Round 3 “โทษทีแก้ว” ผมวิ่งกระหืดกระหอบมานั่งลงที่โต๊ะกลมสีน้ำตาล ณ ร้านอาหารชื่อดังกลางกรุง ยิ้มขอโทษให้กับหญิงสาวที่นั่งหน้าหยิกอยู่อีกฝั่ง
“ตลอดอ่ะ นั่งรอเกือบชั่วโมงแล้วนะเนี่ย” เธอนั่งกอดอก จ้องหน้าผมทำปากเบะ เล่นเอาหนุ่มๆ ที่เดินผ่านมายิ้มให้กับความน่ารัก ใช่ครับ…แก้วเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากทั้งรูปร่าง หน้าตาและนิสัย แทบจะเรียกได้ว่าไร้ที่ติเลยทีเดียว
“รถติดจริงๆ นะ อย่าโกรธซันนะ นี่ซื้อมาฝากครับ” ผมพูดพร้อมกับยื่นดอกคาร์เนชั่นสีแดงที่แอบซื้อตรงร้านด้านนอกให้
“เอามาลบล้างความผิดใช่มั้ยหืม แต่ก็เอาเถอะ เพราะเป็นซันหรอกนะแก้วถึงให้อภัย” เธอรับดอกไม้จากผมไปชื่นชมและอมยิ้มให้กับตัวเองอย่างเขินอาย
ผมกับแก้วสั่งอาหารอิตาเลียนมากินกัน พวกเราคุยกันอย่างออกรสเพราะผมไม่ได้เจอเธอมาหลายวันแล้ว ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ของพวกเราสองคนเป็นแบบไหน ตัวผมเองก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนเหมือนกันครับ ไม่ใช่แฟน…และไม่ใช่แค่เพื่อน ถึงผมจะพยายามทั้งจีบ ทั้งหลอกล่อและหยอกเย้าให้แก้วมาเป็นแฟนผมเกือบ 2 ปีแล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีท่าทีตอบรับ พยายามบ่ายเบี่ยงอยู่เสมอ
“เอ้อ เกือบลืม” เธอวางส้อมลงแล้วเด้งตัวขึ้นเหมือนนึกอะไรออก
“หืม?”
“นี่คุณแม่เธอฝากมา”
แก้วก้มลงไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้ผม มันคือซองจดหมายสีชมพูลายหวานแหววที่มีรูปหัวใจสีชมพูแปะอยู่ตรงมุมบนขวา ผมเห็นแล้วถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ เบนหน้าหนีออกทันที
“อย่าทำท่าอย่างนั้นสิ เอาไปดูหน่อยน่า” แก้วคะยั้นคะยอยื่นซองนั้นมาใส่มือผม จนผมจนใจอ้ามือออก เธอก็รีบยัดใส่มือผมทันที
“เปิดสิ” เธอย้ำ มองผมตาเป็นประกาย
ทำไงได้ล่ะครับ แม้ว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี้มากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่มันก็ยังทำให้ผมรู้สึกระเหี่ยใจเหลือเกิน แม่นะแม่ บอกแล้วว่าไม่เอาๆ ยัดเยียดกันมาอยู่ได้
ผมค่อยๆ เปิดซองสีชมพู ข้างในก็เหมือนเดิม มีข้อความกับลายมือน่ารักๆ สติ๊กเกอร์ลวดลายต่างๆ หลากสีเหมือนแปะในเรียงความเด็กประถม แนบมาพร้อมกับรูปหญิงสาวหน้าตาสะสวยสองสามใบในอากัปกิริยาต่างๆ …ผมพลิกดูไปมา แล้วเก็บใส่ซองดังเดิม
“อ้าว ทำไมล่ะ ไม่ถูกใจเลยเหรอ” แก้วถามผมด้วยความกังวล
“ก็…ไม่ใช่สเปก” ผมพยายามหาข้อแก้ตัวไปเรื่อย
“อย่างซันมีสเปกด้วยงั้นเหรอ เห็นควงสาวแต่ละคน หน้าตา รสนิยมแตกต่างกันเหลือเกิน เดี๋ยวก็เปรี้ยว เดี๋ยวก็หวาน คนล่าสุดนี่แก่กว่าด้วยใช่มะ” คราวนี้แก้วเป็นฝ่ายถอนหายใจบ้าง เอามือทั้งสองข้างท้าวคางตัวเองอย่างอ่อนใจ
“มีสิ สเปกซันก็อย่างแก้วไง” ผมหยอดเผื่อฟลุ๊ก แล้วยิ้มให้แก้วอย่างจริงใจ พลางคิด… ไม่รู้ตัวมาตลอดเลยใช่มั้ยว่าเพื่อนคนนี้แอบหลังรักเธอมาเกือบสองปีแล้วนะ
“ไม่ต้องนอกเรื่องเลย สรุปชอบคนนี้มั้ย” แก้วยืดตัวตรง ผมสังเกตว่าหน้าเธอขึนสีระเรื่อเล็กน้อย แต่ก็กลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว
“ปฏิเสธให้ด้วยละกัน แล้วก็ฝากไปบอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องเอามาแล้ว” ผมหยิบซองส่งกลับให้แก้ว จนอีกฝ่ายต้องรับกลับไปใส่กระเป๋าดังเดิม
“แม่เค้าหวังดีกับเธอนะซัน…ไม่อยากเห็นเธอร่อนเร่ไปมา คบกับคนนู้น เลิกกับคนนี้ เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่บ้าง ย่อมอยากเห็นลูกตัวเองเป็นหลักปักฐาน มีชีวิตที่มั่นคงอยู่แล้ว แล้วแม่ก็รู้ว่าถ้าให้เธอเองเธอไม่รับแน่ ถึงต้องฝากเรามา”
“เรารู้ๆ ไม่ได้เฉยเมยหรอกนะ ก็กำลังพยายามอยู่นี่แหล่ะ ที่คบแล้วเลิกก็เพราะยังไม่เจอคนที่ใช่เลย” ผมถอนหายใจ เอนหลังพิงกับเบาะนุ่มแล้วเอามือสองข้างกุมท้ายทอย
“ใช่สำหรับเธอคืออะไรล่ะ ไม่มีใครเพอร์เฟคหรอกนะซัน เธอต้องรู้จักยอมรับข้อดีข้อเสียของกันและกัน ไม่ใช่ว่าพอเห็นข้อเสียของอีกฝ่ายก็ตั้งท่าจะเลิกกันอย่างเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นชาตินี้เธอก็หารักแท้ไม่ได้หรอก”
แก้วพูดจริงจัง สายตาสวยๆ ที่ดึงดูดผมมาตลอดทำเอาผมใจด้านชาไปวูบนึง…รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ ที่คบๆ เลิกๆ กันไปนั่นน่ะ ข้ออ้างที่ว่าเลิกกันเพราะคนนั้นไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ ความจริงแล้วมันไม่ใช่หรอก ผมอยากจะพูดเหลือเกินว่า เพราะเธอแหล่ะแก้ว…เธอคือเหตุผล
“เลิกพูดก็ได้ ไม่เห็นต้องทำหน้าเซ็งขนาดนั้น…” แก้วทำหน้าบูดใส่ผมเมื่อเห็นว่าคำพูดเธอดูเหมือนจะไม่ได้ซึมซับเข้ามาในสมองของผู้ชายคนนี้ได้เลย
“ไม่ได้เซ็ง แค่กำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อย” ผมตอบ
“เอาเถอะๆ จะคิดอะไรก็แล้วแต่เธอ อย่าทำให้คุณน้าหนักใจละกัน แก้วเป็นห่วงกลัวว่าคุณน้าจะเครียดหนักถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง” เธอพูดพร้อมกับทำท่าเก็บข้างของใส่กระเป๋า และเรียกพนักงานมาเช็กบิลล์
“จะรีบไปไหน ไปดูหนังด้วยกันต่อมั้ย” ผมรีบดันตัวเองขึ้นมาจากเบาะ ดวงตาเป็นกระกาย
“ไม่ได้หรอก แก้วนัดเพื่อนไว้ มันเพิ่งกลับมาจากอเมริกาเมื่อวานนี่เอง ไม่ได้เจอกันตั้งสามปีแล้ว” แก้วพูด ส่วนผใหูฟังไปด้วยเซ็นบัตรเครดิตไปด้วย
“ใครอ่ะ ซันรู้จักมั้ย” ผมเงยหน้าถาม ยื่นปากกาคืนพนักงาน
“ไม่น่าจะรู้จักนะ คนนี้เป็นเพื่อนเก่าแก้วน่ะ รู้จักกันมาก่อนที่จะรู้จักซันอีก แล้วเค้าก็ไปเรียนต่อเมืองนอก” ผมพยักหน้าเออออตาม
“ผู้หญิง?”
“ผู้ชาย”
“หา??” ความหึงหวงผมพุ่งเกือบเต็มปรอท ใครกันผู้ชายคนนี้ คนที่รู้จักกับแก้ว…แก้วในแบบที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ในใจแอบหวังว่าคงจะไม่ใช่คนที่เป็นเหตุผลที่แก้วใช้ปัดป้องความรู้สึกผมมาตลอด
“งั้นเดี๋ยวแก้วกลับก่อนละกันนะ มีอะไรค่อยโทรมาละกันซัน” เธอลุกขึ้นทันที แล้วยิ้มให้ผม ยกมือทำท่าโทรศัพท์ที่ข้างหู
“เดี๋ยวๆ แก้วจะไปยังไง ให้เราไปส่งนะ” ผมรีบลุกขึ้นตาม
“ไม่ต้องก็ได้ซัน รบกวนเปล่าๆ” แก้วรีบยกมือโบกไปมาเป็นเชิงห้ามผม แต่ยอมได้ที่ไหนล่ะ
“เถอะน่า เราไม่มีอะไรทำ ให้เราไปส่งแก้วนะ” ผมพูด ยิ้มอ้อนจนแก้วใจอ่อน ถอนหายใจแล้วส่ายหัวให้อย่างทีเล่นทีจริง
เราสองคนจึงลุกจากร้านอาหาร แล้วตรงดิ่งไปยังลานจอดรถ
“นัดเพื่อนไว้ที่ไหนล่ะ” ผมหันหน้าไปถามคนข้างๆ พร้อมบอกกับให้คาดเข็มขัดนิรภัย
“ที่โรงแรมคอนทิเนนทอลฯ จ๊ะ”
ผมสะอึกไปทีนึง อะไรฟะ วันนี้ทำไมถูกชะตากับที่นี่จริงๆ แต่ก็ไม่แปลกใจเพราะโรงแรมนี้เป็นระดับห้าดาว สำหรับไฮโซมาพักกัน แก้วเองถึงแม้จะไม่เคยแสดงตัวว่าเป็นผู้ดีเลย แต่ตระกูลเธอเป็นถึงกับอดีตหม่อมเชียวนะครับ ถ้าเธอจะมีเพื่อนที่อยู่ระดับเดียวๆ กันก็เป็นเรื่องปกติ
แล้วผมก็พาแก้วไปส่งที่โรงแรมเดิม แต่คราวนี้ผมไม่ได้จอดส่งแค่ตรงล็อบบี้เพราะแก้วชวนผมลงไปทำความรู้จักเพื่อนใหม่คนนี้ด้วย ผมเดินตามแก้วเข้าไปตรงบาร์หรูของโรงแรม ในขณะที่เธอก็โทรศัพท์ให้เพื่อนลงมาข้างล่าง
“เราอยู่ข้างล่างแล้ว มาร์ชลงมายัง” ผมแอบได้ยินเสียงแก้วคุยโทรศัพท์กับเพื่อนชายคนนั้น
“จ๊ะ เรารออยู่ตรงบาร์นะ รีบลงมาล่ะ”
แก้วก็กดวางโทรศัพท์มือถือ แล้วหันมาคุยกับผม สักพักเธอก็โบกไม้โบกมือยิ้มร่า สายตาของเธอมองเลยผมไปด้านหลังส่งผลให้ผมต้องเอี้ยวคอมองตาม…
ผมตาโต พูดไม่ออกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ…
“แก้ว คิดถึงจังครับ”
“อื้ม คิดถึงมากๆ เหมือนกัน”
ทั้งสองคนกอดกันอย่างแนบแน่น แล้วผละหน้ามาหอมแก้มกันและกัน จนตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนเป็นหัวหลักหัวตอ…
***TBC