^
^
^

***
Round 14... ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิด ณ ชั้นหนึ่ง พวกการ์ดก็พลันวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา แต่แล้วก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตกเมื่อไม่เห็นท่าทีพิรุธอย่างไอ้ผู้ชายคนนี้มันจะจับคุณหนูเป็นตัวประกันปล้นจี้ชิงทรัพย์เรียกค่าไถ่ หรือจะทำมิดีมิร้ายอะไรหรือไม่(ถึงจะทำไปแล้วก็เถอะ - -)
“มีเรื่องอะไรกัน?” ไอ้มาร์ชทำหน้างุนงง มองทุกคนที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ตอนนี้
“ค..คุณหนูปลอดภัยดีใช่มั้ยครับ?” ลุงคนแก่ที่เป็นหัวหน้าละล่ำละลักถาม
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรน่ะสิ ถามทำไม แล้วอะไรเนี่ยลุง มายืนทำอะไรกันอยู่ตรงนี้ ไม่ไปทำงานทำการ”
“ก็…ผู้ชายคนนั้น” ไอ้คุณลุงแกมองผมด้วยหางตาแล้วโบ้ยปากชี้มาทางผม
“มันบุกขึ้นไปข้างบน แล้ว…ก็หายไปเลย ผมมาดูจากกล้องวงจรปิดอีกทีเห็นมันลงลิฟท์มากับคุณหนูเลยคิดว่ามัน..”
“ทำไม…คิดว่าเป็นผู้ร้ายงั้นสิ” ไอ้มาร์ชหัวเราะเบาๆ ขำกับอาการไม่สู้ดีของชายสูงวัยข้างหน้า
“ก็ใช่น่ะสิครับ คุณหนูเป็นคนสั่งห้ามพวกผมไม่ให้อนุญาตคนๆ นี้เข้าโรงแรมของเราเองนี่ครับ” แกก้มหน้าก้มตาเหงื่อตก
“อืมมม ก็จริง ยกเลิกกฎนั้นชั่วคราวละกัน…ป่ะ”
มันหันหน้ามาเรียกผมที่ยืนเหวออยู่หลังจากสั่งงานเสร็จแล้ว เดินนำไปข้างหน้า แต่แล้วก็หยุดกะทันหันเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
“มึงจอดรถไว้ไหน” มันหันหลับมาถาม
“เออว่ะ..ลืมไปเลย โยนกุญแจทิ้งไว้ให้พนักงานแล้วก็ไม่ได้สน อยู่ไหนแล้ววะเนี่ยรถกู” ผมเกาหัวแกรกๆ
“งั้นเหรอ”
ไม่นานไอ้มาร์ชก็โบกมือเรียกพนักงานที่ใกล้ที่สุด คุยอะไรไม่รู้พักนึงแล้วชายคนนั้นก็วิ่งหายไป ครู่เดียวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับกุญแจรถผมในมือ
“เอ้า” มันโยนมาให้ผม
“ขอบใจ…แล้ว…จะไปไหน”
“ไปกินข้าวไง หิวจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย” มันทำหน้ายุ่งเอามือลูบท้องเหี่ยวตัวเองป้อยๆ
“ก็รู้แล้ว แต่จะไปกินที่ไหนไม่ทราบครับคุณ” ผมถอนหายใจกับอาการเอาแต่ใจตัวเองและสื่อสารไม่ค่อยจะรู้เรื่องของมันไม่หาย
“งั้นไปที่นี่กัน…ร้านขนมจีนยายปากหวาน”
“หะ…ขนมจีนยายปากหวาน? มันอยู่ส่วนไหนของโลกวะนั่น” ผมยักคิ้วถามมัน…ชื่อร้านก็กินขาดแล้ว
“ปัดโธ่ ไม่ได้เรื่องเลยว่ะ มานี่กูขับเอง” แล้วมันก็แย่งกุญแจไปจากมือผม เดินตรงไปยังลานจอดรถด้านหน้าโรงแรม ตรงดิ่งเข้าไปไขกุญแจรถ แล้วทิ้งตัวลงนั่งเบาะคนขับทันที
“เฮ้ยๆ ขับได้เหรอวะ มีใบขับขี่มั้ยเนี่ย” ผมรีบเดินตามมาเกาะที่ประตูฝั่งมัน แต่มันบอกโบ้ยๆ มาว่ามีแหล่ะน่า แล้วก็ไล่ผมมานั่งข้างๆ เมื่อทุกอย่างลงตัวมันก็ออกรถ ตอนแรกก็ตะกุกตะกักเล็กน้อย พอเริ่มชินก็ขับปร๋อเลยครับงานนี้ ระหว่างทางมันก็เปิดเพลงฟังสบายอารมณ์ตามประสาไม่เคยเกรงใจใคร ส่วนผมเหรอ…นั่งเงียบมองหน้ามันเป็นระยะ บอกตามตรงครับว่ายังไม่ค่อยไว้ใจอาการมันสักเท่าไหร่ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบนี้มันจะเป็นโรคอะไรหรือเปล่านะ?? แล้วมันต้องมีสาเหตุสิ….รึว่าจะเป็นเรื่องนั้น…อยากจะถามมันชะมัด แต่ก็ไม่อยากเสี่ยง เดี๋ยวเกิดบ้าอาละวาดขึ้นมากลางถนนแบบนี้ ได้ตายหมู่แหงๆ
ไม่นานเราสองคนก็มาถึงร้านขนมจีนยายปากหวานที่ไอ้มาร์ชโฆษณาชวนเชื่อไว้ว่าเส้นนุ่ม น้ำยารสเด็ด เหมือนเดิมครับ มันตรงลิ่วๆ เข้าทักทายเจ้าของร้านราวกับสนิทสนมกันมานานชาติเศษ นั่งโต๊ะและจัดการสั่งเผื่อผมโดยไม่ถามสักคำ ผมเองก็เริ่มชินแล้วด้วยสิ เลยปล่อยให้มันสั่งไปตามใจชอบ เพราะคราวที่แล้วเมนูที่มันเอามาก็อร่อยทุกอย่างจริงๆ
“หนูจ๋า เติมอีกหน่อยมั้ยจ๊ะ ผู้ชายเค้าต้องทานเยอะๆ นะจ๊ะ จะได้รูปร่างสมบูรณ์สาวๆ หลง สาวๆ รัก…เอาอีกชุดนะ น่า นะ สุดหล่อทั้งสอง”
โห…เก็ทเลยครับงานนี้ว่าทำไมถึงชื่อขนมจีนยายปากหวาน ก็คุณยายแกเล่นพูดยอซะขนาดนี้ ไม่เติมก็ให้มันรู้ไป สงสัยแกจะรู้ด้วยว่าผมสองคนบ้าจี้ ก็เล่นสั่งเพิ่มคนละ 2 ชุดซะงั้น…
หลังจากอิ่มหมีพลีมันแล้ว ผมกำลังคิดว่าจะทำยังไงต่อดี…ก็พลันเหลือบไปเห็นไอ้ตัวแสบหยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นขึ้นมาดู แล้วก็กดปิดเครื่องไป ผมไม่ได้สนใจอะไร จนกระทั่งมันพูดขึ้นมา…
“ไปละ ขอบใจนะเว้ย เจอกัน” มันลุกขึ้นพรวดพราดจนผมตกใจ รีบลุกตามแล้วดึงแขนเอาไว้
“จะไปไหน”
“อ่าว ก็ไปตามทางของกูไง หึหึหึ” มันยกมุมปากหัวเราะยียวน
“ไปด้วยกัน”
“ทำไม”
“ไม่ทำไม แต่ต้องไปด้วยกัน”
“อะไรวะ ทำไมกูต้องไปกับมึงด้วยเนี่ย” ไอ้มาร์ชเริ่มทำหน้ายุ่ง โวยวายเสียงดัง
“เออน่า...นิ่งซะเดี๋ยวพาไปเที่ยว”
มันอึกอักๆ แต่ก็โดนผมลากไปขึ้นรถแต่โดยดี แถมยังได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ว่า “กูไม่ใช่เด็กนะ...” ผมหัวเราะในลำคอ ลอบยิ้มกับความน่ารักปนฮาของมัน แล้วก็เบี่ยงตัวลงนั่งที่คนขับเตรียมตัวเดินทาง
“อยากไปไหน?” ผมหันหน้าไปถามมัน
“...แดรกเหล้า เมายา เอาหญิง” เฮ้ออ เวรกรรม...อะไรของมันเนี่ย วงจรชีวิตยังกับชีปะขาว ช่วยเปลี่ยนแปลงบ้างได้มั้ย
“ไม่อยากทำอะไรอย่างอื่นนอกจากนี้แล้วรึไง” ผมถามมันเนือยๆ
“ทำอะไร...มีอะไรอย่างอื่นให้ทำรึไง ชีวิตกูก็มีอยู่แค่นี้แหล่ะ” มันทำหน้านิ่ง เอามือเท้าคาง หันออกไปมองวิวนอกหน้าต่าง
“ถามอีกครั้ง...อยากไปไหนมั้ยนอกจากผับ บาร์ โรงแรม” ผมเริ่มออกรถตามที่คิดเอาไว้
“เออ อยากไปที่นึงมั้ยล่ะ เด็ดนะเว้ย กูแนะนำ ร้านประจำกูอีกที่เลย...ผู้หญิงแม่ง อย่างงี้เลย” มันยกนิ้วโป้งให้ผม แล้วขยิบตา ยิ้มกวนๆ
“ไม่ล่ะ...กูมีที่
เด็ดกว่านั้นอีก”
ผมหันไปยิ้มมุมปากตอบ แล้วหันหน้ากลับมามองถนนขับรถต่อ...ส่วนไอ้มาร์ชก็หัวเราะชอบใจ คิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับมันแล้ว จึงนั่งพิงหลังกับเบาะรถนุ่ม ผิวปากอย่างสบายอารมณ์
“เฮ้ย! นี่มันอะไรกันวะ!?” ไอ้หน้าหล่อที่ตอนนี้ก้าวลงมาจากรถ ยืนเหวอโวยวายอยู่ข้างๆ ผม มันหันหน้ามามองผมทีสลับกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าทีเหมือนกับไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็น
“
เด็ดมั้ยล่ะ หึหึ”
ผมและมันเงยหน้าขึ้นมองป้ายหลากสีข้างบน ที่เขียนไว้ว่า
“Dream World : Welcome to the World of Happiness” “เชี้ยซัน! พากูมาที่นี่ทำไม!” มันหันมาทุบเข้าที่แขนผมทีนึง แล้วหันหน้าหนีทำท่าจะขึ้นรถ
“เดี๋ยวๆๆ จะไปไหนเล่า มาแล้วก็เข้าไปข้างในหน่อยสิ” ผมหันไปล็อกคอมันเอาไว้ แล้วลากเข้าไปที่ช่องซื้อตั๋วด้วยกัน
“ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอาโว้ยยยยยย”
ผมจัดการซื้อตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ 2 ใบเรียบร้อย พนักงานขายเห็นแล้วคงงงผสมขำเล็กน้อยที่เห็นผู้ชายสองคนมาเที่ยวสวนสนุกด้วยกัน แล้วไอ้อีกคนก็ยิ้มร่าหน้าแป้นเห็นลักยิ้มชวนฝัน ส่วนอีกคนที่หน้าตาหล่อเหลาใสกิ๊ง แต่ตอนนี้ดิ้นจนจะหมดหล่ออยู่แล้ว เป็นภาพที่แปลกน่าดู...
ผมถูลู่ถูกังลากตัวไอ้มาร์ชผ่านประตูเข้ามา เดินชมบ้านการ์ตูนน่ารักมากมายบริเวณทางเข้า ตอนแรกไอ้คนข้างๆ ก็โวยวายดิ้นแด่วๆ อยู่นั่นแหล่ะ แต่ไปๆ มาๆ ไหงถึงกลายมาเป็นเดินชี้นู่นชี้นี่กับผมซะแล้วก็ไม่รู้ แถมท่าทางจะตื่นเต้นกว่าผมซะอีก
“อ่ะโด่...ที่อเมริกาหรูกว่านี้เยอะ กระจอกว่ะ” มันกอดอกตัวเอง แล้วยืนเต๊ะท่ามองซ้ายมองขวาไปเรื่อย
“หึหึหึ เหรอ...งั้นคราวหน้าพาไปเที่ยวมั่งนะ” ผมอดหยอกมันไม่ได้เพราะปากก็พูดไปงั้น แต่ตานี่วาวเหมือนเด็กเห็นของเล่นใหม่เชียว
“อืม....เอ้ย! เรื่องดิ” มันหันมาย่นจมูกใส่ผม แล้วเดินนำหน้าไปลิ่วๆ
ตอนนี้พวกเราเดินผ่านโซนแรกที่เป็นพวกสวนดอกไม้ น้ำพุ บ้านตุ๊กตาและร้านขายของที่ระลึกเข้ามาแล้วครับ...ต่อมาจึงเข้ามาในโซนเทพนิยาย เป็นพวกบ้านคนแคระเอย บ้านยักษ์เอย …
“ซัน ดูนี่ๆ” ไอ้มาร์ชเดินเข้าไปชี้ตัวตลกที่กำลังเดินบนไม้ต่อขายาวสูงท่วมหัว แล้วหันมายิ้มให้ผม
“ถ่ายรูปมั้ย” ผมถามพร้อมกับหยิบกล้องที่ติดกระเป๋ากางเกงมาด้วยโชว์ให้ดู
“มีกล้องเหรอ...เอาสิๆ ถ่ายให้หน่อย” มันยิ้มกว้างกว่าเดิม แล้ววิ่งเข้าไปเจรจากับคุณตัวตลกขอถ่ายรูปด้วย
พวกเราเดินวนแถวนั้นสักพักก็ได้รูปถ่ายมาไม่ต่ำกว่า 20 รูป...ส่วนใหญ่เป็นรูปไอ้มาร์ชที่ผมอาสาถ่ายให้ทั้งนั้น ตอนนี้มันคงลืมไปแล้วว่าใครกันน้าที่โหวกเหวกโวยวายไม่ยอมจะเข้ามา แต่ไหงถึงได้ดูลัลล้าสดชื่นกว่าคนชวนตั้งหลายเท่า ผมคิดไปยิ้มไปในใจ
ในที่สุดเราก็มาถึงโซนเร้าใจครับ...โซนเครื่องเล่น....
“เล่นอะไรก่อนดี” มันหันหน้ามาถามผมท่าทางระริกระรี้สุดชีวิต คงอยากเล่นมันทุกอย่างแหล่ะดูท่าทางแล้ว แต่เลือกไม่ถูกมากกว่า
“เฮอริเคน”
ผมตอบพร้อมกับเดินจูงมือมันดิ่งไปต่อแถวเครื่องเล่นทันที มันเองก็ยอมเดินตามต้อยๆ ท่าทางตื่นเต้นจนไม่สนแล้วด้วยซ้ำว่าผมกำลังกุมมือมันอยู่ …พวกเราต่อคิวกันไม่นานนักเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาคนเลยไม่เยอะเท่าไหร่ และแล้วพนักงานก็ต้อนผมและมันไปนั่งบนเครื่องเล่น เลื่อนที่ล็อกคอและลำตัวลง ผมหันไปมองหน้าไอ้มาร์ช เห็นมันหน้าซีดชอบกล
“เฮ้ย โอเปล่า”
“...อึก....สบายมาก” มันหันมายิ้มเจื่อนๆ ให้ผม แล้วหลับตาเมื่อเครื่องเล่นเริ่มขยับ
และแล้วเครื่องเล่นก็เริ่มหมุนวนไปวนมา กลับหัวบ้าง หงายบ้าง เสียงกรี๊ดมีเป็นระยะๆ ผมเองก็มึนๆ ครับ ไม่ได้หันไปมองไอ้คนข้างๆ เลยว่าเป็นยังไง ....ไม่นานทุกอย่างก็สงบ ผมกับไอ้มาร์ชเดินโซซัดโซเซลงมาจากเครื่องเล่น
“มันส์ว่ะ” ไอ้มาร์ชพูดพร้อมกับยิ้มอย่างสะใจทั้งๆ ที่หน้ามันยังซีดๆ หัวฟู...ไม่ต่างจากผม
“หึหึ ให้มันแน่ นี่แค่เริ่มต้น” ผมยืดตัวขึ้น ยิ้มให้มันเป็นเชิงท้าทาย...ส่วนมันน่ะเหรอ...ยิ้มแล้วผงกหัวเชิดหน้าเป็นเชิงตอบรับ ประมาณว่า จัดมา อย่าให้เสีย...
แล้วผมกับมันก็ตะลุยด่านเครื่องเล่นนานาชนิดด้วยความบากบั่น แต่ความจริงก็ไม่ค่อยมีอะไรที่มันระทึกเท่าไหร่หรอกครับที่นี่ ยกเว้นไอ้ที่มันเป็นรถไฟเหาะในถ้ำมืดๆ สเปซอะไรสักอย่างจำไม่ได้แล้ว....ตอนแรกมันก็ให้นั่งบนรถไฟธรรมดานี่แหล่ะ...ไฟสว่างโร่ดีอยู่ เริ่มต้นด้วยการพาขึ้นเนินสูงช้าๆ นานมาก...
“อะไรวะ ไม่เห็นมีอะไรเลย” ไอ้มาร์ชนอนพิงเบาะ บ่นเบาๆ
“....เฮ้ย นั่งดีๆ สิ” ผมเอื้อมมือจับแขนมันที่กำลังยืดเส้นยืดสายให้ลดลง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่เห็นมีอะไรเลย เห็นมั้..”
ไม่ทันสิ้นเสียงรถไฟก็ตกลงสู่เบื้องล่างอันมืดมิดด้วยความเร็วสูง ยังไม่ทันสุดปลายทางดีก็เลี้ยวสะบัดไปทางซ้ายบ้าง ทางขวาบ้าง ผมได้ยินเสียงร้องของไอ้มาร์ชลั่น....ยอมรับครับว่าน่ากลัวจริงๆ เพราะข้างในมันมืดมาก เรามองไม่เห็นเลยว่ามันจะไปทางไหน ยิ่งตอนดิ่งลงนี่เหมือนกับตกลงจากยอดตึกตอนกลางคืน เสียวมากๆ
ผ่านไปสักพักก็เห็นจุดแสงไฟสีขาวสว่างลิบๆ แล้วรถไฟก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลง กลายเป็นวิ่งเอื่อยๆ เข้าสู้อู่....
“โอยยย เล่นกันไม่ทันตั้งตัวนี่หว่า” ไอ้มาร์ชบ่นกระปอดกระแปดตอนเดินออกมาจากเครื่องเล่น หน้าตามึนๆ ผมตั้งๆ ตลกมากมาย
“ก็บอกแล้วว่าให้นั่งระวังๆ ไม่ฟัง” ผมเอื้อมมือไปลูบผมมัน จัดให้เข้าทรง มันทำหน้าบูดใส่แล้วยกมือขึ้นจัดหัวตัวเองเอง
“บอกตอนไหนฟะ”
“อ่าว ไม่ฟังเอง อย่ามาโทษกันนะ ไอ้ขี้พาล” ผมรีบเดินตามมันไปแล้วขยี้เข้าที่หัวมันอย่างแรง
“อย่าดิไอ้บ้า ผมยุ่งหมดละ....แล้วใครขี้พาลฟะ” มันเดินหนีแต่โดนผมเกี่ยวคอเอาไว้ กลายเป็นเราสองคนเดินตัวชิดกันจนเซไปเซมาเพราะมัวแต่เล่นกันหยอกกัน เดินไปอีกหน่อยก็ผ่านบ้านผีสิง ไอ้ผมน่ะไม่อยากเข้าไปหรอก แต่ทนเสียงรบเร้าจากไอ้ตัวแสบข้างๆ ไม่ได้ เลยต้องเข้าไปเป็นเพื่อนมัน ผมเดินจนชินแล้วครับ ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด ตอนแรกผมก็นึกว่าไอ้มาร์ชมันจะกลัวนะเพราะเห็นพยายามพาผมเข้าไปด้วยจัง ที่ไหนได้มันคิดจะแกล้งผมครับเพราะมันคิดว่าผมกลัว หึหึหึ หลอกพี่ไม่ได้หรอกจ๊ะน้องเอ๋ย มือมันคนละชั้น...ผมเลยแกล้งมันกลับด้วยการดึงแขนมันให้เข้าไปหาไอ้ตรงที่มันจะมีผมสีดำๆ เป็นกระจุกเหมือนคนหัวขาดหล่นลงมา...มันร้องตกใจ
“เฮ้ยยยย ไรฟะ! แม่งงง สกปรก!” อ่าวเวร...กูก็นึกว่ามันจะตกใจที่เห็นเป็นผี ที่ไหนได้ไอ้คุณชายจอมสำอางมันกลัวเสื้อเปื้อนครับ - -
แล้วพวกผมก็เดินออกมาจากบ้านผีสิงด้วยอารมณ์ขำๆ มากกว่า...ที่บอกว่าขำก็เพราะมามัวแต่คอยสังเกตปฏิกิริยาคนอื่นเวลาเจอผีจะเป็นยังไง แล้วก็ยืนกลั้นหัวเราะกันอยู่สองคน....ถ้าไอ้คนที่ร้องกรี๊ดข้างหน้ามันเห็น คงอยากหันมาด่าอยู่ไม่ใช่น้อย
และแล้วพวกผมก็เล่นเครื่องเล่นจนเกือบครบแหล่ะครับ ยกเว้นไม่ได้เข้าเมืองหิมะเพราะไอ้มาร์ชบอกว่าเห็นจนเบื่อแล้ว จะเข้าไปดูอีกทำไม...พวกผมเลยเดินชมบรรยากาศยามเย็นของสวนสนุกที่มีผู้คนต่างวัยทั้งผู้ใหญ่ วัยรุ่นและเด็กเดินไปวิ่งมากันให้วุ่น ผมมองภาพเด็กผู้หญิงวิ่งไปหาผู้ชายวัยกลางคนที่น่าจะเป็นพ่อ อ้อนขอให้ซื้อขนมให้กิน เด็กผู้ชายก็เล่นกันบ้าง ยืนถ่ายรูปกับรูปปั้นโจรสลัดบ้าง หน้าตายิ้มแย้มสดใส ไม่ก็คู่รักหนุ่มสาวที่ยืนออดอ้อนผลัดแบ่งกันเลือกว่าจะเล่นอะไรก่อนดี....เห็นแล้วรู้สึกจิตใจสงบและมีความสุขขึ้นเยอะครับ
คนที่ยืนข้างๆ ผมก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน เพราะสายตาคู่นั้นดูอ่อนโยนมากขึ้น รอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าปรากฏเมื่อเห็นภาพของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายวิ่งเล่นหยอกล้อกันไปมา ผมเลื่อนมือจากกอดคอมัน ไล่ต่ำลงมาเรื่อยๆ จนถึงข้อมือเล็กนั่น...แล้วสอดนิ้วเข้าประสานกับมือเย็น ลูบเบาๆ....จนอีกฝ่ายหันหน้ามาเมื่อรู้สึกตัว....ผมยิ้มน้อยๆ ส่งให้ แล้วเดินนำหน้าไป...โดยที่ไม่มีแรงขัดขืนใดๆ จากมือนั่น
พวกเราเดินย้อนกลับมาจนจะสุดปลายทางเริ่มต้น แล้วสายตาผมก็พลันเหลือบไปเห็นเครื่องเล่นหนึ่งที่พวกเรายังไม่ได้เล่น...
“ไปขึ้นนั่นกันเถอะ” ผมบอก พร้อมออกแรงดึงให้อีกฝ่ายเดินตาม
“ไม่เอา....ถ้าขึ้นแล้วก็ต้องเดินย้อนกลับมาใหม่อ่ะดิ”
“ไม่เห็นเป็นไร...เรามีเวลาทั้งวันไม่ใช่เหรอ”
ผมยิ้มให้มัน แล้วเดินน้ำหน้าไปยังเครื่องเล่นโดยที่มือยังกุมมือที่เริ่มอุ่นของไอ้มาร์ชไว้...จัดแจงต่อคิว ไม่นานเราก็เข้าไปในกระเช้าสีขาวที่พาชมทั่วสวนสนุก...โชคดีที่ตอนนี้เย็นมากแล้ว แถมยังคนน้อย กระเช้านั้นเลยมีพวกเราแค่เราสอง....
ผมกับมันนั่งคนละฝั่งกัน....กระเช้าค่อยๆ เคลื่อนตัวตามแนวรางสายไฟช้าๆ ปล่อยให้ผู้โดยสารได้ชมทิวทัศน์กว้างรอบๆ พวกเรานั่งเงียบมองออกไปด้านข้างจนเกือบครึ่งทาง ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ...
“เฮ้ย มาร์ช ดูนั่นสิ สุดยอดเลยว่ะ” ผมชี้มือลงไปด้านซ้ายด้านล่าง แล้วทำท่าเซอร์ไพรส์สุดยอด
“ไหนๆ อะไร” มันมองตามมือผม แต่ก็หาไม่เจอ
“นี่ไง ดูดิ เร็วๆ จะพ้นแล้ว” ผมเร่งให้มันมองตามยิกๆ..แต่มันก็ยังทำหน้ายู่ คิ้วขมวด บ่นว่าอะไร ชี้อะไร อยู่ตรงไหน ไม่เห็นอะไรเลย
“สงสัยต้องมองจากฝั่งนี้ถึงจะเห็น...เร็ว...ข้ามมานั่งฝั่งนี้สิ” ผมบอกมันพร้อมกับกวักมือเรียก ไอ้มาร์ชก็รีบทำตาม ลุกขึ้นจากฝั่งตัวเอง ค่อยๆ เดินมานั่งข้างตัวผม แล้วยื่นหน้าเข้ามาดูตรงที่ผมชี้
“ไหนล่ะ ยังไม่เห็นอะไรเลย”
“เสียใจด้วย มันผ่านไปแล้วว่ะ” ผมยิ้มบอกมัน อาศัยจังหวะที่มันทำหน้าเซ็งถอยหลังกลับนั้นโอบเข้าที่ไหล่แล้วออกแรงดึงให้เขยิบเข้ามาชิดตัว ไอ้ตัวแสบหันหน้ามามองทำตาดุๆ ใส่ผมเพราะเหมือนจะรู้ทันที่ผมแกล้งหลอกมัน...แล้วยกไหล่ขึ้นปัดมือผมออก...แต่มันออกซะที่ไหนล่ะ เหนียวขนาดนี้ หึหึ
“หลอกกู” มันทำหน้าโกรธ แต่ไหงผมเห็นว่ามันทำท่างอนปากยื่นปากยาวก็ไม่รู้ น่ารักชะมัด...
“ไม่ได้หลอก...มันผ่านไปแล้วจริงๆ”
“ไม่เชื่อ ไม่เห็นจะมีอะไร”
“อ่าว ไม่เชื่อก็หันกลับไปดูสิ”
ผมบอก...แล้วมันก็ทำตาม เอี้ยวคอหันหลับไปดูด้านหลังว่ามี “อะไร” แบบที่ผมว่าหรือไม่...ผมหมั่นเขี้ยวเลยแกล้งกดจมูกลงกับแก้มขาวนั่นทีนึง...ไอ้มาร์ชทำตาโตหันขวับมาจ้องผมเขม็ง แล้วยกมือขึ้นต่อยท้องผมเบาๆ
“โอยย ต่อยทำไมครับบบบ” ผมหัวเราะแกล้งทำท่าเจ็บ เอามือกุมท้อง
“ก็เมื่อกี้ทำอะไรล่ะ” มันทำท่าจะต่อยท้องผมอีกที แต่ผมทำท่าร้องโอ๊ยยยก่อน
“ยัง! ยังไม่ทันทำอะไรเลย” แล้วผมกับมันก็หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน...นานๆ ทีเล่นอะไรเหมือนเด็กก็ผ่อนคลายดีนะครับ เพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็ดีใจที่ทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมาจากข้างในได้ซะขนาดนี้...
พวกเราสองคนนั่งหัวเราะแกล้งกันอย่างนู้นอย่างนี้ ด่ากันบ้าง ตบหัว ลูบหลัง เผลอเตะกันกลางกระเช้าจนกระเช้าเอียงก็มี....แต่ที่ดังกว่าอะไรอื่นคือเสียงหัวเราะของพวกเรา....จนผมอดคิดไม่ได้ว่าคนที่นั่งกระเช้าอื่น หรือคนข้างล่างจะได้ยิน แล้วหันมาด่ามั้ย....เพราะตอนนั้นมันมีความสุขจริงๆ ครับ
เวลาผ่านไปเกือบ 20 นาที ผมและมันก็เดินลงจากกระเช้าพร้อมรอยยิ้ม หยอกกันไปหยอกกันมาตลอดทางที่เดินกลับ ถึงแม้จะค่อนข้างไกล แต่สำหรับเราสองคนมันเหมือนเพียงครู่เดียว...มันกระโดดเตะ กอดคอผมบ้าง ผมเองก็เข้าไปคว้าเอว อุ้มมันขึ้น แกล้งทำเป็นจับโยนลงน้ำบ้าง มันก็หัวเราะ ด่า เอะอะ โวยวายเปื้อนรอยยิ้มตามประสา....จนพวกเราเดินออกมาที่รถทุกอย่างก็มืดสนิทแล้ว ตกลงกันว่าจะขับกลับไปโรงแรมของมันก่อน ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วจะออกมาหาอะไรกินกันอีกที...ระหว่างทางที่ผมขับรถ ไอ้มาร์ชก็หยิบกล้องขึ้นมาดูรูป พยายามยื่นให้ผมดู แต่ก็ต้องท้วงกลับไปเพราะกำลังขับรถอยู่ แต่มันก็ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด กลับยังคงยิ้มร่า ดูรูปไปหัวเราะไปจนมาถึงที่พัก
ก่อนที่พวกเราสองคนจะกดลิฟท์เพื่อนขึ้นไปบนห้อง ก็มีหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งที่ตอนแรกทำท่าเหมือนจะเดินผ่านไป แต่ก็ต้องหยุดชะงัก ยกนิ้วขึ้นลดแว่นกันแดดอันโตลง แล้วมองมาที่พวกผม
“มาร์ช? นั่นใช่มาร์ชรึเปล่าจ๊ะ?” เธอเดินเข้ามาประชิดตัวแล้วถาม
“...อาทิพย์” มาร์ชตอบเสียงสั่น ทำหน้าตกใจเมื่อเห็นเธอ
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ยเรา? รู้มั้ยทุกคนเค้าตามหาตัวเธอกันจ้าละหวั่นขนาดไหน??”
“ผม....”
“เอาล่ะ...ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เราตามอามานี่เลย พ่อเธอโกรธจนจะลุกเป็นไฟแล้วนะรู้ตัวบ้างมั้ย”
“ไม่...ไม่เอา ไม่ไป” ไอ้มาร์ชออกอาการดื้อฉับพลัน มันเกร็งตัวแข็งทานแรงดึงของคนที่มันเรียกว่า “อาทิพย์” ไว้
“อย่ามาดื้อนะเรา! ทำไมทำตัวแบบนี้หึ! เมื่อก่อนยังไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย”
เธอโวยวายเสียงดังกลางล็อบบี้ ไอ้มาร์ชก็ทำทีแข็งกร้าวไม่ยอมจะไปเสียให้ได้ เธอจึงเงื้อมมือขึ้นหมายจะฟาดลงบนหน้าขาวของมัน...เห็นแล้วทนไม่ได้ ด้วยความรวดเร็วผมจึงยกมือขึ้นจับข้อมือเธอค้างไว้กลางอากาศแบบนั้น
“ใจเย็นๆสิครับ...คุณผู้หญิง” ผมบอก
“อะไรเนี่ย แล้วเธอเป็นใครไม่ทราบ...ปล่อยมือโสโครกออกจากชั้นเดี๋ยวนี้นะ!” หล่อนขึ้นเสียงสูงด่าทอผมเสียๆ หายๆ อีกหลายอย่าง แต่ผมไม่สนที่จะรับฟัง ตอนนี้สิ่งที่ผมสนมากที่สุดคือร่างสั่นสะท้านตรงหน้า...ไอ้มาร์ชยืนนิ่งก้มหน้าก้มตา หายใจเข้าออกแรงกว่าปกติจนผมแปลกใจ
“มาร์ช...เป็นอะไร โอเคมั้ย” ผมเดินเข้าไปหามัน มือกุมไหล่ห่องุ้มทั้งสองข้างแล้วดึงให้หันหน้ามาทางผม ถึงจะก้มหน้าอยู่แต่ก็สังเกตได้ว่าตอนนี้หน้ามันซีดลงมากมายเพียงใด...แล้วยังเหงื่อที่ไหลออกมามากผิดปกตินี่อีก....เกิดอะไรขึ้น??
“...มาร์ช....”
“ซัน....” มันเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตาเว้าวอนเหมือนอยากขอร้องอะไรบางอย่าง...
**TBC
ไม่ค้าง ไม่ค้าง ไม่ค้าง
จะพยายามท่องไว้นะ 
ปล. ช่วงนี้ใจดี๊ใจดี มาลงถี่ หึหึ (เรอะ) 