█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 27 ┨
ณ โรงพยาบาลสัตว์ของรัฐที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ร่างแบบบางยืนนิ่งด้วยดวงตาเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นมาร่วม 20 นาที จนมีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นทักทาย เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งและพยายามฝืนยิ้มให้คนที่ทักทาย จากนั้นจึงเดินลงมานั่งตรงโต๊ะม้าหิน
ช่วง 6 โมงเช้าแบบนี้บนถนนคลาคล่ำไปด้วยการจราจรที่ติดขัด แต่ทว่าภายในโรงพยาบาลสัตว์กลับให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไป ยิ่งเมื่อใครคนนั้นค่อยๆ แกะปิ่นโตเถาเล็กทีละชั้นออกมาวางเรียงกัน นั่งมองนิ่งๆ ครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ วาดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าซีดเซียว มือบางตักอาหารเข้าปากทีละคำช้าๆ พร้อมกับหยดน้ำตาที่ร่วงลงมาอาบแก้ม
“เต็ม...”
ในอกข้างซ้ายของผมมันร้าวระบมจนแทบจะขาดใจ
เต็มใจที่ผมรู้จักเป็นคนเข้มแข็ง ผมแทบจะไม่เคยเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายเลยสักครั้ง เต็มมักจะมองโลกในแง่ดี เข้าใจอะไรง่าย คิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลเสมอ เรื่องหึงหวงยิ่งแทบไม่มี ดูภายนอกเหมือนคนถือตัวและหยิ่งแต่เนื้อแท้ของเต็มเป็นคนจิตใจดี หัวใจของเต็มมีแต่ความบริสุทธิจริงใจ ผมจึงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ผมไม่เคยโกรธเต็ม ไม่เคยคิดจะโกรธแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากผมเป็นอีกฝ่าย ผมจะทำมากกว่าให้หัวแตกเลยด้วยซ้ำ แผลตรงหน้าผากเจ็บน้อยกว่าความรู้สึกที่มันแหลกละเอียดเป็นร้อยเป็นพันเท่า
เรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและลุกลามใหญ่โตเสียจนไม่ทันได้ตั้งตัว และผลกระทบที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายเกินกว่าที่ผมจะรับไหว ผมสูญเสียความไว้วางใจทั้งหมดจากทุกคน และตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาหัวใจของผมเหมือนถูกสุมอยู่ในกองเพลิง ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตาแววตากันแสนปวดร้าวของคนที่ผมรักก็ฝังแน่นอยู่ในทุกอณูของความทรมาน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่ยอมแกล้งทำเป็นคนโง่เดินเข้าไปตกหลุมพรางนั่นอีก
แสงแดดยามเช้าเริ่มแรงขึ้น ผู้คนเริ่มหนาตา ผมอยากจะหยุดเข็มนาฬิกาลงให้ช้ากว่านี้เพื่อที่จะได้มองอีกฝ่ายได้นานขึ้น แต่นี่คือชีวิตจริงไม่ใช่นิยายและผมต้องยอมรับความจริงกับทุกสิ่งให้ได้ เต็มใจยังนั่งอยู่ที่เดิมและในมือยังคงถือช้อนไว้ ผมรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามที่จะจัดการอาหารตรงหน้าให้หมด แม้ต้องใช้เวลานานสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
‘อีจีอยู่นี่เอง ฉันกับเสี่ยซันตามหาแกทั่วเลย’ ประโยคนั้นดังขึ้นพร้อมกับที่พี่โบว์และพี่ซันเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย คนที่นั่งอยู่ระบายรอยยิ้มบางเบาให้เพื่อน พี่โบว์พูดอะไรอีกหลายประโยคซึ่งผมฟังไม่ชัดหลังจากนั้นก็แย่งช้อนในมือของเพื่อนไปตักข้าวให้แล้วป้อนจนถึงปาก คนถูกป้อนทำหน้าลำบากใจแต่สุดท้ายก็ยอมอ้าปากและอมยิ้ม เพราะจุดสนใจของผมมีแค่คนๆ เดียว จึงไม่ทันสังเกตว่าพี่ซันกำลังมองอยู่ด้วยสายตาตำหนิ ผมก้มหน้าลงมองเท้าของตัวเองอย่างยอมรับผิดแล้วเดินจากมาด้วยหัวใจที่แหลกละเอียดจนแทบไม่มีชิ้นดี
“คุณกองทัพ จะไปไหนต่อมั๊ยครับ?”
น้าอ่ำหันมาถามผมก่อนจะออกรถ ผมหลับตาอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจตอบออกไป
“บ้าน.... คุณพ่อ”
.
.
.
.
.
1 เดือนสุดท้ายของการฝึกงาน ทุกอย่างกำลังจะไปด้วยดี ปัญหาที่มีก่อนหน้าจู่ๆ ก็ลดน้อยลง พี่ๆ ในบริษัทเริ่มมองผมในแง่ดีขึ้น แต่แล้วจู่ๆ คุณแม่ก็พาเพื่อนสมัยเด็กของผม
‘ซอฮันนี่’ เข้ามาฝึกงานที่บริษัท เธอเป็นลูกครึ่งไทยเกาหลี เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เธอเป็นคนสวยและน่ารักชนิดที่ว่าใครเห็นเป็นต้องตกหลุมรัก พูดเก่ง เอาใจเก่ง และยังทำงานเก่งอีกต่างหาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงจะเผลอใจไปนานแล้ว แต่ตั้งแต่ผมมีเต็มเข้ามาในชีวิต ก็ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนอยู่ในสายตาหรือมีอิทธิพลกับผมเลยสักคน และผมยังมั่นใจด้วยซ้ำว่าต่อให้มีหญิงสาวมาแก้ผ้าต่อหน้า น้องชายของผมก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เหมือนคนที่มีความรู้สึกตายด้าน หากมองในแง่ทางการแพทย์มันอาจจะเป็นความผิดปกติของร่างกาย แต่ถ้ามองในแง่ของความต้องการ ผมเรียกมันว่าการเสพติดร่างกายของคนที่ตัวเองรักอย่างบ้าคลั่งเสียมากกว่า
ผมรู้ว่าคุณแม่ต้องการอะไร และฮันนี่คิดกับผมยังไง ตลอดเวลาผมระวังตัวและเว้นระยะห่างกับเธอมาตลอด ผมปฏิเสธฮันนี่ทุกทางจนเธอไม่พอใจ ผมคิดว่าเธอจะไปฟ้องคุณแม่ให้มาโวยวายใส่ผมเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ แต่ไม่เลยครับ เธอฉลาดเกินกว่านั้นเยอะ..
แผ่นกระดาษมอบหมายให้นักศึกษาฝึกงานทำโปรเจคโฆษณานำเสนอผลงานให้กับบริษัทฯ ถูกส่งถึงมือผมก่อนวันที่เต็มจะย้ายโรงพยาบาลแค่ 2 วัน ระบุเงื่อนไขในการทำโปรเจคเป็นคู่ แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าทุกคนจับคู่กันครบทั้งหมดจนเหลือแค่ผมกับฮันนี่ ต่อให้โง่แค่ไหนก็คงจะมองออกว่ามันเป็นการจงใจให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้
ฮันนี่มีไพ่ตายอยู่ในมือตรงที่เธอไม่ใช่นักศึกษาฝึกงานที่ต้องการผลประเมิน ดังนั้นเธอจะทำหรือไม่ทำโปรเจคนี้ก็ได้ ผมเลยไปปรึกษากับหัวหน้าฝ่ายบุคคล และได้คำตอบสั้นๆ มาว่า
‘คุณนายพล’ เป็นคนมอบงานนี้ลงมา ซึ่งถ้าหากจะต่อรองผมก็ต้องไปคุยกับพี่นายเอง เรื่องคุยกับพี่ชายไม่ใช่เรื่องยากแต่ผมกลับคิดว่าทั้งคุณแม่และพี่นายคงกำลังจะทดสอบผมอยู่มากกว่า ถึงยังไงท่านก็เป็นแม่และเป็นพี่ชายของผมคงจะไม่คิดร้ายอะไรกับผมหรอก เมื่อไม่มีทางเลือกผมจึงไปขอร้องฮันนี่ เธอไม่ได้ตอบตกลงในทันที แต่เธอยื่นข้อเสมอมาว่าจนกว่างานโปรเจคจะเสร็จ ผมจะต้องเลิกติดต่อกับเต็ม และทำเหมือนว่าเธอเป็นคู่รักของผมแทน ถ้าผมทำได้เธอก็จะตกลง ผมคิดทบทวนอยู่หลายรอบ งานโปรเจคเป็นแค่โฆษณาสั้นๆ ที่ต้องนำเสนอในรูปแบบภาพนิ่ง ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็คงจะเสร็จ ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วผมก็อยากจะจัดการให้มันเสร็จๆ ไปจะดีกว่า และคิดว่าถ้าอธิบายให้เต็มฟัง อีกฝ่ายก็คงจะเข้าใจ
ใช่แล้วครับ.. ทั้งที่มีละครน้ำเน่าหลายต่อหลายเรื่องเป็นตัวอย่างถึงความโง่ของพระเอก ฉลาดมาได้ทั้งเรื่องแต่มาโง่เอากับแค่เรื่องง่ายๆ ดี แผลที่หน้าผากเจ็บแล้วยังหายแต่แผลที่ใจนับวันจะทวีรุนแรงขึ้นจนผม
ฝ่ารถติดกว่าจะมาถึงบ้านคุณพ่อก็เกือบจะ 9 โมง ผมรู้ว่าวันนี้คุณพ่อไม่เข้าบริษัท ตั้งแต่วันเกิดเรื่องทั้งคุณปู่คุณย่าและคุณพ่อรีบเข้าไปพบและอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ท่านกิตติกับคุณหญิงหยดเข้าใจ ผมเสนอตัวอยากจะไปด้วยแต่พวกท่านก็ห้ามไว้ และจนถึงบัดนี้ทุกอย่างก็ยังเงียบ ผมจึงไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป
“อะไรหอบลูกชายคนเล็กของฉันมาถึงนี่ได้เนี่ย?”
ยกมือไหว้ผู้ให้กำเนิดที่นั่งตะไบเล็บอยู่ในห้องนั่งเล่น
“คุณพ่ออยู่มั๊ยครับ?”
“มาถึงก็ถามหาคุณพ่อ นี่ไม่คิดจะคุยกับแม่หรือกับพี่ชายแกบ้างเลยรึไง?”
ไม่ได้ตอบคำถามของคุณแม่หรอกครับ ผมยืนนิ่งจนคุณแม่ทำตวัดหางตาใส่อย่างไม่พอใจ
“จะมาให้คุณพ่อไปคุยอ้อนวอนบ้านโน้นให้อีกล่ะสิ ดูแผลที่หน้าผากแกซะก่อนนี่เย็บไปสิบกว่าเข็มยังไม่เข็ดอีกเหรอ หรือต้องให้มันเอาปืนมาจ่อหัวยิงก่อนถึงจะรู้สึกว่าไปหลงรักลูกเสือลูกตะเข้ที่ไหนก็ไม่รู้”
สาบานได้ว่าถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่บุพการีผมคงได้ต่อยปากไปนานแล้ว
“เต็มเป็นลูกท่านกิตติกับคุณหญิงหยดครับ”
คนเป็นแม่ส่งเสียง
‘หึ’ ขึ้นจมูก แล้วยกเล็บที่เพิ่งเคลือบสีใหม่ขึ้นมาเป่า
“น่ากลัวเสียว่า.. ยิ่งกว่าลูกเสือลูกตะเข้ อาจจะเป็นลูกที่พ่อแกลืมไข่เอาไว้ก็ได้”
ความสัมพันระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ระหองระแหงกันมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณแม่ถึงดึงเอาเต็มเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องในครอบครัวของเราได้ และอย่าให้ผมเป็นลูกอกตัญญูต่อปากต่อคำกับผู้ให้เนิดเลยครับ ผมจึงเลี่ยงที่จะเดินหนีไปหาคุณพ่อที่ห้องทำงานแทน
“แม่ไปทาบทามหนูฮันนี่ไว้ให้แกแล้ว”
เท้าของผมหยุดชะงักลงแทบจะทันที
“พ่อแกก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เราตกลงกันว่าหลังแกเรียนจบก็จะจัดงานแต่งงานกันทันที”
คุณพ่อเห็นด้วยอย่างนั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ผมเร่งฝีเท้าไปหาคุณพ่อ ระหว่างทางผมสวนกับพี่นายตรงบันได ผมแค่ยกมือไหว้ไม่มีแม้แต่คำทักทาย
เคาะประตูห้องทำงานของคุณพ่อ แล้วรอฟังเสียงอนุญาตก่อนจะเปิดประตูเข้าไป คุณพ่อไม่ได้มีท่าทีแปลกใจที่เห็นผม ท่านเงยหน้ามองผมเล็กน้อยก่อนจะก้มลงอ่านเอกสารต่อพร้อมกับพูดว่า
‘นั่งก่อนสิ’ ผมนั่งลงและมองท่านอ่านเอกสารอย่างใจเย็น นานหลายนาทีจนกระทั่งท่านเซ็นต์เอกสารในตอนท้ายเสร็จ ปิดแฟ้ม ถอดแว่นวางไว้บนโต๊ะ แล้วมองหน้าผม
“ลูกจะเอายังไงต่อเกี่ยวกับน้องเต็ม?”
“ผมจะต้องอธิบายความจริงให้เต็มฟังครับ”
“ท่านกับคุณหญิงคงไม่ยอมง่ายๆ”
“ขอแค่เต็มให้โอกาสผมได้อธิบายเท่านั้นก็พอครับ”
คนเป็นพ่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มลงเปิดลิ้นชักแล้วหยิบของบางอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะและค่อยๆ เลื่อนมันมาตรงหน้าผม ทันทีที่ได้เห็นลมหายใจของผมแทบจะหยุดเต้น ได้แต่ภาวนาให้สิ่งของตรงหน้าเป็นแค่ภาพลวงตา ผมมั่นใจว่าเต็มไม่ได้เป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้อย่างแน่นอน เต็มต้องถามหาเหตุผลจากผมก่อนไม่ใช่จู่ๆ จะมาถอนหมั้นกันแบบนี้ ผมไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด
“ข่าวที่ออกไปมันรุนแรงกับน้องเต็มมาก พ่อรู้ว่าลูกรักน้องเต็มจริง และน้องเต็มก็รักลูกไม่ต่างกัน แต่เรื่องในครั้งนี้มันรุนแรงมากจริงๆ”
เรื่องนี้ผมรู้ดี ถ้าลำพังแค่ผมกับเต็ม 2 คนเราสามารถปรับความเข้าใจกันได้แน่นอน แต่เรื่องเกิดขึ้นกลางที่สาธารณะ มีคนถ่ายคลิปอัพโหลดลงโซเชียลจนเป็นข่าวใหญ่ คนในสังคมรุมกันประณามเต็มอีกทั้งนักเลงคีย์บอร์ดต่างกระหน่ำใส่กันอย่างเมามันส์ ฮันนี่กลายเป็นนางฟ้าในขณะที่เต็มกลายเป็นซาตาน ทั้งที่ความจริงมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด
เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้น ผมเงยหน้ามองคุณพ่ออีกครั้ง
“หลังจากน้องเต็มเอ็กซ์เทิร์นเสร็จเรียบร้อย พี่สาวเขาจะมารับกลับไปอังกฤษ แล้วท่าน คุณหญิง และน้องออมจะตามไปทีหลัง”
“หมายความว่ายังไงครับ?”
“ท่านตัดสินใจย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อังกฤษ ทหารรับใช้คนสนิทก็จะตามไปด้วย”
“แต่เต็มตั้งใจจะทำงานดูแลมูลนิธิสัตว์ของคุณหญิง”
“มูลนิธินั่นพ่อขอซื้อต่อจากคุณหญิงแล้วล่ะ จากนี้ไปคุณหญิงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ อีกแล้ว”
“คุณพ่อ...”
พูดไม่ออกจริงๆ ครับ ตกลงว่านี่มันคือเรื่องอะไรกันแน่? ผมคิดมาตลอดว่าคุณพ่อไปพบท่านกิตติกับคุณหญิงเพื่อช่วยผมเสียอีก นี่ผมกำลังถูกคุณพ่อบังเกิดเกล้าหักหลังอย่างนั้นเหรอ?
“ลูกโกรธพ่อมั๊ย?”
น้ำเสียงของคนเป็นพ่อฟังดูอ่อนโยน ผมไม่ได้โกรธคุณพ่อ แต่ผมรู้สึกผิดหวังอย่างถึงที่สุดมากกว่า.. ผมกำมือบนหน้าตักแน่นเพื่อควบคุมอารมณ์ที่มันประทุเดือดอยู่ในอก
“คุณพ่อเห็นด้วยที่จะให้ผมหมั้นกับฮันนี่?”
คนตรงหน้าตอบด้วยการพยักหน้าช้าๆ
“คุณพ่อไม่ชอบเต็มเหรอครับ?”
“น้องเต็มเป็นเด็กน่ารัก ฉลาด ใครเห็นเป็นต้องรักทุกคน”
“แล้วทำไมคุณพ่อยังช่วยถึงหักหลังผมด้วยการผลักดันให้เต็มห่างไปจากผมอีกล่ะครับ?”
ท่านมองหน้าผมนิ่งๆ ด้วยแววตาที่ไม่สามารถอ่านความหมายได้ ผ่านไปครู่ใหญ่ท่านจึงเอ่ยคำตอบออกมา
“เพราะพ่อไม่อยากจะสูญเสียลูกของพ่อไป”
อะไรนะ? นี่คุณพ่อดูละครหลังข่าวกับคุณแม่มากไปรึเปล่า?
“ผมไม่เข้าใจ”
“ตอนนี้ไม่ต้องเข้าใจก็ได้ แต่ให้รู้ไว้ว่าพ่อกำลังทำเพื่อลูกของพ่อ”
ทำเพื่อผมอย่างนั้นเหรอ? เป็นข้ออ้างที่เชยที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลยล่ะครับ ผมจ้องคุณพ่อกลับพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก ผมคิดว่าผมรู้แล้วล่ะครับว่าท่านคิดอะไรอยู่
“คุณพ่อกำลังกลัวมากกว่า... เพราะเต็มเหมือนคุณรดามากเกินไปคุณพ่อถึงได้กลัว”
คิ้วเข้มของคนตรงหน้าขมวดเล็กน้อย แววตาที่นิ่งเรียบอย่างมั่นคงมาตลอดวูบไหวแม้จะแค่เสี้ยววินาทีแต่ผมก็สังเกตเห็นได้
“เต็มไม่ใช่ลูกชายของคุณรดากับคุณพ่อหรอกครับ”
ผมไม่เคยมั่นใจอะไรเท่าเรื่องนี้มาก่อน
“ลูกมั่นใจได้ยังไง?”
“เต็มเป็นคนกล้าหาญ ไม่ได้ขี้ขลาดเหมือนผมซึ่งเป็นลูกชายของคุณพ่อเลยสักนิด ”
“กองทัพ!”
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้ยินคุณพ่อเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงดุดันแบบนี้ ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง คุณพ่อมองหน้าผมด้วยความไม่พอใจ
“ขอร้องล่ะครับ.. อย่าเอาความรักของผมไปผูกกับเรื่องในอดีตของคุณพ่อคุณแม่อีกเลยครับ”
ตั้งแต่เด็กจนโตผมไม่เคยร้องขอหรือขอร้องคุณพ่อเรื่องอะไรเลย ผมขอเรื่องนี้แค่เรื่องเดียวหวังว่าคุณพ่อจะเข้าใจผมบ้าง ผมยกมือไหว้ท่านเพื่อลากลับ แต่ก่อนที่เปิดประตูผมเพิ่งเอะใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้.. ผมหันกลับไปมองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง
“คุณพ่อจำเรื่อง... ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
ไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ทว่าคิ้วของท่านขยับเล็กน้อย แต่จึงฟันธงได้ว่าคุณพ่อคงจะจำเรื่องราวในอดีตได้มานานแล้ว
“ถ้าคุณพ่อจำได้.. คุณพ่อก็น่าจะรู้ดีว่าการพลัดพรากกับคนที่เรารักมันเจ็บปวดและทรมาณแค่ไหน ยกเว้นเสียว่า.. คุณพ่อไม่ได้รักเธอจริง”
ไม่รู้ว่าผมพูดแทงใจดำรึเปล่า รอบนี้คิ้วของท่านถึงได้ขมวดแน่นขึ้น ผมหันหลังเดินออกจากห้องทำงานของคุณพ่อ ก่อนกลับผมเจอคุณแม่กับพี่นายตรงห้องนั่งเล่นผมแค่ยกมือไหว้ลาทั้งคู่ และขอลาจากบ้านหลังนี้ด้วยความคิดที่ว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกหากไม่จำเป็น จากนั้นก็บอกน้าอ่ำให้ตรงกลับบ้านสวนรังสิตทันที
.
.
.
.
มีกฏห้ามผู้ชายตัวโตๆ ที่อายุย่างเข้า 22 ปี ร้องไห้ หรือห้ามอ่อนแอมั๊ยครับ ถ้ามีผมขอแหกกฎสักครั้งละกัน
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
ความอัดอั้นทั้งหมดถูกระเบิดออกมาเมื่อมันถึงขีดสุด และเสียงของผมคงจะดังไปจนถึงด้านนอก คุณปู่คุณย่าพากันมาเคาะประตูห้องนอนของผมยกใหญ่ จนสุดท้ายต้องเรียกเด็กรับใช้ไปเอากุญแจมาไข
“เจิ่นเมอหุยซื่อ?! เกิดอะไรขึ้นเหรอ? กองทัพ กองทัพหลานย่าเป็นอะไรไปลูก!”
คุณย่าวิ่งแทบจะโผเข้ามากอด และเพียงแค่ได้รับอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของท่าน ผมก็ปล่อยโฮร้องไห้ออกมาโดยไม่คิดจะอายใคร ณ เวลานี้ใครจะหาว่าผมขี้แย ไก่อ่อน หรืออะไรก็แล้วแต่ช่างแมร่มมันเถอะครับ เพราะผมก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ดีใจก็หัวเราะและเสียใจอย่างถึงที่สุดก็ต้องร้องไห้มันออกมา
ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหนที่ผมยอมเป็นไอ้ขี้ขลาดอยู่ในอ้อมกอดของคุณย่า รู้แค่ว่าเมื่อได้ระบายความอัดอั้นออกมาเสียบ้างมันก็รู้สึกดีขึ้นในระดับหนึ่ง คุณย่าผละอ้อมแขนออกแล้วลูบหน้าลูบตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ดวงตาของท่านแดงก่ำแต่ยังแกล้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อผม
“คุณย่าชอบเต็มมั๊ยครับ?”
“ชอบสิลูก หลานรักใครชอบใครย่าก็ชอบด้วยรักด้วย”
“ผมไม่ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ ผม.. ผม..”
“ย่ารู้ ย่ารู้”
ฝ่ามืออันแสนอบอุ่นลูบแผ่นหลังของผมอย่างปลอบโยนที่แม้จะไม่ใช่ผู้ให้กำเนิดแต่คุณย่าก็อุ้มชู ดูแล และสั่งสอนผมมาตลอดตั้งแต่จำความได้
เสียงถอนหายใจหนักๆ ดังขึ้นตรงปลายเตียง ผมจึงได้รู้ว่าคุณปู่นั่งอยู่ตรงนั้น ผมจึงรีบเช็ดน้ำหูน้ำตาแล้วนั่งหลังตรงทิ้งภาพลักษณ์ผู้ชายขี้แยเมื่อครู่ไปได้เลยครับ คุณปู่มองผมด้วยหางตาแล้วส่ายหน้าช้าๆ
“ปู่เป็นคนไปทาบทามน้องเต็มให้กับแก เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ปู่ก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย”
ท่านเว้นวรรคด้วยการถอนหายใจอีกรอบ ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกเป็นหลานอกตัญญูที่ทำให้คุณปู่คุณย่าต้องมีเรื่องหนักอกหนักใจอยู่ตลอด
“ตอนนี้ท่านกับคุณหญิงกำลังโกรธ เข้าไปคุยก็ไม่มีประโยชน์หรอก ปู่กับย่ารู้จักพวกท่านดี ด่านหน้าปล่อยให้ปู่กับย่าจัดการเอง ส่วนหลานก็ใช้ความสามารถที่มีง้อน้องเต็มให้สำเร็จละกัน”
“ขอบคุณครับคุณปู่คุณย่า”
พนมมือกราบคุณปู่คุณย่าด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในหัวใจ เรื่องง้ออีกฝ่ายผมคิดไว้ว่าต้องทำแน่ๆ แต่ตอนนี้มีเรื่องเพิ่มเข้ามาให้ปวดหัวอีกแล้ว
“แต่... คุณพ่อกับคุณแม่..”
“เรื่องหมั้นกับเด็กที่กล้าตบน้องออมหน่ะเหรอ?”
ผมยังพูดไม่ทันจบคุณย่าก็แย่งถามขึ้นมาเสียก่อน และก่อนที่ผมจะได้ตอบว่า
‘ใช่ครับ’ ก็โดนขโมยซีนด้วยใบหน้าที่แสดงอาการเหม็นเบื่อของคุณปู่ ท่านมือขึ้นโบกไล่พร้อมกับพึมพำเสียงดังเป็นภาษาจีนว่า
‘ปู้สิง!’ ซึ่งแปลจากอารมณ์ของคุณปู่ได้ว่า
‘ไม่มีทางเป็นไปได้’ “นี่มันยุคไหนแล้วจะมาคลุมถุงชนอยู่อีก พั่นเฝิง!”
อ่อ.. คุณปู่ด่าลูกชายและลูกสะใภ้ของท่านว่า
‘ปัญญาอ่อน’ ครับ ทำเอาผมไม่กล้าพูดเรื่องที่คุณพ่อพูดกับผมในวันนี้เลย
คุณปู่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับสั่งให้ผมไปล้างหน้าล้างตาแล้วเตรียมตัวออกไปกินข้าวเย็น
‘กองทัพต้องเดินด้วยท้อง’ คุณปู่ท่านว่ามาแบบนั้น ผมก็ทำตามท่านครับ เพราะตอนนี้คุณปู่คุณย่าคือที่พึ่งสุดท้ายของผม ไม่ใช่สิ ผมต้องพูดว่าชีวิตของผมคงมีแต่ท่านทั้ง 2 คนนี่แหละที่เข้าใจและคอยช่วยเหลือผมมาตลอด
ขณะที่กำลังยืนเช็ดหน้าอยู่หน้ากระจก สีส้มก็กระโดดออกมาจากตะกร้า ผมหันไปอุ้มแมวอ้วนมากอด ปกติสีส้มจะเป็นแมวขี้รำคาญแต่ครั้งนี้มันยอมอยู่นิ่งๆ ให้ผมกอดแถมยังเอาหัวมาซุกตรงซอกคอผมด้วย ราวกับมันรู้ว่าผมกำลังต้องการกำลังใจ
จู่ๆ ไอโฟนของผมก็ส่งเสียง ชื่อและภาพหน้าจอโชว์เด่นว่าเป็นใคร ผมวางสีส้มลงบนเตียงก่อนจะกดรับสาย
“ว่าไงดักแด้?”
[มึงโอเคะปะวะ?]
“ไม่เลยสักนิด”
ตอบตามความจริง แล้วใช้อีกมือที่ว่างหยิบไอโฟนอีกเครื่องขึ้นมาเปิดหน้าจอ ปลดรหัสด้วยหมายเลข 0818
[เออ กูรู้ๆ กูเข้าใจ]
ยิ้มตามกับคำพูดของเพื่อนรัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนเวลาที่ผมมีปัญหาคนแรกที่จะโทรหาผมคือออม แต่ผมก็ได้ทำลายความไว้ใจทั้งหมดลงไปแล้ว
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียง สีส้มขยับตัวมานั่งเลียขนโดยใช้สีข้างของผมเป็นที่พิงหลัง ผมเปิดแกลลอรี่รูปภาพของไอโฟนอีกเครื่อง ส่วนใหญ่เป็นรูปน้องหมาน้องแมวป่วย ถัดมาเป็นรูปของสีส้ม และปิดท้ายแค่ไม่กี่สิบรูปเป็นรูปแอบถ่าย ซึ่งทุกรูปอีกฝ่ายใช้กล้องหน้าถ่ายให้ติดตัวเองแค่ครึ่งเสี้ยวแล้วมีผมเป็นฉากหลัง ไม่ว่าจะเป็นตอนอ่านหนังสือ กำลังย่อตัวนั่งล็อคโซ่จักรยาน เทอาหารใส่จาน เล่นอยู่กับสีส้ม หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมแอบงีบหลับ นี่คงเป็นรูปคู่ของเราในแบบฉบับของเต็มใจสินะ ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลย
เต็มเป็นคนไม่ค่อยพูดว่า
‘รัก’ ผมสักเท่าไหร่ อีกทั้งยังไม่ชอบอ้อน เอาใจใครไม่เก่ง หากใครไม่สนิทด้วยจะคิดว่าเจ้าตัวเป็นคนหยิ่งและเอาแต่ใจ ทั้งที่ความจริงแล้วเต็มเป็นผู้ชายที่เขินง่ายมาก เวลาที่โดนผมรุกหยอดมุกเสี่ยวใส่แก้มใสๆ นั่นจะแดงขึ้นแทบจะทันที เต็มเป็นผู้ชายที่อยู่นิ่งๆ แล้วหล่อ ยิ้มแล้วน่ารัก เขินแล้วน่าจับกด แต่ถ้าโกรธขึ้นมานี่โคตรน่ากลัวเลยล่ะครับ
[กองทัพ มึงยังฟังอยู่รึเปล่า?]
“อืม..”
[มีคนอยากคุยกับมึงอะ]
“ใครวะ?”
ถามดักแด้แต่ปลายสายเงียบไป ผมเงี่ยหูฟังแต่ก็ไม่ได้ยินอะไร
“ดักแด้ กูถามว่าใครวะ?”
[ฉันเอง]
หืม??? แค่ได้ยินเสียงก็ทำให้ผมรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที
“ออม?”
[อืม]
แล้วเราทั้งคู่ก็เงียบไป หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น อย่าเข้าใจผิดว่าผมตื่นเต้นที่ได้คุยกับออมหรอกนะครับ แต่ผมกำลังลุ้นว่าออมจะคุยกับผมเรื่องอะไรมากกว่า
[กองทัพ]
“ว่าไง? ฟังอยู่”
หน้าจอไอโฟนอีกเครื่องค้างไว้ที่รูปใบหน้าใสระบายรอยยิ้มจนเต็มแก้มโดยด้านหลังนั้นเป็นแผ่นหลังของผมที่กำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือ
[แผลเป็นยังไงบ้าง?]
“รอแค่ไหมละลายก็หายแล้วล่ะ”
หลังจากคำตอบของผม ปลายสายก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ออม.. ขอโทษนะ”
[ถ้าจะให้ฉันหายโกรธนายก็ไปจิกหัวอีนั่นมาให้ฉันตบสักฉาดสองฉาดสิ]
เอิ่ม... นี่ผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่าครับ? ออมทำผมไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว เสียงฟึดฟัดไม่พอใจดังมาจากปลายสาย ผมก็ได้แต่รูดซิปปากเงียบ แต่ไม่นานนักออมก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
[อาซันบอกว่าวันนี้เจอนายที่โรงพยาบาลสัตว์]
ใจคอไม่ดีขึ้นมาทันทีเลยหล่ะครับ
“อืม”
[ไปทำไม?]
“คิดถึงเต็ม”
[อยากง้อ?]
“ใช่”
ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ผมตอบตรงตามที่ใจคิดทุกอย่าง
[แล้วทำไมไม่เข้าไปง้อ?]
“หืม?”
สะดุดกับคำถามนิดหน่อยครับ ออมถามผมแบบนี้หมายความว่ายังไง? ออมไม่ได้โกรธหรือเกลียดผมหรอกหรือ?
[พรุ่งนี้อาเต็มเลิกเวรแปดโมงเช้าแล้วจะกลับบ้านพักผ่อนสามวัน]
“ออม?”
[ฉันรู้ว่านายไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่แค่เวลารักใครมากๆ นายก็มักจะอ่อนไหวง่าย]
“........................”
[เรื่องที่เกิดขึ้นฉันรู้ว่านายไม่ได้ตั้งใจและนายก็ไม่ได้นอกใจอาเต็ม]
“........................”
[ฉันเคยบอกนายแล้วว่าอย่าทำให้อาเต็มของฉันเสียใจเด็ดขาด หวังว่านายยังจำคำสัญญาที่ให้กับฉันไว้ได้]
“........................”
[อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะกองทัพ]
พูดจบออมก็วางสายไปทันที แต่ผมนี่เป็นใบ้ไปเลยครับ กว่าจะดึงสติกลับมาทบทวนคำพูดของออมได้ก็ใช้เวลาเกือบนาที นี่แหละครับออม ผู้หญิงที่รู้ใจและรู้จักผมรองจากคุณย่า หรือจะว่าไปออมเข้าใจผมมากกว่าแม่แท้ๆ ของผมอีกเสียด้วยซ้ำ
‘ขอบคุณนะออม’ ตอนนี้ผมคงได้แต่พูดออกมากับตัวเอง แต่ผมเชื่อว่าในไม่ช้าผมจะได้พูดกับเจ้าตัวต่อหน้าแน่นอน
เสียงคุณย่ามาเคาะประตูเรียกไปทานข้าวมื้อเย็น ผมรีบตอบรับท่าน ก่อนจะออกจากห้องนอนผมเดินไปเติมอาหารลงในถ้วยให้สีส้มและเทอาหารกระป๋องสำหรับแมวให้อีกถ้วย สีส้มกระโดดลงจากเตียงมากินอาหารแทบจะทันที แมวได้กินแล้วก็ถึงตาผมบ้างล่ะครับ
ที่คุณปู่บอกว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้องนั้น ผมเชื่อแล้วล่ะครับว่ามันได้ผลจริง หลังจากที่ผมกินอิ่มผมก็นึกออกแล้วว่าจะง้อเมียด้วยวิธีไหนดี ผมเดินไปหยุดที่หน้าเบาะนอนของแมวอ้วนสีส้ม ดวงตากลมใสมองผมแล้วอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน
“สีส้มลูกรัก.. คิดถึงพ่อเต็มมั๊ย?”
สีส้มร้อง
‘เมี๊ยว’ เบาๆ ทำให้ผมยิ้มออกเลยล่ะครับ
.
.
.
.
.
TBC....