Passion Uncensored เปลือยรักหมดหัวใจ (ลงใหม่ตอนที่1-30 อ่านจากหน้า2ยาวไป) 8/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Passion Uncensored เปลือยรักหมดหัวใจ (ลงใหม่ตอนที่1-30 อ่านจากหน้า2ยาวไป) 8/7/61  (อ่าน 10409 ครั้ง)

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
ขอ 3 ได้ไหมคะ 555555 คืองานดีทุดคนอ้ะะ

ออฟไลน์ Marchyn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :impress2:จะมาต่อหรือยังน้า~ สนุกมากๆเลยครับ

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ขอบคุณ สนุกมากๆ ติดตามๆ อยู่จร้า

ออฟไลน์ Satang_P

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 856
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-2

ออฟไลน์ silverrain

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
เจ้าของภาพนั้นต้องเป็นขุนพลแน่นอน
ทั้งสองคนต่างมีกันเป็นแรงบันดาลใจ
เหมือนคุณเลขาจะรู้อะไร
คำพูดแทงใจมากจ้า

ออฟไลน์ Marchyn

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คิดถึงเรื่องนี้แล้ว อยากให้กลับมาต่ออีกจังเลยย

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รอไรท์   :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
หายไปนานง่ะ

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 0 - นั่นละปัญหา

 
“ฉัน...ไม่...ถอด...เว้ย!!”

เสียงห้าวตะโกนลั่นห้องแต่งตัวที่ปิดประตูไว้หนาแน่น

แน่ละ...ถ้าห้องไม่ปิดสนิท และผมไม่ได้อยู่คนเดียว ผมจะกล้าตะโกนเรอะ!!

อย่า...อย่ามามองผมด้วยสายตาสมเพชเวทนาแบบนั้น ผมไม่ได้บ้า และไม่ได้พูดคนเดียว ผมกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ไม่เห็นเหรอครับ?

แล้วทำไมผมต้องะโกนเหรอ? เหอะ!!

ก็ไอ้ช่างภาพบ้านั่นมันจะให้ผมแก้ผ้าถ่ายแบบนะสิ!!!

นั่น!! ทำหน้างง สงสัยละสิว่าผมเป็นนายแบบ กะอีแค่ถอดเสื้อตจะไปอายอะไรใช่มะ??

ใช่! ผมเป็นผู้ชาย ผมไม่มีอะไรต้องอาย แต่...

ความเป็นผู้ชายของผมนี่แหละที่เป็นปัญหา!!

แล้วโฆษณามาสคาร่ามันต้องถอดเสื้อผ้าถ่ายไปทำเผือกอะไรวะ!!

อ้าวทำหน้างงอีก สงสัยอีกละสิว่าทำไมผู้ชายอย่างผมต้องมาถ่ายโฆษณามาสคาร่าสำหรับตกแต่งดวงตาของผู้หญิง

นั่นละครับปัญหาข้อที่สอง!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 1 - พอร์ทเทรต มาร์แตง

กริ๊ง...
เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่เหนือบานประตูไม้สั่นเป็นสัญญาณเมื่อผมเดินเข้าไปในร้านเบเกอร์รี่ที่อากาศอบอุ่นพร้อมกับกลิ่นชาหอมๆ อย่างคุ้นเคย …บ้านผมเอง

"กลับมาแล้วเหรอน้องพอร์ท"

ผมหันไปตามเสียงเรียกจากหลังบาร์เครื่องดื่ม แขกในร้านมองผมอย่างสนใจเล็กน้อย แน่ละ เพราะพวกเขาฟังไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดกับผมว่าอะไร ในเมื่อเขาทักผมเป็นภาษาไทยท่ามกลางสาวชาวฝรั่งเศสตาน้ำข้าวทั้งร้าน

ใช่ครับ ที่นี่คือฝรั่งเศส

ประเทศแห่งแฟชั่นชั้นนำ...น้ำหอมไฮคลาส...อาหารฟูลคร์อส...และความหรูหราระดับโลก

ประเทศที่แม่และผมอาศัยอยู่มาตั้งแต่ที่แม่ตัดสินใจกระโดดถีบพ่อทิ้งและคว้าตัวผมบินลัดฟ้ามาอาศัยอยู่ตั้งแต่ผมยังเด็ก และร้านของบ้านผมก็ตั้งอยู่ในปารีสซะด้วย

ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ แม่ผม ‘กระโดดถีบ’ พ่อ จริงๆ สาบานให้ฟ้าผ่าร้านเลย ภาพนั้นยังติดตาผมอยู่จนถึงทุกวันนี้

ทำไมนะเหรอ?

ก็เพราะผมก็ชอบโดนแม่ทำแบบเดียวกันถ้าผมไปขัดใจคุณนายเธอเข้านะสิ!!

"คุณนายละครับพี่หวานใจ"

ผมยิ้มให้สาวผมบลอนด์ที่เป็นขาประจำร้านเล็กน้อยก่อนเดินอ้อมเข้าไปหลังบาร์เพื่อช่วยพี่หวานใจ ลูกจ้างคนไทยของแม่เตรียมออร์เดอร์ลูกค้า

"พี่เชฟอยู่ข้างบนค่ะ เห็นว่ามีแขก นี่ก็หายไปคุยกันนานแล้วนะ"

"แขกเหรอครับ? ใคร?"

ปกติคุณนายของผมไม่ค่อยรับแขกนักหรอก อย่างที่พอเดาได้ แม่ผมออกจะ...เอ่อ… อินดี้ไปหน่อย อ้อ แม่ผมชื่อเชลีนครับ แต่เด็กๆ ในร้านมักเรียกว่าเชฟ ว่าแต่ใครนะ...แขกของคุณนาย

"พี่ก็ไม่รู้หรอกค่ะ รู้อย่างเดียว...เขาหล่อมากกกกกกกกก เชียวค่ะ ลูกค้างี้ มองกันเหลียวหลัง อย่างว่า สมัยนี้เทรนหนุ่มเซอร์แบกเป้สะพายกล้องกำลังมาแรงนะคะ พี่เห็นยังอดมองไม่ได้เลย"

หนุ่มเซอร์ ...แบกเป้...สะพายกล้อง?....

ระ...หรือว่า...

"ชิบหายล่ะ!"

ผมสบถลั่น รีบพุ่งตัวขึ้นบันไดไปยังห้องพักด้านบนท่ามกลางความตกใจของพี่หวานใจ เด็กในร้านและแขกคนอื่นๆ

แต่ผมไม่มีเวลาสนใจหรอก เพราะตอนนี้ ผมกลัวว่าคุณนายของผมกำลังจะอาละวาดพังร้านตัวเองมากกว่า!

"อย่ามาทำหน้ากวนส้นฉันนะ!!"

นั่นไง! ผมคิดผิดซะเมื่อไหร่ละ!

ผมรีบพุ่งตัวไปเข้าไปในห้องทันทีที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของแม่ ก่อนจะกระโจนไปคว้าปีกแขนเธอเอาไว้แน่น แต่มันก็แทบไม่ช่วยอะไรเมื่อขาคู่เรียวยาวของแม่ผม อาศัยผมเป็นหลักยึด กระโดดถีบเป้าหมายด้านหน้าเน้นๆ จนอีกฝ่ายกระเด็นหงายหลังไปไกล

"ใจเย็นแม่!"

"ไม่ยงไม่เย็นมันแล้ว! กล้ามากนะที่มาแหยมฉันถึงนี่ ถ้าวันนี้เลือดแกไม่ออก อย่ามาเรียกฉันว่าเชลีน!!"

นางสาวเชลีน มาร์แตง กรีดร้องพร้อมแยกเขี้ยวราวกับจะเข้าไปขย้ำคนตรงหน้าประหนึ่งตัวเองเป็นนางเสือป่าล่าเหยื่อ

"ไม่ให้เรียกเชลีน งั้นเรียกที่รักดีมั้ย...ทูนหัว"

น้ำเสียงเซ็กซี่ หยอดคำหวานที่เรียกได้ว่าแทบทำหญิงคนไหนที่ได้ฟังตัวอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ พร้อมกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทรงเสน่ห์ที่ขยิบมาให้อย่างยียวน ติดที่ว่ามันใช้ไม่ได้กับคุณนายเชลีนนะสิ!

"อ๊ากกกกกกก ไอ้เชน แกตาย!!"

คุณนายเชลีนกรี๊ดลั่นและพยายามตวัดขาหวังฟาดให้ถึงปากอีกฝ่าย ส่วนผมก็ทุ่มกำลังทั้งหมดยึดเอาไว้ เพราะกลัวอีกฝ่ายจะได้เลือดจริงๆ โอ้ย ลำบากใจว้อย!!

"แหม จำชื่อผมได้ด้วย จะว่าไป ฟังกี่ที ชื่อผมกับคุณนี่ มันก็เหมาะสมกันยิ่งกว่ากิ่งทองใบหยกอีกนะ เชน...เชลีน...เชน...เชลีน เข้ากั๊นเข้ากัน ว่ามั้ย...ทูนหัว"

หนุ่มเซอร์แบกเป้สะพายกล้องของพี่หวานใจยิ้มหวานมาให้คุณนายเชลีนของผม แต่ผมว่า มันจะยิ่งทำให้เธอโมโหมากขึ้นกว่านะ ให้ตายเถอะ!

"ใครว่า ฉันเป็นดอกฟ้า แต่แกน่ะ ไอ้หมาวัด! มา มาให้ฉันเอาเลือดหัวแกออกเดี๋ยวนี้นะ!!"

"ก็จริงของคุณนะ เพราะลีลาท่าหมาๆ ของผมไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้เรามีลูกชายสุดหล่อคนนี้นะ"

ถ้อยคำยียวนที่แฝงความหมายบางอย่างทำเอาผมหน้าร้อนหน่อยๆ พ่อกับความแดงของหน้าคุณนายเชลีนที่เดาว่าไม่ได้มาจากความเขิน แต่อารมณ์เธอกำลังเกินทะลุจุดเดือด

"กรี๊ดดดดดดดดดดด ไอ้บ้า! ไอ้ตากล้องเฮงซวย! ไอ้หมาบ้า!"

"พอทีเถอะครับแม่! พ่อด้วย! ออกไปก่อนเถอะ ผมยึดไม่ไหวแล้วนะ!"

ผมตะโกนอย่างเหลืออด ทำให้หนุ่มเซอร์แบกเป้สะพายกล้องยักไหล่ยอมแพ้เดินเลี่ยงออกมา แต่ยังไม่วายหันมายิ้มยั่วใส่สาวสวยที่อยู่ในอ้อมแขนผม

"โอเค พ่อลงไปรอข้างล่างนะ...แต่ถ้าคุณอยากให้หมาบ้าอย่างผมมาคลายหนาวก็โทรมาได้เสมอนะ...ทูนหัว"

"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด"

"แม่ ใจเย็นๆ พ่อเค้าแค่แหย่เล่นน่า เดี๋ยวลูกค้าข้างล่างก็ตกใจหรอก"

ผมล็อคตัวคุณนายลากให้เธอนั่งลงบนเตียงซึ่งเธอก็เหมือนจะยอมแต่โดยดี อาจเป็นเพราะตะเบ็งเสียงลั่นมานานจนเหนื่อย

"แม่..."

ผมเรียกคุณนายเบาๆ เมื่อเห็นว่าเธอก้มหน้าและเม้มปากอย่างเอาแต่ใจ แต่ผมก็สังเกตได้ว่าดวงตาสีฟ้าใสของเธอสั่นไหวบ่งบอกอารมณ์ที่ไม่มั่นคง

แน่ละ...ต่อให้โมโหแค่ไหน แต่ผู้ชายคนนั้นก็คือพ่อ...คือผู้ชายที่ผู้หญิงข้างตัวผมรัก

ผมเสยผมยาวๆ ของตัวเองอย่างไม่รู้จะทำยังไง ก่อนเอื้อมมือไปคว้าศีรษะของผู้หญิงข้างตัวเข้ามากอด ซึ่งเธอก็โอนอ่อนและซุกหน้าลงกับซอกคอผมอย่างออดอ้อน สาบานเลยว่าผู้หญิงคนนี้คือแม่ผม

"พอร์ท..."

"ครับผม” ผมลูบผมเธอเบาๆพร้อมขานรับ ให้เธอรู้ว่าผมฟังอยู่...ให้เธอรู้ว่าผมยังอยู่ตรงนี้

"อย่าเป็นแบบผู้ชายคนนั้นนะ...อย่าไปยุ่งกับพวกนางแบบหน้าสวย...อย่าไปหลงเสน่ห์พวกผู้หญิงหน้ากล้อง”

“…”

“อย่า...ทิ้งแม่"

เสียงของคุณนายสั่นน้อยๆ จนผมต้องลอบถอนหายใจเและรัดอ้อมแขนแน่นขึ้น ก่อนจะลูบผมสีน้ำตาลทองธรรมชาติของเธอเบาๆ

"พอร์ทไม่รู้หรอกว่าเป็นแบบพ่อคือยังไง พอร์ทไม่รู้ด้วยว่าจะไปยุ่งกับนางแบบได้ไงเพราะว่าพอร์ทเอาแต่เรียน ทำงาน กับช่วยแม่ทำขนม แต่ที่พอร์ทรู้...พอร์ทจะอยู่กับคุณนายเชลีนขี้วีนเสมอ"

ผมเน้นเสียงคำว่าขี้วีนอย่างหยอกล้อจนสาวสวยในอ้อมแขนหัวเราะออกมาและชกที่อกผมเบาๆ

"กล้าว่าแม่เหรอ ไอ้ลูกบ้า!"

แน่นอน ต่อให้ว่ามากกว่านี้ก็ย่อมได้ ถ้าจะทำให้คุณนายเชลีนของผมยิ้มหวานแบบนี้ตลอดไป

ผมนี่มันลูกดีเด่นจริงๆ!
 

"คุณนายอารมณ์ดีขึ้นรึยัง?"

เสียงทุ้มสุดเซ็กซี่เรียกถามทันทีที่ผมเดินกลับลงมาถึงชั้นล่าง สายตาของลูกค้าคนอื่นๆ มองเราอย่างสนใจ โดยเฉพาะพี่หวานใจที่มองมาทางพ่อผมตาเป็นประกายและขยายใบหูเตรียมเก็บข้อมูลเต็มที่

"ว่างมากขนาดบินมายั่วอารมณ์แม่ถึงที่นี่เลยเหรอ...พ่อ"

ผมเน้นคำว่าพ่อหนักๆ จนพี่หวานใจเบิกตากว้างและกลับไปก้มหน้าทำงานเมื่อรู้สถานะหนุ่มเซอร์แบกเป้สะพายกล้อง

"ก็ไม่เชิง...พอดีว่าอยู่ในช่วงหาแรงบันดาลใจใหม่ ไม่รู้จะไปที่ไหนก็เลยบินมาหาแกที่นี่"

"แล้วก็ถือโอกาสมาง้อแม่ด้วยงั้นสินะ...คุณตากล้องชื่อดัง"

ใช่ครับ พ่อของผม เชน สหลักษณ์ เป็นช่างภาพมืออาชีพชื่อดังที่ทุกสำนักพิมพ์ และงานสื่อทั้งไทยและเทศต่อคิวจองตัวยาวเป็นหางว่าว แต่พ่อผมก็อินดี้ไม่ต่างจากแม่นั่นแหละ

ขณะที่แม่เป็นเชฟขนมหวานระดับ Executive Pastry Chef ที่จบจากสถาบันชื่อดังอย่าง Le Cordon Bleu แต่ก็เลือกมาเปิดร้านเบเกอร์รี่ไสตล์วินเทจเล็กๆเป็นของตัวเอง ขณะที่พ่อจะรับแค่งานที่ตัวเองสนใจ นอกเหนือจากนั้นก็เดินทางรอบโลกหาแรงบันดาลใจเพื่อสร้างภาพชุดใหม่สำหรับจัดแสดงในแกลลอรี่ส่วนตัวที่แน่นอนว่ามีผู้สนับสนุนรายใหญ่คอยดูแลเต็มที่

"เฮ้อ..." ขนาดเสียงถอนหายใจยังเซ็กซี่ ผมคิดขณะมองพ่อตัวเองที่ดูหนุ่มกว่าอายุจริงไปโข

"พอร์ท...."

"อะไร" ผมขานรับอย่างรำคาญเมื่อได้ยินเสียงเรียกอ่อยๆจากตาแก่แอ๊บหนุ่ม ที่พอเรียกแบบนี้ทีไรเหมือนงานจะเข้าตัวผมทุกที

"ไปช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้พ่อที"

นั่นไง ว่าแล้วมั้ยละ!

"ผมไม่ถ่าย!"

ผมเสยผมตัวเองอย่างหงุดหงิดจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง แต่นั่นดูเหมือนจะยิ่งทำให้อารมณ์ติสต์ของพ่อยิ่งพลุ่งพล่าน เพราะเขาเบิกตากว้างแล้วชี้มาทางผมอย่างถูกใจ

"นั่นละ! สีหน้าอย่างนั้นละที่พ่อต้องการ ไป ไปกับพ่อเดี๋ยวนี้!"

"ไม่ไป!!"

แต่ไม่ทันแล้วเมื่อพ่อที่ตัวใหญ่กว่าผมเกือบเท่าคว้าทั้งแขนทั้งเอวและลากผมออกไปนอกร้านอย่างสบายๆ ก่อนจะยัดผมขึ้นรถคันใหญ่และสั่งให้คนขับออกรถทันทีด้วยกลัวผมหนี

"ไอ้พ่อบ้า ทำไรวะเนี่ย!"

"อ้าว ครั้งนี้ก็จะเอาน้องพอร์ทเป็นแบบเหรอคะพี่เชน"

เสียงหวานดังมาเป็นภาษาไทย ก่อนเจ้าของเสียงจะที่นั่งอยู่เบาะหน้าคนขับจะเอี้ยวตัวกลับมายิ้มหวานให้ผม
"ผมไม่ได้เต็มใจนะพี่ฝน"

ผมทั้งค้อนให้คนข้างตัววงเบ้อเร่อ เอาแต่หัวเราะอยู่ได้ ไอ้พ่อบ้า! สมควรแล้วที่ให้แม่กระโดดถีบทุกครั้งที่เจอหน้า

"เอาน่า ช่วยพี่เชนเค้าหน่อยเถอะค่ะน้องพอร์ท เพราะตากล้องของพี่ไม่มีผลงานมานานแล้ว เดี๋ยวสปอนเซอร์ถอนตัวหมดแล้วพวกพี่จะไม่มีข้าวกินนะคะ"

"แล้วผมปฏิเสธได้เหรอครับ!"

พี่ฝนผู้จัดการส่วนตัวของพ่อผมหัวเราะคิกคักก่อนจะหันกลับไปนั่งดีๆ ตามเดิม ส่วนพ่อผมก็ยิ้มสมใจ

ให้ตายเถอะ ทั้งพ่อ ทั้งแม่ สมกันอย่างกะดอกฟ้าหมาวัดอย่างที่ว่าจริงๆ เอาแต่ใจทั้งคู่!

รถเช่าของพ่อขับออกมานอกเมืองจนเข้าสู่เขตชนบทที่เต็มไปด้วยเนินเขาต่ำและทุกหญ้าสีทองเพราะอยู่ในฤดูหนาว พ่อและทีมงานก้าวลงจากรถ ผมเลยต้องเดินตามลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่พ่อเริ่มยกกล้องขึ้นหามุม บรรยากาศรอบตัวก็เริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ผมรู้ว่า เชน สหลักษณ์ กำลังเริ่มทำงานอย่างจริงจัง

ผมเหลียวมองไปรอบๆ และยืดแข้งขาสูดหายใจเต็มปอด

"คอนเซปละ"

 ผมถามลอยๆ แต่พ่อรู้ว่าผมกำลังหมายถึงอะไร มุมปากสุดเซ็กซี่จึงยกยิ้ม ก่อนจะโยนหมวกปีกกว้างที่ไม่รู้ว่าหามาจากไหนมาทางผม

"หลง..."

"อีกทีดิ๊"

ผมถามซ้ำ ขณะที่ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เส้นผมตรงสีชาที่ยาวมากพราะไม่ได้ตัดมานานของผมปลิวไปตามแรงลม

"สะกด...ให้ฉันหลงแก"

สิ้นคำของพ่อ ผมก็นึกหงุดหงิดในใจ พูดนะมันง่าย!!

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยกยิ้มตามก่อนจะสวมหมวกปีกกว้างนั้นลงบนศีรษะ กดปีกหมวกต่ำลงจนเกิดเงาลงบนใบหน้ารูปไข่ของผม เส้นผมสีชาปลิวขึ้นคลอเคลียผิวแก้ม ริมฝีปากอิ่มเผยอเล็กน้อยตามธรรมชาติ และความรู้สึกที่ถูกดึงดูดให้มองไปที่เลนส์ตรงหน้า

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตของผมจ้องลึกลงไปราวกกับจะมองไปให้ถึงดวงตาที่อยู่หลังเลนส์นั้น

เสียงชัตเตอร์ของตากล้องมืออาชีพดังลั่นไม่หยุดราวกับเจอของถูกใจ

เสียงชัตเตอร์ที่ทำให้เกิดรูป ที่จะเปลี่ยนชีวิตผมไป... ตลอดกาล


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 2 - พาทิเช่ สหลักษณ์

เรามาว่ากันต่อเรื่องปัญหาของผมกัน ผมเล่าถึงไหนแล้วนะ?

อ๋อ ใช่ๆ พ่อให้ผมเป็นแรงบันดาลใจ ด้วยการเป็นนายแบบให้ใช่มั้ย? นั่นละ...เรื่องมันเริ่มต้นจากตรงนั้น

เริ่มจากรูปของผมที่มันจะไม่มีปัญหาเลย ถ้าพ่อแค่เก็บมันไว้ในเม็ม หรือล้างเอาไว้สร้างแรงบันดาลใจเงียบๆ โดยไม่ได้เอาไปโชว์ที่แกลลอรี่!

แถมยังเป็นชิ้นเอกที่ถูกอัดเป็นภาพบานใหญ่สูงเกือบสองเมตร วางไว้ตรงใจกลางห้องจัดแสดง พร้อมชื่อภาพที่สลักอย่างสวยงามเป็นภาษาอังกฤษ ว่า ‘P's EYES’

ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ?

ก็เพราะว่าภาพนั้นถูกเขียนข่าวลงในเว็บไซต์ของวงการถ่ายภาพ แถมลงในหนังสือพิมพ์กรอบสังคมทั้งไทยและเทศที่มีพาดหัวข่าวไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ในทำนองว่า

‘P's EYES’แรงบันดาลใจในรอบสองปีของช่างภาพสุดฮอต ดวงตาของสาวน้อยที่สะกดให้ต้องเหลียวมอง หรือ ดวงตาของดวงใจช่างภาพ ‘P's EYES’สาวน้อยแรงบันดาลใจในสายเลือด

ใช่ พวกนั้นเขียนว่าผมเป็น 'สาวน้อย'  ให้ตายเถอะ! พวกนักข่าวนี่ฉลาดทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องความจริง!

แต่ก็โทษพวกเขาไม่ได้ เพราะผมรู้ว่าทำไมพวกเขาจึงทึกทักไปเองว่าผมในภาพเป็น 'สาวน้อย'

นั่นก็เพราะ 'P' ที่พวกเขารู้จัก ก็คือ 'สาวน้อย' จริงๆนั่นแหละ

ผมละสายตาจากข่าวที่กำลังอ่านบนหน้าจอแลปทอปของตัวเองเมื่อมีสัญญาณวีดีโอคอลเข้ามา และนี่ก็คือสาเหตุของข่าว 'สาวน้อย' ที่ว่านั่น

"พอร์ท! ให้ตายเถอะ ภาพนั้นของแกกำลังทำให้โทรศัพท์ของผู้จัดการส่วนตัวฉันสายไหม้นะรู้รึเปล่า!"

เสียงหวานใสดังขึ้นพร้อมๆ กับใบหน้าที่โผล่ขึ้นมาที่หน้าจอ ใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลรับกับจมูกโด่งรั้น และริมผีปากอวบอิ่ม ที่ทำให้ผมรู้สึกราวกับกำลังส่องกระจกมองตัวเองอยู่ ถ้าไม่ติดว่าเธอคนนั้นเป็นผู้หญิงผมลอนยาวสยายถึงกลางหลังละก็นะ...

ใช่อย่างที่พวกคุณคงเดาได้ ผู้หญิงในจอนั่นคือ… ฝาแฝดของผมเอง…พาทิเช่

เราเป็นฝาแฝดที่เรียกได้ว่าแทบจะถ่ายเอกสารถอดแบบกันออกมา เราแตกต่างกันแค่อย่างเดียวเท่านั้น คือ ผมเป็นผู้ชายและเธอเป็นผู้หญิง ซึ่งเธอเกิดก่อนผมประมาณซักสองนาทีได้

"เดาได้ว่าทางนู้นเข้าใจว่าภาพนั้นเป็นเธอละสิ"

ผมตอบเนือยๆ อย่างที่พอจะเดาได้อยู่แล้ว เพราะพาทิเช่เป็นนางแบบวัยใสที่มีชื่อในไทยพอสมควรในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเธอเป็นทั้งนางแบบและลูกสาวช่างภาพชื่อดัง

ใช่ครับ พาตี้อยู่กับพ่อ ส่วนผมอยู่กับแม่ เราเป็นฝาแฝดที่ถูกจับแยกกันเลี้ยงดู

"ใช่นะสิ! แกรู้มั้ยว่ามีบริษัทโฆษณาแย่งกันเสนอราคาให้พ่อตั้งกี่ล้านเพื่อขอซื้อภาพนั้น!"

"อย่าเว่อร์ นั่นมันก็แค่ภาพลองแสงเฉยๆ"

"แกนั่นแหละที่บ้า ไม่มีการถ่ายครั้งไหนที่พ่อจะถ่ายเล่นๆ แกก็รู้"

ผมคิดตามก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย จริงอย่างที่พาตี้ว่า พ่ออาจจะทำเป็นเล่นกับทุกเรื่อง แต่ยกเว้นเรื่องการถ่ายภาพ ไม่งั้นคงไม่ดังขนาดนี้

"แล้วไง มันน่าจะทำให้เธอได้งานเพิ่มขึ้นไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นน่าจะต้องโวยวายอะไร"

 ผมแซวพี่สาวสองนาทีเล่นๆ แต่เธอกลับเงียบแล้วจ้องหน้าผมนิ่ง

"พอร์ทเทรต..."

เอาอีกแล้วไง น้ำเสียงการเรียกชื่อเต็มผมแบบนี้ ทำไมรู้สึกว่าเรื่องไม่ดีมันก็ลังจะมาทุกที...

"มาถ่ายแบบแทนฉันที"

"จะบ้าเหรอ!"

นั่นไง! คิดไว้มีผิดที่ไหน แต่นี่มันออกจะบ้าเกินไปหน่อย ยัยพี่สาวผมเมายาอะไรอยู่รึไง

"เธอจะบ้าเหรอพาตี้ ช่วงนี้รับงานแสดงตลกรึงิไม่ขำด้วยหรอกนะ" ผมว่าเธอทีเล่นทีจริง เพราะผมคิดว่ายัยพี่สาวคงจะอำผมเล่น แต่...เฮ้...ทำไมเธอ…

"พะ...พาตี้....ร้องไห้ทำไม เฮ้ ยัยพี่สาว เธอเป็นอะไร?"

ผมถึงขั้นดึงแลปทอปเข้ามาใกล้ๆ และลูบหน้าจอตรงบริเวณที่แสดงภาพผิวแก้มเนียนของเธอที่ตอนนี้กำลังเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาจนเห็นได้ชัดแม้จะผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ก็ตาม

"พะ...พอร์ท....พอร์ทเทรต....ฉัน....ฉันถ่ายแบบไม่ได้อีกแล้ว"

"ใจเย็นๆนะคนสวย เธอเป็นอะไรบอกฉันมาสิ"

ผมรีบถามเธอจนแทบลิ้นจะพัน พาตี้ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เพราะเธอถูกเลี้ยงมาด้วยคุณพ่อสุดห้าว ดังนั้นเธอก็มักจะเข้มแข็งเสมอ เธอไม่เคยอ่อนไหวยกเว้นแต่กับเรื่องครอบครัวที่พิลึกของเราเท่านั้น

"ตกลงเธอเป็นอะไร ทำไมถึงบอกว่าถ่ายแบบไม่ได้แล้ว"

"ฉัน...."

"...."

"ฉันเดินไม่ได้!!"

"หะ?...เดี๋ยวๆ อะไรคือเดินไม่ได้? เธอลองตั้งสติแล้วเล่ามาสิ มันเกิดอะไรขึ้น?"

แล้วก็ถึงบางอ้อ พาตี้เพิ่งประสบอุบัติเหตุในกองถ่ายโฆษณาเมื่อสองวันก่อนเพราะหล่นลงมาจากฉากที่เป็นพื้นยกสูง เธอบอกว่าตอนแรกไม่คิดว่าเป็นอะไร เพราะยังเดินและทำงานต่อได้ตามปกติ

จนเมื่อวานจู่ๆ ก็เริ่มปวดที่ขาซีกซ้าย ก่อนจะตรวจพบว่าเส้นเอ็นบริเวณขาซ้ายอักเสบอย่างรุนแรง และเอ็นหัวเข่าซ้ายฉีกจากการบิดขาในท่าที่ไม่ปกติ ตอนนี้เลยทำให้เธอได้แต่นั่งอยู่กับที่ และต้องใช้ไม้เท้าหรือรถเข็นช่วย ซึ่งเรื่องนี้มีแต่ผู้จัดการส่วนตัว พ่อ และพี่ฝนเท่านั้นที่รู้เรื่อง เพราะเธอไม่ได้มีงานออกไปโชว์ตัวต่อหน้าสื่อที่ไหน จนมีคนติดต่องานเข้ามาเพราะภาพ P's EYES ของผมที่ถูกจัดแสดง

"แกต้องช่วยฉันนะพอร์ท ฉันอยากได้งานนี้มาก ถ้าพลาดงานนี้ไปฉันอาจจะไม่มีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทนี้เลยก็ได้"

"ฉันรู้ว่าเธออยากได้งานนะพาตี้ แต่เธอจะให้ฉันปลอมตัวเป็นเธอที่เป็นผู้หญิงเนี่ยนะ มันไม่ละครไปหน่อยเหรอ?"

ผมพยายามจะกระชากพี่สาวเข้ามาสู่โลกแห่งความเป็นจริง แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยอม

"ได้สิ! แกทำได้ ความสูงเราเท่ากัน หน้าตายิ่งไม่ต้องพูดถึง ผมแกก็ยาวอยู่แล้ว แม้ไม่เท่าฉันก็เถอะ ถ้าแต่งตัวอีกนิดหน่อยก็ไม่เคยมีใครแยกเราออก แกก็รู้"

พาตี้รีบพูดอย่างตั้งอกตั้งใจ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตที่ไม่ต่างจากผมเปล่งประกายไปด้วยความหวัง แต่...ดูเหมือนพี่สาวผมจะลืมอะไรไปบางอย่าง

"แต่ฉัน... ไม่มีนม"

"เรื่องแค่นั้นเอง ไม่มีใครเค้าดูออกหรอกนะ"

ใครว่าเรื่องแค่นั้น นี่มันเรื่องใหญ่ที่สุดเลยนะยัยบ้า!

"อีกสองวันเจอกันนะ รักแกนะพอร์ท"

อ๊ากกกกกกกกก ใครก็ได้ หยุดยัยบ้านั่นที!
 
 

ให้ตายเถอะ ยัยพาตี้มาถึงภายในสองวันจริงๆพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัวที่ช่วยเธอจูงรถเข็นมาอย่างทนุถนอม พอมาเห็นอาการบาดเจ็บของยัยพี่สาวแล้ว คุณคิดว่าผมจะปฏิเสธลงมั้ยละ?

แต่...ต่อให้ปฏิเสธไม่ลง แต่มันก็ช่วยไม่ไหวเหมือนกัน ยัยนั่นกำลังจะให้ผมปลอมเป็นผู้หญิงนะโว้ย ยัยพาตี้จะให้ผู้ชายอกสามศอกที่มีความเป็นชายเต็มที่สมอายุยี่สิบสามปลอมเป็นผู้หญิงนะ ต่อให้เราจะหน้าตาเหมือนกันแค่ไหนก็เถอะ!

และนี้ละ จุดเริ่มต้นของเรื่องวุ่นวาย และ...ความเฮงซวยของผม!

"ตกลงนะพอร์ท...." ผมเหล่มองยัยพี่สาวที่ทำหน้าตาออดอ้อนโดยมีคุณนายเชลีนโอบกอดลูบผมอย่างโอ๋ๆ

"นะๆๆๆๆๆ ถ้าฉันพลาดงานถ่ายครั้งนี้ ฉันอาจจะไม่มีโอกาสร่วมงานกับแบรนด์ ChaRme อีกเลยตลอดชีวิตนะ แกก็รู้ว่ามันไม่ใช่ง่ายๆที่จะได้ถ่ายแบบกับแบรนด์ระดับโลกแบบนี้นะ!"

"แต่ฉันเป็นผู้ชายนะ!"

"ช่วยพี่เค้าหน่อยไม่ได้เหรอไงพอร์ท พี่เค้ากำลังเดือดร้อนนะ!"

"แล้วผมไม่เดือดร้อนรึไงเล่า! อีกอย่าง มันก็ไม่ได้เป็นงานเดียวในโลกที่เธอจะได้ซักหน่อย งานอื่นยังมีรอเธออยู่ตั้งเยอะ กะอีแค่แบรนด์ดังนิดหน่อย เธอถึงกับจะให้ฉันต้องลงทุนปลอมตัวเป็นผู้หญิงไปถ่ายแบบแทนเธอเลยเหรอ"

ผมพูดอย่างงอนๆ เพราะดูเหมือนคุณนายจะเข้าข้างพาตี้เต็มที่

แต่...ดูเหมือนเหตุผลของผมจะได้ผล เมื่อทั้งพาตี้และคุณนายเชลีนเงียบไป

เฮ้...ทำไมเงียบนานนักละ อย่าบอกนะว่า....

"ฉัน...ฮึก...ฉัน...แค่ไม่อยากสูญเสียโอกาสไป...ฮึก...การร่วมงานกับ ChaRme คือความฝันของนางแบบทุกคน...ฮึก...แล้ว...แล้วฉันกลับต้องมาพลาดเพราะอุุบัติเหตุงี่เง่านี่...ทั้งๆที่มันคือความฝันสูงสุดในชีวิตของฉัน..."

ผมพูดอะไรไม่ออก พาตี้สะอื้นอย่างหนัก หมดคราบของนางแบบหวานใสที่เต็มไปด้วยความมั่นใจอย่างที่ผมเห็นในผลงานของเธอทุกครั้ง ตอนนี้ผมเห็นแค่คนที่กำลังเสียศูนย์เพราะความฝันกำลังสลายไปต่อหน้าเท่านั้น

"ฉัน...ฉันอาจจะไม่มีโอกาสนี้อีกเลยในชีวิตการทำงานของฉัน...ฉันคิดว่ายังไงแกก็ต้องช่วย...ฮึก...แล้วฉันก็...ก็อยากมาอยู่กับแม่บ้าง...ฮึก...เพราะพ่อ...พ่อเอาแต่พูดถึงแก...ฮึก....พูดถึงภาพของแก...ฉัน...ฮึก...เพราะฉันไม่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อได้เลย..."

"พาตี้ลูกแม่" คุณนายเชลีนสะอื้นตามก่อนจะกอดพาตี้ที่ร้องไห้จนสะอื้นหนักไว้แน่น

เฮ้อ... ผมว่าพ่อกับแม่อาจจะเลือกเราสลับกัน ผมรู้ว่าบางทีพาตี้อาจจะอึดอัด เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ต้องอยู่กับพ่อที่เป็นช่างภาพที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก และรักงานมากกว่าชีวิต ในขณะที่ผมก็เป็นผู้ชายต้องอยู่กับแม่ที่อยู่กับขนมหวานตลอดเวลา มันทำให้เราทั้งคู่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่...ค่อนข้างมีผลกับความรู้สึกของเรา โดยเฉพาะที่เราเป็นวัยรุ่นเต็มตัวกันแล้ว

ไอ้ผมนะไม่เท่าไหร่ ยังไงผู้ชายอย่างผมก็ไม่ได้เรื่องมากกับชีวิตตัวเอง แต่พาตี้เป็นผู้หญิง ซึ่งคงละเอียดอ่อน และต้องการอยู่กับคนที่สามารถคุยกันแบบผู้หญิงได้ ผมรู้ว่าพาตี้ควรจะมีโอกาสอยู่กับแม่มากกว่า

และการถ่ายแบบให้กับแบรนด์ระดับโลกอย่าง ChaRme เป็นความฝันสูงสุดของนางแบบทุกคน เพระมันจะเป็นใบเบิกทางไปสู่เวทีนางแบบระดับโลกทุกเวที นางแบบนายแบบชื่อดังระดับโลกทุกคนก็เริ่มเปิดตัวจากการร่วมงานกับที่นี่ทั้งนั้น แล้วผมก็รู้ว่าพาตี้รักการเป็นนางแบบแค่ไหน เพราะเธอคลุกคลีอยู่กับการถ่ายภาพของพ่อมาตลอดชีวิตของเธอ

เฮ้อ...ผมละเกลียดตัวเองจริงๆ

ทำไมต้องใจอ่อนกับผู้หญิงบ้านนี้อยู่เรื่อย

แต่ก็นะ...เธอคือยัยพี่สาวสองนาทีที่เป็นเหมือนอีกครึ่งชีวิตของผมนี่

"โอเค...ฉันจะเป็นพาทิเช่ สหลักษณ์เอง"

พูดออกไปแล้วสินะ...ยังไง ผมก็ต้องช่วย เพราะผมเป็นน้องชายของเธอ เป็นผู้ชายที่ต้องปกป้องผู้หญิงที่บอบบางทั้งสองคนนี้ ผู้หญิงที่ผม...รักมากที่สุด

"หึ..."

"อัดไว้เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะแม่"

"เรียบร้อยแล้วจ้ะ ครบทุกประโยคที่พอร์ทพูดออกมาเลย"

เฮ้....เดี๋ยวนะ...น้ำตาของยัยพาตี้ไปไหน...แล้วแม่เปิดแอพอัดเสียงทำไม

"แม่บอกแล้วว่าวิธีนี้ต้องได้ผล พอร์ททนเห็นน้ำตาของแม่และพี่สาวไม่ได้นานนักหรอก"

อย่าบอกนะว่า....

ผมได้แต่อ้าปากพะงาบเหมือนปลาทองโหยหาอากาศ มองไปที่ยัยพี่สาวสองนาทีที่ตอนนี้ไม่มีคราบน้ำตาบนหน้า ประหนึ่งนางแบบผู้สูญเสียความหวังในชีวิตคนเมื่อกี้ไม่มีอยู่ กับคุณนายเชลีนที่ทำสีหน้านางมารสมใจ ทั้งสอบมองมาที่ผมพร้อมรอยยิ้มร้ายกาจ

"รับปากพี่เค้าแล้วนะพอร์ท...แล้วคำพูด ถือว่าเป็นหลักฐานในชั้นศาลได้...นะจ้ะ"

คุณนายเชลีนพูดเสียงหวานก่อนจะกดเสียงที่อัดในมือในขณะที่ผมรู้สึกเหมือนถูกกระโดดถีบสองขาคู่ลงไปในหลุมที่นางมารสองคนนี้ขุดขึ้นมา

"...ฉันจะเป็นพาทิเช่ สหลักษณ์เอง..."
"...ฉันจะเป็นพาทิเช่ สหลักษณ์เอง..."
"...ฉันจะเป็นพาทิเช่ สหลักษณ์เอง..."

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ผมถูกหลอก!
 
สนามบินนานาชาติ ชาร์ล เดอ โกล (Paris-Charles de Gaulle Airport)

"พี่เจสซี่จะดูแลเรื่องทุกอย่างให้แกเหมือนกับที่เคยดูแลฉัน ดังนั้นไม่มีใครสงสัยแกแน่นอน"

ผมหันไปยิ้มอ่อนๆ ให้พี่เจสซี่ หรือ เจษฎา ผู้จัดการสาวที่เข้ามาเอี่ยวเรื่องนี้อย่างเต็มใจ

"น้องพอร์ทไม่ต้องห่วงนะคะ ไม่มีใครรู้แน่นอนว่าน้องพอร์ทเป็นผู้ชาย เพราะพี่เจสเชี่ยวชาญเรื่องนี้ม๊ากมากค่ะ"

ครับ ผมรู้ว่าพี่เชี่ยวชาญเรื่องนี้เป็นพิเศษ ผมมองผมสีชมพูแปร๊นกับลิปสติกสีเดียวกันของพี่ผมก็รู้แล้ว

"แกก็แค่ทำตัวไปตามปกติ อย่าลืมอย่างเดียว ...ห้ามพูดเด็ดขาด!"

ยัยพาตี้เน้นหนักแน่นพร้อมชี้หน้าผมทั้งๆที่ตัวเองนั่งอยู่บนรถเข็น

"รู้แล้วน่า..."

ใครจะไปพูดละ ถึงจะหน้าตาเหมือนกันแค่ไหน แต่ให้ตาย ผู้ชายก็คือผู้ชาย ถึงตัวผมจะเล็ก เอวบาง ขาเรียว ผมยาวสลวย แต่เสียงผมนะ ห้าวเต็มร้อย ต่อให้ดัดแบบมีจริตจะก้าน ก็คงออกมาไม่ต่างจากพี่เจสซี่เท่าไหร่ แน่นอนว่าผมไม่คิดจะทำด้วย

"อยู่ทางโน้นก็อย่าไปหลงเสน่ห์นางแบบที่ไหนละ อย่าทำเหมือนพ่อ เข้าใจมั้ย"

คุณนายเชลีนจ้องผมเขม็ง ผมรู้แล้วว่าทำไมแม่ถึงยอมรวมหัวกับพาตี้ นอกจากจะคิดถึงยัยนั่น อีกเหตุผลนึงก็คืออยากให้ผมไปจับตาดูพ่อ ถึงปากจะบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนา แต่สายตาที่พ่อกับแม่มองกัน ผมเห็นกี่ทีๆก็ยังสยิวไม่หาย เหอะ!

"ผมไปสภาพไหนแม่ก็รู้ แล้วสาวที่ไหนจะมาสนใจผม"

"สาวไม่สน ก็อย่าให้หนุ่มสนละ"

"จะบ้าเหรอพาตี้ พูดอะไร" ผมมองยัยพี่สาวพร้อมกับลูบแขนที่ขนตั้งชันไปทั้งตัวกับคำพูดของยัยนั่นที่ยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ ถ้าไม่ติดว่ากำลังบาดเจ็บ ผมจะจับมาตีสักที!

"ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ แกก็รู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์แค่ไหน โดยเฉพาะกับพวกช่างภาพ ขนาดฉันที่เป็นนางแบบมืออาชีพ ยังดึงดูดสู้ภาพถ่ายแบบไม่ตั้งใจที่พ่อถ่ายแกไม่ได้เลย"

"เอาเป็นว่า ฉันจะรีบถ่ายรีบกลับมาแล้วกัน"

"โชคดีนะลูก งานเสร็จเมื่อไหร่ก็กลับมาหาแม่นะ"

คุณนายเชลีนเดินมากอดผมพร้อมกับเอาใบหน้ามาถูกับอกผมอย่างออดอ้อน สายตาของนักเดินทางคนอื่นมองมาทางเราพร้อมกับยิ้มขำๆ

รู้แล้วว่าน่าว่ามันตลก อะไรจะไปแปลกเท่ากับขบวนส่งที่มีสาวประเภทสองผมสีชมพูแปร๊ด สาวสวยอย่างกับเจ้าหญิงบนรถเข็น และสาวสวยกระชากวัยที่ลืมถอดพากันเปื้อนจากร้านแล้วกำลังกอดถูไซร้ซบกับเด็กหนุ่มสุดหล่ออย่างผมเล่า

"รักษาตัว แล้วก็ดูแลพาตี้ด้วยนะฮะ ผมไปละ"

ผมรัดอ้อมแขนคุณนายแน่นๆ หอมแก้มเธอฟอดใหญ่ หันไปกอดและจุ๊บที่หน้าผากพาตี้เบาๆ ก่อนโบกมือลาเพื่อขึ้นเครื่อง สองสาวโบกมือให้ผมพร้อมรอยยิ้มจนสุดสายตา

แม้ว่าทั้งคู่จะหลอกให้ผมรับปาก ซึ่งผมจะปฏิเสธก็ได้ เพราะยังไง คงไม่มีแม่คนไหนเอาคำพูดลูกชายตัวเองไปฟ้องศาลหรอก (ถึงผมจะไม่มั่นใจว่าคุณนายเธอจะไม่ทำก็เถอะ) แต่ผมรู้ว่าที่พาตี้อยากอยู่กับแม่เป็นเรื่องจริง และผมก็รู้ว่าแม่คิดถึงพาตี้มาก เพราะยัยพี่สาวไม่เคยมีโอกาสเจอหน้าแม่เลย นอกจากแอบวีดีโอคอลหากันบ้างบางครั้ง เพราะกลัวพ่อจะน้อยใจถ้าเห็นเธอคุยกับแม่บ่อยๆ

"เดี๋ยวถ้าเราไปถึงแล้วพี่เจสจะพาน้องพอร์ทไปอยู่ที่คอนโดส่วนตัวของน้องพาตี้นะคะ"

" แล้วพาตี้ไม่ได้อยู่บ้านพ่อเหรอฮะ"

ผมแปลกใจ เพราะรู้ว่าปกติพาตี้จะอยู่บ้าน เพราะทั้งครอบครัวทางโน้นก็มีแค่พ่อกับพาตี้เท่านั้น และด้วยงานที่ต่างคนต่างไม่อยู่กับที่ ทั้งคู่เลยอยู่ด้วยกันที่บ้านเพราะไม่อยากจะห่างเหินไปมากกว่านี้

"ก็ใช่ค่ะ แต่ก็พักคอนโดเป็นบางครั้งเวลามีงานดึกๆ แต่ตอนนี้เป็นสถานการณ์พี่เศษ เราต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เพราะไม่รู้ว่าคุณเชนจะว่ายังไงเพราะรู้แค่ว่าน้องพาตี้บาดเจ็บเล็กน้อย และได้งานจาก ChaRme ยะงไงเพื่อความสะดวกในการแปลงโฉมให้น้องพอร์ทเป็นน้องพาตี้ คอนโดจะสะดวกสุดค่ะ"

"อ่อ..."

ผมหลับตาลงเพื่อจะนอนพัก เพราะการบินจากปารีสไปไทยช่วงต้นฤดูหนาวใช้เวลาเป็นสิบชั่วโมง

เฮ้อ...ขอให้รีบๆถ่ายให้เสร็จแล้วรีบกลับ อย่าให้มีปัญหาอะไรเลยเถอะ

ผมพอร์ทเทรต มาร์แตง มาแล้ว

แล้วเจอกัน เมืองไทย

โอ๊ะ ไม่ใช่สิ ฉัน ....

พาทิเช่ สหลักษณ์ต่างหาก :)


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 3 - ขุนพล

"น้องพอร์ทคะ ลุกได้แล้วค่ะ เราต้องไปพบผู้จัดการ ChaRme สาขาประเทศไทยตอน10โมงนะคะ"

ล้อกันเล่นใช่มั้ยเนี่ย ผมเพิ่งถึงไทย และเพิ่งเอาหน้าทิ่มเตียงของพาตี้ไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีเองนะ

"ผมนึกว่าจะเป็นพรุ่งนี้ซะอีก"

"จริงๆ ก็คือพรุ่งนี้ตอนที่เราอยู่ฝรั่งเศสค่ะ แต่พอบวกลบคูณหารและรวมเวลาเดินทางมันก็คือวันนี้ ตอนนี้ และเดี๋ยวนี้แหละค่ะ"

"ผมเพิ่งได้พักไม่ถึงชั่วโมงเองนะพี่เจษฎา"

"เจสซี่ค่ะ! ไปอาบน้ำเถอะค่ะ เราต้องมาแต่งหน้ากันอีกนะคะ!" พี่เจษฎาเน้นเสียงเข้มแบบแมนเต็มร้อย พร้อมกับเข้ามาหิ้วผมและโยนเข้าไปในห้องน้ำ

"เฮ้ยๆ ใจเย็นๆ พี่"

"ไม่เย็นแล้วค่ะ ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย พี่เจสให้เวลาสิบห้านาที ถ้าไม่ออกมา พี่เจสจะเข้าไป จัดการเอง รับรองว่าจะถูกให้สะอาดทุกซอกทุกมุมทั้งข้างนอก...ข้างในเลยค่ะ"

"สิบนาทีก็พอครับ!"

ผมรีบปิดประตูและลงกลอนแน่นหนาเมื่อเห็นสายตาของพี่เจษฎาทีมองผมหัวจรดเท้าก่อนจะหยุดจ้องตรงตำแหน่งกลางลำตัวของผมพร้อมกับเลียริมฝีปาก ให้ตายเถอะ ผมจะรักษาพรหมจรรย์กลับฝรั่งเศสได้มั้ยเนี่ย

"นั่นอะไรครับพี่" ผมมองไปยังของที่แผ่หราบนเตียง

มันคืออุปกรณ์แต่งหน้าเซ็ตใหญ่กับชุดกระโปรงสีชมพูหวาน ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจ เพราะนอกจากพี่เจสจะเป็นผู้จัดการ ก็ควบตำแหน่งคอสตูมให้พาตี้ด้วย แต่ไอ้ที่อยู่ข้างๆนี่สิ...

มันคืออะไร!

"บราไงคะ ถึงเสื้อผ้าจะเป็นของน้องพาตี้ แต่พี่เจสซื้อเสื้อในมาใหม่นะคะ รุ่นนี้อัพเดตล่าสุดกำลังฮิตในหมู่วัยรุ่นเลยคะ เรียบเนียน ไร้รอยต่อ และกระชับทรวงอกให้เต่งตึงดุจเพื่อนที่รู้ใจ" พี่เจสซี่หยิบวัตถุนั้นขึ้นมาตรงหน้าผมพร้อมกับคำโฆษณาที่แสดงถึงสรรพคุณชั้นยอด

เปลี่ยนเป็นชุดผู้หญิงตอนลองแสงให้พ่อบางครั้ง แต่นี่มัน... บรา... มันคือยกทรง แต่ผมไม่มีอะไรให้ยกนะ!

"เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงค่ะ พี่เจสบอกแล้วว่าเรื่องนี้พี่เจสเชี่ยวชาญม๊ากๆ" พี่เจษฎายิ้มหวานพร้อมกับคุ้ยยุกยิกในถุงกระดาษข้างเตียง

"แท่แด้ม! ตัวนี้ออกใหม่เหมือนกันเลยค่ะ ทำจากวัสดุชั้นดีเต่งตึงขนาดพอดีมือ รูปทรงสวยงาม ผิวสัมผัสนุ่มนิ่มตอบสนองการสัมผัสดุจของจริง"

พระเจ้า… ความเป็นชายชาตรีของผมมันจบสิ้นลงแล้ว แค่บราก็ว่าหนัก แล้วนี่ผมต้องใส่...นมปลอม!

ให้ตายเถอะ ขออย่าได้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตผมอีกเลย ถ้าถ่ายเสร็จเมื่อไหร่ จะลาแล้ว ลาขาด ลาเลยตลอดชีวิต!

"เสร็จแล้วค่ะน้องพอร์ท"

พี่เจสซี่บอกหลังจากพ่นสเปรย์อะไรซักอย่างบนหน้าของผมเป็นขั้นตอนสุดท้าย ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะนั่งให้พี่เจสแปลงโฉมเป็นชั่วโมงจนหลับๆ ตื่นๆ ไปหลายรอบ

"ลองไปดูกระจกสิคะ"

ผมเดินอย่างหมดแรงไปที่กระจกบ้านใหญ่สูงท่วมหัวที่ตั้งอยู่กลางห้องแล้วลืมตาสำรวจผลงานของพี่เจสซี่ ที่ผมไม่ได้หวังว่ามันจะเหมือนมากมาย เพราะยังไง ก็คนละคน ถึงจะเป็นฝาแฝดกัน แต่ผมก็เป็นผู้ชาย ไม่มีทางที่...

ล้อเล่นใช่มั้ย ในกระจกนั่นมัน... พาทิเช่ สหลักษณ์ ชัดๆ

ผมตะลึงมองเงาของตัวเองในกระจก ลูบหน้าลูบตาที่ถูกตกแต่งไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อ สลับกับมองภาพขนาดใหญ่ของเจ้าของห้องบนผนัง

ผมรู้ว่าเราสองคนเหมือนกันมาก แต่... แม้แต่ตัวผมเองก็บอกได้เลยว่า เงาของผู้หญิงในกระจก กับรูปบนผนังไม่มีส่วนไหนที่ไม่เหมือนกันเลยนอกจากสีและความยาวของผม

ผมกลายเป็นพาทิเช่ไปแล้วจริงๆ

ผมสีน้ำตาลยาวปกไหล่ของผมถูกจัดทรงให้เป็นลอนอ่อนๆ ดูเป็นธรรมชาติ ผิวหน้าปกปิดเรียบเนียนกระจ่างใสปราศจากรอยคล้ำจากความอ่อนเพลีย คิ้วถูกกันจัดทรงและวาดใหม่จนคมเข้ม ดวงตาแต่งแต้มสีน้ำตาลอ่อนพร้อมขนตางอน ริมฝีปากลงสีชมพูแวววาวอวบอิ่ม ดูเป็นสาวหวานที่มีดวงตาหวานฉ่ำกับริมฝีปากน่ามองในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนที่ทั้งทะมัดทะแมง สวยหวาน และสุภาพในเวลาเดียวกัน

แต่...ไอ้หน้าอกหยุ่นๆ นี่อย่างเดียวที่ผมทำใจยอมรับได้ยากจริงๆ สมกับคำโฆษณาของพี่เจส เพราะเมัน 'เหมือนมาก' ทั้งสีสัน สัมผัส และขนาด เรียกได้ว่า นี่มันคือนมปลอมรุ่นพาทิเช่ชัดๆ!

"พี่ขอบอกเลยว่า ในบรรดางานแปลงโฉมของพี่เจส ไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่แต่งออกมาแล้วสวยเท่าน้องพอร์ทเลยค่ะ" พี่เจสยิ้มและมองผมอย่างปลาบปลื้ม ผมควรจะดีใจใช่มั้ยที่แต่งเป็นผู้หญิงขึ้น

"เรามีนัดตอนสิบโมงไม่ใช่เหรอฮะ แล้วได้ข่าวว่าที่นี่รถติดมากด้วย"

"อุ๊ย! ตายจริง ไปค่ะๆ ถ้าเราไปก่อนเวลา ผู้ใหญ่เค้าจะเอ็นดูเรานะคะ"

เฮ้อ....เอาวะ เป็นไงเป็นกัน

 
-ChaRme Thailand-
"อย่าลืมนะคะน้องพอร์ท พอก้าวลงจากรถไป น้องพอร์ทจะกลายเป็นน้องพาตี้ทันที ห้ามพูดกับใคร อย่าไปไหนคนเดียว มีอะไรต้องบอกพี่เจสทันที และอย่าลืมว่าน้องพาตี้หายจากอาการบาดเจ็บแล้ว แต่ว่ากำลังกล่องเสียงอักเสบ เลยต้องงดใช้เสียงอย่างไม่มีกำหนดนะคะ"

พี่เจสร่ายยาวถึงบทบาทที่ผมต้องแสดง ผมก็แค่พยักหน้าตาม เพราะอย่างที่ได้ยิน ผมไม่ต้องทำอะไรนอกจากตัวติดกับพี่เจสและอยู่เงียบๆเท่านั้น คงไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจอะไร

"ไปกันค่ะ น้องพาตี้"

พี่เจสเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกผมก่อนจะเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ผมก้าวออกจากรถราวกับเจ้าหญิงเพื่อเข้าสู่ตึกสูงของบริษัท ChaRme สาขาประเทศไทย

ทันทีที่รองเท้าส้นสูงสีมุกเป็นประกายราคาหลายหมื่นกระทบผ่านพื้นประตูบริษัท ผมก็รู้สึกได้ทันทีถึงสายตาหลายสิบคู่ที่จ้องมองมาอย่างสนใจ จากที่ผมคิดว่ามันคงไม่ยากอะไรกับแค่แต่งตัวเป็นพาตี้ แต่ตอนนี้ผมเพิ่งรู้สึกตัวว่า พาตี้ไม่ได้เป็นแค่พี่สาวฝาแฝด แต่เธอคือนางแบบที่ใครๆก็รู้จัก ถ้าผมเป็นเธอ ผมก็ต้องถูกจับตามองไม่ต่างกัน

"นั่นใครนะ"

"พาทิเช่ไงละเธอ ลูกสาวของเชน สหลักษณ์นะ"

"สาว ChaRme คนต่อไปเหรอ"

"ตัวจริงสวยมากเลย"

"อย่างกับตุ๊กตาแนะ"

ผมเชิดคอขึ้น ยืดแผ่นหลังให้ตัวตรงเมื่อเริ่มได้ยินเสียงซุบซิบที่ดังน้อยกว่าเปิดลำโพงนิดเดียว

"สวยก็จริง แต่ก็ธรรมดาไปป่ะ จะไหวเธอ ปกติก็ไม่ได้ถ่ายงานใหญ่มากเท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่นับชื่อเสียงของพ่อนะ แต่นี่ ChaRme นะ ไม่ใช่งานถ่ายนิตยสารวัยรุ่นตามแผงร้านสะดวกซื้อ"

รองเท้าสีมุกหยุดลงทันทีที่ได้ยินถ้อยคำดูถูก พี่เจสหันมามองอย่างสงสัยก่อนส่งสายตาห้ามปรามมาทางผมเมื่อรู้ว่าผมไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องยัยพี่สาว

ผมหมุนตัวและเดินมุ่งไปหากลุ่มนกกระจอกติดลำโพงที่จ้องมาอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่ตัวเองจงใจนินทาจะเดินเข้ามาหาโต้งๆ จนเผลอทำกระดาษในมือหล่นกลาดพื้น ผมเข้าไปยืนประชิดตัวก่อนจะก้มลงเก็บกระดาษ และยื่นให้เธอคนที่นินทาพาตี้อย่างไร้มารยาท เธอดูตกใจกับการกระทำของผม แต่ก็รับไปอย่างงงๆ

"Excusez Moi..."

ผมกระซิบเบาๆ และเหลือบสายตาขึ้นสบกับเธอในระยะประชิดที่แทบจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจ สบลึกเข้าไปในดวงตาที่ดูตื่นตกใจก่อนจะเปลี่ยนเก้อเขิน และใบหน้าฉาบเครื่องสำอางที่เริ่มแดงระเรื่อขึ้น

หึ...

ผมยกยิ้มมุมปากขณะที่ยังคงจ้องลึกลงไป นานอีกชั่ววินาทีก่อนจะถอนสายตามองไปรอบๆ ที่ปราศจากเสียงซุบซิบต่างจากตอนแรกเข้า

ผมโปรยยิ้มบางๆ พร้อมกับกวาดสายตาไปรอบกายก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปหาพี่เจสโดยไม่พูดอะไรอีก

"โอ้ยตายๆๆ ฉันรู้แล้วว่าทำไมบริษัทถึงเลือกพาทิเช่"

"ดูสายตาสิ... สุดๆอ้ะ!!"

"ฉันรู้เลยว่าภาพ P'EYE นั่นนะ ของจริง!"

เสียงซุบซิบเริ่มดังขึ้นอีกครั้งในบรรยากาศที่เปลี่ยนไป ผมยกยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มเปลี่ยนความคิด

"ทำอะไรลงไปคะน้องพอร์....น้องพาตี้ เราตกลงกันแล้วไงว่าห้ามพูด!" พี่เจสซี่พูดอย่างร้อนรน แต่ผมแค่ยักไหล่ให้อย่างไม่แคร์ ก็ใครให้พวกหล่อนมาว่าพาตี้ละ

 
ผมกับพี่เจสเข้ามานั่งรออยู่ในห้องประชุมขนาดเล็กของบริษัท รอบๆห้องเต็มไปด้วยโปสเตอร์โฆษณาขนาดใหญ่ของนางแบบนายแบบที่ตอนนี้มีชื่อเสียงทุกคน โดยทุกคนจะได้รับการขานชื่อว่าเป็นหนุ่มสาว ChaRme ที่มีความสวยหล่อและมีเสน่ห์บางอย่างที่ช่างภาพดึงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะทั้งความมีเสน่ห์ของนายแบบนางแบบ และความโดดเด่นของเครื่องสำอางที่ใช้โฆษณา ถูกขับออกมาเคียงคู่กันอย่างลงตัว แสดงถึงความสามารถที่ไม่ธรรมดาของช่างภาพ ซึ่งอีกไม่นาน ภาพของผมก็จะเป็นส่วนหนึ่งของผนังห้องพวกนี้

ชักเริ่มตื่นเต้นแฮะ...

ไม่ๆๆ คนที่จะมีชื่อติดเอาไว้คือพาตี้ต่างหาก

ท่องไว้ๆ ตอนนี้เราคือพาตี้ เราตือพาตี้ เราคือพาตี้

แต่ตอนนี้ชักเริ่มปวดขี้…

ผมนั่งรอให้ห้องนี้มาครึ่งชั่วโมงแล้ว เพราะเห็นว่าช่างภาพที่จะถ่ายงานเซ็ตนี้ยังมาไม่ถึง ซึ่งผมก็เพิ่งรู้ว่าการคุยกันรอบแรกต้องมีช่างภาพร่วมด้วย แล้วผมก็ยังไม่ได้ปลดทุกข์เลยตั้งแต่อยู่บนเครื่อง

"พี่เจสครับ ผมอยากเข้าห้องน้ำ" ผมบอกพี่เจสเบาๆ เพราะว่าตอนนี้มีแค่พวกเราสองคนในห้อง พี่เจสทำท่าคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

"รีบไปรีบมานะคะ เผื่อว่าผู้ใหญ่เค้าจะมา จะได้ไม่เสียมารยาท"

"ครับๆ"

ผมรีบลุกและวิ่งออกไปตามที่ลูกศรบอกทางไปห้องน้ำ ก่อนจะพุ่งเข้าห้องปลดทุกข์ไปอย่างไม่รีรอ

โอ้....สวรรค์....อาหารบนเครื่องค่อยๆ ผ่านจากลำไส้ของผมลงไปในชักโครกอย่างนุ่มนวล ไม่มีอะไรจะสบายไปกว่านี้อีกแล้ว

ผมจัดการตัวเองจนหมดไส้ผมพุงและทำความสะอาดอย่างหมดจดไม่ให้เลอะเทอะชุดสวยที่ใส่มา จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เล็กน้อยก่อนเปิดประตูออกไป

"เฮ้ย!"

เอ่อ...ไม่ใช่เสียงผมว่ะ แต่มันเป็นเสียงของผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งที่ยื่นฉี่อยู่ตรงโถด้านหน้า แล้วมันจะตกใจทำไมวะ ผู้ชายด้วยกันไม่เห็นจะเป็น...

ชิบหายล่ะ นี่มันห้องน้ำชาย แล้วตอนนี้ผมเป็น...

โอ๊ยยยยยยยยยยยย อยากจะบ้า!

"เข้ามาได้ยังไง นี่มันห้องน้ำผู้ชายนะ!"

อีกฝ่ายโวยวายเสียงดัง ก่อนจะรีบเก็บอาวุธของตัวเองเข้าที่รูดซิปเรียบร้อย แถมเช็ดมือกับกางเกงยีนส์ลวกๆ

โห... ซกมกชะมัด ถึงจะหน้าตาดีพอๆ กับนายแบบก็เถอะ แต่...จะทำไงดีละวะเนี่ย พูดก็ไม่ได้ แล้วจะแก้ตัวยังไง

"ถึงจะผ่านมแล้วก็เถอะ แต่เข้าห้องน้ำชายแบบนี้ไม่แปลกไปหน่อยเหรอ"

เดี๋ยวนะ... ใครผ่านมวะ?

"หมอเดี๋ยวนี้ก็เก่งนะ ทำซะเหมือนเชียว โห...นิ่มด้วยแฮะ ขนาดก็ใช้ได้... "

เฮ้ยๆๆ ไอ้เวรนี่มันจับนมผม ถึงจะเป็นรุ่นใหม่ ทำจากวัสดุชั้นดี เรียบเนียน เต่งตึง ขนาดพอดีมือ รูปทรงสวยงาม ผิวสัมผัสนุ่มนิ่มตอบสนองการสัมผัสดุจของจริงก็เถอะ

มันจับนม(ปลอม)ผม!

"แล้วข้างล่างผ่ารึยัง..."

ผัวะ!!

ผมฟาดไอ้มือลามกที่เปลี่ยนจากตำแหน่งข่างบนเลื่อนจะลงมาฉกข้างล่าง ก่อนจะผลักออกไปเต็มแรงแล้ววิ่งออกมาจากห้องน้ำทันที

ไอ้บ้านั่นมันจะจับพอร์ทน้อยของผม!

คนปกติที่ไหนมาจับนมจับเป้าคนที่เจอหน้ากันในห้องน้ำวะ! มีอะไรที่เป็นขั้นกว่าของคำว่าโรคจิตอีกมั้ย ผมจะได้เรียกถูก!

แล้วไอ้บ้านั้นมัน... คิดว่าผมเป็นกระเทยแปลงเพศ!

"อุ๊ย น้องพาตี้เป็นไรคะ วิ่งมาหน้าตาตื่นเชียว"

พี่เจสซี่เปลี่ยนสรรพนามเรียกผมวิ่งที่พรวดเข้าไปในห้องประชุม ผมถึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้ผู้ว่าจ้างมากันแล้ว จึงรีบปรับท่าที่ให้กลับมาเป็นปกติ เสยผมให้เขาที่เข้าทางเล็กน้อยก่อนจะโปรยยิ้มให้ทุกคน

ใจเย็นไว้พอร์ท ตอนนี้แกคือพาตี้ นางแบบสาววัยใส ช่างหัวไอ้วิปริตนั่นไปเถอะ ยังไงก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
คุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆเหรอครับ?

"ขอโทษที่ให้คอยนะคะน้องพาตี้ มาค่ะมานั่งตรงนี้ เดี๋ยวช่างภาพที่จะถ่ายน้องพาตี้จะมาแล้วละค่ะ อุ๊ยนั่นไง พูดปุ๊บก็มาปั๊บ"

ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาของบริษัทยิ้มกว้างก่อนจะผายมือไปทางประตูด้านหลังที่ผมยืนอยู่ ผมหันไปมองตามก่อนจะพบคนที่เดินเข้ามา

ร่างสูงกำยำในชุดยีนส์สุดเซอร์ที่ดูก็รู้ว่าราคาไม่เซอร์แน่ๆ กางเกงยีนส์สีซีดพอดีตัวทำให้เห็นกล้ามเนื้อขาชัดเจน เสื้อยืดพอดีตัวด้านในที่ขับเน้นแนวกล้ามเนื้อที่ผมเห็นแล้วอดอิจฉาไม่ได้ ทรงผมสีดำสนิทปกต้นคอที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงแต่กับดูเท่อย่างร้ายกาจ เพราะมันเหมาะเจากับดวงตาคมเข้มที่เหมือนสัตว์ปาดุร้าย กับโครงหน้าสมชาย ทั้งคิ้วเข้ม จมูกสันโด่ง และเรียวคางบึกบึน

"ขุนพล นี่นางแบบที่จะมาเป็นสาว ChaRme คนใหม่ของนาย น้องพาตี้จ้ะนั่นขุนพล ช่างภาพของงานครั้งนี้ที่จะอยู่กับหนูจนจบสัญญาจ้ะ"

เดาสิครับว่าช่างภาพของผมเป็นใคร...

"อ้าว น้องตุ๊ดซี่ วิ่งมารอให้พี่จับข้างล่างถึงนี่เลยเหรอน้อง"

ตุ๊ดซี่โพ่ง ผมเป็นพาตี้เว้ย ไอ้ช่างภาพเฮงซวย!



ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 4 - ท้าทาย

 
บรรยากาศการตกลงรายละเอียดงานเป็นไปอย่างราบรื่น ก็จะไม่ให้ราบรื่นได้ไงละครับ ในเมื่อมีแต่คุณผู้จัดการฝ่ายโฆษณาเท่านั้นที่พูดอยู่คนเดียว ส่วนผมที่เล่นบทเจ็บคอก็ได้แต่เงียบ และพยักหน้าตอบเป็นบางครั้ง

แต่...ไอ้ช่างภาพโรคจิตมันจะจ้องผมอะไรนักหนาวะ!

"เดี๋ยววันนี้เราอยากจะให้เทสต์หน้ากล้องกันเลยนะคะ จะได้ให้ทีมเมคอัพกับคอสตูมวางแผนงานกันเลย ทางน้องพาตี้สะดวกมั้ยคะ"

ผมสะดุ้งแล้วหันไปมองพี่เจสซี่ที่รีบตอบรับแทนทันที

"ไม่มีปัญหาเลยค่ะ เจสซี่เคลียร์คิวน้องพาตี้มาเพื่อการนี้เลยค่ะ"

"ตกลงตามนี้เลยดีมั้ยขุนพล"

ผู้จัดการเขาถามก็ตอบสิวะ จะมาจ้องหน้าอะไรอยู่ได้

"ขุนพล...พล"

แนะ ยังอีก...

"ขุน--"

"ตกลงไม่ใช่ตุ๊ดเหรอ?"

ไอ้ขุนพลลลลลลลลล

ที่มันเอาแต่จ้องผมเอาๆๆ ก็เพราะเรื่องนี้เหรอ ไอ้บ้าเอ๊ย! ทั้งที่มีการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วว่าผมคือ นางสาวพาทิเช่ สหลักษณ์ นางแบบและลูกสาวของช่างภาพชื่อดังที่ใครๆ ก็รู้จัก จะว่ามันเป็นพวกสมองช้า รึว่าเซนส์ดีกันแน่ถึงมาหาว่าผมเป็นตุ๊ดไม่เลิก

แต่ผมเป็นผู้ชายนะเว้ย!! (ถึงจะใส่นมปลอมอยู่ก็เถอะ)

"แหมมมม คุณขุนพลพูดอะไรก็ไม่รู้ เจสซี่ไม่รับน้องพาตี้มาเป็นไม้ร่วมป่าด้วยหรอกค่ะ โฮะๆๆ" พี่เจสซี่หัวเราะร่า พาให้ทั้งห้องขำตามไปด้วย ผมก็ได้แค่ยิ้มอ่อน แต่... ทำไมมันยังไม่เลิกจ้องเขม็งวะ ก็ใครๆบอกแล้วว่าเป็นผู้หญิง!

สตูดิโอเต็มไปด้วยอุปกรณ์สำหรับการถ่ายภาพระดับมืออาชีพแบบครบวงจร สมกับเป็นบริษัทชั้นนำระดับโลก ผมกำลังถูกช่างแต่งหน้าของทางบริษัทปรับผิวหน้าใหม่  เอ่อ... จะพูดว่าปรับก็มากไป เพราะพวกๆ พี่สาวสไตล์พี่เจสกำลังเติมขนตาผมด้วยมาสคาร่าที่ผมต้องเป็นพรีเซนเตอร์เห็นว่า เป็นคอนเซป ‘คมเข้ม ดุจนางพญา’ อะไรทำนองนั้น

"ตาของน้องพาตี้สวยมากเลยนะคะ เหมาะกับผลิตภัณฑ์ของเราม๊ากกกก"

ผมยิ้มรับอย่างภูมิใจ ไม่อยากจะคุยว่าใครๆก็ชอบชมว่าตาผมสวยนะ โดยเฉพาะเวลาพ่อให้ผมลองแสง ก็ชอบให้ผมจ้องเลนส์ตรงบ่อยๆ

"จิงๆ นางแบบครั้งนี้เลือกกันมานานมากจนนึกว่าจะไม่ได้ถ่ายแล้วนะคะ กี่คนๆ ก็ไม่ถูกใจคุณขุนพลซักที ได้ยินว่าที่คุณขุนพลเลือกน้องพาตี้ ก็เพราะชอบสายตาของน้องในภาพP'EYESนั่นละคะ"

mon dieu! อะไรนะ! คนที่เลือกผมไม่ใช่ผู้จัดการ แต่เป็นไอ้ช่างภาพนั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งรู้จักผมรึไง? แล้ว...แล้วทำไมมันยังมาหาว่าผมเป็นตุ๊ดอีกวะ!

"เสร็จรึยัง?" พูดปุ๊บ ก็เดินมาปั๊บ ตายยากจิงๆ

"เรียบร้อยค่ะ คุณขุนผลอยากให้เติมอะไรอีกมั้ยคะ"

สายตาคมไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหยุดอยู่ที่กลางลำตัวจุดเดิม เฮ้ย! ไอ้ช่างภาพเสือหิว ตกลงแกเป็นอะไรวะ โรคจิตรึไง!

"หึ..." แนะ มีหัวเรายิ้มมุมปาก
"แค่นั้นก็พอ"

แล้วการเทสต์หน้ากล้องก็เริ่มขึ้น ผมถูกสั่งให้ไปยืนหน้าฉากที่จัดแสงไว้เรียบร้อย แสงไฟจ้าสาดมาทางผมจนสายตาพร่า แต่ก็ไม่ทำให้ผมหวั่น เพราะผมเจอมาจนชินตอนถ่ายกับพ่อ

แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ยืนเบื้องหน้าคนที่ไม่ใช่พ่อผ่านเลนส์ของกล้อง และเป็นครั้งแรกที่ผมจะเปิดเผยตัวตนผ่านมุมมองของคนอื่น…ชักตื่นเต้นแฮะ

"สู้ๆนะคะน้องพอร์-- น้องพาตี้" เสียงพี่เจสซี่ส่งกำลังใจมาจากด้านหลัง จะดีมากถ้าพี่เขาจะไม่เกือบหลุดชื่อผมบ่อยๆ

ทันทีที่ขุนผลเข้าประจำหลังกล้อง ทุกอย่างในห้องก็ไร้เสียงใดใด ราวกับรู้กันอยู่แล้ว หมอนั่นแค่ก้มหน้าลงไปชิดอุปกรณ์ของตน ไม่มีการบอกความต้องการท่าทางการโพสต์ หรือรูปแบบใดใดให้รู้อย่างที่ช่างภาพทั่วไปทำ

เอาวะ ผมแค่ต้องเป็นพาตี้เท่านั้น

ผมยิ้มหวานให้กล้องและเอียงองศาใบหน้าแบบที่คิดว่าเป็นพาตี้ที่สุดอย่างที่เห็นในงานหลายๆอย่างของยัยพี่สาว

ฉันคือพาตี้ ฉันคือพาทิเช่

แต่สตูดิโอก็ยังคงเงียบ ไม่มีเสียงใดใด แม้แต่เสียงชัดเตอร์

ทำไมไม่ถ่ายวะ

"เฮ้ออออออ" มัน...ถอนหายใจ!

"นี่..."

อะไรวะ! (ผมคิดในใจ)และขมวดคิ้วเป็นคำถาม

"อย่าพยายามเป็นคนอื่น"

Pardon!?

"แค่แสดงความจริงออกมา ฉันต้องการแค่นั้น" ล้อเล่นป่ะเนี่ย หมอนั้นรู้เหรอว่าผมกำลังพยายามเป็นคนอื่น ทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมไม่ใช่พาตี้

แต่มันก็จริง ถึงผมกับพาตี้จะเหมือนกันแค่ไหน แต่เราก็ไม่ใช่คนคนเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่ออยู่หน้ากล้อง

ผมสูดหายใจลึกๆ เรียกสติกลับมา รู้สึกได้ว่าหัวโล่งขึ้น กล้ามเนื้อผ่อนคลายขึ้น

ผมสะบัดข้อมือและบิดตัวไปมาเล็กน้อยก่อนจะเสยผมขึ้นลวกๆ สร้างความแปลกใจให้กับทีมงานโดยรอบเมื่อเห็นท่าที่ผมเปลี่ยนไป (พี่เจสซี่ถึงกับยกมือขึ้นพึมพำภาวนา)

แต่นายขุนพลกลับยกยิ้มคล้ายพอใจกับท่าทางของผมและกลับไปประจำตำแหน่งอีกครั้ง
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน บอกให้เป็นตัวของตัวเองก็ไม่เกรงใจละนะ

แชะ!

เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นทันทีที่ผมสบสายตาตรงไปที่เลนส์ ก่อนจะตามมาอีกถี่ครั้งนับไม่ถ้วน ผมเปลี่ยนท่าทางไปเรื่อยๆ อย่างผ่อนคลาย ทั้งห้องราวกับมีแค่ผมกับนายขุนพลเท่านั้นที่กำลังพูดคุยกันผ่านเลนส์กล้อง

"แสดงออกมาอีก..."
เสียงทุ้มหลังเลนส์ทำให้ผมยกยิ้มมุมปาก หมอนี่เป็นช่างภาพตัวจริงแฮะ…

ผมถอดรองเท้าส้นสูงราคาหลายหมื่นออกท่ามกลางความตกใจของทุกคน แต่นายขุนพลกลับยิ้มถูกใจและกดชัตเตอร์ถี่ขึ้น
ผมเหวี่ยงร้องเท้าทิ้งไปข้างๆ และจ้องไปที่เลนส์ราวกับกำลังหาเรื่องกับคนที่อยู่เบื้องหลังนั่น อีกฝ่ายก็กดชัตเตอร์ถี่ราวกับยอมรับคำท้าทาย
ทั้งห้องไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดใด
อยากเห็นตัวจริงผมเหรอ...ก็เอาสิ



ผมกดชัตเตอร์ถี่อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนตลอดชีวิตการเป็นช่างภาพ ไม่เคยมีแบบคนไหนที่ท้าทายผมขนาดนี้มาก่อน ทุกคนล้วนทำตามคอนเซ็ปของตัวเองอย่างชัดเจน นั่นคือสวย หล่อ ดูดี

แต่นี่...

ทั้งท่าทาง ทั้งรัศมี โดยเฉพาะสายตานั่น...ไม่เคยเจอแบบที่ไหนที่ทำให้ผมเหมือนถูกสบสายตาทะลุมาที่เลนส์ราวกับเรากำลังจ้องตากันตรงๆ แบบนี้ และเพราะว่าสายตาคู่นี้ คู่เดียวที่ทำให้ผมตัดสินใจเลือกทันที่ได้เห็นภาพนั้น

portงานของพาทิเช่ สหลักษณ์ถูกส่งมาถึงโตะทำงานของผมทันทีด้วยมือผู้จัดการ ผมเปิดดูผลงานที่ผ่านมาของเธออย่างไม่รอช้า แต่ภาพทุกภาพ กลับไม่มีภาพไหนที่แทงทะลุความรู้สึกได้ผมได้เท่าภาพ P'EYES นั่น

"ภาพนั่น...ลูกพี่เอง"

ผมยังจำประโยคของพี่เชนได้ดี แสดงว่าคนในภาพคือพาทิเช่ สหลักษณ์ไม่ผิดแน่ เพราะใครๆ ก็รู้ว่า เชน สหลักษณ์มีลูกสาวคนเดียว แต่ไม่ว่าจะดูยังไง ความรู้สึกบางอย่างก็บอกผมว่าไม่ใช่ มันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ และผมก็อยากได้คนที่อยู่ในภาพ P'EYES มาเป็นแบบของผมให้ได้

อัลบั้มรวมผลงานของพี่เชนถูกผมรื้อออกมาเพื่อหาภาพของ P' ทั้งหมด ภาพทุกภาพที่เป็นรูปเธอจะถูกตั้งด้วยตัวอักษร P เสมอ เดาว่าน่าจะมาจากชื่อ พาทิเช่

แต่ไม่ว่าจะเทียบกันยังไง ระหว่างภาพที่พี่เชนถ่าย กับภาพในพอร์ทงาน กลับแตกต่างกันราวกับคนละคน จนผมอดทนไม่ไหวต้องรีบโทรหาพี่เชนด่วน

"ว่าไงไอ้ท่านขุน คิดถึงเหรอจ้ะ"

"ผมอยากถามเรื่องภาพ 'P'

"ทำไม?"

"คนที่เป็นแบบคือลูกสาวของพี่จริงเหรอ" ปลายสายเงียบไปนานจนผมนึกหวั่นใจว่าจะไม่ได้คำตอบ

"เขาคือลูกพี่"

เขา...เหรอ? มีใครที่เรียกลูกสาวตัวเองแบบนั้นบ้าง

"ผม...อยากได้เขา...เป็นแบบ" ผมไม่อ้อมค้อม แต่ปลายสายเงียบไปอีกครั้ง

"ถ้าอยากได้ นายต้องพยายามเอง เพราะคนนี้แม่เขาหวงมาก"

พี่เขาหมายถึงเชฟขนมหวานเชลีน มาร์แตงสินะ แต่เกี่ยวอะไรกัน ได้ข่าวเว่าเลิกกันแล้ว?

ทันทีที่วางสายผมรีบค้นข่าวเก่าๆ จำได้ว่าตอนนั้นข่าวการหย่าร้างของเชน สหลักษณ์กับภรรยาลูกครึ่งดังมาก ได้ข่าวว่าทั้งสองพยายามแย่งลูกกันด้วย...ใช่ นึกออกแล้ว พวกเขามีลูกสองคน!

ชายหนึ่ง...หญิงหนึ่ง!

ถ้า P' แตกต่างจากพาทิเช่ สหลักษณ์ อย่างสิ้นเชิง ถ้าอย่างนั่นก็ต้องเป็นลูกที่เชลีน มาร์แตงได้ไป
และ...เธอได้ลูกชายไป!

แต่บริษัทติดต่อพาทิเช่ไปแล้ว ผมครุ่นคิดถึงวิธีการที่จะทำให้ P' คนนั้นมาอยู่ตรงหน้ากล้องของผม ไม่สนหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชาย และงานที่ผมจะถ่ายคือมาสคาร่าสำหรับผู้หญิง

ผมสนแค่ดวงตาคู่นั้นเท่านั้น ดวงตานั่นเหมาะกับงานนี้ที่สุด วันนี้จะเป็นการเทสต์หน้ากล้องก่อนเซ็นสัญญา และผมต้องรู้เรื่อง P'ให้ได้

แต่ผมกลับแทบลืมหายใจ จำวินาทีที่สบสายตานั้นผ่านกระจกในห้องน้ำชายได้ดี ...สายตาของ P'
มันอาจจะดูเหลือเชื่อที่ "เขา" จะมาอยู่ตรงนี้ แต่ผมจำดวงตาคู่นั่นได้ดี ดวงตาผีผมเฝ้ามองมานาน แม้ว่าเจ้าตัวจะอยู่ในชุดกระโปรงสวยหวานไม่ต่างจากพาทิเช่ สหลักษณ์ ไหนจะหน้าอกหน้าใจนั่นอีก ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหน

และไม่ทันห้ามตัวเอง มือผมมันก็ไวเอื้อมไปพิสูจน์เสียแล้ว

นิ่มอย่างกะของจริงแนะ

ไหนจะท่าทางตื่นตกใจ กับสายตาที่ทั้งกระวนกระวาย และด่าผมไปในคราวเดียวกันนั่นอีก

ยิ่งผมจ้อง หน้าก็ยิ่งบึ้ง แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมา เดาว่าเสียงคงแมนเต็มร้อย เลยได้แค่เหลือบสายตาด่ามาทางผมเป็นพักๆ

โคตร…น่า...

ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง และทำไมถึงมาในสภาพนี้ แต่ใครจะสน เพราะผมกำลังได้แบบที่ผม "ต้องการ" และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ท่าทางที่ดูมั่นใจ สายที่ปราศจากความลังเล ริมฝีปากอิ่มที่กัดเม้มน้อยๆ ปกเสื้อที่ถูกกระชากจนเห็นแนวไหล่ขาว และท่าทางราวกับจะหาเรื่องนั่น มันทำให้ผมใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

โคตรถูกใจเลยให้ตายเถอะ!

มันน่านัก!
------------------------------------

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 5 - ถอด

"น้ำค่ะน้องพาตี้" ผมยิ้มขอบคุณทีมงาน ขณะนั่งพักเหนื่อยจากการเทสต์หน้ากล้อง

แค่การเทสต์หน้ากล้อง มันไม่ได้ทำให้ผมเหนื่อยหรอก

แต่มันเป็นเพราะไอ้ขุนพลต่างหาก

จ้องอยู่ได้!

เออ ผมรู้ว่าเขาเป็นช่างภาพ ก็ต้องจ้องผมตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ได้จ้องแค่เลนส์ แต่กำลัง "จ้องผม" จริงๆนะสิ


ผมไม่ได้คิดไปเองด้วย!!

"เหนื่อยหน่อยนะคะน้องพาตี้" ผมหยุดฟุ้งซ่านและรีบยิ้มให้กับคุณผู้จัดการคนสวยที่นั่งลงข้างผม


"พี่ดีใจจริงๆที่ได้ร่วมงานกัน บอกตามตรงนะคะ ว่าน้องพาตี้เป็นสาวChaRmeคนแรกที่อายุน้อยที่สุดที่ขุนพลเจาะจงเลือกเองเลยนะคะ"

"จริงเหรอคะคุณภัทร เจสเพิ่งทราบ" พี่เจสยกมือทาบอกพร้อมทำหน้าแปลกใจอย่างโอเวอร์

"ใช่ค่ะ ขุนพลเค้าระบุตัวน้องพาตี้มาที่ภัทรทันทีหลังกลับจากงานแสดงภาพของพี่เชนครั้งล่าสุด"

ถึงขั้นระบุตัวเลยเหรอ...สงสัยจะถูกใจยัยพี่สาวมาก

"พี่เพิ่งทราบจากขุนพลว่างานที่พี่เชนถ่ายน้องพาตี้ ใช้ชื่อภาพว่า P' หมดเลย มาจากชื่อใช่มั้ยคะ"


"ใช่เลยค่ะ..." พี่เจสและคุณภัทรผู้จัดการคุยกันอย่างออกรส ขณะที่ผมมองไปยังคนที่นั่งอยู่หลังมอร์นิเตอร์เพื่อเชคภาพที่ถ่ายไป

หมอนั่นเป็นแฟนคลับของพ่อด้วยงั้นเหรอ แถมยังรู้จักภาพเซ็ต P' เป็นอย่างดีซะด้วย

เฮ้ย อย่างนี้ก็เท่ากับว่าเคยเห็นภาพของผมมาตลอดเลยนะสิ!

"น้องพาตี้รู้มั้ยคะว่าขุนพลมีผลงานทุกเซ็ตของคุณเชนที่มีรูปของP' เลยนะคะ"

ผมจ้องไปที่นายขุนพลอย่างรู้สึกเก้อเขิน เออ แล้วผมจะเขินทำไมวะ? ที่มันชอบก็เพราะว่าเป็นรูปของพาตี้ต่างหาก ไม่มีใครรู่ว่าเรามีตัวตนซักหน่อย

ผมเป็นคนขอร้องพ่อเองว่าห้ามใส่ชื่อผมลงไป แต่...การที่มีคนชอบเราเพราะคิดว่าเราเป็นคนอื่น มันก็...รู้สึกแย่เหมือนกันนะ

ไม่รู้ว่าผมเหม่อมองไปทางขุนพลนานแค่ไหน แต่จู่ๆหมอนั่นก็เงยหน้าจ้องกลับมาเล่นเอาผมสะดุ้งเมื่อตาสบกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนผมจะต้องเสหน้าไปทางอื่นเมื่อริมฝีปากบางนั่นยกยิ้มมุมปาก

ยิ้มอยู่ได้ ไอ้โรคจิต!


                             **

ผมมอง P' ที่เพิ่งหลบสายตาผม ทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายจ้องก่อนแท้ๆ ทีผมจ้องกลับทำมาเป็นหลบ หึ

ความจริงผมรู้เจ้าหนูนั่นแอบมองผมตลอด แล้วรู้ด้วยว่าในวงสนทนานั้นภัทรกำลังเล่าเรื่องที่ผมเสนอชื่อพาทิเช่เป็นแบบเพราะถูกใจภาพของ P' เพราะผมเป็นคนบอกเรื่องนี้กับภัทรเอง


พอรู้ว่าผมมองก็รีบหันหน้าไปทางอื่นขนาดนี้ หึ มันน่า...จริงๆ

ผมบอกตรงๆนะว่าผมประทับใจมาก ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าหนูนี่คือ P' ไม่ใช่นางแบบสาวพาทิเช่ เป็นแค่คนนอกวงการที่ถูกถ่ายเป็นแบบบ้างในงานของพ่อตัวเอง ผมคงต้องคิดว่าเขาเป็นมืออาชีพแน่ๆ

เพราะดูเขาจะเคยชินมาก กับทั้งแสง อุปกรณ์ และขั้นตอนต่างๆ ไม่มีใครต้องอธิบายอะไรให้เขาเพิ่มเลย เรียกได้ว่าเขาสวมบทเป็นสาวน้อยพาทิเช่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

และนั่นแหละที่ผมโคตรแปลกใจ จะว่าหน้าตาเหมือน ก็โอเค เพราะเห็นกันอยู่ว่าเป็นฝาแฝดกัน แต่ไม่คิดว่าจะแต่งเป็นผู้หญิงได้ขึ้นขนาดนี้ ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าเขาไม่ใช่พาทิเช่ ผมคงไม่ได้สนใจมากขนาดนี้

อ๊ะๆๆ อย่ามามองผมด้วยสายตาอย่างนั้น ผมไม่ใช่โรตจิตนะ

ผมแค่รู้สึกว่า เขาเป็นผู้ชายที่... สวยมาก


แล้วก็น่าแกล้งมากด้วย... โดยเฉพาะดวงตาทรงเสน่ห์ที่กำลังเสหลบแล้วก็แอบมองผมอย่างหวาดระแวงเป็นพักๆนั่นนะ

อะไรนะ ผมพูดว่าดวงตาทรงเสน่ห์เหรอ? แล้วผมพูดผิดตรงไหนละ ถ้าคุณเห็น อย่างที่ผมเห็น คุณก็ต้องพูดเหมือนกันนั่นแหละ


จะว่าไป...จะแกล้งอะไรให้ดวงตาคู่นั้นตกใจจนโตขึ้นกว่านี้อีกดีน้า...

ผมลุกขึ้นจากหลังมอร์นิเตอร์เช็คภาพ และเดินตรงเข้าไปหาเป้าหมาย..นั่นไงเริ่มตาโตขึ้นแล้ว แถมมองซ้ายมองขวาเหมือนพยายามหาคนช่วยอีกต่างหาก

แต่เสียใจด้วยนะ ผมเห็นแล้วว่าคุณเจสซี่กำลังเม้าท์กับภัทรติดลม ไม่ว่างมาช่วยหรอก เจ้าหนู...หึหึ


"นาย...เอ่อ...เธอ...ทำได้ดีนะ" ผมแกล้งเน้นคำว่า "นาย" ชัดๆอย่างจงใจ และยิ่งชอบใจเมื่อเห็นไหล่บางนั้นสะดุ้งน้อยๆ สีหน้าหวาดระแวงจางๆแต่ก็ยังยิ้มหวานให้ผม

"ได้ข่าวว่ามีพี่น้อง ใช่มั้ย?" นั้นไง ตาโตขึ้นอีกแล้ว... ดวงตากลมโตมองผมราวกับเป็นตัวอันตราย แต่ก็พยักหน้าตอบเบาๆ

"เห็นว่าเป็น...ผู้ชาย หน้าคงคล้ายกันมากสิ" ผมพยายามไม่ขำเมื่อเห็นว่าใบหน้ารูปไข่นั่นซีดลง ริมฝีปากอิ่มเผยอคล้ายอยากจะพูดก่อนจะเม้มปิดไว้ได้ทันเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังเล่นบทพูดไม่ได้อยู่


จะว่าไป นอกจากดวงตาแล้ว ริมฝีปากนี่ มันก็น่า...

"ถ้าผู้หญิงชื่อพาทิเช่..." ผมแกล้งมองไปทางอื่นรอบๆเพื่อให้อีกฝ่ายผ่อนคลายก่อนจะกลับมาสบดวงตากลมโตที่เบิกกว้างสุดขีดราวกับกระต่ายที่กำลังตื่นกลัวคู่นั้น

"...แล้วผู้ชายจะชื่ออะไรละ?"

                                 **

ผมถึงกับลืมหายใจไปชั่วขณะและไม่อาจละสายตาไปจากอีกฝ่ายได้

ทำไมถึงถามแบบนี้? แล้วผมจะตอบยังไงดี!

ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น

ทำยังไงดี...ทำยังไงดี...เดี๋ยวนะ ...

แกมันโง่จริงๆไอ้พอร์ท ไม่เห็นต้องตอบอะไรเลย ก็แกกำลังพูดไม่ได้นี่นา!

ผมรีบส่ายหน้าและแสร้งทำเป็นขอโทษขอโพยพร้อมชี้ไปที่คอตัวเอง ให้อีกฝ่ายนึกออกว่าผมพูดอะไรตอบโต้ไม่ได้เพราะคออักเสบ

หึหึ คิดจะหลอกถามชื่อกันเหรอ เร็วไปร้อยปีเหอะไอ้โรคจิต!

ไงละถึงกับเดินหนีไปเลยเหรอ เหอะ สมน้ำหน้า เล่นกับใครไม่เล่น

"ลืมไปว่าพูดไม่ได้ งั้น...เขียนเอาแล้วกัน"

มัน...มันเอากระดาษกับปากกามาให้ผมมมม!!

"เอาสิ ว่าไง...ตกลงว่าชื่ออะไร"

นั่น...ยังมีหน้ามายิ้มมุมปากอีก นี่จงใจใช่มั้ย ตอบ!!

ผมคว้ากระดาษมาอย่างไม่เต็มใจก่อนจะจงใจเขียนชื่อตัวเองแบบภาษาฝรั่งเศสลงไปแบบลวกๆ แล้วยื่นกลับไปให้ เหอะ!! อยากรู้นักก็เชิญ แต่อ่านให้ออกก็แล้วกัน


"พอร์ทเทรตเหรอ..."

หะ!

"ก็เหมาะสมดี"

เฮ้ย!! อะไรเหมาะสม แล้วทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย เดี๋ยว กลับมาอธิบายก่อนสิ

ไอ้โรคจิตตตตตตต


"น้องพาตี้คะ เทสต์เซ็ตต่อไปรบกวนเปลี่ยนชุดหน่อยนะคะ" ผมสูดหายใจเข้าลึกๆเรียกสติตัวเองกลับมาก่อนจะเดินตามไปที่ห้องแต่งตัวที่อยู่ติดกัน

"นี่คือชุดที่คุณขุนพลให้น้องพาตี้เปลี่ยนค่ะ...โอใช่มั้ยคะ?" พี่คอสตูมถามผมพร้อมร้อยยิ้มแหยๆ

ครับ...ผมโอครับพี่...โอโหพี่จะบ้าเหรอ!!!

นี่มันชุดหรือเศษผ้ากันครับ มันถึงได้แหวกหน้าทะลวงหลังกันขนาดนี้ แล้วผมจะใส่ลงไปได้ยังไง เพราะถ้าผู้หญิงธรรมดาใส่ ก็คงต้องโนบรา แล้วถ้าผมโนบรา...ผมจะเหลืออะไรวะ!!!


ผมไม่มีนม!!

ผมรีบมองซ้ายมองขวาหาพี่เจสทันที พี่คอสตูมก็คงเห็นสีหน้าผมเลยรีบบอก

"เอ่อ...คุณเจสไปคุยเรื่องสัญญากับคุณภัทรที่ห้องทำงานค่ะ"

อะไรนะ!!

"น้องพาตี้เปลี่ยนเถอะนะคะ ไม่งั้นพี่ขุนพลดุพี่แน่ๆค่ะ"

ถ้าเปลี่ยน ผมก็ตายเหมือนกันครับพี่!

แล้วทำไมไอ้บ้านั่นต้องให้ใส่ชุดนี้ด้วยวะ นี่มันโฆษณามาสคาร่านะเว้ย ไม่ใช่ครีมทาผิวที่ต้องโชว์เนื้อหนัง นี่มันเป็นโรคจิตจริงๆใช่มั้ย

ผมยืนคิดหนักก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าที่พี่เจสซี่วางไว้และเดินเข้าห้องแต่งตัวไป ไม่สนใจเสียงท้วงของพี่คอสตูม มือก็รีบกดเบอร์โทรออกอย่างไว แต่ก็แทบไม่ทันใจผม

"ว่าไงพอร์ทตี้ งานเรียบร้อยดีป่ะ"

"ดีกะผีนะสิ!"

"เฮ้ ใจเย็นๆ เกิดอะไรขึ้น" ผมสูดหหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะพ่นทุกอย่างออกไป

"ช่างภาพของเธอกำลังจะให้ฉันถอดเสื้อผ้าถ่าย!!"

"ก็ถอดสิ"


"เธอจะบ้าเหรอพาตี้ ฉันจะถอดได้ไง ฉัน...ไม่...มี...นม!!!" นี่ยัยพี่สาวเข้าใจผมป่าววะ??

"เฮ้ยๆๆ ใจเย็นๆ ถึงกับให้ถอดเลยเหรอ งานของChaRmeไม่มีอะไรแนวนั้นนะ ถึงจะหวือหวาบ้างก็เถอะ" ผมสูดหายใจเข้าออกช้าๆและมองไปที่ชุดที่แขวนอยู่ตรงผนัง

"มันก็ไม่ใช่ว่าต้องถอดหรอก  แต่มันก็แหวกลึกไปถึงไส้ติ่งนั่นแหละ!!" ยิ่งมองไอ้ชุดบ้านั่นผมก็ยิ่งสยิว เสื้อบ้าอะไรผ่าหน้าแหวกหลังไม่มีกระดุมยึดอะไรเลย แถมยังมีเกาะอกตัวจิ๋วที่ไม่ต่างอะไรกับเสื้อในไร้สายเท่านั้น ผมถ่ายถาพส่งไปให้ยัยพี่สาวเพราะขี้เกียจบรรยาย

"มันจะยากอะไร แกก็แค่ถอดเสื้อในแล้วเอานมปลอมๆของแกไปยัดใส่ตัวใหม่ก็แค่นั้น"

แค่นั้น?....แค่นั้นเนี่ยนะ?

"ไม่...ถอด....เว้ย!!!"

"ถอดเสร็จยัง"

มัน...เข้ามาได้ไงวะ!! แล้วมัน...ได้ยินอะไรบ้าง??

"แล้วนั่น คออักเสบ แต่คุยโทรศัพท์ได้ด้วยรึไง" ผมมองโทรศัพท์ในมือสลับกับนายขุนพลก่อนจะรีบกดตัดสายและส่ายหน้าปฏิเสธ

"ช่างเถอะ แต่รีบถอดเดี๋ยวนี้ เสียเวลามาเยอะแล้วนะ มืออาชีพเขาไม่ทำให้เสียเวลากับแค่การเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกนะ" คิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดแน่นบ่งบอกความเครียด ผมก็เครียดเหมือนกันนะเว้ย!! เครียดตรงไม่มีนมเนี่ย!!

"ถอด เดี๋ยว นี้!"

ม่ายยยย!!

พรึบ!

เฮ้ย มันจะทำอะไรวะ!!

พรึบ!!

"เฮ้ย!! อุ๊บ!" ผมเผลออุทานออกมาก่อนจะรีบปิดปากแน่น

ไอ้ชิบหาย ทำไมหยาบคายมากระชากเสื้องี้!

"จะเปลี่ยนเอง รึให้จับถอด!"


เสียงขู่กระชาก ในขณะที่มือข้างหนึ่งคว้าปกเสื้ออีกผมไว้เป็นสัญญาณว่าพร้อมที่จะถกมันลงมาได้ทุกเมื่อ

ผมรีบปัดมืออีกฝ่ายออกแล้วถอดกรูดไปไกลคนเถื่อน บ้าเอ๊ย ใครจ้างมันมาทำงาน!

"ผมให้เวลาสิบนาที ถ้าไม่ออกมา ผมจะมาจับถอดด้วยตัวเอง เข้าใจ?!"

สายตาจาบจ้วงกวาดไปทั่วร่างผมก่อนจะหยุดตรงจุดเดิมที่เคยเป็นเป้าหมายจับพิสูจน์ตอนอยู่ในห้องน้ำ จนต้องรีบพยักหน้ารัวๆ

ยัยพาตี้ ยัยพี่สาวเลว!

ไม่เห็นบอกว่าต้องมาเจอโรคจิตแบบนี้เลย

บัดซบที่สุดดดดด!!!!!


-----------
ถอดเลย ถอดเลย ถอดเลย!!!

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 6 - หวาดเสียว



หมอนั่นออกไปแล้ว แต่ผมยังตกใจไม่หาย เพราะสายตาร้อนแรงพอๆกับอุณภูมิของมือที่จับไหล่ผมเมื่อครูยังคงเหลืออยู่

มีช่างภาพที่ไหนเขาคุกคามนางแบบผู้แสนบอบบางของตัวเองแบบนี้บ้างวะ?

ตกลงมันเป็นโรคจิตจริงๆใช่มั้ยเนี่ย?

Rrrrr.... ผมหันไปมองโทรศัพท์ และรีบรับเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ยัยพี่สาว

"เกิดอะไรขึ้นพอร์ท แล้วเสียงผู้ชายคนเมื่อกี้คือใคร"

"จะใครซะอีก ก็ช่างภาพของเธอที่จะจับฉันแก้ผ้าไง" ผมถอนหายใจและนั่งลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง

"แล้วตกลงเขาจับแกถอดป่ะ อิอิ" ยังมาอิอิอีกนะ ยัยพี่บ้า!

"อย่ามาทำเสียงน่าเกลียดนะพาตี้ เพราะฉันต้องมาทำงานให้เธอถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้นะ" ผมกลุ้มใจจะแย่ แต่ยัยพาตี้เอาแต่หัวเราะคิกคัก ทั้งๆที่ตัวเองเป็นต้นเหตุแท้ๆ

"แกจะคิดอะไรมากละพอร์ท เขาให้ถอด แกก็ถอดไปสิ"

"จะบ้าเหรอ! เสื้อผ้าโชว์ทั้งตัวแบบนี้ ฉันจะไปใส่ได้ยังไง ฉันเป็นผู้ชายนะ!"

นี่รอบตัวผมไม่มีคนปกติเลยใช่มั้ยเนี่ย ถึงได้แต่เจอคนที่จะยุให้ผมแก้ผ้าอยู่ได้ ถนอมเรือนร่างผมกันบ้างเถอะครับ!

"พอร์ท...ฟังพี่สาวนะ..." จู่ๆเสียงยัยพี่สาวจริงจังขึ้นจนผมต้องเงียบฟัง

"แกลืมไปแล้วเหรอว่าแกเป็นใคร...แกคือพอร์ทเทรต แกคือ P' แรงบันดาลใจของช่างภาพระดับโลกอย่างเชน สหลักษณ์นะ"

"แล้วไง..."

"P' คือแบบคนแรก และคนเดียวที่เชน สหลักษณ์ บอกว่าเป็นแบบที่มีเสน่ห์ร้ายกาจที่สุด"


"...."


" เมื่อP'อยู่เบื้องหน้าเลนส์ ใครก็ปฎิเสธไม่ได้ และไม่ว่าใครจะอยู่เบื้องหลังกล้องนั้นก็ต้องสยบให้กับสายตาของ P'!!"


"อย่ากลัวไอ้น้อง...ถ้าเขาอยากให้แกถอด แกก็รับคำท้าเขาซะ"


"..."


"แล้วแสดงให้เค้าเห็น ว่าเขาคู่ควรที่จะได้ถ่ายภาพ P' ของเชน สหลักษณ์รึเปล่า"


นั่นสิ...ผมลืมไปได้ยังไงว่าตัวเองเป็นใคร

อยากให้เปลี่ยนนักใช่มั้ย

ได้...

มาดูกันหน่อยสิ ว่านายคู่ควรรึเปล่า...


***

ผมนั่งกระดิกเท้ารอตรงเก้าอี้ประจำตำแหน่งหลังห้อง เพื่อรอนางแบบ...ไม่สิ นายแบบร่างจำแลงที่ยังคงอยู่ในห้องแต่งตัว


อยากรู้นักว่าเจ้าหนูจะตัดสินใจเปลี่ยนชุดนั้นออกมายังไง ป่านนี้ตาโตๆนั่นไม่เบิกกว้างจนกลมเป็นลูกปิงปองไปแล้วเหรอ ยิ่งนึกก็ยิ่งขำ


หึหึหึ มาดูกันหน่อยสิเจ้าหนูกระต่ายน้อย ว่านายจะรับมือยังไง

"พี่ขุนคะ..จะให้ไปตามน้องพาตี้มั้ยคะ"

ฝ่ายคอสตูมที่ผมให้เอาชุดไปให้เจ้าหนูกระต่ายน้อยเดินมาถามด้วยสีหน้ากังวล แต่ผมแค่ยิ้มและส่ายหน้า พอดีกับที่พี่เจสซี่กับภัทรเดินกลับเข้ามา

"อ้าว ยังไม่เริ่มถ่ายรอบสองเหรอขุน"

"แล้วนี่น้องพาตี้ไปไหนละคะ"

ไปแก้ผ้าอยู่ครับ...หึหึหึ

"ไปเปลี่ยนชุดนะ พอดี...ผมอยากลองลุคอื่นดู ไหนๆก็ได้ลองถ่ายแล้ว"

ช่ายยย ไหนๆก็ได้ลองแล้ว หมายถึง ลองแกล้งแล้วอ่ะนะ

"ตายจริง!! แล้ว น้องอยู่ไหนละคะ พี่เจสจะได้ไปช่วย ตายแล้วๆๆน้องพอร์...เอ่อ...น้องพาตี้ของพี่"

 ท่าทางแบบนี้ คงรู้เห็นเป็นใจกันสินะ ถึงว่า เสื้อผ้าหน้าผม หน้าอกหน้าใจมาครบอย่างกับมืออาชีพมาเอง ก็เลยต้องหาเรื่องให้ถอดออกมาโชว์ของจริงกันซักหน่อยไง...

"ไม่ต้องแล้วมั้งคะคุณเจสซี่ นั่นค่ะ น้องพาตี้ออกมาแล้ว"

ผมลอบยิ้มกับตัวเองและเดินไปประตำตำแหน่งหลังกล้อง

"พร้อมได้ซักที งั้นก็มาประจำที่เร็วๆเข้า"

ผมพูดเสียงเข้มขณะก้มหน้าปรับเลนส์ให้ได้ระยะพอดีกับที่ทั้งห้องเงียบกริบเพื่อเข้าสู่บรรยากาศการทำงาน มีเพียงเสียงฝีเท้าสม่ำเสมอที่เดินมาหยุดเบื้องหน้าผมโดยมีเพียงกล้องตัวใหญ่ขวางไว้เท่านั่น

ไหน...ขอดูหน่อยสิ เจ้าหนูกระต่าย...!!

ไอ้...ชิบ...หาย!!!!!!!


ผมเผลอหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเห็นเจ้ากระต่ายน้อยในชุดสีหวานลอกคราบจนไม่เหลือเค้าเดิม

ตึกตัก!!

เส้นผมลอนบางถูกเสยขึ้นให้เห็นใบหน้ารูปไข่ชัดเจน ดวงตากลมโตที่เคยหวาดระแวงราวกับกระต่ายน้อย กลับกลายเป็นดวงตาคมเฉี่ยวนิ่งสงบแฝงไปด้วยความหยิ่งทระนงเย่อหยิ่ง

ตึกตัก!!

ชุดเดรสสีหวานถูกสลัดทิ้งแทนที่ด้วยเกาะอกตัวจิ๋ว สีแนบเนื่อปกปิดทรวงอก(ปลอมๆ) เผยผิวขาวผ่องสะท้อนแสงไฟ ทั้งแนวลำคอขาว   แผ่นอกที่โผล่พ้นเสื้อตัวจิ๋ว และ....หน้าท้องแบบราบสุดเซ็กซี่...

ตึกตัก!!


ใช่!! หน้าท้องแบบราบสุดเซ็กซี่!! ผมใช้คำไม่ผิดแน่!!

นี่มัน...กระต่ายPlayboy ชัดๆ!!

ตึกตัก!!

ผมยกมือทาบอกที่ตอนนี้กำลังกระตุกแรงเสียจนผมกลัวว่ามันจะดังออกมาข้างนอก ขณะที่อีกฝ่ายสบสายตาผมนิ่งนายหลายวินาที ก่อนริมฝีปากอิ่มนั่นจะยกยิ้มมุมปากมาให้ผมอย่างจงใจ


ตึกตัก!!

โอเค ....ยกนี้ผมแพ้


ตึกตัก!!!

ฝากไว้ก่อนเถอะ เจ้าหนูกระต่ายน้อย!!

ตึกตัก!!

แล้วก็หยุดเต้นแรงได้แล้วไอ้หัวใจบ้า!!

ชิบหายของจริง!!

ตึกตัก!!!

***

ในที่สุดการเทสต์หน้ากล้องก็ผ่านไปอย่างราบรื่น (ในสายตาคนอื่น) ทีมงานทั้งหลายต่างรู้สึกเดียวกันว่าเป็นการเทสต์งานที่ประทับใจที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ไม่ว่าจะเป็นตากล้องมือหนึ่งของบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความเคี่ยว ติส เรื่องมาก และกวนเป็นที่สุด และถือเป็นตากล้องชัตเตอร์น้อยที่ขึ้นอยู่กับความพอใจของตัวเอง แต่ครั้งนี้กลับรัวชัตเตอร์จนกลบทุกเสียงในสตูดิโอไม่ยั้ง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

กับนางแบบที่ทุกคนทราบดีว่าแม้จะเป็นลูกสาวช่างภาพชื่อดังระดับโลก แต่เธอก็เพิ่งเข้ามาในวงการสายนี้ไม่ได้กี่ปี และรับงานใหญ่เพียงไม่กี่ชิ้น เรียกได้ว่าอยู่ในสายไอดอลสาววัยรุ่นมากกว่านางแบบท็อปแบรนด์มืออาชีพ

แต่วันนี้ทุกคนประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า สัญชาตญาณของขุนพลยังคงดีไม่มีที่ติ ทั้งหน้าตา ท่าทาง ความเชี่ยวชาญในการโพสต์และเปลี่ยนองศาที่ดึงดูดทุกสายตาของทุกคนให้จ้องมอง สายตาคมโตที่สะกดทุกคนให้หยุดงานทุกอย่างและหลงเข้าไปในนั้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

น่ารัก....แต่ไม่บอบบาง

ถ่อมตัว...แต่หยิ่งทระนง

อ่อนหวาน...แต่แฝงความร้อนแรง

นี่ละ P' สาว  ChaRme คนต่อไปที่จะสะกดทุกสายตาของหนุ่มทั้งโลก

"ยอดเยี่ยมมากค่ะน้องพาตี้ สุดยอดจริงๆ ในนามของพวกเรา ChaRme แห่งประเทศไทยดีใจอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับน้องค่ะ"

ผมยิ้มแก้มปริและยกมือไหว้ขอบคุณทุกๆคนที่อยู่ในห้องประชุมหลังจากการเซ็นสัญญาผ่านไปอย่างเรียบร้อย

"อีกไม่นานเกินสัปดาห์เราจะเริ่มฟิตติ้งเรื่องเมคอัพกับคอสตูมนะคะ อาจจะมีการติดต่อให้เข้ามาทางบริษัทเป็นบางครั้ง ยังไงช่วงนี้น้องพาตี้ก็ดูแลรักษาสุขภาพ ใบหน้า และรูปร่างให้ดูดีอยู่เสมอด้วยนะคะ เพราะมันเป็นสิ่งหลักที่เราต้องใช้ในการทำงาน"

ผมยิ้มหวานและพยักหน้ารับ ให้รักษาหุ่นนี่พอไหว แต่ให้ดูแลหนังหน้านี่...บอกเลยว่าผมปล่อยมันตามยถากรรมสุดๆ ไม่เคยทำอะไรกับมันเลยซักอย่าง เดี๋ยวคุณพี่เจษฎาก็คงจัดการเองละมั้ง

"ได้เลยค่ะ เจสซี่จะดูแลน้องพาตี้ไม่ให้ตกไม่ให้พร่องเลยค่ะ" นั่นไง ผมบอกแล้ว

"ถ้าอย่างนั้นเจสกับน้องพาตี้ต้องของลากลับก่อนนะคะ ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ" ผมลุกขึ้นยืนและไหว้ลาทุกคนอย่างอ่อนน้อมก่อนจะเดินตามพี่เจสซี่ออกไป

เฮ้อออ ในที่สุดก็ได้กลับไปพักซักที ทำไมการทำงานวันเดียวมันถึงได้เหนื่อยลากไส้ขนาดนี้วะ ขนาดแค่เทสต์หน้ากล้องนะเนี่ย!!

เพราะมัน...เพราะมันคนเดียวเลย!!


ไอ้ช่างภาพโรคจิต!

"น้องพอร์ทคะๆ" ผมตึงตัวเองกลับมาและกันมามองพี่เจสซี่ที่กระซิบเรียกชื่อจริงผมเบาๆ

"อยากเข้าห้องน้ำรึเปล่า พี่เห็นว่าทั้งวันน้องพอร์ทยังไม่ได้ทำธุระส่วนตัวเองตั้งแต่ครั้งเมื่อเช้า"

"เอ่อ...ก็ดีนะครับ" พอพี่เจสพูดปุ๊บ ผมก็ชักเริ่มปวดฉี่ปั๊บ เพราะไอ้ขุนพลนั่นแหละทำให้ผมไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำอีก


"แต่พี่เจสว่า เข้าห้องน้ำหญิงจะดีกว่านะคะ เพื่อความปลอดภัย"


"จะบ้าเหรอพี่!"

"ชู่ววววววว!! จะเสียงดังทำไมคะ" ผมรีบหุบปากฉับและมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นว่ามีใครอยู่ก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก

"ก็พี่นั้นแหละ จะให้ผมไปเข้าห้องน้ำหญิงได้ยังไง"

"ไม่ได้ก็ต้องได้ค่ะ ตอนนี้สภาพน้องพอร์ทขืนไปเข้าห้องน้ำชาย ได้ตกใจกันทั้งบริษัทสิคะ อีกอย่าง ห้องน้ำหญิงก็มีห้องกั้นอยู่แล้ว ทำอะไรก็สะดวกสบายนะคะ แล้วพี่คิดว่า เวลานี้รถน่าจะติดด้วย จัดการธุระให้เรียบร้อยไปเลยจะดีกว่า" เออ ก็จริงของพี่

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเดินอย่างห่อเหี่ยวไปที่ห้องน้ำหญิง ยืนกลั้นใจซักพัก ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปสำรวจก่อน

โล่ง...

โอเค ก็ได้วะ ยังไงถ้าเป็นห้องน้ำหญิงก็ไม่ต้องเสี่ยงเจอไอ้ขุนพลละวะ

ผมเลือกเปิดประตูห้องน้ำห้องในสุด (เดาว่าคุณต้องชอบทำ) และปิดประตูเตรียมปล่อยน้ำออกจากตัวที่ตอนนี้อั้นมาเต็มสายยางแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ลงกลอน

พรึบ!!!

เชี้ยยยยยยยยยยยยย

ขนาดหนีมาห้องน้ำหญิงแล้วนะ...


มึงเข้ามาได้ยังไง!

ผมถึงกับอ้าปากค้างมองคนที่ไม่คาดคิดว่าจะโผล่มาอยู่ตรงนี้ ในห้องน้ำหญิงนี่ แถมดันเข้ามาในห้องเดียวกันกับผมอีก


ไอ้ขุนพล!!


ผมรีบดันอีกฝ่ายออกตามสัญชาตญาณ แต่มือใหญ่กลับรวมข้อมือทั้งสองข้างของผมไว้แน่น เรียวขาหนึ่งก็แทรกมาระหว่างขาผมจนเสียววาบเพราะกลัวว่ามันจะไปโดนอะไรต่อมิอะไร ทำให้ผมกลั้นหายใจและตัวแข็งทื่อโดยไม่รู้ตัว

เฮ้ยๆ ไอ้ชิบหาย! ข้างหลังนั่นมันชักโครกกกก

เหมือนมันจะรู้ใจผม ว่ากลัวจะตกบ่อขี้ มันเลยออกแรงเบี่ยงตัวดันผมติดผนังข้างๆแทน

บอกเลยครัวว่าไม่เปียกน้ำส้วม แต่....

มันไม่ปลอดภัยเลยซักนิด!

แผ่นหลังของผมทาบสนิทกับผนังห้องน้ำขณะที่ร่างใหญ่ทาบทับตามมาปิดกันทุกช่องทางหนี ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด (เออๆๆ ผมรู้ว่าผมตัวเล็ก!) พร้อมกับยื่นใบหน้าเถื่อน...โอเคๆๆ ยืนใบหน้าหล่อๆเข้ามาใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจ

อิฉบหาย! นี่มันไม่ใช่ฉากในหนังรักหวานแววหรอกเรอะ!

มันต้องการอะไรจากผมมมมมมมมมมม!!!

"ยกสุดท้ายฉันยอมรับว่านายชนะ..."

ผมเผลอสูดหายใจเข้าอย่างตกใจเมื่อเสียงทุ้มดังอยู่ข้างใบหู ชนะ...ชนะอะไร...ใครไปแข่งอะไรกะแก!

ผมประท้วงด้วยสายตาเพราะพูดไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกับยิ้มมุมปาก พร้อมกวาดสายตาคมร้อนแรงมองผมทั่วตัวจนผมเผลอตัวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

"ขอบอกเลยว่านายทำได้เหนือความคาดหมายมาก โดยเฉพาะ ชุดนั้น...โคตรโดน"

แกหามาให้ฉันเองนะโว้ย!! แล้วอะไรโคตรโดน ขาแกนี่แหละโคตรจะโดนงุ้งงิ้งฉันแล้ว!

"...." ผมไม่กล้าเอ่ยโต้ตอบอะไร (แน่ละ ผมห้ามพูด) แต่เดี๋ยวนะ มัน...เรียกผมว่า...นาย!!

หมายความว่า!

"แต่ครั้งหน้านายไม่รอดแน่ เพราะฉันจะให้นายแสดงความจริงออกมาต่อหน้ากล้องของฉัน...ทั้งตัว"

เฮ้ยๆๆๆ อย่าบอกนะว่ามัน...

"เตรียมตัวไว้แล้วกันนะ ...พอร์ทตี้" เสียงทุ้มกระซิบเบาๆข้างใบหูข้องผมก่อนจะผละออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมทิ้งร้อยยิ้มร้ายกาจกับดวงตาแพรวพราววิบวับส่งท้าย คล้ายกับคนที่รู้ความลับทุกสิ่งอย่าง


อะไร!!  ได้ยังไง!!

อย่าบอกนะว่า...


มันรู้!!

ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย




------------------------------

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 7 - สวัสดี

ซวย...


พูดได้คำเดียวว่าว่า...


ซวยยยยยยยย!!!


ผมนอนแผ่บนเตียงในคอนโดอย่างหมดเรี่ยวแรง ี่ไม่ใช่เพราะจากการทำงาน แต่เป็นเพราะ...


ไอ้โรคจิตนั่นมันรู้ความลับของผมแล้ว!


ได้ยังไงวะ!



แถมมันยังเรียกผมว่า 'พอร์ทตี้'


พอร์ทตี้โพ่งงงงงงงงงงงง


"เป็นอะไรไปคะน้องพอร์ท ดิ้นไปมาจนเตียงจะพังแล้วนะคะ"


"พี่เจษ...."

ผมเรียกพี่เจษฎาอย่างหมดเแรง คุณพี่ท่านก็ส่งสายตาเชือดเฉือนมาให้ ก่อนจะส่ายหน้าไม่ถือสาเหมือนเห็นสายตาอ่อนเพลียของผม


"พี่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีคนรู้ความลับว่าผมเป็นผู้ชาย"


"พฃน้องพอร์ทคิดมากไปรึเปล่า ใครจะมารู้ได้ในเมื่อน้องพอร์ทยิ่งกว่าร่างโคลนนิ่งของน้องพาตี้ขนาดนี้ ขนาดที่พี่เป็นคนแต่งเองกับมือยังหลงเชื่อเลยค่ะ"


ผมกลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจ ผมควรจะดีใจสินะที่เหมือนยัยพี่สาวโคตรๆขนาดนี้ แล้วทำไมผมต้องเป็นฝ่ายไปเหมือนด้วยวะ จะถูกเหมือนไม่ได้รึไงแต่นั่นไม่ใช่ประเด็น...


"ผมพูดจริงๆนะพี่ ผมว่ามีคนรู้"


"ใครกันละคะ?" พี่เจสพุ่งมานั่งข้างผมบนเตียงจนผมเผลอสะดุ้งถอยหลังอย่างผวาโดยอัตโนมัติ


"อืม...."


"ว่าไงคะ?"


ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่ผมพบไอ้ตากล้องโรคจิตในห้องน้ำชายตอนเช้า จนถึงเหตุการณ์ในห้องน้ำหญิงหลังเลิกงาน แน่นอนว่าผมข้ามตอนที่ถูกกดติดผนัง ถูกมองด้วยสายตาร้อนแรง และถูกพ่นลมหายใจร้อนๆใส่ใบหูไป


พี่เจสยกมือทาบอกอย่างตกใจ  ใบหน้าเริ่มเครียดขมึงทำให้อ่อร่าความเป็นชายเริ่มโผล่ออกมา


"น้องพอร์ทแน่ใจเหรอคะ"


"เขาเรียกผมว่า 'พอร์ทตี้' ไหนจะตอนที่มาถามผมเรื่องน้องชายอีก ไม่นับไอ้ชุดบ้าๆคว้านยันไส้ติ่งที่ให้เปลี่ยนแบบไม่บอกล่วงหน้านั่นอีกผมไม่ได้คิดไปเองนะพี่!"


ผมโวยวายอย่างหัวเสีย ไอ้ขุนพลนั่นแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่ารู้ความลับของผม จะไปเข้าใจผิดได้ยังไง


"เขาอาจจะเรียกว่า 'พาตี้' ก็ได้นะคะ"

"หูผมไม่ตึงนะ"


"แต่อย่าลืมสิคะ ว่าน้องพอร์ทอาจจะเหนื่อยมาก อาจจะหูฝาด หรือไม่คุณขุนพลอาจจะเรียกแหย่เล่นเพราะเห็นว่าเป็นพี่น้องชื่อคล้ายกันรึเปล่า"


"มันจะใช่เหรอพี่ ผมว่าเข้ารู้แน่ๆ"

แน่สิ มันต้องรู้ ไม่อย่างนั้นมันจะจงใจแกล้งผมเหรอ ทั้งล้อว่าเป็นตุ๊ด ทั้งแกล้งถามเรื่องผม ทั้งสั่งให้เปลี่ยนชุด ไหนจะชื่อที่มันเรียกผม และไอ้สายตาสยิวๆที่ชอบเอาแต่มองพอร์ทตี้น้อยของผมอยู่นั่นแหละ


"ถ้าเขารู้ แล้วทำไมเขาไม่พูดออกมาละคะ แบบนี้เท่ากับเรากำลังทำผิดสัญญาการว่าจ้าง ฟ่องค่าเสียหายยับเชียวนะคะ"


เออ...นั่นสิ...


ถ้าหมอนั้นรู้...แล้วทำไมไม่พูด ไม่บอกคนอื่น...ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งเริ่มขยำเส้นผมตัวเองเล่นอย่างหงุดหงิด


ถ้าไม่รู้ แล้วทำไมต้องจงใจแกล้งผมแบบนั้น มันใช่เหรอที่จะมาจับหน้าอกคนที่เพิ่งเจอหน้ากันดื้อๆ (ถึงจะเป็นนมปลอมก็เถอะ) ไหนจะคำพูดที่เหมือนจงใจ และท่าทางคุกคามที่บุกจู่โจมผมถึงในห้องน้ำหญิงเหมือนจงใจวางแผนไว้แล้วนั่นอีก


โอ้ยยยยยยยยยยย!! ปวดหัวเว้ย!


ถ้ามันรู้จริง แล้วมันต้องการอะไรจากผมกันแน่วะ!


โคตรเกลียดสถานการณ์แบบนี้เลย!


ผมนอนกลิ้งไปมาบนเตียงเพื่อระบายความเครียด (ที่จริงก็ไม่ได้ช่วยอะไร) ก่อนทั้งผมและพี่เจสจะสะดุ้งมองหน้ากันเมื่อสัญญาณกริ่งหน้าประตูดังขึ้น


ชิบหายละ ใครวะ?


เสียงกริ่งยังคงตังต่อไป และถี่ขึ้นๆๆ ทำให้ผมกับพี่เจสซี่ได้แต่วิ่งไปอยู่หลังประตูอย่างไม่รู้จะทำยังไง จะเปิดก็ไม่กล้า


"เปิดเดี๋ยวนี้เลยไอ้ลูกชาย ก่อนที่พ่อจะพังเข้าไป"

เฮ้ย!


ผมรีบพุ่งพรวดไปเปิดประตูทันทีก่อนจะเห็นตากล้องสุดหล่อที่อายุไม่เคยพรากความอ่อนวัยไปจากใบหน้าของเขาได้

"พ่อ!!"


นี่ผมจะซวยซ้ำซวยซ้อนไปถึงไหนกัน พระเจ้า!


"ว่าไง...ไอ้ลูกชาย เป็นนางแบบครั้งแรกสนุกมั้ย?"


"พ่อรู้... ได้ไง!"

ผมถึงกับอ้าปากค้างมองคุณบิดาที่นั่งไขว้ขากระดิกเท้าจิบกาแฟอย่างผ่อนคลายตรงหน้า ส่วนพี่เจสซี่ขอตัวกลับไปก่อนเพื่อให้พวกเราคุยกันเป็นการส่วนตัว (เอาจิงๆ ผมว่าเจ้แกชิ่งหนีชัดๆ)

ตกลงว่า พ่อรู้ ไอ้โรคจิตนั่นก็รู้ สรุปว่าที่ผมลงทุนใส่นมปลอมไปนี่ มันมีประโยชน์อะไรป่าววะ?!


"พ่อเลี้ยงพี่สาวแก ปั้นเข้าวงการมากับมือนะ ทำไมพ่อจะไม่รู้ว่าพาตี้อยากได้งานนี้แค่ไหน ทั้งๆ ที่ตัวเองบาดเจ็บ"


"แล้วพ่อรู้ได้ไงว่าผมมาทำงานแทนพาตี้ ไหนบอกว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้ไง!"


"แกคงไม่คิดว่าคนที่เพิ่งเข้าโรงพยาบาลเพื่อดามขาจะสามารถกลับมาถ่ายแบบได้ภายในสองวันหรอกใช่มั้ย? แล้วฉันเป็นพ่อนะ แกคิดว่าฉันจะไม่รู้ว่าลูกสาวตัวเองเป็นตายร้ายดียังไงรึไง?"



"แล้วถ้าพ่อรู้ว่าเป็นผม ทำไมพ่อไม่ห้ามละ ผมต้องปลอมเป็นผู้หญิงมาถ่ายแบบ นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ!"


"ไม่เห็นเป็นไร ยังไงพ่อก็อยากให้แกลองมาถ่ายงานจริงดูซักครั้งอยู่แล้ว แต่แกไม่เคยยอมเอง สมใจฉันละงานนี้ ฮ่าๆๆ"

 นายเชน สหลักษณ์ หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างน่าเกลียดที่สุดในสายตาผม

โถ่เอ้ย....พอร์ทนะพอร์ท สรุปว่าคนที่โง่ที่สุดสงสัยจะเป็นแกแน่ๆ!

"แต่ผมกำลังจะแย่นะพ่อ ไอ้ช่างภาพคนที่ถ่ายผมเหมือนจะรู้แล้วว่าผมไม่ใช่พาตี้ และผมเป็นผู้ชาย!"

ผมกระโดดเข้าไปเขย่าไหล่พ่อแรงๆจนกาแฟกระฉอก แต่ประโยคของพ่อกับทำให้ผมช็อคค้าง


"ตกลงไอ้เจ้านั้นได้แกสมใจจริงดิ? ฮ่าๆๆ มันตาถึงจริงๆว่ะ ฮ่าๆๆ"


"ใครได้อะไร? แล้วจะหัวเราะทำไม คนกำชังกลุ่มตะเว้ย!"


"อุ๊ก!"

ผมทุบหลังตาแก่เข้าให้ด้วยความรำคาญ พูดอะไรกำกวมอยู่ได้ ตกลงมันเรื่องอะไรวะเนี่ย


"เอาน่า...ขุนพลมันเป็นรุ่นน้องพ่อเอง ไว้ใจได้ มันไม่ทำอะไรแกหรอก เผลอๆ มันไม่ได้คิดจะเปิดเผยอะไรแกด้วยซ้ำ ไม่งั้นคงพูดไปตั้งแต่แรกแล้วสิ เชื่อพ่อ"


"แต่..."


"พอร์ทเทรต..."


ผมเงียบ เมื่อจู่ๆพ่อก็เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบอย่างที่มักชอบใช้เวลาพูดเรื่องสำคัญที่ไม่บ่อยนัก (เพราะปกติไร้สาระตลอด)


"พอร์ทเป็นแรงบันดาลใจให้พ่อทุกครั้ง และลูกก็ทำได้ดีมาก ภาพของลูกทุกภาพเป็นผลงานชั้นเลิศที่พ่อไม่เคยเจอใครที่เทียบพอร์ทได้"


"....."


"แต่พอร์ทรู้อะไรมั้ย..."


"....."



"ภาพของพอร์ทไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจให้พ่อคนเดียวนะ แต่มีใครอีกคนที่พอร์ทเป็นแรงบันดาลใจของชีวิตการเป็นช่างภาพของเขา"

 


สามปีก่อน

"เฮ้ย ไอ้ท่านขุน ตกลงมึงจะรับงานที่ ChaRme มั้ยวะ?"

ผมเหลือบมองเพื่อนที่เดินข้างๆ และรับรู้ถึงสายตาของเพื่อนสาวอีกคนที่เงียบรอฟังคำตอบไปด้วย

"ไม่รู้ดิ กูยังไม่ได้คิด"

"จะบ้าเหรอขุน นี่มันChaRme เชียวนะ! บริษัทมาตรฐานโลกกำลังทาบทามให้แกเป็นช่างภาพงานโฆษณาของเขานะ"

ผมเหลือบมองภัทร เพื่อนสาวเพียงคนเดียวของกลุ่ม และเดินต่อไปโดยที่ยังไม่ตอบ...ก็ผมยังไม่ได้ตัดสินใจนิ

"ยังไม่คิด ก็คือยังไม่คิด"

"แต่แกว่างมาสองปีแล้วนะขุน แกคิดจะอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน?" คำพูดของภัทรทำให้ผมหยุดฝีเท้าลง


ครับ...พวกเราเรียนจบกับมาได้สองปีแล้ว ในขณะที่เพื่อนๆคนอื่นก็ต่างเข้าทำงานทางสายตรงที่เรียน เช่นหญิงสาวข้างกายผม ที่ตอนนี้กำลังทำงานอยู่ฝ่ายโฆษณาของ ChaRme สาขาประเทศไทย บริษัทเครื่องสำอางแบรนด์สากลที่โด่งดัง แบรนด์เดียวกับที่ติดต่อให้ผมไปทำงาน

ส่วนนัท เพื่อนผู้ชายลูกชายนายธนาคารใหญ่ที่เดินมาด้วยกันก็กำลังทำงานเป็นครีเอทีฟสายโฆษณาให้กับบริษัทจัดโฆษณาชื่อดังแห่งหนึ่ง และกำลังมีความสัมพันธ์ไปกันได้ดีกับภัทรจนอาจจะได้ยินข่าวดีเร็วๆนี้จากเพื่อนทั้งคู่

แต่ผมนายขุนพล  อัสนีนาถ ชายหนุ่มอายุ 24 รูปหล่อ หุ่นดี มีเงินพอสมควร ตอนนี้ 'ว่างงาน' ครับ :)

"มึงเป็นอะไรวะท่านขุน กูถามจริงเหอะ นอกจากที่มึงส่งรูปประกวดกวาดรางวัลให้เขาหาตัวกันทั่วประเทศแล้ว กูก็ไม่เห็นมึงทำอะไร หรือตอบรับที่ไหนซักที มึงมีปัญหาอะไรรึเปล่า"

นั่นสิ...ผมมีปัญหาอะไร? ผมก็อยากรู้ตัวเองเหมือนกัน

ในขณะที่เพื่อนคนอื่นกำลังทำงานด้วยความไฟแรงในด้านที่ตัวเองจบมา และส่วนใหญ่ก็กำลังเก็บประสบการณ์และกำลังพัฒนาสูงขึ้น ...สูงขึ้น...


แต่ตัวผมกับแค่ออกเดินทาง ท่องเที่ยว และถ่ายภาพส่งเข้าปะกวดกับสถาบันต่างๆ เก็บรางวัลมานิดๆหน่อยๆ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีอะไรเลย

ไม่รู้สิครับ...ผมแค่กำลังสับสน...

สายที่เรียนบอกเลยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกใจที่บ้านผมเป็นที่สุด โดยเฉพาะพ่อ ที่ผมต่อต้านดื้อด้านมาตลอด เพราะไม่อยากเรียนแบบเดียวกับคนอื่นในบ้าน ก็เลยลุยอีกสวนทางมาแบบสุดโต่ง เชื่อว่าสักวันต้องทำให้เขาเห็นความสำเร็จของผมให้ได้ แล้วมันก็ไปได้สวย เพราะฝีมือผมก็ค่อนข้างดีเลยนะ...ไม่ได้อวยตัวเอง

แต่สุดท้ายความพยายามและดื้อรั้นมันก็มาถึงทางตัน เมื่อเราไม่รู้ว่าเราจะทำไปเพื่อใคร ถ้าคนที่ผมต้องการให้เขาเฝ้ามองความสำเร็จไม่มีใครสนใจหันมามองผม...

ภาพที่ผมถ่าย ไม่ว่าจะได้รางวัลมามากมายแค่ไหน ถูกตีความหมายภาพ ถูกวิจารณ์แง่มุมของการถ่าย พูดถึงแนวคิดที่คาดว่าจะเป็นแนวการถ่ายภาพของผมไปต่างๆนาๆ แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย...

ไม่เลย...

เหมือนมันว่างเปล่า...


และผมไม่อยากตอบรับงานที่ต้องไปแบกรับสิ่งมากมายไว้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทั้งๆที่ตัวผมยังว่างเปล่าขนาดนี้


ผมกลัวว่างานที่ผมทำ มันจะถูกทำให้ว่างเปล่าไปด้วย...


ถ้าผมยังหาเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองไม่ได้ว่ากำลังทำเพื่ออะไร


โอเค ผมเป็นแค่วัยรุ่นที่กำลังเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ ยอมรับเลยก็ได้


"กูรู้ว่ามึงกับภัทรเป็นห่วง แต่กูไม่เป็นอะไร" ผมยิ้มให้ทั้งคู่สบายใจก่อนออกเดินต่อ


รอบกายผมเป็นงานจัดแสดงภาพของช่างภาพชื่อดังที่ตอนนี้กำลังเป็นที่จับตามองของทั้งวงการไทยและเทศ "เชน สหลักษณ์" รุ่นพี่มหาวิทยาลัยของพวกผมเอง ซึ่งเขาส่งบัตรเชิญมาให้พวกเราในฐานะรุ่นน้องที่สนิทร่วมชมรม

ความจริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการจัดแสดงผลงานภาพถ่ายของพี่เขา แต่ผมไม่มีโอกาสได้มาดูเลยสักครั้ง แต่กับครั้งนี้ผมมาเพราะข้อความแปลกของรุ่นพี่ที่แนบมากับบัตรเชิญ

'เผื่อจะเจอสิ่งที่ตามหา'

ลายมือหวัดๆเขียนไว้ที่หลังบัตรเชิญ ทำให้ผมต้องรีบโทรเรียกอีกสองคนออกมาทันที


"ไอ้ขุน มึงมาจริงๆด้วย" เจ้าของงานยืนโบกมือให้อยู่ที่มุมหนึ่งของงาน ทำให้พวกเรารีบเดินเข้าไปหา


"หวัดดีครับพี่เชน ยินดีด้วยอีกครั้งนะครับ แกลลอรี่ของพี่ยังสุดยอดเหมือนเดิม" นัทเดินเข้าไปกอดพี่เขาแรงๆขณะที่ผมกับภัทรยิ้มกว้างให้แทนคำพูด

"ขอบใจๆๆ แล้วเมื่อไหร่จะแต่งละ สาวเขารอเก้อละม้างงงง นี่ภัทร ถ้าไอ้นัทไม่มาขอ ก็เอาขันหมากไปขอเองเลยสิ ฮ่าๆๆๆ"

"พี่เชนอ่ะ!!" ภัทรร้องออกมาอย่างเขินอายและหันไปฟาดแขนคนรักดังป๊าบแทน ทำให้พี่เชนยิ่งหัวเราะลั่น


"ไงมึง ยอมมาซักที กูนึกว่างานระดับเทพอย่างกูจะถูกมึงเมินซะอีก"


"ก็...เผื่อเจออะไรตามที่พี่บอก" ผมตอบนิ่งๆ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะร่วน ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเข้มนั่นมีเสน่ห์ขึ้นไปอีก ขนาดมีลูกแล้วนะเนี่ย


"รับรอง มึงเจอแน่ แต่ต่องหาเอานะ"

อ้าว...ไอ้พี่เวร

"อาชีพอย่างเรานะไอ้ขุน มันต้องเชื่อสายตาและหัวใจของเราเอง เพราะเรามีช่องมองภาพเดียว...จริงมั้ย"


พี่เชนกระซิบกับผมเบาๆก่อนจะหันไปชวนภัทรกับนัทไปแนะนำคนรู้จักในวงการ ปล่อยให้ผมยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางภาพถ่ายมากมายที่บ่งบอกฝีมือและความเชี่ยวชาญของคนถ่ายเป็นอย่างดี


ต้องเชื่อสายตาและหัวใจของเราเท่านั้น...


แต่ผมยังหาไม่เจอดิพี่...


ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ว่างเปล่าขนาดนี้...

ขาของผมพาเดินไปตามพื้นที่จัดแสดงภาพอย่างไม่เร่งรีบ รอบกายของผมมีทั้งภาพผู้คน สัตว์ และวิวทิวทัศน์ที่แปลกตา แต่ที่ดูโดยภาพรวม รู้สึกว่าโลเคชั่นจะเป็นประเทศทางยุโรปเสียส่วนใหญ่ ได้ข่าวว่าภรรยาของพี่เขาอยู่ทางนั้น

แต่ไม่ว่าผมจะเดินผ่านไปกี่ภาพ ก็กลับไม่เจอในสิ่งที่ผมตามหา


ไม่มีเลยซักนิด...


หรือผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตามหาอะไรกันแน่...


ไม่รู้...


ไม่มี...


ไม่...


ขาผมหยุดชะงักอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องจัดแสดง มุมเล็กๆที่เกือบอับจากทุกช่องสายตาที่หลายคนอาจจะแทบไม่สังเกตเห็น แต่ขาของผมกลับพามายืนอยู่ตรงนั้นได้อย่างแม่นยำราวกับถูกดึงด้วยแรงดึงดูดมหาศาล แรงดึงดูดที่เรียกว่า 'โชคชะตา'


นี่มัน...


ผมมองไปยังภาพขนาดเล็กสูงราว 1 ฟุต ตรงหน้า ไม่มีสีสันฉูดฉาด ไม่มีมุมกล้องหวือหวา ไม่มีเทคนิคพิเศษใดใด มีเพียงสายตาที่จ้องตรงมาที่เลนส์ราวกับจะบอกกับผมว่า


'มองมาที่ฉันสิ'


อา...


ผมว่า ผมอาจจะเจอแล้ว...


จู่ๆความรู้สึกในอกก็เริ่มปั่นป่วนเพราะสายตานั้น ราวกับสัญญาณเตือนว่านี่คือสิ่งที่ผมตามหามานานแสนนาน

ผมมองไปที่ชื่อภาพด้านล่างที่มีที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษตั่วจิ๋วตัวเดียวง่ายๆ สลักเอาไว้อย่างไร้ความหมาย

" P'...เหรอ?"

ผมดึงสายตากลับไปสบดวงตากลมโตคู่นั้นอีกครั้ง พร้อมสัมผัสได้ถึงถึงแรงกระตุกภายในอก

ตึกตัก!

ผมสะดุ้งตื่นท่ามกลางบ้านที่เงียบเชียบเพราะพ่อกับแม่และพี่ชายยังไม่กลับจากการเข้าเวร อ้อ...บ้านผมเป็นหมอกันทั้งบ้านครับ เรียกได้ว่าเป็นกันตั้งแต่โคตรเหง้า มาผ่าเหล่าที่ผมคนเดียว คุณคงเข้าใจเหตุผลแล้วว่าสายอาชีพผมมันสวนทางกับคนในบ้านยังไง


ผมลืมตาก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งที่โต๊ะทำงานที่มีอุปกรณ์หากินของผมที่เช็ดทำความสำอาดค้างเอาไว้


ผมหยิบมันขึ้นมาและเริ่มลงมือทำความสะอาดต่ออีกครั้ง ก่อนจะเหลือบไปมองภาพที่แขวนอยู่บนผนังห้องตรงหน้าในระยะสายตาพอดี...ภาพภาพนั้นเมื่อสามปีก่อน...


ภาพที่ทำให้ผมตัดสินใจเข้าทำงานที่ ChaRme และเริ่มงานสายช่างภาพอย่างเต็มตัว


รู้สึกถึงมุมปากที่กระตุกยิ้มบางเบาของตัวเองเล็กน้อย ขณะที่นึกถึงร่างบอบบาง ดวงตากลมโต และกลิ่นหอมหวานที่ได้สัมผัสกับตัวเอง



"ได้พบกันซักทีนะ...คุณแรงบันดาลใจ"

---------

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 8 - ยิ้ม

"เสร็จรึยังคะน้องพอร์ท เดี๋ยวรถติดนะคะ"

พี่เจสเรียกผมอย่างคึกคักแบบทุกที แต่ผมกลับส่งเสียงตอบแบบไร้ความกระตือรือล้นใดใด หมดเรี่ยวแรงที่จะกระดิกตัวไปทำงาน (ที่ไม่ใช่ของตัวเอง)

ตั้งแต่ที่พ่อมาหาผมเมื่อสองวันก่อน บอกได้เลยว่าผมเอาแค่ครุ่นคิดจนนอนไม่หลับ ปหตืออันที่จริงก็คือผมไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะคุณชายเชนไม่ได้ให้ความกระจ่างหรือมั่นใจซักอย่างนอกจากคำพูดลอยๆ ว่าผมจะไม่ถูกเปิดโปงแน่ๆ

แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนพ่อก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ดูจะดี๊ด๊าด้วยซ้ำ บอกว่าดีแล้วที่ผมมา จะได้มีโอกาสอยู่กันตามประสาคุณพ่อกับลูกชายบ้าง เพราะเวลาไปหาผมที่ฝรั่งเศสทีไร ก็ต้องตีกับคุณนายเชลีนตลอด (แต่รู้สึกจะเต็มใจบินไปชวนทะเลาะโดยเฉพาะมากกว่าบินไปหาผมซะอีก)

แต่ไม่ว่าจะคิดยังไง ผมก็นึกไม่ออกว่าทำไมไอ้ช่างภาพโรคจิตถึงยินยอมปิดความลับนี้ไว้ แถมยังให้ผมถ่ายแบบต่อไปทั้งๆที่คนที่ต้องการคื เขาควรจะบอกให้ผมรีบกลับไปแล้วพานางแบบตัวจริงมาสิถึงจะถูก

ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจโว้ย!

"ฟิตติ้งวันนี้น้องพอร์ทไม่ต้องกังวลนะคะ พี่เจสอัดกาวใส่อย่างดีไม่มีอะไรหลุดแน่นอนค่ะ" พี่เจษฎาตบป้าบมาที่หน้าอกของผมให้รู้ว่าอะไรที่ถูกใส่กาวอย่างดี

วันนี้เป็นวันฟิตติ้งเมคอัพกับคอสตูมครับ แน่นอนว่าจะขาดขั้นตอนการลองเสื้อผ้าไม่ได้ และคงไม่ใช่แค่รอบเดียวซะด้วย ดังนั้นความลับของผมก็มีความเสี่ยงที่จะรั่วไหลมาก

เอ่อ...แต่พี่ครับ ช่วยกังวลเรื่องอื่นนอกจากนมปลอมนี่จะดีมาก

พูดถึงการลองชุด เรื่องที่ผมกังวลอีกเรื่องก็คือเสื้อผ้าที่จะใช้นี่แหละ ดูจากไอ้ที่คุณขุนพลสรรหามาครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้ผมกลัวว่าสไตล์มันคงจะไม่ต่างกัน แค่คิดก็อยากจะร้องไห้ ถ้าต้องเปลี่ยนเป็นชุดผ่าหน้า คว้านหลังแบบนั้นอีก ผมจะทำยังไง

พระเจ้าครับ ได้โปรดให้พวกเขาเลือกชุดไทยห่มสไบเฉียงมาให้ผมเถอะ หรือไม่ก็อย่าให้ไอ้ขุนพลมันมาดูฟิตติ้งวันนี้เลย ให้มันปวดท้อง ขี้แตก ลำไส้อักเสบอะไรก็ได้ พลีสสสสสสส...

นั่นไง...กะแล้วว่าพระเจ้าต้องเกลียดผมแนาๆ

กะว่าไม่ให้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรกันเลยสินะ ถึงต้องดลบันดาลให้ต้องมาเจอกันตั้งแต่หน้าลิฟท์เนี่ย!

"อุ้ย...งานเข้า" ผมหับขวับไปส่งสายตาขุ่นให้กับพี่เจสซี่ที่รีบยิ้มหวานให้ผมและหันไปทักทายอีกฝ่าย

"สวัสดีค่ะคุณขุนพล มาดูด้วยเหรอคะ"

"พอดีผมอยากจะมาดูแลใกล้ชิดด้วยตัวเอง"

ผมขมวดคิ้วแน่น เมื่อได้ยินถ้อยคำกำกวมนั่นจากอีกฝ่าย ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในลิฟท์ทันทีที่ประตูเปิดออกและเบียดตัวเข้าไปที่มุมในสุด

นั่น...อย่ามายิ้มเยาะนะ ก็เพราะนายนั่นแหละที่ทำให้ผมต้องทำตัวเป็นจิ้งจกเกาะฝาผนังแบบนี้!

"เอ่อ....พี่เจสซี่ขอบคุณคุณขุนพลมากนะคะที่ให้ความไว้วางใจและเลือกน้องพาตี้ให้มาร่วมงาน เป็นเกียรติของพวกเราอย่างมากเลยค่ะ" พี่เจสพูดเสียงหวานหยดย้อยและดึงแขนผมให้มายืนเคียงข้างกัน

เดี๋ยวครับพี่ จะคุยกับหมอนั่นก็คุยไปสิ แต่ทำไมต้องแงะผมออกมาจากผนังและดันมาซะใกล้มันขนาดนี้ด้วย พี่ลืมไปรึเปล่าว่ามันเป็นคนที่รู้ความลับของผม!

"ทำตัวตามปกติสิคะ..." พี่เจษฎากัดฟันกระซิบข้างหูผม ก่อนจะหันไปฉีกยิ้มกว้างให้กับตากล้องหน้าเข้มอีกครั้ง

"พี่เจสได้ยินว่าคุณขุนพลติดตามผลงานของน้องพาตี้ที่ถ่ายให้กับคุณเชนเหรอคะ" เอ้า! ไปถามมันแบบนั้นได้ไงละพี่ พี่ก็รู้ว่าผลงานที่ว่านั่นใครเป็นแบบ!

ผมแอบลอบมองอีกฝ่าย แต่กลับต้องรีบหลบสายตาทันทีเมื่อสบกับดวงตาคู่คมที่จ้องผมอยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก

นั่น...ยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว

"ก็ไม่เชิงครับ พี่เชนเขาเป็นรุ่นพี่ที่ผมนับถือก็จริง แต่เราก็มีงานที่มีแรงบันดาลใจคนละแนว ยกเว้นแค่...P' เท่านั้น"

จู่ๆใบหน้าผมก็ร้อนขึ้นมาเฉยๆทั้งที่เครื่องปรับอากาศในลิฟท์ยังคงทำงานได้ปกติดี

เฮ้ย พอร์ทเทรต สติเว้ย สติ!

”คุณขุนพลชอบ P' เป็นพิเศษเหรอคะ?"

พี่เจสซี่! ทำไมไปถามแบบนั้น! พี่ควรจะถามว่า 'ชอบภาพ P เป็นพิเศษเหรอ' ต่างหากละพี่!

มันก็ประหลาดที่ผมกลับกลั้นหายใจรอฟังคำตอบที่จะออกจากปากของคนข้างกาย แหงละ เพราะไม่เคยได้ยินฟีดแบ็คของตัวเองจากปากตรงๆก็เลยอยากรู้เป็นธรรมดาเท่านั้นแหละ

ช่างภาพหนุ่มหัวเราะเบาๆออกมา ทำให้ผมชักเริ่มหงุดหงิด หัวเราะบ้าอะไรอยู่ได้ ไม่ชอบก็ไม่ชอบสิ ทำไมต้องหัวเราะด้วยวะ

"มันไม่ใช่ว่าชอบอะไรหรอกครับ เพราะถ้าพูดให้ถูกก็คือ...” เสี้ยงทุ้มทิ้งช่วงนานจนผมเผลอกลั้นหายใจ เพราะมันราวกับว่าเข้ามาใกล้มากกว่าเดิมจนได้ยินชัดเจนทั้งที่แผ่วเบา

”ผมเข้าขั้นหลงใหลเขาเลย”

ใบหน้าของผมเห่อร้อนขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเสียงทุ้มกระซิบคำว่า 'หลงใหล' เบาๆ ข้างใบหูของผมจนสัมผัสได้ถึงไอร้อนของลมหายใจ

อะ...อะ...ไอ้โรคจิต!!

หลงใหลบ้าอะไรวะ!

"คุณเจสซี่ น้องพาตี้ สวัสดีค่ะ ฝ่ายคอสตูมเตรียมเสื้อผ้าไว้เรียบร้อยแล้วนะคะ อ้าว ขุน มาด้วยเหรอ ปกติไม่เห็นจะมาตอนฟิตติ้ง" คุณภัทรผู้จัดการฝ่ายโฆษณาเดินเข้ามาต้อนรับผมกับพี่เจสซี่ด้วยรอยยิ้มอย่างเคย

"ก็อยากมาดูรายละเอียดเอง ไม่ได้รึไงไอ้ผู้จัดการ"

"จ้าๆใครจะไปว่าคุณช่างภาพเจ้าของงานได้ละ"

ผมเหลือบมองท่าทีสนิทสนมของคนทั้งคู่ที่ดูท่าจะมากกว่าเพื่อนร่วมงานปกติอย่างสงสัย...หรือว่า?

เฮ้ยๆ แกไปเสือกเรื่องอะไรของเขาวะพอร์ทเทรต งาน แกต้องสนใจงานสิวะ!

"เชิญน้องพาตี้และคุณเจสที่ห้องนี้เลยค่ะ ฝ่ายคอสตูมเตรียมเสื้อผ้าที่ต้องใช้และห้องลองเสื้อไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้ามีอะไรที่ต้องแก้ไขสัดส่วนตรงไหน เราจะได้พร้อมจัดการกันเลย"

เมื่อได้ยินถึงชุดและห้องลองเสื้อ ใจผมก็ชักจะเต้นตุ้มๆต่อมๆขึ้นมาอีก ถ้าเป็นเสื้อผ้าล่อเสือแบบคราวก่อน ผมต้องแย่แน่ๆ และมั่นใจด้วยว่ามันต้องเป็นแบบนั้น เพราะไอช่างภาพโรคจิตมันต้องจงใจกัดผมไม่ปล่อยแน่ๆ

ทำไงดีวะ!!

"เราจะใช้ทั้งหมดประมาณสิบชุดท่านั้นนะคะ เพราะว่าเราจะเน้นไปที่ส่วนของเมคอัพที่ต้องโฆษณาตัวผลิตภัณฑ์มากกว่า เป็นยังไงคะ ถูกใจมั้ยคะ?"

คุณภัทรผายมือไปทางราวแขวนที่เรียงไปด้วยเสื้อผ้าที่จัดมาเพื่อการถ่ายแบบครั้งนี้ เสื้อผ้าที่...

ผิดคาดครับ !!

เสื้อผ้าที่แขวนอยู่ตรงหน้าผมไกลไปจากจินตาการที่คิดเอาไว้มาก ทุกชุดถูกสั่งตรงมาจากห้องเสื้อชั้นนำทางยุโรป แต่กลับไม่ใช่ไสตล์หวือหวาล่อแหลมอย่างที่ผมนึกกลัวในตอนแรก

ทั้งหมดที่แขวนอยู่บนราวตรงหน้าผมเป็นชุดที่ปกปิดมิดชิดอย่างปลอดภัยทุกสัดส่วน โดยเฉพาะบริเวณหน้าอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ถูกออกแบบมาให้เรียบหรูดูมีระดับสมกับแบรนด์นานาชาติที่ ChaRme เลือกใช้ และเน้นไปทางโทนสีทึบเสียส่วนใหญ่

"เราเลือกเน้นโทนสีเข้มให้เขากับคอนเซปของมาสคาราค่ะ ตอนแรกทางฝ่ายคอสตูมออกความเห็นว่าอยากให้ออกมาในลุคเซ็กซี่เล็กน้อยเพราะเห็นว่าน้องพาตี้อยู่ในวัยที่กำลังมาแรง" พี่คอสตูมเดินมาอธิบายเกี่ยวกับคอนเซปของชุดให้ผมกับพี่เจสซี่ฟัง

"แต่คุณขุนพลเสนอให้ใช้เสื้อผ้าพวกนี้แทน เห็นบอกว่าน้องพาตี้ตอนนี้ควรจะเป็นความลึกลับที่น่าค้นหามากกว่าถึงจะเหมาะที่สุด"

ไอ้โรคจิตนะเหรอที่เสนอให้ใช้เสื้อผ้าพวกนี้

ผมรีบหันไปมองคนที่ถูกพูดถึงที่ยืนอยู่ข้างหลัง ซึ่งอีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้ตัวจึงส่งยิ้มมุมปากมาให้

อีกแล้ว...ไอ้รอยยิ้มแบบนี้อีกแล้ว

ทำไมถึงเลือกชุดพวกนี้ให้ผม ทั้งๆที่เมื่อวันก่อนยังเหมือนจะจงใจทั้งแกล้งยั่วผมอยู่เลย แต่นี้...กลับเลือกชุดที่ผมสามารถสวมได้สบายๆโดยไม่ต้องกลัวความลับเปิดเผย...เหมือนตบหัวและลูบหลังกันชัดๆ

"ไปเตรียมห้องลองเสื้อผ้าได้แล้ว มีปัญหาอะไรจะได้แก้ไขเลย" ร่างสูงค่อยๆ เดินเข้ามายืนข้างๆ ผมและทำทีหันไปพูดกับฝ่ายคอสตูมก่อนจะโน้มตัวเข้าหาผมและกระซิบเบาๆ

"เสียใจที่ไม่ได้ใส่เกาะอกเหรอ...พอร์ทตี้"

ไอ้!!!

เนี่ย! มันเป็นคนอย่างเงี่ย!  เดี๋ยวก็เหมือนจะหาเรื่อง เดี๋ยวก็เหมือนจะช่วย เดี่ยวก็ชอบยิ้มแปลกๆ แล้วจะให้ไว้ใจได้ไงวะ! มันเป็นพฤติกรรมจิตชัดๆ!

"ขอบคุณมากนะคะวันนี้ เราจะพร้อมถ่ายกันอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้านะคะ แล้วทางบริษัทจะติดต่อไปอีกที" พี่เจสซี่นัดแนะกับคุณภัทรอีกเล็กน้อย ผมจึงยกมือไหว้คุณภัทรเพื่อขอบคุณและขอตัวกลับ

การฟิตติ้งวันนี้ผ่านไปอย่างเรียบร้อยและง่ายดายอย่างเหลือเชื่อครับ ไอ้คุณช่างภาพนั่นกลับมามีท่าทีเหมือนคนปกติ ไม่ได้เข้ามายุ่งหรือเฉียดเข้ามาใกล้ผมอีกเลยนอกจากนั่งมองอยู่ห่างๆ

ผม พี่เจส และคุณภัทรยืนคุยกันต่อซักพัก (แน่นอนว่าผมแค่ฟัง) ก่อนพี่เจสจะขอแยกตัวไปคุยโทรศัพท์

จู่ๆ ก็เสียงฮือฮาของพนักงานอื่นๆ ดังระงม ทำให้ผม กับคุณภัทร ต้องรีบหันไปมอง แต่สาเหตุของมันกลับทำให้ผมอ้าปากค้าง

พ่อ!!

"ตายแล้ว พี่เชน!!" ผมหันควับไปมองอยากตกใจเมื่อคุณภัทรเธอเรียกพ่อของผมและวิ่งเข้าไปกอดอย่างสนิทสนม

"ขุน...ขุน! พี่เชนมา!"

เฮ้ย....นี่มันอะไรกันวะ  อย่าบอกนะว่ารู้จักกันหมดเลยนะ!

"มาได้ไงพี่" ผมยืนงงมองนายขุนพลที่ยิ้มถามคุณบิดาของผม แต่พ่อกลับเดินเข้ามาหาผมแทนพร้อมกับโอบไหล่แน่นเป็นคำตอบ

"ก็แค่อยากมาดูว่าลูกกูทำงานเป็นยังไงบ้าง ฮ่าๆๆ"

"แหม....ไม่ได้จะอวยนะคะพี่เชน แต่น้องพาตี้เก่งมาก และน่ารักมากจริงๆ เนอะ ขุน" คุณภัทรกระแซะไหล่นายช่างภาพตัวสูงที่ยิ้มบางๆตอบ เป็นภาพที่ดูน่ารักราวกับคนรู้ใจที่กำลังหยอกล้อกัน

นี่ผมคิดอะไรวะ?

จู่ๆก็เสียงฮือฮาของพนักงานอื่นๆ ดังระงม ทำให้ผม กับคุณภัทร ต้องรีบหันไปมอง แต่สาเหตุของมันกลับทำให้ผมอ้าปากค้าง

"ครับ"

"แหม ...ไม่ค่อยเลยนะขุน" คุณภัทรตีแขนหนาเบาๆอย่างหยอกล้ออีกครั้ง

ผมเหลือบสายตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างตกใจ มันรู้ตัวรึเปล่าว่าตอบอะไรออกไป ผมเป็นผู้ชายนะ แล้วมันก็รู้ ทำไมต้องมายอมรับว่าผมน่ารักด้วย รึว่าอยากจะแสดงให้สมบทบาทต่อหน้าสาวข้างตัวเหรอ?

"สวัสดีค่ะคุณเชน โชนดีจังที่คุณเชนมาพอดี"

"ทำไมเหรอเจษฎา"

"เจสซี่ค่ะ!! คือ พอดีที่บ้านมีธุระเรียกตัวเจสด่วนนะคะ เลยอยากรบกวนคุณเชนรับน้องกลับไปด้วยได้มั้ยคะ เจสต้องรีบไป"

เฮ้ยๆๆ อย่าทิ้งกันสิพี่เจส

"ไปเถอะ เดี๋ยวผมดูลูกเอง" สิ้นคำของพ่อผม พี่เจสก็รีบลากลับไปทันที ปล่อยผมทิ้งไว้กับคุณพ่อสุดอินดี้ และคุณภัทรกับนายขุนพลที่ยังยืนแนบชิดกันอยู่ (ผมไม่ได้โฟกัสตรงนั้นนะ แต่มันอยู่ตรงหน้าให้เห็นเฉยๆ)

"ไหนๆ ก็เจอกันแล้ว เรามาเลี้ยงรุ่นกันหน่อยเป็นไง จะบอกให้ว่า ลูกพี่คนนี้ทำอาหารเก่งมากนะขอบอก" อ้าวเฮ้ย ไหงเป็นงั้นวะพ่อ ถามผมก่อนดิ!

"เสียดายจังค่ะ แต่ภัทรคงต้องขอตัว พอดีว่ามีนัดแล้ว"

"เหรอ...แล้วไอ้ขุนอ้ะ อย่าบอกนะว่าไม่" พ่อของผมทำน้ำเสียงเสียดายอย่างออกนอกหน้า เหอะ!! มันไม่ว่างนะดีแล้ว

"ไม่ครับ..." เห็นมะ

"ไม่ปฏิเสธครับพี่" เฮ้ย!!

นั่นไง เนี่ย มันเป็นอย่างเงี้ย! เกลียดมันจริงๆแล้วก้ไอ้รอยยิ้มนั่นด้วย!!


"พ่อคิดจะทำอะไร?" ผมโวยวายทันทีที่ขึ้นมาบนรถที่คุณบิดาข้างตัวกำลังขับตรงกลับบ้าน

"อะไร ก็คิดจะกินข้าวฝีมือแกไง"

"แล้วพ่อจะชวนไอ้ขุนพลนั่นไปด้วยทำ พ่อก็รู้ว่าเขารู้ความลับผม!" ผมพูดอย่างหัวเสีย แต่คุณบิดากลับทำหน้าเบ้อย่างไม่ใส่ใจ

"ไม่เห็นเป็นไรเลย"

"ไม่เป็นได้ไง"

"เอาน่า มันไม่ทำอะไรเราหรอก พ่อบอกแล้วไงว่ามันไว้ใจได้ เชื่อพ่อ"

ไม่นานรถของพ่อก็พาเรามาถึงบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ของพ่อที่เมื่อก่อนพวกเราสี่คนพ่อแม่ลูกเคยอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้ เหลือแค่พ่อกับพาตี้เท่านั้น เพราะผมจากบ้านนี้ไปพร้อมๆ กับแม่ตั้งแต่ยังอยู่ประถม

ผมยืนมองบรรยากาศรอบๆที่ยังคงดูสวยงามไม่เปลี่ยน หวนคิดถึงความทรงจำวัยเด็ก ม้าหินที่ผมเคยนั่งกับพาตี้ ... ต้นไม้ที่เคยแข่งกันปีน... สนามหญ้าที่เราเคยวิ่งเล่น...โดยจะมีพ่อกับแม่ยืนโอบกอดเฝ้าดูพวกเราเสมอ...ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม

ที่เปลี่ยนไป คงมีแต่ผมกับแม่ที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่อีกแล้ว

"เข้าบ้านกัน" เหมือนพ่อจะรู้ว่าผมคิดอะไร จึงลูบหัวผมเบาๆ และกอดไหล่ผมเดินเข้าบ้านไป

พร้อมรอยยิ้มจางๆของเราทั้งคู่ที่ต่างคนต่างรู้ความหมาย

__________________

SP : รอยยิ้มของท่านขุน

ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในบ้านสหลักษณ์ หนูน้อยพอร์ทตี้ก็แยกตัวไปทางห้องครัวทันทีราวกับไม่อยากเผชิญหน้ากับผม

เจ้ากระต่ายน้อยหงุดหงิดอะไรผมอีกแล้วละสิ

"ไง...ไอ้ท่านขุน...ได้ข่าวว่าแกล้งลูกชายกูเหรอ"

"อะไรกันพี่" ผมลากเสียงยาวบ่ายเบี่ยงคำถามของรุ่นพี่ร่วมมหาวิทยาลัยและร่วมสายอาชีพก่อนทิ้งตัวนั่งลงตรงข้าม

"เอาความจริง รู้แต่แรกแล้วใช่ป่ะ?"

"ก็..."

"ตั้งแต่เมื่อไหร่?"

"ครั้งแรกที่เห็น"

ผมตอบตามตรง เมื่อคิดว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง ก่อนผู้ชายตรงหน้าของผมจะหัวเราะออกมาคล้ายสมใจ ทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนวัยลงอีกหลายปี

"สายตามึงนี่มันยอดเยี่ยมไม่เปลี่ยนจริงๆ ฮ่าๆ แล้วเป็นไง ได้ถ่ายแรงบันดาลใจของตัวเองตัวเป็นๆ รู้สึกยังไงบ้าง"

โคตรฟินดิ

ผมนึกในใจและได้แต่ยิ้มตอบเพราะไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกให้อีกฝ่ายเข้าใจยังไง เพราะมันเกินคำว่าแปลกใจ...ดีใจ...สมใจ...และอาการใจเต้นแรงตลอดเวลาที่ปนเปกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

แต่ดูเหมือนรอยยิ้มของผมจะทำให้ช่างภาพรุ่นพี่เงียบเสียงหัวเราะลง ใบหน้ารื่นเริงอย่างหนุ่มอารมณ์ดีเคร่งขรึมขึ้น

"ขุนพล..."

ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจและเงียบรอฟัง เมื่อรุ่นพี่ตรงหน้าเรียกผมด้วยชื่อเต็มอย่างที่ไม่ได้ทำบ่อยนักพร้อมน้ำเสียงกดหนักจริงจัง

"ถึงจะเหมือนพาตี้แค่ไหน แต่พอร์ทเทรตลูกชายกูเป็น 'ผู้ชาย' เต็มตัว มึงก็เหมือนกัน"

ผมนิ่งฟังเมื่ออีกฝ่ายพูดกับผมด้วยน้ำเสียงจริงจังถึงข้อเท็จจริงที่ผมรู้ดี

"กูไม่ได้ขวางอะไรหรอกนะ  แต่กูอยากให้มึงแยกแยะความรู้สึกของตัวเองให้แน่ โดยเฉพาะอาชีพอย่างเราที่ต้องใช้สายตากับความรู้สึกพร้อมๆกันมันก็อาจจะสับสนกันได้"

 ผมยังไม่ตอบอะไรเพียงเงียบรอฟังสิ่งที่พี่เชนอยากจะบอก

"กูหวังว่ามึงจะแยกออกระหว่างหัวใจกับแรงบันดาลใจ"

"ผมรู้ว่าพี่อยากจะบอกอะไร" ผมสบตาสีน้ำตาลอ่อนของคนตรงหน้าที่จ้องผมกลับ

"ผมรู้จักตัวเองดี เอาจิงๆ ก็ยังมองผู้หญิงตามปกติ"

"แต่มองลูกชายกูด้วยงั้น?"

ราวกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้าผมดุดันขึ้นมา พี่เชนแผ่รัศมีราวกับจะส่งสัญญาณเตือนว่าเขากำลังพูดในฐานะของ 'พ่อ' คำตอบของผมที่จะออกมาจากปากคือโอกาสเดียว และผมต้องคิดให้ดีก่อนพูดมันออกไป

แต่ผมคิดเรื่องนี้เอาไว้อยู่แล้ว...คิดมานานตั้งแต่เห็นภาพนั้น คิดมาตลอดเวลาสามปี และยิ่งมั่นใจเมื่อตัวจริงมาอยู่ตรงหน้า และความรู้สึกนั้นยังคงเหมือนเดิม

"ผมไม่สนว่าพี่จะคิดยังไง"


"แต่แรงบันดาลใจ...ก็คือหัวใจของผม"

--------------------------------------------------


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 9 - ถอดมั้ย

ผมจัดโต๊ะอาหารสำหรับสามที่ด้วยเมนูอาหารง่ายๆ...สปาเก็ตตี้

เอาจิงๆคือ ในตู้เย็นไม่มีอะไรเลยนอกจากผักกับเนื้อสัตว์กองกระจิ๋ว ผมก็ไม่ค่อยมีอารมณ์จะทำซะด้วย เอาแค่นี้นั่นแหละครับ

อะไรนะ? หาว่าผมต้อนรับแขกไม่ดี?

เหอๆ...ช่างหัวแขกมันสิ!!

"ว้าว...ฝีมือลูกพ่อยังน่ากินเหมือนเดิม...อื้อหือ หอมด้วย" 

คุณบิดาเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงรื่นเริง แถมยังทำท่าทางสูดกลิ่นอย่างโอเวอร์ แต่ก็ทำให้ผมยิ้มออก

นี่ละครับ คุณเชนพระบิดาสุดร่าเริงและอินดี้ของผม

แต่สงสัยจะร่าเริงมากไปหน่อย แม่เลยทนไม่ไหว หนีไปอยู่อย่างสงบ เหอๆ

"นั่งเลยไอ้ขุน มื้อนี้พี่เลี้ยง"

ผมหุบยิ้มฉับทันทีที่ 'แขก' เดินเข้ามาในห้องอาหาร และดูเหมือนทุกคนจะรับรู้ถึงความอึดอัดของผม พ่อจึงเก็บความร่าเริงเข้ากระเป๋าและกระแอมเล็กน้อยพอเป็นพิธี

"เอ่อ...พ่อว่าคงต้องแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกันซักที ไหนๆก็ไหนๆแล้ว" ผมขมวดคิ้วมองพ่อ ก่อนที่คุณบิดาจะแนะนำช่างภาพตรงหน้าให้ผมรู้จัก

"ขุนพลกับภัทรผู้จัดการคนนั้นเป็นรุ่นน้องมหา'ลัยของพ่อเอง" ผมพยักหน้ารับแบบขอไปทีขณะที่อีกฝ่ายที่ถูกแนะนำยิ้มมุมปากบางๆ

อ้อ...ที่แท้ก็รู้จักกันมานาน ถึงได้สนิทสนมกระแซะไหล่กันขนาดนั้น

พอแนะนำอีกฝ่ายเสร็จ ก็หันมามองหน้าผมสลับกับรุ่นน้องตัวเองเหมือนชั่งใจ นี่พ่อเขาคงไม่คิดจะบอกนายขุนพลว่า 'เฮ้! นี่พอร์ทเทรตลูกชายพี่เอง' อะไรทำนองนี้หรอกใช่มะ

"แล้วนี่พอร์ทเทรตลูกชายพี่เอง"

"พ่อ!"

ผมเรียกคุณบิดาบังเกิดเกล้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไหงไปบอกเขาตรงๆอย่างนั้นละ! คุณเชนนี่มันคุณเชนจริงๆ บ้าบอ!

"ฮ่าๆ ตกใจอะไรเล่า ยังไงก็รู้ๆกันอยู่แล้ว ว่ากันตรงๆไปเลย จะได้ไม่เหนื่อย จริงมั้ยวะไอ้ขุน ฮ่าๆ "

นี่พ่อพูดตรงๆได้ไม่เกรงใจนมปลอมที่แปะอยู่บนตัวผมเลยนะ!

ผมตวัดสายตาขุ่นเคืองไปทางคุณบิดาสุดที่รักก่อนจะเผื่อแผ่ไปยังคนข้างๆ ที่ยิ้มขบขันเต็มที่

"หึหึ...ครับ" นั่น ยังมีหน้าเออออด้วยอีกนะ ไอ้บ้า!

เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ถึงความขุ่นเคืองของผมจึงหยุดยิ้ม แต่มันก็ยากเต็มทน เพราะสุดท้าย หมอนั่นก็ยังหลุดยิ้มมุมปากอยู่ดี

"ยินดีที่ได้รู้จักนะ...พอร์ทเทรต"


ใจผมเผลอสดุดไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายยิ้มบางๆให้พร้อมประโยคตามมารยาท แต่เสียงทุ้มที่เรียกชื่อผมเต็มๆให้ได้ยินเป็นครั้งแรกกลับฟังดูประหลาดจนผมไม่รู้จะตอบยังไง

ไม่ได้หมายความในแง่ไม่ดีนะ แต่...ไม่รู้ดิ

แค่ไม่เคยได้ยินใครเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อน

"อื้อ.." ผมตอบได้แค่นั้นจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะแสดงความรู้สึกกับเรื่องบ้าๆนี่ยังไง

แผนการและความพยายามปลอมตัวของผมกลายเป็นเรื่องงี่เง่าขึ้นมาทันทีเมื่อทุกอย่างถูกเปิดเผยอย่างง่ายดาย แถมผมยังต้องมานั่งกินข้าวกับคนที่รู้ความลับว่าผมเป็นผู้ชายทั้งๆที่ตัวเองยังแปะนมปลอมเอาไว้บนอกนี่อีก

โคตรทุเรศเลย ให้ตาย!

"ผมอยากไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน"

ผมรีบบอกอย่างทนไม่ไหวเมื่อพ่อกับไอ้คุณขุนพลนั่งลงประจำที่เตรียมพร้อมจัดการกับมื้ออาหารที่ผมทำ

"กินก่อนเถอะ ถึงลูกจะอยากเปลี่ยน แต่บ้านนี้ก็มีแต่เสื้อผ้าของพาตี้อยู่ดี"

ผมยอมนั่งลงหน้าจานสปาเก็ตตี้อย่างหมดแรงเมื่อนึกถึงความจริงอันโหดร้ายว่าผมไม่ได้เอาเสื้อผ้าผู้ชายของตัวเองมาด้วย จึงเลือกที่จะสวาปามอาหารตรงหน้าเข้ากระเพาะอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากถูกนั่งจ้องหน้าด้วยสายตาแปลกๆจากไอ้ช่างภาพจอมเจ้าเล่ห์ที่ค่อยๆละเอียดอาหารไปมองผมไป

ไอ้โรคจิต!

หลังจากทานเสร็จ เสียงมือถือส่วนตัวของพ่อก็ดังขึ้น ก่อนช่างภาพสุดหล่อจะส่งสัญญาณขอตัวและเดินแยกออกไปสนทนากัปลายสายเป็นภาษาอังกฤษ

ผมลุกขึ้นเก็บจานที่ว่างเปล่าทั้งสาม แอบอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นมันหมดเกลี้ยง บ่งบอกว่าคนทานถูกใจมากแค่ไหน หรือต่อให้ทานหมดตามมารยาท คนทำอย่างผมก็อดดีใจไม่ได้อยู่ดี ที่นานๆจะมีโอกาสทำอาหารให้พ่อทานบ้าง

"พี่ช่วย"

มือของผมที่กำลังเก็บจานใบที่สามหยุดชะงักลงทันทีเมื่อมือใหญ่ขาวสะอาดมาคว้ามันไปเสียก่อน

เดี๋ยวนะ...

"ใครน้องคุณ?"

ผมว่าเสียงขุ่นและรีบคว้าจานจากมืออีกฝ่ายมุ่งหน้าเข้าห้องครัวทันที

"ใครอายุน้อยกว่าก็ต้องเป็นน้องดิ หรืออยากเป็นอย่างอื่นละ...พอร์ทตี้"

ผมกระแทกจานลงในอ่างล้างดังโครมและหันไปมองอีกฝ่ายตาขวาง ยิ่งได้ยินน้ำเสียงยียวน และรอยยิ้มมุมปากนั่นประจำตัวนั่น ก็ยิ่งกวนให้อารมณ์ผมขุ่นมัวยิ่งกว่าเดิม

"ผมไม่เป็นอะไรกับคุณทั้งนั้นแหละ อย่ามาเรียกผมแบบนั้น ผม! ชื่อ! พอร์ทเทรต!" ผมเน้นสามคำสุดท้ายเสียงแข็ง

เรื่องอะไรถึงมาพูดแบบนี้กับผม สนิทกันเหรอ รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเหรอ หะ!

"งั้นเรียกพอร์ทก็ได้ ดูสนิทสนมดี"

ไอ้บ้านี่!

"ใครอยากสนิทด้วย กินเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไป!"

ผมเอ่ยปากไล่อย่างไม่เกรงใจ หันกลับมาที่อ่างล้างจานก่อนจะม้วนผมยาวๆ ของตัวเองขึ้น เปิดตู้หยิบตะเกียบไม้มาเสียบมวยผมต่างปิ่นและลงมือทำความสะอาดจานโดยไม่สนใจนายขุนพลอีก

เรื่องอะไรจะต้องสนใจไอ้คนโรคจิตที่เคยหาเรื่องแกล้งเราด้วยละครับ จริงมั้ย?

"เฮ้ย!"

ผมผงะถอยหลังทันทีอย่างไม่ได้ตั้งตัวจนหลังกระแทกกับขอบอ่าง เมื่อหันกลับมาเจอคนที่เคยถูกไล่จนนึกว่าหายไป กลายเป็นมาอยู่ใกล้จนแทบชิด

ใครใช้ให้แกมายืนใกล้ซะขนาดนี้วะ! ตกลงโรคจิตจริงๆใช่มั้ย?

"ยังไม่ไปอีก"

ผมถามกลับเสียงขุ่น แต่คนตัวใหญ่ที่สูงเลยผมไปไกลกลับยิ้มขัน เพิ่งสังเกตว่าพอมายืนเทียบกันจริงๆแล้ว...ตัวสูงโคตร! คนหรือยักษ์เนี่ย ผมว่าผมสูงแล้วนะ อย่างน้อยก็มาตรฐานนายแบบละ

"ก็บอกไปไหนก็ไป พี่ก็เลยอยู่ตรงนี้"

นี่มันจะกวนตีนไม่เลิกใช่ป่ะ?

ผมถอนหายใจแรงอย่างไม่รู้จะทำยังไงกับอีกฝ่ายดี จึงเลือกที่จะเดินหนีขึ้นข้างบน

"จะไปไหน?"

"เรื่องของผม!"

ผมเดินดุ่มขึ้นข้างบนโดยไม่สนใจแขกอีก มาเองได้ ก็กลับเองสิ กลับให้ไวไวด้วย อยู่ด้วยแล้วอารมณ์เสีย

คนอะไรก็ไม่รู้ ตอนที่ยังไม่เปิดเผยว่ารู้ความจริงก็ว่าโรคจิตแล้วนะ พอแนะนำตัวกันเป็นทางการแล้ว แม่ง......

โรคจิตกว่าเดิมอีก แถมเพิ่มรัศมีบางอย่างที่ดูแล้วเลี่ยนๆเข้ามาอีก ไอ้บ้า!!

ผมเดินขึ้นห้องนอนและปิดประตูลงอย่างแรง ไม่ต้องแปลกใจครับ พ่อยังคงเก็บห้องนอนของผมเอาไว้อย่างดี และปรับปรุงให้พร้อมสำหรับการกลับมาบ้านของผมเสมอ

เตียงเดี่ยวสำหรับเด็ก ถูกเปลี่ยนเป็นเตียงขนาดคิงไซส์ ของในห้องถูกตกแต่งให้ดูโตขึ้น ผมรู้เพราะว่าพี่ฝนเลขาของพ่อเล่าให้ผมฟังเสมอ เพราะอยากให้ผมกลับมานอนที่นี่บ้าง ส่วนที่ไม่เปลี่ยนอย่างเดียวคือไม่มีของใช้ส่วนตัวของผม  ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่าพ่อยังรอผมและแม่อยู่เสมอ เพราะห้องนอนของพ่อก็ยังคงเก็บทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ทิ้งเอาไว้เหมือนเดิมเช่นกัน

ผมเปิดประตูห้องน้ำที่ถูกดูแลอย่างดีไม่ต่างกัน พบว่าไม่มีของใช้อะไรอยู่เลย ผมเลยเปิดน้ำอุ่นรอไว้และเดินไปหยิบอุปกรณ์อาบน้ำที่ห้องของพาตี้แทน...ลืมบอกครับ ห้องของเราเปิดเชื่อมต่อกันได้ด้วยครับ เพราะเราเป็นฝาแฝดกัน พ่อกับแม่เลยอยากให้เราอยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา

ผมกลับมาที่ห้องและถอดเสื้อผาของตัวเองออก ก่อนจะยืนปลงตกหน้ากระจกกับนมปลอมที่แปะอยู่บนอกของตัวเอง นี่ผมต้องนั่งแงะมันออกอีกแล้ว โคตรเบื่อเลย

ฮึบ...


ฮึบ...

ไม่นะ....

ฮึบ....

ชิบหายละ....

มันแกะไม่ออก!!!

'วันนี้พี่เจสอัดกาวใส่อย่างดี ไม่มีอะไรหลุดแน่นอนค่ะ'

"ไอ้พี่เจษฎา!!!!"

"เกิดอะไรขึ้น!!"

"เฮ้ย!! เข้ามาได้ยังไง!"

ผมรีบตวัดผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวทันทีเมื่อจู่ๆ ไอ้ขุนพลก็พุ่งพรวดเข้ามาในห้องหน้าตาตื่น แต่ผมสิที่ตกใจกว่าที่จู่ๆก็ถูกบุกเข้ามาเห็นตอนกำลังโป๊และมีนมปลอมแปะอยู่ที่ตัวเนี่ย!

"ก็...พี่ได้ยินนายร้องเสียงดัง ตกลงว่าเป็นอะไร"

ขุนพลถามผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง หมดคราบตากล้องโรคจิต ผมเลยโผล่ใบหน้าออกมาจากผ้าห่มเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้จะตอบยังไง

"เอ่อ...มัน"

"ว่าไง"

"คือว่า...ปลอม...มัน"

"อะไรนะ"  นายตากล้องเข้ามาใกล้ๆด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คือ มันพูดยากนะเว้ย

"มัน...ไม่ออก"

"อะไรไม่ออก เป็นอะไรก็บอกพี่มาสิ"

"คือ..."

"...."

"ผมแกะนมปลอมไม่ออก!!"

โฮ...... ใครก็ได้ช่วยเอาเศษหนังหน้าผมไปปล่อยที่นอกโลกทีเถอะ

ไม่มีอะไรจะโคตรอับอายไปกว่านี้อีกแล้ว

ผมทำหน้ามุ่ยขณะที่รู้สึกเห่อร้อนใบหน้าจนแทบระเบิดเมื่ออีกฝ่ายที่ทำหน้าจริงจังเมื่อครู่หัวเราะลั่นทันทีที่ได้ยินสาเหตุของปัญหา อุตส่าห์หลงคิดว่าจะเป็นคนปกติที่มีน้ำใจกับเราบ้าง ที่ไหนได้ ไอ้บ้ามันก็คือไอ้บ้า หัวเราะได้ไม่เกรงใจกันเลย

"ขำพอยัง!!"

"ฮ่าๆๆ ก็มัน...อุ๊บ"

ดูมัน....ยัง...ยังไม่หยุดอีก ถ้าผมจะถีบแขกซักเปรี้ยงจะผิดป่าววะ

"เพราะคุณนั่นแหละ ที่ทำให้ผมต้องระวังตัว พี่เจสเลยอัดกาวแน่นกว่าเดิมจนมันแกะไม่ออกเนี่ย! โคตรทุเรศเลย!"

ผมพูดให้อีกฝ่ายรู้ว่าเป็นความผิดของเขาที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้ เขาเลยพยายามกั้นหัวเราะ และมองหน้าผมยิ้มๆพร้อมกับดวงตาคมเข้มที่เปล่งประกายแปลกๆ

"งั้น...เดี๋ยวพี่ถอดให้เอง"

__________________

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 10 - ดึงนิด สะบัดหน่อย

"งั้น...เดี๋ยวพี่ถอดให้เอง"

ผมอ้าปากค้างขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้าจริงจัง แต่ดวงตากลับส่งประกายวิววับแปลกๆ

มันไม่น่าไว้วางใจก็ตรงนี้แหละ!

"เอ่อ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมให้พ่อช่วยดีกว่า"

ผมรีบบอกปัด เพราะไม่ไว้ใจไอ้สายตาวิววับนั่น แล้วก็ไม่กล้าที่จะให้คนอื่นมานั่งแงะนมปลอมออกจากตัวเองด้วย

มันโคตรน่าอายและอุบาทมาก เข้าใจป่ะ!

"พี่เชนคุยธุระอยู่ ดูท่าจะอีกนาน"

"รอก็ได้มั้ง"

"แล้วจะอยู่ในสภาพนี้?"


อีกฝ่ายพยักเพยิกไปทางตำแหน่งนมปลอมส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าผมจะทนอยู่ในสภาพอุบาทๆแบบนี้ต่อไปงั้นเหรอ พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากประจำตัวที่ส่งความหมายล้อเลียนมาชัดเจน

"เดี๋ยวถอดให้จะได้ไปอาบน้ำพักผ่อน นอนดึกมาก เดี๋ยวผิวหน้าเสียจะกระทบกับงาน ไม่รู้เหรอ?"

ก็มันน่าอายนี่หว่า! จู่ๆผู้ชายสองคนจะมานั่งแงะนมปลอมด้วยกันเนี่ยนะ!

"โอเค งั้นพี่ไป"

"เออๆๆๆ เอามันออกให้หน่อย!"

โธ่เว้ย!! ถ้ามันไม่ติดแน่นขนาดนี้ ผมไม่ง้อไอ้โรคจิตนี้ให้เสียหน้าหรอก

"เอ่อ...ผมเปิดน้ำในห้องน้ำทิ้งไว้...ช่วยทีดิ"

ผมพยักหน้าไปทางห้องน้ำที่ยังคงมีเสียงน้ำไหลที่เปิดค้างอยู่ แน่นอนว่าหมอนั่นรู้ว่าสภาพดักแด้โผล่หัวของผมคงขยับไปไหนไม่ได้ จึงยอมเดินไปปิดน้ำให้

ชิ...ถ้าไม่จำเป็น จ้างให้ นายก็ไม่มีโอกาสได้ยินคำขอร้องของผมหรอก

เสียงน้ำเงียบลงก่อนร่างสูงจะเดินออกมสพร้อมกับอ่างน้ำเล็กๆ กับผ้าขนหนูติดมือมาด้วย

"เอามาทำไม?"

"เออน่า"

ผมเบ้หน้าเล็กน้อยเป็นเชิงหมั่นใส้ ก่อนจะกระดึ๊บๆ และทิ้งตัวปุ๊ลงบนขอบเตียง อีกฝ่ายก็ตามมานั่งลงข้างๆ จนผมเผลอตัวขยับออกห่างโดยอัตโนมัติ

"อยู่นิ่งๆ"

เสียงทุ้มพูดห้วนๆจนผมเกร็งตัวนิ่งไม่กระดุกกระดิก แต่คิ้วก็ยังขมวดมุ่น

"ตกลงเอาน้ำมาทำไม"

"มันน่าจะช่วยได้"

"จริงดิ?"

"ลองดูก็รู้ เอาผ้าห่มออกไปสิ แบบนี้จะทำได้ยังไง"

ทำบ้าอะไร ไอ้นี่ก็พูดล่อแหลม!

แต่ไม่รู้เป็นเพราะผมชักช้าไม่ทันใจรึไง นายช่างภาพจึงคว้าหมับเข้าที่ปลายผ้าห่มที่พันตัวผมและกระชากออกแรงๆ โดยไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมใจรับสายตาคนอื่นมาก่อน

"เฮ้ยๆ เบาๆ!" ผมร้องดังและตะครุบผ้าไว้ก่อนที่จะจะหลุดไปถึงท่อนล่าง

"หึ..."

"หยุดขำเลยนะ!" ผมชกเข้าให้ที่อกกว้างของอีกฝ่ายอย่างอับอาย

หมดกันศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้ชายของผม มันสลายไปหมดไม่เหลือเพราะต้องมานั่งอวดนมปลอมอล่างฉ่างให้ชาวบ้านเห็น แถมยังเป็นไอ้โรคจิตที่เคยตะปบนมผมมาแล้วด้วย เวรจริงๆ!

เมื่อไหร่ไอ้ภารกิจของผมจะจบซักที เพราะถ้าไม่รีบจบ ชีวิตของลูกผู้ชายอย่างผมนี่แหละที่จะจบก่อน!

โฮฮฮฮฮฮฮฮ
***

"โคตรเหมือน มาเป็นเต้าเลย แถมมีหัว--"

"หยุดพูดนะ!"

ผมกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลังเพื่อให้ให้กระต่ายน้อยตรงหน้างอนและอายไปมากกว่านี้ก่อนจะหยิบผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดและขยับตัวเข้าไปใกล้อีกหน่อย

"อยู่นิ่งๆ"

จากความขำ ผมพยายามข่มให้ตัวเองจริงจัง โดยพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้เสียงสั่น เมื่อรู้ตัวว่าคนตรงหน้าไม่มีอะไรปกปิดร่างกายเลยนอกจากผ้าห่มผืนเดียวที่พันท่อนล่างอยู่อย่างหมิ่นเหม่

จับแขนเล็กให้แยกออกจากลำตัวที่พยายามกอดอกไว้อย่างอายๆ เพื่อจะใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตรงรอยกาวที่เชื่อมหน้าอกปลอมเข้ากับผิวขาวเรียบเนียน

ทันทีที่มือของผมแตะกับผิวนุ่ม ผมก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าคนตรงหน้าไม่ใช่แค่หน้าตาเหมือนฝาแฝดของตัวเองอย่างเดียว

แต่...เหมือนไปทั้งตัว!!

รูปร่างเพรียวบางที่เคยสงสัยถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ตอนนี้ยิ่งเปิดเผยชัดเจนเข้าไปอีกว่าภายใต้เสื้อผ้านั่นเขาตัวเล็กแค่ไหน ผิวบอบบางสีน้ำนมละเอียดราวกับได้รับการบำรุงอย่างดี เนื้อที่ผมสัมผัสเบาๆก็รับรู้ได้ถึงความอ่อนนุ่มเรียบเนียน และกลิ่นหอมจางๆที่หาแหล่งที่มาไม่ได้

ไหนจะผมยาวๆที่ถูกมวยขึ้นไปด้วยตะเกียบ อวดลำคอขาวผ่อง ที่ตอนนี้ผมสีน้ำตาลเข้มยุ่งเหยิงทำให้ปอยผมลงมาปกหน้าราวกับจงใจให้มันดูเซ็กซี่ขึ้นไปอีก

พูดได้เลยว่า โคตรรรรร....

ใจเย็นๆ ไว้ไอ้ขุน น้องเขาเป็นผู้ชาย และเป็นลูกชายของรุ่นพี่ที่แกเคารพนะ!

แต่...

เขาน่ารักจริงๆ ให้ตายเถอะ!

ผมค่อยลูบผ้าชุบน้ำไปบนผิวนุ่ม ขณะที่อีกมือหนึ่งก็ไล้ตามขอบรอยต่อเผื่อสัมผัสดูว่ากาวเริ่มอ่อนตัวลงพอที่จะดึงออกรึยัง แม้ว่าความจริงไอ้เจ้าหน้าอกปลอมนี่จะดูน่าขันมาก แต่ผมกับตลกไม่ออกเมื่อต้องมานั่งหายใจแผ่วเบาช้าๆ และควบคุมมือตัวเองไม่ให้สั่น เพราะกลัวอีกฝ่ายรู้สึกว่าอุณหภูมิในร่างกายของผมมันเริ่มไม่คงที่

ตึกตัก

มือผมหยุดชะงักชั่วครู่เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงเต้นในออกของคนตรงหน้า รับรู้ได้ว่ากระต่ายน้อยคงกำลังตื่นเต้น แต่คงเป็นคนละความหมายกับผม ให้เดา อาจจะกำลังด่าผมในใจอยู่แน่ๆ

"ออกรึยัง"

เสียงนุ่มกระซิบแผ่วเบา ผมไม่ตอบแต่ค่อยๆสกิดรอยกาวให้แยกออกมาเรื่อยๆ ขณะที่อีกมือก็ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นซับผิวยาวตามไปด้วยเพื่อให้มันลอกออกง่ายขึ้นโดยไม่ระคายเคืองผิว

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีก ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาของเราที่ต่างคนต่างพยายามผ่อนมันให้ช้าที่สุดเพราะกลัวจะส่งถึงอีกฝ่ายด้วยห่างกันเพียงคืบ

"ทำไมถึงไม่บอกความจริงกับคนอื่นว่าผมเป็นผู้ชาย"

 ผมชะงักมืออีกครั้งเมื่อได้ยินคำถามตรงๆ เหลือบมองใบหน้าที่ยังคงมีเครื่องสำอางปกปิดอยู่ ซึ่งดวงตากลมโตที่ประดับด้วยมาสคาร่าที่ใช้โฆษณาจ้องมาที่ผมอย่างรอคำตอบ

ถ้าบอกความจริง...

พี่คงไม่ได้มานั่งอยู่กับนายตรงนี้...

"พี่คิดว่านายคงมีความจำเป็นบางอย่าง"

ผมเลือกที่จะตอบไม่ตรงกับที่ใจคิด แต่ก็ไม่ได้โกหกออกไป

"แล้วตกลงมันเกิดอะไรขึ้น"

อกบางที่มีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ขยับขึ้นเมื่อน้องเขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ใบหน้าหวานฉายแววครุ่นคิดเหมือกำลังตัดสินใจบางอย่าง

"พาตี้อยากเป็นสาว ChaRme มาก ผมไม่เคยเห็นยัยพี่สาวดีใจขนาดนี้มาก่อน" พอร์ทเทรตเล่าออกมาเบาๆ ใบหน้าหวานยิ่งละมุนขึ้นเมื่อเอ่ยถึงพี่สาวฝาแฝด

"นายคงรักพี่สาวมากถึงยอมทำแบบนี้"

สิ้นคำถามของตัวเอง ผมก็แทบหยุดหายใจ เมื่อเห็นประกายอ่อนหวานในดวงตากลมโตตรงหน้าที่ทอดมองไปอย่างไร้จุดหมาย เดาว่าคงกำลังคิดถึงสาวน้อยที่อยู่ในหัวข้อสนทนา และเป็นสาวน้อยที่ให้โอกาสผมได้มาเจอเจ้ากระต่ายน้อยตรงหน้า และมีโอกาสได้มาเห็นภาพนี้อย่างใกล้ชิด

ดวงตาสีน้ำตาลทอดแววอ่อนหวานเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึก ยิ่งขับให้มันทรงเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม เพียงแค่มองก็เห็นได้ถึงความรักที่เต็มเปี่ยมในดวงตาคู่นั้น จนแทบอยากให้เป็นตัวเองที่อยู่ตรงปลายสายตาคู่นั้น

เชร็ด! มึงละเมออะไรวะไอ้ขุน!

สวสัยผมคงกำลังเป็นบ้าเพราะความหลงแน่ๆ

"คุณเคยได้ยินรึเปล่า ว่าฝาแฝดมีดวงวิญญาณเดียวกัน  เราเป็นยิ่งกว่าพี่น้อง เราเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตของอีกคน เรื่องแค่นี้ผมทำให้เธอได้สบายมาก"

แล้วพี่จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนายด้วยได้รึเปล่า?

ให้ตาย...ผมเริ่มออกอาการเพ้อเจออีกแล้ว แล้วก็เวรเถอะ ผมรู้ด้วยว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริงๆ

ไม่เป็นไร ผมไม่รีบ เพราะผมก็อยากจะเก็บใบหน้าหวานๆที่เป็นธรรมชาตินี้ไว้กับผมนานๆ ไม่อยากให้มันเปลี่ยนเป็นอื่น เพราะผมรู้ว่าเราต่างคนต่างเป็นผู้ชายกันทั้งคู่ คงต้องใช้เวลาทำความรู้จักกันอีกมาก

แม้ว่าผมจะ....กระต่ายน้อยตรงหน้าไปแล้วก็ตาม

ผมคงบ้าไปแล้วจริงๆ...


"ตกลงคุณจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครใช่มั้ย"

ผมดึงสติกลับมาอีกครั้งเมื่อน้ำเสียงอ่อนหวานที่พูดถึงพี่สาวเมื่อครู่กลับมาแสดงความหวาดระแวงไม่ไว้ใจอีกครั้ง

"ทำไม"

"พูดสิว่าจะไม่บอกใคร"

ผมยกยิ้มยียวนเมื่ออีกฝ่ายพูดจาขู่ฟ่อๆเหมือนออกคำสั่งมากกว่าขอร้อง

"ก็...ไม่รู้สิ"

ผมยักคิ้วให้กระต่ายน้อยที่ดวงตาเริ่มพองขึ้น ใบหน้าหวานออกอาการฮึดฮัดขัดใจ ก่อนจู่ๆจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมเป็นฝ่ายตกใจเสียงเอง

"พูดมาว่าจะไม่บอกใคร...พูด!"

เฮ้ยๆๆ จู่ๆเอาหน้ายื่นเข้ามาแบบนี้มันไม่ดีนะ

"พูดออกมาว่าคุณจะไม่บอกความลับนี้กับใคร"

ถอยออกไปก๊อนนนนน

ตึกตัก!

หัวใจผมกระตุกแรงจนแทบหยุดหายใจเมื่อใบหน้านั้นยื่นเข้ามาออกคำสั่งใกล้จนเห็นเครื่องหน้าชัดเจนและสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

ตึกตัก!

ตายๆๆ ถ้าหัวใจแกเต้นแรงกว่านี้แกตายแน่ไอ้ขุน เจ้ากระต่ายน้อยจะรู้ตัวบ้างรึเปล่าว่ากำลังทำร้ายผมขนาดไหน!!

ผมทนไม่ไหวแล้วนะ!!

"พูดสิ โอ้ย!!"

ร่างบางสะดุ้งเฮือกร้องลั่นก่อนจะฟุบหน้าลงกับเตียงเพื่อซ่อนสีแดงจัดที่เห่อขึ้นบนผิวแก้มขาวบาง ส่วนผมรีบหันหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อผ้าห่มที่พันช่วงล่างของน้องเลื่อนต่ำลงไปอีกจนเกือบจะเห็นผิวบั้นท้ายรำไรขณะที่เจ้าตัวพ่นคำสบถออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศสอย่างลืมตัว ไม่ได้สนใจว่าหัวใจของผมจะเต้นแรงจนเกือบจะวายซะแล้ว

อย่างนี้มันต้องแกล้งซะให้เข็ด

"เจ็บมากป่ะ?"

ผมถามยียวนพลางแกว่งของที่อยู่ในมือไปมาเพื่อล้อเลียนอีกฝ่ายเพราะผมกระชากมันออกมาเต็มแรงซะจนน้องลั่น

"ดึงออกไปได้ยังไง มันเจ็บนะโว้ย!!!"

เสียงนุ่มสั่นน้อยๆ น้ำตาคลอหน่วยเพราะความเจ็บแสบ สงสัยผมจะดึงแรงไปแฮะ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ใครอยากให้เป็นคนไม่ระวังตัวละ

"ถ้าอยากให้ช่วย มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย"

ร่างเล็กตวัดตามองผมขวางๆ และยังคงมุดตัวเข้ากับเตียงเพราะความแสบผิว

เอาจริง ที่ผมดึงออกมันออกยังเหลือกาวติดอยู่นิดเดียวเท่านั้นละครับ ขืนดึงออกแรงๆทั้งที่กาวยังติดแน่น ผิวเนียนได้ลอกเป็นทางกันพอดี

"ว่าไง...."

ผมโน้มตัวลงไปคร่อมอีกฝ่ายไว้เพื่อกันกระต่ายดิ้นหนี และเน้นย้ำคำถามอีกครั้ง

แก้มแดงพองขึ้นเล็กน้อยอย่างขัดใจ ดวงตากลมตวัดมองราวกับอยากจะกระโดดถีบผมออกไปไกล แต่ก็ไม่กล้า เพราะรู้ว่ายังไงผมก็เป็นต่อ เลยได้แต่หายใจฮึดฮัด

"ข้อแม้อะไร!" ผมลอบยิ้มสมใจก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปชิด และกระซิบเงื่อนไขเบาๆ

"เรียกว่าพี่ขุนสิ"

นั่น! ตาโตขึ้นอีกแล้ว มันน่าจับมาฟัดแรงๆจริงๆให้ตายเถอะ!

"เรียกว่าพี่ขุน แล้วเรื่องนี้จะเป็นความลับต่อไปจนงานจบ"

"แค่เนี้ย?"

"อื้อ..." ผมตอบรับสั้นๆ และยิ้มให้อีกฝ่ายที่ทำหน้าเหวอ

"แน่นะ"

"อื้อ"

"สัญญา"

"ด้วยเกียรติ"

"สาบาน!"

"ด้วยชีวิตเลย"

สิ้นคำ ตาโตที่มองอย่างขวางๆก็อ่อนแสงลง ก่อนจะพยักหน้ายอมรับข้อตกลงง่ายๆยิ่งกว่ามีคนเอากล้วยมาป้อนถึงปาก

อะไรนะ? คุณว่าผมโง่ที่เรียกร้องแค่นี้เหรอ?

หึหึหึ

"ไหนลองเรียกสิ" ผมเรียกร้องพลางแหล้งเอียงหูเข้าไปฟังใกลๆทำให้ริมฝีปากอิ่มเม้มเบาๆอย่างขัดใจก่อนจะเอ่ยเสียงกระซิบ

"พะ....พี่ขุน"

ผมยิ้มกว้าง เมื่อกระต่ายน้อยกระซิบเรียกชื่อผมแผ่วเบาพร้อมใบหน้าแดงระเรื่อเพราความอับอาย

เห็นมั้ย...แค่นี้ก็คุ้มจะตายแล้ว

"ไหนลองพูดสิว่า..."

ผมกระซิบเงื่อนไขต่อไปเบาๆให้ได้ยินกันสองคนจนสีแดงบนแก้มเนียนเข้มขึ้นอีกพร้อมสายตาที่ขวางขึ้นกว่าเดิม ก่อนริมฝีปากอิ่มจะเอ่ยมันออกมาจนผมยิ้มกว้างจนเจ็บแก้ม

"พอร์ทเป็นน้องพี่ขุน!!"

อื้อหือ...

แค่นี้ก็โคตรฟินแล้วครับ

ตอนนี้ กับสถานะตอนนี้ แค่นี้...ก็คุ้มแล้วละ

หรือไม่จริง?

----------
ต๊ายยยย อิขุน อิคนมักน้อยยยย คนคนใฝ่ดี อิคนมีจริยธรรม!!!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 11 - พลาด

พอร์ทเป็นน้องพี่ขุน
 
พอร์ทเป็นน้องพี่ขุนน
 
พอร์ทเป็นน้องพี่ขุนนน
 
ผมอยากลงไปดิ้นตายโว้ย!
 
อาย! มันโคตรอาย โคตรๆๆๆอับอายจริงๆไอ้พอร์ท!
 
 นี่แกกำลังถูกคนโรคจิตคุกคามข่มขู่ใช่มั้ย!
 
ยิ่งนึกนึกถึงก็ยิ่งอับอาย  ทั้งการต้องมานั่งแก้ผ้าให้ผู้ชายตัวโตๆ แกะนมปลอมให้ และการต้องมาพูดประโยคที่พาเอาคันปากยิบๆ นั่นอีก รู้ตัวอีกทีคืนนั้นผมก็นอนเอาหน้ามุดหมอนทั้งคืน จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอาบน้ำยังไง เปลี่ยนเสื้อผ้าตอนไหน และเข้ามานออเมื่อไหร่
 
เพราะมันมีแต่คำว่า อาย...อาย...อาย!!!
 
"น้องพอร์ทคะ ลุกมาให้พี่เจสติดกาวได้แล้วค่ะ วันนี้ถ่ายจริงแล้วนะคะ"
 
ผมมองเจ้านมปลอมตัวปัญหากับไอ้กาวตัวสมรู้ร่วมคิดที่ทำให้ผมต้องพบเจอเรื่องที่ทุกข์ทรมานในวันนั้นอย่างขยาด ยังจำได้ถึงวินาทีเจ็บแสบที่ถูกไอ้พี่ขุนกระชากมันออกไป ตอนนั้นนึกว่าหนังจะติดไปด้วยแล้ว บ้าเอ๊ย
 
"ครั้งนี้ติดแบบธรรมดาพอนะพี่ ผมไม่เอาแบบวันนั้นแล้ว" ผมรีบบอกเมื่อเห็นท่าทางของพี่เจสที่ดูเหมือนจะเอานมปลอมมาติดบนตัวผมแบบถาวร
 
"ทำไมละคะ เดี๋ยวความลับแตกขึ้นมาก็แย่สิ"

มันแตกไปนานแล้วครับพี่
 
"มันแกะยากจนจะทำหนังผมหลุดอยู่แล้วครับ ครั้งก่อนกว่าจะเอาออกได้ผมเกือบตาย"
 
"แล้ววันนั้นน้องพอร์ทเอาออกยังไงละคะ" พี่เจสถามอย่างเป็นห่วง แต่ภาพในวันนั้นกลับลอยเข้าหัวผมโดยอัตโนมัติทั้งๆ ที่ไม่อยากนึกถึง
 
ช่างภาพตัวใหญ่ที่โผล่เข้ามาในห้องหน้าตาตื่น...น้ำเสียงที่ห่วงใย....น้ำหนักมือแผ่วเบาที่ค่อยๆสัมผัสผิวผมอย่างกลัวว่าจะเจ็บ...รอยยิ้มมุมปากที่อยู่ใกล้จนเห็นมันชัดเจน...น้ำเสียงทุ้มที่ได้ยินชัด....และสายตาเปล่งประกายประหลาด ราวกับจะบ่งบอกอะไรบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ
 
 จากดวงตาคู่นั้นที่ทำให้ผมเริ่มจะเชื่อประโยคของพ่อ...
 
เขาจะไม่ทำร้ายผม
 
 ถ้าไม่นับที่มันกระชากนมปลอมออกไปนะ !!

แล้วนี่ทำไมผมบรรยายซะอย่างกับมันเป็นพระเอกนิยายโรแมนติกขนลุกวะ สงสัยจะติดเชื้อบ้ามาจากมันแน่ๆ ดึงสติหน่อยพอร์ท สติ!
 
"เอ่อ... เอาเป็นว่าขอแบบธรรมดาก็พอพี่"
 
"มั่นใจได้เหรอคะ"
 
"ไม่เป็นไรหรอกครับ เชื่อผม"

เพราะนายนั่นบอกว่าจะไม่พูดนี่ ก็คงเชื่อได้...มั้ง
 
"ตามใจค่ะ"
 
***
 
คิดถูกจริงครับที่พี่เจสไม่ได้โบกหน้าให้ผมมาก่อน เพราะฝ่ายเมคอัพคว้าตัวผมไปละเลงหนังหน้าแบบชุดใหญ่ ทั้งเครื่องสำอางขวดโน้น ตลับนี้ที่ประทับตราของ ChaRme โบกลงไปชั้นแล้วชั้นเล่าอย่างกะฉาบปูน แต่ก็สมกับเป็นคุณภาพเครื่องสำอางระดับโลก เพราะว่ามันรู้สึกสบายหน้าเหลือเชื่อ สาบานว่าไม่ได้โฆษณาจริงๆ
 
 Rrrr
 
โทรศัพท์ในมือที่นั่งเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอแต่งหน้าเติมปากรอบสุดท้ายขึ้นชื่อที่ทำให้ผมต้องรีบยื่นหน้าออกไปส่องนอกประตูห้องแต่งตัวให้มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้
 
"ซาลู อัง...."
 
 "นาย...อยู่....ไหน....พอร์ทเทรต!!"

ยังไม่ทันที่ผมจะทักทายจบเสียงจากปลายสายก็ดังแผดออกมาจนผมต้องยื่นมันออกไปไกลๆ
 
เสียงของอังเดร เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของผมดังก้องราวกับเขากำลังตะโกนใส่มัน และผมก็พอนึกหน้าเขาออกว่าเขากำลังหัวเสียแค่ไหน
 
"ฉัน...ทำธุระอยู่"
 
 "ที่ไหน"
 
 "ก็...ต่างเมือง"
 
"เราคบกันมาตั้งแต่คอลเลจ นายโกหกฉันได้เหรอ บอกมาว่าอยู่ไหน!"

น้ำเสียงจริงจังจากปลายสายทำให้ผมต้องถอนหายใจยาว
 
ถูกของเขา เราคบกันมานานตั้งแต่ม.ต้นจนถึงตอนนี้ ผมกับเขาก็ยังเรียนป.โทที่เดียวกัน คบกันนานจนเรียกว่าจนรู้ไส้รู้พุงกันดี รู้แม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร เอาจริงๆ ผมก็เหมือนจะมีเขาเป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวด้วยซ้ำ (ด้วยหน้าตาของผม คุณก็คงนึกภาพออกใช่มั้ยว่ามัน...ค่อนข้างมีปัญหา)
 
 "ฉันมาทำธุระให้พาตี้"
 
 "พี่สาวนาย? แล้วไปที่ไหน"
 
"เมืองไทย"
 
"ไทย!!....นายบอกว่านายกำลังอยู่เมืองไทยเนี่ยนะ! นายไม่ได้ดูปฏิทินเหรอว่านายมีงานกับต้นฉบับต้องส่ง!"
 
 "ฉันกลับทันน่า..."

"ถ้าไม่ทันละ"

ผมถอนหายใจหนัก ชักเริ่มกังวลเมื่ออีกฝ่ายย้ำเตือนว่าตัวผมเองก็มีงานและวิทยานิพนธ์ค้างอยู่

"ถ้าไม่ทันเดี๋ยวส่งเมลล์ไปก็ได้ นี่มันยุคไหนแล้ว"
 
"แล้วนายไปทำอะไรถึงได้ต้องถ่อไปที่นั้น ทั้งๆที่ยัยพี่สาวนายมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่นี่"
 
"นายไปที่ร้านมา?"
 
"ใช่สิ ถ้าไม่ไปที่ร้าน ก็คงไม่รู้ว่านายหายไปไม่บอกฉัน ทั้งๆที่นายก็รู้ว่าฉันเป็นห่วงนายแค่ไหน"

ประโยคท้ายของอังเดรทำให้ผมเงียบไปอย่างรู้สึกผิด
 
เขาเป็นเพื่อนที่สนิทเพียงคนเดียวของผม เพราะเขาเห็นว่าผมมีปัญหาในการคบเพื่อนมาตลอดตั้งแต่สมัยคอลเลจ หมายถึง...ม.ต้นนะครับ

ผมเพิ่งย้ายไปอยู่ที่ปารีสใหม่ๆหลังจากจบประถมที่ไทยเพราะพ่อกับแม่เลิกกันตอนนั้น เพราะงั้นเลยเข้ากับใครไม่ค่อยได้ บวกกับหน้าตาของผมที่จะผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง เลยค่อนข้างจะ...มีปัญหา เขาเลยคอยเช็คเสมอว่าผมไปไหน ทำอะไร หรือไปมีปัญหากับใครรึเปล่า

เอาง่ายๆ คือเขาเกือบเป็นพ่อคนที่สองให้ผมด้วยซ้ำไป
 
"ฉันขอโทษ..."

"....."
 
"นายมันขี้โกงแบบนี้ตลอดเลยนะพอร์ท"

ผมหัวเราะเมื่ออีกฝ่ายยอมให้ เสียงอ่อนเป็นสัญญาณว่าเขาหายโกรธแล้ว และก็เป็นแบบนี้เสมอทุกครั้ง อังเดรไม่เคยขัดใจหรือโกรธผมได้นานนักหรอก เขาเป็นเพื่อนที่ดีใช่มั้ยครับ?
 
"คุยกับใคร"

ผมสะดุ้งเมื่อจู่ๆก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลังพร้อมช่างภาพตัวใหญ่ที่แปลงร่างจากไอ้โรคจิตกลายเป็นยักษ์ตัวโตทำหน้าถมึงทึงอยู่ตรงประตู
 
"พี่ขุน"
 
 "นั่นเสียงใคร"
 
 "เดี๋ยวฉันโทรกลับนะอังเดร แค่นี้"
 
"อย่าวาง ถ้านายวางฉันจะบินไป--"
 
ผมกดตัดสายทันทีโดยไม่สนใจฟังประโยคสุดท้ายของเขา และหันมาเผชิญหน้ากับช่างภาพหนุ่มที่ยังคงดึงหน้าจนตึง

เหอะ! กลัวตายละ
 
"คุย  กับ  ใคร"

นายขุนพลถามซ้ำช้าๆเน้นๆและจ้องเขม็งมาที่โทรศัพท์ในมือผม ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยวะ แค่คุยโทรศัพท์เนี่ยนะ
 
"เพื่อน" เออ แล้วทำไมต้องทำเสียงเบาด้วยวะเรา
 
 "ผู้หญิงรึผู้ชาย"
 
 "ทำไมต้องบอก"
 
"ตอบ!"

ไอ้ชิบหาย ทำไมต้องตะคอกด้วยวะ ตกใจหมด ไอ้บ้าเอ๊ย!

แล้วคิดว่ากลัวเหรอ คิดว่าจะยอมเหรอ ไม่มีทาง!
 
"ไม่ตอบ จะทำไม"

เออ เอาสิ ไม่ตอบจะทำไรผมได้ ก็แค่กินข้าวด้วยกันมื้อเดียว แกะนมปลอมให้กันครั้งเดียว อัพระดับเรียกพี่น้องกันแค่วันเดียว ให้สัญญารักษาความลับกันข้อเดียว เหอะ!

ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นต้องมาตอบเรื่องส่วนตัวซักหน่อย

"แน่ใจนะว่าจะไม่ตอบ"

ผมยักไหล่ โนสน โนแคร์ ไงละ

"ไม่ตอบใช่มั้ย"

"..."

"ดี..."

ทำไม? จะทำไมผม โธ่--

"เงียบให้ได้ตลอดนะ"

ฟัค!! ผมลืมไปได้ไงว่าพี่มันเป็นโรคจิต!

"ออกไปเลยนะ!"

บ้าเอ๊ย! ใครก็ได้มาลากไอ้ผีโรคจิตนี่ไปที มันจะสิงร่างผมแล้ว! อ๊ากก!

ผมพยายามดันอกของอีกฝ่ายที่ก้าวรุกรานเข้ามาใกล้ แต่ยังไงก็ไม่สามารถทานแรงได้จนเผลอถอยหลังกรูดไปติดโต๊ะกระจก ซึ่งรู้ทันทีว่ามันเป็นทางออกที่พลาดมากเมื่อเขาสบโอกาสกางมือกั้นปิดทางออกผมทุกทาง!

นี่มันฉากชิปเปอร์ในนิยายชัดๆ!

"จะตอบไม่ตอบ?"

"มะ..ไม่"

ทำไมเสียงผมต้องสั่นด้วยวะ! แต่ก็ไม่รู้จะนิ่งยังไงไหวเพราะอีกฝ่ายกระซิบถามใกล้จนหน้าเราแทบจะแนบกันอยู่แล้ว

สาบานได้เลยว่าตั้งแต่เกิดมาในชีวิตนี้ แม้แต่อังเดรก็ยังไม่เคยเข้าใกล้ผมขนาดนี้ และให้ดิ้นตายเถอะ ไม่เคยมองผมด้วยสายตาแบบนี้ในระยะประชิดมาก่อนด้วย!

หะ? สายตาแบบไหนเหรอ?

ก็แบบนี้ไง แบบนี้!

แบบที่ทำให้โคตรร้อนจนทนไม่ไหวนี่ไงโว้ย! ทนไม่ไหวจนต้องหันหลังหนีแล้วก็รู้ว่าทำพลาดซ้ำสองเพราะหันไปเจอกระจกไง ไอ้ชิบหาย!

ร้อนกว่าเดิมอี๊ก!!!!

ผมเผลอสะดุ้งเมื่อสัมผัสของลำตัวแข็งๆขยับเข้ามาชิดอีกจนแทบจะแนบกันไปทั้งร่าง ผมเผลอส่งสายตาตกใจให้อีกฝ่ายผ่านกระจกที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งก็พลาดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สามเพราะทำให้เราต้องผสานสายตากันผ่านกระจกบานนั้น

พระเจ้า...

ใครก็ได้ช่วยเอาสายตาร้ายกาจกับร้อยยิ้มที่ร้ายกว่าไปจากคนที่กำลังมองผมตรงนี้ที ช่วยเอาร่างกายอุ่นๆ ที่กำลังแนบชิดนี่ออกไปอีกอย่าง แล้ววานเอาเสียงกระซิบทุ้มๆ ที่อยู่ข้างหูนี่ไปด้วย!

"ตอบพี่ได้มั้ยครับ...พอร์ท"

โอเค...ยอม

"ตะ...ตอบแล้ว!

"..."

"คุยกับเพื่อน"

"..."

"ชื่ออังเดร"

ร้อยยิ้มประจำตัวของคนด้านหลังยกขึ้นคล้ายพอใจ แต่แทนที่เขาจะถอยออกไป กลับขยับใบหน้าเข้ามาชิดอีกจนรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วของริมฝีปากที่แตะผ่านใบหูของผม ซึ่งไม่สามารถขยับถอยหรือถอนสายตาหนีไปไหนได้อย่างไร้เหตุผล

"เด็กดี..."

Rrrr
 
"นี่!"

โทรศัพท์ที่สั่นพร้อมภาพอังเดรบนหน้าจอ ถูกดึงไปทันทีจากคนที่ทำให้คนอื่นสติลอยจนเผลอไม่ทันตั้งตัว
 
"พี่ไม่ให้ แล้วก็ห้ามรับสายมันอีก"
 
 "อย่ามาเรียกเพื่อนผมแบบนี้นะ แล้วนี่มันก็เป็นของส่วนตัวของผม!"

จู่ๆอีกฝ่ายหน้าเข้มขึ้นอีกจนผมผงะถอยหลัง อะไรเล่า ทำไมต้องทำหน้าดุด้วย
 
 "พี่บอกว่าให้เรียกว่าไง"
 
"เอาของผมคืนมาสิ"

คิดว่าผมจะยอมง่ายๆเหรอ เหอะ! ผมตั้งสติได้แล้วโว้ย!
 
"พอร์ท..." อีกฝ่ายจ้องผมกลับนิ่ง ราวกับจะบอกว่าให้ผมทำตามข้อตกลง อะไรวะ กะอีเรื่องแค่นี้ ทำไมเป็นผู้ชายหยุมหยิมจัง

"คืนผมมา!"

ผมพยายามผลิกตัวไปคว้ามือถือที่อีกฝ่ายหลอกล่อไปซ้ายทีขวาทีไม่ให้ผมหยิบได้ แถมยังชูสูงจนเกินความเอื้อมไปไกล และก็เพิ่งรู้ตัวว่าพลาดซ้ำซากอีกรอบ!!

มือใหญ่ชูโทรศัพท์ขึ้นสูงข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งก็โอบรัดผมเข้าไปชิดแน่น

นี่กะจะแนบทั้งข้างหน้าข้างหลังเลยใช่มั้ย! คนนะไม่ใช่ออมเล็ต แกจะมาพลิกบี้ไปบี้มาไม่ได้!

"พี่บอกให้เรียกว่าไง"

"..."

"ว่าไงครับ"

ฮึ่ย!!
 
"คืนผมเถอะนะ...พี่ขุน"

ใบหน้านิ่งขรึมเปล่งประกายพอใจทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่ต้องการ ผมจึงรีบยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อรับของคืน แต่...
 
"พี่จะเก็บเอาไว้ก่อน เลิกงานวันนี้เมื่อไหร่ค่อยมาเอาคืน"
 
"ได้ไง!"
 
"ถ้าเกิดคนในบริษัทที่ไม่ใช่พี่มาได้ยินเสียงเราคุยโทรศัพท์ มันจะเกิดอะไรขึ้น"
 
ผมเงียบไปอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงความสะเพร่าของตน ถ้าคนที่เข้ามาในห้องนี้เมื่อกี้ไม่ใช่พี่ขุน ความลับของผมก็ต้อง...
 
"พี่กับพ่อเราช่วยปิดความลับให้ แต่พอร์ทจะยอมคายมันออกมาเองเหรอ"
 
"ผม..."

ผมได้แค่พึมพำและก้มหน้าอย่างยอมรับไม่รู้จะตอบยังไง ลืมไปด้วยซ้ำว่าแขนอีกฝ่ายกำลังโอบรอบตัวผมพลางลูบแผ่นหลังเบาๆ ....ก็คนมันไม่ทันคิดนีี่
 
ห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วครู่ก่อนผมจะสัมผัสถึงน้ำหนักของมือใหญ่บนศีรษะ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบใบหน้าเข้มที่กลับมายิ้มมุมปากเหมือนเดิม
 
"พี่ยังอยากให้พอร์ทยืนหน้ากล้องของพี่อยู่รู้มั้ย"

"..."

"เพราะงั้น...เชื่อพี่นะ"
 
"อื้อ..."
 
ผมตอบรับสั้นๆ พี่ขุนจึงฉีกยิ้มพอใจและลูบผมไปมาเบาๆ แม้ว่าผมจะงงกับประโยคของเขาก็ตาม บางทีมาตรฐานการใช้ภาษาไทยของผมอาจตกไป จนไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังหมายถึงอะไร
 
เขาคงหมายถึง อยากทำงานกับผมจนจบละมั้ง

หรือว่าเราคิดพลาดอีกแล้ววะ?
 
----------------


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 11.5 - ใจร้าว

ถึงจะหงุดหงิดที่ดูจะหวงไอ้โทรศัพท์กับไอ้คนในโทรศัพท์นั่นเหลือเกิน

แต่ไอ้ฉากแบบถึงเนื้อถึงตัวอีกรอบนี่มันก็ดีนะ

ผิวก็นิ่ม...ผมก็นุ่ม..

โคตรฟิน...


"โห...น้องพาตี้....”

เสียงฮือฮาดังคับสตูดิโอพร้อมการปรากฏตัวของของพอร์ทเทรตที่แต่งหน้าทำผมเปลี่ยนชุดพร้อมแล้ว น้องเดินยิ้มหวานรับคำชมของทีมงานทุกคนมาตลอดทางก่อนมาสแตนด์บายหน้าฉาก
 
แสงไฟส่องไปยังหนุ่มน้อยในคราบนางแบบสาว ผิวขาวถูกขับเน้นด้วยแสงไฟและชุดสีเทาเข้มทำให้มันยิ่งนวลเด่นขึ้น เส้นผมสวยถูกจัดแต่งเกล้าขึ้นอวดลำคอระหงส์ ปล่อยปอยผมบางส่วนลงมาคลอเคลียใบหน้ารูปไข่ที่ถูกแต่งแต้มโทนชมพูระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มฉาบด้วยสีแดงสดราวกับแอปเปิ้ลคุณภาพดี และดวงตาโตคมเข้มที่สะกดทุกคนให้จับจ้องอย่างหลงใหล

ที่เล่นเอาผมเกือบตาย..
 
ดวงตาคู่โตประดับด้วยแพขนตาหนางอน ถ้าคุณจะพอยึกออก มันเหมือนกวางป่าที่จับจ้องทุกสิ่งรอบตัวอย่างเปิดเผย ขับเน้นคุณภาพของ ChaRme Mascara รับกับคอนเซป ‘คมเข้ม...ดุจนางพญา’ ได้อย่างดีเยี่ยม ราวกับจะประกาศให้ทั้งสตูรับรู้ว่า ตนเองคือสาว ChaRme ที่คู่ควรที่สุด
 
ให้ตาย....น้องจะทำให้ผมคลั่งไปถึงไหนกัน
 
แค่นี้ผมก็จะขาดใจแล้ว...
 
บรรยากาศในสตูเริ่มจริงจังขึ้น เมื่อช่างภาพและนางแบบพร้อมสำหรับการทำงานโดยไม่ต้องอธิบายขยายความอะไรกันให้มาก เพียงผมแค่เอ่ยกับเขาเบาๆ
 
“มองมาที่พี่”
 
เมื่อผมพูดจบ ริมฝีปากอิ่มสีแดงก็ฉาบด้วยรอยยิ้มร้ายกาจที่กระแทกหัวใจผมแรงๆ ราวกับจะบอกว่าเป็นสิ่งที่เขาพร้อมจะทำมันมากที่สุด แล้วน้องพร้อมจะเอาคืนที่ผมทำให้เขาสติหลุดไปในห้องแต่งตัวเมื่อกี้
 
ทั้งสตูดิโอเงียบเชียบไร้เสียง เมื่อนางแบบคนใหม่หลับตาทำสมาธิ ผมเดินไปประจำตำแหน่งหลังกล้อง เฝ้ามองอีกฝ่ายผ่านเลนส์ รอให้กระต่ายกลายร่างเป็นเสือ ทันทีที่น้องลืมตา ทั่วทั้งห้องก็สัมผัสถึงประโยคโฆษณาที่สมกับนางแบบที่สุด
 
คมเข้ม...ดุจนางพญา
ความคมของดวงตาที่จะกระชากหัวใจคุณ
 

ให้ตาย...ผมเหมือนจะเป็นบ้าอีกแล้ว
 
แชะ!!

***
 
“น้องพาตี้เชิญเปลี่ยนชุดเซ็ตที่สองค่ะ ทีมงานพักครึ่งชั่วโมง พี่ขุนด้วยนะคะ”

ฝ่ายคอสตูมตะโกนให้ได้รับทราบกันทั่ว ก่อนจะพาน้องไปจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า ผมจึงถือโอกาสทิ้งตัวนั่งพักบนเก้าอี้หลังจอมอนิเตอร์ ที่ฉายภาพจากการถ่ายเมื่อครู่ไว้ทั้งหมด
 
สูดลมหายใจเข้าออกให้ช้าเพื่อให้ร่างกายค่อยๆรับอากาศเข้าไป หวังว่ามันจะช่วยทำให้หัวใจของตัวเองเต้นช้าลงซักนิด
 
ใช่แล้วครับ ผม นายขุนพล อัสนีนาถ กำลังใจเต้นแรงจนเกือบวายเพราะการถ่ายแบบแค่สองชั่วโมงครับ!!

เชี่ย...โคตรอ่อน!!
 
ความรู้สึกเมื่อตอนเทสต์หน้ากล้องครั้งก่อนเทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้ ราวกับว่าผมถูกดึงกลับไปยังความทรงจำเมื่อสองปีก่อนอีกครั้ง ความทรงจำที่ผมเห็นดวงตาคู่นั้นครั้งแรก ดวงตาที่จ้องมองตรงมาที่ผม และพรากหัวใจของผมไปตลอดกาล

ไอ้ขุนเอ๊ย แล้วยังจะเก๊กนิ่ง ดิบ เถื่อน กวนส้นตีน ต่อหน้าน้องมันยังไงไหวอีกวะ ถ้ามึงจะอ่อนขนาดนี้ ไอ้ชิบหาย!
 
Rrrrr
 
ส่วนไอ้นี่ก็โทรมาจัง มึงเป็นเจ้าของเครือข่ายโทรศัพท์หรือไง รวยเหรอ! ไม่รู้เหรอว่าโทรข้ามประเทศมันแพง ห๊ะ ไอ้เพื่อนน้อง!
 
เห็นชื่อนี่มันก็ไม่น่าหงุดหงิดเท่าไหร่ แต่ไอ้รูปเจ้าของโทรศัพท์ที่กำลังยิ้มกว้างในลุคผมสั้นระต้นคอ ที่กำลังอิงแอบใบหน้าอย่างสนิทสนมกับหนุ่มร่างใหญ่ผมทองตาน้ำข้าว ที่หน้าตาจัดว่าสามารถเป็นนายแบบสากลได้สบายๆ นี่มันคืออะไรห๊ะ!

ปัดหน้าจอรับแม่ง!
 
“ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์!!”

เสียงทุ้มปลายสายที่ตะโกนออกมาเป็นภาษาฝรั่งเศส ที่ทำให้ผมเบ้หน้า ถึงจะแปลไม่ออก แต่ล่อใส่อารมณ์มาเต็มเบอร์นี้ก็รู้แล้วว่าสนิทกันมากพอตัว
 
“พอร์ทกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่” ผมกรอกเสียงกลับไปด้วยภาษาอังกฤษ...แหงละครับ ผมพูดฝรั่งเศสได้ที่ไหน
 
“คุณเป็นใคร ทำไมถึงอยู่กับเขา แล้วทำไมเขาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย!”

โอ้โห คิดไปถึงไหนวะ ถ่ายแบบจะให้ใส่ชุดเดียวรึไง เหอะ แต่จ้างให้ใครจะบอกความจริงละ
 
“คนจะเปลี่ยนผ้า มันจะมีกี่เหตุผลกัน?”

ภาษาอังกฤษน้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยยั่ว...แล้วดูเหมือนปลายสายจะเป็นคนยั่วขึ้นซะด้วย จนหูผมแทบชาเพราะคำสบถภาษาฝรั่งเศสดังออกมาเป็นชุด แต่แน่ละว่าไม่แคร์เพราะ...ฟังไม่ออก
 
ผมถือสายเงียบรอให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลง และดูเหมือนนายอังเดรนั่นก็จะเป็นผู้ใหญ่พอสมควร ไม่กี่นาที เขาก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้และถามผมใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงมั่นคงขึ้น 
 
“คุณเป็นใคร”
 
“ตามมารยาทที่ดี คนถามต้องแนะนำตัวก่อนนะ”

เชร็ด! ไอ้ขุน ประโยคนี้มาวะ โคตรดูดีมีมาด! โคตรหล่อเลยเอาจริง พ่อต้องภูมิใจในความเข้มของผมแน่ๆ

ส่วนปลายสายก็ถอนหายใจหนักราวกับเจ้าตัวต้องใช้ความพยายามควบคุมตนเองอย่างมากในการคุยกับผม
 
“ผมชื่ออังเดร เป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของพอร์ท”
 
เวร..เผลอกำโทรศัพท์แน่นขึ้นกับคำว่า ‘เพื่อนสนิทคนเดียว’ ที่อีกฝ่ายเน้นให้ได้ยินชัดราวกับจะย้ำถึงความพิเศษของมัน

ลืมไป...น้องมันไม่ได้อยู่เมืองไทย แล้วเราก็ไม่เคยรู้เลยว่าบางทีทางโน้นน้องมันก็อาจจะมี...ใคร
 
“ผมขุนพล”

"..."

"เป็นพี่ชายคนสนิทของพอร์ทที่เมืองไทย"

เอาเซ่... ระหว่างเพื่อนคนสนิท กับพี่ชายคนสนิท ยังไงพี่ชายมันก็เวลสูงกว่าเพื่อนอยู่แล้ว

อะไร ผมไม่ได้มโนโมเมเองนะ ก็น้องเรียกผมว่าอะไรละ พี่ใช่มั้ย?

แล้วน้องรู้จักคนที่เมืองไทยซักกี่คนกันละ แถมยังเข้าไปถึงห้องนอนกันมาแล้ว แสดงว่าต้องสนิทใช่มั้ย?

เพราะงั้น รวมๆ แล้วก็เป็นพี่ชายคนสนิทไง ถูกแล้ว!

"พอร์ทไม่มีพี่ชาย"

"ไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ"

ใครสนแกกันละ ไอ้หัวทอง เหอะ

"ถ้าฉลาดและสนิทมากพอตามที่พูดก็คงรู้ว่าเขาคงไม่ยอมให้คนอื่นจับมือถือตัวเองหรอกถ้าไม่ไว้ใจกัน"
 
“แกไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเขา ไอ้คนรู้จัก!”

เชี่ย...โคตรเจ็บ

เพิ่งรู้ว่าแค่คำพูดก็ทำให้คนตายได้เลยนะเว้ย

แล้วไม่ได้ยินหรือไงวะ บอกว่าเป็นพี่คนสนิทไงเว้ย ไม่ใช่แค่คนรู้จัก ไอ้หัวทอง! แบบนี้มันยอมไม่ได้!
 
“แค่คนรู้จัก?"

"..."

"แต่คงเป็นคนรู้จะระดับพรีเมี่ยมที่ได้ไปเยี่ยมเขาถึงบ้าน...ถึงห้อง"

แถมจับนมกันมาแล้วด้วย ไม่อยากจะอวด เหอะ
 
“ออกไปให้ห่างจากเขาเลยนะ แล้วอย่าหวังว่าแกจะเข้าใกล้เขาไปมากกว่านี้!”
 
“ทั้งๆที่โทรศัพท์ในมือผมก็บอกความไว้ใจได้มากพอแล้วนี่นะ?”

ผมยังคงยียวนกลับไปราวกับเหนือกว่า แต่แม้ว่าจะพูดออกไปอย่างนั้น หัวใจคนอย่างไอ้ขุนก็ชักจะโหวงเหวงเพราะว่ามันไม่ใช่ความจริงเลย ผมแค่แย่งของน้องมันมาเก็บไว้เอง ไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้น
 
“แกก็ได้แตะแค่โทรศัพท์”
 
“แน่ใจ?”
 
“ฉันจะไปขวางแกเอง”
 
“มาให้ทันแล้วกัน....คุณเพื่อน”

มั่นมาไกลก็ต้องไปให้สุด แม้หัวใจชักจะเริ่มป๊อดเพราะถูกย้ำหลายรอบถึงความเป็นแค่คนรู้จัก

โถ ไอ้ชิบหาย! รู้แล้วเว้ย ไม่ต้องย้ำ เดี๋ยวใจมันร้าว!
 
สายจากต่างประเทศตัดไปแล้ว แต่ประโยคท้าทายระคนเหยียดหยามนั่นยังวิ่งวนอยู่ในหัวผมและแทบทำให้ผมปาโทรศัพท์ในมือทิ้ง
 
คนรู้จักที่ได้แตะแค่โทรศัพท์เหรอ?
 
มันช่าง...โคตรจริงจนผมรับไม่ได้ ใจมันถึงได้หวิวอยู่นี่ไง

ฮึ่ย! ทนไม่ไหวแล้วว้อย!
 
ผมลุกพรวดเดินไปที่ห้องแต่งตัว ทำให้ทั้งนางแบบจำเป็น ช่างแต่งหน้า และคอสตูมมองผมเป็นสายตาเดียว
 
"ออกไปให้หมด”

ผมเอ่ยเสียงนิ่งทั้งๆที่ใจโคตรอ่อนแรง ทำให้ทีมงานที่เหลือรีบพยักหน้ารับและรีบกระวีกระวาดออกไป เลยรีบล็อคประตูตามหลังเพื่อไม่ให้มีใครเข้ามารบกวน
 
“มีอะไร?” เสียงนุ่มเอ่ยถามพร้อมกับดวงตากลมโตที่จ้องมาที่ผม
 
นั่นสิ...มึงมาอยู่ตรงนี้ทำไมวะไอ้ขุน
 
แต่ก็แค่เดินมาตามความรู้สึกโดยที่ไม่อะไรอยู่ในหัวเลยสักอย่าง นอกจากคำว่า ‘คนรู้จัก’ และ ‘ไม่มีสิทธิ์’ ที่ที่ไอ้หัวทองเอ่ย วิ่งวนเวียนอยู่ในหัว โคตรอ่อนเลยใจกูนี่
 
“พอร์ท...”
 
ผมมองใบหน้าเนียนที่เฝ้ารอฟังผมอย่างสงสัย ใบหน้าที่ผมเฝ้ามองมาตลอดสามปี เฝ้ามอง...อยู่ฝ่ายเดียว โดยที่เขาไม่ได้รับรู้อะไรถึงตัวตนของผมเลย ซึ่งนั่นยิ่งเน้นย้ำว่าผมเป็นแค่ ‘ไอ้คนรู้จัก’ อย่างที่อังเดรว่าจริงๆ
 
แต่ผมก็ยังหวัง...หวังว่าหลายวันที่ผ่านมา...ที่เราเจอกัน...ผมอาจจะได้เลื่อนสถานะเป็นอย่างอื่นบ้าง
 
สำหรับเขา จะให้ผมเป็นอะไรก็ได้...นิดเดียว...แค่นิดเดียวก็ยังดี
 
“สำหรับพอร์ทพี่เป็นอะไร"

เชี่ยขุน...ทำไมมึงถามโคตรตุ๊ด แต่ใจมึงนี่ตุ๊ดกว่าที่ถามเองก็เสือกกลัวคำตอบเองแล้วเนี่ย ไอ้ชิบหาย!

แต่มันก็ยั้งปากตัวเองไม่อยู่ ในใจเริ่มสวดอ้อนวอนให้อีกฝ่ายบอกว่าผมเป็นอะไรก็ได้ ที่มีความสัมพันธ์ในเสี้ยวหนึ่งของชีวิตเขา ให้สิ่งมีชีวิตโคตรอ่อนอย่างไอ้ขุนคนนี้ได้มีความหวังอีกซักนิด

คิดซะว่าเมตตาต่อสัตว์โลกหล่อๆหน่อยเถอะน้อง
 
“ถามทำไม”
 
“ตอบพี่เหอะ”

ผมสาวเท้าเข้าไปใกล้เพื่อมองดวงตาคู่นั่นให้ชัดขึ้น
 
“ผมไม่เข้าใจไง อยากถามอะไร”
 
"ก็ตอนนี้พี่เป็นใครสำหรับพอร์ท"

"หมายถึง เป็นอะไรกัน ทำนองนั้น?"

ในที่สุดก็เข้าใจ น้องน้อยเอ๋ย ใจพี่เกือบแห้ง

ผมจ้องมองดวงตาสีเข้มอย่างเฝ้ารอ รอให้เขาเอ่ยคำตอบ แม้ว่ามันจะดูโง่มากก็ตามที่ถามเขาแบบนั้น ทั้งๆที่เขาเพิ่งรู้จักผมไม่ถึงเดือน แต่ผมก็ยังหวัง...หวังว่ามันน่าจะมีคำตอบดีๆ มากกว่าคนรู้จักละวะ
 
“ว่าไง"
 
ขอร้องเถอะ...เป็นเพื่อนร่วมงาน...เป็นรุ่นพี่...เป็นอะไรก็ได้...
 
นะ....
 
“ก็คนรู้จักกันไง”

โอเค...

ใจกูร้าวไปหมดแล้วครับ

-----------

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 12 - Warlord


'สำหรับพอร์ทพี่เป็นอะไร'
 
เสียงทุ้มกับประโยคที่ราวกับคนพูดกำลังอ้อนวอนขออะไรบางอย่างดังขึ้นในความคิดของผมนับเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ในรอบหลายวันที่ผ่านมา
 
หลังจากที่ผมให้คำตอบออกไป ไอ้พี่ขุนก็ยืนนิ่งคล้ายคนมึนงง ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเงียบๆ และเริ่มงานต่อเนื่องจริงจังอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ

แต่นั่นละที่ผิดปกติ!!

คนกวนตีนและโรตจิตอย่างมีมันจะมาทำตัวนิ่งเหมือนชาวบ้านได้ยังไง จริงมั้ย?

แต่มันก็เป็นไปแล้ว!!

เพราะหลังจากถ่ายเสร็จ พี่มันก็มาชี้แจงขั้นตอนการคัดเลือกภาพ ทำป้าย ตีพิมพ์บลาๆ ที่ต้องให้ผมกับพี่เจสรวมทั้งฝ่ายโฆษณาของบริษัทมาประชุมกันอีกครั้งก่อนเผยแพร่อย่างเป็นทางการในประเทศ
 
การชี้แจงของพี่มันชัดเจน ไม่มีอะไรข้องใจ นอกเสียจากคำที่เขาใช้กับผมที่ตอนแรกไม่ได้ทันสังเกตจนเมื่อถึงการบอกลาก่อนกลับ
 
'อีกไม่นานงานก็คงจะจบเรียบร้อยตามที่คุณต้องการ จากนั้นคุณก็จะเป็นอิสระ'

งานจะจบตามที่คุณต้องการ?

เป็นอิสระ?

'คุณ' เหรอ?

นี่มั้นคือวิธีการกวนตีนแบบใหม่ใช่ป่ะ!!

โอเคบอกได้เลยว่ามันได้ผลโคตรๆ! เพราะมันทำให้ผมโคตรจะหงุดหงิดเลยว่ะ!!

อ่า โอเค การที่ใช้คำให้เกีรติกันมันก็ถูก แต่จู่ๆก็บังคับให้เรียกพี่ แต่ตอนนี้ก็มาตีตัวห่างเหินเรียกว่าคุณ มันหมายความว่ายังไงวะ!
 
ผมสะบัดหัวไล่ความหงุดหงิดก่อนจะหยิบสมุดบันทึกงานของตัวเองที่มักจะหยิบขึ้นมาดูเมื่อเวลาอารมณ์ไม่คงที่
 
สิ่งที่ผมดูไม่ใช่สมุดหรอกครับ แต่เป็นโปสการ์ดที่สอดไว้ในนั้นต่างหาก

พลีส อย่าเพิ่งมองว่าผมตุ๊ด รู้จักมั้ยครับ แรงบันดาลใจนะ แรงบันดาลใจ! ใครๆ ก็มีกันทั้งนั้นแหละ แต่ของผมมันเป็นกระดาษไง

มันคือโปสการ์ดที่ถูกพิมพ์เป็นของที่ระลึกในนิตยสารการท่องเที่ยวที่ปัจจุบันอังเดรเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการอยู่ ซึ่งผมไปเห็นมันโดยบังเอิญ แล้วพอรู้ตัวอีกที ผมก็พกมันติดตัวไปทุกที่ เมื่อไหร่ที่หงุดหงิด คิดอะไรไม่ออก หรือสมองตันก็มักจะหยิบมันขึ้นมาดูเสมอ
 
มันเป็นภาพทิวทัศน์ธรรมชาติเรียบง่าย แต่ความเรียบง่ายนั้นคล้ายกับมีบางสิ่งซ่อนอยู่ ราวกับว่าช่างภาพที่ถ่ายกำลังตามหาอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่สำคัญสำหรับชีวิตของเขา
 
ไม่รู้สิ บางทีผมอาจจะคิดมโนไปเอง ใครจะไปเข้าใจคนถ่ายภาพได้ละ

แต่ผมแค่รู้สึกอย่างนั้น และประทับใจมันมากซะด้วย เพราะมันเป็นคล้ายๆ เครื่องเตือนใจให้ผมรู้ว่ามีบางสิ่งที่กำลังรอเราอยู่ สิ่งที่เราต้องตามหามันให้เจอ สิ่งที่จะเข้ามาเติมเต็มในชีวิตของเรา

สิ่งที่ผมก็ตามหามันอยู่เช่นกัน...

ผมไม่รู้ว่าใครคือคนถ่ายภาพนี้ แต่ได้ยินมาว่าเป็นช่างภาพมือสมัครเล่นที่มีฝีมือเทียบเท่ามืออาชีพ ซึ่งภาพนี้เป็นภาพชนะเลิศจากการเข้ารวมโครงการอะไรซักอย่างระดับนานาชาติ

ที่ผมทึ่งอีกอย่างคือได้ยินมาว่าเขาเป็นคนไทยอายุยังน้อย และไม่ยอมเปิดเผยตัวแม้กระทั่งวันรับรางวัลด้วยซ้ำ ทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเพียงต้องการเสนอสิ่งที่ตัวเองอยากถ่ายทอดโดยไม่สนใจชื่อเสียงใดใด ทั้งๆที่คนที่ชนะการแข่งขันรายการนี้สามารถไต่เต้าไปเป็นระดับมือโปรได้สบายๆ

ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร ไม่มีใครรู้คำนิยาม หรือแรงบันดาลใจในการถ่ายภาพของเขา ไม่มีใครรู้ชื่อจริงของเขาด้วยซ้ำ เพราะเขาใช้เพียงนามแฝงสั้นๆ ที่ไร้เสน่ห์ที่สุดในความคิดหลายๆคน แต่กลับเรียกความสนใจที่สุดสำหรับผม เพราะมันดูเถรตรงแบบแปลกๆ
 
Warlord
 
ที่บอกว่าน่าสนใจ ส่วนหนึ่งคือ...มันดูตลกครับ คิดดูสิ Warlord....จอมทัพ.... ตกลงว่าจะประกวดถ่ายภาพ หรือจะมาหาเรื่อง ถึงได้ตั้งขื่อมาซะห้าว
 
เดี๋ยวนะ

Warlord...
 
ขุนพล....
 
ไม่ม้างงงงงง ไม่น่าจะใช่ ปัดพี่มันออกจากหัวไปได้เลย
 
แต่ก็ว่าแม่งทำไม่ได้ เพราะประโยคเดิมๆที่พี่มันถามยังดังขึ้นในหัวผมจนต้องรีบส่ายหน้าเพื่อไล่มันออกไป เพราะกลัวจะนึกถึงสายตาที่ไม่เข้าใจคู่นั้น....
 
ไม่หรอก ผมตอแหล

ผมรู้ว่าพี่มันกำลังอ้อนวอนอะไรบ้างอย่างจากผม แต่ที่ไม่รู้คือ เขาต้องการอะไร ทำไมถึงถามกับผมแบบนั้น แล้วทำไมต้องทำเหมือนผิดหวังที่ได้บินคำตอบ...

ผมพูดอะไรผิด?

ถ้าไม่รู้จักกันจะคุยกันได้มั้ยละ ก็บอกว่าเป็นคนรู้จักก็ถูกแล้ว ในเมื่อที่เมืองไทย นอกจากพ่อกับพี่เจส ผมก็รู้จักพี่มันนี่ละ จะให้ตอบยังไงวะ? หรือภาษาไทยเขามีคำอื่นให้เรียก?

ถ้าไม่พอใจกับคำตอบ

แล้วพี่มันอยากให้ผมตอบว่าอะไร?

อยาก....ให้ผมเป็นอะไร?

ผมทิ้งตัวลงกับเตียงอย่างเหนื่อยล้า และซุกหน้าลงกับหมอน หวังว่าการหลับซักงีบ อาจจะทำให้ผมไล่ประโยคบ้าๆ ของคนเข้าใจยากออกไปจากหัวได้ ไม่นานผมก็รับรู้สิ่งรอบข้างอย่างเลือนรางแต่กลายเป็นภาพในอดีตจางๆที่ซ้อนขึ้นมา

ไอ้พี่ขุนบ้า... ไอ้โรคจิต... ไอ้คน...

เข้าใจยาก...

***

“ไงพอร์ท ตกลงคิดได้รึยังว่าจะเลือกคณะไหน”

“ยัง”

“แม่ก็เป็นเชฟขนม พ่อเป็นช่างภาพ พี่สาวก็เป็นนางแบบหน้าใหม่ไม่ใช่เหรอ แรงบันดาลใจตั้งเยอะ ทำไมนายดูเหมือนคนไม่กระตือรือร้นแบบนี้ละ”

ผมหันไปมองหนุ่มผมทองข้างกายโดยไม่ตอบอะไร ก่อนกลับมาเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็นที่เป็นสีส้มจางๆ

“กำลังกังวลอะไรรึเปล่า”

อังเดรถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเต็มเปี่ยม ดวงตาสีฟ้าของเขาอยู่ใกล้จนผมสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เขามีต่อผม แต่ผมกลับหาคำตอบให้เขาไม่ได้นอกจากอาศัยไหล่กว้างของเขาเป็นที่พักพิง

“ยังคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลืม ไม่ว่าจะเลือกไปทางไหน ฉันก็จะตามไปกับนายทุกที่” มือใหญ่ลูบหัวผมเบาๆ จนรู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นจุกอยู่ที่คอ

ผมกำลังหลงทางครับ....

หลงกับทางแยกของชีวิตม.ปลายสู่ชีวิตมหาวิทยาลัย และ....ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองอยากจะเรียนอะไร ทั้งๆที่เพื่อนร่วมชั้นรอบกายของผมเลือกสถานศึกษาและหนทางชีวิตของตัวเองไว้พร้อมแล้ว รวมทั้งคนข้างตัวของผมด้วย

ผมรู้ว่าอังเดรต้องการเดินในสายครอบครัวของตัวเองที่เป็นเจ้าของธุรกิจสิ่งพิมพ์ และความฝันของเขาคือการเป็นบรรณาธิการนิตยสารการท่องเที่ยวของหนังสือนิตยสารชื่อดัง

แต่ผมกลับเลือกอะไรไม่ได้ซักอย่าง...

ผมทำขนมไม่ได้เหมือนแม่....ถ่ายภาพไม่ได้เหมือนพ่อ...ไม่ได้มีความสามารถอยู่กับผู้คนแบบพาตี้ที่ตอนนี้กำลังเป็นนางแบบไอดอลไฟแรงอยู่ที่ไทย

แต่ผม...น้องชายฝาแฝดที่คลอดช้ากว่าเธอเพียงสองนาที แต่กลับเหมือนล้าหลังเธอและทุกคนไปไกล

โคตรกากที่สุด!

ตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ ผมก็เรียน...เรียน...เรียน... เรียนไปตามหลักสูตร ไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองต้องการทำอะไร จนกำลังจะต้องเข้ามหาวิทยาลัย ถึงได้รู้ว่าหัวโคตรว่างเปล่า

“เรียนวารสารด้วยกันก็ได้ ยังไงความสามารถในการเขียนของนายก็เป็นเลิศ นายก็ไม่ได้ไม่ชอบมันใช่มั้ยละ”

“แต่...”

“สายงานเขียนในนิตยสารก็มีหลายแนวนะ นายอาจจะสนใจก็ได้ ลองดูอันนี้ดิ”

อังเดรเลื่อนนิตยสารท่องเที่ยวหัวใหญ่ที่ผมจำได้ว่าเป็นงานในฝันของเขามาให้พร้อมเปิดให้ดูเนื้อหาข้างใน

“นั่นอะไร”

ผมขวางมือขาวของคนข้างกายที่กรีดหน้าหนังสือ เมื่อเห็นบางสิ่งที่สะดุดตา

“อ๋อ....โปสการ์ดแถม ส่วนใหญ่เขาก็มีโปสการ์ดสถานที่ท่องเที่ยวแถมในเล่ม ได้ข่าวว่างวดนี้เป็นภาพชนะเลิศการประกวดด้วย นี่ไง มีคอลั่มเขียนถึงด้วย”

ผมรับคอลั่มที่ว่านั้นมาอ่านก่อนจะนิ่งงันเพราะตัวอักษรภาษาฝรั่งเศสบนนั้นที่บอกว่าเป็น ‘การสัมภาษณ์’ เกี่ยวกับแรงบันดาลใจของภาพ แต่กลับมีแค่ประโยคเดียว

- ความว่างเปล่า -

ประโยคสัมภาษณ์ที่สั้นที่สุดเท่าที่เคยเห็น กับรูปที่ให้ความรุ่สึกบางอย่างที่ไม่อาจละสายตาได้

ความว่างเปล่า...

หัวข้อว่างั้น แต่ภาพที่ถูกถ่ายออกมากลับสื่ออารมณ์คล้ายกำลังรอคอยบางสิ่ง รอคอยอะไร?

ผมครุ่นคิดขณะที่มองภาพนั้นอย่างพิจารณาเพื่อหาความหมายที่แท้จริงที่ช่างภาพต้องการจะสื่อ

“ได้ยินว่าเป็นคนไทย”

“คนไทย?”

“ใช่ แถมให้ตัวแทนมารับรางวัลด้วยนะ ทั้งๆที่รู้ว่าถ้ามารับรางวัลเองก็มีบริษัทชั้นนำมารอทาบทามอยู่แล้ว แต่กลับทิ้งโอกาสซะงั้น โคตรมั่น”

อังเดรเบะปากเหมือนเขาหมั่นไส้ในความมั่นใจของคนถ่ายภาพนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่า เจ้าของภาพไม่ได้ต้องการรางวัลเองมากกว่า
 
แรงบัลดาลใจของเขาคือความว่างเปล่า...แต่ภาพที่สื่อกลับมีกลิ่นไอของความโหยหา...

หมายความว่า....ในความว่างเปล่าของเขา ก็กลับมีความหวังว่าจะพบเจอสิ่งที่เขาค้นหางั้นเหรอ?

มันคงเป็นความบังเอิญแน่ๆ ที่ภาพนี้มันช่างตรงกับความรู้สึกของผมมากอย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับจะมาบอกผมว่า ผมจะค้นหาสิ่งที่ตัวเองต้องการเจอในซักวัน

ผมหยิบสมุดบันทึกส่วนตัวของตนเองออกมาสลับกับการมองภาพนั้นที่มีนามแฝงของช่างภาพพิมพ์เอาไว้

‘Warlord’... ขุนศึก?

“ฉันขอภาพนี่ได้มั้ย?”

“นายจะเอาไปทำอะไร”

“ได้มั้ยละ?”

ผมมองหน้าอีกฝ่ายเป็นสัญญาณว่านี่คือสิ่งที่ผมต้องการจนอังเดรถอนหายใจออกมาและยิ้มกว้างอย่างใจดี

“มีเหรอที่นายขออะไรแล้วฉันจะไม่ให้” ผมยิ้มทันทีเมื่อเขาพูดแบบนั้นและค่อยๆ แกะโปสการ์ดนั่นให้ผม

“ฉันจะเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับนาย”

“จริงนะ!”

“แต่ฉันไม่เรียนวารสาร”

“ทำไมละ” อังเดรหน้ามุ่ยแต่ผมกลับยิ้มอ้อน

“ฉันอยากจะลองดูซักตั้ง กับความฝันเล็กๆนี่”

ผมชูสมุดในมือให้เขาดู ก่อนเขาจะยิ้มออกมาอย่างยอมรับ เพราะรู้ว่าสมุดบันทึกเล่มนี้ เต็มไปด้วยตัวอักษรมากมายของผมที่เต็มไปด้วยจินตนาการ

“นายทำได้อยู่แล้ว และฉันจะสนับสนุนนายทุกทางให้ความฝันของนายเป็นจริง”

เจ้าฝรั่งผมทองที่หล่ออย่างร้ายกาจลูบหัวผมอีกครั้งราวกับจะให้ความมั่นใจกับผม ขณะที่ดวงตาของผมมองโปสการ์ดในมือก่อนจะสอดมันเข้าไปในสมุดบันทึก ตั้งใจให้มันอยู่คู่กับจินตาการของผมในนั้น

คุณก็จะช่วยผลักดันความฝันให้ผมใช่มั้ย...คุณนักรบ

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ผมกับอังเดรก็กอดคอกันเข้าเรียนที่ Paris Sorbonne University โดยแน่นอนว่าอังเดรต่อในคณะวารสารศาสตร์ ส่วนผมต่อในสาขาวรรณกรรมฝรั่งเศส และหลังจากนั้นสามปี นวนิยายแฟนตาซีของผมที่มีตัวเอกเป็นอัศวินจอมทัพพิทักษ์ประชาชนก็ออกวางแผง และตามมาด้วยเรื่องต่อๆไป ที่ล้วนมีตัวละครนำเป็นนักรบผู้แข็งแกร่งที่เฝ้าตามหาความหมายของชีวิตภายใต้นามปากกา Le néant (ความว่างเปล่า) ที่มาจากคำในบทสัมภาษณ์ของ Warlord เพื่อขอบคุณที่เขาทำให้ผมมีความฝันขึ้นอีกครั้ง

ขอบคุณนะ...คุณนักรบ
 
“เรียกว่าพี่ขุนสิ”

 
เฮือก!!

ผมสะดุ้งเหงื่อท่วมตัวบนเตียงในคอนโดของพาตี้ สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวเพราะความตกใจ

ผมอุตส่าห์ฝันถึงคนที่เป็นแรงบันดาลใจ แต่กลับถูกแทรกแทรงด้วยไอ้พี่ขุนซะได้

ไอ้บ้า สมกับเป็นโรคจิตจริงๆ ถึงขั้นตามไปหลอกหลอนกันในฝันก็ได้

พี่จะมาเทียบอะไรกับคุณนักรบของผม

เขานะเป็นถึงผู้ชนะรางวัลภาพถ่ายนานาชาติเชียวนะ ตากล้องโรคจิตเข้าใจยากอย่างพี่ เทียบเขาไม่ติดหรอก

แถมยังเป็นโรคจิตที่บังอาจมาเมินผมแบบนั้นแล้วด้วย บอกเลยว่าจบงานถ่ายไปแล้วก็ ลาขาด!

คิดถึงพี่มันแล้วก็หงุดหงิด ผมควรใช้ชีวิตในวันหยุดให้คุ้มมากกว่ามานอนฝันบ้าๆนี่

วันหยุดที่ผมจะเป็นใครก็ได้ เป็นตัวเองยังไงก็ได้เพราะไม่ต้องทำงานที่ ChaRme

เป็นพอร์ทเทรต มาร์แตง อิน ไตลองดฺ เยห์!!

แต่วันนี้พี่เจาไม่อยู่ คนที่ผมจะโทรหาได้มีแค่คนเดียวคือคุณเชนสุดที่รัก และข่าวดีก็คือพ่อจะพาผมทัวร์กรุงเทพฯ!

ผมนี่รีบคว้ากระเป๋านั่งแท็กซี่มาบ้านพ่อแทบไม่ทันเลยครับ ฝรั่งเข้ากรุงแท้ๆเลยผม แต่ก็แทบเบรกเอี๊ยดหน้าบ้านเมื่อเจอสาวสวยที่ยืนยิ้มรอ

"มาแล้วเหรอน้องพอร์ท"

"อ่า...หวัดดีฮะพี่ฝน"

ชิบหาย...ทำไมพี่ฝนถึงมาโผล่ที่นี่ แถมยังทักเหมือนรู้มาก่อนแล้วด้วย ไม่ได้แปลกใจด้วยซ้ำที่เห็นผม

"ไม่ต้องตกใจ พี่รู้เรื่องจากพี่เชนแล้วจ้ะ แอบเห็นงานแวบๆตอนเข้าไปที่บริษัทด้วย ดีงามมาก สวยมากกกกก"

ผมหัวเราะแห้งๆให้เลขาคนเดิมของพ่อที่ยิ้มหน้าบาน  สรุปความลับของผมมีคนรู้เรื่องเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้วเหรอวะ

"ดีใจที่เห็นน้องพอร์ทมาถ่ายงานจริงนะคะ รับรองว่าดังเปรี้ยงแน่"

"ดังอะไรเล่า ผมมาแทนพาตี้นะ"

"ไม่ได้อวยแต่พูดเลยว่าพาตี้ไม่ใช่ลุคแซบแบบที่น้องพอร์ททำหรอกค่ะ"

"อย่าชมมากพี่ ผมอาย"

"อายทำไมคะ สวยออก"

"อายเพราะว่าสวยนั่นแหละ ผมเป็นผู้ชายนะพี่ ถ้าความลับแตก ผมได้ถูกหาว่าเป็นโรคจิตแน่"

พี่ฝนหัวเราะ ส่วนผมคงได้แต่ทำใจไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกยังไงระหว่างดีใจที่งานออกมาดีมีแต่คนชม หรือเสียใจที่เหมือนผู้หญิงจนชาวบ้านแทบแยกไม่ออก

เกิดมาหน้าตาดีแต่พระเจ้าทำไมไม่เลือกประเภทให้ถูกวะ เอาแพ็กเกจความดูดีของผู้หญิงมายัดใส่ผมทำไมก็ไม่รู้ สาวๆบนโลกตั้งเยอะที่อยากได้ความสวย

แต่ผมเปล่า!

"ไป ไอ้ฝน"

"พ่อจะให้พี่ฝนพาเที่ยวเหรอ รบกวนพี่เขาดิ"

คุณชายเชนที่เพิ่งออกมาจากบ้านมองหน้าผมงงๆ ราวกับจะถามว่าลูกชายมายืนทำบ้าอัไรตรงนี้ สลับกับเลขาตัวเองที่ก็ดูจะไม่เข้าใจเหมือนกัน

"อย่าบอกนะว่าลืมเรื่องพาผมไปเที่ยว"

"เฮ้ย พ่อไม่ลืม"

"ไม่ลืมแล้วจะแบกกระเป๋ากล้องไปไหน คงไม่เอาไปเที่ยวด้วยนะ"

โถ่เว้ย วันหยุดแรกของกรุงเทพฯ จะสลายหายไปเหรอวะ ทำไมพ่อทำงี้ ถึงว่าทำไมคุณเชนถึงได้ใจดีจะพาเที่ยว ทั้งๆที่โคตรจะอินดี้จนแทบจับตัวไม่ได้!

เสียใจนะเนี่ย

"พ่อมีงานด่วน แต่เดี๋ยวให้คนอื่นพาไป"

"ก็บอกว่าอย่าไปกวนพี่ฝนไง ถ้าพ่อเบี้ยว ผมไปเองก็ได้"

"ไม่ใช่ไอ้ฝน"

"แล้วจะไปรบกวนใคร ไม่เอา เกรงใจเขา"

"คนนี้มันเต็มใจให้แกกวนอยู่แล้ว"

ใครวะ

"ใช่มั้ยไอ้ท่านขุน"

Merde!!

ชิบหาย!!

จะเป็นใครก็ได้ แต่จะเป็นไอ้พี่ขุนที่เพิ่งมีเรื่องกันไม่ได้!!

แล้วนี่จ้องหน้านิ่งทำไมหะ หรือจะเอา!

ฮึ่ย!

-----------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2018 15:01:07 โดย benjyAstro »

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 12.5 - สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อหัวใจ

ความเงียบอันตึงเครียดระหว่างเราทั้งคู่มันโคตรจะอึดอัด แต่ในเมื่อเขาไม่พูด ผมก็ไม่คิดจะเริ่ม

เหอะ! ใครง้อ!

ไม่พูด ไม่มอง ไม่ทัก ไม่สบตา ก็นั่งร่วมรถทั้งๆที่เงียบกันอยู่แบบนี้ละวะ ใครอยากจะคุยด้วยละ

แต่ก็ได้แค่คิดหยิ่งไปงั้น เพราะไม่พูดมันก็ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!

"พาผมมาทำบ้าอะไรที่นี่!"

แนะ ไม่ตอบ

แถมยังดับเครื่องเปิดประตูเฉยๆ ซะงั้น วอนซะแล้ว

"ถ้าคุณไม่ตอบ ผมกลับ"

คิวเข้มตรงหน้าขมวดมุ่น สัมผัสได้ถึงความไม่พอใจจางๆที่เหมือนพยายามจะเก็บแต่ก็ไม่หมด เหอะ! ให้มันรู้สึกซะบ้าง ว่าการที่ถูกเรียกแบบห่างเหินมันรู้สึกยังไง อยากเริ่มเองไม่ใช่เหรอ

"จะไม่พูดใช่มั้ย"

"..."

"ได้"

ผมหันไปเปิดประตูก้าวออกจากรถไม่รอช้า เพราะคาดแล้วว่าพี่มันก็คงไม่ตอบ แต่ที่ไม่คาดก็คือ...กูลืมปลดเบลต์ครับ!

เกือบรัดคอตายห่าแล้วมั้ยละ ไอ้โง่! เสียหน้าฉิบหาย!

ไม่เป็นไร เอาใหม่

ห้า สี่ สาม สอง แอคชั่น!

ตวัดสายตาไม่พอใจไปให้เจ้าของรถมันวงใหญ่ก่อน แล้วก็กดเบลต์ออกด้วยจริตกระฟัดกระเฟียดนิดๆ เออ เนียนแล้วกู

แต่ที่เนียนกว่าคือพี่มันที่มองนิ่งๆ แต่กลับคว้าสายเบลต์แล้วกดมันล็อคกลับเข้าไปอีกครั้ง

ฟัค!

"ปล่อย"

"..."

พี่ขุนยังคงนิ่งเงียบขณะที่ยังคงจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร มือใหญ่ยังคงกดมือผมไว้ไม่ให้ปลดเข็มขัดนิรภัยออก ปล่อยให้ในรถมีแต่ความอึดอัดที่ผมโคตรเกลียด

ทำไมจู่ๆ ก็เป็นกันแบบนี้วะ ทำไมทำตัวเหมือไม่รู้จักกัน ทำเหมือนถูกบังคับให้ต้องมาอยู่ตรงนี้ ทำเหมือนไม่เต็มใจ

โคตรไม่ชอบ แล้วก็ไม่อยากทนแล้วด้วย

"ถ้าไม่คิดจะพูดก็ปล่อยมือ"

"..."

"ไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่รู้จักกัน"

พูดไปทั้งๆที่ก็หวังว่าสกิดมากๆพี่มันคงตอบให้หายอึดอัดแล้วกลับมากวนตีนเหมือนทุกที แต่เปล่าเลย เพราะพี่ขุนมันปล่อยมือออกโดยดี

เออ ไม่ทนแล้วเหมือนกันโว้ย! จะกลับ! จะไปให้ไกลเลยด้วย!

แต่แทนที่จะได้ไปอย่างที่คิด ไอ้คนโรคจิตตัวใหญ่ก็กลับมารั้งสายเบลต์ของผมอีกครั้งแล้วก็เพิ่งสังเกตว่าพี่มันเพิ่งปลดสายเบลต์ตัวเองออกเหมือนกัน

ปากเตรียมอ้าจะถามด้วยโมโหกับความเข้าใจยากของอีกฝ่าย แต่ต้องรีบหุบฉับเมืื่อเขาหันมาปลดเบลต์ของผมออกและเอื้อมผ่านตัวผมไปเพื่อส่งสายให้เข้าที่ทั้งๆที่มันสามารถไหลกลับเข้าไปเอง แต่เพราะงั้นเลยทำให้พี่มันแทบโอบผมไว้กับเบาะรถทั้งตัว...

ทะ...ทำไมจู่ๆ ไอ้เหตุการณ์ขี้ชิปในนิยายมันกลับมาอีกแล้ววะ

ผมแทบกลั้นหายใจเมื่อคนตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวห่างไปไหนนอกจากมองตรงมาที่ผมด้วยหน้าเรียบนิ่งจนเห็นโครงเครื่องหน้าของเขาชัดเจนทั้งคิ้วเข้ม จมูกโด่ง และริมฝีปากบางที่กำลังเผยอออก...

พระเจ้า...

ทำไมใจต้องเต้นแรงวะ

"เมื่อวานเป็นคนรู้จักก็ว่าเจ็บนะ"

"..."

"แต่วันนี้ถึงขั้นจะไม่รู้จักกัน..."

"..."

"โคตรเจ็บ"

เสียงทุ้มและแวดตาเข้มของพี่ขุนดูอ่อนแรงจนน่าสงสาร ยิ่งได้เห็นได้ฟังในระยะประชิด ก็ยิ่งชัดเจนว่าเขากำลัง...เสียใจ

แต่ยังไงก็ไม่เข้าใจว่าผมไปทำอะไรให้ ผมเปล่าทำอะไรผิดนะเว้ยอย่ามากล่าวหาผม แล้วก็ต้องเลิกเล่นเกมเงียบบ้าบออะไรนี่ได้แล้ว คนมันอึดอัด!

"ก็พี่กวนตีนก่อนทำไมวะ! จู่ๆเป็นอะไรถึงมาพูดคุณๆๆอยู่ได้ คนรู้จักกันมันทำแบบนี้เหรอวะ!"

ไม่ทนแล้วเว้ย พูดแม่งให้หมด ให้จบๆกันไปตรงนี้แหละ จะมาทำหน้าหล่อหน้าเหวอตกใจ รับไม่ทันอะไรแม่งไม่สนแล้ว สติแตกเว้ย!

"Putain!!! วันนึงก็มาแกล้ง วันนึงก็มาช่วย เดี๋ยวให้เรียกพี่ แต่เดี๋ยวจู่ๆแม่งก็เมิน จะเอายังไง ไม่ทนแล้วนะเว้ย!"

"เอ่อ..."

"อยากทำอะไรท็ทำเลย!  Dégage ! Casse-toi ! ไม่ทนแล้ว! J’en ai rien à foutre!!"

"อ่า..."

"จะทำไม! จะพูดอะไรก็พูดมาเลยตรงๆ!"

เอาให้มันจบตรงนี้ จะได้ต่างคนต่างไป พูดมาเลย!

"พี่แปลไม่ออก"

...

เออ! พูดตรงดี ไอ้ชิบหาย!

แล้วที่ผมอารมณ์เสียไปเมื่อกี้มันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยเพราะฟังไม่ออก! แล้วนี่ผมเผลอพูดบ้าอะไรปนกันมั่ววะ!

แต่หน้าเหวอของพี่มัน...โคตรตลก

อยู่ดีๆไอ้บรรยากาศอึดอัดตึงเครียดที่มีมาตั้งแต่วันก่อนจนถึงตรงนี้ก็สลายหายไปกับตา เพราะพอเรามองหน้ากันทั้งจากอาการเหวอแดกทางภาษา เราทั้งคู่ก็พร้อมใจกันหัวเราะลั่นรถจนตัวหอบตัวโยน

พี่ขุนหัวเราะแบบแทบไม่เว้นช่องหายใจจนผมกลัวว่าเขาจะขาดอากาศตาย เลยยกมือลูบแผ่นหลังกว้างสลับกับตบปุๆ พี่มันก็ยังคงขำไม่หยุดพอๆกันกับผมที่นึกถึงหน้าเหวอแดกเมื่อกี้ เลยต่างคนต่างซบไหล่กันหัวเราะทั้งอย่างนั้น

"พี่แม่ง ผมพูดไปตั้งเยอะเสือกฟังไม่ออก"

"เมื่อกี้ฟังไม่ออก แต่แม่งกะเสือกนี่โคตรชัดเจน"

"จะมาเมืองไทยผมก็ต้องเรียนบางคำที่นิมยมใช้ป่าววะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่าโง่ ถึงจะเกิดที่นี่แต่ไม่ได้อยู่จนโตนะ ใครจะไปรู้ดี"

"ปกติใช้ฝรั่งเศส?"

"ก็เออดิ"

ถึงจะพูดไทยได้ แต่บางที่มันก็สับสนเหมือนกันนะเว้ย ไปอยู่ที่โน่นตั้งแต่เด็กๆ แถมยังต้องเรียน ต้องทำงาน คิดว่าหลักๆ ผมจะต้องใช้ภาษาอะไรกันเล่า แล้วจู่ๆพี่มันเป็นอะไรอีกแล้วเนี่ย ทำไมต้องดึงหน้านิ่งอีกแล้ววะ ยังไม่จบใช่มะ!

"ปกติใช้ภาษาไทยตอนไหน"

ถามอะไรของพี่มันเนี่ย

"ก็เวลาเจอคนไทย อย่างพี่ที่รู้จักที่ร้านของแม่ก็เป็นคนไทย"

"พี่ที่รู้จักที่ร้าน?"

"เขาเป็นคนงานแล้วก็ดูแลบัญชีที่ร้านให้แม่  คุยกันทุกวันมาตั้งแต่เด็ก"

"แล้วทำไมถึงเรียกว่าแค่รู้จัก"

"เอ้า! ก็รู้จักไง ไม่รู้จักได้ไงก็อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แล้วใครจะบ้าคุยกับคนไม่รู้จัก"

หน้าพี่ขุนเหวออีกรอบก่อนจะมีประกายคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ผมนี่แหละที่ไม่เข้าใจพี่มันที่จู่ๆก็หัวเราะเป็นคนบ้าอีกแล้ว มีอะไรน่าขำตรงไหนอีกวะ

"แล้วพี่ก็เป็นคนรู้จักเหมือนกัน?"

สรุปจะไม่จบเรื่องนี้ใช่มั้ย!

"ถ้าไม่รู้จักผมจะคุยจะอยู่กับพี่มั้ยละ นี่คนไทยปะเนี่ย ทำไมเข้าใจยาก!"

นี่อยู่ฝรั่งเศสมาครึ่งชีวิตยังเข้าใจเลย! ภาษาไทยง่ายๆ คนรู้จักอ่ะ คนรู้จัก ไม่รู้จักก็ไม่คุยไง คนไทยทำไมไม่เข้าใจภาษาไทยง่ายๆวะ โว๊ะ!

เสียงหัวเราะดังลั่นอีกรอบจากพี่มัน แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือถึงผมจะงงว่าพี่ขุนหัวเราะทำไม แต่ก็รู้สึกชัดเจนว่ามันเป็นเสียงที่คนเปล่งดีใจและโล่งใจระคนกัน บวกกับสิ่งไม่ปกติอีกอย่างคืออ้อมแขนที่รั้งผมเข้าไปหาและซุกใบหน้าหัวเราะอยู่กับบ่าของผม

"อะไรของพี่เนี่ย"

ผมท้วง แต่พี่ขุนก็ยิ่งรัดผมแน่นขึ้นทั้งๆที่เสียงหัวเราะหยุดไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยมือจากผม และผม...ก็ไม่คิดจะผลักพี่เขาออกไป

"รู้มั้ยว่าเรามันโคตรร้าย"

"ผมแปลคำว่าร้ายออกนะ"

พี่ขุนหัวเราะอีกครั้งก่อนเขาจะยอมคลายอ้อมแขนลง แต่มันกลับยิ่งแย่กว่าเก่า เพราะใบหน้าเขาขยับมาหยุดตรงหน้าของผมในระยะหวาดเสียวท้องน้อย

เฮ้ย ผมไม่ได้ลามก แต่เอาจริงๆ คือ พี่มันแม่งก็หน้าตาดีไง อยู่ใกล้คนหน้าตาดีขนาดนี้เป็นใครก็เสียวกันทั้งนั้นละวะ อ่า...เขาใช้คำว่าเสียวกันเปล่าวะ

เสียวไม่เสียวก็ต้องออกไปได้แล้ว เพราะเริ่มร้อนแล้วนะ!

"หน้าแดงนะหนู"

ใครหน้าแดงวะ!

"เรียกใครหนู!"

"โคตรดีอ่ะ"

ฟัค!!!

ทำไมพูดจาแปลกๆ ด้วยเสียงแปลกๆ รอยยิ้มแปลๆ และสายตาแปลกๆ!!

มันต้องบรรยายเป็นภาษาไทยว่าอะไรถึงจะเข้าใจวะ!!

"น่ารักว่ะ"

"ห้ะ?"

นอกจากจะไม่เข้าใจผมยังเหวออีกเมื่อพี่มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แบบที่ผมไม่ได้เตรียมใจ และไม่ทันหลบหนี เพราะยังไงก็หนีไม่ได้ แต่ไอ้หน้าหล่อก็หยุดแค่นั้นพร้อมสายตาที่กวาดมองไปทั่วหน้าผมอย่างน่าหวาดเสียวท้องน้อยอีกรอบ ก่อนจมูกโด่งจะเคลื่อนเข้ามาสะกิดที่ปลายจมูกผมเบาๆพร้อมคนตรงหน้าที่กัดริมฝีฝากตัวเองคล้ายกำลังหมั่นเขี้ยวอะไรบางอย่าง

หมั่นเขี้ยวใคร?

ผม?

"โคตรน่ารัก...."

"..."

"โคตรชอบเลย"

ไม่รู้แม่งเกิดอะไรขึ้น สมองมันเบลอ มันงง เลยปล่อยให้ไอ้เจ้าของรถมันเปิดประตูให้ สวมหมวดปิดหน้าให้ และสวมฮู้ดทับหัวอีกชั้นให้เพื่อปกปิดตัว แล้วก็พาลากลงจากรถพาเดินไป

ฟัค...เมื่อกี้มันอะไรวะ

สมงสมองผมชักจะไม่ทำงาน หรือไม่ก็อาจจะกำลังช็อคกับไอ้สิ่งที่โคตรจะไม่เข้าใจเมื่อกี้

โคตรชอบ

เชี่ยยยยยยยยยยย มันหมายความว่าไง คนเคยไทยงง!!

"กี่ท่านคะ"

"คนเดียวครับ ที่คุณเจสซี่จองไว้"

"งั้นเชิญให้น้องเปลี่ยนชุดเลยนะคะ เดี๋ยวจะเริ่มที่คอร์สอาบน้ำนมก่อนเลยค่ะ"

"เดี๋ยว อาบอะไร!!"

สติผมกลับมาอีกครั้ง เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองยอมถูกชักจูงให้ลงมาจากรถเข้าอาคารตรงหน้า ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่ไม่คิดจะลงมา แต่ก็เผลอเพราะว่าพี่มันแม่งทำให้เขว!!

"เดี๋ยวจะมีงานเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ เราต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุด"

"ไม่เอา ผมไม่สปา!"

"ชู่ว...เดี๋ยวคนได้ยินเสียง"

ไอ้พี่ขุนขยับเข้ามาใกล้แล้วจุ๊ปากให้ผมระวังผลางมองสอดส่องไปรอบๆร้าน กลัวใครจะมาได้ยิน แต่ทำไมสติผมดันเผลอไปมองปลายจมูกโด่งๆ ของพี่มันอีกแล้ววะเนี่ย!

ไม่ๆๆ อย่าเขวเว้ยพอร์ท ไม่เอาสปาเว้ย!

"ผมไม่เอานะ ผมไม่ชอบ!"

"ไม่เอาไม่ได้ คุณเจสสั่งไว้แล้ว"

ผมเตรียมจะอ้าปากค้าน แต่นิ้วยาวของอีกฝ่ายก็แตะปิดกั้นลงบนริมฝีปากของผมซะก่อน พร้อมคำกระซิบที่ทำให้ผมสติหลุดอีกครั้ง

"แล้วพี่ก็..."

"..."

"โคตรชอบ"

----------------------

ปล. สิ่งที่น้องมันพูด หลักๆก็เป็นคำสบถ เช่น เชี่ย! อะไรประมาณนี้ ส่่วนอีกสองอันคือ Dégage ! Casse-toi !(ไปไกลๆเลยไป๊)  J’en ai rien à foutre!! (ไม่แคร์โว้ย)
ปล. รู้จักแต่ภาษาไทย แต่ที่อธิบายได้เพราะเซิจกูเกิลมาค่ะ จิงๆแล้วเป็นคนกาก





ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 12.6 - นวดๆ หยุดๆ นวดเส้นกดจุด

 
ทั้งๆ ที่ตั้งใจออกมาเที่ยวแบบเป็นตัวเอง แต่กลายเป็นว่าต้องมาอาบน้ำนวดตัวที่สปาในฐานะพาตี้ ผมละอยากจะบ้า ขนาดไม่ได้แต่งหน้าก็ยังมีคนเชื่ออีกนะว่าผมเป็นพี่สาว ควรดีใจที่หน้าเหมือน หรือควรเสียใจที่ไม่มีใครเห็นความเป็นชายกันแน่วะ!
 
แล้วที่ผมใส่หมวกสวมฮู้ดปิดหน้าตามาเต็มที่เพื่อไร?
 
และที่โคตรน่าอนาถกว่านั้นคือผมไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อเจออะไรแบบนี้ นอกจากหนังหน้าที่เหมือนเจ้าตัวเป็นทุนเดิม ไอ้ที่เหลือก็แบนราบสนิทไปหมด

ต้องหาทางทำยังไงถึงจะไม่ให้ถูกจับได้แล้วเกิดเป็นข่าวฉาวว่าพาตี้แปลงเพศ หรือว่ามีชายโรคจิตปลอมตัวเป็นพาตี้ ผมเลยต้องมาทนอยู่ในสภาพ…
 
สภาพที่เอาผ้าขนหนูมาพันอกให้หนาแล้วกระโจมอกทับเอาไว้อีกชั้นให้โป่งเป็นก้อนนมตุงๆเบี้ยวๆ!
 
ฟัคคคค‼ เชี่ยกว่านมปลอม ก็นมจากผ้าขนหนูนี่แหละ‼ ดีที่ยังให้คลุมเสื้อทับไว้อีกชั้น มีเมตตาจนน้ำตาแทบไหล…
 
“น้องพาตี้ลงอ่างน้ำนมห้องนี้เลยนะคะ เดี๋ยวจะมีพนักงานมาดูแลขัดผิวให้ค่ะ”
 
“ไม่--!”
 
ผมรีบตะครุบปากตัวเองไว้และถลึงตาไปหาไอ้พี่ขุนที่มัวแต่พยายามกลั้นยิ้มจนแก้มเกร็ง แต่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรกันเลย นอกจากระริกระรี้พาผมมาแก้ผ้าอยู่ที่สปานี่ ไอ้พี่ชั่ว
 
ผมขยับเข้าไปใกล้พลางยิ้มหวานให้พนักงานคนนั้น แต่กลับกระตุกเสื้อให้ไอ้คนชั่วก้มลงมาในระยะที่ผมจะกัดฟันกระซิบให้พอได้ยินกันสองคน
 
“ถ้าไม่ห้ามเขา ผมกับพี่ไม่ต้องพูดกัน”
 
“…”
 
คิ้วเข้มเลิกขึ้นแต่ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มกว้าง แล้วก็…
 
“จับถอดผ้าลงอ่างขัดให้ทั่วตัวเลยครับน้อง””
 
ไอ้เชี่ยพี่มึง‼
 
ใครรออยู่ให้เขามาถอดผ้าก็โง่แล้ว! ขืนให้มาช่วยก็ได้รู้พอดีว่าไอ้ก้อนตุงๆนี่มันไม่ใช่นม! สู้เลือกกระโจนลงอ่างเองให้รู้แล้วรู้รอดไปดีกว่า แถมถ้าลงอ่างก็ไม่ต้องทนอยู่กับไอ้โรคจิตที่พาผมมาที่นี่ด้วย ไอ้พี่บ้า!
 
“งั้นน้องพาตี้แช่น้ำซักครูนะคะ ซักพักจะมีเจ้าหน้าที่ขัดผิวมาหา ส่วนคุณขุนพลเชิญที่ห้องรับรองด้านนี้ค่ะ”
 
ผมไม่ได้สนใจไอ้พี่บ้าอีกนอกจากจะจุ่มตัวเองให้จมลงไปในอ่างน้ำนมหอมๆจนปริ่มขอบปาก เพราะอยากจะซ่อนทั้งตัวที่มีผ้าขนหนูกระโจมอกแบบตุ๊ดๆ และไอ้ก้อนนมโคตรปลอมเฮงซวยนั่นเอาไว้!

จบไอ้สปานี่เมื่อไหร่ แกโดนแน่ไอ้พี่ขุน!
 
 
“ขออนุญาตขัดตัวนะคะ”
 
ผมได้แต่พยักหน้าเบาๆ อย่างจำใจ ไม่คิดจะหันไปมองหรือทักทายอะไรคุณพนักงานทั้งนั้นนอกจากจะขยับตัวให้แผ่นหลังโผล่พ้นน้ำให้เขาทำงานได้ แต่มันก็น่าอนาถอยู่ดีว่าข้างหน้าตัวเองมันมีกองผ้าชุ่มน้ำตุงเป็นก้อนอยู่จนผมต้องพยายามชันเข่าเข้าหาตัวและกอดขาคู้ตัวเองไว้ หวังว่าผ้าเวรนั่นจะไม่หลุด
 
ชีวิตพอร์ททำไมต้องบัดซบงี้ ฮื้อ‼

“เดี๋ยวรอซักครู่นะคะ ขออนุญาตหยิบอุปกรณ์เพิ่ม”


ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นแหละ เอาเลย จะทำอะไรก็ทำเลยครับ
 
เสียงประตูดังขึ้นอีกครั้ง ผมก็ได้แต่นั่งห่อเหี่ยวที่จะโดนขัดตัวในสภาพทุเรศๆ ต่อไป  เผลอสะดุ้งไปหน่อยตอนโดนน้ำหรือครีมอะไรซักอย่างราดไปที่แผ่นหลังตามมาด้วยฟองน้ำชุ่มๆ ที่เริ่มถูไปมา
 
เออ…มันก็สบายดีเหมือนกันวะ
 
อยากคำนับให้คุณพนักงานที่ขัดผิวให้ผมอย่างเบามือจนแทบเคลิ้ม จากที่ไม่อยากในตอนแรกตอนนี้ก็เผลอหลับตาพิงสบายๆชิดขอบอ่างไปแล้ว เพราะความนุ่มของฟองน้ำชุ่มครีมที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ…ผมควรจะหาซื้อไปฝากแม่กับยัยพี่สาวซักสองสามขวด
 
ซักพักความนุ่มของฟองน้ำหายไปแทนที่ด้วยฝ่ามือ แต่ผมก็รู้สึกสบายเกินกว่าจะแปลกใจ แม้ว่ามือนั้นจะ…ใหญ่ และ อืม…ร้อน

ผมหลับตาเผลอผ่อยคลายร่างการทั้งตัวเมื่อคนด้วยหลังบีบนวนสลับลูบไล้ไปทั่วแนวไหล่ของผม เข้าใจว่าสปามันดีอย่างนี้นี่เอง ผู้หญิงถึงได้ชอบกัน

มันทั้งหอม… อุ่น… ผ่อนคลาย และ...อืม

ทำไมจบไวจัง ยังไม่อยากให้เขาละมือไปเลย

“เคลิ้มเลยดิ”

เชี่ย!!

“ไอ้พี่--!!”

“ชู่วว...เดี๋ยวความก็แตกหรอกครับ”

ผมถูกบังคับไม่ให้หันกลับไปมองไอ้พี่โรคจิตที่นั่งอยู่ข้างหลัง ที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ อย่าบอกนะว่ามือที่ลูบผิวผมก่อนหน้านี้…

อ๊ากกกกก

พระผู้เป็นเจ้า ทำไมถึงทำให้ผมต้องมาเจอเรื่องหวาดเสียวแบบนี้

แล้วใจมึงจะเต้นอะไรนักหนา เหนื่อยบ้างเห๊อะ!

“พะ...พี่เข้ามาทำบ้าอะไร!”

“ก็ไม่อยากให้คนอื่นทำ”

“ทะ...ทำอะไร”

“...”

“ทำแบบนี้…”

ความร้อนจากฝ่ามือเดิมที่ผมจำได้ไล้ผ่านแนวไหลอีกครั้ง แต่ความผ่อนคลายที่เคยได้รับกลับเป็นความรู้สึกสั่นสะท้านเมื่อรู้ว่าเป็นใครที่อยู่ด้านหลัง

สะ...สถานการณ์นี้มันควรจะทำยังไงวะ

แล้วทำไมผมถึง…

ชิบหายแน่ๆไอ้พอร์ท

แต่…

ฟัค…

ไอ้สัมผัสที่มันมาแทนมือร้อนกลับทำให้ขนลุกชันอย่างห้ามไม่ได้

ละ...ล้อเล่นใช่มั้ย

สัมผัสหยุ่นนุ่มอุ่นๆที่ย้ำอยู่ที่หลังคอนั่นมัน…

ริมฝีปาก...

ความอุ่นที่ประทับตรงผิวเปลือยที่ท้ายทอยจนความร้อนแล่นลามมาด้านหน้า

ผมเผลอเกร็งตัวไม่กล้าหายใจจนความร้อนนั้นขยับเข้ามาใกล้ชิดข้างหู รู้แม่กระทั่งจังหวะลมหายใจ และเสียงกระซิบที่โคตรเบา แต่กลับได้ยินโคตรชัด...

“ไม่อยากให้ใครเข้ามาเห็น”

“....”

“เพราะพี่…”

“...”

“โคตรหวง”

ผมหันกลับไปมองด้วยปฏิกริยาอัตโนมัติ และรู้ตัวว่าพลาดอย่างมหันต์เมื่อจมูกและริมฝีปากปัดผ่านพี่มันที่นั่งชิดขอบอ่างเหมือนจงใจรอจังหวะนี้อยู่แล้วพร้อมสายตาแพรวพราวและมือที่ยึดท้ายทอยผมไว้ไม่ให้ขยับนี้ไปไหนนอกจากสานสายตากับเขา

"ได้ยินรึยัง"

พี่ขุนกระซิบเบาๆ ทำให้ปากของเราแตะแผ่วกันทุกพยางค์ที่เขาขยับและผมก็หันหนีไม่ได้นอกจากเกร็งนิ้วจิกขอบอ่างไว้แน่น

"พี่ถามว่าได้ยินหรือยัง"

"ได้ยินอะไร"

เชี่ย เชี่ย เชี่ย!! เผลอไปตอบมันทำไม ปากถูกันอีกแล้ว ฮรื่ออออ ใจ!

"ที่พี่บอก..."

"..."

"โคตรน่ารัก..."


"..."

"โคตรชอบ..."

"..."

"โคตรหวง..."

"พะ...พอแล้วมั้ง"

"ยังไม่พอ"

อะไรอีกวะพี่ พอเหอะ สงสารใจผมบ้าง!

"ยังมีอีกอย่าง"

"อะ..อะไร"

แล้วก็ยังจะขยับปากถามอีกทำมั้ย! ปากเสียบริสุทธิ์ไปหมดแล้ว!

"โคตรหลง..."

ฟัค....

พรวด!!

ไม่เอา ไม่อยู่แล้วเว้ย!

ผมลุกพรวดกระโจนออกจากอ่าง คว้าเสื้อคลุมแล้วโกยอ้าวโดยไม่คิดจะหันหลังกลับ ต้องหนีเท่านั้นที่คิดออก วิ่งให้สุดตีนเท่านั้น!!

แฮก! เหนื่อยชิบหาย แต่ที่แย่กว่าก็ตรงที่หนีมานั่งพักในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหลายนาทีแต่ใจมันเสือกไม่ยอมเบานี่แหละ

คงไม่ใช่เพราะวิ่งเหนื่อยแล้วมั้ง

เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นเพราะสัมผัสกับเสียงที่ยังไม่ยอมจางหายไปไหนนั่นแหละ แล้วไม่ใช่แค่ไอ้ความรู้สึกเมื่อกี้ แต่มันเป็จจุดเล็กจุดน้อยที่สะสมมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรก แต่แค่ตอนนี้มันชัดขึ้นจนไม่ต้องเสียเวลาเดา

สายตา...รอยยิ้ม … น้ำเสียง… และสัมผัส

ผมไม่ได้โง่…

ชัดขนาดนี้ ไม่รู้ก็บ้าแล้ว

มันแย่ซ้ำซ้อนตรงที่รู้ แต่เสือกไม่คิดจะปฏิเสธนี่แหละ บ้าชิบหาย!!

แกกำลังจะเป็นอย่างที่แม่พูดเหรอวะพอร์ท…

ทำไมจู่ๆมีลางสังหรณ์จะโดนคุณนายกระโดดถีบขาคู่วะ ฮรื่อออ ชีวิต!!

ไม่เอาอีกแล้วกับสปา

ไม่เอาแล้ว!!

มาทีเดียวแม่งโดนกินไปทั้งใจ!!



"พอร์ท..."

"..."

"พอร์ท..."

"..."

"หูแดงแล้ว"

"ไม่ต้องมาแตะ มีความผิดอยู่นะ"

ผมปัดมือใหญ่ที่มายุ่มย่ามกับกับใบหูผมแล้วมองตาขวาง แต่มีเหรอคนโรคจิตกวนตีนอย่างพี่มันจะยอมนอกจากยื่นหน้าเขามาข้างหูผมเหมือนยิ่งว่ายิ่งยุ ไม่เกรงใจสถานที่กลางห้างที่ถึงผมจะใส่หมวกใส่ฮู้ดมิดชิดก็เถอะ

"ถ้าไม่ให้แตะก็ผลักดิครับ"

เสียงข้างหูมาพร้อมกับนิ้วก้อยที่เข้ามาเกี่ยวกันหลวมๆ

มันเชี่ยตรงนี้แหละ...

ตรงที่ผมก้มหน้าเดินต่อทั้งที่นิ้วยังเกี่ยวกันนี่แหละ ไอ้ชิบหาย!

ไม่ได้ยอมนะ แค่หิวข้าวแล้ว เออ นั่นแหละ ตามนั้น หิวข้าวเว้ย!

แชะ!

หืม... เดี๋ยวนะ อะไรวะ

นิ้วที่เกี่ยวกันเปลี่ยนมาเป็นพี่ขุนกุมข้อมือผมไว้มั่น ยืดร่างเต็มความสูงสอดส่ายสายตาทั้งที่เรากำลังจะเข้าร้านอาหารที่เล็งเอาไว้

แชะ! แชะ! แชะ!

นั่น! ชัดเลย! พี่ขุนดึงมือผมออกวิ่งทันที

ปาปารัสซี่!! ว่อท! ไม่ได้มีคนเดียวด้วย โกยครับพี่!!

"เฮ้ย รู้ตัวแล้ว!"

ก็รู้แล้วสิเว้ย ไอ้ชิบหาย!

นางแบบไอดอลสาวChaRme x ช่างภาพ ChaRme แค่นึกถึงหัวข้อความชิบหายก็เร่งให้ซอยเท้ายิกไม่คิดชีวิตแล้วครับ

นางแบบกับช่างภาพต้องมาวิ่งหนีกล้องไปโผล่ที่ทางหนีไฟ ชีวิตคนดังนี่แม่ง อยู่ยาก

โอ้ย เหนื่อย!!!

ผมรั้งพี่ขุนที่จะลากผมวิ่งลงบันไดต่อ ดันพี่มันติดกับประตูกลัวมันจะพาไปไหนอีกแล้วลงกลอนซะ เพราะผมวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว โอ้ยจะบ้า

ต่างคนต่างยืนหอบแฮก เงี่ยหูฟังสังเกตการณ์ หวาดระแวงเหมือนหนูหนีแมวกันทั้งคู่นานจนคาดว่าไม่ถูกตามมา เราที่จ้องหน้ากันก็หลุดขำตัวสั่นกันทั้งคู่กับสภาพเหมือนวิ่งหนีผีกันจนดูไม่ได้

ผมหัวเราะจนเหนื่อย ก็ไม่คิดจะใส่ใจกับมือใหญ่ข้างหนึ่งที่รั้งเอวเข้าไปหา กับอีกข้างที่รั้งหัวเข้าไปซบอกแข็ง คล้ายกับต้องการให้ผมพักตรงนั้น พร้อมกับปลายจมูกที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆข้างหู

ที่ไม่ค้านก็เพราะมันไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นจนทำให้ตกใจ

แล้วมันก็...โอเคนะ

โอเคจริงๆ ถ้าไม่มีเสียงเรียกเข้า...

ผมสะดุ้งตกใจกับเสียงโทรศัพท์ พอๆกับที่พี่ขุนนิ่วหน้าเหมือนผมผละออก ก่อนจะกดรับเมื่อเห็นรูปอังเดรที่หน้าจอ

“ว่าไง”

“มารับหน่อย”

“อะไรของนายอัง”

“ฉันอยู่ที่สุวรรณภูมิ เร็วๆเข้า ก่อนที่ฉันจะหาทางบุกไปหานายด้วยตัวเอง”

“นายมาทำไม! บ้าไปแล้วเหรอ!”

สายตาพี่ขุนเคร่งขมึง และไม่รู้ทำไมผมดันเอื้อมนิ้วไปจิ้มระหว่างคิ้วนั่นจนคลายแล้วพี่มันจับมือผมออก แล้วเกี่ยวนิ้วไว้หลวมๆ

“นายก็รู้ว่าฉันจะบ้าได้มากแค่ไหน ถ้าฉันต้องลงมือตามหาตัวนายเอง”

“เดี๋ยวสิ นี่ฉันงงไปหมดแล้ว”

“อีกครึ่งชั่วโมง ถ้านายไม่มา ทุกบริษัทสิ่งพิมพ์ในไทยจะมีข่าวประกาศหาตัวนายแน่”

“เดี๋ยว!!”

ผมงงจนไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆอังเดรถึงทิ้งงานโผล่มาที่นี้ ได้แต่มองหน้าจอที่ดับไปแล้วอย่างสับสน

ถึงอย่างนั้นก็พอรู้อยู่อย่าง

นิ้วที่พี่มันเกี่ยวไว้หลวมๆกำลังจับกระชับมือผมแน่น...

-------






ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 13 - André

“เดี๋ยว!!”

ผมมองโทรศัพท์ในมือที่เพิ่งตัดสายของพอร์ทเทรตทิ้งอย่างที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อยนัก เพราะผมมักเป็นฝ่ายยอมให้ปลายสายตลอด รูปการโทรออกที่เป็นใบหน้าเนียนใสของหนุ่มลูกครึ่งเอเชียยุโรปที่กำลังยิ้มกว้างทำให้ผมจ้องมองมันอย่างที่ชอบทำทุกครั้งที่กดโทรออกหาคนที่อยู่ในรูป

คนที่ผมตั้งใจว่าจะดูแลเขาไปตลอดชีวิต

ความตั้งใจตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้ากัน และมันก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่ว่าผมจะต้องเอาสถานะอะไรมายื้อความสัมพันธ์ระหว่างเราไว้ก็ตาม

เพราะเขาจะขาดผมไม่ได้

ไม่มีใครจะหวังดีกับเขา และถนอมหัวใจอันบอบบางของเขาได้ดีเท่าผม

ไม่มี

รูปของพอร์ทเทรตเลือนหายไปจากหน้าจอเมื่อถูกแทนที่ด้วยสายเรียกเข้าที่ทำให้ผมเบ้หน้า แต่ก็ยอมกดรับ

“มีอะไร”

“คุณอังเดรบินไปไหนครับ” เสียงเรียบนิ่งราวกับคนพูดเป็นท่อนไม้ไร้ความรู้สึกทำให้ผมกลอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่าย

“ฉันมาหาพอร์ท นายมีปัญหาอะไร”

“คุณทิ้งงานทางนี้แล้วบินไปต่างประเทศเพื่อแค่หาเพื่อนเหรอครับ”

“พอร์ทไม่ใช่แค่เพื่อน”

“แล้วเป็นอะไรครับ?”

“นี่!.....”

“หรือว่าเป็นคนที่คุณแอบรั....”

“หุบปาก! เป็นแค่เลขา มีสิทธิ์อะไรมาพูดกับฉันแบบนี้” สิ้นเสียงคำรามของผมปลายสายก็เงียบไปทันที
 
“ขอโทษครับ”

ผมสูดหายใจเข้าออกเพื่อระงับอารมณ์ที่คนปลายสายมักกวนมันให้ขุ่นขึ้นแทบทุกครั้ง เป็นแค่เลขาแท้ๆ!

“ฉันจะเตือนนายเป็นครั้งสุดท้าย พอร์ทคือคนที่ฉันต้องดูแล ถ้านายยังรู้ฐานะของตัวเองอยู่ ก็จำเอาไว้ด้วยว่า อย่าพูดถึงเขาแบบนี้อีก”

“ครับคุณอังเดร”

การตอบรับง่ายๆของปลายสายทำให้อารมณ์ของผมเย็นลง แต่ยังไงก็ไม่ชอบใจเสียงเรียบนิ่งนั่นอยู่ดี ให้ตาย ตกลงผมมีเลขาหรือท่อนไม้เดินได้วะ

“ฉันจะกลับทันทีเมื่อธุระทางนี้เสร็จ ถ้ามีงานด่วนค่อยติดต่อมา”

“ครับ”

“จำไว้ พอร์ทเทรตไม่ใช่แค่เพื่อนของฉัน!”

ใช่...เขาไม่ใช่แค่เพื่อน แต่เป็นคนที่ผมจะปกป้อง...และชดใช้

                                                         ***
 
12 ปีก่อน
 
“วันนี้มีเด็กใหม่ว่ะ”
 
เสียงพูดคุยในหัวข้อนี้เป็นประเด็นในโรงเรียนมาสามวันแล้ว ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันน่าจะตื่นเต้นตรงไหนกับอีแค่มีเด็กใหม่มาเข้าเรียน
 
“ได้ยินว่าเป็นเด็กผู้หญิงลูกครึ่งเอเชีย”
 
“จริงเหรอ อย่างงี้ก็น่ารักสิ!!”
 
นั่นไง ที่สนใจเขาก็เพราะหน้าตาหรอกเหรอ เหอะ! ข่าวลือ ยังไงก็ข่าวลือละน่า ยังไม่เจอกับตา รู้ได้ไงว่าน่ารัก ปัญญาอ่อนชะมัด
 
“เฮ้ย มาแล้วๆๆ อย่าลืม ฉันจองเว้ย” ผมกลอกตามองเพื่อร่วมชั้นหัวโจกของห้องที่ประกาศก้อง ก่อนทั้งห้องจะเงียบกริบ พร้อมกับที่ผมจ้องไปที่หน้าชั้นอย่างมึนงง
 
ให้ตายเหอะ....พวกนั้นพูดจริง
 
เด็กใหม่...โคตรน่ารักเลย
 
มาสเตอร์ประจำชั้นของ ม.ต้นห้อง C พาร่างเล็กๆนั่นเดินมาหยุดอยู่กลางห้อง จนทุกคนเห็นผิวขาวโดดเด่น แก้มอมชมพู กับริมฝีปากอิ่มเล็กเด่นชัด

ผมเหลือบมองกลุ่มที่พูดถึงเด็กหน้าห้องเมื่อครู่ เห็นฌอร์นมองเด็กใหม่นั่นตาเป็นประกายราวกับถูกใจ

สงสัยเอาจริงแฮะ...

“แนะนำตัวกับเพื่อนๆสิจ้ะ”

ทุกคนในห้องเงียบรอคอยให้เด็กใหม่เอ่ยปาก ดวงตาของเธอมองไปรอบๆอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ก่อนจะเปิดปากเอ่ยคำพูดที่ทำให้ทั้งห้องนิ่งงัน

“สวัสดี ผมชื่อพอร์ทเทรต....พอร์ทเทรต มาร์แตง”

เขาเป็นผู้ชาย!!!

“ไปไกลๆเลยไอ้ตุ๊ด!!”

เสียงของกลุ่มฌอร์นเอ่ยประโยคเดิม ๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติของห้องนับตั้งแต่วันนั้น ซึ่งผมคิดว่ามันโคตรไม่ยุติธรรม เพราะทั้งห้องคิดไปเองว่าเขาเป็นผู้หญิง รวมทั้งผมด้วย

แต่ก็ไม่มีใคร รวมทั้งเจ้าตัวที่บอกว่าเขาเป็นผู้หญิงนี่นา แต่อาจจะเป็นเพราะความเสียหน้าที่เคยประกาศจองตัวออกไป ฌอร์นเลยกู้หน้าตัวเองด้วยการหันไปกลั่นแกล้งเขา ซึ่งดูเหมือนว่าคนถูกแกล้งก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร

“เมินฉันเหรอ ไอ้ตุ๊ด!”

โครม!!

ตัวเล็กๆของเด็กใหม่ ถูกผลักกระเด็นจนมาฟาดกับโต๊ะของผมที่รับรู้ได้ถึงความรุนแรงของมัน ผมจึงเหลือบตามองฌอร์นและเพื่อนที่ดูตกใจกับการกระทำของตนเอง

“ไอ้ตุ๊ดเอ๊ย!!” หมอนั่นเชิดหน้าราวกับตัวเองไม่ผิดก่อนจะออกจากห้องไปอย่างหงุดหงิดโดยมีพรรคพวกวิ่งตามหลัง

ผมจึงหันกลับมามองเด็กใหม่อีกครั้ง เพราะเขายังนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิม...

เฮ้อ...ผมไม่อยากไปยุ่งด้วยหรอกนะ เห็นแก่มนุษยธรรมหรอก

“เป็นไรรึเปล่า?”

ผมเอ่ยถามออกไป แต่อีกฝ่ายแค่ส่ายหน้าคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นมา ผมกลับเห็นว่าหน้าผากของเขามีเลือดออก

“เฮ้ย! ไม่เป็นไรได้ไง!” ผมรีบคว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นมากดแผลให้เขาที่ดูงุนงง

งงอะไรอยู่วะไอ้บ้า!

“ขอบใจ”

เขาเอ่ยเบาๆ พึมพำเป็นภาษาแปลกๆ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร คงเป็นภาษาบ้านเกิดละมั้ง เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัว เขาจึงเงยหน้าขึ้นและเอ่ยขอบคุณผมอีกครั้งเป็นภาษาฝรั่งเศส
 
“merci...”

คำขอบคุณง่ายๆที่ดูธรรมดา แต่ดวงตากลมโตนั่นแสดงออกถึงความจริงใจของคนพูดจนผมสัมผัสได้ รู้ตัวอีกที ผมกับเขาก็อยู่ที่ห้องพยาบาล และหลังจากนั้นเราก็เริ่มเอ่ยคำทักทายกันทุกเช้า...

“ตกลงแกชอบตุ๊ดเหรอวะอังเดร”

ผมกลอกตาเมื่อได้ยินประโยคยียวนทำนองนี้เป็นรอบที่ล้านจากฌอร์นเจ้าเก่า ที่ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรถึงตามกันมาเรียนถึงม.ปลาย หวังว่าคงไม่ต้องเจอกันไปยันถึงมหาวิทยาลัยหรอกนะ

“หุบปากน่า เขาไม่ได้เป็นอย่างที่นายพูด”

“ไม่ได้เป็น? ไอ้หน้าตาจะผู้หญิงก็ไม่ใช่ ผู้ชายก็ไม่เชิง กับตัวเล็กๆนั่นเหรอวะที่ไม่เป็น”

“ไหนว่ารังเกียจหมอนั่นไง ปล่อยๆไปก็ได้นิ”

ผมย้อนถามอีกฝ่ายที่พูดราวกับรังเกียจพอร์ทเทรต แต่กลับบรรยายถึงคนตัวเล็กได้แจ่มชัด ช่างขัดกันกับสิ่งที่ตัวเองพูดซะเหลือเกิน ทั้งที่ความจริง ถ้าไม่ชอบ ก็เลิกๆมองไปซะก็ได้

“ฉันรังเกียจมันอยู่แล้ว ใครจะไปชอบไอ้ตุ๊ดนั่นลง!!”

“ฉันเป็นผู้ชาย!!”

พวกเราทั้งหมดหันไปมองต้นเสียงด้านหลัง พอร์ทเทรตจ้องมองไปที่ฌอร์นอย่างเอาเรื่อง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เขาดูเหมือนลูกแมวที่กำลังขู่ฟ่อมากกว่า

“ผู้ชายอะไรชอบอยู่กับขนมหวานวะ ไอ้ตุ๊ด”

“ไม่ชอบก็อย่ามายุ่งดิ!”

“แกหาว่าฉันเสือกเรื่องแกเองงั้นเหรอ!!”

ฌอร์นตะคอกเสียงดัง แต่พอร์ทเทรตก็ยังคงจ้องกลับมานิ่ง ไม่ได้มีท่าสะทกสะท้านที่ทำให้ผมพอใจพอสมควร

“ก็แค่พูดความจริง เรื่องมันผ่านไปนานแล้วทำไมไม่ยอมจบ”

“ปากดีนักนะไอ้ตุ๊ด!!”

“พอได้แล้ว มันน่ารำคาญนะรู้มั้ย?”

ผมพูดเสียงเรียบนิ่งเมื่อเห็นฌอร์นทำท่าจะพุ่งเข้าไปหาเพื่อนตัวเล็กของผมที่ยืนนิ่งไม่หลบ แต่เจ้าฌอร์นรู้ความหมายดีว่าผมต้องการเตือน ว่าถ้าเค้าไม่หุบปาก ผมจะลงมือปิดเขาเอง ซึ่งเขารู้ว่ามันคงไม่ใช่วิธีที่ดีเท่าไหร่

“ฝากไว้ก่อนเหอะ” ฌอร์นเดินเข้าไปกระซิบอย่างอาฆาตมาดร้ายกับคนตัวเล็กก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับพรรคพวกเป็นพรวน

ทันทีที่ฌอร์นเดินพ้นรัศมีไป ร่างเล็กๆของพอร์ทเทรตก็ลงไปกองกับพื้นทันทีพร้อมกับใบหน้าขาวๆที่ซีดลงอย่างกับกระดาษ จนผมอดที่จะขำไม่ได้

“เลิกอวดเก่งแล้วเหรอ”

“พอเลย”

ดวงตากลมโตราวกวางป่าตวัดมองผมอย่างงอนๆจนผมต้องเอื้อมมือไปหยิกแก้มป่องๆนั่นอย่างหมั่นเขี้ยวจนเจ้าตัวดิ้นโวยวาย

ให้ตายเหอะ เพราะไอ้หน้าตาแบบนี้แหละที่มันเป็นปัญหานะ!

“ไปเข้าเรียนได้แล้ว”

 พอร์ทเทรตปัดมือผมออกก่อนจะออกแรงน้อยๆดึงผมลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินสัญญาณเข้าเรียน ซึ่งความจริงเขาไม่มีปัญญาฉุดผมให้ยืนขึ้นหรอก ถ้าผมไม่ยอมลุกตามไปเอง

ตัวเล็กขนาดนี้จะไปสู้อะไรใครได้

แต่ผมคิดไปเองรึเปล่า....มือเขาดูสั่นๆ

และเป็นความจริงที่ผมไม่ได้คิดไปเอง เพราะสุดท้ายมันก็เกิดเรื่องและนั่นเป็นความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม ความผิดพลาดที่ผมจะไม่ยอมให้มันเกิดซ้ำสอง

และตั้งใจว่าต้องไม่มีผู้ชายคนไหนเขาใกล้เขาได้อีกนอกจากผม เพราะมันพวกนั้นไม่มีวันหวังดี เหมือนที่ไอ้ณอร์นมันเคย....


                                                     ***

“อังเดร!”

ผมปัดเรื่องในอดีตออกจากหัวตั้งใจยิ้มรับคนที่รีบมาตามที่ผมบอก ผมรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องรีบมา ทั้งที่มักจะงอแง แต่สุดท้ายเขาก็จะต้องมาหาผม เพราะเขามีแค่ผมคนเดียว...

”ปล่อยดิพี่ขุน”

หรือเขาอาจเคยมีผมแค่คนเดียว

ขุนพล?

”ว่าไง...คุณเพื่อน”

”ไอ้คนรู้จัก...”

”เฮ้ยอังเดร ทำไมพูดงั้น พี่ขุนด้วย ทำไมพูดไม่ดี”

พอร์ทตำหนิเราทั้งคู่ และว่าผมด้วยภาษาฝรั่งเศสและสายตาไม่พอใจแบบไม่จริงจัง ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยทำ ทั้งยังว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยภาษาไทย คนที่มือของมันยังกำข้อมือเล็กไว้

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

ประเด็นมันอยู่ที่พอร์ทไม่ว่า และสายตาของพอร์ทไม่ได้โฟกัสที่จะตำหนิผม แต่เป็นคนข้างๆ

คนอื่นที่ไม่ควรเข้าใกล้เขาได้ แต่ตอนนี้กลับใกล้จนจนเห็นชัดแม้กระทั่งแววตาของพอร์ทที่ไม่เคยมองใครแบบนั้น

ผมกำลังทำพลาดเป็นครั้งที่สอง

กำลังทำเขาหลุดมือ...

ไม่...ไม่มีทาง มันต่างหากที่ต้องปล่อย ถ้าไม่ยอมปล่อยก็ต้องกระชากมันออกไป!!

”ฉันเอากระเป๋ามาเยอะ ช่วยหน่อยดิ”

”นายจะอยู่นานเหรอ”

”ก็ไม่นาน...”

ผมตอบช้าๆแล้วก้าวเขาไปใกล้ แม้ปากจะตอบเจ้าเพื่อนตัวเล็ก แต่สายตากับจงใจจ้องไอ้รุ่นพี่ที่จ้องตอบเขม็ง เดาว่าคงไม่รู้ว่าเราพูดอะไรกัน หึ

”ฉันจะอยู่จนกว่านายจะกลับ”

ผมจงใจตอบเป็นภาษาอังกฤษให้มันเข้าใจ ไม่สนสายตาแปลกใจของพอร์ทเทรตแล้วพยักหน้าให้เขาไปช่วยเข็นกระเป๋าที่โชคดีวางอยู่ไกล ทำให้ไอ้เวรนั้นต้องยอมปล่อยมือ

”แล้วคงอีกไม่นาน เพราะฉันจะทำให้เรื่องตลกนี่มันจบเร็วขึ้น”

“มั่นใจขนาดนั้นเลยเลย”

มันเอ่ยท้าทายด้วยท่าทางกวนส้นจนนึกอยากจะฟาดให้ไอ้รอยยิ้มมั่นใจนั่นซักที แต่ก็ทำไม่ได้ถ้าพอร์ทยังอยู่ตรงนี้

”พอร์ทไม่เคยเชื่อใครนอกจากฉัน”

”อ๋อ...เหรอ”

”....”

”แล้วที่เขายอมพาฉันมาเจอนายที่เป็นเพื่อนสนิท...ม๊ากมาก..”

”...”

”คิดเอาว่าเชื่อใจฉันรึเปล่า...ถ้าฉลาดพอ”

มึง!!

“ไปกันได้แล้วพี่ขุน”

 ผมผละสายตาไปมองพอร์ทและคว้าแขนเขาไว้ นอกจากเรียกบอกมันก่อนไม่พอยังทำท่าจะเข็นรถกระเป๋าของผมจะเข้าไปหามันก่อนอีก นี่พวกเขาสนิทกันไปขั้นไหนแล้ว ไม่เห็นเหรอว่ามันส่งสายตาเยาะเย้ยผม!

”ไปดิ นายจะพักไหน เดี๋ยวให้พี่ขุนไปส่ง”

”ให้มันส่งทำไม”

”ก็ไม่ได้อยากไปว่ะ แต่พอดีว่ามาด้วยกัน ถ้าไม่อยากไปด้วยก็หาทางหาที่พักเอง หรือจะให้ดีก็ตั๋วกลับไปเลยก็ได้”

”พี่ขุน!”

มึงนี่มัน...

”ไปก็ได้ ยังไงก็ทางเดียวกัน”

ผมดึงพอร์ทมาไว้ข้างๆตัว จ้องมันด้วยสายตาสื่อความหมายชัดเจน และสะใจที่ใบหน้ากวนตีนนั้นร้อนรนจนคุมไม่อยู่

”เพราะฉันจะนอนกับพอร์ท”


________________


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 14 - แย่


“นายไปไหน ฉันไปด้วย”

“ไม่!”

ให้ตายเถอะ! ตั้งแต่ผมรีบไปรับเขาที่สนามบินกลับมาที่คอนโด จนถึงวันนี้พวกเราสองคนก็เถียงประโยคเดิมๆ แบบนี้มาสิบรอบได้แล้วมั้ง ซึ่ง....มันไม่จบซักที!

“ทำไมจะไปด้วยไม่ได้”

“ฉันไปในฐานะพาตี้ ไม่เข้าใจเหรอ” ปกติเขายอมผมตลอด แต่ครั้งนี้ทำไมดื้อจังวะ!

“แล้วไม่เข้าใจเหรอว่าฉันเป็นห่วง!”

“ห่วงอะไร ฉันแค่ไปทำงาน!”

“งานของนายคือการเขียนนิยาย ไม่ใช่มาเล่นปลอมตัวอยู่ที่นี่!”

“อังเดร!”

ไม่อยากเชื่อว่าเขามาที่นี่เพื่อพูดแบบนี้กับผม

“ฉันว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่อง นายพักให้หายเหนื่อยก่อนค่อยมาคุยกัน”

ผมเลือกที่จะเดินหนีไปที่ประตูเพราะไม่อยากให้เขาย้ำเตือนถึงสิ่งที่ผม ‘ควร’ จะกลับไปทำมากกว่านี้ ไม่อยากให้เขาย้ำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าการบินมาที่นี่เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ประโยคต่อมาของเขาทำให้ผมต้องหยุดฝีเท้าลง

“หรือที่ไม่อยากให้ฉันไปเพราะไอ้ขุนพลนั่น?”

“นายเคยคุยกับเขา?”

ผมหันกลับไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง จะว่าไปตั้งแต่เมื่อวานอังเดรก็ดูไม่แปลกใจที่เจอพี่ขุน ซ้ำยังจ้องหน้ากันอย่างกับไม่พอใจกันมาเป็นชาติ

“มันเป็นใคร ถึงได้เป็นคนเก็บโทรศัพท์นายไว้”

“เขาเป็นช่างภาพของ ChaRme เคยบอกไปแล้วนี่”

“ช่างภาพที่ไหนมันมายุ่งวุ่นวายกับนางแบบขนาดนี้ มายุ่งทั้งๆที่รู้ว่าตัวจริงนายเป็นใคร!”

น้ำเสียงของอังเดรฟังดูดุดันอย่างที่มักไม่ค่อยจะได้ใช้กับผมมากนักนอกจากลูกน้องตัวเอง โดยเฉพาะกับเลขาของเขาที่ชื่อลูอิส ผมเลยออกจะเกร็งๆที่เขาดุใส่ผมขนาดนี้เลยเลือกที่จะตอบเป็นกลางไว้ก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ดูเย็นลงเลยซักนิด

“เห็นกันชัดๆว่ามันคิดอะไรอยู่”

ผมเผลอนิ่งไปในความเซนส์ดีของเพื่อนผมทอง ขนาดแค่เพิ่งเจอกัน เขายังสัมผัสตรงเผงว่าพี่ขุน...เอ่อ ฮึ่ย! อย่าเพิ่งคิดไปเองพอร์ท พี่มันยังไม่ได้พูดอะไรเลย แกจะเขินล่วงหน้าไปเองไม่ได้

“ผู้ชายด้วยกันมันไม่ได้คิดอะไรกันง่ายขนาดนั้นมั้ยละ”

“ทำไมจะไม่ได้!!”

เสียงของอังเดรเข้มขึ้นอีกระดับจนผมสะดุ้ง พร้อมกับดวงตาสีฟ้าที่มองผมราวกับว่าผมได้พูดสิ่งที่ร้ายกาจออกไป จนผมต้องรีบพูดให้เขาสบายใจแล้วเลิกคิดเรื่องนี้ซักที

“ฉันไม่ได้หมายความว่าผู้ชายรักกันไม่ได้ แต่ฉันกับพี่ขุนเพิ่งรู้จักกัน”


ถึงบางทีจะทำอะไรเกินเลยกว่าคนเพิ่งรู้จักกันไปหลายเลเวลแล้วก็เถอะ บ้าบอ! ทำไมถึงจำได้แต่เรื่องแบบนั้นวะพอร์เทรต!

แต่เพราะมัวแต่คิดฟุ้งซ่าน ผมจึงไม่เห็นสายตาของอังเดรที่เปลี่ยนไปจากการที่มองทุกการกระทำของผม ที่ทำให้อารมณ์ของเขาไม่คงที่

“นายไม่รู้จักเสน่ห์ของตัวเองเหรอพอร์ท จำไม่ได้เหรอว่าเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น!”

ร่างใหญ่ของอังเดรเข้ามาประชิดตัวผมที่ไม่ได้ถอยหนี มือใหญ่คว้าของมือของผมก่อนจะใช้ร่างหนาๆดันผมจนติดกับผนัง ขณะนี้ดวงตาสีฟ้าดูดุดันจนผมชักไม่มั่นใจในอารมณ์ของเขา

“อังเดร!”

“จำไม่ได้เหรอว่าครั้งสุดท้ายที่มีผู้ชายเข้ามาใกล้มันเกิดอะไรขึ้น!”

“นายพูดอะไร!”

ผมว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่ ทำไมจู่ๆเขาถึงได้โมโหใส่ผม เป็นครั้งแรกที่ผมหวาดกลัวเขาที่ไม่เคยขึ้นเสียงใส่ผมเลยซักครั้งตั้งแต่เราเป็นเพื่อนกันมา แต่ครั้งนี้เขาดูเหมือนจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้วเอาแต่พูดเรื่องอะไรที่ผมไม่เข้าใจ และนี่เป็นครั้งแรกที่เราเหมือนจะทะเลาะกัน โดยที่ผมไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง  บ้าเอ๊ย!

"เรื่องตอนนั้นนายไม่เข็ดใช่มั้ยพอร์ท!"

"เรื่องไร นายทำฉันงงนะอังเดร!"

“จำเรื่องฌอร์นไม่ได้รึไง!"

ห้ะ?

นอกจากไม่รู้แล้วว่าทำไมต้องลงทุนบินมาทะเลาะกัน ยังมาพูดถึงใครก็ไม่รู้อีกเนี่ย แถมยังมาตะฏกนใส่หน้ากันปาวๆอีก โว้ยยยยยย!!!

"ถ้ายังจำได้ก็น่าจะรู้ตัวได้แล้ว!"

“ก็จะให้รู้ตัวเรื่องอะไรวะ!"

"ก็เรื่องไอ้ฌอร์นไง!"

"ก็แล้วไอ้ณอร์นมันเป็นใครละวะ! พ่อบ้านแกรึไง ไอ้อังเดรบ้า!"

สิ้นคำถามของผมความกดดันจากตัวอังเดรก็สลายหายไปทันทีราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้น ดวงตาสีฟ้าเลิกขึ้นอย่างมึนงง แรงบีบที่ข้อมือค่อยๆเบาลงพร้อมกับระยะห่างที่เพิ่มขึ้นเหมือนเพิ่งรู้ตัว

แกควรจะรู้ตัวตั้งแต่แรกแล้ว ไอ้เพื่อนบ้า! แขนเจ็บไปหมด ไม่รู้ไปคึกตัวไหนมาถึงได้อารมณ์ขึ้นขนาดนี้จนเกือบนึกว่าจะโดนกระทืบตายแล้ว เวรเอ๊ย!

“นาย...จำไม่ได้เหรอ”

“จำอะไร มีแต่นายที่พูดเรื่องใครก็ไม่รู้ แล้วฉํฯจะรู้กับนายมั้ย?”

“ก็เรื่อง...ฌอร์น”

ตอนนี้หน้าของอังเดรเหมือนเพิ่งโดนหมัดน็อคเข้าหน้าอย่างจัง อะไรเล่า คนที่ต้องงงมันคือฉันนะเว้ย

“ก็ถามอยู่นี่ไงว่าฌอร์นไหน ลูกน้องนายเหรอ?”

“เปล่า..."

"..." "

"เขาเป็น...อดีตเพื่อนของเรา”

“ไม่เห็นจะจำได้ว่าเคยมีเพื่อนชื่อฌอร์น”

อังเดรดูอึ้งไป เขาทำท่าจะพูดอะไรออกมาแต่ก็ปิดปากลง นี่เขาทำผมงงจริงๆนะ ไม่ยักกะจำได้ว่ามีเพื่อนชื่อฌอร์น ต่อให้นึกย้อนไปสมัยคอลเลจที่ย้ายไปฝรั่งเศสใหม่ๆก็ไม่เห็นจะมี หรืออาจจะมีแต่จำไม่ได้วะ ตกลงเขาหรือผมกันแน่ที่สับสน แต่ท่าทางคิดไม่ตกของเขานี่แหละคือโอกาสดี

“ฉันรู้ว่านายหวังดีกับฉัน แต่ที่ฉันไม่ให้นายไปด้วยก็เพราะว่างานทุกอย่างกำลังจะเสร็จ” ผมพยายามพูดช้าๆด้วยเสียงอ่อนหวังให้อีกฝ่ายใจเย็นลง และดูเหมือนจะได้ผล

“แต่...”

ดวงตาสีฟ้ามองผมเหมือนลังเล แต่ก็รับถือโอกาสดึงชายเสื้อคนตรงหน้าและช้อนสายตาขึ้นไปหาคนตัวสูงกว่าที่ผมรู้ว่าเขาแพ้ทางนี้เต็มๆ

“นะ...”

“เฮ้อ....” นั่นไง!

“โอเค ยังไงฉันก็ต้องยอมนายอยู่แล้ว”

อังเดรยิ้มละลายใจออกมาอย่างย้อมแพ้ ทำให้ผมยิ้มกว้างตอบและกระโดดกอดคนตัวสูงที่รับผมไว้เหมือนรู้กันก่อนเขาจะโยกร่างผมไปมาเหมือนเอ็นดูอย่างที่ชอบทำ

เห็นมั้ยละ อังเดรนะใจดี เขาไม่เคยขัดใจผมอยู่แล้ว เป็นโคตรเพื่อนรักบนโลกใบนี้ที่ฟ้าประทานมาให้ผมเลยนะจะบอกให้

"กอดกันเสร็จเมื่อไหร่ก็ช่วยไปเก็บกระเป๋าด้วย"

เชี่ย!! ทำไมพี่ขุนมาอยู่ที่นี่!

แล้วทำไมผมต้องรีบผลักอังเดรออกเหมือนกลัวว่าพี่มันจะเห็นด้วยวะ! ติดอยู่แต่มืออังเดรที่ไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังรั้งเอวผมเอาไว้แน่น พอกันกับคิ้วของพี่ขุนที่ขมวดแน่นตาม แต่มันก็ไม่เท่าสายตาของพี่มันที่ดู...

"หรือถ้าอยากจะอยู่ด้วยกันต่อก็จะได้แคนเซิลงานไป"

"..."

"จะได้ไม่ต้องฝืนทำสิ่งที่ไม่อยากจะทำ"

"เดี๋ยว!"

ผมผลักอังเดรออกไปแล้วรีบตามแผ่นหลังที่หันให้ผม ไม่รู้ทำไม แต่ผมไม่ชอบแบบนี้เลย แต่ยังไม่ทันถึงตัวพี่ขุน ประตูคอนโดก็เปิดออกตามมาด้วยร่างของพี่เจสซี่ผู้จัดการคนงามที่ยิ้มกว้างเห็นฟันแทบครบทุกซี่ ส่วนพี่ขุนที่คิดว่าจะเดินหนีไปก็ยืนรออยู่ที่ประตู ติดอยู่แค่ไม่ได้เหลียวกลับมามองผมเลยแม้แต่นิด

“ได้ยินข่าวดีจากคุณขุนพลแล้วใช่มั้ยค๊าน้องพอร์ท”

“ครับ?”

“ทางChaRmeต้นสังกัดจากปารีสติดต่อมาว่าถูกใจภาพเซ็ตแรกและประทับใจอย่างมากเลยค่ะ”

“แล้ว?”

“ทางคุณภัทรเลยแจ้งมาว่าต้นสังกัดขอเพิ่มภาพเซ็ตเอ้าท์ดอร์เพื่อเพิ่มลุคคมเข้มรับแสงแดดให้เหมาะกับภาพลักษณ์เครื่องสำอางที่ติดทนนานทุกสภาพแวดล้อม”

“หมายความว่า...” ผมชักจะสังหรณ์ใจแปลก

“เราจะได้ไปถ่ายเพิ่มนอกสถานที่กันค๊า!!”

“หะ!”

“แล้วเราจะเดินทางไปสุราษฎร์ฯกันตอนนี้เลยค๊า! นี่คุณขุนพลอาสามารับไปที่บริษัทเองเลยนะคะ ไหนๆก็รู้เรื่องกันหมดเนอะ คนกันเอ๊งงง"

“อะไรนะ!!”

สุราษฎร์ฯ!

ตอนนี้!

จะบ้าเหรออออออออออ

น้ำทะเลกับนมปลอม....

คิดว่ามันจะไปรอดเหรอครับ!!!!!!

แต่รอดไม่รอดผมก็ถูฏจับแปลงโฉมให้กลายเป็นพาตี้ และเสียเวลาทุ่มเถียงกับอังเดรนิดหน่อยจนเขายอมที่จะรออยู่ที่นี่ เพราะไม่อย่างนั้น พี่เจสจะอาสาว่าจะดูแลเขาแบบถึงเนื้อถึงตัวแทน ซึ่งเขาก็ยินยอมเลือกอยู่ที่นี่แต่โดยดี ตัดปัญญหาไปได้อีกหนึ่ง แต่ก็ยังเหลือปัญหาอีกหนึ่งที่เอาแต่เงียบ

Rrrrrr

ผมตั้งใจจะเอ่ยปากกันพี่ขุนที่เอาแต่ทำหน้านิ่งตอนช่วยผมกับพี่เจสซี่ขนของขึ้นรถของเราเพื่อไปหารถของทีมงานที่บริษัท แต่ก็ต้องเลือกรับสายก่อนเมื่อเห็นว่าสายเรียกเข้ามาจากคนที่คิดถึงกันอยู่ที่ฟากหนึ่งของโลก

“ว่าไงครับคุณนายคนสวย”

ผมกรอกเสียงหาปลายสายด้วยภาษาฝรั่งเศสอย่างคิดถึง นึกถึงใบหน้าสวยของคุณนายที่ผมไม่เห็นหน้ามาจะแรมเดือน พลางสลับมองคนกำลังเข้าประจำที่นั่งคนขับที่ไม่ยอมหันกลับมามองผมที่เข้าไปนั่งเบาะหลังซักนิด เลยต้องดึงสติกลับมาคุยกับปลายสาย

ทำไมจู่ๆใจเสียอย่างนี้วะพอร์ท....

((ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ยคุณนางแบบ))

“ก็...ไม่มีปัญหาอะไรครับ” แค่มีคนรู้ความลับแล้วเท่านั้นแถมคนที่ว่ายังมีแววจะโกรธเคืองกันด้วย เหอๆๆ

((แล้วจะได้กลับเมื่อไหร่ละ พี่เขารอลุ้นผลงานอยู่จนแทบจะตกรถเข็นแล้ว))

“ก็ไม่น่าจะนานนะฮะ”

((แล้ว...))

จู่ๆคุณนายเชลีนผู้มั่นใจก็เงียบไปจนผมแปลกใจ

“มีไรเหรอฮะ”

((ลูกได้เจอ...เขา...บ้างรึเปล่า))

“นั่นแน่....จะถามถึงผู้ชายคนนั้นใช่มั้ยละสุดสวย อิอิ”

((จะบ้าเหรอ! ใครจะไปสนไอ้หมาบ้านั่นกัน!))

ผมหัวเราะขัน พลางจินตนาการถึงใบหน้าสาวลูกครึ่งยุโรปที่กำลังแดงระเรื่อเพราะความอาย

“ก็เจอกันบ้างฮะ ผมไปค้างที่บ้านมาด้วย”

((คงอยู่กับสาวคนใหม่ละสิ))

ผมถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงประชดประชันปนเจ็บแค้นของคุณนาย ที่ผมก็ยังจับได้ถึงความคิดถึงอันเลือนรางที่ซ่อนอยู่ในนั้น

“ทุกอย่างที่บ้านยังเหมือนเดิมครับแม่ ต้นไม้...ม้านั่ง...ห้องนอนของผม...และ”

((....))

"ของทุกอย่างแม่”

((....))

"ห้องครัว...อุปกรณ์....เตาอบ....ผ้ากันเปื้อน”

((....))

“พ่อยังรอแม่อยู่นะฮะ”

ไม่มีเสียงตอบจากปลายสายยาวนานโดยที่สัญญาณยังคงอยู่ดี ใจของผมเต้นแรงอย่างมีความหวัง ว่าครอบครัวของเราอาจจะ...

((ถ้าผู้ชายคนนั้นยัง....มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนหรอกลูก))

“....”

คราวนี้เป็นฝ่ายผมที่ต้องเงียบบ้างเมื่อสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเทาในน้ำเสียงนั้น ซึ่งผมไม่รู้ว่าอดีตระหว่างพ่อกับแม่เคยเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนนั้นผมยังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจปัญหาของผู้ใหญ่ แต่ตอนนี้เมื่อผมโตแล้วก็ไม่เคยได้รู้อะไร เพราะอย่างที่เห็น คุณนายเชลีนเป็นสาวแกร่งเกินกว่าจะคิดย้อนอดีตให้ใครฟัง และพ่อก็ร่าเริงเกินกว่าจะมานั่งพูดเรื่องพวกนี้ ผมจึงได้แค่เงียบ

((พอร์ทไม่มีความสุขที่อยู่กับแม่เหรอ))

เสียงของปลายสายทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความบอบบางที่อยู่ภายใต้เปลือกของคุณนายเชลีน ทั้งความกังวล และความเหงาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเฉี่ยวแสนมั่นใจ จนผมต้องรีบตอบออกไป

“ผมอยากให้แม่มีความสุข ถ้าแม่สบายใจที่จะทำอะไร ผมก็สบายใจที่จะทำด้วย”

คุณนายเงียบไปอีกครั้ง ผมว่าคงต้องเปลี่ยนเรื่องจะดีกว่า

“เอ่อ...แม่รู้จักฌอร์นรึเปล่า?”

((ลูกว่าอะไรนะ))

ปลายสายถามสวนทันทีด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นตกผมแอบสะดุ้งน้อยๆราวกับคุณนายมายืนเหวี่ยงอยู่ตรงหน้าจริงๆ

ไอ้ชื่อนี่มันยังไง อาถรรพ์รึเปล่าเนี่ยถึงได้มีแต่คนอารมณ์เสียตลอดเวลาได้ยิน

“ผมจะถามว่าแม่พอจะรู้จักมั้ย เขาอาจจะเป็นเพื่อนสมัยประถมที่ผมลืมไปแล้วอะไรทำนองนั้น”

((แล้วลูกนึกยังไงถึงถามขึ้นมา))

“อังเดรเขาพูดขึ้นมานะครับ เขาอยู่กับผมที่นี่นะ"

ปลายสายเงียบไปอีกครั้ง ตกลงว่าไอ้ชื่อนี้มันเป็นชื่อคนสำคัญระดับโลกรึเปล่าเนี่ย ทำไมต้องทำให้คนรอบข้างผมออกอาการแปลกๆด้วยวะ

((ถ้าลูกจำไม่ได้ ก็แสดงว่าลูกไม่รู้จักใช่มั้ยละ))

“แต่ว่า...”

((พอร์ท))

“ครับ...”

((คิดถึงในสิ่งที่เราสบายใจ อยู่แค่กับคนที่เราสบายใจก็พอแล้วไม่ใช่เหรอลูก))

จู่ๆผมก็นึกถึงแต่คนตรงหน้าที่เป็นเจ้าของรถ ที่เขาคงสัมผัสได้ว่าผมมองอยู่ จึงได้เผลอสบสายตาผ่านกระจกมองหลังก่อนจะรีบเมินไปทางอื่นอย่างจงใจ จนผมรู้สึกแย่แบบแปลกๆ เป็นความรู้สึกแย่ในมุมที่ผมไม่เคยเป็นกับใคร

((ถ้าพอร์ทอยู่กับใครแล้วรู้สึกดี พอร์ทก็อย่าสนคนอื่นเลยนะ))

แล้วถ้าคนที่ทำให้ผมรู้สึกดี เขาไม่หันมามองผมแล้วละแม่

ผมจะทำยังไง?



SP : พี่ขุนคนอ่อนไหวใจโคตรบาง

พุทโธ...มีสระโอ แต่...กูไม่โอเว้ย!!

กะหน้าบานขึ้นมาจะบอกข่าวดี พาน้องไปทัวร์ออกทริปที่ทะเล แต่ไหงต้องมาเจอน้องคลุกวงในอยู่กับไอ้อังเดรวะ แม่ง!

ตอนแรกก็โอ แค่ไม่โอตั้งแต่ฟังภาษาฝรั่งเศสที่ฝอยรู้เรื่องกันอยู่สองคน แต่คนแอบฟังอย่างกูนี่ไม่รู้เรื่องห่าอะไรเลยครับพี่ขุน! ขนาดเปิดแอพมือถือที่ว่ากันว่าพูดปุ๊ปแปลปั๊บมันก็ยังแปลไม่ทันเลย เพราะพูดกันไฟแล็บ

ไอ้ชิบหาย คอร์สเรียนฝรั่งเศสราคาเท่าไหร่ มีแบบเรียนเมื่อกี้ ฟังออกตอนนี้มั้ย โว้ยยยย!

แต่แปลไม่ออกก็ช่างแม่งแล้ว เพราะแม่งประชิดตัวกันแล้ว! ไอ้ชิบหาย เพื่อนกันต้องชิดกันเบอร์นั้นเหรอวะ!

แต่ก็ไม่กล้าออกไปขวางตอนนี้เพราะบรรยากาศโคตรมาคุ เหมือนจะเถียงกัน

เอาเลย เถียงกันเลย ทะเลาะกันเลย  เลิกคบกันไปเลย!

แต่ก็ได้อค่เชียร์ในซอกประตูอย่างอนาถเพราะนอกจากเลิกทะเลาะกันแล้ว น้องมันยังไปดึงชายเสื้อไอ้ฝรั่งนั้นทำท่าออดอ้อนอีก เวรเอ๊ย! ขนาดเต๊าะไปตั้้งเยอะมึงยังไม่เคยเจอเซอร์วิสนี้เลยนะเว้ย! ดูสายตากับน้ำเสียงน้องมันดิ! ฟินมั้ยมึง ไอ้ฝรั่ง!

แล้ว... เชี่ย!! ไปกระโดดกอดเขาทำมั้ยยยยยย!!

แถมพอขนของลงที่รถมายังรับสายโทรศัพท์จะจ๊า (ที่ฟังไม่ออกอีก)

ไม่ไหวแล้วโว้ย!!

ตึง! บอกได้เลยว่ากูจะตึง! ต้องดึงหน้าให้ถึงที่สุด เข้มให้สุด เมินให้สุด!

บอกเลยว่างานนี้น้องมันต้องง้อ ไม้ง้อ ไอ้ขุนจะไม่พูด!

ที่ไม่พูดไม่ใช่เพราะงอนนะ...

แต่ใจพี่ขุนมันอ่อน พูดไม่ไหว ใจมันไม่มีแรง

น้องไปกอดคนอื่น

ฮรื่อออออออออออออออออออ

--------------------------------


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 15 - โอ้ทะเลแสนงาม

"ล้าลัลลา ลัลลา ฉันจะพาเธอไป ชูวีดูวีดำดิ่ง ลึกลึกลงไป~~~"
 
"วู้วววววว!!!!"
 
พี่เจสซี่และทีมงานแก๊งสาวด้วยกันร้องเพลงและส่งเสียงอย่างสนุกสนานคับรถตู้หรู แต่ละคนต่างเฮฮาเมื่อรถกำลังเดินทางเข้าสู่เขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปลายทางที่เราจะไปถ่ายแบบนอกสถานที่กัน

ก็ตามที่รู้ อังเดรปล่อยผมมาง่ายๆ ขอแค่ให้โทรรายงานเขาบ้าง ถึงทำให้ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่อึดอัด!!
 
ซะเมื่อไหร่ละโว้ย!!

ใครเป็นคนจัดที่นั่งครับ ตอบ!!!

ผมเหล่มองคนข้างตัวที่นั่งหน้านิ่งจนผมเกร็งไปทั้งร่างแทบไม่กล้าหายใจ

มัวแต่ไปกังวลเรื่องทะเลและนมปลอม จนลืมกังวลถึงมนุษย์สุดพิลึกคนนี้ไปเลย

ปกติก็ว่าแปลกแล้ว

วันนี้มาโหมดนิ่ง ยิ่งแปลกกว่าเดิมอีก เพราะตั้งแต่ที่เขามารับผม พี่เขาก็ยังไม่ยอมพูดกับผมซักแอะ ไม่แม้แต่มองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ

คนพูดมากที่จู่ๆก็เงียบแบบนี้มันทำให้เกร็งนะโว้ย !!!
 
ฟึบ!! เชี่ย!

ผมเผลอสะดุ้งเมื่อพี่ขุนที่นั่งนิ่งเงียบมาตลอดทาง จู่ๆก็ขยับกระเป๋ากล้องส่วนตัวมาทางผม

"ขอโทษ" เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆ แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความเรียบนิ่ง  ที่ไม่รู้ยังไง แต่มันฟังแล้วโคตรน่าหงุดหงิดชิบ

"เอ่อ..."

"ยังเจ็บคออยู่ไม่ต้องพูดก็ได้"

ผมปิดปากฉับ พี่ขุนไม่ได้หันมามองผมแม้แต่น้อยราวกับเอ่ยขึ้นมาลอยๆกันอากาศ แต่ก็คล้ายกับย้ำเตือนเรื่องบทบาทการเป็นพาตี้ของผม

เอาจิงๆ ผมไม่จำเป็นต้องสนใจท่าทางของเขาก็ได้ แต่...ฮึ่มไม่ได้อยากง้อหรอกนะ

แต่มันอึดอัดโว้ย!!

ผมเหลือบมองซ้ายขวา งุ่นง่านหาทางออก ก่อนนึกได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาวางบนตัก เอียงหน้าจอไปทางซ้ายมือเล็กน้อยและเข้าโหมดโน้ต

‘Mai-pen-rai’

ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจลึกของคนข้างตัว ทำให้รู้ว่าเขาเห็นข้อความของผม แต่นอกจากนั้นเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดใดอีก

ชิ จะมาโหมดเงียบเหรอ มันน่าหงุดหงิดกว่าโหมดกวนตีนอีกนะ!! พี่มึงจะมาเมินภาษาคาราโอเกะของผมแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย

แต่...

ทำไมมันอึดอัดอย่างนี้วะ ทั้งๆที่ข้างหลังก็กำลังร้องเพลงสนุกสนานกันแท้ๆ
 
“โอ้ทะเลแสนงาม แสนง๊าม แสนงาม ฟ้าสีครามสดใส สดใส๊ สดใส”

ฮึ้ย!!!

‘Su-rat-pen-ngai?’

“...”

‘P-khune’

นิ่ง....

จะไม่ตอบจริงๆใช่ป่ะวะ นี่ผมกำลังใช้วิธีปัญญาอ่อนเท่าที่นึกได้คุยกับพี่โดยไม่ต้องใช้เสียงอยู่นะเว้ย! ช่วยเคารพไอเดียสุดบรรเจิดของผมด้วยสิ ไอ้พี่บ้า!

อะไรนะ? ทำไมผมต้องคุยด้วย?

เอ้า!! เป็นคุณจะรู้สึกยังไงละถ้าคนที่มายุ่งกะคุณ มาคุยกะคุณตลอดเวลา มาทำให้คุณรู้สึกดีๆด้วย กลายเป็นพวกหุ่นยนต์ไร้ถ่านนะ! มัน อึด อัด และ คา ใจ เข้าใจป่ะ!!!

เดี่ยว อะไรนะ ผมพูดว่ารู้สึกดีๆเหรอ เอ่อ...ผม .... เออ...

โอเค้! ยอมรับแบบลูกผู้ชายเลยว่าผมหวั่นไหวกับพี่มัน แล้วก็รู้สึกดีมากๆเลยด้วย แต่ตอนนี้นี้หมั่นไส้ไอ้คนหน้าตึงแล้วโว้ย!

’D- mai-tong-pood!!!!’

ผมพิมพ์ข้อความสุดท้ายและส่งให้เขาดูจนแทบจะทิ่มเข้าไปที่หน้าคนข้างตัวก่อนจะกดปิดหน้าจอและเก็บโทรศัพท์ทันที

ถึงจะคาใจว่าเป็นบ้าอะไรแต่ชักรำคาญแล้วนะ เออ ดี เงียบไปเลย เงียบให้น้ำลายบูดไปเลยนะ ให้หน้าเป็นตะคริวไปเลยนะ!

ฟึ่บ!

คนข้างตัวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าเรียกความสนใจให้ผมต้องหันไปมองอีกครั้ง แต่ไอ้พี่ขุนกลับแค่กดอะไรเงียบๆก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นคล้ายกำลังโทรออก

นึกว่าจะยอมตอบ ที่ไหนได้!!

แต่ถึงอย่างนั้นแสงสว่างวาบบนหน้าจอมือถือที่แนบหูมาทางนี้ก็ทำให้เห้นชัดว่ามันไม่ได้กำบังโทรออกไปไหน แต่กลับเป็นข้อความบนแอพลิเคชั่นเดียวกันที่ทำให้ผมต้องควบคุมริมฝีปากปากตัวเองไม่ให้กระตุกเป็นรอยยิ้ม

’ไม่อยากพิมพ์’

”...”

’อยากได้ยินเสียงมากกว่า’

หึ

ผมแกล้งถลึงตาใส่นายตากล้องข้างตัว ที่ยังคงนั่งนิ่งประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แววตากลับวาววับ และมีรอยยิ้มบางๆที่มุมปากซึ่งเห็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

เขาลดโทรศัพท์ลงเก็บใส่กระเป๋ากางเกง แต่แทนที่มือนั้นจะกลับไปโอบกระเป๋ากล้องเหมือนเดิม มันกลับวางพักไว้บนเบาะที่นั่งของเราที่ติดกัน แน่นอนว่ามีมือของผมวางไว้อยู่ก่อนแล้วอย่างที่เราก็รู้

นิ้วของเราก็เลยสัมผัสกันอย่างบังเอิญ แต่การที่ปลายก้อยเราเกี่ยวกันน้อยๆ กลับเป็นสิ่งที่เราทั้งคู่จงใจ...

แล้วก็ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไปตลอดเส้นทาง

***

ทันทีที่เราถึงเป้าหมาย การจัดการที่พักทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความรวดเร็ว แน่นอนว่า ผมได้นอนคู่กับพี่เจสซี่อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเข้าห้องพักผมก็รีบโทรไปรายงานอังเดรทันที เพื่อเขาจะได้ไม่เป็นห่วง ซึ่งยังไม่ทันที่ผมจะได้กดโทร กลับเป็นเขาเองที่โทรเข้ามาก่อน

“ถึงรึยัง?”

“ถึงแล้ว ที่นี่สวยมากเลยนะ”

บรรยากาศที่นี่ดีมากครับ ขนาดยังอยู่ในส่วนของโรม แต่ทางที่ผ่านมาผมก็เห็นทั้งธรรมชาติ โขดหิน ทรายสีขาว น้ำทะเลใสใส และเกาะใหญ่น้อยที่ทอดตัวห่างออกไป สมแล้วที่ทะเลไทยเป็นทะเลที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก

“สวยก็ดีแล้ว แต่ก็อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดีละ”

“อื้อ รู้แล้ว”

“แล้วนายใช้เวลาถ่ายกี่วัน”

”ไม่แน่ใจอาจสองสามวัน มีอะไรรึเปล่า”

”เผื่อฉันจะกลั—”

จู่ๆอังเดรก็เงียบไป

”หือ? นายว่าไงนะ”

“น้องพอร์ทคะ ทีมงานมาตามแล้วนะคะ” พี่เจสซี่เดินเข้ามาบอก ผมจึงพยักหน้ารับและพูดกับปลายสาย

“โอเคครับ... อังเดร ฉันต้องไปแล้ว ไม่เอาโทรศัพท์ไปนะ”

“ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

“งั้นแค่นี้นะ..”

“พอร์ท!!” ผมยกโทรสับขึ้นแนบหูอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียก

“อย่า...”

“หือ?”

“อย่าเข้าใกล้นายขุนพล” เสียงทุ้มเรียบนิ่งติดจะเว้าวอนทำให้ผมเงียบ

“ฉันต้องทำงานกับเขา”

ใช่สิ เขาเป็นช่างภาพ ผมเป็นแบบ ก็ต้องอยู่ใกล้กัน เอ่อ...อยู่ร่วมกันสิ

“แค่เรื่องงานเท่านั้น นอกจากนั้น อย่าอยู่ใกล้มัน...ได้มั้ย?”

“ทำ...”

“....”

“อื้อ...ฉันรู้”

ใช่...ผมรู้

รู้ว่าเราไม่ได้เป็นแค่ช่างภาพกับนางแบบธรรมดาอย่างที่เคยบอกตัวเองซ้ำๆ

แต่ทุกอย่างมันก็ยังคลุมเคลือ เมื่อผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขากำลังมองว่าผมเป็นใคร

พอร์ทเทรต...หรือ...พาทิเช่

แล้วผมก็รู้...รู้ว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนไป แล้วมันก็ชัดเจน เมื่อผมพยายามตะเรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยวิธีที่โคตรสิ้นคิด ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมทนไม่ได้ที่เขาจะไม่มองมาที่ผม อย่างที่เขาเคยมอง แม้ว่าจะยังไม่มั่นใจว่าเขากำลังมองใครก็ตาม

บางทีผมอาจจะเป็นแค่....

เป็น...

นั่นดิ

เราเป็นแค่อะไรวะ?

“น้องพาตี้คะนี่คือเสื้อผ้าที่เราจะใช้ในโลเคชั่นพิเศษนี้ค่ะ”

ผมเรียกสติของตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน ก่อนจะยื่นมือไปรับเสื้อผ้าที่ต้องใช้เปลี่ยนจากทีมงาน

เอ่อ...ทำไมมันเบาจังวะ

มือซ้ายของผมหยิบเสื้อผ้าชิ้นหนึ่ง ก่อนอีกมือจะหยิบขึ้นมาอีกชิ้น...นี่มัน...
 
บิกินี่!
 
ล้อกันเล่นใช่มั้ยวะ!!





SP : พี่ขุนคนใจแข็ง

ท่องไว้จะตึงเบอร์ใหญ่ใจต้องนิ่ง!! ห้ามพูด ห้ามมอง ห้ามสบตา!!

”เอ่อ...”

“ยังเจ็บคออยู่ไม่ต้องพูดก็ได้"

ชิบหาย หลุดปาก!!

แต่ทำไงงะ ก็น้องมันจะเผลอพูดอ่ะ แล้วถ้าพูดแล้วคนอื่นได้ยิน ถ้ามีคนได้ยินเสียงผู้ชาย ถ้ามีคนรู้ความลับ ถ้ามีคนมาจับน้องแยกไป ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก ถ้า...

โว้ย! ไอ้ขุน! มึงต้องมีสติ ฮึบไว้ ฮึบ!!

ต้องรอให้น้องมันง้อดิ!

รอ...

งื้ออออ แอบพิมพ์ภาษาคาราโอเกะเอียงมาให้อ่าน

น่ารักอ่ะ...

เฮ้ย! ไอ้ขุน! นิ่งไว้มึง นิ่งไว้! อย่าเป็นคนใจง่าย ต่อให้น้องมันจะตาขวาง ต่อให้จะเชิดปาก ต่อให้จะสะบัดหน้าหนีได้น่ารักแต่ไหน ก็ห้ามใจง่ายยอมตอบเชียวนะ!

ห้า...ม

‘P-khune’

อ่า...พิมพ์ชื่อเค้าด้วย

ถ้าเรียกด้วยเสียงนุ่มๆข้างๆหูคงโคตรดีต่อใจ ฮื่อออออ

 สาบานว่าไม่ได้ใจอ่อนเลย พูดจริง แค่กลัวน้องจะเหงาที่พิมพิมพ์คนเดียว ก็เลยยอมพิมพ์ตอบไปเท่านั้นแหละ ไม่ได้ใจอ่อนเลย

และมืออ่ะแค่บังเอิญไม่มีที่จะวาง

นิ้วอ่ะ แค่ขยับ มันก็เผลอไปเกี่ยวเอง

ไม่ได้ใจอ่อนเลยนะ ยังตึงอยู่ จิงจิ๊งงงงง

แค่เป็นคนใจง่ายเฉยๆ

หึ

ชื่อเพลงนะ ชื่อเพลง จั๊ดจา ด่าด๊า จั๊ดจั๊ดจา ด่าด๊า วู้ว!!

______
ขุน มึงไม่เนียนไปเรียนมาใหม่!!!

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 16 - เป็นบ้า

‘พี่เจสซี่!!!’

ผมกรีดร้องเรียกผู้จัดการสาวแกร่งในใจ เพราะไม่สามารถแหกปากออกไปต่อหน้าทีมงานนับสิบชีวิตได้ แต่ในใจนี่กรีดร้องหนักมาก

ชิบหายสุดๆ !!
 
“เอ่อ...คุณเจสซี่จำไม่ได้นะคะว่ามีการถ่ายชุดว่ายน้ำด้วย”

พี่เจษฎารีบเข้ามาเคลียร์รวดเร็วอย่างรู้งานแต่ใจผมนี่แทบจะสั่นงักด้วยความลุ้นว่าจะไฝว้กันยังไง ถ้าทีมงานตกลงกันมาแล้วมันก็ไม่ง่ายที่จะมาเปลี่ยนกันตอนนี้ ผมต้องโดนหาว่าเป็นนางแบบเรื่องมากแน่ๆ
 
“เราถ่ายที่ทะเล ก็ต้องมีชุดว่ายน้ำเป็นธรรมดาค่ะ”

ฝ่ายคอสตูมแจกแจงพร้อมกับการสนับสนุนของฝ่ายเมคอัพที่ยืนเป็นพรรคพวกด้านหลัง สายตาเริ่มส่อประกายเอาเรื่องเหมือนว่าผมกำลังทำให้การทำงานล่าช้าอะไรทำนองนั้น
 
แต่มาทะเลจะใส่ชุดอื่นไม่ได้เหรอครับพี่!!
 
“บิกินี่แบบนี้มันจะเหมาะกับลุคใสใสของน้องพาตี้เหรอคะ เจสซี่ว่ามันดู...โซฮอตไปนะคะ”
 
มันไม่ฮอตแต่มันโป๊เลยครับพี่!!

ไอ้ท่อนบนยังพอว่า แต่....
 
ไอ้ท่อนล่างจะทำยังไง?
 
มันห่มน้องผมไม่ได้!!
 
ตอนนี้ใจผมเริ่มเต้นถี่เพราะความหวาดระแวงและกังวล รู้สึกถึงเหงื่อที่เริ่มซึม ครั้งนี้ผมจบสิ้นแน่ๆ ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องยอมใส่ แล้วก็จะจบเห่ ต่อให้หน้าตาเหมือนกันขนาดไหน แต่ถ้าเป็นชุดแบบนี้ ความเป็นชายของผมต้องแสดงออกอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเมื่อถึงเวลานั้น มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ

แล้วไม่ได้จะเดือนร้อนแค่ผมคนเดียว คนอื่นก็จะพาซวยกันหมด ทั้งพ่อ พาตี้แล้วก็....

“มีปัญหาอะไรกัน ทำไมยังไม่เปลี่ยนชุดอีก?”
 
เสียงการทุ่มเถียงของพี่เจสซี่กับฝ่ายคอสตูมและเมคอัพหยุดลงทันทีเมื่อคุณภัทรเดินเข้ามาพร้อมกับ...พี่ขุน
 
“ก็คุณเจสซี่นะสิคะ ไม่ยอมให้น้องพาตี้เปลี่ยนชุด”
 
“แต่นี่มันชุดว่ายน้ำนะคะ เจสซี่ว่ามันไม่ค่อยเหมาะค่ะคุณภัทร”
 
ทุกสายตามองไปที่มวยคู่ใหม่ระหว่างคุณภัทรและพี่เจสซี่ แต่ผมกลับจ้องตรงไปที่พี่คุณ คนที่ยังคงไม่หันมามองผมแม้แต่หางตา...

อยากเมินกันเหรอ เอาสิ

เมินให้ตลอดนะ...ถ้าทำได้

“ใครให้ใช้ชุดว่ายน้ำ?”
 
“เราเองแหละ ถ่ายที่ทะเลมันก็ต้องชุดว่ายน้ำสิ”
 
“ไม่เห็นจำเป็น ถ้าถ่ายกลางทุ่งหญ้าต้องใส่ชุดควายป่ะ?”
 
“ขุนพล!!”

คุณภัทรเรียกพี่ขุนอย่างไม่พอใจเมื่อพี่ตอบคำถามด้วยใบหน้ากวนๆ แต่สายตาจริงจังอย่างที่เป็นทุกครั้งเวลาทำงานก็ทำให้มีใครกล้าส่งเสียง แม้สายตานั่นจะไม่ได้เหลือบมองมาที่ผม แต่แค่การกระทำของเขาก็เพียงพอว่าเขาไม่ลืม...

สัญญาที่เขาไม่เคยลืมว่าจะช่วยผม

สัญญาด้วยชีวิต...

ขณะที่ทีมงานคนอื่นรีบหลบสายตาคมดุกันพัลวัน แต่พี่เขากลับไม่สนใจและเดินตรงเข้ามาหาผมเพื่อหยิบชุดว่ายน้ำในมือออกไป
 
มือใหญ่แตะสัมผัสที่ปลายนิ้วผมอย่างแผ่วเบาด้วยความบังเอิญแต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น ดวงตาคมเข้มจ้องมองมาที่ผมชั่ววิก่อนจะละไป ผมได้แน่ยืนนิ่งมองเขาที่เดินเอาชุดว่ายน้ำไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะความกังวล แต่เป็นเพราะ...
 
“ไปเอาเสื้อผ้าเซ็ตเดิมมา แล้วรีบไปจัดการให้เรียบร้อย ผมต้องการให้พร้อมถ่ายภายในหนึ่งชั่วโมง!!”

เสียงทุ้มกล่าวเด็ดขาดและโยนชุดว่ายน้ำลงไปในถังขยะอย่างแรง ทำให้ทีมงานทุกฝ่ายแตกกระเจิงกันไปทำงานของตัวเองอย่างว่องไว
 
“ไปไหนคะน้องพอร์...น้องพาตี้!!”

ผมไม่สนใจเสียงเรียกของพี่เจสซี่แต่รีบเดินตามพี่ขุนไปเมื่อเห็นว่าเขาถูกคุณภัทรคว้าตัวออกไปคุยด้านนอก
 
“นี่มันทะเลนะขุน มันก็ต้องชุดว่ายน้ำ!!”

ไม่รู้ว่าทำไมถึงตามออกมา แต่ผมแค่อยากรู้ว่าพี่เขาจะโดนว่าอะไรรึเปล่า ถึงจะรู้สึกดีที่เขาช่วย แต่มันคงไม่ดีถ้าผมกำลังจะทำให้อาชีพของเขามีปัญหา

เอาง่ายๆ คือ ผมเสือก อยากมาแอบฟังเขาคุยกัน แค่นั้นแหละ

”แล้วไง”
 
“แล้วไง? นายเป็นช่างภาพที่เลือกน้องเขามา นายก็รู้ว่าน้องเขาถ่ายลุคนี้ได้ เขาฮอตนะ!!”
 
แต่ก็คิดถูกที่ตามมาเสือกวะ ได้รู้อะไรที่ไม่คิดว่าจะได้รู้

แต่ว่า...ฮอต? ผมเนี่ยนะ คุณภัทรเขามองผมเป็นงั้นเหรอวะ? ลุคผมดูเป็นอย่างนั้นเหรอ?แต่ความสงสัยผมก็แตกกระเจิงเมื่อเสียงพี่ขุนคำรามเข้มจนเผลอสะดุ้ง ผมรีบยื่นหน้าออกไปเพื่อหน้าคนพูดให้ชัดเจนว่าเขากำลังโมโหอะไร
 
“เราไม่ต้องการ!!”

”แต่ตลาดต้องการ—“
 
“เราไม่ได้ต้องการถ่ายภาพเซ็กซี่หวือหวาเอาใจสปอนเซอร์ที่ไหน!”

”...”

”เราอยากถ่ายในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นอยากให้เป็น”
 
ผมเผลอกลั้นหายใจเมื่อได้ยินเสียงทุ้มหนักแน่นนั้น คำพูดของเขาทำให้สมองผมมึนงงไปชั่วขณะ หัวใจเต้นกระตุกอย่างไม่มีสาเหตุ และรู้สึกถึงใบหน้าที่เห่อร้อนขึ้น
 
ผมจะเข้าข้างตัวเองได้รึเปล่าว่าเขากำลังหมายถึงผมที่เป็น...ผม

 ผมที่เป็นตัวเอง ไม่ใช่พาตี้ ไม่ใช่ตัวปลอม ไม่ใช่ตัวแทน แต่เป็นพอร์ทเทรต...

เขาเลือกผมที่เป็นพอร์ทเทรต!
 
“นายจะบอกว่าต่อให้ต้นสังกัดสั่ง นายก็จะไม่ทำงั้นเหรอ!?”
 
“ใช่”
 
“นายไม่เคยเป็นแบบนี้ ทุกครั้งนายก็ให้สิทธิ์ขาดเรากับคอสตูมจัดการแล้วทำไมครั้งนี้ถึงเข้ามายุ่ง ไม่ใช่แค่รอบแรกด้วยนะ”
 
“...”
 
“นายดูสนใจน้องเขาผิดปกตินะขุน”
 
“....”
 
ผมดึงสติตัวเองกลับมาฟังที่บทสนทนาอีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคแปลกๆของคุณภัทรที่ทำให้ทุกอย่างเงียบลงทันที
 
“นายคิดอะไรกับน้องเขารึเปล่า?”
 
อะไรนะ?!!
 
ผมอ้าปากค้างกับคำถามของคุณภัทรที่ตรงจนผมแทบสะดุดหน้าคว่ำ เธอถามอะไรวะเนี่ย!!

แต่มันบัดซบตรงที่ผมชอบคำถามของเธอนี่แหละ!

ไอ้พอร์ท มึงมันคนใจง่าย!!
 
“นายตอบเรามาสิ ทำไมนายถึงดูใส่ใจน้องเขานัก นายคิดอะไรกับน้องเขา”
 
ผมรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระรัวราวกับลุ้นในสิ่งที่กำลังได้ยิน ผมยอมรับเลยว่าผมอยากรู้มากว่าพี่เขาจะตอบว่าอะไร ลุ้นจนรู้สึกถึงมือตัวเองที่เย็นเฉียบและลูกโป่งที่เร้ามพองขึ้น...พองขึ้นในอก...

 ก่อนที่มันจะแฟบลงอย่างรวดเร็ว
 
“เราไม่จำเป็นต้องตอบ”
 
“อย่ามาบ่ายเบี่ยงเรานะขุน นายเป็นยังไงทำไมเราจะไม่รู้ บอกเรามา”
 
“....”
 
“ขุนพล!”
 
“เป็นเธอ...เธอจะยอมให้อะไรมาทำลายสิ่งที่เธออยากเจอมาตบอดชีวิตเหรอ?”
 
“...”
 
“เธออยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะภัทร แต่เราบอกไว้เลย เราจะถ่ายเขาอย่างที่เขาเป็นเท่านั้น”
 
“....”
 
“แล้วถ้าใครมายุ่งกับน้องของเรา...อย่าหาว่าเราไม่เตือน”


 
“เป็นอะไรไปคะน้องพอร์ท ตกลงก่อนหน้านี้หายไปไหนมาคะ”

 พี่เจสซี่กระซิบถามผมที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งหน้าทำผมเสร็จ แต่ผมไม่ตอบ
 
เอาจริงๆคือผมไม่รู้จะตอบยังไง สมองของผมยังคงว่างเปล่า รู้สึกได้เพียงถึงลูกโป่งในอกที่ลอยไปลอยมาไม่หยุดนิ่งพร้อมกับใบหน้าและน้ำเสียงของพี่ขุนที่ยังคงดังก้องวนเวียนในหัว
 
‘เราจะถ่ายเขาอย่างที่เขาเป็นเท่านั้น’
 
ผมยกมือขึ้นปิดหน้าเมื่อรู้สึกถึงมุมปากของตัวเองที่กระตุกราวกับจะยิ้มออกมา ความดีใจที่ได้รู้ว่าใครสักคนต้องการมองเห็นเราที่เป็นเรามันกำลังเอ่อล้นขึ้นมาจนผมกลั้นยิ้มไม่อยู่ แม้จะไม่รู้ก็เถอะว่าเขาหมายถึงผมจริงๆรึเปล่า
 
รู้สึกว่าความเสือกมันมีคุณค่าก็วันนี้

คุณค่าที่ทำให้ผมได้ยินประโยคของคนที่ทำให้ผมหวั่นไหว

“ถ้าใครมายุ่งกับน้องของเรา...อย่าหาว่าเราไม่เตือน”

อ่า...ตอนนี้ผมหุบยิ้มไม่ได้เลยวะ
 
ผมคงกำลังจะเป็นบ้าไปแล้ว
--------------------------------------------------------


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 17 - ใจง่าย

การถ่ายแบบดำเนินไปตามปกติเช่นทุกครั้ง แต่แตกต่างกันแค่สถานที่ การจัดแสง บรรยากาศรอบข้าง และ...

ความรู้สึกของผม
 
โลกโป่งในอกพองขึ้นและลอยแกว่งไปมาอีกครั้ง ขณะที่สัมผัสชายเสื้อของตัวเองที่ฝ่ายคอสตูมจัดหามาให้ตามคำสั่งของบางคน
 
เขารู้จักผม รู้ว่าผมเป็นใคร และใครกันแน่ที่เขากำลังถ่ายรูปอยู่ ถ้าอย่างนั้น ผมก็สามารถทึกทักเองได้ว่า เขาอยากจะถ่ายผมจริง อยากให้ผมเป็นผม...เป็นพอร์ทเทรต
 
โอ้ยยยยย นี่เราคิดบ้าอะไรอยู่วะ ทำงานๆๆๆๆๆ

“น้องพาตี้คะ” ผมสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปและหันไปตามเสียงเรียก พบพี่เจสซี่ยืนยิ้มแห้งๆกับคุณภัทร
 
“คุณภัทรมีเรื่องอยากจะคุยด้วยนะคะ”

พี่เจสยื่นสมุดกับปากกาให้ผม เป็นอันรู้กันว่าผมจะต้องใช้วิธีไหนในการโต้ตอบกับคุณภัทรก่อนจะแยกไป ปล่อยผมไว้กับคนที่แม้จะยิ้มแย้มแต่ดวงตากลับมีประกายแปลกที่ทำให้ผมเกร็งเล็กน้อย
 
“พี่ขอโทษด้วยที่ไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อนเรื่องชุดว่ายน้ำ น้องพาตี้คงไม่ถือนะคะ”
 
ผมรีบงส่ายหน้าและยิ้มให้ทำให้อีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นอีกและดูผ่อนคลายขึ้น
 
“น้องพาตี้ดูไม่เหมือนอย่างที่คิดเลยนะคะ”
 
หะ?
 
“คือ....จากตอนที่เทสต์หน้ากล้อง พี่คิดว่าน้องพาตี้เป็นเซ็กซี่ไอดอลซะอีก โดยเฉพาะตอนที่เปลี่ยนชุดเทสต์ชุดที่สองนั่น บอกได้เลยว่าทีมงานผู้ชายที่เห็นสาวฮอตมาไม่น้อยยังอ้าปากค้างมองน้องพาตี้เป็นแถวๆเลยนะคะ”
 
‘แค่ทำตามที่ช่างภาพต้องการเท่านั้นเองค่ะ’
 
ผมรีบเขียนในกระดาษด้วยลายมือประหลาดๆและยื่นไปทางอีกฝ่ายที่ยกยิ้มแปลกประหลาด
 
“ก็แปลกนะคะ...”
 
ผมว่าคุณภัทรและครับที่พูดอะไรแปลก ไหนจะรอยยิ้มและสายตาแปลกๆนี่อีก โดยเฉพาะหลังจากที่อ่านประโยคตอบของผม
 
“ที่ผ่านมาไม่เคยมีนางแบบคนไหนเข้าใจสิ่งที่ช่างภาพของเราต้องการจริงๆเลยซักคน”
 
“.....”
 
“ถึงงานที่ออกมาจะถูกใจต้นสังกัดทุกครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ถูกใจช่างภาพของเรา”

 สายตาของคุณภัทรทอดมองไปไกลยังคนที่ถูกพูดถึง ทำให้ผมต้องมองตามไปยังร่างสูงที่ยืนคุยงานอยู่กับทีมจัดไฟ
 
“งานนี้เป็นงานแรกที่ขุนพลดู....ใส่ใจและทุ่มเทมากที่สุด สงสัยเพราะได้นางแบบที่ถูกใจ”
 
หัวใจผมเต้นแรงขึ้นเมื่อเจอสายตาของผู้จัดการฝ่ายโฆษณาที่ราวกับจะจ้องผมให้ทะลุ สายตาที่ทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
 
“พี่รู้จักขุนมานานพอที่จะรู้จักเขาดี และรู้ว่าเขาไม่เคยยุ่งกับนางแบบคนไหนเลย”
 
“...”
 
“นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทะเลาะกับพี่เรื่องงาน”
 
“...”
 
“มันเป็นเพราะอะไรกันคะ?”
 
เพราะเขาช่วยผม....
 
เสียงตอบดังขึ้นในใจ แต่ผมกลับไม่มีสิทธิ์เอ่ยมันออกไป รู้สึกราวกับกำลังถูกกล่าวว่าว่าผมเป็นสาเหตุทำให้ช่างภาพของบริษัททำตัวขัดขวางการทำงานของฝ่ายบริหารอย่างที่ไม่ควรจะทำ แล้วผมควรจะตอบว่ายังไง?
 
“จะทำงานแล้ว คุยเสร็จยัง?”

ผมเสหน้าไปอีกทางเมื่อช่างภาพในบทสนทนาเดินเข้ามาหา ส่วนคุณภัทรก็หันไปยิ้มตอบ
 
“เสร็จแล้ว เราแค่จะมาชี้แจงนะ ว่าต้นสังกัดอยากได้ภาพที่ฟีลของนางแบบต่างจากตอนถ่ายครั้งที่แล้วหน่อย”
 
“อะไรละ?”
 
“ภาพเดิมคือธีมให้คนเห็นหลงใหลใช่มั้ย ครั้งนี้เขาเลยอยากให้มันตรงกันข้ามนิดหน่อย แต่ฉันไม่รู้ว่านายกับน้องเขาจะทำยังไง”
 
“ก็พูดมาสิ” เสียงทุ้มเริ่มห้วนเมื่ออีกฝ่ายอมพะนำ
 
“เขาอยากให้เปลี่ยนจากนางแบบที่ดูน่าหลงใหลมาเป็น...”

"...."

“ความหลงใหลของนางแบบ”

ว่อท!! ความหลงใหลของนางแบบ!

มันคืออะไรวะ!?

“พร้อมนะ...”
 
“อื้อ”

ผมรีบปิดปากตัวเองแน่นเมื่อเผลอส่งเสียงตอบคนข้างตัวด้วยความว่าเสียงทุ้มที่กระซิบเบาๆอย่างห่วงใยทำให้ผมรู้สึกอยากจะส่งเสียงตอบออกไปมากกว่าแค่การพยักหน้า

“เขาใจรึเปล่าว่าต้องทำยังไง?”

เข้าใจกะผีอะไรละ! ผมไม่เคยหลงใหลใคร!!

แต่ดูเหมือนพี่ขุนจะอ่านสีหน้าผมออก มือใหญ่จึงวางบนหัวของผมเบาๆ พร้อมกับคำพูดเรียบนิ่งน่าฟัง

“ไม่ต้องคิดอะไร แค่มองมาที่กล้องของพี่"

"..."

"แล้วก็นึกถึงเวลาที่เราเจอคนที่ทำให้หัวใจเต้น เหมือนว่าเขากำลังอยู่ตรงหน้า"


ผมจ้องดวงตาตรงหน้าที่มองตรงมาที่ผมพร้อมคำพูดเรียบนิ่ง แต่ก็ประหลาด...ผมใจผมกำลังเต้นแรง

ความอบอุ่นบนศีรษะจางหายไป แทนที่ด้วยหัวใจที่กระตุกแรงๆไม่เป็นจังหวะ ขณะที่ลูกโป่งลูกเดิมเริ่มพองขึ้นอีกครั้งและลอยแกว่งไปมาอย่างไร้ทิศทาง

นึกถึงเวลาที่เราเจอคนที่ทำให้หัวใจเต้น...

ราวกับว่าเขากำลังอยู่ตรงหน้าเรา

“พร้อม...”

พี่ขุนเข้าประจำที่หลังกล้องคู่ใจและส่งสัญญาณการทำงานให้ทั่วทั้งกองถ่ายรับทราบ

เสียงชัตเตอร์ที่ดังแทรกในความเงียบ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเห็นเบื้องหลังเลนส์คืออะไร และไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังมือที่ยกขึ้นปิดเรียวปากไว้มีอะไรซ่อนอยู่นอกจากตัวผมเอง

ผมว่า....

ผมกำลังเป็นบ้าจริงๆแล้วละ

ผมหยุดยิ้มไปที่กล้องตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

แต่สาบานว่าผมรู้ว่าผม...ไม่ได้ยิ้มให้กล้อง




“เอ้า ชนนนนนนนน!!!!”

เสียงแก้วและขวดเครื่องดื่มกระทบกันเป็นจังหวะเคล้าเสียงเพลงและเสียงโฮ่ร้องเฮฮาของบรรดาทีมงาน ท่ามกลางปาร์ตี้ชายหาดยามค่ำคืน เป็นการฉลองและผ่อนคลายหลังจากเสร็จภารกิจงานวันแรก
 
“น้องพาตี้ดื่มได้ใช่มั้ยคะ?”
 
ผมพยักหน้าตอบพี่เมกอัพสาวประเภทสองก่อนจะรับขวดเบียร์ขนาดเล็กมาถือไว้ในมือ ก่อนพี่เมกอัพจะกระซิบกับพี่เจสซี่ที่นั่งอยู่ข้างกายผมด้วยท่าทางลับลมคมในแกมระริกระรี้ดี๊ด๊า
 
“น้องพอร์ทคะ พี่เจสขอไปเหล่หนุ่มๆตรงหาดทางโน้นหน่อยนะคะ”

เสียงกระซิบของพี่เจสทำให้ผมรู้ว่าเขากระซิบอะไรกันถึงได้ออกท่าออกทางกันขนาดนั้น เลยพยักหน้าตอบ ทั้งคู่เลยรีบดี๊ด๊าไปหากลุ่มแก๊งที่ยืนรออยู่และร้องกรี๊ดกร๊าดจากไป ผมว่าผมสงสารพวกหนุ่มๆที่จะเจอสาวกลุ่มนี้จริงๆ
 
เสียงเพลงของทีมงานที่เอากีตาร์มาดีดและเปิดวงร้องกันเองเฮฮาสนุกสนาน ส่วนหนึ่งก็ปิ้งย่างอาหารทะเล อีกส่วนก็เป็นขาแอลกอฮอล์กอดขวดกอดลังกันแน่น ผมมองภาพนั้นแล้วยิ้มตามพรอ้มกับยกเครื่องดื่มในมือขึ้นกระดก
 
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้อยู่ในบรรยากาศสังสรรค์อย่างเป็นกันเองแบบนี้ เอาจิงๆก็แทบไม่มีเลย เพราะว่าอังเดรไม่ค่อยอยากให้ผมไปสังสรรค์ดื่มกับใครเท่าไหร่ ถ้าไปก็ต้องมีเขาไปด้วยทุกที ซึ่งผมก็เกรงใจเขาก็เลยไม่ค่อยได้ไปไหนนัก แตกต่างจากคนวัยเดียวกันที่เที่ยวเล่นกันเต็มที่
 
ไม่นานเครื่องดื่มขวดที่สอง สาม สี่ก็ตามมาเรื่อยๆ สายตาของผมก็ยังคงจับจ้องที่วงดนตรีเฉพาะกิจของทีมงาน ฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง
 
การนั่งอยู่คนเดียวในบรรยากาศเอื่อยๆ และแอลกอฮอล์ในเลือดทำให้ผมปล่อยความคิดตัวเองไปไกลถึงคนที่ผมยังไม่เห็นหน้าเลยหลักงานเสร็จ

ความมึนเมาและความเงียบข้างตัวทำให้ผมสำรวจความรู้สึกตัวเองได้ง่ายมากขึ้น

ผมชอบพี่ขุน...


แต่สิ่งที่พี่ขุนทำทุกอย่าง มันทำให้รู้สึกดี หวั่นไหว แต่ก็ทำให้ผมสับสนในเวลาเดียวกันจนอาจเป็นผมเองที่คิดไปเองก็ได้ ในเมื่อเขาไม่ได้พูดกับผมตรงๆว่าเขาก็ชอบผมเหมือนกัน
 
ทำไมวะ!!

เดี๋ยวเข้าหา เดี๋ยวตีตัวออกห่าง

เดี๋ยวพูดด้วย เดี๋ยวก็หนีหายไป

แล้วยังมีหน้ามาเดินลอยชายไม่สนใจกันอีก

ถ้าชอบกันจริงก็อย่าเมินกันดิวะ!

เสียงขวดเครื่องดื่มนับสิบดังกระทบกันเมื่อผมลุกขึ้นยืนและก้าวเดินออกไป บรรยากาศรอบกายของผมโคลงไปมาเล็กน้อย แต่มันไม่มีผลอะไรเมื่อสายตาของผมเฝ้ามองแค่เป้าหมายที่เพิ่งโผล่มาและกำลังเดินห่างออกไปจากจุดปาร์ตี้

และยิ่งพี่ขุนเดินห่างไปเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งหงุดหงิดใจ
 
ตอนถ่ายรูปเมื่อกลางวันผมก็มองแล้วไง มองแล้ว นึกตามแล้ว เห็นแล้ว แล้วหัวใจผมมันก็เต้นผิดปกติแล้วด้วย!!

แล้วอย่างนี้มันหมายความว่ายังไงวะ ในเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าผมมันเป็นพี่?!!
 
แต่พี่ยังมาเดินไม่รู้ร้อนรู้หนาวถึงคนที่อยู่ข้างหลังอีก!!
 
“เมื่อไหร่จะหยุดเดินวะ!!”

ผมตะครุบปากตัวเองแทบไม่ทันเมื่อมันไวเท่าความคิด แต่ก็ทำให้คนตัวโตตรงหน้าหยุดเดินแล้วหันหน้ามามอง แต่เพียงชั่วครู่เขาก็หันกลับไปแล้วออกเดินต่อ

กวนเรอะ!!

ผมมองซ้ายขวาหน้าหลัง ไม่เห็นใครอยู่แถวนี้ตลอดชายหาดยามค่ำคืน ผมจึงไม่ต้องระแวงที่จะใช้เสียงของตัวเอง

“จะไปไหน”

“....”

“นี่!”

“.....”

"พูดด้วยแล้วไม่ตอบ"

ไอ้บ้านี่ พูดด้วยก็ไม่พูด แถมยังเดินไม่สนใจกันอีก ชักจะโมโหแล้วนะโว้ย!!

"อย่ามาเมินผมนะพี่ขุน!”

สิ้นคำร่างของผมปลิวไปตามแรงดึง ก่อนความเย็นจากลมทะเลจะแทนที่ด้วยไออุ่นจากกายหนาและกลิ่นหอมอ่อนๆที่เข้ามาปะทะจากความใกล้ชิดอย่างฉับพลัน

เฮ้ย...เฮ้ย...เฮ้ย

“จะทำอะ..."

"ไม่อยากให้เมิน แสดงว่าอยากให้อยู่ใกล้ใช่ป่ะ?"

 เสียงทุ้มกล่าวชิดใบหูของผมด้วยน้ำเสียงยียวนอย่างที่ไม่ได้ยินมานานหลังจากประโยคคำถามนั้นทำให้ผมใบ้รับประทานจนลืมไปเลยว่าตัวเองกำลังอยู่ในระยะใกล้ชิดกับอีกฝ่ายแค่ไหน

“ไม่อยากให้พี่เมินเหรอ?”

“..."

“ว่าไง...พอร์ทตี้”

“พอร์ทตี้บ้าอะไรละ!”

ผมตวาดอย่างหงุดหงิด แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะคิกคักวอนบาทา นี่ผมโมโหอยู่นะเว้ย!!

“หัวเราะอะไร!!”

“นี่....”

“.....”

“รู้ตัวรึเปล่าว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน?”

ผมกระพริบตาปริบๆ และเริ่มรู้สึกตัวถึงใบหน้าและดวงตาคมเข้มที่อยู่ตรงหน้าในระยะคืบมือ วงแขนอบอุ่นที่โอบล้อมรอบกาย และร่างแกร่งที่แนบชิดสนิท

นะ...นี่มัน....

ฉากขี้ชิปในตำนานมากอีกแล้ว!!

แล้วทำไมถึงเก่งนักวะ ไอ้การทำให้คนอื่นสับสนเนี่ย!

ผมออกแรงดิ้นทันทีเมื่อรู้ตัวเอง แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงจะยิ่งน้อยนิดลงไปเมื่อถูกบั่นทอนไปด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นับสิบที่ดื่มเข้าไป

“ปล่อยสิพี่”

“....”

“พี่ขุน...ปล่อยเถอะนะ”

“เรียกอีกสิ...”

ผมงุนงงกับคำพูดของอีกฝ่าย และต้องหยุดดิ้นเมื่อสบดวงตาคู่คมที่จ้องมองตรงมาราวกับเว้าวอนขอร้อง ทำให้ปากผมขยับไปเองราวกับต้องมนต์

“พี่ขุน...”

ดวงตาคมพราวระยับราวกับพอใจในขณะที่เสียงจังหวะกลองแปลกประหลาดดังขึ้นสอดประสานโดยไม่รู้ว่าเป็นเสียงของใครระหว่างของผมกับของเขา

ให้ตาย นี่มันเป็นสถานการณ์ที่ผมไม่คาดคิดว่าจะให้มันเกิดขึ้นเลย แต่ว่า...

ผมกลับไม่รู้สึกอยากขันขืนเลย...

ทำไมแกใจง่ายอย่างนี้วะพอร์ทเทรต...

“พอร์ท...”

เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาตรงหน้าจนผมเห็นได้ชัดถึงริมฝีปากบางที่ขยับไปมาทั้งๆที่อยู่ในความมืด

“ทำไมถึงตามพี่มา”

ผมกลอกตาไปมาเมื่อได้ยินคำถามนั้น ทำไมเหรอ ไม่รู้สิ ผมก็แค่...

“แล้วพี่เมินผมทำไม?”


ผมถามกลับ แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นเสียงหัวเราะชอบใจของอีกฝ่ายอีกครั้ง

“หัวเราะอะไรอีก มีอะไรน่าขำ!”

“พอร์ทจะสนใจทำไมในเมื่อพี่ก็เป็นแค่คนรู้จัก”

อีกแล้ว ไอ้เรื่องนี้อีกแล้ว ทำไมไม่จบไม่สิ้นซักทีวะ ถึงผมจะรู้แล้วเถอะว่าไอ้คนรู้จักในภาษาไทยมันหมายความว่ายังไง แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผมตอบไม่ถูก

“พี่ยังเป็นแค่คนรู้จักของพอร์ทอยู่รึเปล่า?”

“ผม....”

“ว่าไง...”

“ไม่รู้...ผมคิดไม่ออก พี่อย่ามาทำให้ผมสับสนดิ”

“งั้นก็ไม่ต้องคิด”

“...”

“พี่จะทำให้พอร์ทรู้สึกเอง”

“เดี๋ยวพี่ ใจเย็นๆ”

“พี่เย็นมาสามปีแล้ว...ถึงคราวที่พี่ต้องร้อนบ้าง”

“สามปี? สามปีอะ--”

คำถามของผมถูกกลืนหายไปพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง เสียงทะเลราวกับถูกปิดกั้น แทนที่ด้วยเสียงกลองในหัวใจที่ดังลั่นจนหูแทบระเบิด ลูกโป่งลูกเดิมในอกสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนจะหลุดลอยไปไกล

มันต้องเป็นเพราะรสแอลกอฮอล์แน่ๆที่ทำให้ผมมึนงงได้ขนาดนี้

ต้องเป็นเพราะมันแน่ๆที่ทำให้ผมเริ่มมัวเมากับสัมผัสนุ่มที่ริมฝีปาก สัมผัสที่ผมเงยหน้ารับอย่างไม่อาจบังคับตัวเองได้ ทั้งที่สมองร้องบอกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชาย แต่หัวใจกลับตะโกนลั่นให้ผมโอนอ่อนตามเพื่อรับความรู้สึกบางอย่างที่ถ่ายทอดผ่านเข้ามา

ผมเอียงหน้าประองศา รั้งคออีกฝ่ายให้เข้ามาใหล้ขึ้นอีก และยินยอมให้เขาบดเบียดริมฝีปากเข้ามาอีกครั้ง...และอีกครั้ง

สัมผัสนุ่มนวลที่ขบเม้มอ้อนวอนจนผมรู้สึกเอ็นดู และใจไม่แข็งพอที่จะเมินมัน ถึงได้เผยอเปิดรับให้เข้ามาลึกซึ้งมากขึ้น....

ให้ตาย...

พี่ขุนจะรู้สึกถึงรสเบียร์ในปากของผมมั้ยวะ

อา...

ไอ้พอร์ท...

แกมันโคตรใจง่ายเลยว่ะ

----------------------------------


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด