บทที่ 1
"เอ้า เร็ว พวกเรา ใครยังไม่ได้สั่งน้ำอะไรรีบสั่งเลยนะ โต๊ะนั้นจัดการครบรึยัง"
"ทางนี้เรียบร้อยแล้วค่ะพี่ ไม่ต้องห่วง"
เสียงตะโกนข้ามโต๊ะไปมาฟังดูครึกครื้น และผมเองก็คงจะรู้สึกคึกคักกับงานเลี้ยงของแผนกมากกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะในหัวยังวนเวียนคิดอยู่แต่เรื่องที่ลูกชายเพียงคนเดียวเปลี่ยนเพศไปโดยไม่ถามความสมัครใจของผู้ปกครองเสียแล้ว
"เอ้า พี่ดล ว่าไงคะ นั่งเงียบเชียว จะเอาน้ำอะไร"สา ลูกน้องในที่ทำงานคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงร่าเริงตามปกติ ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงซังกะตาย
"น้ำเปล่า"
"โห แน่ใจเหรอพี่ เบียร์สักแก้วไม่ดีกว่าเหรอ ยังไงวันนี้ก็งบบริษัท ไม่ต้องเหนียมก็ได้ม้าง"
"น้ำเปล่า" ยืนยันคำเดิม ทำเอาสาวเจ้ายอมถอยไปอย่างจำยอม หันไปสั่งเครื่องดื่มของทั้งโต๊ะหลังจากที่นับหัวเสร็จ
จากตำแหน่งที่นั่งอยู่ ผมได้ยินเสียงกระซิบจากลูกน้องอีกคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ รายนี้ชื่อชัย แล้วไม่รู้เป็นยังไงจำชื่อใครไม่เคยได้ ต้องเรียกด้วยฉายาที่เจ้าตัวตั้งเอง และเจ้าหมอนี่ก็กำลังคุยกับสาเรื่องผมด้วยเสียงกระซิบที่คงดังไปถึงหน้าปากซอย
"พี่ๆ นี่ลูกพี่หล่อเขาเป็นอะไรเนี่ย ทำไมดูซึมๆ ชอบกล แถมปกติแกดื่มไม่ใช่เหรอ รอบนี้น้ำเปล่าเสียงแข็งมาเลย เครียดเรื่องงานเหรอ"
"ไม่รู้ว่ะ ชัย แต่งานก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะ ทำไมแกไม่ลองถามพี่ดลดูเองล่ะ"
"อ้าว ดล เป็นอะไรครับเนี่ย หน้าเครียดเชียว" คนที่เอ่ยปากถามผมไม่ใช่ลูกน้องของตัวเองแต่เป็นคมกฤช เพื่อนร่วมงานต่างแผนกที่ชอบเนียนโผล่ไปงานเลี้ยงต่างๆ ของบริษัท แต่เพราะนิสัยร่าเริง คุยเก่ง และความอัธยาศัยดีของเจ้าตัวทำให้ไม่มีใครว่า ตรงกันข้าม คอยแต่จะถามให้แวะเวียนมางานสังสรรค์บ่อยๆ ด้วยซ้ำ "นี่ได้ยินว่าลูกนายสอบติดโครงการแลกเปลี่ยนไปอเมริกาไม่ใช่เหรอ มีเรื่องน่ายินดีแบบนี้ยังจะทำหน้าเซ็งอยู่อีก"
"อ้าว" ไอ้ชัยที่เมื่อกี้ทำเหนียมไม่เข้ามาคุยเสนอหน้าเข้ามาทันที "นี่ลูกพี่หล่อมีลูกแล้วเหรอครับเนี่ย ตกใจหมดเลย นึกว่าพี่ไม่มีแฟนด้วยซ้ำ"
"เมียพี่เขาเสียไปนานแล้วย่ะ ฉันเคยเล่าให้ฟังตั้งหลายรอบแล้วไม่ใช่หรือไง" สาเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยพร้อมกับบ่นอย่างไม่จริงจัง ไอ้ชัยทำหน้าเจื่อนลงนิดในขณะที่ผมยิ้มแล้วตอบกลับไป
"ไม่เป็นไรหรอก ชัย เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว ผมเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร"
ชายหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้น ก่อนจะเอ่ยคำถามต่อไปเพื่อเปลี่ยนเรื่องไปเสีย "ว่าแต่ลูกของลูกพี่หล่อนี่ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ"
คำถามง่ายๆ นั่นกลับทำเอาผมชะงักไปราวกับโดนค้อนฟาดเข้าที่กลางลำตัว ท่าทีอึกอักนั่นทำให้คนรอบตัวหันมามองอย่างงุนงง
โอเค ก่อนอื่นเลยนะ ขอผมบอกก่อนเลยว่าผมไม่ใช่พวกเหยียดเพศ ไม่เคยรังเกียจเพศที่สาม ใครอยากจะเป็นก็เป็นไป เหมือนมองดูจากที่ไกลๆ แต่ไอ้การที่ลูกชายเพียงคนเดียวของตัวเองกลายเป็นหนึ่งในนั้นแล้ว... มันเป็นอะไรที่คนละเรื่องกัน โดยเฉพาะกับผมที่มีมันคนเดียว คือเหมือนมันเป็นความหวังสุดท้ายของชีวิตผมแล้ว ผมรู้ว่าไอ้ปันเองก็ไม่ได้อยากทำให้ผมผิดหวัง แต่ไอ้ความรู้สึกเหมือนโดนทรยศนี่มันอะไรกัน
"ผู้... ผู้..." ผมหลุดคำพูดออกมาอย่างกระอึกกระอัก เอาล่ะสิ นี่คือบททดสอบของผมใช่ไหมว่าจะยอมรับตัวตนของลูกได้หรือเปล่า บางทีมันอาจเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ แล้วผมควรจะตอบคำถามนี้ไปยังไงดีล่ะ คือผมแน่ใจแน่ล่ะว่าตัวเองมีลูกชาย แต่การที่ไอ้ปันมาสารภาพว่ามันเป็นเกย์แบบนี้แปลว่าภายในมันตอนนี้ไม่ใช่ผู้ชายอีกต่อไปแล้วใช่ไหม หมายความว่ามันอยากเป็นสาวเหรอ? แบบ... อยากแต่งหญิง ทำตัวสวยๆ แบบที่พวกทิฟฟานี่โชว์ที่พัทยาเขาทำกัน
"เอ่อ พี่ดล" เสียงของสาที่เรียกอย่างกังวลเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของผม ว่าแต่ไอ้คำว่าเป็นเกย์ของไอ้ปันเนี่ยมันครอบคลุมไปถึงขั้นไหนกันแน่ อยากแต่งสวย อยากเป็นผู้หญิง ชอบผู้ชาย อะไรทำนองนั้นใช่ไหมนะ แล้วแมนๆ ล่ำๆ อย่างมันเนี่ยนะแต่งสาว ให้ตายเถอะ แค่นึกภาพก็สยองขวัญแล้ว
"ฮะๆๆ ดล! นายเป็นอะไรของนายเนี่ย! มีลูกชายก็บอกเขาไปสิว่าเป็นผู้ชาย งึมงำให้คนเขางงกันอยู่ได้" คมกฤชหรือก้องหัวเราะลั่นกับท่าทีอึกอักของผม มือรัวเข้ามาฟาดบ่าสองสามที พอจะดึงสติของผมให้กลับมาได้ "หมอนี่มีลูกชายอยู่ม. 5แล้ว เผอิญว่าน้องปัน ลูกหมอนี่เรียนอยู่ที่เดียวกับลูกสาวผมน่ะ แถมเป็นคนดังของโรงเรียน เวลามีอะไรอัพเดททีน้องณริต้องเอามาเล่าให้ฟังตลอด"
"อ้าว ลูกสาวของคุณก้องเรียนอยู่ที่เดียวกับน้องปัญญาเหรอคะ ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ย"
"ลูกสาวชื่อน้องณริเหรอครับ ชื่อน่ารักจัง"
"คนตั้งให้ก็แม่เขาแหละครับ"
หัวข้อสนทนาถูกเบี่ยงไปแล้ว ผมจึงกลับไปคิดเรื่องของปัญญาต่อ พักเรื่องที่มันเป็นเกย์ไว้ก่อน ที่ไอ้ก้องเพิ่งพูดว่ามันสอบผ่านไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกานี่... รู้ผลตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นไอ้ปันมันบอกอะไรผมสักคำ แล้วมันคิดจะไปจริงๆ หรือเปล่าวะ เห็นก่อนหน้านี้สองจิตสองใจ แล้วถ้าจะไป ผมจะมีปัญญาส่งเงินให้มันพอใช้พอที่นู่นไหมน้อ อาจจะต้องลดค่าใช้จ่ายอย่างอื่น…
นี่แหละน้า... เรื่องที่ผมนั่งกังวล นั่งคิดไม่ตกอยู่ทุกวันนี้ก็มีแต่เรื่องลูกนี่แหละ ใครยังไม่มีลูกและคิดจะมีก็ลองพิจารณาดีๆ ดูหน่อยแล้วกัน ยิ่งอย่างผมนี่มีไอ้ปันมาตั้งแต่วัยรุ่น ช่วงเวลาที่ควรจะได้สังสรรค์เที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ นี่เป็นอันหายโม้ด... จนถึงตอนนี้ก็ยังต้องมานั่งกังวลสารพัดเรื่องของมันอีก
“เฮ้อ…”
ทันใดนั้นเองที่มีอะไรบางสั่นอย่างรุนแรงที่ต้นขา ผมสะดุ้งสุดตัวเนื่องจากกำลังใจลอยกับเรื่องอื่น ทำเอาสาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ไหวตัวตามด้วยความตกใจ เสียงริงโทนที่ติดมากับตัวเครื่องดังขึ้น ผมถึงได้รู้ว่าโทรศัพท์ของผมมีสายเข้านั่นเอง
หยิบมันขึ้นมาดูหน้าจอ ปรากฎว่าเป็นไอ้ปันที่โทรเข้ามา นึกถึงผี ผีก็มาเลยจริงๆ
ผมกดรับสายก่อนจะกรอกเสียงลงไปห้วนๆ บอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าภาวะมึนตึงระหว่างเรายังไม่จบ "มีอะไร ปัน"
"พ่อ พ่ออยู่ไหน" น้ำเสียงอีกฝ่ายยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอาการห่างเหินอย่างที่ผมทำอยู่ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าปัญญาเองก็ใช้ความพยายามและความอดทนในการทำตัวเหมือนไม่รับรู้ความโกรธของผมอยู่เหมือนกัน "ผมได้ยินเสียงดังไปหมดเลย งานเลี้ยงเหรอพ่อ"
"ใช่ ออกมากินข้าวกับที่ทำงาน" เสียงผมยังห้วนอยู่ และผมได้ยินเสียงไอ้ปันสูดลมหายใจแรงเพื่อระงับอารมณ์ "มีอะไร"
"ตอนแรกผมจะขอให้พ่อมารับหน่อย แต่ถ้าไม่ว่างก็ไม่ต้องก็ได้ครับ"
ผมนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ตามปกติถ้าไอ้ปันโทรมาขอให้ไปรับ ผมแทบไม่เคยปฏิเสธมันนอกจากจะติดธุระสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ และไอ้การกินเลี้ยงกับแผนกนี่ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรถ้าว่ากันตามตรง แต่อารมณ์ผมนี่สิ... ไม่ค่อยอยากจะไปรับมันเลย มันเซ็งๆ เบื่อๆ ไม่อยากเจอหน้ามันอย่างบอกไม่ถูก แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธมันได้ ทั้งๆ ที่ลูกผมก็ไม่ใช่เด็กสามขวบแล้ว
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปรับ รอสักครึ่งชั่วโมงนะ"
"ไม่ต้องก็ได้ครับพ่อ กินข้าวกับเพื่อนเถอะ"
"ไม่เป็นไร รออยู่ที่โรงเรียนแหละ เดี๋ยวไปรับ"
"พ่อแน่ใจนะ? "
"เออ" ขึ้นเสียงใส่นิดหนึ่ง จะถามย้ำทำไมหลายๆ รอบเนี่ย ตกลงใครเป็นพ่อ หา
"ตกลงครับ งั้นผมจะรอที่หน้าประตูโรงเรียน อีกครึ่งชั่วโมงนะ"
"โอเค"
กดตัดสายแล้วผมก็หันไปบอกสาว่าต้องกลับก่อนจากนั้นจึงขอตัวเลี่ยงออกมา ขับรถไปตามทางโดยเลี่ยงถนนเส้นหลักที่รถค่อนข้างแน่น ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูโรงเรียนไอ้ปันในอีกสี่สิบนาทีต่อมา เลี้ยวรถเข้าไปในส่วนสำหรับรับส่งคน ไอ้ตัวแสบกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานกับเพื่อนมันอีกคน คนนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพื่อนมันคนไหนเพราะไม่คุ้นเคย แต่ดูแล้วอาจจะเป็นรุ่นน้องไอ้ปันเพราะดูหน้าเด็กกว่า ไม่น่าใช่รุ่นเดียวกัน
ผมบีบแตรสั้นๆ ทีหนึ่งเพื่อให้คนที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนอยู่รู้ตัว ปัญญาหันหน้าขวับมาทันทีก่อนจะส่งยิ้มสว่างไสวอย่างคนมีความสุขมาให้ ผมชะงักไปทันที การที่ไอ้ลูกบ้าจะส่งยิ้มสดใสขนาดนั้นมาให้ทั้งที่เรายังมึนตึงกันอยู่แบบนี้แปลว่าตอนนี้เจ้าตัวต้องอารมณ์ดีมาก สงสัยจะคุยกับเพื่อนถูกคอ ถึงได้ดูสดชื่นแจ่มใสได้ขนาดนี้
เจ้าตัวหันหน้ากลับไปหาเด็กหนุ่มอีกคน "พ่อพี่มารับแล้ว ต้องกลับแล้วล่ะ"
"พี่ปันจะกลับแล้วเหรอครับ" อีกฝ่ายถามด้วยท่าทีซึมลงไปนิดหนึ่ง ปัญญาเอื้อมมือไปยีเส้นผมเจ้าตัวแรงๆ พร้อมกับหัวเราะร่วน
"ทำหน้าแบบนั้นทำไมเนี่ย เดี๋ยวก็คุยกันทางข้อความก็ได้ ว่าแต่นี่โดกลับยังไง ใครมารับหรือเปล่า"
"ผมต้องรอม๊ามารับ คงอีกหลายชั่วโมง"
"อ้าว งี้ก็แย่สิ บ้านอยู่ไหนเนี่ย"
เพื่อนรุ่นน้องของปัญญาบอกที่ตั้ง และเมื่อเห็นว่าเป็นทางผ่านทางกลับบ้านเรา เจ้าตัวแสบก็รีบเสนอทันที
"ถ้างั้นให้พ่อพี่ไปส่งแล้วกัน นะ พ่อ ให้น้องติดรถไปด้วยได้ไหม แวะไปส่งหน่อย สงสารน้อง ต้องรอแม่อีกนาน"
"เอาสิ" ผมตอบรับโดยไม่เสียเวลาคิด ทางก็ทางผ่าน แล้วไอ้รับส่งเพื่อนไอ้ปันก็ทำมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง บางครั้งพ่อแม่เพื่อนมันก็ไปส่งที่บ้าน ก็คงต้องผลัดๆ กันไปล่ะนะ เรื่องแบบนี้
"แต่... จะดีเหรอครับ" อีกฝ่ายมีท่าทีเกรงใจ "รบกวนพ่อพี่ปันหรือเปล่า"
"ไม่รบกวนหรอกน่า บอกแล้วไงว่าทางผ่าน" ปัญญาพูดอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับเปิดประตูหลังให้อีกฝ่ายเรียบร้อย "มาเถอะครับ รีบไปกันดีกว่า รถด้านหลังมานั่นแล้ว เดี๋ยวจะติดกันทั้งถนน"
ผมได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของลูกชายไปตลอดทาง ทั้งๆ ที่เรื่องที่เจ้าตัวแสบคุยกับรุ่นน้องของตัวเองมีแต่เรื่องสัพเพเหระ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีความสุขเสียเหลือเกิน
"เออ นี่ ผมบอกพ่อหรือยังว่าไอ้หมอนี่ชื่อโดนัท คนอะไรก็ไม่รู้ ชื่อโคตรน่ากิน แถมหน้าก็หวาน สงสัยแม่คงตั้งชื่อตามหน้าแหงเลย"
"พี่ปัน พูดอะไรของพี่เนี่ย ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยครับ"
"แล้วนี่โดนัทเรียนอยู่ชั้นไหนครับเนี่ย" ผมถามยิ้มๆ อย่างนึกเอ็นดูเด็กทั้งสอง โดยเฉพาะไอ้ปัน เห็นลูกมีความสุขผมก็มีความสุขเหมือนกันนะครับ และถึงมันจะตัวโตเท่าหมีควายขนาดนี้ ผมก็ยังรู้สึกเหมือนมันอายุห้าขวบเหมือนเดิม โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบเด็กๆ แบบนี้
"ม.4 ศิลป์-คำนวณครับ" คนถูกถามตอบอย่างสุภาพ ช่างเป็นเด็กมารยาทดีต่างจากไอ้ตัวแสบลูกผม
"มีอะไรไม่เข้าใจก็มาถามพี่ได้ตลอดนะ แล้วนี่เลี้ยวซอยไหนเนี่ย มัวแต่คุย เดี๋ยวจะเลยบ้านซะก่อน"
"อ๊ะ ครับ เดี๋ยวเลี้ยวแยกถัดไปเลย ส่งผมตรงนั้นก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินเข้าไปอีกหน่อย"
"โอเค งั้นน้าส่งตรงนี้นะ" ผมว่าพร้อมกับจอดรถ โดนัทคว้ากระเป๋าของตัวเองสะพายหลังแล้วยกมือไหว้ จากนั้นจึงหันไปส่งยิ้มแป้นให้ลูกชายผม ดูเหมือนเด็กสองคนนี้จะชอบกันจริงๆ แฮะ
อื๊อ? เดี๋ยวนะ...
ไอ้ปันมันเพิ่งบอกผมเมื่อวานว่ามันเป็นเกย์... แล้วไอ้รุ่นน้องที่มันคุยด้วยเมื่อกี้…
"ว้า น้องไปซะแล้วแฮะ ขอบคุณนะฮะพ่อที่อุตส่าห์พารุ่นน้องผมมาส่ง"
เดี๋ยว ก่อน นะ
"ไอ้ปัน แกอย่าบอกนะว่า... แกกับโดนัท..."
ปัญญาหันมายิ้มกว้างจนแทบจะฉีกไปถึงหูให้ผม นั่นยิ่งทำเอาผมรู้สึกมวนในท้องขึ้นมาทันทีเมื่อเข้าใจถึงสาเหตุที่ลูกชายผมยินดีปรีดาเสียขนาดนั้น
“ก็… ยังไม่ถึงขั้นคบกันหรอกพ่อ แต่ก็กำลังดูๆ กันอยู่”
แม่เจ้าโว้ย โชคดีนะที่ทางข้างหน้าเป็นทางตรง แล้วถนนก็โล่ง ไม่งั้นผมคงได้ขับไปเฉี่ยวรถใครเขาเข้าแน่ๆ เพราะคำพูดเมื่อกี้
“เหวอ… พ่อ ขับดีๆ หน่อย นี่ดื่มมาหรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่า” ปากตอบแบบนั้นแต่มือตัดสินใจหักเลี้ยวเข้าไปจอดที่ปั๊มน้ำมัน ไม่ได้จะเติมเชื้อเพลิง ไม่ได้จะแวะซื้อของกินหรือเข้าห้องน้ำ แต่ผมจำเป็นต้องถามไอ้ปัญญาให้รู้เรื่อง
“แกชอบเด็กคนเมื่อกี้เหรอวะ ไอ้ปัน” น้ำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ รู้สึกได้ว่าหน้าของตัวเองซีดเผือดลง แต่ไอ้ตัวแสบก็ยังยิ้มลอยหน้าลอยตา
“โดนัทน่ะเหรอครับ อืม… ก็ชอบแหละ แต่น้องเขาน่ารักจริงๆ นะ พ่อไม่คิดเหมือนผมเหรอ”
ผมมองมันราวกับมองเอเลี่ยนที่มาจากดาวพุธ “น่ารักเนี่ยนะ? ”
“ใช่ หน้าหวานขนาดนั้น ขาวก็ขาว แถมยังพูดจาดีอัธยาศัยดี น่ารักจะตาย”
“น่ารักตรงไหน” ชมเด็กผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันว่าน่ารักได้นี่ ลูกผมคงไม่ปกติแล้ว… อ้อ ใช่สิ มันไม่ปกติไปแล้วนี่หว่าเพราะว่ามันยอมรับแล้วว่าตัวเองเป็นเกย์ไง!
“งั้นก็หน้าตาดีถ้าพ่อไม่อยากใช้คำว่าน่ารัก แต่พ่อปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้หรอก”
ผมพยายามนึกหน้าเด็กชายคนที่เพิ่งลงจากรถไป ไม่ได้ตั้งใจมองหน้าเต็มๆ ซะด้วย แต่ก็พอจะนึกออกว่าอีกฝ่ายหน้าตาดี
“อือ ใช่ ก็หน้าตาใช้ได้”
“ไหมล่ะ”
“แต่เขาเป็นผู้ชายนะ”
ปัญญากลอกตาขึ้นบนหนึ่งที “พ่อ ผมบอกแล้วไงว่าผมเป็นเกย์”
ฉึก!
เหมือนมีลูกธนูที่มองไม่เห็นปักลงกลางอก
“แก… แกคิดดีแล้วจริงๆ เหรอวะว่าจะเป็น”
“ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าผมไม่ได้เป็นเพราะอยากจะเป็น”
“ไม่ได้เป็นเพราะอยากเป็นบ้าอะไร! แกโคตรมีความสุขเลยไม่ใช่เรอะ!? ”
“โว้ย ก็เพราะผมยอมรับว่าตัวเองเป็นได้แล้วน่ะสิ มันถึงได้มีความสุขน่ะ! แต่พ่อไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าก่อนหน้านี้ผมกลุ้มใจมากแค่ไหน! ”
“ไม่เข้าใจโว้ย! ” แล้วตอนนี้เอ็งเข้าใจความรู้สึกหัวอกคนเป็นพ่อบ้างไหมล่ะโว้ย!
เราสองคนหันหน้ากันไปคนละทาง สงบสติอารมณ์ของตัวเอง หางตาผมเหลือบมองปัญญาที่กำหมัดแน่นขึ้นอย่างอัดอั้น เห็นแค่นี้ใจผมก็อ่อนยวบลงมาทันที
บางทีผมอาจจะคิดถึงแต่ตัวเองมากเกินไป ไม่ได้นึกถึงความทรมานของมันอย่างที่มันบอกก็ได้ มันเป็นเกย์… และมันก็กล้าที่จะมาบอกผมตรงๆ เพียงเพราะว่าเราเคยสัญญากันไว้ว่ามีเรื่องอะไรเราจะไม่ปิดบังกัน
ผมไม่รู้ว่าถ้ามันไม่บอกผมเสียตั้งแต่แรก ทุกอย่างจะดีกว่านี้ไหม บางทีผมอาจจะสบายใจกว่า มีความสุขมากกว่า แต่ไอ้ปันก็ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ ความเป็นตัวเองกับผม พอคิดว่ามันอาจจะทำแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเจ็บในอกขึ้นมานิดหนึ่ง
ผมอาจจะไม่ใช่พ่อที่ดี แต่ผมก็อยากให้ลูกไว้ใจผมทุกเรื่อง และตอนนี้ปันเองก็มอบความไว้ใจนั่นมาให้แล้ว ผมต้องประคองมัน… ไม่ว่าจะรับได้หรือไม่ได้เรื่องที่มันเป็นเกย์ แต่ผมคงไม่สามารถหันหลังหนีให้มันได้เพียงเพราะเรื่องแค่นี้หรอก
“พ่อจะเอายังไง”
“ว่าไงนะ” ผมถามกลับอย่างงุนงง
“ผมรู้ว่าพ่อโกรธ แต่มันเป็นไปแล้ว… พ่อจะให้ผมทำยังไง”
ปัญญาไม่ได้หันกลับมามองหน้าผม และมันกำลังเข้าใจผิด ผมไม่ได้โกรธ ผมแค่… สับสน สับสนแล้วก็งงมากๆ จนทำตัวไม่ถูกก็เท่านั้น
“แล้วแกจะทำอะไรได้ล่ะ”
“ผมจะเข้าจุฬาให้”
คำพูดนั้นแทบทำให้ผมอ้าปากค้าง ผมไม่เคยเคี่ยวเข็ญอะไรมันเลยเรื่องเรียน ขอแค่ให้สอบไม่ตก ไม่ต้องซ้ำชั้นก็พอ แต่ปัญญาก็ทำให้ผมมากกว่านั้นมาตลอดโดยที่ผมไม่เคยร้องขอ
ไอ้ตัวแสบยังไม่หันหน้ากลับมาหาผม ตายังมองออกไปนอกกระจกรถ ปากก็พูดพร่ำต่อ
“ผมจะเรียนหมอให้ด้วยก็ได้ถ้าพ่ออยากให้เป็น”
“เอ่อ ก็เปล่านะ” ไม่เคยคิดอยากให้ลูกเป็นหมอเลยสักครั้งครับ งานก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย รักษาพลาดก็อาจโดนฟ้อง เงินมากมายได้มาขนาดไหนก็ไม่คุ้ม ที่สำคัญ ต้องไปผจญกับเลือดจากคนไข้นี่ คือผมไม่ถูกกับเลือดไง แค่เห็นก็จะเป็นลม ไอ้ปันอาจจะไม่เป็นไร แต่แค่คิดว่าต้องไปเจอความลำบากขนาดนั้นก็ไม่อยากให้เป็นแล้ว
“ผมจะเอาเกรดสี่ทุกเทอมให้พ่อ”
“แค่ตั้งใจเรียนตามปกติก็พอแล้ว เกรดสี่เอามาก็กินไม่ได้”
“แล้วพ่อจะเอายังไง” คราวนี้ไอ้ตัวแสบหันกลับมามองผมตาเขียวปั้ด แต่ผมสังเกตว่าหางตาของมันแดงขึ้นเหมือนจะร้องไห้ “ต้องให้ผมหาลูกสะใภ้มาให้เท่านั้นรึไงถึงจะพอใจ”
“ก็ไม่ได้พูดแบบนั้น”
“พ่ออยากจะอุ้มหลานเหรอ เดี๋ยวผมหาลูกบุญธรรมมาเลี้ยงเอา”
“เปล่า ก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
แล้วเราสองคนก็มองหน้ากันนิ่งเป็นเวลาสามวิฯ
“แล้วพ่อมีปัญหาตรงไหนที่ผมเป็นเกย์!? ”
“ก็ไม่ได้บอกว่ามีปัญหาอะไรสักหน่อย! ” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“โกหก! ไม่มีปัญหาแล้วทำไมต้องโกรธกันด้วย เมื่อคืนก็ทำนิ่งใส่ผม โทรไปเมื่อกี้ก็ทำเสียงเย็นชาใส่”
“ปัดโธ่โว้ย ก็ให้เวลาทำใจกันหน่อยสิวะ อยู่ๆ ลูกชายคนเดียวมาบอกว่าตัวเองเป็นพวกไม้ป่าเดียวกันมา ใครมันจะไปตั้งตัวทันกัน! ใจคอแกจะให้ฉันหน้าชื่นตาบานแล้วบอก ‘อ้อ ไม่เป็นไรหรอก ลูก ตามสบายเลย ขอแค่ลูกเป็นคนดีจะเป็นเพศไหนพ่อก็ไม่สนใจหรอก’ แบบนี้เหรอวะ!? ”
“ใช่! ”
“งั้นก็ขอบอกเลยว่าแกดูละครมากเกินไปแล้ว ฉันทำใจยอมรับง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้หรอก”
“ผมก็เลยถามอยู่นี่ไงว่าพ่อจะเอาอะไร อะไรที่จะทดแทนเรื่องนี้ได้บ้าง อยากให้ผมเป็นหมอ เป็นนักบินอวกาศ เป็นทนายความ นักวิจัย นักกีฬา นักธุรกิจ… พ่อบอกเลยว่าอยากได้อะไร ผมจะทำให้ แต่เรื่องที่ผมเป็นเกย์นี่มันช่วยอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ แล้วผมก็ไม่อยากฝืนเป็นในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็น”
ผมรู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจากร่าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาปัญญาไม่เคยบอกเลยว่าตัวเองอยากเป็นอะไร เอาจริงมันเป็นคนที่ดูใช้ชีวิตเลื่อนลอยมาก เลือกเรียนสายวิทย์-คณิตก็เพราะตามเพื่อน ถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรก็คอยเบี่ยงประเด็นตลอด แต่ตอนนี้มันกำลังเอาอนาคตตัวเองมาให้ผมเลือกเพื่อแลกกับการยอมรับเรื่องที่มันเป็นเกย์เนี่ยนะ?
ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไง
เราหันหน้าหนีจากกันอีกรอบเพื่อรวบรวมสติอีกที ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกหนึ่ง
เอาล่ะ เราจะยังไม่พูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า เรื่องนี้มันยังสดใหม่เกินกว่าจะเอามาถกกันเป็นจริงเป็นจังแบบนี้ และสารภาพตามตรงก็คือ… ผมยังไม่พร้อม
“หิวหรือเปล่า ปัน” ผมพูดเปลี่ยนเรื่อง ปัญญาเองก็คงเข้าใจว่านั่นคือสัญญาณบางอย่าง เจ้าตัวพยักหน้ารับอย่างไม่เกี่ยงงอน
“หิวครับ”
“อยากกินอะไร”
“เอ็มเค”
“งั้นแวะห้างกัน”
“ไม่เอา ห้างคนเยอะ”
อ้าว ไอ้ลูกเวรนี่
“เอาเป็นก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยแล้วกัน ผมอยากกินขนมโตเกียวที่ตลาดนัดข้างๆ ด้วย”
อื้อหือ เกรดอาหารนี่ลดลงมาฮวบฮาบน่าใจหาย
“ได้” ผมออกรถอีกรอบเพื่อตรงไปยังบ้านของเรา ไม่มีการพูดคุยเรื่องรสนิยมทางเพศของปัญญาอีกเลยในตลอดทั้งเย็น
----------------------------------------
งอกเหวย... งอกเหวยยยย ไม่น่าเชื่อว่ามันจะงอก 555555 แต่เรื่องนี้ก็เขียนสนุกดีนะ XD
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านมากนะคะ มีคนอ่านเยอะกว่าที่คิดเลยงอกมาได้ 555555 //โค้ง