Round 24.3 ... คนแปลกหน้า
กรุณารอเพลงโหลดเสร็จก่อน“ซัน…..”
ผมเงยหน้ามองร่างตรงข้าม…
“ทำไมสภาพเป็นแบบนี้เนี่ย”
ผมถลาเข้าไปกอดร่างข้างหน้า คนข้างหน้าที่เป็นสาเหตุทั้งหมด สาเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ ทำให้ผมโกรธไอ้คนที่คิดถึงที่สุดตอนนี้เป็นฟืนเป็นไฟ และทำให้รักมันจนแทบบ้า…
“ช่วยเราด้วย…แก้ว”
ไม่รู้ว่าผมถูกจูงมาข้างในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าแก้วอุทานสองสามคำกับสภาพห้อง และเศษแก้วที่ตกกระจายบนพื้นเละเทะ ผมนั่งลงอย่างหมดอาลัยตายอยากบนโซฟากลางห้อง…ไม่ว่าที่ไหน อะไร ก็ทำให้ผมคิดถึงมันไปหมด นี่กูกำลังเป็นอะไรเนี่ย ไม่ใช่รักแรก ไม่ใช่วัยรุ่น แต่ทำตัวเหมือนคบกันมานานแสนนาน แล้วโดนหักอกยังไงไม่รู้ หึหึหึ ไอ้บ้า ไอ้โง่…
“ซัน…แก้ว….แก้ว…”
“เราถูกทิ้ง…อย่างที่แก้วเห็นนั่นแหล่ะ หึหึ”
“ซัน…”
“เพื่อนแก้วนี่ร้ายนะ…ร้ายมาก”
ผมพูด น้ำตาก็พลอยจะไหล ทำไมกูเป็นไปได้ขนาดนี้วะ ….ไอ้ตาเจ้ากรรมก็ดันไปเห็นรูปที่เราถ่ายด้วยกันบนโต๊ะ…ทำไมกูไม่รู้จักเก็บให้เป็นที่เนี่ย อะไรๆ ก็รู้สึกมันจะเป็นใจให้กูเหลือเกิน ผมเอื้อมมือไปกวาดรูปและข้างของบนโต๊ะจนตกกระจาย…
“ซัน!” เสียงคนข้างๆ ร้องอย่างตกใจ
“แก้ว…ทำไม ทำไม แก้วรู้มั้ยว่าทำไม” ผมหันหน้าไปมองคนข้างๆ ไม่รู้ว่าเพราะสายตาที่ขุ่นมัวหรือเคียดแค้นอย่างรุนแรง จนทำให้อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ข้างๆ ถึงกับสะอึก
“แก้ว…รู้มานิดหน่อย”
“อะไร! แก้ว รู้อะไร!” ผมรีบเข้าไปบีบแขนเล็กทั้งสองข้างของเธอจนลืมไปว่ากำลังทำอะไร
“โอ๊ยย ซัน แก้วเจ็บ” เสียงตกใจนั่นทำให้ผมรู้ตัว และคลายมือออก
“ข..ขอโทษ”
“คือ เท่าที่แก้วรู้มานะ คือ ตอนนี้พ่อของมาร์ช…โอนเงินทุกอย่างให้มาร์ชแล้ว”
“เงิน?...หมายถึง…”
“อืม มรดกน่ะ แก้วไม่รู้รายละเอียด แต่ที่รู้มาเพราะทุกคนหัวเสียกับเรื่องนี้มาก และพ่อของมาร์ชก็ไม่ออกมาอธิบายอะไร”
“เราไม่ได้อยากรู้เรื่องนี้….” ผมส่ายหน้าอย่างหมดหวัง
“แล้วอีกเรื่องที่แก้วรู้คือ….”
ผมเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวอย่างอิดโรย แต่ภายในใจก็กลับรู้สึกเหมือนมีแสงแห่งความหวัง…
“มาร์ชจะกลับอเมริกาคืนนี้”
นี่คือคำตอบสินะ….นี่คือคำตอบของมึงใช่มั้ย ขอบคุณนะ ขอบคุณในความบ้าของกู ที่พยายามจะรั้งมึงเอาไว้ นี่ถ้าแก้วไม่บอกกู กูคงไม่มีวันรู้เลยสินะ ว่าตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เราจะอยู่ห่างไกลกันข้ามทวีป…ห่างทั้งตัวและหัวใจ…
“ซัน…แก้วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างซันกับมาร์ช ต…แต่แก้วอยากให้ซันเข้มแข็งไว้” เธอเอื้อมมือมากอดผมเหมือนพยายามปลอบประโลม
“ไม่ใช่แค่แก้วหรอก เรายังไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น…ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้”
“แก้วก็ไม่รู้…แต่ช่วงงานศพแก้วว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ เพราะมาร์ชเองก็ดูเงียบไป เงียบจนเหมือนไม่ใช่มาร์ช”
“เพราะแม่เค้าเสียไงแก้ว….เราเข้าใจ….ว่าเค้าเสียใจมากขนาดไหน”
“รู้…แก้วรู้ แต่ไม่รู้สิ แก้วว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น”
ผมฟังแก้วพูดปลอบต่างๆ นานา แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย เพราะตอนนี้อะไรเข้ามาหัวมาก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่รับรู้อะไรรอบกายเท่าไหร่แล้ว…
“ช่างมันเถอะแก้ว”
“ซัน…”
“เราอยากอยู่คนเดียว….นะ” ผมหันหน้าไปยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นนัยว่า ไม่เป็นไรแล้ว…แต่มันคงดูฝืนมากจนเธอทำหน้าแหยใส่
“….ได้ เดี๋ยวแก้วจะกลับแล้ว แต่ซัน”
ผมเงยหน้าขึ้นมอง
“แก้วแค่อยากบอกว่า…บางอย่างที่ซันเห็น มันอาจไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้”
แล้วเธอก็ลุกขึ้น…เดินออกไปที่ประตู และหันกลับมาบอกอีกครั้ง
“มาร์ชไปไฟลท์ 2 ทุ่ม คืนนี้….”
…ปัง….
ทำไม ทำไม ทำไม…..ผมลุกขึ้นยืนตาม เดินวนรอบห้องเหมือนคนบ้า นี่กูทำอะไรอยู่วะ อย่า….อย่าเดินไปห้องนั้น อย่า….แต่ก็เหมือนร่างกายไม่ยอมทำตาม เพราะตอนนี้ผมได้มายืนอยู่กลางห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ห้อง…ที่เต็มไปด้วยความทรงจำ ….สองความทรงจำ
อา…น่ารักว่ะ มองกี่ทีก็น่ารัก ที่คอยังมีรอยจูบแดงๆ อยู่เลย…จะว่าไปมันก็ถ่ายรูปสวยนะ ผมจิ้มนิ้วลงบนรูปตัวเองที่ถ่ายโดยโพราลอยด์…ไม่ใช่หรอก เพราะคนมันหล่อมากกว่า หึหึ ส่วนอีกคนน่ะเหรอ โอเค ยอมรับว่ามันหล่อ ถ่ายมุมไหนก็หล่อ หมั่นไส้จริงๆ ไอ้ตัวแสบ…
ผมยกนิ้วขึ้นลูบไปตามกำแพงที่เต็มไปด้วยรูปขนาดโปสการ์ด…
‘สวยจัง’ คำพูดของมันดังก้องอยู่ในหัวผม …
‘สองความทรงจำต่างหาก’ นั่นสิ…แต่ทำไมอีกความทรงจำจอมแสบมันถึงทิ้งอีกความทรงจำไว้เบื้องหลังแล้วล่ะ ทำไม?....มึงพูดคำนี้มากี่ครั้งแล้วไอ้ซัน…มันมีมั้ยล่ะ คำตอบน่ะ ไม่มี..เพราะฉะนั้นก็หยุดถามได้แล้ว
‘อุ่นจัง’ …แต่ตอนนี้กูหนาวมากเลยมาร์ช กูหนาว…เพราะไม่มีมึงอยู่ข้างๆ
ผมก้มหน้าลงกับผนัง คว้ารูปบนผนังเข้ากระเป๋าตัวเอง แล้วหยิบอุปกรณ์ใส่กระเป๋าใบใหญ่ มองนาฬิกา …6 โมงเย็นแล้ว ไม่รอช้า รีบหยิบกุญแจรถดิ่งตรงออกไปจากคอนโดทันที…
นี่คือครั้งสุดท้าย….ความพยายามครั้งสุดท้าย และสัญญาว่าต่อไปนี้ กูไม่ทำอีกแล้ว…ไม่อีกแล้ว
ผมวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปในสนามบิน…ไม่รู้ทำไม ตอนนี้ทุกอย่างมันดูขวางหูขวางตาไปหมด ทั้งคน ทั้งเจ้าหน้าที่ สัมภาระ วิ่งชนคนไปกี่คนแล้วก็ไม่รู้…เพราะกระเป๋าใบใหญ่ข้างหลัง…ผมวิ่งไปที่นั่งพัก…มองซ้ายมองขวา ไม่มี แน่นอนล่ะ จะเจอได้ไง คนเป็นพันแบบนี้….ไม่ใช่ในหนังนะเว้ย
ผมลองกดมือถือหามันอีกครั้ง…ได้โปรดเถอะ…
‘ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้’
โธ่เว้ย!! ผมเตะถังขยะข้างดังโครมจนคนหันมามอง…เจ้าหน้าเริ่มหันมาทำหน้าระแวง ผมเลยต้องรีบวิ่งออกจากตรงนั้น ทำไงดีวะ….ทำไงดี….
เสียงโทรศัพท์ผมดัง…แก้ว
“ฮัลโหลแก้ว”
“ซัน…อยู่สนามบินใช่มั้ย”
“ช…ใช่” ผมแปลกใจที่แก้วรู้
“ซัน…มาร์ชอยู่ที่เกต….มาเร็วๆ”
“แก้ว….”
“เอาน่า ไม่ต้องถามอะไร รีบไปเถอะ นะ…”
“อื้ม ขอบใจนะ”
ผมรีบวางโทรศัพท์…แล้วดิ่งไปยังจุดหมายทันที ไม่นานก็ถึง มองตามหาร่างที่คุ้นเคย…อยู่ไหนนะ อยู่ไหน…
นั่น! ใช่แน่ๆ ถึงแม้จะใส่เสื้อคลุมฮู้ดตัวหนา กางเกงยีนส์พอดีตัว ใส่หมวกและแว่นตากันแดด แต่ผมก็จำได้ดี…คนที่ทำร้ายจิตใจผม…แต่ทำไม ทำไมถึงต้องดีใจขนาดนี้ด้วยวะไอ้ซัน…
แต่แล้วผมก็เห็นไอ้พี่แดน…มันเดินมานั่งข้างมาร์ช คุยอะไรกันสักอย่าง…คงไปด้วยกันสินะ
มือสองข้างกำแน่นจนชา…
ผมยืนอยู่ไกลๆ รอ….รอจนไอ้พี่แดนมันเดินออกไป โชคเข้าข้างผมแล้ว…
ผมเดินเข้าไปนั่งเบาะยาวตรงข้ามคนข้างหน้า….
“มาร์ช…” มันเงยหน้าขึ้นแบบตกใจ…เพราะผมเห็นมันหยุดหายใจไปชั่วขณะ
“….”
“มาร์ช…” ผมเริ่มเสียงเครือ…เพียงได้เห็นร่างตรงหน้า ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วย เค้ากำลังจะทิ้งมึงไปนะไอ้ซัน…ไม่สิ ทิ้งมึงไปแล้วต่างหากล่ะ
“….คุณทักคนผิดแล้วครับ”
“…มาร์ช ทำไมทำกับกูแบบนี้” ผมอึ้งกับคำตอบมัน…เอื้อมมือไปจะจับมืออีกฝ่าย แต่มันก็ชักมือกลับก่อน
“ขอโทษครับ เรารู้จักกันด้วยเหรอ”
“ได้โปรดเถอะ มึงจะฆ่ากูเหรอมาร์ช…มึงเกลียดกูมากเลยใช่มั้ย ถึงทำกับกูแบบนี้”
“….”
“มาร์ช …อย่างน้อยบอกได้มั้ยว่าทำไม”
“…”
“กูทำอะไรผิดงั้นเหรอ”
“…เปล่า”
“งั้นทำไมล่ะ…”
“มันหมดแล้ว”
“หืม?”
“เวลาของเรามันหมดแล้ว”
เวลา….มันหมดแล้ว? ใครไปกำหนดมันเหรอ ใครไปกำหนดเวลาของเรา อ๋อ…มึงสินะ ที่เป็นคนไปหยุดนาฬิกาของเราสองคนไว้
“มาร์ช”
“บอกแล้วว่าผมไม่รู้จักคุณ”
ผมได้แต่เงยหน้าขึ้น กุมขมับตัวเอง….
“ครับ…”
อีกฝ่ายทำท่าจะลุกขึ้นหนี…
“เดี๋ยว!”
มันหันหน้ากลับมา…
“ขอร้องล่ะ ช่วยนั่งอยู่ตรงนี้อีกแป๊ปนึงเถอะ…นะ…ครับ”
คนๆ นั้นลังเลชั่วครู่….แล้วจึงกลับมานั่งที่เดิมแบบจำใจ
“ขอโทษด้วย พอดีคุณหน้าเหมือนคนๆ นึง…คนนึงที่ผมรักเค้ามาก….ถ้ายังไง…ผมฝากเพลงนี้ไปให้เค้าได้มั้ย เผื่อว่าคุณอาจจะรู้จัก”
ผมกลืนน้ำลายตัวเอง แล้วหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมมาด้วยออกมา….กีตาร์โปร่ง…
“เค้าคนนั้นกำลังจะจากผมไปยังที่แสนไกล…อย่างน้อย อยากให้เค้าได้ฟังเพลงนี้”
ก็รู้ว่าฉันไม่มีความหมาย และรู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้ ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งหมดหวัง
เมื่อเธอ ไม่เคยจะหันมองที่ฉัน และไม่มีแม้วันที่เธอจะมาสนใจ
และก็รู้ไม่นานเท่าไรเธอคงต้องไปจากฉัน
* แต่(ก็เพราะว่า)ตอนนี้ยังมีเวลา ที่ฉันจะหาเหตุผลดีดี
มาฉุดรั้งเธอตอนนี้ แต่ก็รู้ดี ไม่มีหวัง
** ต่อให้ฉันจะรักเธอมากเท่าไหร่ แต่ก็รู้ว่าเธอ คงจะไม่สนใจ
แต่ยังฝันไกล และยังคงหวังเอาไว้ข้างในจิตใจ ว่าซักวันเธอจะมีฉัน
แต่ก็รู้เป็นไปไม่ได้ เมื่อเธอคิดว่าฉันไม่ใช่
แต่ไม่เป็นไร อยากจะขอมีเธอเรื่อยไปในใจไปอีกแสนนาน
และแม้สิ่งที่ฉันทำวันนี้ มันอาจไม่ทำให้เธอได้รู้สึกดี
สิ่งที่ใจเธอพอจะมีก็เพียงแต่ความรำคาญ
แต่อยากจะขอให้เธอได้ฟังเอาไว้ บทเพลงสุดท้ายที่ฉันตั้งใจจะมอบให้ไป
ที่กลั่นออกมาจากใจและมีให้เธอผู้เดียวเท่านั้น
( * , ** )
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ กว่าที่ฉันจะลบเธอจากใจ
กว่าที่ความทรงจำดีๆ มันจะเลือนหาย กว่าจะได้รักใครอีกครั้ง
...ฉันจะหาเหตุผลดีดี มาฉุดรั้งเธอตอนนี้ แต่ก็รู้ดี ไม่มีหวัง
( ** )
เมื่อเธอคิดว่าฉัน ไม่ใช่ แต่ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่ฉันจะยังหายใจ จะรักเธอไปตลอดกาล“จะรักเธอไปตลอดกาล….”
ผมปล่อยกีตาร์คอร์ดสุดท้ายอย่างไม่เต็มใจ….ท้ายๆ เพลง น้ำตาผมเริ่มไหลแล้วครับ...อยากให้มันยังอยู่แบบนี้ ไม่อยากให้มันจบลง คนรอบข้างจะหันมามองหรือไม่ ยังไง ผมไม่สนใจ….รู้แต่ผม ตลอดเวลาที่ผมเล่น สายตาจับจ้องอยู่ที่คนตรงหน้า พยายามที่จะจำทุกรายละเอียด…เส้นผม ใบหน้า คอ แขน ขา…ทุกอย่าง….ไว้ในความทรงจำ
คนที่สวมแว่นกันแดดสีดำสนิท…ไม่เปิดเผยอารมณ์ออกมา แต่ผมลอบสังเกตว่าเค้าเม้มปากเป็นบางช่วง มือสอดไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมแน่น คิ้วสั่นระริกเล็กน้อย….นั่น….คืออะไร
ได้โปรดเถอะมาร์ช….ความรู้สึกทั้งหมดของกู…กูบอกมึงไปหมดแล้ว
บอกมาแค่คำเดียว แค่คำเดียว…กูจะตัดใจ
“ขอโทษครับ ...ขอตัว”
ชายแปลกหน้าคนนั้นลากกระเป๋าใบโต เดินจากผมไป…อย่างไร้เยื่อใย
ผมรีบลุกขึ้น
“ถ้าอย่างนั้น…ผมฝากคืนความทรงจำนี้ ให้กับเค้าคนนั้นด้วยนะครับ”
ว่าแล้วก็หยิบรูปถ่าย….ใส่มือของอีกฝ่ายอย่างบังคับ แล้วหันหลัง เดินออกมาทันที…โดยไม่หันกลับไปมองอีกเลย
*** END ภาค 1***