว่นดำและหมวกแก๊ป กางเกงยีนส์สีซีดๆ ขาดวิ่น เสื้อหนังเองก็ดูเป็นของเก่าคล้ายตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น

               “อื้อ”

 วินาทีที่คนคนนี้เดินผ่าน ได้กลิ่นฉุนของน้ำหอมที่ตะโบมใส่มาไม่บันยะบันยัง แย่มากสำหรับคนที่จมูกดีอย่างฮินาตะ น้ำหอมแบบนี้ไม่ได้เข้ากับรูปลักษณ์ของคนคนนี้เลยจริงๆ

               หวังว่าจะไม่เจอกันบนเครื่องบินนะ ไม่อยากเจออย่างไหนมักจะได้อย่างนั้น เมื่อไปถึงที่นั่งกลับพบว่าคนที่นั่งข้างๆ เป็นผู้ชายแปลกประหลาดคนนั้น ฮินาตะทำเป็นไม่ใส่ใจต่อการคงอยู่ของอีกฝ่าย

               ถึงแม้ว่าจะกังวล แต่ดูเหมือนคนข้างๆ จะไม่สนใจเขานัก อีกฝ่ายไม่รบกวนเขาเลย มีเพียงแค่กลิ่นน้ำหอมที่แสบสะท้านจมูกเท่านั้นเล่นงานเขาตลอดการเดินทาง

หลังจากนั่งเครื่องบินติดต่อกันหลายชั่วโมงสุดท้ายก็ถึงที่หมายจนได้ ฮินาตะลงจากเครื่องแล้วไปรอรับกระเป๋า คณะของพวกเขาเดินตรงไปยังจุดนัดพบที่คนของคุณย่ามารอรับ จังหวะจะเดินตามไปยังที่จอดรถ ชายซึ่งเคยนั่งข้างๆ เขาบนเครื่องบินก็เดินผ่านหน้าไปอีกครั้ง เขามองตามหลังอีกฝ่ายไปด้วยความสนใจ

“สนใจคนแปลกหน้าด้วยหรือ” ไคยะลดความเร็วมาเดินอยู่ข้างๆ นั่นทำให้คิซาระต้องชะลอการเคลื่อนไหวทั้งที่ไม่ชอบใจ

“แหมช่างสังเกตจริงนะคะ จะสนอะไรหนักหนากับแค่คนแปลกหน้า ไม่รู้จักโตจริงๆ”

“ผู้ชายคนนั้นทำไม”

 ไคยะไม่พูดเปล่ายังยื่นมือมาจับมือของเขาแล้วพาเดินไปด้วยกัน ได้ผลชะงัดฮินาตะเลิกสนใจชายคนที่นั่งข้างๆ กลับมาเกรงว่าคิซาระจะไม่พอใจ แล้วก็จริงเสียด้วย เจ้าหล่อนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มดวงตาทั้งคู่ทะลวงมาดั่งคมหอก หากทิ่มแทงได้เขาคงทะลุไปทั้งตัว

“ไคยะเอาใจใส่น้องชายจังนะคะ” คิซาระที่ปรับอารมณ์ได้แล้วกอดแขนออเซาะไคยะ

“ก็ฉันรักของฉันนี่นา อีกหน่อยเธอจะเข้าใจเอง”

 คิซาระคิ้วกระตุก เกือบจะปรี๊ดแตกแต่ก็อดทนเอาไว้ ทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะว่าพี่น้องคู่นี้มีความสัมพันธ์แบบไหน ทั้งที่คิดว่ามันน่าจะจบไปแล้วตั้งแต่เมื่อหกปีก่อน แต่ระยะหลังมานี้เธอไม่สบายใจเอาเสียเลย ไคยะไม่ได้เมินเฉยต่อฮินาตะเหมือนอย่างที่ทำมาตลอด

หลายวันมานี้ดูคล้ายจะจงใจแสดงท่าทางอ่อนโยนต่อฮินาตะให้เธอเห็นราวกับต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง ซึ่งคิดว่าเธอเองน่าจะไม่ชอบใจในคำตอบนั้นแน่นอน

“รักแบบพี่น้องใช่ไหมคะ” คิซาระยิ้มหวาน

“เธออยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ ฉันขี้เกียจรองรับอารมณ์เธอ”

คิซาระนิ่งอึ้ง ฮินาตะเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน ก่อนที่ไคยะจะอ้าปากพูดในสิ่งที่เป็นการทำลายทุกอย่าง ฮินาตะออกวิ่งไปข้างหน้าแสร้งทำเป็นดีใจที่หิมะตกลงมา

“พี่ดูสิหิมะ”

“อะไรกันทำเป็นเด็กไปได้ หิมะก็ธรรมดาออก”

คิซาระค่อนแคะ ในขณะที่ไคยะยิ้มเยาะให้กับความพยายามอันเปล่าประโยชน์ของฮินาตะ ทั้งๆที่เขาได้บอกไปแล้วว่าไม่คิดจะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเจ้าตัวแสบที่เขาตั้งใจคือให้ทุกคนรับรู้ความตั้งใจแล้วยอมรับการตัดสินใจของเขากับฮินาตะ

หากฮินาตะไม่พยายามไคว่คว้าเขาเอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ไคยะจะทำตามใจชอบถือเสียว่าเด็กแสบเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายแสดงให้ทุกคนรู้แจ้งกันไปเลย

ให้ทุกคนเข้าใจความเป็นจริงว่าเขาขาดน้องชายคนนี้ไม่ได้ ถึงแม้ต้องแต่งงานกับคิซาระก็จะไม่ขออยู่ห่างจากหัวใจตนเอง ไคยะไม่สนใจความรู้สึกของใครนอกจากฮินาตะ หากคู่หมั้นรับไม่ได้จนถึงกับถอนหมั้นไปเขาจะยินดีอย่างที่สุด ตั้งใจว่าจะทำตามที่ชอบอาละวาดให้ถึงที่สุด ให้กฎระเบียบของพวกผู้อาวุโสพังพินาศลงไป แม้ตำแหน่งผู้นำคนต่อไปจะหลุดมือเขาก็ไม่ใส่ใจซักนิด

“ไปกันเถอะค่ะไคยะ”

 เหมือนคิซาระจะลืมเรื่องข้องใจเมื่อครู่ไป แต่แท้ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ทิ้งมันไปซักนิด ทว่าที่เธอมั่นใจว่าไคยะจะไม่หลุดจากมือเธอ นั่นเป็นเพราะคำมั่นสัญญาของพวกผู้อาวุโส ท่านเหล่านั้นไม่ยอมให้การแต่งงานของเธอกับไคยะพลาดเหมือนเมื่อครั้งก่อนแน่

สมัยนั้นหากไม่มีมินาโกะเธอคงได้แต่งงานกับแฮร์โรลไปแล้วและขึ้นเป็นภรรยาของหัวหน้าเผ่าคนต่อไป ทว่าทุกอย่างผิดพลาดไปหมด เธอไม่ได้แต่งงานกับแฮร์โรลและชายผู้โง่เขลาคนนั้นก็ไม่ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่า คราวนี้เธอจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะว่าไคยะเป็นรักครั้งที่สองของเธอในรอบสองร้อยปี ไม่มีใครงดงามและทรงพลังไปมากกว่าไคยะเว้นแต่ท่านเทเรซ่าหัวหน้าเผ่าคนปัจจุบัน

สำหรับท่านเทเรซ่า ท่านผู้นั้นช่างสง่างามยิ่งนัก หากเป็นไปได้เธอก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของท่าน ใช่แล้วหากได้ดองกับไคยะที่รูปโฉมงดงามประหนึ่งเป็นคนเดียวกัน

 คิซาระคงเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของท่านผู้นั้น เป็นครอบครัวที่ท่านผู้นั้นต้องให้ความสนใจและนึกเอ็นดู แค่คิดถึงวันนั้นก็ราวกับจะขึ้นสวรรค์ให้ได้ แม้ว่าไม่ได้ตามใจปรารถนาสูงสุด แต่การได้ในสิ่งที่รองลงมาเธอก็พึงพอใจแล้ว คราวนี้จะไม่มีทางให้พลาด ยิ่งเป็นเลือดเนื้อที่คล้ายคลึงราวกับคนเดียวกันเช่นนี้ มันยิ่งทำให้เธอได้รับการเติมเต็มทดแทนส่วนที่ไม่มีทางได้มา



...

อาจจะขอเวลางมตอนจบของมังกรซ่อนหิมะนิดหนึ่งน้า แต่ไม่น่าจะเกินห้าวันจะเอามาลงต่อ5555



รอหน่อยน้า เม้นเป็นกำลังใจกันบ้าง

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่17 8/10/60
«ตอบ #24 เมื่อ08-10-2017 16:02:12 »

บทที่17

เป็นครั้งแรกเลยที่ฮินาตะได้มาที่รังลับของหัวหน้าเผ่า ไม่คิดฝันว่าคนของหมู่บ้านส่วนใหญ่จะเป็นแวมไพร์ พวกเขาถูกนำตัวมายังคฤหาสน์ที่งดงามที่สุด ถึงแม้ว่าจะเป็นหมู่บ้านในชนบทแต่บ้านเรือนทุกหลังโอ่อ่าบ่งบอกถึงฐานะคนมีอันจะกิน

ดูเหมือนว่าทุกคนในหมู่บ้านจะประกอบอาชีพสุจริต ดังนั้นจึงมีมนุษย์ธรรมดาปะปนมาทำการค้าบ่อยครั้ง สินค้าขึ้นชื่อของหมู่บ้านเป็นสินค้าทางการเกษตรเช่นไวน์องุ่น ชีส หรือข้าวสาลี ประชากรที่นี่ส่งออกของจำพวกนี้เป็นล่ำเป็นสันแม้แต่คุณย่าเทเรซ่าเองก็มีกิจการเป็นไวน์ยี่ห้อชื่อดัง ไม่แค่นั้นยังทำการค้าอื่นๆ อีกมากมายสมฐานะของผู้นำเผ่าแวมไพร์

“ยินดีต้อนรับเจ้าพวกลูกเจี๊ยบ”

 ทันทีที่ได้พบหน้าคุณย่าเทเรซ่าก็เข้ามากอดเขาแนบแน่น ฮินาตะตัวเกร็งเพราะตลอดที่จำความได้ คุณย่าคนนี้ไม่เคยสนใจใยดีเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะติดภาพลบจนถึงทุกวันนี้

“ฉันเตรียมห้องไว้ให้พวกเธอแล้วนะ ไคยะกับฮินาตะอยู่ห้องข้างๆ ฉันคงไม่ขัดข้องสินะ”

ไคยะทำเพียงพยักหน้าเบาๆ ตอนนี้เองที่ฮินาตะสังเกตว่าภายในห้องนอกจากแวมไพร์ ยังมีมนุษย์ปกติปะปนอยู่มาก เด็กหนุ่มจำแนกได้ด้วยกลิ่นที่แตกต่างกัน

“สงสัยอะไรหรือเปล่าฮินาตะ” คงเพราะทำหน้าฉงนอย่างชัดแจ้ง คุณย่าเทเรซ่าไม่ปล่อยให้อาการของเขาคลาดสายตาซักนิด

“แค่แปลกใจว่าทำไมมีมนุษย์อยู่ที่นี่ด้วย ที่นี่ไม่ใช่รังลับสำคัญหรือครับ”

 สิ้นคำพูดคิซาระหัวเราะหยามหยันในความโง่เขลาของเขา ส่วนคุณย่าทำเพียงแค่ยิ้มก่อนจะเริ่มอธิบาย

“จริงสิ ฮินาตะถูกกันออกจากโลกของแวมไพร์ตั้งแต่ถือกำเนิดมาเลยนี่นะ มีเรื่องต้องให้สอนอีกมากทีเดียว”

หลังจากนั้นคุณย่าก็อธิบายว่ามนุษย์พวกนี้เป็นกลุ่มคนที่สวามิภักดิ์ต่อแวมไพร์ พวกเขาทุกคนจะมีรอยสักแสดงฐานะและคอยทำงานรับใช้เหล่าแวมไพร์ทุกอย่าง ผลตอบแทนสำหรับคนเหล่านี้คือการได้ดื่มเลือดของชาวแวมไพร์อย่างสม่ำเสมอ

ฮินาตะเพิ่งรู้ว่าเลือดแวมไพร์เป็นยาชูกำลังอย่างหนึ่งสามารถทำให้มนุษย์ที่ดื่มลงไปมีความสามารถพิเศษและกำลังกายเพิ่มขึ้นในชั่วระยะเวลาจำกัด เลือดของแวมไพร์เป็นสารตั้งต้นที่ใช้ผสมยาเสพติดมีชื่อในโลกมืด คุณย่าเองขึ้นเป็นผู้นำมาเฟียได้ด้วยการค้าขายยาที่มีส่วนผสมของเลือดเช่นนี้เอง

“เอาล่ะ ไปดูห้องส่วนตัวกันก่อนนะแล้วค่อยกลับมาคุยกัน”

ข้ารับใช้ชาวมนุษย์นำทางพวกเขาไปที่ห้อง คิซาระรั้งอยู่คุยกับคุณย่าต่อไป ฮินาตะสังเกตได้ว่าดวงตาของเธอดูเป็นประกายเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้นำเผ่าอย่างเทเรซ่า

“ทางนี้ขอรับนายท่าน”

 คนที่นำทางพวกเขาไปยังห้องส่วนตัวฮินาตะเดาว่าน่าจะเป็นพ่อบ้าน หลังจากแยกย้ายกันเรียบร้อย เด็กหนุ่มโยนกระเป๋าเอาไว้แถวนั้น โถมกายลงบนเตียงนอนขดจนตัวกลมครุ่นคิดถึงเรนซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

ตามจริงอยากจะหลับไปซักตื่นให้หายกลัดกลุ้ม แต่นับจากกลายเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์เขาไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือง่วงนอนซักนิด นอกจากเวลาที่ตากแดดจ้านานๆ เท่านั้นเขาจึงจะเกิดอาการล้า

“นายไปอยู่ที่ไหนกันแน่นะเรน รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายจะแย่” พึมพำกับตัวเองจังหวะนั้นได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง

“ใครครับ”

“ฉันเอง” เป็นไคยะนั่นเอง ฮินาตะลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูให้ชายหนุ่มเข้ามา

“เป็นอะไรไป” เจ้าเด็กแสบดูไม่ร่าเริงซักนิด ไคยะใช้มือเชยคางให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“คงไม่ใช่ว่ากังวลเรื่องของอากาสึกิ”

 ฮินาตะทำหน้าปั้นยาก คงจะกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ ไคยะใช่ไม่หึงหวงที่น้องชายที่รักเอาแต่คิดถึงชายอื่น แต่เขาเลือกจะเก็บงำความรู้สึกนั้นเอาไว้เเพราะคำว่ารักเพียงแค่นั้น

“นายเอาแต่คิดถึงอากาสึกิแล้วได้คิดถึงใจของฉันบ้างไหม เราสองคนสาบานว่าจะรักและอยู่ด้วยกันตลอดไปแต่นายทำเหมือนจะผลักไสฉันให้คิซาระตลอดเวลา”

 ฮินาตะอึกอักทำอะไรไม่ถูก สีหน้าบอกชัดว่าสับสนอย่างหนัก ไคยะทำเพียงยิ้มหยันไม่อยากกดดันให้เด็กน้อยหมดหนทาง แต่แค่ความคิดเท่านั้นเขายังลงมือทำอยู่ดี

“นายจะรักอากาสึกิด้วยฉันก็ไม่ว่า แม้ว่าจะผลักไสฉันให้คิซาระฉันก็ยังยอม ทว่าจะห้ามไม่ให้ฉันแสดงความรักต่อนายฉันคงทำไม่ได้ เตรียมใจรับผลของการกระทำของตัวเองเอาไว้ให้ดีเถอะ”

กล่าวจบก็จุมพิตลงไปบนหน้าผากของฮินาตะ น้องชายที่รักช้อนสายตาขึ้นมองมา แววตาคล้ายตัดพ้อหากแต่แก้มใสกลับเป็นสีแดงอย่างน่ามอง ดูยังไงก็เหมือนคนตกอยู่ในห้วงรัก ไคยะอดไม่ได้ที่จะแนบจูบลงไปบนริมฝีปาก

“อื้อ...”

ทีแรกฮินาตะไม่ให้ความร่วมมือซักนิด แต่ด้วยความช่ำชองสุดท้ายเด็กแสบก็คล้อยตามในที่สุด หลังจากทั้งดูดดุนและขบกัดจนหนำใจไคยะก็ถอนริมฝีปากออก เขามองดูน้องชายที่รักหอบแฮ่ก ดวงตาคู่สวยฉ่ำเยิ้มเห็นแล้วช่างเร้าอารมณ์ คาดว่าคงอิ่มเอมใจไม่น้อยไปกว่ากัน

“เตรียมใจรับผลที่จะตามมาให้ดี” ไคยะไล้ปลายนิ้วไปตามริมฝีปากสวยของฮินาตะก่อนจะชักมือกลับ ชายหนุ่มแหวกคอเสื้อเผยให้เห็นต้นคอของตนเอง

“ดื่มเลือดซะนายไม่ได้ลิ้มรสมันมาวันหนึ่งเต็มๆแล้วนะ” ฮินาตะไม่ได้ต่อต้านแต่อย่างใด เด็กแสบโน้มกายเข้าหาฝังเขี้ยวลงบนซอกคอของเขา

“ท่านฮินาตะท่านเทเรซ่าเรียกพบขอรับ” ถูกเรียกในจังหวะที่สูบเลือดจนเพียงพอแล้ว ฮินาตะผละจากไคยะ

“จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ” กล่าวจบฮินาตะก็จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เล็กน้อย รู้สึกตัวอีกทีไคยะก็แปลงร่างเป็นค้างคาวบินออกนอกหน้าต่างไป เด็กหนุ่มสงสัยพี่ชายของเขาบินไปที่ไหน

“ขอบใจมากนะอีธาน”

 หลังจากนำเขามาส่งถึงมือคุณย่า อีธานก็ไปคอยรับใช้คิซาระซึ่งนั่งดูอยู่ห่างๆ แปลกประหลาดที่คู่หมั้นสาวไม่คอยตามติดพี่ชายกลับมานั่งสังเกตการณ์เขากับคุณย่าแทน

“มานี่สิ” คุณย่าเทเรซ่ากวักมือเรียก พอไปถึงก็ชี้นิ้วไปยังแก้วที่บรรจุไปด้วยเลือด

“ดื่มมันซะสิ”

“ทำไมต้องดื่มละครับ”

“เป็นส่วนหนึ่งของการฝึก” เทเรซ่ายิ้มหวาน เจ้าตัวหยิบแก้วบรรจุเลือดยื่นส่งมาให้ถึงมือ ฮินาตะดื่มเลือดลงคอไปตามคำสั่งรวดเดียวหมดแก้ว จากนั้นคุณย่าก็ยื่นแก้วต่อไปมาให้ดื่มอีก เด็กหนุ่มทำตามโดยไม่มีข้อกังขา

“...”

เลือดไหลลงกระเพาะไปเป็นจำนวนมากแก้วแรกยังไม่รู้สึกอะไรแต่พอแก้วที่สอง ฮินาตะวูบวาบราวกับถูกไฟเผามันมึนหัวไปหมด สุดท้ายสิ่งเดียวที่เขาจำความได้คือเสียงหัวเราะเยาะของคิซาระและรอยยิ้มพึงพอใจของเทเรซ่า เด็กหนุ่มไหลลงไปกองกับพื้นหมดสติในทันที

“ตื่นแล้วหรือ” ภาพแรกที่เข้ามาในดวงตาหลังจากตื่นคือใบหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของไคยะ ฮินาตะค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

“ฉันเป็นอะไรไปหรือพี่”

“นายดื่มเลือดพิษของคนป่วยเขาไปนะสิ” ตอนนี้เองถึงได้รู้สึกว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า มีทั้งพี่ชาย คิซาระ คุณย่า แล้วก็อีธาน

“ที่ทำอย่างนี้เพราะแค่อยากให้รับรู้ด้วยการลองด้วยตัวเอง อีกอย่างให้รู้ไปเลยว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ตรงไหน” เทเรซาหัวเราะ ไคยะส่งสายตาเย็นเยียบไปให้คนเป็นย่า

“จริงด้วยค่ะท่านเทเรซ่าไม่ผิด การเรียนรู้ด้วยร่างกายตนเองเป็นวิธีที่ดีที่สุดนะคะไคยะ” คิซาระช่วยแก้ต่างให้เทเรซ่า

“ยายเฒ่าหากว่าไม่มีปัญญาสอนให้ดีๆ ฉันก็สามารถสอนเจ้าเด็กแสบนี่เองได้” ไคยะช้อนอุ้มฮินาตะขึ้นหันไปประจันหน้ากับเทเรซ่าด้วยดวงตาดุดันใครเห็นก็ต้องรู้ว่าชายหนุ่มโกรธมากแค่ไหน

“พูดอะไรอย่างนั้นเห็นอย่างนี้ฉันก็รักหลานชายคนเล็กมากนะ ตั้งใจจะสอนเองกับมืออย่างดีเชียวล่ะ”

 คนเป็นย่าใช้มือลูบไล้ไปบนเสี้ยวหน้าหลานชายคนเล็กอย่างเบามือ รอยยิ้มอ่อนโยนผุดบนใบหน้างดงามบ่งชัดถึงความรักและเอ็นดูอย่างไม่น่าเชื่อ มีเพียงฮินาตะเท่านั้นที่สังเกตเห็นแววตาริษยาของคิซาระ แวมไพร์สาวไม่พอใจเพราะคนที่เธอบูชาจนเหมือนเป็นเทพเจ้ากับชายซึ่งเธอหมายปองเอาใจใส่ฮินาตะมากมายเหลือเกิน

“ท่านคิซาระ”

เสียงเรียกของอีธานทำให้รู้ว่าเธอโกรธจนบิดผ้าเช็ดหน้าในมือขาด อากัปกิริยาของคิซาระอยู่ในสายตาฮินาตะตลอด เด็กหนุ่มเข้าใจว่าคู่หมั้นสาวคงหึงหวงที่เขาใกล้ชิดกับไคยะจนเกินงาม

“พี่ปล่อยฉันลงเถอะ” ฮินาตะใช้สายตาเว้าวอนมองดูไคยะ ชายหนุ่มไม่ยอมทำตามง่ายๆ

“นายไม่สบายให้ฉันพานายไปส่งที่ห้องนอนดีกว่า”

“แต่ฉันไม่เป็นไรแล้ว อีกอย่างฉันอยากจะเรียนรู้กับคุณย่าต่อไปนะ พี่อย่าเอาใจฉันนักเลย มันเหมือนกับว่าฉันยังเป็นเด็กเล็กๆ”

“เอาอย่างนั้นรึ” ฮินาตะประสานสายตาเข้ากับไคยะ แววตาของพี่ชายช่างคมกริบเหมือนคมดาบ

“หากว่ายังเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก ยายเฒ่าต้องรับผิดชอบนะ”

“ฉันไม่ทำให้แกผิดหวังแน่ไคยะ”

“แต่ว่าวันนี้พอแค่นี้ก่อนฉันจะพาเจ้าเด็กแสบไปพักผ่อน” กล่าวจบไคยะก็พาฮินาตะจากไป โดยไม่ได้สนใจคิซาระที่ทำสีหน้าบูดเบี้ยวอย่างไม่น่ามองเลยซักนิด

ไคยะคุณตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ ระยะหลังมานี้คิซาระใจไม่ดีเลยเพราะการวางตัวที่ผิดไปจากที่เคยระหว่างชายหนุ่มกับฮินาตะ

คิซาระกัดฟันกรอด พยายามสะกดกลั้นความโกรธและน้อยใจที่มีต่อทั้งไคยะและเทเรซ่า กับไคยะที่เย็นชาใส่เธออยู่เป็นนิจนั้นยังไม่เจ็บปวดเท่าไหร่ แต่ท่าทางอ่อนโยนใจดีของนายท่านเทเรซ่านี่สิที่เผาผลาญใจเธอจนมอดไหม้

อิจฉาจนแทบทนไม่ได้ ในใจนึกแช่งชักอยากให้ฮินาตะตายๆไปซะ หากว่าคราวที่แล้วเจ้าผู้ชายคนนั้นไม่ทำแผนเธอพลาดเสี้ยนหนามคงหมดไป ทว่าถึงตอนนี้เธอก็ลงมือไม่ได้เสียแล้ว ในเมื่อท่านเทเรซ่ายอมรับหลานนอกรีตไม่เมินเฉยดังเช่นแต่ก่อน หากเธอลงมือจนเด็กนี่ตายไปท่านเทเรซ่าคงเสียใจอย่างมาก เธอทนเห็นสภาพแบบนั้นของคนที่เธอบูชาไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตามไม่รู้เธอจะอดกลั้นความริษยาไปได้นานเท่าใดนัก ขอล่ะขอแค่ไม่มาทำลายสิ่งที่เธอต้องการ ความปรารถนาของเธอมีแค่การได้เป็นส่วนหนึ่งของท่านเทเรซ่า การได้ไคยะมาเป็นสมบัติเป็นสิ่งที่จะมาเติมเต็มหัวใจดวงน้อยของเธอเช่นเดียวกัน เธอไม่ยอมแพ้ฮินาตะอย่างเด็ดขาด

​...



นักเขียนที่รู้จักหลายท่านพากันงดอัพนิยายเพื่อไว้อาลัยกันหมดจนถึงสิ้นเดือน



ไอ้เราเองก็อยากจะไว้อาลัยกับเขาสงบเสงี่ยมบ้าง เพื่อพ่อหลวงไรงี้



ถ้าจะงดอัพไว้อาลัยจะแจ้งภายในวันที่15เน้อ อาจจะงดอัพซัก15วันไว้อาลัย

ออฟไลน์ Lukaka

  • ★น้อยนิดมหาศาล★
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 613
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: vampire kiss บทที่17 8/10/60
«ตอบ #25 เมื่อ08-10-2017 21:31:26 »

จริงๆคุณย่าอาจจะเป็นคนที่รักฮินาตะ ไม่น้อยกว่าใคร

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่18 10/10/60
«ตอบ #26 เมื่อ10-10-2017 20:26:19 »

บทที่18

ฮินาตะได้เรียนรู้หลังจากตื่นขึ้นว่าเลือดของคนป่วยเป็นพิษต่อแวมไพร์มีผลทำให้เกิดอาการเหน็บชาและมึนเมาได้หากดื่มเข้าไปเป็นจำนวนมาก

เช้าวันถัดมาฮินาตะถูกพาไปยังป่าบริเวณหมู่บ้าน ที่นั่นคุณย่าแนะนำให้เขารู้จักกับมนุษย์ซึ่งเป็นข้ารับใช้คนหนึ่งฮินาตะคงไม่ประหลาดใจหากคนที่อาศัยอยู่กับคนคนนี้จะไม่ใช่ชายที่เคยนั่งข้างๆ เขาบนเครื่องบิน

เด็กหนุ่มลอบมองดูผู้ชายคนนั้นผ่าฟื้นอย่างไม่วางตา ยังคงแต่งตัวมิดชิดสวมหมวกแก๊ปใส่แว่นตาเหมือนเดิมและอีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือกลิ่นน้ำหอมที่เป็นเอกลักษณ์ฉุนกึกจนน่าใจหายทีเดียว

“เอาล่ะในเมื่อรู้จักคนดูแลป่านี้ดีแล้ว เราก็เข้าไปฝึกในป่ากันเถอะ”

ฮินาตะเดินตามผู้เป็นย่าเข้าไปในป่า เด็กหนุ่มถูกสอนให้รู้จักการใช้พลังในรูปแบบต่างๆ นอกจากนั้นยังเรียนรู้ศักยภาพด้านร่างกายของตนเองจนสามารถตอบโต้เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว

เด็กหนุ่มฝึกฝนร่างกายอยู่ในป่าราวสองสามวัน ถูกสั่งให้วิ่งสำรวจรอบป่าตามลำพังขณะที่วิ่งอยู่ใต้หน้าผา พลันมีหินก้อนยักษ์ร่วงลงมา ฮินาตะใช้กำปั้นชกสวนไปจนหินก้อนนั้นแตกสลายเป็นผุยผง

อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนแวบหนึ่งเห็นเงาคุ้นตา นั่นไม่ใช่ชายคนนั้นหรอกหรือชายที่แต่งตัวปกปิดใบหน้าอย่างมิดชิดแถมกลิ่นหอมฉุนๆ ยังโฉยมาตามลมแน่ชัดว่าใช่ ฮินาตะตั้งใจจะปีนป่ายขึ้นไปยังด้านบนทว่าเงาร่างนั้นก็เคลื่อนย้ายห่างออกไป

ฮินาตะกลับบ้านไปพร้อมกับคุณย่ารู้สึกไม่สบายใจอย่างไรบอกไม่ถูก แต่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ค่ำคืนนั้นคุณย่าเรียกเขาให้มาพบ บอกว่าจะเริ่มต้นสอนให้ล่าเหยื่อด้วยตัวเองเสียที

“คงไม่ขัดข้องสินะไคยะ หากว่าฉันจะพาฮินาตะไปสถานที่ประจำของฉัน”

“ถ้าหากว่าแม่เฒ่าให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลเจ้าเด็กแสบอย่างดีแล้วล่ะก็จะเอาอย่างนั้นก็ได้”

 ฮินาตะลอบมองไคยะกับคิซาระ คู่หมั้นสาวอิงแอบแนบชิดพี่ชาย ทั้งที่คิดว่าตนเองน่าจะทำใจวางเฉยได้ แต่ก็ยอมรับว่าเกิดความอึดอัดใจจนไม่อยากจะมองตรงๆ

“เจ้าเด็กแสบไปกับแม่เฒ่าสองคนคงไม่เป็นไรนะ ฉันเองก็มีธุระต้องทำคืนนี้เหมือนกัน” ไคยะขยับกายเข้ามาหาฮินาตะ พี่ชายลูบไล้มือลงมาบนศีรษะเขาอย่างอ่อนโยน คิซาระหน้าบูดบึ้งจนเห็นได้ชัด

“คืนนี้เราสองคนได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่แทนท่านเทเรซ่าไปประชุมผู้บริหารกับพวกมาเฟียในอาณัติ แน่นอนไม่ใช่ประชุมเปล่าๆ เป็นการเปิดตัวนายใหญ่และนายหญิงคนใหม่ด้วย” คิซาระจงใจพูดให้ฮินาตะริษยา สำหรับเด็กหนุ่มลึกๆ แล้วอิจฉาที่คิซาระสามารถติดตามพี่ชายไปได้ทุกที่

“นายเองซักวันก็ต้องเปิดตัวในฐานะผู้บริหารคนหนึ่ง” ฮินาตะและคิซาระตกใจจนร้องเอ๊ะออกมา มีเพียงคุณย่าเท่านั้นที่หัวเราะชอบใจ“แปลกใจอะไร เจ้าเด็กแสบมีฐานะสำคัญแค่ไหนยังไม่เข้าใจกันอีกหรือ”

“นั่นสิ ยังไงในโลกแวมไพร์ตอนนี้ฮินาตะก็เป็นหนึ่งในสามที่เป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์นี่นะ ก็ดีเหมือนกันฉันเล็งจะเปิดตัวเจ้าหลานคนนี้หลังจากฝึกฝนเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

คิซาระตัวสั่นระริก เธอยิ้มแห้งๆ ให้กับเทเรซ่า ลืมไปเสียสนิทว่าเจ้าเด็กนี่กลายเป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ไปแล้ว กระนั้นตราบใดที่เธอยังเป็นคู่หมั้นตัวจริง ต่อให้ฮินาตะกับไคยะมีใจให้กันฐานะว่าที่นายหญิงของเผ่าก็คงไม่กระเทือนอยู่ดี

 ทว่ารู้สึกไม่สบายใจอย่างไรบอกไม่ถูกหากคู่หมั้นของเธอยังดิ้นรนตามใจชอบอีก ไม่แน่ว่าเขาคนนี้อาจจะหลุดมือเธอไปจะไม่ยอมพลาดอีกครั้งความปรารถนาของเธอจะสัมฤทธิ์ผลได้ด้วยการเกี่ยวดองกับเลือดเนื้อที่มีความคล้ายคลึงกันเช่นไคยะเท่านั้น แต่ว่าจะมีวิธีการใดอีกที่เธอจะทำได้

“ฮินาตะ”

 ฮินาตะสะดุ้งเมื่อจู่ๆ พี่ชายก็แนบจูบลงมาบนแก้มของเขาต่อหน้าคนหลายคน เทเรซ่าหัวเราะชอบใจ คิซาระตกตะลึง ส่วนอีธานทำเพียงแค่ชำเลืองมองมาแล้วหลบตาวูบ ปฏิกิริยาแตกต่างกันออกไปทำให้ฮินาตะอับอายอย่างที่สุด

 เขาผลักไคยะออกห่างแต่อีกฝ่ายกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยซักนิด ไคยะทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่สนต่อการกระทำอุกอาจของตัวเองถึงแม้เขาจะถลึงตาจนแทบหลุดใส่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของพี่ชายเปลี่ยนแปลง

“ไปกันเถอะคิซาระ” ไคยะปลายมองคู่หมั้นสาวที่ยังอึ้งกับการแนบชิดของพี่น้อง สุดท้ายเมื่อไม่ตอบสนองชายหนุ่มจึงสาวเท้าเดินนำหน้าไป คิซาระรีบตามไปแทบไม่ทัน

“รอด้วยสิคะไคยะ”

เหมือนว่าคิซาระจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของไคยะ ฮินาตะคิดว่าคู่หมั้นสาวจะโวยวาย ทว่ากลับเดินตามพี่ชายไปโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ทั้งๆ ที่บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าจะขออยู่ข้างๆ แบบไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่พี่ชายกลับทำเรื่องให้มันยุ่งยากขึ้น ทำราวกับไม่ใส่ใจความคิดเห็นของใครอื่น นี่คงไม่ได้จะเปิดเผยเรื่องที่พวกเขาคิดเกินเลยความเป็นพี่น้องไปมากหรอกใช่ไหม

แค่คิดก็เกิดความยุ่งยากใจบอกไม่ถูก แต่ลึกๆ แล้วฮินาตะกลับไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาดีใจไม่น้อยที่พี่ชายให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของเขามากกว่าคิซาระที่เป็นคู่หมั้น

เขานี่มันช่างเป็นชายแพศยาเสียจริง ขณะที่อยู่เคียงข้างไม่ห่างก็ยังข้อร้องให้พี่ชายใช้เครือข่ายโลกมืดตามหาเรนให้อีกทาง ความซับซ้อนทางจิตใจข้อนี้เขาไม่สามารถขจัดออกไปได้ รักพี่ชายแต่ก็ไม่กล้าผลักไสเรนออกไป ทั้งยังมีใจเป็นห่วงกระวนกระวายจนพี่ชายสังเกตได้

รู้ดีว่าตัวเองได้รับความรักและเมตตาจากไคยะมากมายแค่ไหน หากเป็นคนอื่นการมีใจคิดถึงชายใดนอกจากคนรัก คงโดนลงโทษอย่างสาสม ทว่าพี่ชายกลับไม่กล่าวดุด่าเขาซักนิด กลับทำตามคำข้อร้องเห็นแก่ตัวของเขา ใจดียอมรับฟังคำพร่ำบ่นถึงชายอื่นโดยไม่แสดงอาการโกรธเกรี้ยวแต่อย่างใด

เพราะอย่างนี้นี่แหละ ฮินาตะจึงเข้าใจว่าพี่ชายไม่ได้คิดเกินเลยกว่าคำว่าพี่น้อง ไคยะเคยบอกว่ารักเขามากก็จริง แต่การที่เปิดโอกาสให้เขาคิดถึงชายอื่นได้แบบนี้ คาดคะเนไม่ถูกเลยว่าแท้จริงรู้สึกกับเขาอย่างไร คงตีความรักแบบพี่น้องผิดไป ต่างจากเขาที่มีใจให้ในทางชู้สาวค่อนข้างแน่นอน

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบฮินาตะจึงขอเพียงแค่ได้อยู่ข้างๆ ในฐานะน้องชาย นอกจากนั้นเพราะตนไม่สามารถทอดทิ้งเรนไปได้ สถานะแบบนี้ก็นับว่าเหมาะสมแล้วกับพวกเขาพี่น้อง ทว่าหากไคยะยังเข้าหาเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ มันผิดจากที่คิดไปมากนัก

เขายอมรับว่าดีใจที่ไคยะแสดงความรักด้วย แต่อีกใจเกรงทุกๆ อย่างที่วางไว้จะพังไปหมด พี่ชายยังมีสถานะและหน้าที่ที่ต้องทำในฐานะผู้สืบทอดของคุณย่า นอกจากนั้นคิซาระยังเป็นคู่หมั้นที่คุณย่าเห็นดีเห็นงามมาตั้งแต่การจับคู่เข้ากับพ่อของพวกเขาแล้ว

“เอาล่ะพวกเราก็ไปกันบ้างเถอะนะ”

 ฮินาตะถูกคุณย่าจูงมือนำไปยังรถยนต์ที่จอดรอ ทั้งสองนั่งรถเข้าเมืองไปยังคลับซึ่งเป็นกิจการแห่งหนึ่งของเทเรซ่า เด็กหนุ่มคาดไม่ถึงว่าจะถูกปล่อยทิ้งไว้ในที่อโคจรเช่นนี้ แถมยังถูกกำชับหากล่าไม่ได้แม้แต่คนเดียวจะไม่ยอมพากลับคฤหาสน์อย่างเด็ดขาด

ฮินาตะเคยถูกสอนให้รู้จักปล่อยพิษปลุกกำหนัดเข้าสู่เส้นเลือดของเหยื่อแล้ว ทีแรกหลังจากได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงนี้ก็ไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก คุณย่าบอกว่าหากไม่ปล่อยพิษผ่านเข้าไปขณะฝังเขี้ยวเหยื่อจะทรมาณและเจ็บปวดมาก

ฮินาตะขณะดูดเลือดไคยะเขาไม่เคยทำเช่นนั้นมาก่อน ตอนที่คุณย่ารู้เรื่องนี้หัวเราะชอบใจสุดๆ พลางบอกว่าหลานชายคนโตช่างมีความอดทนต่อความเจ็บปวดยิ่งนัก

คุณย่าบอกว่าการปล่อยพิษเข้าไปในกระแสเลือดของแวมไพร์จะทำให้เหยื่อรู้สึกดีทั้งยังให้ความร่วมมืออย่างยิ่ง ฮินาตะคิดว่าหากคราวหน้ายังถูกบังคับให้ดื่มเลือดพี่ชาย เขาจะปล่อยพิษเข้าไปตามอย่างที่คุณย่าสอนสั่ง คงจะลดความเจ็บปวดให้ได้ดี

ฮินาตะนั่งจ๋องอยู่ตรงบาร์เหล้าเพียงลำพัง รู้สึกได้ว่ามีเสียงซุบซิบจากคนรอบข้าง สุดท้ายก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาทักทายเขา ฮินาตะมองซ้ายขวาไปมาหน้าตาเหรอหรา ตามจริงไม่มีใจอยากจะออกล่าแต่ต้น คิดอยู่ว่าจะเอาอย่างไรดี สุดท้ายเหยื่อก็มาหาถึงที่

“ว่าไงพ่อหนู มาสนุกกับฉันหน่อยไหมล่ะ”

 จะยังไงก็แล้วแต่ฮินาตะอยากกลับบ้านเต็มทน ดังนั้นจึงยอมตามเจ้าหล่อนไปยังห้องส่วนตัวของคลับกะว่าลงมือซักครั้งตามที่คุณย่าต้องการ คราวต่อไปจะได้ไม่ถูกบังคับอีก

“มามะเบบี๋”

 หญิงสาวกระดกนิ้วเรียกให้ไปหาเธอบนเตียง ฮินาตะสูดหายเจ้าเข้าอึดใจหนึ่งแล้วตามไปติดๆ ไม่พูดพล่ามทำเพลงซุกไซ้ซอกคอของหญิงสาวฝังเขี้ยวและปล่อยพิษเข้าไปในร่างเธอแต่น้อย

 ได้ผลคนใต้ร่างบิดกายพล่านด้วยความรัญจวน ในทางกลับกันฮินาตะกลับเกิดหน้ามืดมึนเมา กว่าจะฉุกคิดได้ว่าผู้หญิงคนนี้อาจป่วยอยู่ก็สายไปมากแล้ว

“อึก...”

 ฮินาตะไหลลงไปกองบนเตียงไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่หญิงสาวคุกรุ่นด้วยอารมณ์ใคร่ ไม่คาดคิดมีชายคนหนึ่งเข้ามาในห้อง หญิงสาวมีท่าทางดีใจอย่างที่สุดฮินาตะใช้ดวงตาพร่ากับสมองที่สั่งการไม่เต็มร้อยสังเกตการณ์

“มาซักทีน้า นี่ทำตามแผนที่ว่าไว้ทุกอย่างเลย ตกลงจะให้เงินเท่าไหร่” แทนคำตอบชายสวมหน้ากากจ่ายเงินให้ผู้หญิง เธอยิ้มแฉ่งก่อนที่จะออกจากห้องไปทิ้งเขาไว้กับชายคนนั้น

“จะทำอะไร” ฮินาตะถาม

ชายคนนั้นไม่ตอบและหยิบเอาเชือกจากกระเป๋าออกมา คงตั้งใจจะมัดเขาทว่ากลับมีคนแปลกหน้าโผล่เข้ามาอีกคน แม้ว่าดวงตาจะพร่าเลือนเต็มที แต่จำกลิ่นน้ำหอมเอียนๆ ได้ขึ้นใจ เป็นชายที่แต่งตัวมิดชิดจนผิดปกติคนนั้น

ไม่ไหวตามันจะหลับให้ได้

 ระหว่างที่ตกอยู่ในสภาพมึนเมาแทบจะหมดสติรู้ตัวอีกที ชายสวมหน้ากากก็ถูกชายคนหลังไล่ไปเสียแล้ว ฮินาตะสับสนบอกไม่ถูกทีแรกตรงหน้าผาเขาคิดไปในทางไม่ดีว่าตนถูกคนคนนี้ลอบทำร้ายหรือเปล่า ทว่าคราวนี้กลายเป็นว่าได้รับการช่วยเอาไว้ ฮินาตะอยากจะกล่าวขอบคุณทว่าก็หมดสติไปเสียก่อนเนื่องมาจากดื่มเลือดพิษเข้าไปปริมาณมาก



...



เราจะของดอัพนิยายจนถึงสิ้นเดือนนะคะเพื่อไว้อาลัยพ่อหลวงร.9



ขออภัยจริงๆที่ทำให้คนตามต้องรอหน่อย



เม้นเป็ฯกำลังใจกันบ้างน้า

ออฟไลน์ Lukaka

  • ★น้อยนิดมหาศาล★
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 613
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1
Re: vampire kiss บทที่18 10/10/60
«ตอบ #27 เมื่อ11-10-2017 08:39:20 »

ความวุ่ยวายของชีวิต ฮินาตะ น้านนนนนน

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่19 25/10/60
«ตอบ #28 เมื่อ25-10-2017 14:34:19 »



บทที่19

ข้อความที่ถูกส่งเข้ามาในมือถือสร้างความกระวนกระวายให้ไคยะอย่างที่สุด หากว่าไม่มีคนที่ไว้วางใจได้อยู่รอบตัวฮินาตะเขาคงไม่สามารถสงบใจดำเนินการประชุมของเหล่าผู้บริหารในโลกมืดได้

หลังจากรับรู้ว่าฮินาตะปลอดภัยไคยะกลับมาสุขุมรอบคอบอีกครั้งถึงแม้ว่าตลอดเวลาที่อยู่ต่อหน้าผู้คนจะไม่ได้แสดงท่าทางกระวนกระวายแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

คนที่อากาสึกิ  เรน รักสุดหัวใจคือคามิชิโระ ฮินาตะ ความรู้สึกนี้ยาวนานและหนักแน่นจนแม้แต่ตัวเขาเองยังนึกประหลาดใจ

มันเริ่มตั้งแต่เมื่อสมัยที่เขายังเล็กนัก เรนเป็นเด็กที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เนื่องจากตัวเล็กไม่มีพี่น้องคอยเล่นด้วยแถมพ่อแม่ยังต้องบินไปแสดงดนตรีคลาสสิคที่ต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยอยู่กับพี่เลี้ยงเด็กซึ่งเป็นญาติห่างๆกับแม่บ้านทำความสะอาดเพียงสามคน

ญาติห่างๆ ของเรนปฏิบัติตัวไม่แย่และไม่ดีเรียกได้ว่ากลางๆ ไปหมด ญาติคนนั้นทำหน้าที่ได้ดีเต็มร้อยแต่หาใช่ที่พึ่งทางใจอย่างที่เด็กคนหนึ่งพึงต้องการ ดังนั้นในตอนที่ฮินาตะซึ่งตัวโตกว่ามาทักที่สนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน เรนจึงเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเข้ามาตีสนิทโดยง่าย

ฮินาตะในวัยเด็กนั้นไม่เหมือนคนอื่น เพื่อนของเขาคนนี้มักมีปริศนาน่าสงสัยลอยอวลอยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือพี่ชาย ถึงแม้ทุกคนจะใจดีกับเรนแต่มักมีเรื่องประหลาดให้คอยจับผิดอยู่เสมอ

เรนสนิทสนมเปิดใจให้ฮินาตะอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะโหยหาใครซักคน ก่อนหน้านั้นเรนไม่สนิทกับใครเลยในโรงเรียนหรือแม้กระทั่งละแวกบ้าน นั่นเป็นเพราะพวกผู้ชายหมั่นไส้ที่เขาเล่นเปียโนรวมไปถึงเครื่องดนตรีคลาสสิคอื่นๆได้ดี

ถูกล้อว่าเป็นผู้หญิงในร่างผู้ชาย ยิ่งคนที่เข้ามาตีสนิทด้วยเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด จิตใจของเขายิ่งสับสนอ้างว้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ขาดแคลนเพื่อนฝูง แต่เด็กผู้หญิงเหล่านั้นไม่สามารถเติมเต็มความต้องการส่วนลึกของเขาได้

ดังนั้นการปรากฏตัวของฮินาตะที่ยิ่งกว่าฮีโร่จึงฝังลึกอยู่ภายในใจ เรนจำครั้งแรกที่พบฮินาตะได้ ในตอนนั้นเขาถูกเด็กอันธพาลตัวโตสองคนกลั่นแกล้งที่สนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน

ไม่มีเด็กคนไหนกล้าช่วย มีเพียงเด็กแปลกหน้าอย่างฮินาตะคนเดียวเท่านั้นที่ยื่นมือเข้ามาในระหว่างที่เขาลำบากและจนตรอกอย่างสุนัขตัวหนึ่ง

“เฮ้...รังแกเด็กผู้หญิงตัวคนเดียวนี่มันไม่สวยเลยนะ” อยากจะบอกว่าเขาไม่ใช่เด็กผู้หญิง แต่ว่ามัวประทับใจในความน่ารักกล้าหาญของฮินาตะจนตาพร่า

“ไรวะ ไอ้นี่อยากเจ็บตัวใช่ไหม” ใครจะไปคิดว่าฮินาตะที่ตัวโตกว่าเขาแค่ไม่เท่าไหร่จะกระโดดเตะเสยปลายคางของเจ้าเด็กหัวโจกเข้าจั๋งหนับ

“เฮ้...ยัยบ้าจัดการมันเลยสิช่วยๆกันหน่อย” ถูกสั่งให้ช่วยลงมือ เรนสับสนงุงงไปหมด แต่ก็หยิบเอาก้อนหินแถวนั้นระดมขว้างใส่เด็กหัวโจกสองคนจนเจ้าพวกนั้นต้องร้องไห้กระเจิดกระเจิงหนีหายไป

“ถ้าจะทำก็ทำได้นี่” ฮินาตะยิ้มกว้าง ทีแรกเรนเผลอปล่อยผ่านให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด จนเด็กหัวโจกกลับมาหาเรื่องอีกครั้งความจริงที่ว่าเขาเป็นเด็กผู้ชายจึงได้เปิดเผย

ฮินาตะทำหน้าผิดหวัง แถมพูดออกมาว่า “น่ารักขนาดนี้แต่เป็นผู้ชายนี่นะ” เข้าใจอยู่หรอกเพราะตอนนั้นเขาไว้ผมยาวแล้วก็ตัวค่อนข้างเล็กผิวเองก็ซีดขาว ทว่าแล้วฮินาตะล่ะถึงจะตัวโตกว่า แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ต่างจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเหมือนกัน

ทว่าฮินาตะไม่ใช่ตุ๊กตากระเบื้องอ่อนแอ ออกจะมีนิสัยคล้ายๆหัวโจกอยู่หน่อยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่หาเพื่อนคนไหนเพิ่มเลยนอกจากเขาก็ตาม เรนดีใจมากที่ได้เป็นเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวทั้งนอกโรงเรียนและในโรงเรียน

จากการใกล้ชิดมากกว่าใครในทุกๆวันสุดท้ายก็กลายเป็นรักฝังแน่น ถ้าจะให้พูดตามตรงเขาตกหลุมรักแรกพบตั้งแต่แรก

แต่ความรักมันไม่ได้เรียบง่าย เพราะมีอุปสรรคชิ้นใหญ่เป็นพี่ชายของฮินาตะ คามิชิโระ ไคยะ พี่ชายผู้แสนเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและมันสมอง ถึงแม้พวกเขาสองคนจะเป็นพี่น้องกัน แต่เรนไม่เคยหายใจได้ทั่วท้องเลย

ก็ฮินาตะทั้งรักทั้งหลงพี่ชายคนนี้จนไม่ชายตามองใคร แต่ไม่นานนักโอกาสของเขาก็มาถึง วันนั้นฮินาตะร้องไห้แม้ไม่ได้เล่าอะไร ในวันถัดๆมาการที่คุณไคยะเปลี่ยนแปลงไปไม่เอาใจใส่ฮินาตะเหมือนเดิมก็ทำให้รู้ว่าความสัมพันธ์ของพี่น้องถูกเว้นว่างเอาไว้แล้วตั้งแต่คราวนั้น

เรนไม่โกหกตัวเองซักนิดเขาดีใจแต่พยายามไม่แสดงออกที่ไม่รุกเข้าหาอย่างรวดเร็วตั้งแต่แรก นั่นเป็นเพราะไม่กล้าพอทั้งยังพบว่าฮินาตะเสียใจเรื่องพี่ชายอยู่มาก สามปีให้หลังถึงแม้คนที่เขารักยิ่งจะถอยห่างพี่ชายออกไป เรนก็ยังคืบคลานอย่างช้าๆเข้าหาฮินาตะ

ถึงจะไม่มีพี่ชายเป็นกำแพง แต่คนที่เขารักยังมีปราการหนาที่ต้องค่อยๆทลายออกไป เขากลัวว่าหากผลีผลามอีกฝ่ายอาจจะตีตัวออกห่างโดยไม่หันกลับมาเป็นครั้งที่สอง

อาจเพราะเรนทำพลาดไป มัวแต่กล้าๆกลัวๆอย่างนี้ สุดท้ายปล่อยช่วงเวลาที่เป็นต่อผ่านพ้น ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่ก่นด่าความโง่เขลาของตัวเองเพียงลำพัง สุดท้ายก็ปล่อยให้ไคยะรุกคืบจนได้พื้นที่ครอบครองจนได้

จากเนื้อความในกระดาษที่ไคยะส่งมาให้ อีกฝ่ายออกคำสั่งให้เขาฝึกฝนตัวเองอย่างเข้มงวด ทั้งยังบอกว่าอนุญาตให้เขาอยู่ข้างกายฮินาตะได้ตลอดไปหากไม่เป็นตัวถ่วง

รู้สึกเหมือนกลืนยาขม ไคยะกลับมามีสิทธิในตัวฮินาตะอีกแล้วอย่างนั้นหรือ ทั้งสองคนคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว การที่อีกฝ่ายสามารถยื่นข้อเสนอให้แก่เขาได้แบบนี้ เรนเดาออกได้ลางๆ ว่าฮินาตะกับไคยะคงตกลงปลงใจบางสิ่งไป

แน่นอนว่าเขาคงเป็นก้างชั้นดีที่คอยขวางทางคนคนนั้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยื่นข้อเสนอยอมให้ศัตรูหัวใจอย่างเขาอยู่ข้างๆฮินาตะได้ตลอดไป

เรนยอมรับว่าหงุดหงิดอย่างที่สุด ถึงแม้ก่อนหน้านั้นจะร่วมมือกันกับไคยะเพื่อฮินาตะก็ตาม แต่ยังมีความคิดชิงชัยในความรักและต้องการเป็นที่หนึ่ง ฉะนั้นในเมื่อมันกลายมาเป็นแบบนี้เขาก็เดาได้ไม่ยากฮินาตะคงยังไม่ได้ตกลงปลงใจกับไคยะทั้งหมด ที่เป็นเช่นนั้นต้องเป็นเพราะมีเขาเหลืออยู่ในใจไม่มากก็น้อย

ดังนั้น เพื่อที่จะได้เป็นฝ่ายควบคุมไคยะจึงรีบมายื่นข้อเสนอ เมื่อก่อนเจ้าเล่ห์ยโสยังไงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม พี่ชายของฮินาตะทำประหนึ่งคนที่เหนือกว่า ไม่เล่าความจริงทั้งหมด แพร่งพรายแต่ส่วนที่ไม่ทำให้ตนเองเสียผลประโยชน์ทีละนิด

               สำหรับเรน หากว่าปล่อยโอกาสที่ไคยะยื่นมาให้ผ่านไป เดาได้ว่าคงจะไม่ได้เห็นฮินะอีกเป็นครั้งที่สอง คิดเอาไว้อย่างนั้น เพราะฮินาตะกำลังจะกลับไปยังรังลับเพื่อฝึกฝนการเป็นแวมไพร์ตามที่ไคยะบอกไว้

               “ถ้าเจ้าเด็กแสบได้รับการรับรองจากแม่เฒ่าให้เป็นหนึ่งในเลือดบริสุทธิ์เมื่อไหร่ เส้นทางระหว่างนายกับเจ้าเด็กนั่นจะไม่มีวันบรรจบกันอีก หากอยากขึ้นรถไฟขบวนสุดท้ายก็ทำตามที่ฉันสั่ง ไปฝึกฝนซะแล้วเข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่มอำนาจของพวกเรา”

               ฟังดูเหมือนชวนเข้าแก๊งมาเฟีย แต่หากคิดให้ดีมันเหมือนกับเป็นการเปิดทางให้เขาได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของฮินาตะได้ตลอดไป เรนไม่โง่พอจะโยนทิ้งข้อเสนอนี้

               “หึหึหึ ฮินะเองก็ไม่ได้เลือกคุณสินะ ที่คุณต้องทำอย่างนี้เพราะฮินะทิ้งผมไม่ได้อย่างนั้นสิ”

เรนเหยียดยิ้มร้าย ไคยะเผยสีหน้าขมขื่นแวบหนึ่งก่อนจะปั้นหน้าเย็นชาเช่นเดิม กระนั้นไม่อาจลอดพ้นจากการสังเกตของเรนไปได้

“จริงอย่างที่คิดด้วยสินะ ฮินะเขามีใจให้ผม” เรนยิ้มกว้าง ยิ่งไคยะทำสีหน้ายะเยือกขึ้นอีกระดับยิ่งมั่นใจเช่นนั้น

“คุณยอมให้ผมเป็นหอกข้างแคร่ของคุณไปทั้งชีวิตหรือครับ ประหลาดจริง” เรนหัวเราะ

“ประโยคนั้นขอคืนให้นายทั้งดุ้น เพราะว่าเจ้าเด็กแสบก็จะไม่ตกลงปลงใจกับนายเหมือนกันตราบใดที่ยังมีฉันอยู่”

เรนหน้าตึงทันที เวลานี้ต่างคนต่างนิ่งเงียบ พวกเขาจ้องตากันอย่างไม่ลดละ พูดได้ว่ามีความเกลียดชังต่อกัน ทว่าลึกๆแล้วเรนกับไคยะต่างรู้สึกว่าพวกเขาใกล้ชิดกันราวกับเพื่อนสนิท เพียงเพราะพวกเขาทั้งคู่มุ่งมั่นไขว่คว้าเพื่อให้ได้หัวใจของฮินาตะมาครอบครอง

“ผมจะทำตามที่คุณสั่ง เพราะไม่ต้องการเปิดโอกาสให้คุณแย่งฮินะไปเป็นสมบัติส่วนตน”

“นับว่าฉลาดมาก”

ไคยะยิ้มเย็น ไม่แปลกใจที่ตัวเจ้าเล่ห์อย่างเรนจะรับข้อเสนอ แต่มีความหวังว่าเจ้าขี้ปลาทองนี่จะอาละวาดปฏิเสธสิ่งที่เขายื่นให้ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง เขาจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะไม่นานนักคงจะหลุดวงโคจรของเด็กแสบ

เพราะว่าเจ้าเด็กแสบไม่ต้องการที่จะเลือกใคร หากหมอนี่ตีตัวออกห่างไปเอง ฮินาตะคงยอมปล่อยให้ไปง่ายๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เรนเองก็คิดไว้เช่นกัน ถึงแม้จะเป็นแค่การคาดเดาแต่ก็มีความเป็นไปได้ และสิ่งนั้นสร้างความปวดร้าวให้อย่างที่สุด

ฮินะมีใจให้ก็จริงเขาสัมผัสได้ แต่ในขณะเดียวกันคงยังไม่ลืมรักแรกไปทั้งหมด ไคยะเป็นฝ่ายเข้าหากระตุ้นเร้าจนฮินะสับสน ตอนนี้หากมีฝ่ายใดเพรี่ยงพร้ําหรือตีตัวออกห่าง ฮินาตะคงจะเป็นสมบัติของคนคนนั้นทันที เรนอนุมานเอาไว้แบบนี้

               เพราะอย่างนั้นจึงตัดสินใจรับข้อเสนอ เขาหายตัวไปต่อหน้าต่อตาฮินาตะ ไปเรียนรู้สังคมของแวมไพร์และผู้สวามิภักดิ์ตอนนี้เองถึงได้รู้ว่ามีผู้คนไม่น้อยที่มีส่วนในการคงอยู่ของพวกแวมไพร์

               เขาหายตัวไปจากฮินะเป็นอาทิตย์ เวลาถัดมาไคยะก็แจ้งให้เขาทราบว่าต้องเดินทางไปยังรังลับพร้อมฮินะ ไม่ใช่เปิดโอกาสให้เขาตามติด แต่เพื่อฝึกฝนร่างกายของเขาตามแบบผู้สวามิภักดิ์

               ก็คิดอยู่หรอกนะว่าไคยะคงไม่มอบสิ่งที่ต้องการให้ง่ายๆ คงยอมให้เขาอยู่ข้างฮินะตราบจนชั่วชีวิตเขาจะหาไม่ ทว่าคนคนนั้นยังไม่รู้จักนิสัยเขาดี เขาไม่วันยอมแพ้ปล่อยให้ใครมาเชิดสั่งง่ายๆ เรนวางแผนพลิกแพลงตลอดยังไงต้องมีโอกาสสำหรับเขา

               หากว่าฮินะยังมีใจให้เขาบ้าง เขาต้องทำให้ฮินะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นพวกเดียวกันกับฮินะให้จงได้ เวลามีถมถืด แถมคู่แข่งยังโง่เปิดโอกาสให้เขาเสียอีกด้วย

               เรนบังเอิญโดยสารที่นั่งข้างๆ ฮินาตะ ทีแรกตกใจอย่างมาก โชคดีที่ไคยะบอกให้เขาใส่น้ำหอมมาให้มากๆ เพราะว่าฮินะจมูกดี กลิ่นเหล่านั้นจะทำให้จำแนกกลิ่นตัวเฉพาะของเขาไม่ออก

               นอกจากนั้นการแต่งตัวมิดชิดยังช่วยได้ดี เมื่อมาถึงหมู่บ้านซึ่งเป็นรังลับ เรนถูกส่งให้มาอยู่กับผู้ดูแลเขตป่าที่ชื่อ

อลัน คนคนนี้เป็นผู้สวามิภักดิ์ดื่มกินเลือดและรับใช้แวมไพร์มาเนิ่นนาน เขาถูกไคยะฝากฝังให้มาฝึกฝนด้วย

               ในวันแรกที่มาถึง ไคยะแวะมาหาที่บ้านชายป่า ตรงนี้ถึงรู้ว่าเลือดที่ไคยะมอบมาให้เขาดื่มกินในระหว่างฝึกเป็นเลือดของไคยะเองโดยตรง ขยะแขยงนิดหน่อยแต่ก็ทำใจได้ในเวลาไม่นาน

               นับจากดื่มกินเลือดของไคยะติดต่อกัน เรนได้รับพลังพิเศษและกำลังมหาศาลมา จึงไม่แปลกใจที่จะมีผู้สวามิภักดิ์ต่อแวมไพร์มากมายปะปนไปทั่วทุกมุมโลก

               หลังจากได้มาฝึกฝน ช่วงเวลายามว่าง เขาจะแอบตามดูฮินะเมื่อสบโอกาส มีครั้งหนึ่งฮินะเกือบถูกหินยักษ์กลิ้งทับ โชคดีที่จัดการด้วยตัวเองได้ แต่ก็เกือบถูกจับได้เช่นกัน ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

               ต่อมาไคยะส่งข้อความบอกกับเขาว่าฮินะจะไปฝึกล่าเหยื่อครั้งแรก เพราะตนเองไม่สามารถดูแลใกล้ชิดได้ จึงฝากฝังให้เขาจัดการ ถึงไม่บอกเขาก็จะตามติดฮินะไปอยู่แล้ว เพราะวันนั้นเป็นวันพักการฝึกของเขาพอดี

               เรนปลอมตัวอย่างดีจนไม่มีใครจำได้ และพบว่าฮินาตะตามผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปในห้องส่วนตัว เรนเฝ้ารออยู่ห่างๆ จวบจนพบว่ามีชายสวมหน้ากากประหลาดเดินเข้าไปในห้อง

สังหรณ์ใจไม่ดีจึงรีบตรงเข้าไป และพบว่าเจ้าหน้ากากนั่นคือคนร้ายไม่ผิดแน่ เรนเข้าต่อสู้กับเจ้าหน้ากาก ทว่าลูกล่อลูกชนเยอะบวกกับพลังพิเศษทำให้เดาได้สองทางว่าอาจเป็นแวมไพร์ไม่ก็เป็นพวกสวามิภักดิ์ที่ดื่มเลือดแวมไพร์มานาน

สุดท้ายเพราะเป็นห่วงฮินาตะจึงเปิดโอกาสให้คนร้ายหนีไปได้ เรนเข้าไปจัดการกับฮินาตะที่จะใกล้จะหมดสติไป และไม่รอช้าส่งข้อความหาไคยะบอกให้อีกฝ่ายรับทราบ

เรนอุ้มฮินาตะตรงไปหาเทเรซ่า ไม่มีความคิดจะปิดบังตนเองอีกต่อไป เพราะวินาทีแรกที่เทเรซ่าประจันหน้ากับเขา เจ้าหล่อนยิ้มเจ้าเล่ห์

“กลายมาเป็นผู้สวามิภักดิ์แล้วรึ บอกหลานชายฉันแล้วหรือยัง”

“ถ้าเป็นไปได้ยังไม่อยากให้บอกตอนนี้ หากคุณย่าจะกรุณา”

“อ้อ ฉันพอจะเดาได้ว่าเป็นแผนของใคร ขอบใจนะที่ตามดูแลหลานชายของฉันอย่างดี ต่อไปก็ฝากด้วยล่ะ”

อยากจะตอบกลับออกไปด้วยความฉุน“คุณเองก็น่าจะดูแลฮินะให้ดี” แต่เข้าใจว่าตนไม่มีกำลังมากพอ นอกจากนั้นหากอีกฝ่ายอารมณ์เสียอาจส่งผลต่อแผนการระยะยาวของเขาจะให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด

ดังนั้นจึงปล่อยให้คุณย่าหยอกเย้าอีกหลายคำก่อนจะมองตามอีกฝ่ายอุ้มฮินาตะขึ้นรถไป จากนั้นเขากลับไปยังบ้านชายป่ารอคอยให้ไคยะแจ้งข่าวคราวต่อไปของฮินะ

...



อยากอัพทนไม่ไหว แต่จะหายไปไว้อาลัยอีกซักพักถึงสิ้นเดือนเลยน้า เจอกันวันที่1เดือน11เน้อ

ออฟไลน์ Violasheep

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-0
Re: vampire kiss บทที่20 1/11/60
«ตอบ #29 เมื่อ01-11-2017 10:31:55 »



บทที่20

               ไคยะใช้อำนาจมืดเสาะหาตัวผู้หญิงที่ล่อลวงฮินาตะ ทว่าเมื่อส่งคนไปหาหล่อนกลับพบแต่ร่างไร้วิญญาณในบ้านพัก คาดว่าจะถูกฆ่าปิดปากในคืนเดียวกันนั้น

               ไคยะขุ่นมัวอย่างที่สุด ความโกรธเกรี้ยวลุกโชนอย่างเงียบงัน ถึงแม้ไม่ได้แสดงออกมาแต่คิซาระรู้ดีว่าคู่หมั้นของเธออยู่ในอารมณ์ไหน ยิ่งได้รู้ว่ามีคนลอบปองร้ายฮินาตะทีแรกเธอชอบใจอย่างที่สุด แต่ในเวลาต่อมาเธอเอาแต่ครุ่นคิดว่าใครกันนะที่กล้าลงมือทำในเขตแดนของท่านเทเรซ่าแถมยังกับหลานคนเล็ก นี่ไม่เท่ากับกระตุกหนวดเสืออย่างนั้นหรือ

               เวลานี้ทั้งไคยะและเทเรซ่าเอาแต่วุ่นวายสืบหาคนกระทำ ถึงแม้ท่านเทเรซ่าจะแสดงท่าทางอารมณ์ดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคิซาระก็จับความรู้สึกได้ คนเป็นย่าย่อมเป็นเดือดเป็นแค้นและไม่ปล่อยให้หลานชายถูกทำร้ายง่ายๆ

               “อีธานนายคิดว่าใครกันที่เป็นคนลอบทำร้ายฮินาตะ” คิซาระถามพ่อบ้านขณะที่อีกฝ่ายชงเหล้าให้เธอ พ่อบ้านคนนี้เธอเห็นมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกทั้งยังให้ความเมตตาอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเธอจึงไว้ใจเล่าความรู้สึกให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง

               “ไม่ทราบขอรับท่านคิซาระ”

               “นั่นสินะ คนที่วันๆวิ่งวุ่นทำงานรับใช้ตลอดจะรู้ได้ยังไง ไม่น่าถามเลย” คิซาระยิ้มอ่อนโยน อีธานเองก็ยิ้มน้อยๆเช่นกัน

               “แต่ว่านะอีธาน ฉันเหงาจริงๆ กลับมารังลับครั้งนี้คิดว่าจะได้อยู่กับท่านเทเรซ่าทั้งวัน แถมยังหวังว่าจะเชื่อมสัมพันธ์อันดีกับไคยะ กลับกลายเป็นทั้งสองคนต้องวิ่งวุ่นเรื่องของฮินาตะตลอดเวลา” คิซาระพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉา “อีธานฉันมีตรงไหนสู้ฮินาตะไม่ได้หรือ แม้แต่ท่านเทเรซ่าที่เคยเอ็นดูฉันตลอดยังเลิกสนใจฉันแล้วหันไปเอาใจใส่ฮินาตะแบบนี้...นี่ฉันกลายเป็นคนที่ถูกลืมแล้วอย่างนั้นหรือ”

               คิซาระดื่มเหล้าในแก้วรวดเดียวก่อนจะคว้าขวดมาเทกรอกปากอึกๆ ด้วยหวังว่าสิ่งนี้จะชำระล้างความน้อยเนื้อต่ำใจออกไป

               “นายหญิง....” อีธานคล้ายอย่างจะกล่าวอะไรซักคำ แต่ก็ยั้งปากเอาไว้ พ่อบ้านมองดูคิซาระด้วยแววตาที่อ่อนโยน

               “อีธานเอาเหล้ามาอีกสิ”

               “ขอรับนายหญิง” อีธานรีบทำตามคำสั่งระหว่างที่สาวเท้าเดินได้ยินเสียงร้องไห้ของคิซาระ

               ฮินาตะลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าไคยะนั่งอยู่ข้างๆ เตียงของเขา เด็กหนุ่มค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงของพี่ชายคำแรกที่เขากล่าวออกจากปากคือขอโทษ

               “ขอโทษนะ”

               “ขอโทษทำไม” ไคยะใช้มือลูบไล้เสี้ยวหน้าของฮินาตะอย่างเบามือ ถึงแม้ว่าเจ้าเด็กแสบจะสลบไปไม่กี่ชั่วโมงแต่ก็สร้างความร้อนใจให้เขามากมายทีเดียว

               “ขอโทษที่ฉันไม่ระมัดระวังตัว...ก็เลย....”

               “ฉันเองต่างหากที่ดูแลนายไม่ดี..” ไคยะแค่นหัวเราะ “คิดดูสิฉันคนนี้สาบานรักต่อนาย ให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลนายอย่างดี แต่กลับทำไม่ได้”

               “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกเรื่องแบบนี้ใครๆก็พลาดได้” ไคยะกระตุกยิ้มขมขื่น การที่ฮินาตะยิ่งพยายามปลอบใจกลับทำให้เขาดูถูกตัวเองมากขึ้นไปอีก

               “อย่าสิ...มันทำให้ฉันยิ่งสมเพชตัวเองมากกว่าเดิมนะ”

               “ทำไมกลายเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะ”

               จะทำอย่างไรดีนะถึงจะทำให้ไคยะเลิกคิดแบบนี้ไปได้ ดังนั้นฮินาตะจึงจุมพิตลงบนหน้าผากของไคยะกุมมือพี่ชายเอาไว้เริ่มกล่าวปลอบโยนคล้ายกับให้กำลังใจเด็กตัวเล็กๆ ไคยะเบิกตากว้างไม่คิดว่าฮินาตะจะทำเช่นนี้กับตน   

               “มันไม่ใช่ความผิดของพี่ อีกอย่างขนาดฉันยังไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่คิดร้ายกับฉัน พี่จะรู้ได้ยังไง เพราะฉะนั้นอย่าทำหน้าเจ็บปวดแบบนี้เลยนะ มันทำให้ฉันเศร้าไปด้วย”

               “ฮินาตะ” ใบหน้าของพวกเขาใกล้กันมาก ริมฝีปากของทั้งคู่เคลื่อนเข้าหากัน หัวใจคล้ายจะรวมกันเป็นหนึ่งในชั่วเวลานั้น ทว่าฮินาตะกลับเบือนหน้าหนีในวินาทีสุดท้ายเพียงเพราะนึกถึงใบหน้าของเรนขึ้นมา

               ไคยะหัวเราะขึ้นจมูกดังหึ เวลาอย่างนี้ยังนึกถึงชายอื่นได้อีก สำคัญนัก อากาสึกิเรนขนาดไม่โผล่มาเป็นตัวตนยังเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ได้ถึงเพียงนี้

               “ขอโทษนะ” ฮินาตะไม่กล้ามองหน้าไคยะ

               “ขอโทษยังไม่พอหรอก” กล่าวจบไคยะใช้มือบิดคางฮินาตะกลับมาแล้วป้อนจูบให้ ชายหนุ่มไม่อ่อนโยนเลยซักนิด ทั้งดูดดุนทั้งขบจูบปลายลิ้น คนถูกจูบครางฮือด้วยทั้งเจ็บและสุขสมในเวลาเดียวกัน

               ฮินาตะตาพร่าไปหมด นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกใครจูบอย่างจริงจัง แถมยังเป็นจูบดุดันร้อนแรง ทั้งเสาะสำรวจทั่วโพรงปาก แถมยังขบกัดที่ริมฝีปากล่างและปลายลิ้นของเขาที่พยายามหลีกหนี สุดท้ายจึงรู้ว่าหากไม่อยากเจ็บตัวจำเป็นจะต้องคล้อยตาม

 เด็กหนุ่มพยายามอย่างมากที่จะไล่ตามการปรนเปรอของไคยะ ถึงแม้ว่าจะต้องหอบหนักและหายใจไม่ทัน การประกบปากจูบเปลี่ยนมุมในแต่ละครั้งยิ่งปลุกเร้าฮินาตะจนสุดจะทานทน

“เคยจูบอย่างนี้กับอากาสึกิไหม” ไคยะผละจูบชั่วแวบหนึ่งคลอเคลียริมฝีปากตัวเองเข้ากับปากนิ่ม แต่ไม่ยอมฟังคำตอบจากฮินาตะพริบตานั้นประกบจุมพิตดูดดื่มต่อไป นานทีเดียวกว่าจะปล่อยให้ฮินาตะหายใจหายคอได้เต็มปอด

“ไม่เคยสินะ” ไคยะยิ้มอ่อนโยนเขาสบตากับฮินาตะที่น้ำตาคลอเบ้าทั้งยังหอบหายใจถี่กระชั้น

“เวลาที่อยู่กับฉันได้โปรดอย่าคิดถึงอากาสึกิแล้วเวลาที่อยู่กับอากาสึกิฉันจะอนุญาตให้นายคิดถึงแต่หมอนั่นตามที่นายต้องการ”

ฮินาตะปาดน้ำตาออกจากหน้าด้วยมือทั้งสองข้าง เด็กหนุ่มทั้งเศร้าและอับอายเหลือเกินที่ถูกไคยะล่วงรู้ถึงจิตใจตัวเอง ยิ่งอีกฝ่ายประกาศออกมาแบบนี้ ยิ่งละอายที่ไม่สามารถเลือกเฟ้นอันดับหนึ่งในใจออกมาได้

ถึงตอนนี้นอกจากเลือกไม่ได้เขาเองก็ไม่อยากเลือกเสียแล้ว สุดท้ายสู้อยู่เป็นน้องชายเป็นเพื่อนธรรมดาต่อไปไม่ดีกว่าหรือ หากเลือกไม่ได้เขาก็ไม่คิดจะเลือกอีกต่อไป ฮินาตะอยากให้วันเวลาหวนกลับไปในตอนที่ทุกสิ่งยังไม่บานปลายมาถึงขนาดนี้

“อย่าได้คิดหนีเชียวนะ” ไคยะดักทางเพราะสามารถเดาได้จากสีหน้าท่าทางของฮินาตะ

“ไม่ว่าจะฉันหรืออากาสึกิ ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถทำเหมือนกับนายเป็นน้องชายหรือเพื่อนได้อีกแล้ว”

ไคยะจำเป็นต้องกล่าวอ้างถึงเรน ถึงแม้จะไม่อยากนักก็ตาม ทว่าหากทำให้ฮินาตะคิดว่ามีคนใดคนหนึ่งยอมที่จะกลับไปเหมือนเดิม สมดุลที่เขาตั้งใจวางไว้จะพังทลายทันที

การปล่อยให้ฮินาตะคิดว่าเรนจะสามารถกลับไปเป็นเพื่อนได้ อาจทำให้เจ้าเด็กแสบรู้สึกสบายใจแล้วตีตัวห่างเขาออกไป ไคยะไม่ยอมแน่นอน

ฮินาตะสั่นเทาเหมือนคนหนาวเหน็บ ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกรุกเข้าหาอย่างแข็งกร้าวถึงขนาดนี้ จะทำอย่างไรดีนะ ถึงจะเปลี่ยนสถานการณ์ตอนนี้ไปได้ เขาต้องหาวิธีกลบเกลื่อนไปให้ได้ หากไม่อย่างนั้นเกรงว่าบรรยากาศจะพาไปจบยังจุดที่เขานึกกลัว

“พี่ใครเป็นคนช่วยฉันเอาไว้อย่างนั้นหรือ”

ไคยะแค่นเสียงดังเฮอะ เข้าใจว่าฮินาตะต้องการจะกู้สถานการณ์คงกลัวว่าเขาจะเลยเถิดรุกล้ำเข้าหา ตามจริงมีความคิดนั้นอยู่เหมือนกัน ทว่าคิดอีกทีสั่งสอนไปมากพอดูแล้ว หากบังคับจะเอาให้ได้ฮินาตะก็คงต่อต้าน แต่อาจสร้างความสับสนปวดร้าวให้มากยิ่งกว่าเดิม

ยังไงก็ต้องไปจบด้วยในรูปแบบนั้นจริงๆหรือ เขาเองก็ไม่อยากให้เป็นแบบนั้นแล้วเจ้าอากาสึกิล่ะจะยอมเห็นด้วยหรือเปล่า ไคยะหัวเราะขึ้นจมูก สร้างความงงงันให้ฮินาตะด้วยคิดไปว่าตนพูดอะไรไม่ถูกหรือเปล่า

“อยากลองไปพบไหมล่ะ”

ฮินาตะผงกหัวขึ้นลง ยังไงเสียก็อยากจะกล่าวขอบคุณคนคนนั้น ซักหน่อย

“ถ้าอย่างนั้นดูดเลือดฉันก่อนแล้วค่อยลงไปด้านล่างแม่เฒ่ามีเรื่องจะถามนายเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกลอบทำร้าย”

ดังนั้นฮินาตะจึงต้องสูบเลือดจากไคยะตามคำสั่ง และเพราะไม่ต้องการทำให้ไคยะเจ็บอีก เขาจึงเผลอปล่อยพิษจากเขี้ยวกระตุ้นชายหนุ่มทีละน้อย

“อื้อ...” ไคยะกอดรัดเข้าแน่นขึ้น

“ร้ายนักนะ ตั้งใจจะยั่วยวนหรือไง” น้ำเสียงของไคยะฟังดูดุดัน ฮินาะตะสะดุ้งหยุดสูบเลือดกะทันหัน เด็กหนุ่มค่อยๆช้อนตาขึ้นไปมองและพบว่าพี่ชายส่งยิ้มร้ายมาให้

“แม่เฒ่าสอนนายสินะ”

“ถ้าพี่ไม่อยากให้ฉันทำแบบนี้คราวต่อไปฉันจะไม่ทำอีก...อ๊ะ...” ถูกกอดรัดแน่นจนร่างแทบหัก ฮินาตะลนลานอย่างที่สุด เด็กหนุ่มเกร็งตัวในอ้อมแขนไคยะ

“อยากจะทำฉันก็ไม่ว่า แต่อย่ากระตุ้นเร้ากันมากไปนัก เอาแค่พอให้ความเจ็บทุเลาลงก็พอ หึหึ...ทำอีกสิ..ยังสูบเลือดไม่พอไม่ใช่หรือ”

โดยไม่คาดคิดฮินาตะผลักไคยะออก เผ่นหนีไปยังหน้าประตูห้อง

“ฉัน..ฉันจะไม่ดูดเลือดพี่อีกแล้ว”

“เอาอย่างนั้นรึ จะไปขอให้อีธานหาเลือดมาป้อนให้สินะ”

“ก็ถ้ามันจะทำให้พี่ไม่เกิดอารมณ์ล่ะก็ ฉันก็จะทำอย่างนั้น”

 ไคยะกระตุกยิ้มหยามหยัน หากเขาอยากทำคิดหรือว่าจะหนีพ้นไปได้ อุตส่าห์เปิดโอกาสให้ทำตามใจชอบ ใม่คิดว่านานเข้าจะดื้อรั้นขึ้นเรื่อยๆ น่าเหนื่อยใจจริงๆ

“ฮินาตะ” ไคยะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เมื่อเดินเข้าไปหาฮินาตะก็ถอยหลังไปทีละก้าว แทบจะเป็นก้าวต่อก้าว

“หึหึหึ หนีทำไมล่ะ”

“ก็ต้องหนีสิไม่อย่างนั้นพี่ก็มาทำอะไรแปลกๆ”

“จะหนีไปหาอากาสึกิอย่างนั้นสิ” ฮินาตะหน้าซีดเผือดไม่นึกว่าไคยะจะพูดอย่างนี้

“คิดผิดไปมากนะ เจ้าอากาสึกิก็ไม่ต่างจากฉันหรอก”

“ฉัน...จะไปหาคุณย่า” ฮินาตะพลุนพลันออกจากห้องไป ไคยะเดินตามมาติดๆ เด็กหนุ่มไม่กล้าหันไปมอง เวลานี้หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำจนแทบจะทะลุออกมา

...



ช่วงนี้อะโคตรยุ่งเลยงานหลวงงานราชมากอง แต่จะรีบอัพตอนต่อไปไม่น่าเกินห้าวันหลังจากนี้นะ



ขอปั้นงานหลักซักกะหน่อยงานเข้าจริงๆ TT

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด