ถ้าหากพื้นที่ด้านหน้าของคุณเป็นหน้าผา
แล้วด้านหลังคุณเป็นสิงโตตัวเขื่องหิวโซที่สามารถขย้ำคุณภายในคำเดียว
คุณจะทำยังไงระหว่างกระโดดลงหน้าผาเพื่อหนีลงแม่น้ำหรือคว้ามีดที่เอวเพื่อสู้กับมัน?
ถ้าเป็นผม ผมจะเลือกอย่างหลัง
เสียงกรีดร้องดังลั่นเมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญโผล่เข้ามาในงานแต่งงานด้วยชุดสูทดำเรียบร้อยหากแต่ในมือถือปืนพกและเล็งไปที่เจ้าบ่าวในงานที่ควรจะเป็นผู้ที่มีความสุขมากที่สุดในวันนี้
คนเป็นเจ้าบ่าวกลืนน้ำลายเอือกยกสองมือขึ้นเหนือหัว ใบหน้าคมคายที่มักจะเยือกเย็นและเจ้าแผนการอยู่เสมอซีดลงถนัดตา ความตื่นตระหนกที่มีอยู่นั้นมากจนคิดอะไรไม่ออกเพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าคนๆ นี้จะกล้าถึงขนาดนี้
ร่างโปร่งที่ซูบผอมลงไปมากแสยะยิ้มย่างสามขุมเข้าไปหาเจ้าบ่าวอย่างดุดันผิดวิสัยที่ปรกติแล้วจะเป็นคนที่รักสงบใจเย็นไม่ค่อยยุ่งกับใคร นัยน์ตาที่สุมไปด้วยไฟแห่งความเกลียดชังตวัดมองเจ้าสาวข้างๆ จนแทบจะเผาหล่อนทั้งเป็น มีหลายคนที่พยายามถลันตัวเข้ามาแย่งปืนแต่ก็ถูกปืนพกเล็งเข้าที่ศีรษะซะก่อนจึงทำได้แค่หยุดฝีเท้าไว้ตรงนั้น
จังหวะฝีเท้าของเขานั้นหนักแน่นและสม่ำเสมอ มันดังก้องอยู่ในหูของคนที่มีชนักแผ่นใหญ่ติดอยู่บนหลัง ชุดสูทขาวตัดเข้ารูปอย่างดีดูจะทำให้เจ้าของชุดรู้สึกอึดอัดมากกว่ามั่นใจในตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลาพยายามฉีกยิ้มบางๆ ให้กับคนที่แทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันไปแล้ว
ใบหน้าที่มีเค้าของชาติยุโรปนิ่งสงบทั้งๆ ที่เลือดในกายร้อนระอุ ความโกรธ ความอาฆาตแทบจะปะทุออกมาพร้อมๆ กัน เมื่อมองรอบๆ แล้วพบว่างานแต่งงานบัดซบนี่หรูหราเอาการ
"มีความสุขดีเนอะ"
เสียงที่พูดออกไปนั้นเสียดสีและเกลียดชัง ก่อนที่ยกปลายกระบอกไปจ่อที่อกของเจ้าบ่าวของงานมงคลนี้
"...ซิน"
"ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วว่ะ" เจ้าของชื่อหัวเราะจนตัวโยนหากแต่มือที่ถือปืนนั้นมั่นคงราวกับว่ารอเวลานี้มานาน "มึงทำลายชีวิตกู มึงก็ต้องพังไปกับกูว่ะ"
ปัง!!
'ราคาประมูลภาพของฌอง เลอเนสขึ้นไปที่ยี่สิบล้านแล้วครับ มีใครจะให้มากกว่านี้ไหมครับ!"
'คุณไมครอฟให้ราคาที่สามสิบครับ!"
ภาพที่กำลังถูกประมูลนั้นคือภาพของศิลปินชาวต่างประเทศชื่อดัง มันเป็นภาพเก่าที่เป็นของจริงโดยถูกเก็บอย่างดีภายใต้การดูแลของตระกูลสิงหนาทที่มีเชื้อสายไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งภาพนั้นก็ได้มาจากปู่ทวดของตระกูลสิงหนาทซื้อภาพนั้นเก็บไว้พอดีไว้ด้วยความสงสารในตัวศิลปินและถูกดูแลรักษาอย่างดีมาตลอดนับจากรุ่นสู่รุ่น ส่งผ่านมือต่อมือโดยที่ไม่มีความคิดเรื่องการค้าขายเข้ามาเกี่ยวสักนิดเพราะเจตนารมณ์ของปู่ทวดที่ต้องการจะให้มันกลายเป็นภาพประจำตระกูล
ทุกอย่างยังคงเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น ต่อให้ราคาภาพในท้องตลาดของศิลปินคนนั้นดีดตัวสูงขึ้นจนน่าตกตะลึงแต่ตระกูลสิงหนาทก็ไม่คิดจะขายมันอยู่ดีแต่ให้จะแร้นแค้นขนาดไหนก็ตาม
มันคงจะเป็นเช่นนั้นถ้า..
"เฮ้ย ซิน.. มึงร้องไห้ทำไมวะ!!!"
เพื่อนร่วมสตูดิโอผมร้องลั่นเมื่อเห็นพ่อเสือยิ้มยากไร้อารมณ์อย่างผมนั่งน้ำตาไหลหลังจากขอดูคลิปประมูลภาพชื่อดังที่กำลังเป็นข่าวในทุกสำนัก
ความเค็มประแล่มจุกในลำคอผมจนผมพูดอะไรไม่ออก ผมกระพริบตาถี่ๆ แต่น้ำตากลับไหลออกมามากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ผมนั้นไม่ได้อยากร้องไห้เลยแท้ๆ
แต่ในใจมันกลับเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก ความเจ็บปวดที่ผมเพิ่งรู้จักเร็วๆ นี้กัดกินผมอย่างตะกละตะกลาม จนน้ำตาที่ไหลเฉยๆ กลายเป็นการสะอื้น ผมพยายามหยุดอาการบ้าๆ นี้แต่ทำไม่ได้ มันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ จนเพื่อนทั้งสตูดิโอและคนอื่นๆ มามุงถามไถ่ผมอย่างเป็นห่วง
ผมรับรู้ว่าพวกเขาอยู่ตรงนั้นแต่ในใจของผมมันกลับแตกร้าวเกินกว่าที่จะรับใครเข้ามาเพิ่ม ผมวางมือถือของเพื่อนร่วมงานลงแล้วขอตัวเข้าห้องน้ำเพื่อไปล้างหน้าล้างตา ทุกคนดูอยากจะรั้งผมแต่ก็ไม่กล้าทำเพราะกำแพงที่ผมกั้นพวกเขาไว้นั้นแน่นหนาเกินไป นอกจากยิ้มทักทายให้ตอนเช้าผมกับพวกเขาก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่มากกว่านั้น
ผมมองหน้าตัวเองในกระจก จากที่หน้าตาเฉยชาดูน่าเบื่ออยู่แล้วตอนนี้ตาของผมกลายเป็นสีแดงก่ำ ผมเหยียดยิ้มให้ตัวเองในกระจกเพราะน้ำตามันยังไหลออกมาจากดวงตาไม่หยุด
"มึงมันโง่"
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วก้มมองมือตัวเองที่จิกลงกับข้อมืออีกข้างจนเลือดออกโดยไม่รู้ตัว มันไม่เจ็บเลยสักนิด ผมลูบบาดแผลนั่นแล้วสะอื้นหนักกว่าเดิม
"..โง่"
ผมกัดปากพยายามกลั้นสะอื่นแต่สุดท้ายผมก็กลั้นไม่อยู่ ปล่อยโฮออกมา
ถ้ารู้ว่ามันเจ็บขนาดนี้ ผมคงจะไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น
"โง่อะไรของคุณ? หืม"
ผมสะดุ้งเฮือกสุดตัวเมื่อไอ้คนที่ผมเพิ่งนินทาหันขวับมามองผมพร้อมเลิกคิ้วน้อยๆ แต่โชคดีที่ใบหน้าผมมันไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ผมเลยสามารถแถเรื่อยเปื่อยได้อย่างง่ายดายเหมือนที่เคยทำทุกคนเพื่อตัดปัญหากับคนอื่นๆ
"เปล่า ผมไม่ได้ด่าคุณ"
ผมมั่นใจสีหน้าของตัวเองไร้อารมณ์มากพอ เขาถึงได้กระพริบตาเหมือนทบทวนกับตัวเองอีกครั้งว่า ผมด่าเขาจริงๆ รึเปล่า ซึ่งผมก็ด่าเขาจริงเพราะผมไม่เคยเห็นใครทำอะไรบ้างๆ อย่างการเผลอทิ้งหมูปิ้งข้าวเหนียวที่เพิ่งสั่งมาลงในถังขยะแทนที่จะแก้วก้าแฟแก้วเปล่าที่เขาตั้งใจจะทิ้งตั้งแต่แรก
ผมรู้เขาอาจจะเผลอ แต่ช่วยไม่ได้ที่ปากผมมันเป็นซะแบบนี้ ปกติผมก็ควบคุมตัวเองให้คิดในหัวได้นะ แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้มันถึงหลุดออกมาได้ดังซะขนาดนั้น
แต่จะว่าไปหมูปิ้งเจ้าหน้าสตูดิโอผมนี่ก็ถือว่าโครตอร่อย เสียดายเหมือนกันที่อาหารดีๆ อย่างนี้ต้องลงไปรวมในถังขยะ เห็นไหมคิดดูอีกที เขาก็โง่และเซ่อจริงๆ นั่นแหละ
ไม่เข้ากับใบหน้าคมคายที่ดูภูมิฐานเลยสักนิด ดูจากเค้าโครงแล้วคงจะอายุมากกว่าผมไม่น้อย สักประมาณสามสิบได้ และถ้าให้ผมทายอีกก็คงจะเป็นพนักงานตำแหน่งสูงในบริษัทสักบริษัทเพราะเขาสวมชุดสูทดำและมีออร่าแบบผู้บริหารๆ อะไรทำนองนั้น
"อ่า งั้นผมก็ต้องขอโทษด้วยที่เข้าใจผิดครับ" เขาก้มหัวเล็กๆ ให้ผมซึ่งผมก็ไม่ได้อะไรไปมากกว่าการไหวไหล่รับและเดินอ้อมเขาเพื่อเข้าร้านกาแฟร้านประจำของผม
ระหว่างที่ผมนั่งรอกาแฟที่สั่ง ผมก็เล่นโทรศัพท์อะไรเรื่อยเปื่อย
เหมือนจะไม่มีอะไรใช่ไหม? ไม่อ่ะ มันมี
ผมรู้สึกว่าตัวเองถูกมองมาได้สักพักแล้ว ผมพยายามมองซ้ายมองขวาเหมือนดูวิวเรื่อยเปื่อยแต่ก็เพื่อที่จะหาต้นเหตุความรู้สึกแปลกๆ นี่ต่างหาก แต่หาไปหามาสักพัก ผมก็เริ่มเบื่อและปล่อยเลยตามเลยเพราะผมอาจจะคิดไปเองก็ได้
ไม่แน่ใจว่าบังเอิญหรือเพราะอะไร ผมถึงเจอคนที่ผมด่าไปที่ร้านกาแฟร้านโปรดผมเป็นประจำมาเกือบเดือนแล้ว ผมไม่ได้คิดไปเองจริงๆ นะ ผมเจอเขาทุกครั้งที่ผมเข้ามาในร้าน เห็นเขานั่งเล่นโน้ตบุ๊คด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บางครั้งที่เขาเห็นผมเขาก็จะยิ้มบางๆ ให้ผม และแน่นอนว่าผมไม่ยิ้มกลับ ช่วยไม่ได้การยิ้มของผมมันไม่ใช่ของสาธารณะและผมก็ไม่รู้สึกว่าการยิ้มช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาด้วย
มันก็แค่มารยาททางสังคมที่คนส่วนใหญ่ยอมรับแต่ไม่ใช่กับผมแน่ๆ
ผมเลือกที่จะมองเมินท่าทีเป็นมิตรนั้นแล้วเดินเอื่อยๆ จิบช็อกโกแลตปั่นที่ผมนับมันเป็นมื้อเช้ากลับสตูดิโอ
"ลองทานดูไหมครับ?"
ผมกลอกตามองบราวน์นี่ในมือเขาสลับกับใบหน้าเขาที่ดูดีเสมอต้นเสมอปลาย
"ขอบคุณ" ผมตอบแต่ไม่ได้รับมา "แต่ผมไม่กินข้าวเช้า"
เขายิ้มมุมปากทำให้ดูเด็กลงมาหลายระดับ "ผู้ใหญ่ให้ของก็รับไปเถอะครับ คุณผอมมากเลยนะ เดี๋ยวตากแดดตากลมจะเป็นลมซะเปล่าๆ"
คิดดูขนาดคำพูดยังแก่เลยอ่ะ สามสิบขึ้นแน่ๆ
"คุณไม่ใช่พ่อผม" ผมดูดช็อกปั่นต่ออย่างไม่ยี่หระ สำหรับผมไม่ก็คือไม่ และเขาก็ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักด้วย ก็แค่คนที่เคยเห็นหน้ากันเท่านั้นไม่มีความสัมพันธ์อะไรใดๆ ต่อกัน แม้แต่ชื่อผมเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ
"กินเถอะ"
ไม่รอคำตอบของผม เขาก็ยัดใส่มือผม
ผมเริ่มฮึดฮัดในใจแต่สีหน้าที่แสดงออกไปคือนิ่งเฉย
ผมไม่ชอบการถูกคุกคาม ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วที่ผมมักจะถูกตั้งแง่จากพวกครูบ่อยๆ ว่าเป็นพวกเด็กชอบชักสีหน้า ทั้งๆ ที่ไอ้หน้าที่เขาว่าผม ก็คือหน้านิ่งๆ ของผมนั่นแหละ
"ไม่"
ผมยัดกลับแล้วสาวเท้าเดินหนีและเปลี่ยนแผนซื้อกาแฟที่นี้ไปซื้อที่อื่นแทน ผมไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองรึเปล่าว่าเขามานั่งรอผมทุกวัน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงผมก็คงต้องอุดหนุนที่อื่นไปพลางๆ
คนอื่นอาจจะมองว่าผมไร้มนุษย์สัมพันธ์ แต่ขอโทษเถอะ ผมเป็นแบบนี้มานานแล้ว
ผมทิ้งช่วงร้านกาแฟเจ้าเดิมไปพักใหญ่ๆ แล้วกลับมาอีกครั้ง ก็พบว่าคนเดิมก็ยังอยู่ที่เดิม ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมามองผมพอดีตอนที่ผมแอบมองเขา เขาฉีกยิ้มแล้วเดินเร็วๆ เข้ามาประชิดตัวจนผมหนีไม่ทัน
"หายไปนานเลยนะครับ"
"ครับ" ผมตอบตัดบททำท่าจะเดินหนีแต่เขาก็เอาตัวมาขวางทางอยู่ดี
น่ารำคาญชะมัด
ผมคิดอย่างหงุดหงิด พยายามเดินไปเคาน์เตอร์แต่เขาก็ยื้อตัวไปมาไม่ให้ผมไป
"คุณต้องการอะไร"
ผมถามเสียงกระด้าง ไม่เป็นมิตร
"ผมอยากรู้จักคุณ"
"แต่ผมไม่"
นี่ถ้าผมไม่อยากกินช็อกโกแลตปั่นมากๆ ผมไม่ทนต่อล้อต่อเถียงด้วยหรอก เสียเวลา
"ทำไมล่ะ"
ผมกำลังจะอ้าปากด่าเพราะเริ่มทนไม่ไหวแต่พอเห็นใบหน้าคมคายนั่นซึมกระทือเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิตก็ชะงัก ด่าไม่ออก นี่ผมจะบาปไหมวะ ทำคนแก่หัวใจเปราะบางอย่างเขาร้องไห้
"..ผมไม่ชอบคนแปลกหน้า"
"ผมเจอคุณบ่อยนะ ไม่นับไม่ได้เหรอครับ?"
เป็นครั้งที่สองที่ผมชะงักพูดอะไรไม่ออก นี่มันสถานการณ์อะไรวะเนี่ย
ผมขมวดคิ้ว เริ่มรักษาสีหน้านิ่งสงบไม่อยู่
"พูดบ้าอะไรของคุณ"
เขาหัวเราะเบาๆ กับตัวเองเหมือนดีใจที่สามารถทำให้ผมเปลี่ยนสีหน้าได้
"ผมก็แค่อยากคุยกับคุณเท่านั้นเอง"
แปลกที่ผมรู้สึกว่านัยน์ตาสีดำของเขาดูมีสเน่ห์ชะมัด มันเป็นสีดำด้านดูลึกลับน่าสนใจดี ยิ่งเจ้าของดวงตานั้นกำลังอารมณ์ดี ทำให้ดวงตาของเขาดูพราวระยับจนผมรู้สึกแปลกๆ
ถามว่าอยากรู้จักไหม ก็แค่จะสนใจนิดๆ มั้ง
ผมถอนหายใจเนือยๆ "ซิน"
เขากระพริบตาปริบเหมือนงง ว่าผมพล่ามอะไร
ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ถอนหายใจแรงๆ "ผมชื่อซิน"
และเขาก็ยิ้มกว้างจนผมอดตกใจไม่ได้ ผมไม่คิดว่าเขาจะดีใจถึงขนาดนั้นเพียงเพราะผมยอมคุยด้วยเล็กๆ น้อยๆ
"ผมชื่อเกล้า"
"อ้อ"
ผมพยักหน้าส่งๆ แล้วฉวยจังหวะที่เขาเผลอหลบไปสั่งช็อกปั่นสุดที่รัก ผมว่าถ้าผมไม่ได้กินมันวันนี้คงจะลงแดงตายแน่ๆ
"พรุ่งนี้ผมขอเบอร์คุณได้ไหม?"
ประโยคแปลกๆ ที่หลุดจากปากชายวัยเท่าเขาทำเอาผมชะงัก ผมหันไปมองเขาแล้วไหวไหล่ไม่ได้ตอบคำถาม
ไม่รู้สิ ถ้าพรุ่งนี้ผมอารมณ์ดี เขาก็อาจจะโชคดีได้มันไปล่ะมั้ง
สิงโตตัวเขื่องกำลังจับจ้องผมอย่างหิวกระหาย น้ำลายที่ไหลยืดแสดงให้เห็นว่ามันพร้อมจะกินผมในคำเดียวจริงๆ อย่างที่ผมเปรียบเปรยเอาไว้
ผมมองมันกลับและกระชับมีดในมือ แปลกที่มือที่ถือมือของผมสั่นเทาอย่างที่ไม่ควรเป็น และแปลกกว่าเดิมอีกที่ผมสะอื้น
มันขู่ฮื่อก่อนที่จะกระโจนใส่ผม
"บ้านคุณสวยจัง" เขาชมเมื่อนั่งลงบนโซฟาห้องรับแขก
ผมยิ้มจางๆ รับคำชมที่โดนชมเป็นรอบที่ร้อย "หิวรึเปล่า? ในตู้เย็นผมพอจะมีของสดอยู่"
"หิวสิ"
ไม่ว่าเปล่าเขายังทำหน้าน่าสงสารให้ผม "หิวมากด้วยครับ"
ผมพยายามกลั้นยิ้มกลั้นหัวเราะแต่สุดท้ายก็หลุดขำออกมา "เดี๋ยวทำให้"
แปลกดีเหมือนกันที่ผมรู้สึกดีกับเขา ความสัมพันธ์ของเราดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่วันนั้น เขามักจะชอบสรรหาของมาให้ผมกินบ่อยๆ จน
ผมที่ไม่เอาโลกยังเริ่มรู้สึกเกรงใจพอเขามาที่บ้านบ่อยๆ เพื่อเลี้ยงข้าวนู่นนี่นั่นตามอารมณ์
เขาเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยก็ยังมีคนที่ดีหลงเหลืออยู่ในสังคมบ้าง
ช่วยไม่ได้ผมโตมากับถูกเสียดสี จากที่ไม่เคยชินก็ต้องชินและเฉยชากับมันจนกลายเป็นคนตายด้านแบบนี้แหละ แล้วอีกอย่าง
ช่วงนี้ผมเริ่มรู้สึกเหมือนคนบ้าไปทุกวัน ผมไปเผลอยิ้มที่ทำงานจนถูกคนอื่นทักเพราะคิดเรื่องเขา
ผมชักจะบ้าขึ้นทุกวันแล้ว
ผมส่ายหัวให้กับอาการแปลกๆ ของตัวเองแล้วหันไปบรรจงทำอาหารให้คนที่นอนรอในห้องรับแขกอย่างสุดฝีมือ ใช้เวลาครู่ใหญ่ผมก็เตรียมสำรับอาหารฉบับซินๆ เสร็จ ผมเดินเข้าห้องรับแขกเพื่อที่จะเรียกให้คนหิวโซไปกินข้าวอย่างทุกที
"เกล้า"
ผมขมวดคิ้วเมื่อคนที่ผมต้องการกลับไม่อยู่ทั้งในห้องน้ำและห้องรับแขกซะอย่างงั้น ผมเลยกลับไปห้องนอนเพื่อเอาโทรศัพท์โทรหาอีกฝ่าย ช่วยไม่ได้พอมีคนกินข้าวด้วยบ่อยๆ ผมก็เริ่มไม่ชินกับการกินข้าวคนเดียวแล้ว มันเป็นเรื่องที่แย่สำหรับนะแต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกมีความสุขชะมัด
"...เกล้า?"
ผมครางชื่อเกล้างงๆ เพราะมาเจอเจ้าตัวในห้องนอนผมซะอย่างนั้น สายตาของเกล้าจับจ้องไปยังรูปภาพที่ถูกแขวนไว้บนผนังไม่วางตา ใบหน้าคมคายนั้นคล้ายกับตกอยู่ในภวังก์อะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จัก
"เกล้า!"
ผมแกล้งตะโกนเรียกและได้ผล เกล้าสะดุ้งเฮือกแล้วหันมามองผมแบบตกใจ
ผมหัวเราะเมื่อแกล้งได้สำเร็จ
"ภาพสวยใช่ไหมล่ะ" ผมจ้องรูปที่แขวนไว้บนผนังด้วยรอยยิ้มจาง ไม่ว่ามองครั้งไหนผมก็รู้สึกว่าผมหลงรักมันทุกที มันเป็นภาพดอกทานตะวันที่ถูกเขียนด้วยสีน้ำมัน ดูล้ำค่าทั้งๆ ที่ผ่านกาลเวลามาหลายทศวรรษ สีของมันก็ยังคงสดใหม่อยู่
ซึ่งปรกติแล้วผมไม่อนุญาตให้ใครเขาห้องตัวเองหรอก แต่ถ้าเป็นเขาผมก็ไม่ว่าอะไร
"...สวยมาก"
เขาพูดแบบเหม่อๆ จนผมหลุดขำอีกรอบแล้วดุนหลังเขาออกไปกินข้าว
ความหิวโหยของมันทำให้ผมกลัวแต่ผมก็ยังรักชีวิตของตัวเอง ผมพยายามต่อสู้กับมันด้วยการแทงมีดกลับ แน่นอนว่ามันหลบได้อย่างง่ายดายและกระโจนใส่ผมจนผมล้มหลังกระแทกไปบนพื้น
ผมครางฮืออย่างเจ็บปวด อาการเจ็บเสียดกัดกินร่างกายอย่างตะกละตะกลาม ผมพยายามมองหน้ามันที่พ่นลมหายใจดุดันใส่ใบหน้าผม
นัยน์ตาของมันยังคงเป็นสีดำมันวาวเช่นเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มันจดจ้องผมนิ่งไปสักพักก่อนที่จะอ้าปากกว้างโชว์เขี้ยวอันแหลมคม
ในใจวูบนึงของผมรู้สึกเบาโหวงและหวาดกลัว
"ฮื่อ" ผมครางฮือรับเมื่อถูกมือซุกซนรุกรานสะโพก
"ผอมเกินไปแล้วนะ"
เขาเอ็ดเสียงดุแต่ผมหลุดยิ้ม
"เพิ่งรู้เหรอ ลุง-- โอ๊ย!"
ดูเหมือนผมจะจี้ใจดำไปหน่อยเลยโดนกัดคอจนน่าจะเป็นรอย ถ้าเป็นคนอื่นทำผมโกรธมากแน่ๆ
"ลุง"
ผมล้อต่อและยิ้มจนตาหยีเมื่อสามารถทำให้อีกฝ่ายหน้าตาบูดบึ้งได้
"เรียกอีก พรุ่งนี้ไม่ได้ไปทำงาน"
"กลัวจังครับ ลุง"
ผมหยอกอีกและโดนลงโทษอย่างรุนแรน เขาแทบจะทึ้งผมทั้งเป็นเหมือนกับสัตว์ป่าที่ขย้ำเหยื่อยังไงยังงั้น แต่เพราะมันไม่เจ็บอะไรมากมายผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย
ช่วยไม่ได้ผมกับเขาตอนนี้เลื่อนสถานะจากคนคุยเป็นแฟนกันได้สักพักแล้ว ซึ่งผมก็ค่อนข้างที่จะโอเคกับมัน ผมนั่งฟุ้งซ่านได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกกระชากกลับมาที่เดิมส่งเสียงครวญออกมาอย่างหน้าไม่อาย แต่ก็นะ ผมคงไม่เหลืออะไรให้อายแล้วล่ะ
กรรซ!!
เสียงคำรามดังลั่นเน้นย้ำถึงสิ่งที่ผมควรตระหนัก
ผมควรรู้สึกตัวสักทีว่าสิงโตตรงหน้าของผมนั้นมันอันตรายขนาดไหน
ผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้งด้วยร่างกายที่พังไปแล้วห้าสิบสองเปอร์เซ็นจากการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วง ผมหาวหวอดง่วงๆ มองข้างๆ พบว่าคนที่อยู่ด้วยทั้งคืนหายไปแล้วซึ่งมันก็ทำให้ผมใจหายนิดๆ แต่ก็ไม่ได้มากอะไร ผมพาตัวเองเดินลงจากเตียงลากเท้าไปเปิดไฟเพื่อเตรียมตัวไปทำงานอย่างที่ควรเป็น
ผมหลุดหาวรอบที่สามแล้วจึงพาสารร่างเดินต่อและสะดุดเข้ากับมือถือตัวเองบนพื้นซะก่อน ผมขมวดคิ้วงงๆ เพราะก่อนที่จะมีอะไรๆ เกิดขึ้น ผมวางมันไว้บนโต๊ะ แต่เอาเถอะ คงจะไม่มีอะไรมั้ง
ผมหยิบมันขึ้นมาเล่นและชะงักกลับภาพและคลิปวีดีโอที่เกล้าส่งมา
ทุกอย่างในนั้นเป็นภาพเปลือยที่เห็นหน้าผมได้อย่างชัดเจน รวมถึงคลิปตอนที่กำลังถูกขย้ำด้วยมีเพียงผมที่ถูกเห็นหน้าชัดๆ
นี่มันไม่ตลกเลยสักนิด
ผมแทบควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้ นี่มันอะไรกัน
SIIN : คืออะไร?
และยิ่งโกรธกว่าเดิมเมื่อขึ้นว่าอ่านแล้วแต่เขาไม่คิดจะตอบกลับมา ผมกดโทรออกแล้วเงยหน้ามองรูปที่ตัวเองหลงใหลเพื่อบรรเทาความโกรธ ผมรู้การใช้อารมณ์ทำให้ทุกอย่างแย่ลง ผมเคยลองมาแล้ว
กึก
โทรศัพท์ของผมหลุดจากมือ
"ไอ้สัตว์!!!" ผมหลุดอุทานเสียงดังลั่นขยี้ตาตัวเองซ้ำอย่างไม่เชื่อสายตา
มันหายไปแล้ว!
รูปที่ผมมีหน้าที่ดูแลต่อหายไปแล้ว!
'ฮัลโหล'
'นี่หมายความว่ายังไงวะ!!!'
ความโกรธที่พุ่งทะลุปรอททำเอาผมแทบบ้า ผมโกรธผมโมโหจนตัวสั่น
'ก็ตามที่เห็น'
น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นติดเสียงเย้ยหยันยิ่งแช่แข็งผมให้ค้างอยู่ท่าเดิม
'เป็นหกเดือนที่โครตเสียเวลาเลยว่าไหม'
เลือดอุ่นในกายเย็นเฉียบ ผมหลับตาลงพูดอะไรไม่ออก
'...'
'ถ้าจะทวงภาพคืนก็ตามสบาย'
'ก็แค่แลกกับการโด่งดังชั่วข้ามคืนเท่านั้น'
ผมมองผนังที่ว่างเปล่าและหัวเราะเสียงแผ่ว
ท้ายที่สุดแล้ว สัญชาตญาณของผมมันก็เชื่อถือได้เสมอ
ผมโดนหลอกอีกตามเคย
มันกัดไหล่ผมจนจมเขี้ยวและพยายามสะบัดตัวผมเหมือนจะทำให้แขนของผมหลุดตามเขี้ยวของมัน
ซึ่งมันก็ทำได้สำเร็จ เลือดจำนวนมากไหลบ่าออกมาจากบาดแผลจนตัวผมชุ่มไปด้วยเลือด ผมแทบแยกไม่ออกแล้วระหว่างความ
เจ็บปวดกับความหวาดกลัว
ผมสะอื้นฮักนึกอยากตายๆ ไปซะแต่หัวใจในอกที่ยังคงเต้นอยู่
"...ซิน"
เกล้ามองร่างผอมอย่างไม่เชื่อสายตาเมื่อลูกกระสุนที่ควรจะฝังอยู่ในอกกลับถูกยิงลงบนพื้นแทน ซินโยนปืนออกจากตัว ขาค่อยๆ ทรุดลงบนพื้นตัวสะอื้นตัวสั่นเทา
"ยินดีด้วย" ซินแค่นพูดเสียงแผ่ว ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่สั่งสมมานับปีหายไปแทบจะทันทีเมื่อสบตากับเจ้าของดวงตาสีดำด้านที่เขาเคยหลงใหลมันมาก่อน
เพียงเวลาเสี้ยววินาทีที่ความทรงจำนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาในหัวทำให้เขาเบนกระบอกปืนลงพื้นแทนคนที่เขาหมายจะเอาชีวิตมาตั้งแต่วันนั้น
ซินยอมรับว่า ตอนนั้นเขามีความสุขจริงๆ ราวกับว่าโลกทั้งใบนั้นสดใสไม่ใช่โลกหม่นหมองที่เขาอาศัยอยู่มาตลอด หากแต่เมื่อสิ่งเหล่านั้นถูกยึดคืนก็ทำให้โลกทั้งใบเขาถล่มลงมาจนอยู่แทบไม่ได้
"ยินดีด้วย"
มันไม่ใช่คำอวยพรหากแต่เป็นสิ่งที่เป็นความจริง
เขาแพ้แล้ว...
ทุกคำที่มันบดเขี้ยวลงมาสร้างความเจ็บปวดเหนือคณานับให้กับผม
ผมมองมีดในมือตัวเองอีกข้างก่อนที่จะตัดสินใจปล่อยให้มาหลุดไปจากมือ
ผมหลับตาลง ยอมจำนนต่อเจ้าป่าแห่งพงไพร
ซินหัวเราะเสียงแผ่วเมื่อถูกล็อกด้วยกุญแจมือจากตำรวจ บรรดาไทยมุงที่เป็นแขกเหรื่อพากันวิจารณ์ถึงเขากับเกล้าอย่างสนุกปาก แต่เรื่องแปลกนิดหน่อยคือตำรวจมาไวมากเหมือนสำนักงานอยู่ข้างแต่งเนี่ยแหละ เขาฮัมเพลงเบาๆ ในลำคอขณะที่มองไปเรื่อยเปื่อยไร้จุดหมาย
อย่างไรก็ตามชีวิตของเขามันจบแล้วล่ะ
มันคงจะไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
หน้าที่การงาน ครอบครัว ตระกูล ความรัก ร่างกาย
ซินหัวเราะจนตำรวจที่พาเดินออกกระแอมดุๆ เชิงเตือน
"...หึ"
สุดท้ายซินก็ยังหลุดขำอยู่ดี ไม่มีแล้วคนหน้าตาย ไม่มีแล้วซินฝ่ายอาร์ตในสตูดิโอ ไม่มีแล้วไอ้โง่ที่เสพติดช็อกโกแลตปั่น ไม่มีอีกแล้วคนที่ยึดติดกับคนๆ นึงจนตัวเองต้องตาย
"ซิน"
ซินชะงักฝีเท้าเมื่อเหมือนได้ยินเสียงแว่วๆ ที่แสนจะคุ้นเคยข้างหู หากแต่เมื่อหันไปมองกลับเป็นภาพที่ชวนให้หัวเราะหนักกว่าเดิม
ภาพที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวกำลังกอดกันแน่นโดยที่ฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นเป็นคนคอยปลอบประโลมอย่างเป็นห่วง โดยไม่มีแม้แต่สักวินาทีที่คนเป็นเจ้าบ่าวจะหันมาต้นเหตุของเรื่องของทั้งหมด
"หึ"
ร่างกายที่มีอยู่คล้ายกับจะหนักอึ้งขึ้นทุกที
ซินหลับตาแน่นปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจากดวงตา
เขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูป..
อันที่จริงก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาตั้งใจจะบอกเกล้าเรื่องที่ว่าเขาเริ่มเป็นที่รู้จักในสังคมเรื่องงานอาร์ตเส้นคมชัดอันเป็นเอกลักษณ์ ทุกอย่างไปได้ด้วยดีแน่ๆ ถ้าเรื่องพวกนี้ไม่เกิดขึ้นมาซะก่อน
ซึ่งเขาไม่อยากจะคิดเลยถ้าเปิดโปงเรื่องขโมยภาพแล้วเกล้าเอารูปพวกนั้นมาสู้ หรือต่อให้เขาหน้าด้านปล่อยให้รูปพวกนั้นหลุดออกไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะไม่มีอะไรสักอย่างที่สามารถยืนยันความเป็นเจ้าของของรูปฌอง เลอเนสได้เลย แต่เกล้ากลับทำได้ สามารถทำเอกสารปลอมๆ ขึ้นมาเนียนจนไปปล่อยในประมูลได้อย่างแนบเนียน
หรือต่อให้ญาติๆ รักเขาหรือรักเงินของเขา เอาพวกรูปที่ถ่ายคู่กับภาพนั่นก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
เพราะหญิงสาวที่คนๆ นั้นแต่งงานด้วยนั้นเป็นถึงผู้ช่วยพิพากษาในชั้นศาล แน่นอนว่าระหว่างลมปากของชาวบ้านกับผู้มีความรู้ทางด้านกฎหมาย แม้แต่เด็กก็ยังสามารถรู้ได้ว่าตัวเองควรเชื่อใคร
ซินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เงยหน้ามองท้องฟ้าซึ่งเป็นวันเดือนเพ็ญพอดี
"อย่ามัวแต่มอง รีบๆ ขึ้นรถสักที!"
เจ้าหน้าที่ตำรวจตะคอกใส่ผู้ต้องหาที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
'พระจันทร์สวยเนอะ'
'สวยตรงไหน ก็เหมือนเดิม'
'สวยเพราะมีคนข้างๆ ยืนอยู่ด้วยไง'
แล้วคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อผู้ต้องหาปล่อยโฮออกมา
สิงโตตัวเขื่องนอนเลียขนที่เลอะเลือดอย่างสบายใจ
โดยที่โครงกระดูกมนุษย์นอนเคียงกาย
-------------------------
ไม่ได้ลงนิยายนานมาก แอบคิดถึงเบาๆ 55555
ตอนเขียนตอนนี้รู้สึกตึงๆ มือมากไม่ค่อยได้เขียนบ่อยเหมือนเมื่อก่อน
ฝากเพจด้วยค่า
:
https://www.facebook.com/FoggyTime/ปล. ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ