█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 17 ┨
เช้าวันเสาร์ช่างสดใส.. ได้นอนเต็มอิ่มและตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาตักบาตรกับคุณแม่ ไม่รู้ว่าเพราะนานทีปีหนที่ผมจะตื่นมาตักบาตรกับท่านรึเปล่าตอนที่ท่านเห็นหน้าผมเดินลงบันไดมาจึงทำหน้าตกใจเสียจนผมหลุดขำ
หลังจากมื้อเช้าผมก็เดินกลับขึ้นห้องนอน นั่งเล่นให้อาหารย่อยแล้วจึงนอนแช่น้ำในอ่างอย่างสบายใจ ผมออกจากห้องน้ำตอนใกล้จะ 9 โมง สำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มแต่งตัว ผมสอดชายเสื้อยืดสีดำลงในกางเกงแล้วสวมเสื้อสูททับอีกชั้น ระหว่างนั้นผมมองออกไปนอกหน้าต่างมีรถเก๋ง 2 คันและรถตู้คันหรูเข้ามาจอดตรงลานน้ำพุหน้าบ้าน แม้ผมจะไม่เห็นว่าเจ้าของรถเป็นใครแต่ริมฝีปากก็ระบายยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมกลัดกระดุมสื้อสูทพร้อมกับมองเงาของตัวเองในกระจกและยิ้มให้กับตัวเองอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เสียงเคาะประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น 2-3 ครั้ง
“อีจี กูเอง”
โบว์เยี่ยมหน้าเข้ามาตรงประตูที่แง้มเปิดไว้ ผมส่งยิ้มให้เพื่อนสาว เจ้าตัวจึงเดินเข้ามาในห้อง จากนั้นก็ปรายสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเบะปากอมยิ้ม
“หล่อเหี้ยขนาดนี้ เพื่อนดิฉันจะไปโชว์ตัวที่ไหนเนี่ย?”
“คงงานเดียวกับโบว์นั่นแหละ”
เพื่อนสาวใส่เดรสสั้นสีฟ้าครามดูแว่บเดียวผมก็รู้ว่าเป็นชุดจากคอลเลคชั่นของ TJ แน่นอน เพิ่มความเก๋ด้วยเข็มกลัดดอกไม้สีน้ำตาลติดตรงหน้าอก แถมยังแต่งหน้าจัดเต็มขนาดนี้ถ้าบอกว่าแค่บังเอิญแวะผ่านมาแถวนี้ผมควรจะเชื่อมั๊ยละครับ
“งั้นกูจะไปงานทำบุญฝังลูกนิมิตร”
ผมหัวเราะลั่น โบว์รู้ทันจึงเท้าสะเอวจิกตาใส่ผมเบอร์แรง
“นี่ผัวมึงบอกให้มึงโง่ใช่มั๊ยเนี่ย?”
ส่ายหน้าสิครับ เทมป์ไม่ได้บอกให้ผมโง่สักหน่อย ผมเองต่างหากที่แกล้งโง่เพื่อเทมป์ แต่มีเหรอที่โบว์จะเชื่อฝ่ายนั้นอมยิ้มแล้ว
ส่งเสียงจิ๊จ๊ะจากนั้นก็เดินมากอดผมเสียแน่น
“อีจีกูรักมึงนะ”
“อืม”
“เฮียซันก็รักมึง”
“ขอบใจนะ”
ผมเองก็รักโบว์กับซันไม่ต่างจากที่ทั้งคู่รักผม เพื่อนสาวผละกอดออกแต่มือทั้งสองข้างยังจับต้นแขนผมไว้แน่น ดวงตากลมโตมองหน้าผมอย่างตั้งอกตั้งใจซะจนผมต้องหรี่ตามองด้วยรู้สึกลางสังหรณ์แปลกๆ
“กูขออะไรมึงสักอย่างได้มั๊ย?”
นั่นไง คิดไว้ไม่มีผิด ดวงตาส่องประกายวิบวับก่อนจะโน้มใบหน้ามากระซิบข้างหูของผม แค่ได้ฟังเท่านั้นแหละผมไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีครับ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าบนโลกใบนี้มีผู้หญิงแบบโบว์สักกี่คนที่ขอตั้งกล้องวีดีโอถ่ายตอนผู้ชายมีเซ็กส์กัน อืมม.. คุณคิดว่าผมจะปฏิเสธหรือตกลงดีละครับเนี่ย -“-
.
.
.
.
09.30 น. โบว์เดินควงแขนผมลงมาชั้นล่าง โบว์บอกว่าตามแผนที่วางไว้คือผมจะต้องไม่รู้ตัวและโดนโบว์บังคับให้แต่งตัวหล่อเรียบร้อยลงมาจากห้อง แต่เพราะไอคิวของผมสูงไปหน่อยเลยเดาเหตุการณ์ได้ทุกอย่างเตรียมตัวเองไว้เสร็จสรรพที่เหลือก็แค่รอเวลาและเล่นไปตามบทเท่านั้น แต่อย่าคิดว่าไม่ตื่นเต้น หรือไม่รู้สึกอะไรนะครับ บอกคำเดียวว่าก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายนี่แทบจะทะลุออกมาเต้นบีบอยโชว์กันเลยทีเดียว
ห้องรับแขกที่เมื่อเช้าเฟอร์นิเจอร์ยังจัดวางไว้อย่างปกติไม่น่าเชื่อว่าแค่ไม่กี่ชั่วโมง สามารถกลายเป็นสถานที่ที่ตอนนี้ละลานตาไปด้วยแฟชั่นหรูหราจากแบรนด์ TJ ในสีเอิร์ธโทนโดยมีนายและนางแบบตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงเลยวัยเกษียณอายุ อีกทั้งยังมีทีมงานคุณภาพมากกว่า 10 ชีวิต นำทีมโดยคุณเท็ดดี้และคุณแดนนี่ขุนพลมือฉมังของพี่ขวัญที่ส่งตรงมาจากอังกฤษเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ
โบว์บีบมือผมเบาๆ แล้วกระซิบ
“หายใจลึกๆ นะเพื่อน วันนี้แกหล่อมาก แต่ยังไงฉันก็เมนน้องกองทัพว่ะ”
พูดจบเพื่อนตัวดีก็หัวเราะคิกคักแล้ววิ่งไปนั่งนั่งเบียดข้างน้องดักแด้ แทนที่จะนั่งเป็นเพื่อนฝั่งผมเหมือนอย่างซันกับออม ที่สำคัญยังทิ้งให้ผมยืนเก้ออยู่คนเดียวอีกต่างหาก
“น้องเต็ม มานี่สิลูก”
คุณแม่กวักมือเรียกผมที่ยืนเขินเก้ๆ กังๆ ให้เข้าไปหา ออมจึงรีบลุกขึ้นมาจูงผมเข้าไปนั่งบนพื้นหน้าโซฟาตัวใหญ่ข้างคุณแม่ ผมยกมือไหว้ทุกคน บนโซฟานอกจากคุณพ่อคุณแม่ของผมก็มีเจ้าสัวยางและคุณนายจูนั่งอยู่ด้วย ถัดจากคุณนายจูก็เป็นคุณอาดิษฐ์ ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้มมองผมด้วยสายตาเอ็นดูยกเว้นคุณพ่อที่ท่านยังคงนิ่งไม่แสดงสีหน้าใดๆ และยากที่จะเดาความรู้สึก แต่ที่หน้าบานสุดคงจะเป็นผู้ชายที่นั่งอยู่บนพื้นตรงหน้าผมนี่แหละครับ ปกติว่าหล่อแล้วแต่วันนี้คำว่าโคตรหล่อยังดูน้อยไปด้วยซ้ำ หล่อซะจนผมไม่กล้ามองหน้าและสบตาเลยล่ะครับ...
“เอาล่ะ พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ผมในฐานะปู่ของกองทัพก็ขอเข้าเรื่องเลยนะครับท่าน คุณหญิง..”
เจ้าสัวยางเปิดประเด็น คุณพ่อของผมก็พยักหน้านิ่งๆ ต่างจากคุณแม่ที่แทบจะหุบยิ้มไม่ได้
“วันนี้วันดี ผมจึงถือโอกาสจะมาทาบทามน้องเต็มใจลูกชายคนเล็กของท่านให้กับกองทัพหลานชายคนเล็กของผม แม้จะแปลกไปสักหน่อยที่ทั้งคู่ต่างเป็นผู้ชายแต่มันก็ถือเป็นเรื่องดี เรื่องของความรัก เด็กทั้งคู่รักกันอย่างเปิดเผยและเราที่เป็นผู้ใหญ่ก็เห็นว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเราก็ควรที่จะยอมรับและเปิดใจ ให้โอกาสพวกเขามากขึ้น”
คำพูดของเจ้าสัวทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก จังหวะนั้นฝ่ามือของคุณแม่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน ผมเงยหน้ามองท่านด้วยรอยยิ้ม
“เด็กทั้งคู่ตอนนี้ก็ยังเรียนกันอยู่ วันนี้ทางผมจึงจะขอหมั้นหมายน้องเต็มใจให้กับกองทัพเอาไว้ก่อน หลังจากที่เด็กๆ เรียนจบผมจะยกขันหมากมาสู่ขอน้องเต็มใจให้หลานชายของผมครับ”
หลังจากเจ้าสัวยางพูดจบ ทุกสายตาก็หยุดอยู่ที่คุณพ่อ แต่ผมคิดว่าช่วงที่ผมกำลังยุ่งเรื่องเรียนเจ้าสัวยางคงจะมาคุยเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่ไว้ก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงไม่ได้มานั่งกันอยู่แบบนี้หรอกครับ
คุณพ่อเงียบไปนาน คนอื่นๆ ก็นั่งกันเงียบกริบ ผมลุ้นซะจนเผลอกำมือแน่น และหลังจากที่ท่านทอดถอนใจเฮือกใหญ่ให้ทุกคนใจหายใจคว่ำท่านก็เอ่ยขึ้นมาด้วยประโยคที่ทำเอาบรรยากาศดำดิ่งลงสู่ความอึดอัด
“ความจริงก็ไม่ได้เห็นด้วยสักเท่าไหร่มาตั้งแต่ต้น..”
ผมมองคุณพ่อด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ผมไม่ได้โกรธหากท่านจะปฏิเสธและจะไม่เรียกร้องหรือโวยวายใดๆ ทั้งนั้น แม้จะเสียใจแต่ถึงอย่างนั้นผมก็เข้าใจเหตุผลของท่าน มันเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครต้องการจะให้ผมรับรู้และเป็นเหตุผลที่ท่านแบกรับความรู้สึกเจ็บปวดไว้เพียงลำพังมาเนิ่นนาน
คุณพ่อหลับตาลงครู่หนึ่งคล้ายว่าท่านกำลังคิดและตัดสินใจอะไรบางอย่างที่มันฝืดฝืนหัวใจตัวเอง และเมื่อท่านลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาคมกล้าคู่นั้นก็หยุดนิ่งอยู่ที่ผม
“แต่ถ้ามันทำให้ลูกชายของผมมีความสุข.. ผมก็ต้องยอมรับมันให้ได้ แต่จะขอพูดตรงนี้ไว้เรื่องเดียวก็คือ หากวันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าหลานชายของเจ้าสัวทำให้ลูกชายของผมเจ็บช้ำไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจ เราทั้งสองครอบครัวจะตัดขาดซึ่งเยื่อใยและมิตรภาพที่มีต่อกันในทันที และผมจะไม่ปล่อยให้หลานชายของท่านอยู่อย่างมีความสุขแน่นอน.. ผมได้แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น”
แม้ใบหน้าของคุณพ่อจะนิ่งเรียบ แต่ในแววตากลับฉายชัดถึงความอ่อนโยน ท่านพยักหน้าให้ผมเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาไปมองหลานชายเจ้าสัวยาง
“แม้ผมจะไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร แต่ผมมั่นใจว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นแน่นอนครับท่าน”
เทมป์ก้มลงกราบที่เท้าของคุณพ่อแทนคำสัญญาของลูกผู้ชาย และน้ำตาของผมก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ภายใต้เกราะแก้วบางใสที่กั้นกลางระหว่างผมกับคุณพ่อมันมีคำว่า
‘ความรัก’ ซ่อนอยู่ไม่เคยเปลี่ยนและเหนือสิ่งอื่นใด
‘ความสุข’ ของผมก็มาก่อนเสมอ ถ้อยประโยคหนึ่งเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเด่นชัดขึ้นในความทรงจำ
‘ทำไมผมถึงชื่อ ‘เต็มใจ’ หรือครับคุณพ่อ?’‘เพราะตอนที่คุณพ่อกับคุณแม่เห็นหน้าลูกครั้งแรก ก็รู้เลยว่าพวกเราเต็มใจที่จะรัก เต็มใจที่จะมอบความอบอุ่น และเต็มใจที่จะมอบความสุขให้กับลูกยังไงล่ะ.. รักด้วยความเต็มใจ.. และรักจนเต็มหัวใจ’ผมกระเถิบตัวเข้าไปใกล้คุณพ่อ กราบลงบนหน้าขาแล้วซบหน้าที่เปื้อนน้ำตาเอาไว้ ตั้งแต่อุบัติเหตุเมื่อครั้งนั้นนี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมได้ใกล้ชิดคุณพ่อเหมือนเมื่อก่อนแบบนี้ ท่านลูบหัวของผมเบาๆ
ความอึดอัดที่ปกคลุมมาตั้งแต่ต้นจางหายไป ทุกคนกลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง ผู้ชายหล่อคมเข้มในชุดสูทสีเทาครามกระเถิบเข้ามาหาผม พร้อมกับที่ซันยัดกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินใส่มือผมไว้แล้วออมก็ดันให้ผมกระเถิบเข้าไปหาอีกฝ่าย เราทั้งคู่มีกล่องแหวนกำมะหยี่สีน้ำเงินเหมือนกัน
ดวงตาคู่คมจ้องมองผมอย่างลึกล้ำ ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องยิ้มกว้างและต้องเขินขนาดนี้ เพิ่งเข้าใจความรู้สึกที่พวกผู้หญิงเขินอายเวลาคนที่ตัวเองรักแสดงออกว่า
‘รัก’ ก็ครั้งนี้แหละครับ มือใหญ่บรรจงจับมือผมไว้ ฝ่ามือใหญ่ที่อบอุ่นเสมอตอนนี้ชื้นไปด้วยเหงื่อจนผมนึกขำ
ความเย็นจากเนื้อทองคำขาวค่อยๆ เลื่อนสวมลงบนนิ้วนางด้านซ้ายของผมอย่างพอดิบพอดี แหวนเรียบหรูฝังเพชรน้ำงามเรียงกันเป็นตัวอักษร
‘T’ ขนาดเล็กด้วยฝีมือปราณีต ยิ่งเมื่อต้องแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปตัวแหวนก็ส่องประกายวิบวับจับตา จากนั้นผมจึงหยิบแหวนในกล่องของตัวเองออกมา แหวนแบบเดียวกันเพียงแต่ขนาดวงใหญ่กว่าและตัวอักษรเป็นตัว
‘G’ .. เอิ่ม.. เดี๋ยวนะครับ ผมว่ามันมีอะไรบางอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับตัวอักษรแน่นอน และผมก็คิดว่าเพื่อนสาวที่นั่งฉีกยิ้มจนเหลือแค่ตาขีดเดียวคงจะมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยอย่างแน่นอน
เรื่องอื่นค่อยเคลียร์ ตอนนี้ขอสวมแหวนให้คู่หมั้นก่อนครับ เราสบตากันนิ่งผมเขินจนตัวแทบระเบิดแต่ก็ไม่คิดจะหลบดวงตาคู่คมแม้แต่น้อย แหวนที่อยู่บนนิ้วนางของเราทั้งคู่เป็นเพียงสิ่งของที่แลกเปลี่ยนกันตามประเพณีแต่ความรู้สึกของพวกเราต่างหากที่จะผูกมัดกันและกันไว้ตลอดไป
เมื่อสวมแหวนเสร็จผมก็พนมมือค้อมศีรษะไหว้อีกฝ่าย ดูท่าว่าเจ้าตัวจะตกใจอยู่ไม่น้อยแต่ก็ตั้งสติได้ทันรีบใช้มือทั้งสองข้างรับไหว้ของผมไว้พร้อมกับดึงเข้าไปกอด ไม่มีคำกระซิบบอกรัก ไม่มีคำสัญญา จะมีก็แต่เพียงปลายจมูกโด่งและริมฝีปากที่ฝังลงบนหน้าผากด้วยน้ำหนักที่มั่นคง จากนั้นเราทั้งคู่ก็ก้มลงกราบเท้าและรับพรจากผู้ใหญ่ทุกท่านจนมาถึงคุณอาดิษฐ์ซึ่งเป็นคนสุดท้าย ท่านให้พรพวกเราด้วยรอยยิ้มอบอุ่น แต่ทว่าประโยคแผ่วเบาสุดท้ายของคุณอาดิษฐ์ราวกับมีใครกดปุ่มปิดสวิทช์ให้ทุกอย่างหยุดนิ่ง
“มองลูกๆ ตอนนี้แล้วยังกับว่าพ่อได้เห็นตัวเองกับ.....”
ความเหนื่อยล้าเพียงเสี้ยววินาทีที่เผยออกมาถูกซ่อนไว้ภายใต้เปลือกตา คุณอาดิษฐ์หลับตาแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง เทมป์จึงกุมมือของคุณพ่อไว้แล้วบีบเบาๆ
“คุณพ่อครับ.....”
“อืม..”
เสียงครางตอบรับเบาๆ พร้อมกับที่ท่านลืมตาขึ้นด้วยรอยยิ้ม
งานหมั้นของเราก็มีแค่นี้แหละครับ จัดแบบง่ายๆ และมีเฉพาะแค่คนที่สนิทชิดเชื้อเท่านั้น แต่ที่ดูอลังการคงจะเป็นทีมโปรดัคชั่นจาก TJ นี่แหละครับ
พี่เท็ดดี้ช่างภาพมือหนึ่งขอถ่ายรูปหมู่รวมกันเป็นที่ระลึก ผมกับเทมป์จึงเดินเข่าถอยมานั่งอยู่บนพื้นตรงกลาง ปกติถ้าได้อยู่หน้ากล้องผมจะสามารถควบคุมสีหน้าและท่าทางของตัวเองได้อย่างคล่องแคล่วแต่ตอนนี้แค่จะหุบยิ้มผมยังทำไม่ได้เลยครับ
.
.
.
.
เสร็จจากงานหมั้นเป็นงานเลี้ยงปาร์ตี้จิบน้ำชาในสวน ผมเพิ่งรู้นะครับเนี่ยว่านอกจากงานหมั้นของผมจะใช้เป็นพรีเซนสเตชั่นในการเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเคลชั่นใหม่ของแบรนด์เสื้อผ้า TJ แล้ว ทางบริษัทโฆษณาวายเจยังใช้งานวันนี้เป็นการโฆษณาแหวนเพชรให้กับร้านเพชรชื่อดังในคอนเซ็ป
‘รักไร้ข้อจำกัด’ อีกทั้งในช่วงปาร์ตี้จิบน้ำชาบริษัทก็ยังใช้เป็นการถ่ายโฆษณาเครื่องดื่มชาเพื่อสุขภาพยี่ห้อใหม่ซึ่งได้คุณพ่อคุณแม่ของผม เจ้าสัวยางและคุณนายจูเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้เอง นี่แหละครับวงการธุรกิจ ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว
ระหว่างรอผู้หลักผู้ใหญ่กำลังถ่ายโฆษณาเครื่องดื่มชา ผมก็หันไปมองคุณนายโบรัมที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ทำไมต้องทีกับจี?”
ผมโชว์นิ้วนางข้างซ้ายใส่หน้าเพื่อนสาว ฝ่ายนั้นเบะปากแล้วอมยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่ถามผัวมึงล่ะ?”
นั่นไง เดาไว้ไม่มีผิดว่าโบว์ต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน ผมหันไปมองผู้ชายร่างสูงสมส่วนที่ยืนคุมงานการถ่ายทำคู่กับคุณอาดิษฐ์ ผมไม่เคยเห็นเวลาเทมป์ทำงานแบบนี้ อีกฝ่ายดูมีความเป็นผู้ใหญ่สูงมาก มีความสุขุมและตั้งใจ ทว่าไม่ได้ดูเกร็งเครียด เจ้าตัวมีท่าทีสบายเป็นไปตามธรรมชาติราวกับว่างานตรงหน้าคือส่วนหนึ่งของชีวิต
“น้องกองทัพบอกว่าอยากได้แหวนที่เป็นความทรงจำครั้งแรกที่ได้เจอกับแก ฉันก็เลยให้น้องเขาเล่าเหตุการณ์ในวันแรกที่เจอกัน อ่อ.. ตอนนั้นฉันก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยนะ ฮ่า”
จู่ๆ โบว์ก็เล่าที่มาที่ไปของแหวนให้ฟัง ผมหันไปมองโบว์อีกครั้งแล้วคิดถึงเหตุการณ์ที่ผมได้เจอกับอีกฝ่ายครั้งแรก มันเกิดขึ้นที่หอพัก และโบว์ก็โทรเข้ามาหาผมพอดี
“แกบัญญัติชื่อเล่นให้น้องกองทัพว่า
‘เทมป์’ แล้วน้องเทมป์ของฉันก็เรียกแกครั้งแรกว่า
‘พี่จี’ ตามที่ฉันบอก ฮ่า”
คนเล่านั่งหัวเราะจนน้ำตาไหลทำเอาผมต้องหัวเราะตาม
“แต่นั่นไม่พีคเท่ากับว่าแกคือเด็กน้อย
‘ทีทูเดอะจี’ ที่น้องกองทัพติดอกติดใจมาตั้งแต่เด็ก.. เหี้ย! นี่ฉันเพิ่งรู้นะว่าตอนเด็กแกแร๊พเปิดตัวแบรนด์ให้พี่ขวัญสับสนจาก
‘ทีทูเดอะเจ’ เป็น
‘ทีทูเดอะจี’ นี่ต้องขอบคุณมากเลยนะที่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแกไม่ไปร้องแร๊พเปิดตัวงานให้ใครอีก ฮ่า”
ขำก็ขำอยู่หรอกนะ แต่ขอตวัดหางตาใส่เพื่อนนิดนึงจะได้มั๊ยครับเพราะเรื่องที่ผมแร๊พผิดเนี่ยมันเป็นความลับที่ไม่มีใครเอ่ยถึงมานานแล้ว แต่.. เดี๋ยวนะ...
“เทมป์เล่าเรื่องนี้ให้ฟังเหรอ?”
“อืม”
เพื่อนสาวยกแก้วน้ำส้มคั้นขึ้นดื่มก่อนจะเดินเข้าไปหาออม ซัน และน้องดักแด้ที่อยู่ในห้องรับแขก ตอนนี้จึงเหลือผมนั่งอยู่คนเดียว ผมหันกลับไปมองคู่หมั้นหมาดๆ ของตัวเองอีกครั้ง ฝ่ายนั้นจำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? รู้มานานแค่ไหนแล้วว่าผมคือเจ้าของท่อนแร๊พในตำนานอันลือลั่นถึงขนาดที่เจ้าตัวเอามาตั้งชื่อตุ๊กตาแมวจีจี้ว่า
‘ทีทูเดอะจี’ และไม่รู้ว่าผมมองอีกฝ่ายนานเกินไปรึเปล่า ดวงตาคู่คมจึงได้ละสายตาจากงานตรงหน้าแล้วหันมาสบตากับผม คิ้วเข้มเลิกสูงเล็กน้อยคล้ายจะถามว่ามีอะไรรึเปล่า ซึ่งผมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปทำเพียงยกขาขึ้นไขว่ห้าง พิงหลังลงกับพนักเก้าอี้ ดึงปีกหมวกลงมาปิดครึ่งหน้า แล้วหลับตาหลบแสงแดดจ้าในตอนเที่ยงที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้องนั่งเล่น
นานจนผมเผลองีบหลับไปมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ซันเดินเข้ามาปลุกบอกว่าปาร์ตี้จิบชายามบ่ายของจริงเริ่มแล้ว ผมจึงลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าล้างตาและให้ช่างแต่งหน้าเติมแป้งเติมลิปให้เล็กน้อย ซึ่งขณะที่ผมเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปที่สวนหลังบ้านนั้นก็ได้ยินเสียงคุณแม่แว่วดังมาจากทางครัว ผมจึงเปลี่ยนเดินไปทางครัวแทนแต่ยังไม่ทันจะได้โผล่หน้าให้คุณแม่เห็นเท้าของผมก็หยุดลงเสียก่อน
“จะว่าไปตอนที่จู่ๆ ตาดิษฐ์พูดเรื่องนั้นขึ้นมา... ดิฉันก็ตกใจจริงๆ นะคะคุณหญิง อย่างกับว่าตาดิษฐ์เริ่มจะจำความได้บ้างแล้ว”
“แล้วคุณนายจูอยากจะให้ลูกชายจำเรื่องราวที่หายไปได้รึเปล่าละคะ?”
“ถ้าจำได้แล้วตาดิษฐ์จะกลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง ก็ไม่มีแม่คนไหนอยากจะให้ลูกจำได้หรอกนะคะคุณหญิง”
“ใช่ค่ะ ถ้าจำได้หรือถ้ารู้แล้วมันทำให้ลูกของเราเจ็บปวด เราก็ไม่อยากจะให้เขาจดจำหรือรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นหรอกค่ะ”
คุณแม่กับคุณนายจูถอนหายใจพร้อมกันอย่างหนักหน่วง ในขณะที่ผมรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
“แต่วันนี้ที่ได้เห็นน้องเต็มกับพ่อกองทัพก็ทำให้ดิฉันนึกถึงเมื่อครั้งนั้นเหมือนกันนะคะ”
“ใช่ค่ะคุณหญิง.. ตอนนั้นเราทั้งสองครอบครัวก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้”
น้ำเสียงของคุณนายจูในท้ายประโยคฟังดูสั่นเครือเล็กน้อย
“นี่ถ้าน้องเต็มไม่ใช่ลูกชายของท่านกับคุณหญิง ดิฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า...”
“น้องเต็มเป็นลูกชายของดิฉันกับท่านกิตติค่ะ น้องเต็มเป็นลูกชายของเรา และเป็นลูกชายที่พวกเรารักมากค่ะ”
“ค่ะ.. ดิฉันทราบค่ะ”
ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้รู้สึกในอกมันวูบโหวงและหายใจติดขัดแบบนี้ ผมยกมือขึ้นทุบอกของตัวเองหนักๆ เพื่อให้หายใจได้สะดวกขึ้นแต่ก็ถูกมือของใครอีกคนจับไว้เสียก่อน
“ชู่วว์”
นิ้วชี้เรียวยกขึ้นแตะบนริมฝีปากของผม ใบหน้าคมระบายรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วกุมมือผมไว้แน่น
“คุณหญิงครับ คุณย่าครับอยู่รึเปล่าครับ?”
ทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วแต่เจ้าตัวก็ยังตะโกนถามอย่างสุภาพ
“กองทัพเหรอ? ย่ากับคุณหญิงอยู่นี่จ่ะลูก”
เมื่อได้คำตอบรับ มือใหญ่ก็จูงผมเดินเข้าไปในครัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เชิญที่ศาลากลางสวนครับ ผมกับเต็มอยากจะดื่มชากับทุกท่านจะแย่แล้ว”
“ค่ะ.. พ่อหนุ่มใจร้อน”
นานทีปีหนคุณแม่จะเอ่ยแซ็วใครแบบนี้ นั่นแสดงว่าท่านยอมรับในตัวของเทมป์แล้วจริงๆ ทั้งสองท่านหัวเราะคิกคักแล้วพากันเดินออกไปทางหลังครัว ตอนนี้จึงเหลือผมกับเทมป์เท่านั้น
“ให้จบงานก่อนไว้เราค่อยคุยกัน”
มือใหญ่ใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบบางอย่างตรงหางตาให้ผม เมื่อนั้นผมจึงได้รู้ว่าตัวเองร้องไห้.. เรามองหน้ากันนิ่งๆ ครู่หนึ่งก่อนที่ริมฝีปากบางจะโน้มลงมาแตะบินริมฝีปากของผม แผ่วเบา แต่อุ่นซ่านไปทั่วหัวใจ และหลังจากนั้นผมก็แทบจะลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไปเสียสนิท
วันดีๆ จบลงที่มื้อเย็นที่คุณแม่ของผมและคุณย่าของเทมป์ลงมือเข้าครัวงัดเอาเมนูสูตรเด็ดมาอวดฝีมือกันจนทุกคนอิ่มพุงกางเลยล่ะครับ
.
.
.
.
อีกไม่กี่นาทีก็ใกล้จะสามทุ่ม เพื่อนๆ และทีมงานทยอยกลับกันหมดแล้ว จะเหลือก็แค่ผู้ชายร่างสูงที่ยืนกุมมือผมไว้ไม่ยอมปล่อยนี่แหละครับ
“หายงอนรึยัง?”
ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมส่งสายตามองคนถาม ใครงอนใครแล้วงอนเรื่องอะไรไม่ทราบครับเนี่ย??
“ไม่ได้งอน”
งอนน่ะเอาไว้ใช้กับผู้หญิงเถอะครับ
“แต่แค่สงสัย”
“เรื่อง?”
“ทีทูเดอะจี”
“อ่อ..”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็กลั้นขำจนแก้มตึง แหม นี่ถ้าไม่ติดว่าวันนี้เป็นวันดีผมได้ต่อยหน้าคนหล่อคว่ำไปแล้วล่ะครับ
“รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมไม่บอก”
“เพิ่งรู้ตอนที่โทรไปปรึกษาคุณอาขวัญเรื่องงานหมั้นนี่แหละ คุณอาขวัญท่านเลยแซ็วว่าเราทั้งคู่นี่เป็นคู่พรหมลิขิตจริงๆ เทมป์เลยรู้ว่าเต็มคือเด็กแมวน่ารำคาญคนนั้น.. ท ท ที ทูเดอะ จี”
แน่ะ ท้ายประโยคมีล้อเสียงสมัยผมยังละอ่อนด้วยครับ มันน่าจะโดนสักหมัดดีมั๊ยเนี่ย
ผมหรี่ตามองอีกฝ่ายแล้วนับ 1 ถึง 10 ในใจ เพื่อสงบสติอารมณ์ แล้วลองคิดย้อนกลับไปเมื่อเหตุการณ์ครั้งนั้น แม้จะจำรายละเอียดปลีกย่อยของเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้ แต่ผมจำได้ครับว่าวันนั้นด้วยความตื่นเต้น เพลงแร๊พทีทูเดอะเจ ของผมได้กลายเป็น ทีทูเดอะจี ไปซะงั้น ทว่าด้วยความยังเป็นแค่เด็กน้อยพวกผู้ใหญ่จึงเห็นว่าเป็นเรื่องน่าเอ็นดูเสียมากมากกว่า แต่พอโตขึ้นมาแล้วย้อนกลับไปคิดถึงหรือพูดถึงเรื่องนี้ทีไรผมก็อายเป็นเหมือนกันนะครับ
‘แชะ’เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นทำเอาผมต้องหรี่ตามองเจ้าของไอโฟน ถ่ายตอนเผลอไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ไม่น่าไว้ใจแฮะ ผมยื่นมือขอไอโฟนมาเช็คดู ก็เจอหน้าของตัวเองกำลังทำท่าพองแก้มยู่ปากโชว์หราอยู่เต็มจอ
“น่าเกลียด ลบเลย”
“โคตรน่ากด”
“ตรงไหนเนี่ย?”
“ตอนฮีสๆ จะเอาไว้นั่งดู”
“ห๊ะ???”
อึ้งมั๊ยละครับ? ถ่ายรูปผมไปเพื่อไว้ช่วยตัวเองเนี่ยนะ
“ทำแบบนี้บ่อย?”
“บางครั้ง”
โอ๊ย ปวดหัวตุบๆ เลยทีเดียว
“ก็เมียเรียนหนักจะตาย ถ้าขืนเทมป์ไปรีดน้ำออกอีกก็คงจะใจร้ายเกินไปจริงมั๊ยล่ะ?”
“ถามจริง.. ในหัวคิดเรื่องเซ็กส์ตลอด?”
“ตอบจริง.. รู้สึกหื่นหนักกับเต็มนี่แหละ”
“คนเดียว?”
“แบบแค่หลับตาเห็นหน้าเต็มก็สามารถเสร็จได้ด้วยตัวเอง”
พูดไม่ออกเลยครับ ได้แต่อ้าปากค้าง
“เต็มไม่เคยเหรอ?”
ยังจะมาถามย้อนกันอีก?? เรื่องแบบนี้เขาต้องถามกันด้วยเหรอ?? เฮ้ออ ยอมแพ้แล้วล่ะครับ เรื่องต่อปากต่อคำกับคุณชายกองทัพเนี่ยผมไม่สู้จริงๆ ผมยกมือกอดอกแล้วมองหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ที่เงียบไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่กำลังเก็บอาการเขินเอาไว้เท่านั้น
“วันหลังก็ให้บอก..”
“หืม?”
ทีแบบนี้ล่ะมาทำหน้าบื้อตาใสใส่ผมซะงั้น ผมกัดริมฝีปากกลั้นความเขิน แล้วเงยหน้าสบดวงตาคู่คมพร้อมกับวางฝ่ามือทั้ง 2 ข้างลงบนหน้าท้องแกร่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ลูบไล้ไปตามมัดกล้าม จนเมื่อใบหน้าคมจุดยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมจึงยักคิ้วให้แล้วเราก็จูบกัน ... เรื่องบางเรื่องการกระทำก็อธิบายได้มากกว่าคำพูดนะครับ
.
.
.
.
.
TBC.....