บทที่ 5
ปัญญานอนเหยียดตัวยาวอยู่บนเตียงทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักเรียน ตามองโทรศัพท์มือถือที่ยกขึ้นมาถูขึ้นลงที่หน้าโซเชียลมีเดียอันเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่ฝังรากลึกลงไปจนดึงไม่ออก ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มมืดลงตามเวลาที่ผ่านไปแต่ละนาที
เขากลับมาจากเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนแล้วแต่พ่อก็ยังมาไม่ถึงบ้าน ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นทุกวันนั่นแหละ ตัวเขามักจะหาข้าวเย็นกินก่อนเริ่มเรียนพิเศษในห้าง ในขณะที่นพดลพ่อของเขามักจะกินมาจากที่ทำงาน แต่ถ้าวันไหนที่เขาไม่มีเรียนพิเศษและพ่อกลับเร็ว ทั้งคู่ก็จะซื้ออาหารหน้าปากซอยมากินด้วยกันบ้างเป็นครั้งคราว
ได้ยินเสียงเปิดประตูบ้านจากชั้นล่างของตัวบ้านดังแว่วมา เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเจออะไรบางอย่างที่น่าสนใจในหน้าจอ เพจเฟซบุ๊คเพจหนึ่งของเด็กนักเรียนโรงเรียนเขาลงรูปตอนที่เขาก้มลงนั่งผูกเชือกรองเท้าให้โดนัทเมื่อหลายวันก่อน จากนั้นก็มีการหวีดและแฮชแท็กแปลกๆ อย่าง #ปันนัท แปะอยู่ในนั้น
เขามีความคิดสามอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนึ่งคือเขาไม่ตกใจหรือแปลกใจอะไรที่มีตัวเองอยู่ในเพจพวกนี้ ก่อนหน้านี้เพจเดียวกันก็เคยเอารูปเขาตอนเล่นบาสเหงื่อโชกไปลง แล้วหวีดถึงความ... เอ่อ เซ็กซี่ของเขามาก่อน แล้วก็รูปในอิริยาบทอย่างอื่นที่น่าสนใจและพอจะมีใครจับภาพไว้ทัน แต่ก็นั่นแหละ เอาเป็นว่าเขาค่อนข้างชินกับอะไรแบบนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าโดจะรู้สึกยังไง
เรื่องที่สองก็คือเจ้าแฮชแท็กจับคู่นี่ ปัญญารู้ดีอยู่แล้วว่าคนส่วนมากเรียกโดนัทว่านัทมากกว่าจะเรียกว่าโด ยกเว้นแค่เพื่อนไม่กี่คนกับตัวเขาเอง เขาแอบคิดเหมือนกันว่าชื่อนัทอาจจะฟังดูเพราะแล้วก็น่ารักกว่า แต่เขาไม่อยากเหมือนคนอื่นๆ เอง แต่นี่มันก็แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ล่ะนะ
เรื่องที่สามเป็นเรื่องตัวเนื้อหาของรูปภาพนี้เอง การได้เห็นใครหลายๆ คนหวีดเรื่องระหว่างเขากับโดนัททำให้ปัญญารู้สึกดีแล้วก็มีกำลังใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์รูปแบบนี้อย่างพ่อเขา
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระชากประตูเปิดออก ปัญญาเหลือบมองพ่อของเขาที่ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับเอ่ยทักสั้นๆ "ไง ปัน" จากนั้นก็ตรงดิ่งมาที่ชั้นหนังสือปลายหัวเตียงแล้วเริ่มกวาดสายตา
"หาไรพ่อ" ถามทั้งที่ตายังมองหน้าจอมือถือเหมือนเดิม
"หนังสือพวกเกี่ยวกับเครื่องจักร... พ่อว่าเอาไว้แถวนี้"
"พ่อลองดูฝั่งขวาบนๆ หนังสือพ่อส่วนมากอยู่ตรงนั้น" ปัญญาว่าพร้อมกับเลื่อนหน้าจอต่อ เหลือบสายตาไปมองร่างของผู้ให้กำเนิดที่เริ่มดึงหนังสือจากชั้นออกมาเพื่อมองหาหนังสือที่อยู่ลึกเข้าไป
พ่อของเขาเป็นคนรูปร่างดีถ้าเทียบกับคนที่อายุไล่เลี่ยกัน ส่วนสูงที่มากกว่ามาตรฐานชายไทยและใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยจริงๆ ของเจ้าตัวทำให้ปัญญารู้ว่าถ้าอีกฝ่ายคิดจะหาแฟนหรือภรรยาใหม่จริงๆ สักคนคงไม่ยาก หรือไม่บางทีเจ้าตัวนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายโดนจู่โจมด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่ามีเขาซึ่งเป็นลูกชายห้อยพ่วงมาด้วย ป่านนี้พ่อเขาคงแต่งงานใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว
พูดถึงใบหน้าอ่อนกว่าวัยของเจ้าตัวแล้วปัญญายังนึกขันไม่หาย เขาเคยเอารูปที่ถ่ายคู่กับพ่อตัวเองไปให้เพื่อนผู้หญิงดู ทุกคนทักกันเกรียวกราวเลยว่านั่นญาติหรือพี่ชายเขาเหรอ แล้วอีกฝ่ายมีแฟนหรือยัง ปัญญาแทบตอบไปไม่ทันว่าอีกฝ่ายมีลูกแล้ว ซึ่งก็คือกูเองแหละ
`แต่แกกับพ่อแกหน้าไม่เหมือนกันเลยนะ ปัน หล่อทั้งคู่ก็จริงแต่หล่อกันคนละแบบ` เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งของเขาเคยพูดไว้ และอีกคนก็พยักหน้าหงึกหงัก สนับสนุนตามทันที
`เออ จริง ไอ้ปันแม่งหล่อแบบบูม บดิศร แต่พ่อมันหล่อเหมือนดี ศศิกร`
`ใครวะ บูม บดิศรกับดี ศศิกรที่ว่า` ปัญญาผู้ไม่สนใจวงการบันเทิงถามอย่างงงๆ ทำเอาผู้หยิงทั้งสองคนแทบกรี๊ด
`แกไปอยู่หลุมไหมมาวะ ไอ้ปัน ถึงไม่รู้จักบูมกับดี มานี่ เดี๋ยวเราเปิดรูปให้ดู`
แล้วปัญญาก็ต้องทำความเข้าใจกับคำว่าหล่อเข้มแบบบูมกับหล่อหวานแบบดี เขาพยายามมองภาพของดาราทั้งสองคนนี้เปรียบเทียบกันแล้วก้ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าพวกผู้หยิงเขาแยกความหล่อออกเป็นสองประเภทนั้นยังไง
`แต่บูมนี่นักแสดงระดับตำนานเลยนะมึง อายุสี่สิบกว่าแล้วยังหล่อขนาดนี้ แต่ทำไมแกไม่รู้จักวะ`
`แล้วคนที่ชื่อดีนี่ล่ะ อายุเท่าไร` เขาพยายามมองคนที่เพื่อนบอกว่าหล่อหวานแบบพ่อเขา ซึ่งมันให้ความรู้สึกพิลึกกึกกือมากถ้าให้นิยามหน้าตาของพ่อตัวเองว่าหล่อหวาน มัน... เอ่อ ขนลุกแปลกๆ เหมือนกัน
`27-28 มั้ง ไม่แน่ใจแฮะ`
`อ้าว! แล้วทำไมบอกกูหน้าเหมือนคนอายุแก่กว่าวะ` นี่หลอกด่าอะไรกันรึเปล่าเนี่ย ยัยพวกนี้
`เออ แต่พ่อแกหน้าเด็กจริง ปัน เหมือนคนอายุ 25 แถมยังขาวกว่าแกอีก`
เอ้า ทำไงได้ล่ะ ก็เขาเล่นกีฬากลางแจ้งนี่หว่า จะให้ขาวผุดผ่องเป็นยองใยอะไรขนาดนั้น พ่อเขาก็พอเล่นกีฬาบ้างก็จริงแต่ก็ไม่บ่อยเท่าเขา
ปัญญากำลังคิดจะเล่าเรื่องที่คุยกับเพื่อนผู้หญิงให้ฟังก็พอดีกับที่นพดลหยิบหนังสือการ์ตูนเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น หันหน้ากลับมามองทางเขาด้วยสีหน้าซีดเผือด
"ปัน" เจ้าตัวถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง "นี่อะไร"
หน้าปกเป็นรูปผู้ชายสองคนกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันบนเตียงนอน โดยที่คนหนึ่งพยายามหันหน้าสุดชีวิตแต่แขนกลับโอบรัดรอบคออีกฝ่ายไว้ ไม่ต้องสงสัยเลย พ่อของเขาไปขุดเจอหนังสือที่เขาพยายามซ่อนไว้จนได้ แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ…
"อ้อ นั่น... การ์ตูนวาย พ่อ"
"การ์ตูน... อะไรนะ?" พูดพลางพลิกหน้ากระดาษดูด้านใน จะร้องห้ามก็บอกไม่ทัน ปัญญายกมือขึ้นกุมขมับทันทีเมื่อเห็นสีหน้าพ่อของตัวเองซีดลงเรื่อยๆ
"ไอ้ปัน!" คนเป็นพ่อเริ่มโวย "แกอ่านการ์ตูนอะไรของแกเนี่ย!"
“โธ่ พ่อ” ปัญญาตรงมาฉวยการ์ตูนเล่มที่ว่าออกจากมืออีกฝ่าย เอามันวางกลับลงส่วนที่ลึกสุดที่เดิม “ก็แค่การ์ตูนเอง จะตกใจอะไรนักหนาครับ”
จะไม่ให้ตกใจได้ไง ในเมื่อภายใต้นารูโตะ สแลมดั๊งค์ วันพีซและการ์ตูนผู้ชายอีกมากมายกลับมีการ์ตูนที่ผู้ชายได้กัยเองซ่อนอยู่ บอกมาซิ จะไม่ให้เขาตกใจได้ยังไง!?
นพดลทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียง ใจหนึ่งก็นึกอยากขอดูการ์ตูนเล่มที่ว่าให้เห็นเต็มๆ ตาอีกรอบ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่คิดอยากเห็นมันอีกเลย
ความคิดอย่างหลังเป็นฝ่ายชนะ เขาหันกลับไปมองลูกชายเพียงคนเดียวของตัวเองด้วยสภาพเหมือนทหารที่สะบักสะบอมมาจากสงคราม
“แกนี่มัน… เป็นหนักจริงๆ ว่ะไอ้ปัน”
“อะไรเล่า มันก็เป็นเรื่องปกติของวัยนี้ไม่ใช่หรือไง” ปัญญาเถียงอย่างไม่ลดละ ไม่อยากจะบอกพ่อหรอกว่าเพื่อนเขาบางคนไปถึงขั้นไหนต่อไหนกับแฟนแล้ว อย่างไอ้เบนซ์น่ะตัวดี ถึงจะไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแต่ก็ไม่ซิงแล้วแน่ๆ ถึงมันจะไม่เคยถามมันตรงๆ และมันจะไม่เคยเล่าให้เขาฟังก็เถอะ
“มันก็ใช่ แต่…”
“พ่อน่าจะดีใจนะ อย่างน้อยถ้าผมมีอะไรกับผู้ชาย อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาท้องไม่พร้อมแน่ เอ่อ ไม่ได้ตั้งใจว่าพ่อนะ” ปัญญารีบแทรกอย่างรู้ดีว่าพ่อกับแม่มีเขาตอนที่พวกท่านทั้งคู่ยังไม่พร้อม นพดลโบกมือขึ้นปัดในอากาศเป็นเชิงว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้
“แต่แกคงไม่คิดจะมีจริงๆ หรอกใช่ไหม เรื่อง เอ่อ อย่างว่า”
“อือ…” ถ้าบอกว่าไม่เคยคิดเลยก็ดูจะเป็นการโกหก “เอาเป็นว่าไม่ใช่เร็วๆ นี้แน่นอนแล้วกันครับพ่อ ผมเพิ่งอยู่ม. 5 เองนะ”
นพดลอยากให้ตัวเองคิดได้แบบนี้ตอนอายุเท่าลูกชาย แต่ก็นั่นแหละ ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็คงยังเลือกทางเดิมอยู่ดี และถ้าให้พูดในอีกแง่… ปัญญาคือของขวัญที่วิเศษสุดของเขากับมิ้นต์ ถึงแม้ว่าการต่อสู้กับข้อครหาและการไม่ยอมรับทางสังคมจะลำบากไปบ้าง แต่เขาก็รักลูกมากพอที่จะฝ่าฟันทุกอย่างมาได้
“อีกอย่าง… ผมยังไม่ได้คบกับโดนัทเลยนะพ่อ แค่ยังดูๆ กันอยู่”
จู่ๆ คำพูดประโยคนั้นก็ทำให้ความหวังเล็กๆ ผุดวาบในใจผู้เป็นพ่อ
“ปัน แล้วแกจะรู้ได้ไงว่าโดนัทเขาจะชอบแก… เขาจะชอบผู้ชายหรือเปล่า”
ปัญญาทำสีหน้าครุ่นคิดนิดหนึ่ง “อืม… ผมว่าเขาก็ชอบผมนะ”
“เหรอ แน่ใจนะว่าไม่ได้คิดไปเอง”
“ผมว่าไม่หรอก”
“ไม่นี่คือ เขาไม่น่าชอบแก?”
“ไม่นี่คือ ผมว่าผมไม่ได้คิดไปเองหรอก” เถียงกลับอย่างมั่นคง ไปเอาความมั่นใจและหน้าด้านแบบนี้มาจากไหนวะ
“แต่แกแน่ใจได้ไงว่าเขาไม่ได้มีแฟนอยู่แล้ว?”
“ไม่มีพ่อ ผมถามแล้ว”
เออ จนแต้มล่ะ ยอมก็ได้รอบนี้
นพดลส่ายหน้าเหมือนอ่อนใจกับเรื่องของลูกชายเต็มกลืนขณะหยิบหนังสือที่เขาหาอยู่ออกมาจากชั้น แรกๆ ปัญญาก็ไม่ค่อยชอบท่าทีแบบนั้นเท่าไรหรอก แต่ตอนนี้เริ่มชินล่ะ ถึงพ่อจะไม่ชอบใจเรื่องรสนิยมทางเพศของเขาและทำท่าเหมือนเอือมระอาแต่ก็ไม่เคยขู่แรงๆ อย่างเช่นจะตัดเขาออกจากกองมรดกหรือไล่ออกจากบ้านถ้าเขาไม่เลิกเป็นเกย์ ถ้าถึงขั้นนั้นปันก็คงจะรับไม่ไหวเหมือนกัน
“จริงๆ เลยนะ ไอ้ปัน แล้วไอ้การ์ตูนโป๊ของแก---”
“เออ พ่อ วันนี้วันที่เท่าไรนะ”
ดูมันเปลี่ยนเรื่องแบบหน้าด้านๆ
“วันนี้เหรอ… อืม วันที่ 15 ถามทำไม?” คนพ่อก็ไหลตามน้ำเร็วพอกัน
“ไม่ใช่ว่าวันนี้ลุงอาจจะมาบ้านเหรอพ่อ”
สองพ่อลูกเงียบกันไปอึดใจหนึ่งก่อนที่ปันจะเด้งตัวขึ้น นพดลรีบถลาไปที่ประตูห้อง พวกเขาสองคนลืมไปเลยว่านัดแขกคนสำคัญเอาไว้ แล้วนี่แต่ละคนก็ยังอยู่ในสภาพไม่พร้อมรับแขกอย่างที่สุด
“ไอ้ปัน เปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วไปเตรียมพวกขนมชั้นล่างด้วย แล้วข้าวของแกตรงชั้นทีวีเก็บหรือยัง ไปจัดการให้เรียบร้อยซะ”
นั่นแหละถึงจะแยกย้ายกันไปคนละทิศละทางกันอย่างไว
…
ลุงอาจที่ปันเรียกหรือนายองอาจเป็นชายวัยสี่สิบตอนปลาย ผิวค่อนข้างคล้ำ สวมแว่นสายตาที่ค่อนข้างใหญ่ รอยยิ้มใจดีประดับอยู่บนริมฝีปาก เขาเป็นตัวแทนของบริษัทพิทักษ์สุขซึ่งเป็นบริษัทด้านการเงินเล็กๆ และมักคอยแจกทุนให้กับนักเรียนที่มีผลการเรียนดี ประพฤติตัวเรียบร้อย ปัญญาได้ทุนตัวนี้ครั้งแรกตอนที่เขาอยู่ป. 4 โดยที่นายองอาจติดต่อผ่านทางพ่อของเขาและบอกว่าทางบริษัทยินดีให้ทุนการศึกษานี้แก่นักเรียนที่ได้เกรดสี่มาอย่างต่อเนื่อง และเป็นทุนให้เปล่า ตอนนั้นนพดลที่กำลังขัดสนเรื่องเงินทองอยู่แทบอยากก้มลงไปกราบลูกชายที่มีผลการเรียนดีเลิศขนาดจะได้ทุนแบบนี้ แถมเจ้าตัวแสบก็รักษาความดีงามของตัวเองเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุนการศึกษาตัวนี้ไหลเข้าบ้านมาได้ตลอด
แม้มันจะไม่สามารถจ่ายค่าเทอมที่แพงลิบของปัญญาเต็มจำนวนได้ แต่ก็ช่วยนพดลได้มากกว่าครึ่ง และเขาหวังว่าลูกชายเขาจะยังรักษาทุนให้เปล่าตัวนี้ไว้ได้จนกว่าจะเรียนจบ และเนื่องจากทางผู้ให้ทุนต้องตรวจสอบในเรื่องนั้น องอาจจึงเป็นตัวแทนในการมาพูดคุยกับลูกชายเขาทุกๆ สามเดือน
ปัญญาวางถาดขนมที่เขาจัดเองลงตรงหน้าแขกก่อนจะส่งยิ้มแป้นไปให้ คนเป็นพ่อเลยดันลูกชายให้เขยิบไปนั่งอีกฝั่งของโซฟาเพื่อพูดคุยกับนายองอาจได้สะดวกขึ้น
“เป็นยังไงบ้างครับ น้องปัน” อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงใจดีแบบที่เป็นมาตลอดหลายปี “ช่วงนี้ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง เรียนยากไหม”
“ก็เริ่มยากขึ้นเหมือนกันครับ พวกเลขก็ซับซ้อนขึ้น สังคมก็รายละเอียดมากขึ้น โดยเฉพาะพวกกฎหมายกับรัฐธรรมนูญนี่เล่นเอามึนตึ้บเลย”
นพดลฟังคนทั้งสองคุยกันขณะหยิบขนมชิ้นหนึ่งเข้าปาก มองลูกชายตัวดีที่หัวเราะเสียงใสขณะเล่าเรื่องในโรงเรียนให้ฟังแล้วก็รู้สึกดีเหมือนกัน เพราะถ้าไม่ใช่เพราะองอาจมาเยี่ยมที่บ้านแบบนี้ เขาก็ไม่ค่อยได้ยินเรื่องราวจากปากเจ้าตัวเท่าไร และเท่าที่เขาฟังดู ไอ้ตัวแสบก็ตั้งใจตามเก็บงานดี คะแนนสอบก็พอไหว ทุนรอบหน้าก็น่าจะยังพอไหวล่ะน่า
“เอ้อ จริงสิครับลุงอาจ” ปัญญาพูดอย่างนึกขึ้นได้ “ผมสอบผ่านโครงการแลกเปลี่ยนไปเมกาด้วยนะ ลุงรู้เรื่องนี้ยังครับ”
“ยังเลย” คนพูดเบิกตากว้างขึ้นอย่างแปลกใจระคนยินดี “ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่าปันจะไปแลกเปลี่ยนด้วย ไปแอบสอบมาตอนไหน”
“อ้อ ผมกะว่าลองสอบดูก่อนน่ะ จะไปรึเปล่ายังไม่แน่ใจเลยครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะ” องอาจยื่นหน้าเข้ามาใกล้ปัญญามากขึ้น “น้องปันไม่ได้อยากไปเหรอลูก”
“คือ… ก็อยากไปครับ แต่…” เจ้าตัวเหลือบมองมาทางผม วินาทีนั้นคนเป็นพ่อเข้าใจทันทีว่าปัญญาลังเลเรื่องสถานะทางการเงินของบ้านมากกว่าจะเป็นเรื่องรด. อย่างที่ตัวเองเคยบอก และมันทำให้นพดลหน้าร้อนวูบขึ้นมาด้วยความอาย นึกด่าตัวเองในใจว่าทำหน้าที่พ่อแบบไหนให้ลูกมาคอยห่วงเรื่องการเงินในบ้านเนี่ย “เอ่อ ผมยังต้องดูอีกหลายอย่าง อย่างเรื่องรด. งี้ เรื่องเตรียมสอบเข้ามหาลัยงี้ กลัวเรียนตามเพื่อนไม่ทันครับ ผมไม่อยากกลับมาซ้ำด้วย”
นพดลหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะยังรู้สึกมึนงงกับข้อเท็จจริงที่ลูกชายปิดเขาอยู่ เขาก็นึกว่าไอ้ปันห่วงเรื่องรด. หรือไม่ก็ติดเพื่อนเลยไม่อยากไปแลกเปลี่ยน แต่เขาน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าปัญญาอยากไปอเมริกามาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่กังวลเรื่องเงินเท่านั้นเอง
“แต่ลุงว่าปันน่าจะไปนะ โอกาสดีแบบนี้”
“ก็… ต้องลองคิดดูก่อนครับ เนอะพ่อเนอะ” หันมาสะกิดเขาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ บนมุมปาก นั่นทำให้นพดลนึกสะท้อนในใจขึ้นมา หรือเพราะว่าเขาเคี่ยวเข็ญเรื่องเงินกับลูกมากไป ปัญญาถึงได้คิดว่าบ้านพวกเขาเงินน้อยขนาดนั้น
ซึ่ง… มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ เขาเชื่อว่าตัวเองเลี้ยงลูกได้ไม่มีปัญหาแน่ แต่ถ้าปันจะไปเมกาจริงๆ คำนวนค่าใช้จ่ายของโครงการกับค่าที่มันต้องกินต้องใช้แต่ละเดือน… นพดลคิดว่าเขาสู้ไหว แต่อาจจะต้องกัดก้อนเกลือกินหน่อยสักสิบเดือนเท่านั้นเอง
“อืม… นั่นสินะ เพราะจะไปต่างประเทศแบบนี้ก็ค่าใช้จ่ายสูงไม่น้อย” กลายเป็นองอาจที่หยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดเสียแทน “เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวลุงจะลองไปคุยกับทางบริษัทดูว่าเขาจะช่วยค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ไหม ยังไงน้องปันก็ได้ทุนกับทางเรามาตั้งนาน”
สองพ่อลูกลิขิตชาญชัยแทบจะอ้าปากค้างกับข้อเสนอ ก่อนคนพ่อจะเรียกสติ พูดขึ้นมาก่อน
“แต่… มันจะดีเหรอครับ ที่ได้ทุนอยู่เป็นประจำนี่ก็มากพอสมควรแล้ว ถ้ายังต้องเพิ่มให้อีก…” เขากลัวทางต้นบริษัทจะเห็นว่าครอบครัวนี้โลภจนจะตัดออกจากรายการให้ทุนน่ะสิ แต่องอาจยังคงยิ้มพร้อมกับอธิบายอย่างใจเย็นต่อไป
“ผมก็ยังรับปากไม่ได้หรอกนะครับว่าจะได้รึเปล่า แต่โอกาสดีๆ แบบนี้น่าเสียดาย น้องปันเองก็เป็นคนเก่งของเรา ถ้าทำได้ก็อยากจะช่วยสนับสนุนเต็มที่ อ้อ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นครับ น้องปัน เราไม่มีการเรียกให้ใช้ทุนทีหลังหรือว่าขอให้เข้ามาทำงานกับเราถ้าน้องปันไม่อยากทำแน่ๆ สบายใจได้เลยครับ”
ปัญญาหันไปมองหน้าพ่อ สื่อสารกันทางสายตาเป็นเชิงว่า… ไม่เชื่อในคำโฆษณาชวนเชื่อนั่นสักเท่าไร อย่างน้อยต้องโดนบริษัทนี้จีบให้ไปทำงานด้วยแน่ๆ ก็ขนาดเขายังเรียนอยู่แค่นี้ยังโดนตามจีบขนาดนี้แล้ว พอเรียนจบแล้วจะขนาดไหน
แต่ก็เอาเถอะ ถึงเวลาค่อยคิดเรื่องพวกนั้นทีหลัง อีกอย่างก่อนจะเซ็นสัญญารับทุนอะไรพวกเขาทั้งคู่ก็อ่านสัญญาอย่างละเอียดทุกรอบ คงไม่โดนเจ้าทุนตัวนี้วกกลับมาทำร้ายทีหลังแน่ๆ
ปัญญากับนพดลไปส่งแขกที่หน้าบ้าน ยืนส่งจนกระทั่งท้ายรถลับสายตาไป นพดลหันหน้ากลับมามองลูกชายอย่างค้นคว้าก่อนจะถามอย่างอดไม่อยู่
“ปัน ที่ปันลังเลเรื่องแลกเปลี่ยนเนี่ย เพราะเรื่องเงินเหรอลูก”
น้ำเสียงอ่อนโยนเกินเหตุนั่นทำให้ปัญญาต้องหันกลับมามองหน้าคนเป็นพ่อตรงๆ “ก็… นิดหน่อยมั้งครับ แต่ตอนนี้ลุงอาจบอกผมอาจจะได้ทุนตอนไปแลกเปลี่ยนก็ได้นี่ ไว้ถ้าได้จริงๆ ผมคงไปแน่ โอกาสดีแบบนี้”
เด็กหนุ่มไหวตัวเล็กน้อยเมื่อคนเป็นพ่อเอื้อมมือมาบีบแขนเขาแรงๆ
“ปันฟังนะ ถ้าปันอยากไปก็ไปเถอะ ต่อให้ไม่ได้ทุนที่ลุงอาจว่า พ่อก็ส่งปันได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้เลย เข้าใจไหม”
แล้วเจ้าตัวก็เดินเข้าบ้าน ปัญญามองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดมิดในยามค่ำคืน
จะไม่ให้เขาห่วงเรื่องฐานะการเงินของบ้านได้อย่างไร ในเมื่อคนที่ทำงานก็มีแค่พ่อเขาคนเดียว
แต่… ถ้าเขาได้ทุนจริงๆ มันก็อีกเรื่องล่ะนะ
…
ช่วงพักกลางวันของวันนี้ปัญญาก็ทานข้าวกับกลุ่มของโดนัทอีกตามเคย แต่วันนี้เจ้าตัวออกปากตั้งแต่ก่อนเริ่มกินว่าต้องขึ้นไปปั่นงานที่ทำค้างไว้อยู่ให้เสร็จ แถมยังต้องช่วยสอนเลขให้ไอ้เบนซ์ที่สอบตกไปหมาดๆ เขาจึงไม่มีเวลาอยู่คุยเล่นกับอีกฝ่ายมากนัก
“โทษทีนะ โด พี่โคตรยุ่งเลยว่ะวันนี้ คงไปส่งโดที่ห้องไม่ได้” เจ้าตัวว่าหลังจากพวกเขาทั้งคู่แยกตัวออกมาจากกลุ่มใหญ่ก่อน โดนัทรู้ตั้งแต่ตอนที่เห็นปัญญาสวาปามข้าวในจานเร็วกว่าปกติแล้วว่าเจ้าตัวกำลังรีบ คนเป็นรุ่นน้องส่งยิ้มให้ก่อนจะพูดอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ปัน รีบไปทำงานให้เสร็จเถอะ แต่ยังไงห้ามลืมเรื่องพรุ่งนี้นะครับ ไม่งั้นผมคงต้องแกร่วรอหน้าบ้านพี่”
ปัญญาเหยียดยิ้มกว้าง เอื้อมมือไปยีหัวอีกฝ่ายแรงๆ อย่างเอ็นดู “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่ปล่อยให้น้องแกร่วอยู่แล้ว งั้นไว้คุยกันนะ เดี๋ยวทักไลน์ไป”
“ครับผม สู้ๆ นะฮะ” แล้วอีกฝ่ายก็จากไป
โดนัทเดินเลี่ยงมาอีกทาง ตั้งใจจะแวะไปซื้อของที่มินิมาร์ทของโรงเรียนก่อนจะขึ้นห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่หูได้ยินเสียงของใครบางคนพูดขึ้นมาจนได้
“แกเห็นเมื่อกี้รึเปล่าวะ เมื่อกี้พี่ปัน 5/1 ใช่ไหม คนที่เป็นข่าวกับไอ้คนห้อง 4/7 น่ะ”
“เขาชื่อนัท แกไม่เห็นแฮชแท็กในเฟสหรือไงวะ”
โดนัทหรี่ตาลงเมื่อรู้ว่าคนที่พูดถึงเขากับปัญญาคือใคร นั่นน่ะ แบงค์ ห้องสิบ และไม่ต้องสงสัยเลยว่าอีกฝ่ายมีรสนิยมชอบผู้ชายแบบที่คนทั้งโรงเรียนรู้ๆ กัน แถมเจ้าตัวยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตนเป็นหนุ่มมหาลัยอีกซะด้วย
อย่าเข้าใจผิดไป เขาไม่ได้อยากเสือกเรื่องชาวบ้านหรอกนะ แต่หมอนั่นมันป่าวประกาศเองจนเขารู้กันไปทั่ว รวมไปถึงเรื่องที่เจ้าตัวนอกใจแฟนบ่อยๆ ก็เหมือนกัน
“นัทเหรอ ชื่อยังกับผู้หญิง… แต่เอาจริงไอ้หน้าอ่อนนั่นแม่งก็ดูงั้นๆ ปะวะ แค่หน้าหวานนิด กูว่าถ้าพี่ปันจะเป็นเกย์จริง เขาน่าจะหาได้ดีกว่านี้”
“มึงกำลังจะพูดว่า อย่างเช่นมึงเหรอวะ” เพื่อนในกลุ่มของแบงค์พูดขึ้น จากนั้นทุกคนก็หัวเราะออกมารวมทั้งตัวแบงค์เองด้วย
โดนัทใช้จังหวะนี้สำรวจอีกฝ่ายอย่างถ้วนถี่อย่างที่เขาไม่ค่อยได้ทำกับใครบ่อยๆ นัก แบงค์เป็นเด็กหนุ่มที่ดูมีเสน่ห์แบบคนขี้เล่น มีอารมณ์ขัน ลักยิ้มเล็กๆ บนหน้าของเจ้าตัวเพิ่มเสน่ห์ตรงนี้ได้เยอะ และโดนัทไม่ค่อยชอบใจเรื่องนี้เท่าไรเลย
“ก็นะ กูว่ากูเองอาจจะยังดีซะกว่า ลองไปจีบพี่เขาดูดีไหมวะ ยังไงเขาก็ยังไม่ได้คบกับไอ้ห้องเจ็ดนั่นไม่ใช่เหรอ”
“มันชื่อนัทโว้ย”
“และ เอ่อ กูว่ามันกำลังเดินมาทางนี้นะ”
เท่านั้นแหละทั้งกลุ่มถึงได้หันไปมองเด็กหนุ่มหน้าหวานผู้ก้าวเท้าเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ บนริมฝีปาก เทียบกับแบงค์แล้ว โดนัทมีสรีระที่เล็กกว่า ดูผอมบางกว่า ติดจะมากเกินไปด้วยซ้ำ ประมาณว่าเทียบกันแบบปราศจากอคติต้องบอกเลยว่าแบงค์ดูดีมากกว่าในภาพรวม
เด็กหนุ่มทั้งสองข้างเผชิญหน้ากัน แบงค์ยกมือขึ้นกอดอก เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถามในขณะที่ผู้ที่ก้าวมาใหม่กลับเปิดปากคุยอย่างสุภาพ
“ขอโทษนะครับ พอดีเห็นว่าพวกคุณพูดถึงผมกับพี่ปัน” รอยยิ้มที่เหมือนจะกระดากกระเดื่องยังติดอยู่บนหน้า “บางที… เราน่าจะมาคุยเรื่องนั้นกันให้ชัดเจนหน่อย เพราะที่คุณเพิ่งพูดกับเพื่อนน่ะ ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไรเลย”
แบงค์เหลือบตามองเพื่อนในกลุ่มของเขา ถ้ารวมตัวเองด้วยเขาก็มีกันถึงห้าคน ในขณะที่อีกฝ่ายมีแค่คนเดียว ต้องเรียกว่าบ้าบิ่นใช้ได้
“ดูเหมือนจะมีคนมาหาเรื่องตายถึงที่เลยว่ะพวก” แบงค์พูดพร้อมกับยกยิ้มที่มุมปาก “เอาล่ะ เราไปหาที่สงบๆ ปลอดผู้คนเล่นกับเพื่อนใหม่ของเรากันหน่อยดีกว่า มีใครมีที่ไหนแนะนำบ้าง”
‘เฮ้อ… ให้ตายสิ อุตส่าห์ตั้งใจมาด้วยสันติแท้ๆ น้า’
โดนัทลอบคิดขณะผ่อนลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
พลั่ก!
เสียงเพื่อนคนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่บนพื้นล้มฟาดไปตามพื้นดินซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่รกร้างหลังโรงเรียนดังขึ้น ทำเอาแบงค์ที่ก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้นก่อนหน้านี้มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขายกมือขึ้นปาดเลือดที่ติดบนริมฝีปาก นึกกลัวขึ้นมาเมื่อโดนัทก้าวเท้าเข้ามาหาเขาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“อะ… อะไรของมึงวะ” คนที่ตั้งใจจะรุมอัดอีกฝ่ายถามเสียงสั่น พยายามจะรักษามาด ควบคุมไม่ให้ฟังดูตื่นกลัว แต่มันช่วยอะไรไม่ได้มากนัก “ต้องการอะไรกันแน่ ทำแบบนี้เพื่ออะไร”
โดนัทขมวดคิ้วมุ่นขึ้น ได้ยินเสียงกระซิบจากเพื่อนของแบงค์ที่หันไปคุยกันเองเกี่ยวกับเรื่องเขา และดูเหมือนทั้งคู่จะนึกออกแล้วว่าเขาเป็นตัวแทนระดับประเทศในการแข่งกีฬาเทควันโด เหมือนว่าการออกกำลังนิดๆ หน่อยๆ จะพอเรียกความจำของใครๆ ให้กลับมาได้บ้าง
เขาหันกลับไปมองตัวต้นเรื่องที่กำลังตัวสั่นและครางซี้ดซ้าดด้วยความเจ็บก่อนจะพูดเสียงเย็น
“ผมจะตอบคำถามนายก็ได้นะ แบงค์ แต่ขอผมอธิบายก่อนว่าคนที่หาเรื่องให้ทุกคนต้องเจ็บตัวก่อนน่ะคือนาย ผมไม่คิดจะใช้กำลังเลยตั้งแต่แรก แต่ในเมื่อเพื่อนนายตั้งใจจะทำร้ายผม ผมก็ต้องป้องกันตัว อันนี้เข้าใจตรงกันนะ”
ป้องกันตัวงั้นเหรอ…. ทำให้คนห้าคนเจ็บระนาวแบบนี้เนี่ยนะ ป้องกันตัว?
โดนัทยกยิ้มเหยียดเมื่อคำถามนั้นกระจ่างชัดอยู่ในใบหน้าของอีกฝ่าย แบงค์ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที รู้สึกว่าตัวเริ่มสั่นขึ้นมาอีกรอบ
“อ้อ ใช่ แล้วก็อีกเรื่อง อย่าเอาเรื่องนี้ไปฟ้องครูหรือรายงานใครต่อใครจะดีกว่า นี่เตือนด้วยความหวังดีนะครับ”
“มึงต้องการอะไร!” เด็กหนุ่มกระชากเสียงอย่างอัดอั้นที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ ทั้งๆ ที่พวกเขามีเยอะกว่า ตัวโตกว่าแท้ๆ
แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องสะดุ้งอีกระลอกเมื่อโดนัทกระชากคอเสื้อขึ้นไป “ผมจะบอกให้ก็ได้ว่าตั้งใจจะพูดอะไรตอนที่เข้าไปทักนาย”
“มะ… มึงแม่ง---”
โดนัทกระตุกคอเสื้อในมืออีกรอบเพื่อให้อีกฝ่ายเงียบ
“พี่ ปัน เป็น ของ ผม”
ถ้วยคำที่เน้นย้ำทีละคำดูดกลืนเสียงรอบกายไปจนหมด มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายเอื๊อกหนึ่งมาจากหนึ่งในเพื่อนของแบงค์ที่เสื้อผ้าคลุกไปด้วยเศษดิน ส่วนคนที่โดนขู่ต่อหน้าน่ะแทบจะลืมหายใจไปแล้ว
“เข้าใจตรงกันแล้วเนอะ?” พูดยิ้มๆ ขณะปล่อยมือออกจากคอเสื้อของแบงค์แล้วหันหลังเดินกลับไปเตรียมขึ้นห้องเรียนที่ยังไงเขาก็สายคาบแรกในช่วงบ่ายอยู่แล้ว แต่มันก็ไม่สำคัญเท่าไรนักหรอก
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นรู้ดีว่าสิ่งที่โดนัทพูดทิ้งท้ายเอาไว้ไม่ใช่ประโยคคำถาม
แต่เป็นการแจ้งให้ทราบต่างหาก
------------------------------------------
Talk: อื้อหือ.... บทนางจะมาทีก็แย่งซีนไปหมดเลยข่ะ อีหนูเอ๊ย 5555555