█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 30 ┨
หลังจากโดนท่านพ่อตาอัดมาจนน่วม กลับมาถึงบ้านกะจะอ้อนคุณปู่คุณย่าสักหน่อย แต่ที่ไหนได้ครับ คุณปู่หัวเราะชอบใจแถมบอกว่าภูมิใจในตัวผมอีก ส่วนคุณย่าก็ต้มยาจีนบำรุงร่างกายสูตรตำหรับฮ่องเต้เอาไว้ให้ผมอีกหม้อใหญ่ ดื่มเช้า เย็น และก่อนนอน ทุกวันเอาให้ฟิตปึ๋งปั๋งเตะโอ่งแตกกันไปเลย ตื่นเช้าขึ้นมาก็ยิ่งเซอร์ไพร้หนักเข้าไปอีกเมื่อว่าพี่ท่านพ่อตากับคุณหญิงแม่ยายมาดูใจ เฮ้ย! มาเยี่ยมผมถึงบ้าน พร้อมของเยี่ยมสารพัด ผมยังจำเสียงพูดคุยหัวเราะของพวกผู้ใหญ่ได้เป็นอย่างดี ดูก็รู้ใช่มั๊ยละครับว่าคุณปู่คุณย่าคงจะไปคุยตกลงกับท่านกิตติเอาไว้ล่วงหน้าแล้วแน่ๆ แล้วทำไมไม่บอกผมไว้ก่อนสักคำ อย่างน้อยจะได้ไปฝึกการต่อสู้เอาไว้บ้าง
ถ้าถามว่าเกือบ 2 ชั่วโมง ที่ท่านกิตติเรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัวนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็จะเริ่มจากคำถามทั่วไปเหตุผลและแรงจูงใจที่ทำให้ผมชอบลูกชายของท่านซึ่งเป็นเพศเดียวกัน และอีกสารพัดเรื่องที่ล้วนเป็นคำถามจิตวิทยาเสียส่วนใหญ่ ท่านนิ่งมากนิ่งจนน่ากลัว แล้วบรรยากาศในห้องทำงานของท่านก็ชวนให้คิดมโนไปว่าถ้าผมเกิดตอบอะไรผิดหรือไม่ถูกใจขึ้นมาอาวุธสังหารมากมายก็พร้อมจะพุ่งตรงใส่ผมได้ทุกเมื่อ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ตอบไปตามความเป็นจริงทั้งหมด และที่จบด้วยบททดสอบสมรรถภาพทางร่างกายก็เพราะว่าผมดันพลาดไปตอบว่าผมสามารถปกป้องลูกชายของท่านได้แน่นอน มันก็เลยต้องทดสอบกันหน่อยว่าจริงตามพูดรึเปล่า? แหม.. คำพูดของพระเอกละครแบบนั้นก็คงจะมีแค่ในนิยายนั่นแหละ เอาเข้าจริงไอ้คนอย่างผมเป็นมวยไทยซะที่ไหนละครับ ถ้าแข่งรำไทเก็กก็ว่าไปอย่าง
เอาเถอะครับ.. ยังไงซะผมก็ผ่านมันมาได้แล้ว เจ็บตัวหน่ะรักษาหายได้ แถมผลที่ได้รับยังคุ้มเกินคุ้มเสียอีก แค่นี้ก็โอเคแล้วล่ะครับ
“กองทัพ ทางนี้ๆ”
ออมโบกมือเรียกผม วันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนที่คณะมาช่วยกันเคลียร์โปรเจ็คจบกันครับ และแม้จะผ่านมาเป็นอาทิตย์แต่ร่องรอยบวมช้ำและแผลบนหน้าก็ยังมีให้เห็น เพื่อนหลายคนมองหน้าผมด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม
“เป็นไงบ้าง?”
เพื่อนสนิทของผมใช้ปลายนิ้วแตะแผลตรงหางคิ้ว มันก็จะรู้สึกเสียวแปล็บๆ หน่อยนึง แต่ก็ไม่ได้เจ็บเหมือนวันแรกๆ อีกอย่างแผลก็แห้งแล้วล่ะครับ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นรอยบวมช้ำเสียมากกว่า
“ดีขึ้นแล้วล่ะ”
ผมตอบ ออมมองหน้าผมพร้อมกับอมยิ้มแบบมีเลศนัยจนผมต้องหรี่ตามองกลับ
“พูดมา”
“บางครั้งนายแกล้งโง่ใส่ฉันบ้างก็ได้นะโว้ย”
อ้าว.. รู้ทันก็งอนอีก แต่แป๊ปเดียวก็กลับมาอมยิ้มอีกแระ สงสัยจะวันนั้นของเดือนมั้งครับ
“นี่.. กองทัพเพื่อนรัก.. ฉันมีอะไรมาเสนอ และฉันก็รู้ว่านายต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน”
แหน่ะ.. เห็นมั๊ยละครับว่ามันต้องมีอะไรจริงๆ ผมหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ออมหันซ้ายหันขวาทำท่าทางยังกับว่าเรื่องที่กำลังจะพูดเป็นความลับนักหนา และผมก็ต้องบ้าจี้เงี่ยหูฟังตามออมด้วยนะครับ อ่อ.. เนื่องจากออมเขาอยากจะให้เรื่องนี้เป็นความลับ เพราะฉะนั้นผมก็ต้องขอโทษทุกคนด้วยที่ไม่สามารถเล่าหรือแพร่งพรายได้ เอาเป็นว่าหลังจากที่ออมกระซิบจบ ผมก็ได้แต่จุดยิ้มตรงมุมปากพร้อมกับตอบกลับไปว่า
“โอเค.. ตามนั้นเลยเพื่อน”
.
.
.
.
.
ตอนขามาผมจอดรถไว้ที่คณะสัตวแพทย์แล้วเดินต่อมาคณะของตัวเอง ดังนั้นเสร็จจากงานโปรเจ็คผมก็เดินกลับไปคณะสัตวแพทย์ ถามว่าระยะทางไกลมั๊ย? ก็ได้เหงื่ออยู่ครับ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากจะเดินเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ ถนนเส้นนี้เป็นเส้นทางที่ผมปั่นจักรยานรับส่งเต็มแทบทุกวัน เราทั้งคู่มักจะเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครมากมาย แต่น่าแปลกที่ในสายตาของผมมีแค่เต็มใจคนเดียวเท่านั้นที่สามารถดึงดูดทุกความสนใจของผมเอาไว้ได้ อีกไม่นานเราก็จะเรียนจบออกจากรั้วมหาลัย ก้าวสู่ชีวิตการทำงานแบบผู้ใหญ่อย่างแท้จริง วันเวลาผ่านไปไวจนรู้สึกใจหายอยู่ไม่น้อย
โรงพยาบาลสัตว์เล็กยังคงมีลูกค้ามาใช้บริการเยอะเหมือนทุกวัน ผมนั่งรออีกฝ่ายตรงโต๊ะม้าหินด้านหน้าโรงพยาบาล หยิบไอโฟนขึ้นมาตั้งใจจะเลือกรูปที่ถ่ายเก็บไว้สัก 2-3 อัพเดทลงไอจีสักหน่อย แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดแกลอรี่ภาพเลยครับ ก็มีสายเข้ามาเสียก่อน แค่เห็นชื่อผมก็รู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะครับ ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกดรับสาย
“ครับ คุณแม่”
[กองทัพ! ฉันได้ข่าวว่าไอ้กิตติมันสั่งคนให้รุมซ้อมแกเหรอ มันมีสิทธิอะไรถึงมาทำแบบนั้นกับแก แล้วปู่กับย่าของแกก็บ้าจี้กับมันด้วย นี่แก่จนสมองเลอะเลือนกันไปหมดแล้วรึไง แม่ไม่ยอมหรอกนะ แม่จะแจ้งความเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด]
ใส่รัวยังกับปืนกลจนผมต้องขยับไอโฟนออกห่างจากหูเกือบคืบก็ยังได้ยินเสียงของคุณแม่ชัดเจน
[พ่อแกบอกฉันว่าคุยกับแกแล้วเรื่องถอนหมั้นไอ้เด็กเกย์นั่น แล้วทำไมแกถึงยังไปเจอมันอีก หรือว่ามันไม่ยอม?...]
“คุณแม่ครับ มันไม่ใช่อย่ะ...”
[เดาไว้ไม่มีผิด ไอ้เด็กนั่นมันต้องรู้และคิดวางแผนอะไรไว้แน่ มันไม่ได้รักแกจริงหรอก มันกับแกจะไม่มีวันรักกันได้เพราะ.... ]
คุณแม่หยุดพูดลงชั่วขณะ ผมจึงมีเวลาแงะขี้หูออกเล็กน้อย
[มันแค่จะหลอกใช้แกเป็นเครื่องมือมาทำลายครอบครัวของเราต่างหาก พ่อของแกบอกแม่หมดแล้ว นี่แม่และพี่นายพยายามทำทุกอย่างเพื่อแกอยู่นะ]
บ้ากันไปใหญ่แล้วครับ นี่คุณแม่ดูละครน้ำเน่าเยอะไปใช่มั๊ยเนี่ย?
[เรื่องงานหมั้นกับหนูฮันนี่ยังไงพ่อกับแม่ก็จะเดินหน้าต่อ ถ้าแกกล้าขัดใจพ่อกับแม่อีกล่ะก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าแม่อีกเด็ดขาด ถ้าแกเลือกมัน ครอบครัวเราก็พัง! แกจะยังเลือกมันอยู่อีกมั๊ย?!]
“พอเถอะครับคุณแม่ เลิกโทษคนอื่นสักทีเถอะครับ ไม่มีใครคิดจะทำลายครอบครัวของเราหรอกครับ ถ้าครอบครัวมันจะพังมันก็เพราะคนในครอบครัวต่างหากล่ะครับ”
[กองทัพ! ไอ้ลูกอกตัญญู!]
ครับ.. ผมมันลูกอกตัญญู ผมยอมรับและก็เลือกที่จะเงียบ ปล่อยให้ผู้บังเกิดเกล้าพร่ำบ่นต่อไปจนพอใจแล้วท่านก็วางสายไปเอง ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วก็ได้แต่คิดว่าถ้าหากผมไม่มีคุณปู่คุณย่าเป็นที่พึ่ง ชีวิตของผมตอนนี้จะเป็นยังไงกันนะ
“ไอ้น้อง.. ถ้าเหนื่อยก็ซบบ่าพี่ได้นะ”
เสียงที่ดังขึ้นทำเอาผมสะดุ้งตกใจ จิ๊กโก๋หน้าใสนั่งลงข้างๆ แล้วหันมายักคิ้วพร้อมเหน็บยิ้มตบบ่าตัวเอง
“ไม่อยากทำแค่ซบบ่า”
ยักคิ้วกลับไปบ้าง ดวงตาคู่เรียวหรี่ลงเล็กน้อย ปลายนิ้วยกขึ้นแตะริมฝีปากของผม
“งั้นจะเก็บไว้พิจารณาละกัน”
“อย่านานนัก ดอกเบี้ยแพง”
“พี่รวย พี่จ่ายไหว”
จากจิ๊กโก๋หน้าใสเปลี่ยนเป็นเสี่ยกระเป๋าหนักแถมยังมีการตบกระเป๋ากางเกงดังปุๆ เสียด้วย คอยดูเถอะ ผมจะลอกให้หมดคราบนอกจากไม่เหลือเสื้อผ้าติดตัวสักชิ้นแล้วยังจะรูดน้ำให้หมดตัวไปเลย
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วยื่นมือส่งให้อีกฝ่าย เราเดินกุมมือกันไปที่รถ น่าแปลกนะครับที่ความรู้สึกหน่วงในใจของผมเมื่อครู่ราวกับว่าได้รับการปลดปล่อยเพียงแค่มีคนๆ นี้คอยเดินอยู่ข้างๆ กัน
ระหว่างทางเราสวนกับดักแด้ที่มารอรับพี่โบว์ และเมื่อไปถึงลานจอดรถก็เจอพี่ซันกำลังจะไปรับออมที่คณะพอดี เราทักทายกันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกัน
ด้วยสภาพการจราจรที่ติดขัดทำให้เราติดแหง็กอยู่ตรงสี่แยกด้านหน้าโรงพยาบาลอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาสรุปรายงานอยู่เบาะข้างๆ จึงได้เงยหน้าขึ้นมามองความเป็นไปบนท้องถนนเสียที ช่วงนี้เจ้าตัวบ่นเรื่องอ่านหนังสือนานๆ แล้วเริ่มปวดหัว ผมจึงคิดว่าวันหยุดที่จะถึงนี้จะพาเจ้าตัวไปตรวจวัดสายตาเสียที
ดวงตาคู่เรียวหันมามองหน้าผมแล้วระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยอมพับเอกสารเก็บลงกระเป๋า
“เดี๋ยวนี้เทมป์ไม่ต้องเข้าไปศึกษางานที่บริษัทแล้วเหรอ?”
“อืม..”
คำตอบของผมทำให้คนถามเงียบไปครู่ใหญ่ ผมเหลือบตามองก็เห็นอีกฝ่ายนั่งหันหน้ามองออกไปข้างถนน จนเมื่อรถขยับตัวผ่านจุดวิกฤตมาได้ เจ้าตัวจึงได้เอ่ยทำลายความเงียบ
“เทมป์รู้แล้วใช่มั๊ยว่าเรียนจบแล้วเต็มจะต้องย้ายไปอยู่อังกฤษ”
ภายในอกวูบโหวงเจ็บจี๊ดขึ้นมาชั่วขณะ ถ้าจะให้พูดตามตรงเรื่องนี้ผมรู้มานานแล้ว ก่อนจะเจอกับเต็ม ออมก็เคยบอกผม และระหว่างที่ผมคบกับเต็มแล้วเจ้าตัวก็เคยเปรยให้ฟังอยู่หลายครั้ง แต่เพราะผมคิดว่ายังไงเต็มก็จะต้องกลับมาดูแลกิจการของมูลนิธิคุณหญิงหยดยังไงก็เป็นแค่การจากกันแค่ชั่วคราว จนกระทั่งคุณพ่อบอกผมว่าท่านได้ซื้อกิจการมูลนิธิที่เป็นความฝันและแรงบันดาลใจให้คนที่ผมรักอยากจะเรียนสัตวแพทย์ ผมอาจจะเสียใจที่ได้รู้ว่าความรักกำลังจะโดนพรากจากไป แล้วเต็มใจล่ะครับทั้งความรักและความฝันถูกพรากจากพร้อมๆ กัน ผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งต้องแบกรับความรู้สึกเศร้าเสียใจมากกว่าผมอีกเท่าตัวแต่เจ้าตัวก็ไม่เคยบ่นหรืออ่อนแอให้ผมเห็นเลยสักครั้ง
ผมพยายามเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ก่อนจะหันไปมองเศษเสี้ยวใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วครางตอบในลำคอ
‘อืม’ เบาๆ ดวงหน้าใสจึงยอมหันกลับมาสบตากัน ริมฝีปากสีชมพูอ่อนวาดรอยยิ้ม
“จะมีแฟนใหม่มั๊ย?”
“นั่นเป็นคำถามที่เทมป์จะต้องถามเต็มมากกว่า”
เจ้าตัวหัวเราะกับคำประชดของผม ซึ่งผมรู้ดีว่ามันเป็นเพียงเสียงหัวเราะที่สร้างขึ้นเพื่อปิดกั้นความรู้สึกที่แท้จริงภายในใจ
“แล้วงานหมั้นของเทมป์กับน้องฮันนี่นั่นล่ะ?”
“คุยเรื่องงานแต่งงานของเราดีกว่า”
สวนกลับโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดสักนิด คนฟังยิ้มกว้าง ผมจึงดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้แล้วประทับจุมพิตบนหลังมือบาง
“ส่งโปรเจคจบเสร็จแล้วไปทะเลกันสองคนนะ”
“อืม.. ได้สิ”
รอยยิ้มบนใบหน้าใสในครั้งนี้เป็นของจริง ยิ้มจากใจ.. และคุณรู้อะไรมั๊ยครับ? ว่าเวลาที่อีกฝ่ายระบายรอยยิ้มนั้นโลกทั้งใบของผมก็ฟรุ้งฟริ้มมุ้งมิ้งไปด้วย ผมอยากจะหยุดเวลาเอาไว้แค่ช่วงที่เรามีความสุขด้วยกันเท่านั้น
หลังจากนั้นเราก็เงียบด้วยกันทั้งคู่ รถค่อยๆ ขยับเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ตามการจราจรที่โหดร้าย ร่างบางนั่งเล่นเกมส์ได้ครู่หนึ่งก็เก็บไอโฟนลงกระเป๋าแล้วปรับเอนเบาะลงเล็กน้อย จากนั้นก็นอนมองหน้าผมนิ่งๆ จนผมต้องหันไปหยิกจมูกรั้นๆ นั่นด้วยความหมั่นเขี้ยว เจ้าของจมูกยู่หน้าแล้วคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้
“ถ้าเทมป์เรียนจบปริญญาเอกและขึ้นเป็นผู้บริหารบริษัทได้.. ค่อยมาสู่ขอเต็มละกัน”
หืม???
“หมายความว่ายังไง?”
“อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน.. แต่สำหรับเต็มแล้วไม่ว่าอนาคตจะยาวนานสักแค่ไหน เต็มก็ยังรอเทมป์อยู่เสมอ”
“ไม่เข้าใจ”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมคิดว่าผมเข้าใจคนรักของตัวเองในทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้ผมไม่เข้าใจจริงๆ นะครับ การเรียนปริญญาเอกเป็นเรื่องที่ผมสามารถทำได้อย่างแน่นอน แต่เรื่องที่จะให้ผมขึ้นนั่งตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทนั่นเป็นเรื่องยากมากและผมก็คิดว่าเจ้าตัวรู้เหตุผลทั้งหมดดี เต็มรู้ดีทุกอย่างแต่ก็ยังเอามันมาเป็นข้ออ้าง? ทำไม? หรือว่าเพราะไม่อยากแต่งงานกับผม?
มือบางปล่อยมือข้างที่กุมผมไว้ เราสบตากัน ไม่มีรอยยิ้มเหมือนอย่างเคย และผมก็ไม่สามารถอ่านความหมายในดวงตาคู่เรียวได้อย่างทุกครั้ง
“อีกไม่นานหรอก.. เทมป์จะเข้าใจทุกอย่างเอง”
“ถ้าเต็มไม่อยากแต่งงาน จะอยู่ด้วยกันเลยก็ได้นี่นา”
สีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายแสดงความผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน ร่างบางขยับตัวแล้วหันหน้าไปมองข้างถนน
“ไม่ใช่เด็กแล้วนะ”
เด็ก? ใช่ครับ ผมมักจะทำและคิดเหมือนเด็กๆ ผมรู้จักนิสัยและปมด้อยของผมดี เพราะตั้งแต่เด็กจนโตผมโหยหาความอบอุ่นจากคนเป็นแม่มาโดยตลอด ต่อหน้าผู้เป็นบุพการีผมต้องเข้มแข็ง เก่ง และมีความเป็นผู้ใหญ่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ชาย ดังนั้นเมื่อผมรักใครก็มักจะเผลอเผยนิสัยความเป็นเด็กที่เก็บซ่อนไว้ และก่อนที่ผมจะได้เอ่ยคำน้อยใจออกไป เสียงเรียบนิ่งของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมชะงักไปเสียก่อน
“รับหมั้นฮันนี่ซะ”
“ว่าไงนะ?!”
“ก็ถ้าเทมป์อยากจะเข้าใจทุกอย่างที่เต็มพูดก็รับหมั้นฮันนี่ซะ”
ในขณะที่ผมแทบจะระเบิดอารมณ์ออกมา คนตรงหน้ากลับนิ่งและดวงตาคู่เรียวจดจ้องผมด้วยแววตาที่จริงจัง เสียจนผมรู้สึกกลัวและคิดอะไรไม่ออก
“หมั้นได้ก็ถอนหมั้นได้ไม่ใช่เหรอ? ก็แค่หมั้นเพื่อจะหาคำตอบทุกอย่าง และเมื่อเทมป์เข้าใจทุกอย่างแล้วก็ค่อยถอนหมั้น ยกเว้นเสียว่า... หลังจากที่รู้คำตอบ เทมป์อาจจะลืมเต็มไปเลยก็ได้”
“เต็มคิดอะไรอยู่... มีอะไรอยู่ในใจที่บอกเทมป์ไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”
ราวกับว่าร่างบางตรงหน้าเป็นใครอีกคนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน จู่ๆ เสียงแตรรถจากด้านหลังช่วยเรียกสติกลับมา ผมสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะเคลื่อน 4 ล้อไปด้านหน้าแค่ไม่กี่ 10 เมตรก็ต้องจอดหยุดนิ่งอีกครั้ง
ผมหันมองอีกฝ่าย ผมไม่ชอบความเงียบ และเกลียดบรรยากาศที่มันอึดอัดแบบนี้ มีคำถามและความรู้สึกมากมายที่อยากจะคุยและเคลียร์ให้รู้เรื่อง แต่สมองก็ฝ่อเอาเสียดื้อๆ แม้แต่ในอกก็รู้สึกแน่นเสียจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
“เต็ม..”
เจ้าของชื่อหันมา คิ้วบางเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือมาแตะเบาๆ ตรงหางตาของผม
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่น่าสมเพช ผมไม่เข้าใจ ไม่อยากเข้าใจ และไม่คิดจะเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพูด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?? ไม่กี่ 10 นาทีก่อนหน้านี้พวกเรายังยิ้มหัวเราะกันอยู่เลยไม่ใช่รึไง?
ผมมองสร้อยที่อีกฝ่ายสวมติดตัวไว้ตลอดเวลา มันคือของสำคัญของตระกูลที่คุณปู่คุณย่ามอบให้ผม และผมก็มอบมันต่อให้กับคนที่ผมรัก เพราะผมมั่นใจว่าความรักของผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจากคนตรงหน้าเด็ดขาด แต่ที่อีกฝ่ายพูดอยู่นี่มันคืออะไร????
“ก็ยังรักเหมือนเดิม.. มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ.. ถ้าหากเทมป์รักเต็มเหมือนที่เต็มรักเทมป์แล้วละก็.. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเต็มก็ยังรอเทมป์อยู่เสมอ”
“รัก.. แล้วทำไมถึงต้องให้เทมป์ทำแบบนี้?”
คำถามของผมมาพร้อมกับหยดน้ำที่เอ่อเต็มเบ้าตา ผมมันก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่โคตรจะอ่อนแอและอ่อนไหว รักมากเท่าไหร่ก็ทุ่มให้เท่านั้น รักก็บอกว่ารัก เจ็บก็ร้องไห้ นี่แหละครับพระเอกโคตรห่วยแบบผม
ฝ่ายนั้นดึงมือข้างซ้ายของผมไปกุมไว้ แล้ววางแนบฝ่ามือของผมกับแผ่นอกบางด้านซ้ายของตัวเอง
“ถ้าเต็มไม่ทำแบบนี้.. เราก็ไม่มีวันที่จะได้อยู่ด้วยกันหรอกนะ”
ฝ่ามือของผมถูกเลื่อนขึ้นให้แนบลงบนแก้มใส เราสบตากันแน่นิ่ง ไม่มีคำว่าล้อเล่นในแววตาคู่เรียวเลยสักนิด
“เชื่อเต็มสักครั้ง.. ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมายังไง ความรักของเต็มก็ยังเหมือนเดิม”
ผู้ชายอ่อนแอที่บูชาคนรักแบบผมจะทำอะไรได้มากไปกว่า
‘ยอม’ และ
‘เชื่อ’ เมียล่ะครับ ต่อให้คนตรงหน้าบอกผมฝ่า ถ้าผมยอมเอาตัวเองไปเป็นเชลยในสงครามแล้วเราจะได้อยู่ด้วยกัน ผมก็คงจะยอมโง่ทำตามอยู่ดี
.
.
.
.
.
เรื่องที่คุยกับเต็มเมื่อวานทำเอาผมนอนไม่หลับทั้งคืน ถึงขนาดที่ต้องปลุกสีส้มให้มานั่งคุยปรับทุกข์เป็นเพื่อน หากดูจากภายนอกเหมือนว่าเราทั้งคู่ดูมีความสุขดี คุณปู่คุณย่าของผมและครอบครัวของอีกฝ่ายก็เข้าใจความรักของเราเป็นอย่างดี อีกทั้งเราทั้งคู่ยังมี ฐานะ การศึกษา ทุกอย่างเพียบพร้อม แต่ในความเป็นจริงและในส่วนที่ละเอียดอ่อนกว่านั้นก็คือยิ่งเราโตขึ้นการก้าวเดินไปข้างหน้าของเรากำลังจะยากขึ้นเรื่อยๆ ต่างหาก
“สีส้ม”
แมวอ้วนวัย 4 ขวบ ที่กำลังยกแข้งยกขาเลียขนแต่งหล่อหยุดมองหน้าผมตาแป๋ว
“คิดถึงตอนอยู่หอพักเนอะ”
ตอนอยู่หอพักเป็นช่วงเวลาที่เราแทบจะไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเรียน เช้าไปเรียนด้วยกัน กลับมาถึงหอพักก็อ่านหนังสือ ทำรายงาน นั่งคุย หรือไม่ก็มีเซ็กส์กัน และที่สำคัญก็คือเราแทบจะไม่ทะเลาะกันเลยสักครั้ง
สีส้มลุกขึ้นแล้วเดินนวยนาดมานอนแหมะลงข้างๆ ผม จากนั้นก็กลิ้งตัวไถกับสีข้างของผม สีส้มกำลังปลอบผมอยู่ครับ และความน่ารักนี้ก็ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา
ก๊อกๆๆๆๆ
เสียงเคาะประตูรัวๆ กับเสียงเรียกของเด็กรับใช้ในบ้านทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแล้วรีบลุกขึ้นจากเตียงไปเปิดประตู
“มีอะไรเหรอหลิน?”
“คุณแม่ของคุณกองทัพมาค่ะ”
“ห๊ะ!?”
“มาถึงก็อาละวาดใส่คุณนายใหญ่เลยค่ะ คุณกองทัพรีบออกไปดูเถอะค่ะ”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันตั้งแต่เช้าเนี่ย?! ยกมือเสียผมแบบลวกๆ แล้วรีบก้าวเท้าตามหลินออกไป เดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเสียงดังแล้วล่ะครับ
“คุณแม่มาทำอะไรที่นี่ตั้งแต่เช้าเหรอครับ!?”
ตวาดออกไปสุดเสียง ทำเอาทุกสายตาหันมามองที่ผมเป็นจุดเดียว ผมเดินไปยืนข้างๆ คุณย่า วันนี้วันเสาร์ ซึ่งช่วงเช้าคุณปู่จะออกไปรำไทเก็กที่สมาคมชาวจีนไม่ไกลจากบ้านมากนัก คุณแม่คงจะรู้ว่าคุณปู่ไม่อยู่จึงถือโอกาสมาอาละวาดใส่คุณย่าแต่เช้า และก็ไม่ได้มาคนเดียวด้วยนะครับ ยังหนีบพาฮันนี่มาด้วย เธอฉลาดพอที่จะไม่ใช้อารมณ์แต่เลือกที่จะยืนเสแสร้งทำเป็นห้ามปรามคุณแม่แทน นี่คงจะซ้อมบทมาจากละครน้ำเน่าหลังข่าวกันแน่ๆ
“ทำไมฉันจะมาที่นี่ไม่ได้ ในเมื่อฉันเป็นสะใภ้เกียรติไพศาลกิจ และแกซึ่งเป็นลูกชายของฉันก็อยู่ที่นี่”
“ถึงอย่างนั้นคุณแม่ก็ไม่มีสิทธิแสดงกิริยาวาจาไม่ดีกับคุณย่านะครับ”
“ก็อีกะ.. ก็ย่าของแกมาไล่ฉันก่อน เจอหน้าก็ไล่ยังกับหมูกับหมา”
“กับหมูกับหมาฉันจะไปไล่มันทำไม? มีแต่จะรับไว้เลี้ยงดูอย่างดี”
สิ้นคำคุณย่า คุณแม่ก็หวีดร้องยังกับโดนน้ำร้อนลวก เมื่อคืนก็นอนไม่หลับเช้ามาเจอเรื่องแบบนี้มันโคตรจะปวดหัวเลยล่ะครับ
“ใจเย็นๆ ครับคุณย่า.. เดี๋ยวผมจัดการเองดีกว่าครับ”
ประคองคุณย่าให้นั่งลงบนโซฟา แล้วเรียกเด็กรับใช้ที่ยืนแอบมองอยู่ไกลๆ ให้เข้ามาช่วยดูแล เสร็จแล้วก็หันกลับไปหาคุณแม่
“คุณแม่มีธุระอะไรกับผมเหรอครับ?”
“ฉันจะมาคุยเรื่องงานหมั้นของแกกับหนูฮันนี่ให้รู้เรื่อง”
“หูซั่วบาต่าว!”
คุณย่าลุกขึ้นแล้วชี้หน้าตวาดใส่คุณแม่เป็นภาษาจีนว่า ‘พูดจามั่วเหลวไหล!’ ผมนี่ยังสะดุ้งเลยครับ ส่วนคุณแม่กับฮันนี่ก็ได้แต่ยืนเบิกตากว้างทำหน้างงปนร้อนตัวเพราะท่านไม่รู้ภาษาจีนสักคำ
“ไม่เกี่ยวกับคุณแม่ หุบปากไปเลยก็ดีนะคะ!”
“หนีอี่เหวยหนี่จ้ายเกินสุยซัวฮวา!”
เวลาคุณย่าโกรธมากๆ จะนึกคำด่าภาษาไทยไม่ค่อยออกครับ เลยได้แต่ต่อปากคุณแม่เป็นภาษาจีนกลับไปว่า
‘เธอคิดว่ากำลังคุยอยู่กับใคร?!’ แล้วหลังจากนั้นเรื่องมันก็เป็นไปตามอารมณ์ของผู้หญิงล้วนๆ เส้นประสาทในสมองของผมเต้นตุบตับจนแทบจะระเบิด และยิ่งได้ยินคุณแม่ใช้วาจาจาบจ้วงใส่คุณย่าหลายต่อหลายครั้งผมก็ชักจะทนไม่ได้เหมือนกันนะครับ
“พอสักทีได้มั๊ยครับ!!”
ต่อให้ตัวบาปจะหล่นลงบนหัวผมเป็นร้อยตัวเพราะตวาดใส่บุพการีก็ช่างแมร่มมันเถอะครับ คุณแม่กับฮันนี่สะดุ้งเฮือก ในขณะที่คุณย่านิ่งเงียบไปแทบจะทันที
“ยังไงคุณพ่อกับคุณแม่ก็จะให้ผมหมั้นกับฮันนี่ให้ได้ใช่มั๊ยครับ?”
“ใช่! แกทำน้องเขาเสียชื่อเสียงขนาดนี้แล้วก็ต้องระ..”
“ได้ครับ!”
ไม่ต้องรอให้คุณแม่อารัมภบทยกแม่น้ำร้อยสายผมก็ขอตัดตอบสวนกลับไปเสียก่อน และคงจะเป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงท่านจึงได้ทำหน้าเหมือนหูฝาดอยู่พักหนึ่งจนเมื่อตั้งสติได้จึงรีบหันไปฉีกยิ้มกับฮันนี่
“ได้คำตอบแล้วก็เชิญกลับครับ”
ยกมือไหว้แล้วหันไปส่งสายตาให้เด็กรับใช้ลุกขึ้นเตรียมส่งแขก คุณแม่เชิดหน้าสะใจใส่คุณย่าแล้วตั้งท่าจะหันหลังกลับ แต่คงจะนึกอะไรได้อีกเรื่องจึงหันมาอ้าปากจะพูดกับผม
“แล้วเรื่องนะ..”
“เชิญกลับครับ”
บอกตามตรงว่าผมไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรแล้วจริงๆ แค่นี้ชีวิตของผมก็แทบจะพังไม่เป็นท่า ผมยกมือไหว้คุณแม่อีกครั้ง และรอบนี้ท่านก็ยอมเดินลงจากบ้านไปแต่โดยดี ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วหันกลับมาจะคุยกับคุณย่าต่อ แต่ท่านไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ ผมแล้วครับ ที่แน่ๆ ผู้หญิงที่ถือกะละมังเดินก้าวฉับๆ ยังกับสาวแรกรุ่นมุ่งตรงไปทางประตูบ้านนั่นคลับคล้ายคลับคราเหมือนคุณนายจูของผมไม่มีผิด
“คุ...”
กำลังจะอ้าปากเรียก แต่ก็ช้าไปแค่เสี้ยววินาที
“กุ่นคาย! ขวี่สื่อปา!!”
คำด่า
‘ไปให้พ้น! ไปตายซะ!!’ ดังขึ้นยังกับเสียงฟ้าผ่าแล้วตามลงมาด้วยสายฝนห่าใหญ่..
อืม ถ้าเป็นฝนมันก็คงจะดีกว่านี้ครับ แต่ที่ลงห่าใหญ่บนหัวของคุณแม่และฮันนี่นั่นคือเกลือต่างหาก เสียงคนเปียกเกลือทำเอาผมยกมือปิดหูแทบไม่ทัน จะว่าไปดอกเกลือก็ร่วงกราวส่องแสงระยิบระยับเมื่อต้องแสงแดดยามเช้ามันก็สวยดีเหมือนกันนะครับ
เมื่อพายุจากไป คลื่นลมก็เริ่มสงบ ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วตั้งท่าจะหันหลังกลับเข้าบ้าน แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งกับสายตาของคุณย่าที่มองมาอย่างไม่พอใจ
“กองทัพ”
“ครับ”
“หลานตอบตกลงไปทำไม?”
คำถามของคุณย่าทำเอาความอึดอัดจุกขึ้นมาถึงลำคอ ผมไม่มีคำตอบในเรื่องนี้ ไม่ใช่สิ.. ต้องพูดว่าผมไม่รู้จะตอบยังไงเสียมากกว่า และเพราะผมเงียบไปนาน คุณย่าจึงเดินเข้ามาใกล้ แววตาและน้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
“หลานไม่รักน้องเต็มแล้วเหรอ?”
“รักสิครับ”
ตอบด้วยเสียงหนักแน่นเต็มความมั่นใจ เพราะรักมาก.. ผมถึงได้ทำแบบนี้
“ย่าไม่เข้าใจ”
“ผมก็ไม่เข้าใจครับ.. แต่หลังจากงานหมั้นผมอาจจะเข้าใจมากขึ้นก็ได้”
คนถามไม่เข้าใจ คนตอบอย่างผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ผมมั่นใจแค่ว่าเต็มรักผมมาก คนอย่างเต็มใจไม่ยอมยกผมให้ใครง่ายๆ หรอกครับ แต่เพราะฝ่ายนั้นคงมีเหตุผลบางอย่างและคงจะเป็นเรื่องสำคัญมากจึงไม่สามารถบอกผมได้ในตอนนี้ ครั้นจะให้ผมโวยวายไม่พอใจตีโพยตีพายที่อีกฝ่ายมีความลับต่อกันนั่นก็ไม่ใช่นิสัยของผม ต่อให้ผมเป็นคนขี้หึงขี้หวงขนาดไหนก็ยังให้เกียรติและเคารพการตัดสินใจของคนรักเสมอครับ
“ไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมกับเต็มยังรักกันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องหมั้น.. เราทั้งคู่ก็ตกลงกันแล้วครับ”
คนเป็นย่าขมวดคิ้ว แต่ผมก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ คุณย่ามองหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่แล้วก็เลือกที่จะพยักหน้าแกล้งทำเป็นเข้าใจโดยไม่ถามอะไรอีก และหลังจากที่คุณปู่กลับมาถึงบ้านคุณย่าก็ฟ้องเรื่องลูกสะใภ้เสียยกใหญ่ รวมทั้งเรื่องของผมด้วย คุณปู่ถามผมเหมือนที่คุณย่าถาม ซึ่งคำตอบของผมก็ยังคงเหมือนเดิม คุณปู่ฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วและสรุปว่าเรื่องนี้คงต้องคุยกับท่านกิตติสักหน่อย...
.
.
.
.
.
.
.
.
.
TBC.....
สุขสันต์วันลอยกระทงนะคะ ^^