8
ฉุนเฉียวๆ
“โต๋นจ๊ะ” พี่ป่านเดินเข้ามาคุยกับผม
“ครับ?”
“ไม่รู้ว่าเต้ได้บอกหรือยัง แต่อาทิตย์นี้มันไม่มาถ่ายให้นะ”
“หา? ทำไมล่ะครับ”
“เห็นว่าผู้ใหญ่บ้านอื่นจะให้มันไปช่วยถ่ายเทปไพลอตให้ เขามาขอร้องพี่พี่เลยให้ไป พรุ่งนี้โต๋นอาจจะต้องอยู่กับพวกตากล้องเยอะหน่อยนะ คอยแนะนำเขา”
“อ่า…ได้ครับ” ผมพยักหน้า
ไอ้เต้นะไอ้เต้ ไปไหนทำไมไม่บอกกูก่อนล่ะ
เออ…แต่บอกหัวหน้าแบบนี้ก็ถูกแล้ว มันจะมาบอกกูทำไม
แต่มันก็น่าน้อยใจมั้ยล่ะแบบนี้ ฮึ่ยยยย
“เป็นไรทำหน้ามุ่ย” ไอ้เดียร์โผล่หัวออกมาหลังจากที่พี่ป่านเดินไปแล้ว
“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้มั้ยวะ” ผมหันมาสนใจคอมต่อ
“อย่าน้อยใจไปเลย พี่เต้เขาเก่ง ใครๆ ก็อยากได้ตัว”
“คิดแทนกูไปเรื่อย” ผมบ่น
“เอ้า แค่พูดให้ฟัง” ไอ้เดียร์เท้าคางกับคอกที่กั้นโต๊ะของเรา “กินข้าวยัง”
“ยัง”
“กินขนมมั้ย”
“ทำไม มีอะไรมาให้กินเหรอวันนี้”
ยังไม่ทันได้ถามจบดี ไอ้เดียร์ก็ยื่นคิตแคตมาให้
“จะได้อารมณ์ดี เห็นช่วงนี้ดูหงุดหงิด”
หืม? มันสังเกตด้วยเหรอวะ
แต่เอาจริง ช่วงนี้ผมก็เหม็นเบื่อบ่อยๆ จริงๆ นั่นแหละ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะหลังๆ ผมไม่เจอไอ้เต้ในลิฟต์ตอนกลับบ้านอีกเลยตั้งแต่วันจันทร์ นี่ก็จะครบอาทิตย์ละ แถมพรุ่งนี้มันก็ไม่มาถ่ายให้อีกต่างหาก ไม่รู้เหมือนกันว่าเกี่ยวกับคำถามงงๆ ที่มันพูดตอนวันเสาร์หรือเปล่า แต่เอาเข้าจริงคงเป็นเพราะผมเคยตัวอยากติดรถมันกลับบ้านด้วยแน่ๆ เห็นมั้ย เวลามีคนตามใจนิสัยก็เสียแบบนี้ เขาก็มีเวลาของเขาสิวะไอ้โต๋น
“ขอบใจ” ผมรับมันมา
“อย่าเครียดนะมึง”
“ทำไมดีกับกูจัง ไม่มีแฟนให้ดูแลเหรอ” ผมแซว
“เคยมี แต่ตอนนี้เลิกไปแล้ว”
“ฮ่าๆ ไอ้สัสมาเป็นเพลง” ผมหัวเราะ
“เออ หัวเราะหน่อย เห็นหน้ามึงแล้วกูเซ็งโลกแทน”
“เดียร์ กูกลัวว่ะ”
“ฮะ? กลัวไร” ไอ้ตัดต่อจ้องหน้าผม
“พวกตากล้องอะ มันชอบด่าตอนที่ไอ้เต้ไม่อยู่”
“มึงก็อย่าไปสนใจดิ”
“ก็อยากนะ แต่เวลามีคนมาพูดไม่ดีใส่มันก็หงุดหงิดปะวะ กูนี่อยากจะยกมือไหว้บอกว่าให้คุยกันดีๆ ได้มั้ย”
“งั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขา”
“จะพยายามแล้วกัน” ผมพยักหน้า เห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายบอก
“หรือให้กูลงไปด้วยปะพรุ่งนี้”
“ไม่มีงานทำหรือไง?”
“ก็มี แต่อยากช่วย”
“ไม่เป็นไร ทำงานไปเหอะ นี่หน้าที่กู”
อืม…หน้าที่ของผม มันต้องผ่านไปได้สิวะ แถมพรุ่งนี้จะได้เจอกับพี่เข้ด้วย อารมณ์ดีๆๆๆๆ นึกถึงรอยยิ้มนั้นไว้ โอ๊ยเห็นมะ ใจเต้นแรงเชียว หลอกตัวเองแบบนี้แม่งได้ผลเว้ย
“คัท!” ผมตะโกนลั่นเมื่อเราถ่ายจบไปหนึ่งเบรก จากนั้นก็เดินอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปยังตากล้องที่เคยมีปากเสียงกันเมื่อคราวก่อน
“อะไร?” เขาจ้องมองผมอย่างกับสัตว์ประหลาดแหนะ
“ผมขอเช็คไฟล์หน่อยได้มั้ยอะครับ”
“จะเช็คทำไม ก็ถ่ายไปพร้อมกัน”
“ผมกลัวมัน…”
“ไร้สาระ เอาเวลาไปทำงานตัวเองดีกว่ามั้ย?”
ผมกำมือแน่น…
โอเค หายใจเข้าลึกๆ ไม่มีอะไรๆ เขาเป็นแบบนี้ เขาเป็นแบบนี้… ต้องรับให้ได้
“เข้าใจแล้วครับ” ผมพยักหน้า ตามด้วยยิ้มหวานไปอีกชุดใหญ่
“พี่เปลี่ยนชุดเลยนะ” พี่เข้เดินมากระซิบข้างๆ ทำให้ผมเลิกสนใจเรื่องหงุดหงิดนี้ได้ไปชั่วขณะ
“ได้ครับพี่”
“วันนี้ดูกังวลจัง เป็นอะไรหรือเปล่า” พิธีกรหนุ่มพูดขณะที่ถอดสูทด้านนอกออก
“เปล่าฮะ พอดีมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรหรอก”
กลัวตากล้องมันจะกินหัวไงครับพี่…
“จริงเหรอ พี่ว่าพี่ดูคนออกนะ”
“…”
“อย่าเครียด เดี๋ยวไม่หล่อนะรู้เปล่า” พี่เข้ตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป
ฮือออออ น้ำตาจะไหล ซาบซึ้ง เหมือนตอนกราบผู้ปกครองในงานโรงเรียน
“เหลืออีกเบรกนึงใช่มั้ย!” พี่ตากล้องทำลายความหวั่นไหวของผมด้วยเสียงตะโกนอย่างกับทหารในกองพัน เล่นเอาผมลนลานวิ่งไปหาเลยทีเดียว
“ใช่ครับ เบรกปิด” ผมพยักหน้า “ขอบคุณสปอนเซอร์ กับพูดส่งให้ชมกันต่ออาทิตย์หน้าครับ”
“เออ”
ไหนลองพูด ‘ครับ’ หรือ ‘ได้เลย’ หรือ ‘โอเค’ ซิ มันจะยากอะไรวะ ทำตัวเถื่อนอยู่ได้
ผมก้มหน้ามองรองเท้าตัวเองด้วยความเซ็ง
เฮ้อ ไม่อยากยอมรับเลย ทำไมอยู่ดีๆ คิดถึงไอ้เต้แบบนี้วะ
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดเบอร์คนที่ว่า
ซึ่งไม่มีใครรับ…
อะไรของเขาวะ นี่ถ้าไม่เข้าข้างตัวเอง จะคิดว่ามันกำลังหนีผมแล้วนะเนี่ย
“คัท!” ผมตะโกนลั่น “จบแล้วครับ!”
“เย่” พี่เข้ยกมือขึ้นมาเหมือนพวกนักฟุตบอลเวลายิงลูกเข้าประตู “วันนี้ทำเวลาดีนะครับ”
“แฮะๆ ก็พี่เข้โปรขนาดนี้”
น่อวววววว มีชงมีชมพี่เข้ยิ้มแป้นเชียว อยากปรบมือให้ตัวเองจริงๆ ที่เป็นงาน
“เจอกันอีกทีสัปดาห์หน้าเลยนะ” พี่เข้พูดขณะถอดเสื้อคลุมออก
“โอเคครับ กลับดีๆ นะ”
“อยากอยู่คุยด้วยแต่มีธุระวะ ไว้วันหลังเนอะ”
“อ่อ…” รู้สึกหวิวๆ แบบตื่นเต้นอีกแล้ว เขาพูดดีด้วยหน่อยแค่เนี้ย “ได้เลยครับพี่”
ผมมองพี่เข้เดินกลับห้องแต่งตัวจนลับสายตาไป แต่ระหว่างทอดมองไปนั้นดวงตาของผมเองดันไปเห็นหน้าดุๆ ของตากล้องเข้า แม่งเสียอารมณ์ไปหมดเลย
“เรียบร้อยนะครับพี่” ผมยิ้มฝืนๆ
“อืม ไม่เรียบร้อยจะทำไรได้ล่ะ”
โอ๊ยยยย
ไอ้เชี่ยเอ๊ย อยากจะเข้าไปจับเสื้อมันแล้วเขย่าๆๆๆๆๆๆๆ วุ้ย คุยดีๆ กับกูบ้างเซ่
“อะ” ตากล้องหน้าดุหนวดเฟิ้มหยิบการ์ดมาให้
“ขอบคุณนะครับ”
“เออ”
พอมันตอบแบบนั้นแล้วเดินไป ผมได้แต่กลั้นหายใจ ฮึกๆๆๆๆๆๆ
รอสักวันหนึ่งเถอะ กูจะเอากิ่งมะขามฟาดหน้า ดุนักก็จะตีเป็นหมาเลยคอยดู
ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก นาฬิกาบนเพดานเดินไปเรื่อยๆ ระหว่างนั้นเองผมก็ได้แต่กดโทรศัพท์ดูไอจีไปเรื่อย เห็นพวกเพื่อนๆ สมัยเรียนชีวิตดีแล้วมันก็อิจฉา บางคนไปต่างประเทศ บางคนไปเรียนโทต่อ ยิ่งทำงานมันยิ่งโหยหาชีวิตไร้กรอบช่วงวัยรุ่นจริงๆ นะ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนปีเตอร์แพนจัง เด็กไม่รู้จักโต
“เชี่ย!!!!”
เสียงอุทานไม่มีปี่มีขลุ่ยของไอ้เดียร์ที่คอกข้างๆ ทำเอาผมสะดุ้งจนเกือบลื่นจากเก้าอี้ ผมตกใจถึงขนาดโผล่หัวไปหามันในเวลาอันรวดเร็ว
“เป็นอะไรมึง!?”
ใบหน้าของไอ้ตัดต่อซีดมาก เริ่มรู้สึกได้ว่ามีลางไม่ดี
“มึง…” ไอ้เดียร์เงยหน้ามา ปากสั่นแทบจะเหมือนปีนนกที่กำลังกระพือ “ซวยแล้ว”
“อะไรละไอ้บ้า กูลุ้น”
“ไฟล์ที่ถ่ายมา” เสียงนั้นพูดติดๆ ขัดๆ “อันสุดท้าย ไม่มีเสียง”
ตึง! วินาทีนั้นเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตัดด้ายที่ผูกแขนขาผมไว้ขาดสะบั้น อยากจะทรุดลงกับพื้นเหมือนหน้าปกหนังเรื่องเสียดาย 2
เวรแล้วไง…
“เราทำอะไรได้มั้ยอะ แก้ได้มั้ย” ผมวิ่งไปยืนข้างๆ มัน
“มึง นี่กูไม่ได้ล้อเล่น ไม่มีคือไม่มี จะเอาเสียงตอนเทปที่แล้วก็พูดไม่เหมือนกันอีก” ไอ้เดียร์คลิกนู่นคลิกนี้ให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่าที่พูดนั้นคือเรื่องจริง
“เวรแล้ว…”
“พี่ป่านกลับยังวะ” ไอ้เดียร์กับผมมองหน้ากัน
เราทั้งคู่โผล่หัวออกมาจากคอก เห็นเจ้านายสาวกำลังเคร่งเครียดกับแฟ้มเอกสารตรงหน้าแล้วรู้สึกใจไม่ดี ฮือออ พี่ป่านนะพี่ป่าน ร้อยวันพันปียิ้มแย้มแจ่มใส พอกำลังจะมีเรื่องทำไมซีเรียสจังวะ
“กำลังเดือดเลยมึง” ผมพูดเบาๆ
“เชี่ยเอ๊ย แบบนี้โดยบอสใหญ่ดุเรื่องงบมาชัวร์” ไอ้เดียร์ยืนขึ้นเต็มตัว ผมเลยทำบ้าง
จังหวะนั้นเองที่พี่ป่านเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มพวกนั้นและมองนิ่งๆ มาทางพวกเรา
และแม่งโคตรตลกที่ผมกับไอ้เดียร์สะดุ้งกับสายตานั้น
“เป็นอะไรกันจ๊ะสองคนนี้” พี่ป่านเปลี่ยนมาเป็นมอบรอยยิ้มสดใส “ดูแปลกๆ ชอบกล”
“คือ…” ผมกำลังจะพูดแต่อยู่ๆ ไอ้เดียร์ก็คว้าข้อมือผมไว้เป็นการห้าม
“ใจเย็นๆ” ไอ้คนตัวสูงกว่ากระซิบกับผม จากนั้นก็หันไปมองเจ้านาย “พี่ป่าน พวกผมมีเรื่องอะไรจะบอก”
“หืม?” พี่ป่านวางปากกาลง “อะไรเอ่ย?”
เราทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครั้ง จากนั้นก็พากันเดินออกมาหาคนที่คุยด้วยใกล้ๆ
“เกิดเรื่องแล้วพี่” ไอ้เดียร์เป็นคนเริ่ม
“มีอะไรก็บอกมาสิ ฉันกลัวแล้วนะเนี่ย” พี่ป่านเริ่มขมวดคิ้วแล้วววววววว
“เทปสุดท้ายไม่มีเสียงเลยครับ” ผมได้ยินเสียงหายใจถี่ๆ ของไอ้เดียร์ด้วยแหละ “เหมือนไม่ได้อัดมา หรืออัดไม่ติด”
“เอ๋” คราวนี้พี่ป่านหันมาถามผมบ้าง “เป็นตอนเบรกไหน”
“เบรกสุดท้ายครับ” ผมตอบ ไอ้ห่าตื่นเต้นยังกะให้ปากคำกับตำรวจ
“แต่พี่กำชับโต๋นให้เฝ้าพวกตากล้องแล้วนะ” พี่ป่านกอดอก ดูออกเลยว่ากำลังเริ่มโกรธแล้ว
“ครับ แต่…” ไอ้ห่าเอ๊ย รู้สึกแย่เหมือนทำให้แม่ผิดหวัง “ผมไม่ได้จะอ้างนะพี่ พวกตากล้องอะมันชอบดุ”
“ฮะ!?” โอ๊ยยย พี่ป่านเริ่มเดือดกว่าเดิมแล้ว เหตุผลบ้าอะไรของกูวะเนี่ย
“คือ… พวกเขาชอบพูดไม่ดีกับผม พอผมจะขอตรวจไฟล์ เขาก็ด่า”
“พี่ว่ามันไร้สาระมากเลย ลองฟังเหตุผลที่พูดสิ มันไม่ตลกไปเหรอ”
สะอึก…
พี่ป่านด่าได้เจ็บเหี้ยๆ
“ผมขอโทษครับพี่” ผมไม่พูดอะไรต่อแค่ยกมือไหว้เท่านั้น ตอนนี้พยายามก้มหน้าหนีสายตาเจ้านายเต็มที่เพราะเริ่มอ่อนไหวแล้วครับ
“เราถ่ายวันพฤหัสออนแอร์วันเสาร์นะโต๋น แค่นี้มันก็เป็นข้อจำกัดอยู่แล้ว อย่าทำให้มันยากขึ้นไปอีก”
“ครับ” ผมพยักหน้า…
“ปัญหานี้มันแก้ได้อยู่แล้ว เดี๋ยวพี่เรียกเข้เข้ามาใหม่พรุ่งนี้ก็ได้ แต่ที่พี่ดุเนี่ยเพราะว่าอยากให้โต๋นจำปัญหานี้จะได้ไม่กลับมาอีก”
“ครับ” ผมพยักหน้าอีกรอบ ยังหลบสายตาพี่ป่านอยู่
“อย่าว่าน้องเลยพี่” เสียงนี้มาจากไอ้เดียร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
มันเรียกผมว่าน้องเหรอ…
“ผมสะเพร่าเองแหละที่ไม่เช็คไฟล์ตั้งแต่ได้มาใหม่ๆ”
“นั่นก็ด้วย แต่แกไม่ต้องปกป้องน้อง เพราะนี่คือความจริง” พี่ป่านถอนหายใจ “โต๋น”
“ครับ” ผมขานรับตามเรียก
“มองหน้าพี่”
ผมเงยหน้า ความรู้สึกเหมือนเด็กๆ ตอนกำลังจะโดนแม่ตีเลย
“อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกนะ”
“สาบานเลยครับ” ผมตอบรับแน่วแน่
พี่ป่านพยักหน้ารับ ดูท่าจะเย็นลงมาหน่อยแล้ว “กลับบ้านมั้ย ค่อยเริ่มกันใหม่พรุ่งนี้ ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วนี่”
ผมยืนนิ่ง อันนี้คือการโดนไล่ออกหรือเปล่าวะ
“เดี๋ยวผมขอตัดนู่นนี่ไว้ก่อน” ไอ้เดียร์ส่งเสียง จากนั้นก็หันมาพูดกับผม “มึงกลับก่อนเหอะ”
“เอางั้นเหรอครับ” ผมถามทั้งสองคน ซึ่งก็เงียบ มีเพียงไอ้เดียร์เท่านั้นที่พยักหน้ามาให้
เมื่อรู้ตัวแล้วผมก็ยกมือไหว้ลาพี่ป่าน จากนั้นก็เดินกลับไปที่โต๊ะ คว้ากระเป๋าและเดินออกไปจากออฟฟิศ เป็นอีกหนึ่งวันที่เฟลเหี้ยๆ เลยจริงๆ
ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดน้ำตาบ้าๆ ที่อยู่ๆ ก็ไหลออกมา ซึ่งมันเกิดจากการผิดหวังในตัวเอง ที่พี่ป่านพูดก็ถูกทุกอย่าง มัน
เกิดขึ้นจากความไม่มืออาชีพของผมเอง
ตึง! ประตูลิฟต์เปิดออก ในนั้นไม่มีใคร ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ก็รู้สึกผิดหวังอย่างกับว่าอยากให้ใครสักคนยืนคอยอยู่ในนั้นและกลับบ้านเป็นเพื่อน
แต่มันไม่มี เพราะฉะนั้นคืนนี้ผมจึงเหงากว่าทุกวัน
‘พี่ป่านโทรมาบอกพี่แล้ว
ไม่ต้องคิดมากนะ พี่โอเค ยินดีช่วย
เราทีมเดียวกันอยู่แล้ว สบายใจได้นะกระโถน
- พี่เข้’ผมนอนอ่านข้อความจากพี่เข้นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน้อยเขาก็ทำให้คืนนี้ยังมีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง นึกอยากจะขอบคุณที่พี่คนนี้ยังแสนดีเสมอต้นเสมอปลาย อยากให้เขาอยู่ตรงหน้าและคุยกันแบบเอ็นดูเหมือนเดิม แต่ทำไงได้ล่ะ เขายังไม่รู้ว่าผมเป็นเด็กโต๋นโดดน้ำคนนั้นนี่นะ
RRRRRRR ผมตกใจที่อยู่ๆ โทรศัพท์ก็สั่นคามือ และชื่อคนโทรเข้ามันก็ทำให้ผมขนลุกไปทั้งตัว
‘โปเต้ ตากล้อง’
ผมเด้งขึ้นมานั่งขัตสมาธิ จ้องมองจอนั้นอย่างชั่งใจว่าจะรับดีมั้ย
ไอ้เหี้ยเอ๊ย ไอ้ตัวการ ถ้ามึงอยู่เรื่องวันนี้ต้องไม่เกิดขึ้นแน่ๆ
เฮ้ยยย อย่าเพิ่งเพ้อเจ้อ ตัดสินใจก่อนว่าจะรับไม่รับ
จากนั้นอีกฝั่งก็ตัดสายไป
ฮึ่ยย ผมโทรหามันตั้งหลายทีไม่มีกระดิก จะรีบรับได้ยังไง เอางี้ ถ้ามันโทรมาอีกทีผมจะรับเลย แน่จริงโทรมาดิ
…
โทรมาดิวะ
…
โอ๊ยไอ้เต้โทรหากูใหม่หน่อย!
RRRRRRRRR เย่สสส เป็นไปตามคำร้องขอ
“มีอะไร” ผมรับสายตั้งแต่สั่นครั้งแรก น้ำเสียงดูเย่อหยิ่งคล้ายเจ้าชายเมืองเหนืออยู่หน่อยๆ
[ลงมาหาหน่อย]
“หา!?” ผมเริ่มงง “ลงไปหาที่ไหน”
[หน้าคอนโดมึงเนี่ย]
“มึงอยู่ข้างล่างเหรอ!?”
[เออ!] อีกฝ่ายกระแทกเสียง [เพิ่งกลับมาจากสระบุรีเลยเนี่ย เร็วๆ เอากะหรี่มาฝาก]
“มึง…”
ตู๊ด ตู๊ดดด ตู๊ดดดด เอ๊า อยู่ดีๆ ก็ตัดสาย ยังไม่ได้แสดงอภินิหารเทศนาใส่เลย มึงนะมึง โอเคเจอกันด้านล่าง เสร็จกูแน่ไอ้วอก พ่อจะจัดให้ชุดใหญ่
ผมวิ่งปราดไปยังลิฟต์และกดมันไปชั้นล็อบบี้ทันที
เมื่อประตูเปิดออก ผมก็มองเห็นรถมอเตอร์ไซด์คันใหญ่จอดอยู่ จัดการวิ่งผ่านคนที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่เข้าไปหา แต่ทว่าไร้วี่แววเจ้าของ …หายไปไหนของมันวะ
“หาแมลงแดกอยู่หรือไง” เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง ผมเลยต้องหันควับไปมอง
ผมตกใจเล็กน้อยเพราะนั่นคือคนเล่นโทรศัพท์ที่ผมเพิ่งวิ่งผ่านมา ตอนแรกคิดว่าคนแปลกหน้ากำลังหาเรื่อง แต่เปล่า…นั่นไม่ใช่คนแปลกหน้า
ไอ้สัสโปเต้ในลุคใหม่ที่ดูสะอาดขึ้นสิบเลเวล ผมเผ้าที่เคยรุงรังตัดสั้นทำให้หัวมันไม่โตอีกต่อไป ไฮไลท์เด็ดเลยคือแม่งโกนหนวดด้วยครับ ทำให้รู้ว่ามันเป็นคนกรามชัด และสัดส่วนคมสันไปหมด ผมอึ้งเล็กน้อยก่อนจะตั้งสติได้และเดินเข้าไปหามันอย่างช้าๆ
อีกฝ่ายเท้าคางมองผมพร้อมกับยิ้มๆ
“เป็นเหี้ยอะไรเนี่ย” ไอ้เต้พูดด้วยน้ำเสียงติดตลก
“มึงตัดผมเหรอ”
“เออ” โปเต้พยักหน้า “ชอบปะ”
เห็นมันทำหน้ากรุ่มกริ่มแบบนั้นแล้วหมั่นไส้ ผมไม่รอช้า จัดการพุ่งตัวไป จับคอเสื้อและเขย่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อย่างแรง อยากทำกับไอ้ตากล้องเหี้ยวันนี้มานานแล้ว ลงกับหัวหน้าแม่งนี่แหละ ไอ้ตัวต้นเหตุ มึงหายไปไหนม้า!!!!!
“โอ๊ยยย คอกูจะหัก”
“เออ ตายเลยไอ้สัส”
“เดี๋ยวๆ เป็นเหี้ยไรเนี่ย” มือใหญ่ๆ ของมันพยายามแกะนิ้วผมออก
“เพราะมึงเลยกูถึงโดนพี่ป่านด่า เพราะมึงเลยไอ้เต้!!!”
“หยุดสิวะ อย่าอาละวาด ไอ้สัสหมาใน”
ผมเกือบจะเดือดกว่าเดิมแล้วตอนที่มันเรียกผมว่าหมาใน ไอ้เหี้ย สัตว์โลกมีเป็นร้อย
ในที่สุดไอ้ตากล้องก็แกะนิ้วผมสำเร็จ มันยกตีนขึ้นมายันอากาศไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ผมเข้าใกล้เกินจำเป็น
“ก็ตากล้องมึงอะแม่งอัดเทปภาษาไรไม่รู้ ไฟล์ไม่มีเสียง กูโดนพี่ป่านด่าเลยเนี่ย” ผมโวยวาย
“ฮะ” ไอ้เต้กุมขมับตัวเองเหมือนนี่เป็นเรื่องที่ชวนเขาหงุดหงิดมาก “อีกแล้วเหรอวะ กูจะทำยังไงดีวะเนี่ย”
“ไม่ต้องมาทำอีโมชั่นนอลเลย มึงผิดเต็มๆ”
“ผิดยังไง?”
“ก็มึงไม่ยอมมาถ่าย”
“กูก็ต้องไปออกกองมั้ย”
“ถ้าไม่ไปมันก็ไม่เกิดเรื่องนี้ไงล่ะ”
“โอ๊ย” อีกฝ่ายแทบจะทึ้งหัวตัวเอง “กู…กูขอโทษว่ะ”
“ไม่มีมึงแม่งมีแต่คนดุกู” ผมทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ มัน บนบันไดหน้าคอนโดนั่นแหละ “เฟลฉิบหาย”
“ถ่ายแก้วันไหน พรุ่งนี้ใช่มั้ย เดี๋ยวกูคุมเอง” เสียงนั้นดูรู้สึกผิดมากๆ จนผมเริ่มเห็นใจนิดๆ แล้ว
“เออดิ จะมาช่วยจริงปะ ถ้ามีมึงกูก็สบายใจอะ”
“จริงเหรอ…”
“เออ” ผมเท้าคางมองมันบ้าง “อย่าทิ้งกันดิวะ”
“อืม กูจะไม่รับงานชนอีกแล้ว” ไอ้เต้พยักหน้า โอ๊ย ไม่ชินกับใบหน้าเกลี้ยงๆ ของมันเลยจริงๆ “ขอโทษอีกทีแล้วกัน”
“ตัวมึงมึงเป็นอะไรหรือเปล่า” ผมเริ่มคุยกับมันบ้าง “หายหน้าหายตาติดต่อไม่ได้ จนกูคิดแล้วนะว่ามึงหนีหน้ากูเนี่ย”
“ก็มาหาแล้วนี่ไง”
“ไม่ดิ วันอื่นอะ หลังกลับจากสวนสัตว์มึงก็เพี้ยนเลย สรุปมึงมีเรื่องเนี่ย”
“บอกไม่ได้โว้ย”
“งั้นก็เลิกคิดสิ แม่งทำให้มึงโลเล”
“เลิกไม่ได้ เลิกก็แย่” ไอ้ตากล้องยักไหล่
“บอกได้ปะเรื่องอะไร”
“ไม่บอก”
“งั้นก็ประสาทแดกต่อไปแล้วกัน” ผมยอมแพ้ “แต่มึงอย่าทิ้งกูไปอีกนะ”
“เป็นเหี้ยอะไรเนี่ย อ้อนตีนกูจัง”
“มึงแม่งเหมือนพี่ใหญ่อะ ปกป้องกูได้”
“จะให้กูปกป้องว่างั้น?” ไอ้เต้เลิกคิ้ว “กูคิดค่าคุ้มครองนะครับ”
“เท่าไหร่ว่ามาเลยดีกว่า” ผมก็เล่นกับมันด้วย
อีกชวนผมหัวเราะ
“โดนพี่ป่านด่าด้วยเหรอวะ มิน่าถึงเฟล” ไอ้เต้ทำสีหน้ารู้สึกผิดอีกครั้ง
“เออดิ กูนี่ผิดหวังในตัวเองมาก เหมือนทำแม่ร้องไห้” ผมอธิบายให้มันฟัง
“แล้วมึงโอเคขึ้นยัง”
ผมพยายามนึก ก่อนจะตอบตามสิ่งที่คิด “เออว่ะ ก็ดีขึ้นนะ กูเจอมึงแล้วรู้สึกสบายใจอะ โล่งๆ แบบเซฟๆ ดีสัส”
“แหม ก็เล่นกระชากเสื้อกูแทบขาดขนาดนั้น คงระบายอารมณ์มึงได้แหละ”
“อิอิ” ผมแอบมองมันยิ้มแล้วก็สบายใจ จริงๆ นะครับ เหมือนมันได้เพื่อนคืนอะ ดีใจฉิบหายเลยที่มันมาหาได้
“ไหนอะของฝาก” ผมแบบมือไปตรงหน้ามัน
“โอ้โห ตะกละแดกของจริง” ไอ้เต้กลอกตาก่อนจะหยิบถุงใหญ่ๆ ข้างตัวยื่นมาให้ “อะ… ใครไม่ปั๊บ กะหรี่ปั๊บ”
“หยี… เก็บมุกไว้เล่นกับหมาหน้าเซเว่นนะ”
“ก็เล่นกับหมาในหน้าคอนโดอยู่นี่ไง”
“ไอ้วอก! ด่ากู!” ผมง้างมือจะชกมันแต่อีกฝ่ายไหวตัวทัน ลุกขึ้นหนีซะก่อน
“ช้าไปหลายขุมไอ้หนู” ไอ้เต้ยิ้มแบบมีชัย “กูไปแล้วดีกว่า แดกให้อร่อยนะมึง”
“อ้าว ไม่นอนกับกูหรือไง” ผมแกล้งแซวมัน
“ตลกแล้ว คราวก่อนเจ็บตูดด้วย เป็นเพราะมึงแน่ๆ”
“ทะลึ่งแล้วไอ้สัส” ผมวิ่งไล่มันอีกรอบ แต่แม่งก็หนีเก่งจริงๆ “เอาจริงนอนก็ได้นะ นั่งรถมาจากสระบุรียังต้องขับรถกลับบ้านอีก”
“ไม่เอาอะ แค่นี้สบายมาก กูคนเหล็กไง อาโนลด์ๆ”
“มันตายทุกภาคนะมึง” ผมดับฝันมัน “เอาไง นอนก็ได้นะ ตามึงบวมๆ แล้วเนี่ย”
“ไม่อะ รบกวน”
“เกรงใจเป็นซะด้วย”
“เอ๊า กูคนดีนะครับ” ไอ้เต้หยิบหมวกกันน็อกขึ้นมา
“เอาดีๆ ขับกลับได้ใช่มั้ย?”
“เออออออ” ไอ้เต้ตอบแบบ ‘ไม่ต้องถามแล้วอีเหี้ย!’ “วันนี้เป็นไร ห่วงกูจังนะ”
“สงสัยคิดถึงแน่เลยว่ะ” ผมยิ้มกวนตีนมันเล่นๆ พร้อมทำท่ามินิฮาร์ต
“เออ คิดถึงเหมือนกัน”
สัส เล่นเอายิ้มตึงทำอะไรไม่ถูก มินิฮาร์ตในมือกูสั่นไปหมดแล้ว
“กระโถน มึงขึ้นไปนอนเหอะ ชุดมึงพร้อมขนาดนี้” มันส่งสายตาขบขันมาที่เสื้อยืดกับกางเกงลายดาวล้านดวงของผม
“เออ ถ้างั้นขับดีๆ แล้วกัน อย่าลืมมาช่วยกูนะ” ผมเตรียมจะขึ้นคอนโด แต่ทว่าสุดท้ายก็หันกลับมามองคนที่กำลังสตาร์ทรถอีกครั้ง
RRRRRRRRR อีกฝ่ายทำหน้างงเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ผมที่โชว์อยู่หน้าจอ
อิอิ ใช่ครับ ผมโทรเข้าไปหามัน
“อะไรเนี่ย” ไอ้เต้ชูโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา
“รับสิ เร็ว!”
ไอ้ตากล้องถอนหายใจก่อนจะกดรับตามคำสั่ง
[ฮัลโหล]
“เดี๋ยวคุยด้วยจนกว่าจะถึงบ้าน เคปะ?”
[มึงตลกปะเนี่ย] มันพูดพร้อมกับมองเซ็งๆ มองทางผม
“เออน่ะ มึงจะได้ไม่หลับ เดี๋ยวตายไปไม่มีคนถ่ายงานให้กูพรุ่งนี้นะ”
[เออ เดี๋ยวกูหยิบต่อบูธูตแปบ]
ผมเห็นมันยุ่งๆ กับหมวกกันน็อกก่อนที่สุดท้ายจะเรียบร้อยและขับออกไป ผมยืนอยู่หน้าคอนโดสักครู่และอัพเดทระยะทางกับอีกฝ่ายเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็หันหลังเตรียมจะกลับเข้าคอนโด
เฮ้อ สบายใจจัง ขอดีของการมีเพื่อนดี เอาจริงเจอไอ้โปเต้แค่แปบเดียวแม่งทำให้ลืมเรื่องเฟลๆ ที่เกิดขึ้นทั้งวันได้เลยนะเนี่ย สงสัยเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เดี๋ยวต้องลองกราบไหว้ดู ฮ่าๆ
อ้าวไอ้บ้าเอ๊ยพล่ามจนลืมกะหรี่ปั๊บ เดินกลับไปเอาแปบ
ใครไม่ปั๊บ กะหรี่ปั๊บ
จบตอน

เกิดเรื่องเศร้า ลืมเอาไฟล์มาจากที่ทำงาน อุตส่าห์แอบเขียนไปตั้งเยอะ
ตอนหน้า อาจจะขอลงพรุ่งนี้แทนนะครับ ขอรื้อฟื้นแปบนึง ไม่อยากให้รอนานกันอะ
เคยสบายใจเวลาที่ใครอยู่ข้างๆ ปะฮะ
เนี่ยโต๋นเค้ากำลังเป็นแบบนั้น เจอใครที่คอยปกป้องได้
ธรรมชาติของเขาแหละ เพราะแต่ก่อนก็มีพี่ชายคอยดูตลอดแฮะ
ฝากติชมกันได้นะฮะ เดี๋ยวจะมีตัวละครใหม่อีกน่าจะสักตัวสองตัว
แต่โต๋นน่าจะไม่เอาหรอก 555555
ขอหนีไปเที่ยวคืนนี้แปบบครับ รักนะ <3 #ทรมานบันเทิง