Part 2 โอ๊ย!!! นี่มันเวรกรรมอะไรของผมเนี่ย มองภาพตรงหน้าแล้วก็ได้แต่ท้อใจสิ่งก่อสร้างที่เห็นลิบๆตรงนั้นมันอะไรกัน ไหนลุงคนขับสองแถวบอกว่าแค่สองกิโลไง สองกิโลอะไรมันจะไกลขนาดนี้ลุงงงงงง
“มะ...ไม่ไหว..แฮ่ก..แล้ว..” ผมทรุดกายอย่างหมดแรงลงตรงใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างทาง ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย เหลือบมองเส้นทางข้างหน้าที่เหลือก็แทบหมดแรงถอดใจลงตรงนี้ เมื่อไหร่มันจะถึงสักทีวะ รู้งี้ขับรถมาก็ดี
หนึ่งวันก่อนหน้า “ผา มึงไม่ให้กูไปเป็นเพื่อนมึงจริงอ่ะ แง่มๆ” อย่าสงสัยนั่นเสียงมันเคี้ยวเนื้อน่ะ
“อืม ไม่เป็นไรหรอกกูไปได้ ที่ที่กูจะไปมันก็ไม่ได้หายากเท่าไหร่กูไปหาข้อมูลมาแล้ว” ผมบอกพร้อมหย่อนเนื้อลงในหม้อซุปเพิ่ม
“ อู เอ็น อ่วง” อ่วง? อ่วงไรของมัน
“ห่า มึงกลืนก่อนไหมค่อยพูด”
“อึก...กูเป็นห่วง...เอาผักลงอีกดิ๊”
“เป็นห่วง? อย่างมึงเนี่ยนะห่วงกู”
“จริง”
“กู-ไม่-เชื่อ”
“..............”
“ขิง”
“เออ กูแค่อยากไปเที่ยว จบนะ จะกินต่อ” นั่นไง ผมว่าละอย่างมันนี่นะจะห่วงผมจริงไม่มีทางซะล่ะ
“งาน?”
“มึง..... น้องกูก็อยู่”
“แต่หอมมันพึ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นานนะ”
“ทีมึงยังปล่อยน้องมึงทำแทนเลย” มันวางตะเกียบแล้วเริ่มเถียง
“ก็น้องกูมันเก่งไง ไม่เหมือนน้องมึง น้องมึงมันคุณหนู” ผมบอกพลางคีบเนื้อเข้าปาก
“กูจะไป” เอ๊ะไอ้นี่
“มึงฟัง.....กู-ไม่-ให้-ไป” “อีกอย่างกูจัดตารางงานของมึงและส่งต่อให้ผู้ช่วยกูแล้ว พรุ่งนี้เข้าบริษัทอรจะแจ้งมึงเอง”
“ไอ้.....ไอ้เผด็จการรรรร...โว้ย...กูเจ้านายมึงนะ”
“แล้วไง?” ถามแบบขอไปทีแล้วสนใจอาหารตรงหน้าต่อ
ก็อย่างที่รู้ขิงมันเป็นเจ้านายผมส่วนผมเป็นเลขาให้มันแต่ที่จริงเราเป็นเพื่อนกัน งงไหม? ไม่งงเนาะเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ตอนที่เรียนจบใหม่ๆยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีจะกลับไปที่บ้านก็เบื่อ คือมันยังไม่พร้อม อยากหาประสบการณ์ไปก่อนขิงมันเลยชวนมาทำงานด้วยกันเพราะมันต้องรับช่วงบริหารงานของที่บ้าน พ่อแม่ก็ไม่ได้ค้านอะไรแค่บอกว่าพอใจแล้วก็กลับมา ส่วนผมหาไปหามาจนได้เมียมาคน เราคบกันเกือบปีแล้วแต่งงานจดทะเบียนเพราะคิดว่านี่แหละแม่ของลูก เธอเป็นคนน่ารักนะทำงานอยู่ตึกฝั่งตรงข้าม เรามาทำงานพร้อมกันกลับบ้านพร้อมกันเราใช้เวลาร่วมกันตลอดฟังดูเหมือนมันจะราบรื่นใช่ไหม?ก็นั่นแหละใครๆต่างก็คิดแบบนั้น แต่ความจริงกับสิ่งที่คิดมันต่างกันเพราะอยู่กินกันไปนานเข้าเธอยิ่งเผยนิสัยแย่ๆออกมาจนเกินที่จะรับไหว เรายื้อกันอยู่นานลองปรับลองทำทุกทางแต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเพราะนิสัยมักมากของเธอถึงทำให้ผมต้องขอหย่า วันนั้นผมเลิกงานและขับรถกลับบ้านก่อนเธอ เพราะเธอบอกว่ามีประชุมด่วนกับเจ้านายต่อไม่รู้จะเสร็จตอนไหน ผมก็ตกลงขับมาได้ครึ่งทางก็นึกขึ้นได้ว่าต้องเตรียมเอกสารการเซ็นสัญญากับลูกค้าพรุ่งนี้ แต่ผมดันลืมไว้ที่บริษัทเลยตีรถกลับมาเอา ได้เอกสารเรียบร้อยขึ้นรถเตรียมขับแต่สายตาเจ้ากรรมดันเห็นเมียตัวเองขึ้นรถที่จอดรถหน้าบริษัทฝั่งตรงข้าม ‘ไหนว่าประชุม?’ ด้วยความสงสัยผมเลยรีบขับตามออกไป ยิ่งขับตามผมก็ยิ่งขมวดคิ้วขึ้นเรื่อยๆ ‘มาทำไมซอยเปลี่ยว?’ ผมที่ยังงงอยู่ก็ได้คำตอบตอนนั้นเองว่าทำไม รถด้านหน้าจอดลงและดับเครื่องตรงทางเลี้ยวเล็กๆในซอยนั่น ถ้าไม่สังเกตดีๆก็คงไม่รู้แต่ไม่ใช่กับผมที่ตั้งใจตามมา ภายในรถด้านหน้าเริ่มมีการเคลื่อนไหวและรถก็เริ่มโยกไปมา วินาทีนั้นผมรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังทำอะไรกันน่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกหึงหวงเธอที่ได้ขึ้นชื่อว่าเมียที่กำลังเย่อกับชายอื่นอยู่ บางทีมันอาจจะเป็นเพราะผมเริ่มเบื่อกับพฤติกรรมต่างๆของเธอในช่วงนี้ก็ได้ แต่ก็นะถึงจะไม่ได้รู้สึกหึงหวงมันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอเริ่มสวมเขาให้ผมที่เป็นสามีที่ถูกต้อง ผมหัวเราะให้กับตัวเองทีก่อนที่จะตัดสินใจลงจากรถไปเพื่อเคาะกระจกเรียกในจังหวะที่เธอกำลังขย่มไอ้นั่นอยู่อย่างเมามันส์ ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะคนด้านในได้หยุดทำกิจกรรมและมองออกมา แน่นอนเธอตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นผมแต่ไม่ใช่กับคู่ขาของเธอที่มองผมตาขวางพร้อมลดกระจกลงด่า ผมไม่สนใจมันหรอกแค่มองหน้าเธอนิ่งๆเพื่อจดจำใบหน้าของเธอครั้งสุดท้ายว่าผู้หญิงมักมากมันหน้าตาเป็นไง ‘พรุ่งนี้เจอกันที่เขต ของใช้คุณผมจะส่งไปที่บ้านให้....ไปละ’พูดแค่นั้นแล้วเดินออกมา คืนนั้นผมแทบไม่ได้นอนถึงจะไม่หึงหวงก็ใช่ว่าผมจะไม่เสียใจ ตอนเช้าไปพบลูกค้ากับขิงก็แทบไม่มีสมาธิทำงาน บ่ายขอลางานไปเซ็นหย่าแน่นอนไอ้ขิงไปด้วย ดีที่เธอยอมเซ็นแม้จะร้องไห้คร่ำครวญก็เถอะแต่ผมเจ็บแล้วจำ ต่อจากนั้นไอ้ขิงมันก็พาผมไปอาบเหล้าแช่ใจที่ห้องมันจนถึงเช้าแน่นอนไม่มีใครตื่นไปทำงานได้สักคน ก็นะเมาเป็นหมากันซะขนาดนั้น
.
.
.
วันเดินทาง “ ผา มึงให้กูไปด้วยเถอะนะ” วันนี้เป็นวันที่ผมต้องไปยังสถานที่ทำพิธี ส่วนไอ้ขิงที่ขอตามมาส่งก็ส่งเสียงน่ารำคาญนี่มาร่วมชั่วโมงแล้ว
“....................”
“ขิง......นะ”
“....................”
“ขิ...”
“หยุด....เอางี้กูกลับมาก่อนแล้วเราค่อยหาทริปพักผ่อน ตกลงนะ เพราะงั้นมึงเลิกส่งเสียงน่ารำคาญนี่สักที”
“ชิ....ก็ได้วะ”
“รถมาแล้ว งั้นกูไปล่ะ ขอบใจที่มาส่ง” โบกมือให้มันทีก่อนก้าวขึ้นไปยังรถ ที่นั่งของผมอยู่ประมาณกลางๆชิดหน้าต่างดีที่เป็นเบาะเดี่ยว ผมเลือกที่จะนั่งรถไปเพราะจะได้มีเวลาทบทวนเรื่องต่างๆช่วงนี้เผื่อเปลี่ยนใจผมจะได้กลับตัวทัน ก็ถ้านั่งเครื่องมันไม่มีป้ายจอดกลางทางนี่(มึงมันบ้า:ขิง)รอประมาณ 15 นาที รถก็เคลื่อนตัวออกผมสังเกตว่ามันยังไม่ไปไหน ก็รู้แหละว่ามันห่วงแต่จะพึ่งมันตลอดก็ไม่ดี ขิงมันเป็นเพื่อนที่ดีอันไหนช่วยได้มันก็ช่วยเป็นมาตั้งแต่สมัยคบกันใหม่ๆจนตอนนี้จะแปดปีเข้าไปละ ผมเริ่มหลับตาเมื่อรถวิ่งมาถึงแถวๆชานเมืองปล่อยเวลาให้ไหลไปเรื่อยๆ...
.
.
.
ณ ปัจจุบัน ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนับจากที่ผมเดินมา ควานหามือถือในกางเกงขึ้นมาก่อนจะดูเวลาหลังจากที่นั่งพักให้หายเหนื่อย หน้าจอปรากฏตัวเลขที่บอกเวลาว่าตอนนี้กำลังจะบ่ายสามโมงเข้าไปแล้ว ถึงว่าแดดเมืองไทยไม่ปราณีผิวกูเลย
“แถวนี้ไม่มีรถผ่านเลยรึไง” ผมพูดขึ้นมาเบาๆ เฮ้อ...เอาเถอะไหนๆก็ไหนๆละ รีบๆไปต่อดีกว่าเดี๋ยวจะค่ำซะก่อน ถึงแถวนี้จะบรรยากาศดี วิวสวย แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นตอนมืดๆมันก็ช่วยคุณไม่ได้หรอกนะ
ปิ๊นๆๆๆๆ หันไปตามเสียงก็เจอกับกระบะเก่าๆคันนึงวิ่งมาหยุดลงตรงหน้า
“จะไปติ๊ไดล่ะป้อหนุ่ม?” ลุงคนขับแกยื่นหน้าออกมาถามเป็นภาษาท้องถิ่น
“ผมจะไปไร่ สุริยะทิพย์ น่ะลุง”
“ไปยะอะหยัง?”
“อ่า....ผมมาทำธุระครับ ลุงพอจะรู้จักไหม” ผมตอบพร้อมกับถามแกออกไป
“ฮู้กะ ไปโต้ยกั๋นก่อ?” เมื่อถามมาแบบนั้นมีหรือผมจะปฏิเสธ
“งั้นรบกวนด้วยนะลุง ขอบคุณครับ” ระหว่างทางที่นั่งมากับ ลุงชิด เราได้คุยกันหลายเรื่องเลยทีเดียวทั้งเรื่องงานของแก ความเป็นอยู่ของชุมชมแถบนี้ ไปจนกระทั่งเรื่องของไร่ที่ผมมานี้ด้วย ลุงชิดแกเป็นคนคุยง่ายแถมยังอารมณ์ดี พ่อผมเป็นคนเหนือเพราะงั้นเลยได้อานิสงมาเต็มๆดีที่ตอนเด็กไปเที่ยวไร่ปู่กับย่าบ่อย แต่พอขึ้นมัธยมก็ไม่ค่อยได้ไปแล้วจะมีก็แต่พวกน้องๆที่ไป ว่าไปแล้วก็คิดถึงพวกนั้นเหมือนกัน
“ป้อหนุ่มๆ ถึงละ” รู้ตัวอีกทีลุงแกก็พาผมมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่หลังนึง
“อ้อ...ครับ ขอบคุณนะลุง” ผมขอบคุณแกพร้อมกับเปิดประตูรถ
“บ่เป็นหยัง ข้าไปละ” บรื้น.......
ผมว่าบ้านเรือนไทยที่ไอ้ขิงพาผมไปนี่ว่าใหญ่และสวยแล้วนะ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่ซะแล้ว เพราะบ้านที่อยู่ตรงหน้าผมนั้นมันสวยจนอธิบายออกมาไม่ถูกถึงจะเป็นคนละสไตล์กับเรือนไทยแท้ดูแล้วบ้านหลังนี้น่าจะเป็นแบบประยุกต์ เพลิดเพลินกับบรรยากาศซะจนเกือบลืมเหตุผลที่ต้องมาที่นี่ หันซ้ายหันขวาอยู่นานจนเจอเข้ากับคุณป้าท่าทางใจดีที่กำลังยืนเก็บดอกไม้ตรงสวนข้างบ้านอยู่ ไม่รอช้าผมรีบสาวเท้าเดินไปหาแกทันที
“คุณป้าครับ....สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ตอนแกเงยหน้าขึ้นมามอง
“เจ้า?”
“เอ่อ...ผมมาหาเจ้าของที่นี่น่ะครับ ไม่ทราบว่าเขาอยู่รึเปล่าครับ?”
“คนติ๊ลุ่กจากเมืองหลวงใช่ก่อเจ้า?”
“ใช่ครับ”
“จะอั้นไปถ้าในเฮือนก่อนเจ้า ป้อเลี้ยงเปิ้นยังบ่ปิ๊กมาจากไฮ่ จัดเมินกว่าจะมาเตื้อ เชิญเจ้า”
“ครับ” ผมรับคำแล้วเดินตามหลังป้าแกไปเงียบๆ ข้างนอกว่าสวยแล้วแต่ข้างในบ้านก็ไม่ต่างกัน ตกแต่งแบบเครื่องไม้แท้ทุกชิ้น ให้บรรยากาศอบอุ่นและได้กลิ่นหอมๆของเนื้อไม้ ผมนั่งลงตรงโซฟาไม้ใกล้ๆเมื่อเดินมาถึงห้องกว้างโล่งที่น่าจะเป็นห้องรับแขกพร้อมวางกระเป้ไว้ด้านข้าง
“ถ้ากำเดว เดี๋ยวป้าจะเอาน้ำกับเข้าหนมมาหื้อ” ผมยิ้มรับแล้วแกก็เดินออกไป ระหว่างที่รอผมที่ไม่มีอะไรทำก็มองสำรวจไปรอบๆห้อง
“น่าอยู่จัง” อดที่จะพูดออกมาไม่ได้
‘ชอบ....ก็มาอยู่สิ คิๆ’ “.................” เสียงมาจากไหน นอกจากคุณป้าคนนั้นแล้วผมยังไม่เห็นใครอีกนอกจากผมที่นั่งอยู่ตรงนี้สักคน สงสัยจะหูแว่วไปเอง
“น้ำกับเข้าหนมมาล่ะเจ้า สูมาเต๊อะปล่อยให้ถ่าเมิน” แกวางของลงบนโต๊ะแล้วทรุดนั่งลงตรงข้ามกับผม
“ไม่หรอกครับป้า...ขอบคุณครับ”
“หื้อ...ขนมนี่อร่อยดีนะครับ” ผมบอกหลังจากชิมเข้าไปคำแรก
“นั่นฮ้องกระบอง หรือหนมเทียนตามภาษากลาง” “ถ้าคุณมักกะกิ๋นหลายๆในครัวมีอีกปะเล๊อะ จะอั้นป้าไปยะการต่อก่อนหนามีหยังกะฮ้องหานะเจ้า”
“ครับ” ผมยิ้มให้ ก่อนจะนั่งทานขนมต่อ พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนบวกกับความเหนื่อยล้าที่เดินเท้าเข้ามายิ่งทำให้ผมง่วง หันไปมองนาฬิกาตรงผนังห้องเพิ่งห้าโมงงั้นขอพักสักงีบละกัน สุดท้ายผมก็หลับไปทั้งอย่างนั้น
.
.
‘นี่รึแม่ช้อย’ หญิงสาวร่างระหง ผิวกายขาวเหลือง เครื่องหน้างามดั่งนางอัปสร ทรงเครื่องด้วยชุดไทยโบราณสีชมพูอ่อนประดับประดาด้วยเครื่องทองทาครบชุดหันไปมองหญิงสาวอีกคนที่อยู่ข้างกัน ลักษณะและการแต่งกายเหมือนกันต่างกันเพียงสีชุดที่เป็นสีฟ้าเท่านั้น
‘ใช่เจ้าค่ะพี่สร้อย คนนี้แหละ’ ‘อืม...ดูสิตอนหลับน่าเอ็นดูจริงเชียว’ ยิ้มให้กับคนที่กำลังหลับอยู่อย่างอ่อนโอน
‘ใช่จ๊ะ แล้วเรื่องนั้นพี่มีความเห็นว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ’
‘คงต้องพึ่งคุณหนูแล้วล่ะ มีเธอคนเดียวที่จะช่วยได้’ ‘นั่นสิเจ้าคะ น้องก็ได้แต่หวังว่าภพนี้คุณหนูจะช่วยเขาได้เสียที’ สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วหันกลับไปมองคนที่หลับอยู่พลางหน้าก็เศร้าสลดลงอย่างทันที
‘อืม...พี่เองก็หวังไว้เช่นนั้น’ เพราะหากไม่เป็นดั่งหวัง ผู้เป็นนายของนางคงต้องทนทุกข์ไปอีกภพเป็นแน่
‘นี่เวลาก็ล่วงมาหลายวันน้องคงต้องกลับเสียที ฝากคุณพี่ลาคุณหนูด้วยนะเจ้าคะ’ ‘รีบไปเถิดแม่ช้อย’ หญิงสาวหายไปทันที่หลังจบคำอนุญาต
‘อดทนอีกนิดนะเจ้าคะ คุณหนูท่านต้องช่วยคุณได้แน่’ แล้วร่างนั้นก็หายไป
.
.
“นมสาย เขามาถึงรึยังจ๊ะ?” เสียงนุ่มถามหญิงใบหน้าใจดีที่ยืนรอรับอยู่
“มาแล้วเจ้า ตะอี้ป้าไปพ่อหันหลับไปละ สงสัยเปิ้นจะอิด”
“งั้น ตรีไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน ลงมาจะได้ทานมือเย็นเลย อ้อ นมไม่ต้องปลุกเขานะจ๊ะตั้งโต๊ะก่อนค่อยปลุกก็ได้จ๊ะ” ฟอดดด แอบหอมแก้มทีก่อนวิ่งเข้าบ้านไป
“ขี้อ้อนจริงเชียวเด็กคนนี้” มองตามหลังคนที่วิ่งหนีเข้าไปก่อนจะส่ายหน้าให้พลางยิ้ม คุณหนูของเธอก็แบบนี้ชอบอ้อน ถึงจะโตขนาดนี้แล้วก็ยังอ้อนเป็นเด็กๆ ว่าแล้วก็ไปบอกเด็กให้เตรียมกับข้าวสำหรับตั้งโต๊ะมื้อเย็นดีกว่านี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว
*******************************************************************************************
ก่อนอื่นเราต้องกล่าวคำว่า ขอโทษจริงๆ อย่างที่เคยแจ้งไปแล้วว่าเราติดปัญหาเรื่องงานศพคุณยาย ตอนนี้เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้นำเรื่องมาลงให้อ่านต่อกัน ขอโทษที่มาช้านะคะ
เรื่องภาษาของตอนนี้เราขอออกตัวก่อนเลยว่าอาจจะอ่อนด๋อยไปบ้างเนื่องจากเราไม่ชำนาญภาษาเหนือเท่าไหร่ มีตรงไหนผิดหรือไม่ถูกต้องแนะนำมาได้นะ
สุดท้าย เราต้องขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้มาและอยู่เป็นเพื่อนเรานะ