█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 12 ┨
เพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียน เราตกลงกันว่าจะมีเซ็กส์กันเฉพาะคืนวันศุกร์เท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าผมจะตั้งความหวังไว้เยอะเกินไปเพราะแค่ศุกร์แรกอีกฝ่ายก็ติดงานที่คณะจนดึกกว่าจะได้กลับมาถึงห้องก็หมดแรง ส่วนศุกร์นี้ผู้ให้กำเนิดของผมก็โทรมาเรียกตัวให้กลับบ้านด่วน ผมยังจำได้ดีกับความน่ารักของคนที่กลั้นขำจนเมื่อยแก้มตอนที่ส่งผมขึ้นรถกลับบ้าน และถ้าผมรู้ล่วงหน้าได้ว่าสาเหตุที่คุณแม่เรียกตัวผมกลับด่วนนั้นคืออะไรสาบานได้ว่าผมยอมโดนคุณแม่ด่าเพื่อได้อยู่กับ
‘คนรัก’ แน่นอน
“นี่แกจะทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้รึไง?”
“คุณแม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบงานแบบนี้”
“ไม่ชอบแล้วทำไม? ในเมื่อลูกค้าเขาชอบ”
คุณรู้มั๊ยว่าผมต้องผ่อนลมหายใจเข้าออกเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเองมากแค่ไหนกับการที่จะต้องมายิ้มและทำเป็นสุภาพบุรุษสุดแสนดีกับผู้หญิงที่โคตรจะน่ารักเหมือนตุ๊กตาที่ชื่อว่า
‘เนเนะ’ คนนั้น ผมยอมรับครับว่าเนเนะนั้นน่ารักมาก ถ้าหากผมเจอเธอก่อนหน้านี้ตอนที่หัวใจของผมว่าง ผมก็อาจจะตกหลุมรักเธอได้ไม่ยาก แต่ตอนนี้แม้แต่หน้าผมยังไม่อยากจะมองเลยด้วยซ้ำเพราะอะไรนะเหรอครับ ก็เพราะว่าผู้หญิงคนนี้แหละที่เป็นศัตรูหัวใจของผม
ภายใต้ความใสซื่อที่ล่อลวงให้ใครต่อใครหลงใหลทำให้ผมมั่นใจว่าเธอรู้จักและสืบประวัติของผมมาเรียบร้อยแล้ว ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่ระบุกับทางบริษัทชัดเจนว่าอยากจะให้ผมเป็นคนรับรองและดูแลเธอตลอดเวลาที่ทำงานและถ่ายทำโฆษณาในไทย
‘ต้องคุณกองทัพเท่านั้น’ นั่นคือประโยคที่เธอตอกย้ำใส่เจ้าหน้าที่ประสานงานของบริษัท
“ขอตารางงานด้วยครับ”
ผมเลิกจะหาเรื่องทะเลาะกับคุณแม่ด้วยการหันไปขอเอกสารงานที่ผมจะต้องรับผิดชอบจากคุณแจ่มจันทร์ผู้ซึ่งเป็นเลขานุการคนเก่งของพี่นาย
นานๆ ครั้งผมจะเข้ามาดูงานบริษัทตามที่คุณพ่อมอบหมายหรือตามที่คุณแม่และพี่นายไหว้วาน ดังนั้นผมจึงเพิ่งได้รู้ว่าบริษัทของเราเป็นสปอนเซอร์หลักของงานพบปะแฟนคลับและยังมีงานถ่ายทำโฆษณาครีมยี่ห้อดังโดยมีนางแบบดาวรุ่งของญี่ปุ่นเป็นพรีเซ็นเตอร์ ถ้ารู้เร็วกว่านี้ผมจะแกล้งป่วย ติดสอบ หรือทำทุกวิถีทางไม่ให้มายืนอยู่ตรงนี้ได้เด็ดขาด
“เริ่มจากพรุ่งนี้ช่วงเย็นมีงานแฟนมีตติ้งค่ะ คุณกองทัพจะต้องเป็นคนถือช่อดอกไม้ไปมอบให้คุณเนเนะบนเวที และหลังจบงานเราจะมีอัพเตอร์ปาร์ตี้กันที่พัทยา เรื่องงานและสถานที่ทางบริษัทจัดการเรียบร้อยแล้ว ในส่วนของวันอาทิตย์จะเป็นการถ่ายทำโฆษณาที่ชายหาดและในสตูดิโอที่พัทยาทั้งวันเลยค่ะ ซึ่งทั้งหมดที่แจ่มจันทร์พูดมาคุณกองทัพจะต้องเป็นคนดูแลเธอค่ะ”
“ท่าทางฉันจะได้ลูกสะใภ้คนเล็กเป็นดาราญี่ปุ่นก็งานนี้แหละ”
“คุณแม่ฝันอยู่รึเปล่าครับ?”
ถ้าฝันอยู่ก็รีบตื่นมารับรู้โลกแห่งความเป็นจริงได้แล้วครับคุณแม่
“กองทัพ!”
รอบนี้ท่าทางคุณแม่จะโกรธจริงจัง ผมจึงเลือกที่จะกล่าวขอบคุณคุณแจ่มจันทร์ที่อุตส่าห์ขนงานมาให้ผมถึงบ้านด้วยตัวเอง รอจนคุณแจ่มจันทร์กลับผมจึงขอตัวขึ้นไปพักผ่อนบนห้องนอน แต่เท้าที่กำลังก้าวก็ต้องชะงักเพราะท่าทางคุณแม่จะไม่ยอมง่ายๆ
“อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้เรื่องแกกับลูกชายคนเล็กของท่านกิตติกับคุณหญิงหยดนะ แม่จะบอกไว้ตรงนี้เลยว่าแม่ไม่มีวันให้ลูกชายของแม่ไปญาติดีกับตระกูลนั้นเด็ดขาด หมดคุณปู่คุณย่าแกเมื่อไหร่ฉันนี่แหละจะปลดไอ้ผู้ดีแต่เปลือกนั่นออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาบริษัททันที”
ผมไม่ได้แปลกใจหรอกครับที่คุณแม่จะรู้เรื่องนี้เพราะคุณแม่มีเส้นสายมากมายเอาไว้รายงานชีวิตความเป็นอยู่ของสามีและลูกชายทั้ง 2 คน แต่ที่ทำให้ผมประหลาดใจก็คือเรื่องที่คุณแม่พูดถึงบุคคลที่ครอบครัวของเราให้ความนับถืออย่างยิ่งยวดด้วยวาจาที่ไม่เหมาะไม่ควรต่างหาก ถ้าหากคุณพ่อหรือคุณปู่คุณย่ามาได้ยินผมรับรองได้เลยครับว่าเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
“ไม่ต้องมามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันพูดเรื่องจริง หัดทำตัวให้ดีเหมือนพี่ชายแกบ้างไม่ได้รึไง?”
“แล้วคุณแม่อยากจะให้ผมดีแบบพี่นายยังไงเหรอครับ?”
คิ้วโค้งสวยขมวดมุ่นแทบจะทันทีที่ผมเอ่ยคำถามกลับไป
“จะไปไหนก็รีบๆ ไปเลย”
ถ้าเป็นเรื่องของพี่นายคุณแม่ก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้ง หรือที่บางคนเคยพูดไว้ว่าสำหรับคุณแม่แล้วพี่นายเป็นลูกชายที่
‘แตะต้องไม่ได้’ แต่ถึงอย่างนั้นที่ผ่านมาในฐานะของพี่ชาย พี่นายก็เป็นพี่ชายที่ดีสำหรับผมเสมอ อาจจะเพราะช่วงที่ผมเติบโตผมไม่ค่อยจะได้เจอคุณแม่สักเท่าไหร่เพราะท่านต้องไปดูแลพี่นายซึ่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก จนพี่นายเรียนจบปริญญาตรีถึงได้กลับมาอยู่บ้านแบบถาวรเสียที ซึ่งในเวลานั้นผมก็ได้ย้ายไปอยู่กับคุณปู่คุณย่าเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผมกับคุณแม่จึงไม่ค่อยสนิทกันสักเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าจะยังไงคนตรงหน้าก็ยังคงเป็นคุณแม่ผู้ให้กำเนิดผมอยู่ดี
“ที่ผ่านมาผมไม่เคยขออะไรคุณแม่เลย แต่สำหรับเรื่องเต็มใจ.. ผมขอนะครับ”
อาจจะเพราะคุณแม่ไม่เคยเห็นผมจริงจังขนาดนี้ ท่านจึงได้ยืนฟังนิ่งๆ ไม่ทักท้วงใดๆ
“คนนี้.. ผมรักของผมจริงๆ ครับ”
ความรักของผมมีมากแค่ไหนผมก็ไม่สามารถจะวัดหรืออธิบายให้ใครฟังได้ แต่เท่าที่รู้ก็คือผมรักผู้ชายที่ชื่อเต็มใจ รักในแบบที่ไม่เคยจะรักใครได้เท่านี้มาก่อน และผมก็รู้ว่าคุณแม่ท่านเข้าใจในความหมายที่ผมพูดทุกอย่าง ท่านจึงเงียบและมองหน้าผมต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะหันหลังเดินไปทางฝั่งห้องนั่งเล่นโดยไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งความเงียบแบบนี้น่ากลัวเสียกว่าตอนคุณแม่โวยวายเสียอีกนะครับ
ผมล้มตัวลงบนเตียงที่นานทีปีหนจะได้กลับมานอนสักครั้ง แต่ดีหน่อยตรงที่คุณแม่ยังให้คนมาเช็ดถูทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ ดังนั้นห้องนอนของผมจึงเรียบร้อยอยู่เสมอ หลังจากนอนมองเพดานในความมืดอยู่สักพักผมก็หยิบไอโฟนขึ้นมาวิดีโอคอลหาคนที่คิดถึง แค่เห็นหน้าอีกฝ่ายอารมณ์ของผมก็ดีขึ้นแทบจะทันที อีกฝ่ายคงเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เพราะกำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดเส้นผมที่เปียกลู่ เสื้อกล้ามที่ใช้ใส่นอนก็บางเหลือเกิน
[ทำไมยังไม่อาบน้ำ?]
ใบหน้าใสขยับเข้าใกล้หน้าจอจนเห็นไฝเม็ดเล็กตรงแก้มข้างซ้าย จมูกรั้นทำท่าดมฟุดฟิด
[เหม็น]
ย่นจมูกแล้วหัวเราะเบาๆ ผมชอบรอยยิ้มและฟังเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายมันทำให้หัวใจของผมปลอดโปร่งโล่งสบาย ร่างบางที่ใส่เพียงเสื้อกล้ามกับบ๊อกเซอร์ลุกขึ้นเดินหายไปจากหน้าจอก่อนจะกลับมาพร้อมกับแมวอ้วนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี
[สีส้มทักทายเจ้าทาสเทมป์หน่อยสิ]
[เมี๊ยววว]
คุณแม่ท่านไม่ชอบสัตว์เลี้ยงใดๆ ครับ ผมจึงไม่สามารถพาสีส้มกลับมาด้วยได้ ดังนั้นผมจึงต้องฝากให้สีส้มอยู่กับพ่อเต็มไปก่อน และดูท่าว่าสีส้มจะชอบมากเสียด้วย ก็แน่ล่ะ ว่าที่สัตวแพทย์ย่อมรู้จักวิธีดูแลสัตว์ดีกว่าผมอยู่แล้ว
“อยู่กับพ่อเต็มอย่าดื้อนะเว้ย”
คนฟังยิ้มขำ ก่อนจะดัดเสียงให้เล็กลงเป็นเสียงของสีส้ม
[ข้าไม่ดื้อหรอกนะเจ้าทาส ข้าน่ารักจะตาย]
พูดจบก็หอมแก้มเจ้าสีส้มฟอดใหญ่ อื้อหือ แล้วดูเจ้าสีส้มทำหน้าฟินเยาะเย้ยผมสิครับ มันจะมากไปแล้วนะเจ้าแมวอ้วน ผมชี้หน้าเจ้าสีส้มอย่างคาดโทษและท่าทางมันจะรู้ตัวครับ สีส้มเลยเลือกที่หันก้นให้ผมแทน
“พรุ่งนี้ไปงานเนเนะรึเปล่า?”
[เนเนะขอให้ไปให้กำลังใจหน่ะ]
“แล้วอัพเตอร์ปาร์ตี้ที่พัทยาล่ะ?”
[ว่าจะชวนเทมป์อยู่เนี่ยแหละ]
“ไม่ต้องชวนหรอก”
คิ้วบางเลิกสูงด้วยความสงสัย ผมจึงโชว์ตารางงานให้อีกฝ่ายดู
“แฟนเก่าเต็มเขาอยากจะให้เทมป์รับผิดชอบดูแลเขาด้วยตัวเอง”
ดวงตาคู่เรียวเพ่งมองเอกสารในมือผมแล้วก็หัวเราะขำพรืด คนฉลาดอย่างเต็มใจไม่ต้องให้ผมอธิบายเยอะก็คงจะรู้แล้วว่าอดีตแฟนสาวของตัวเองต้องการอะไร ผมหรี่ตามองคู่สนทนาเลยครับ
“นอกจากคุณเนเนะแล้วมีใครอีก? กรุณาช่วยลิสรายชื่อทั้งหมดไว้ให้เทมป์ด้วย”
[ปัจจุบันมีคนเดียว]
ได้ฟังแบบนี้ก็ดีใจจนเนื้อเต้นสิครับ
“อนาคตล่ะ?”
[ก็ต้องดูว่าพฤติกรรมจะเป็นยังไง]
“งั้นทำใจไว้ได้เลยว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอใครใหม่อีกแน่นอน”
ใบหน้าน่ารักระบายรอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบของผมสดใส
[เอาความมั่นใจมากจากไหนเนี่ย?]
“มั่นใจว่ารัก”
อย่าเพิ่งอ๊วกนะครับ ผมไม่ได้แค่พูดเล่นๆ ผมทั้งจริงจังและจริงใจ แล้วผมก็ขอใช้คำว่า
‘น่ารักฉิบหาย’ กับผู้ชายที่ยิ้มเขินอยู่ในหน้าจอไอโฟนของผมขณะนี้ด้วย
[พรุ่งนี้มารับด้วยสิ]
“ตั้งใจไว้แล้วล่ะ”
[พรุ่งนี้คุณพ่อคุณแม่อยู่บ้าน มาทานมื้อเที่ยงด้วยกันก่อน]
“ได้สิ”
พยักหน้ารับ
[แล้วคืนนี้จะนอนบ้านนี้ใช่มั๊ย]
“ไม่อะ เดี๋ยวอีกสักพักจะให้คนรถไปส่งบ้านโน้น”
คนฟังพยักหน้าแล้วร้อง
‘อ่อ’ เบาๆ
[ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ]
“อืม”
ตอบรับแต่ก็ยังไม่อยากจะกดวางสาย เราก็แค่ยิ้มให้กันผ่านเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์อย่างเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ ปลายสายจึงใช้นิ้วจิ้มบนหน้าจอคล้ายจะสะกิด หลังจากนั้นก็บอกสั้นๆ แค่ว่า
‘จะอ่านหนังสือ’ ผมจึงพยักหน้าแล้วหน้าจอก็ดับไปแต่หัวใจของผมยังฉายภาพใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มสดใสไว้อย่างชัดเจน และก่อนที่ผมจะลุกไปอาบน้ำ ผมตั้งใจจะเลือกรูปที่ผมถ่ายไว้ลงในไอจีสักรูป แต่เมื่อแอพพลิเคชั่นเปิดขึ้นมาภาพล่าสุดที่เพิ่งมีคนอัปโหลดไปเมื่อ 1 นาทีที่แล้วก็ทำให้หัวใจของผมอิ่มเอมจนต้องฉีกยิ้มหน้าบาน
‘เจ้าทาส ข้ารักเจ้านะ’ มันเป็นแคปชั่นของภาพแมวอ้วนสีส้มนอนหลับผึ่งพุงอย่างสบายอยู่บนเบาะ
ผมกดรีโฟส พร้อมแคปชั่นใหม่ว่า
‘รักเต็มใจ’ แล้วก็นอนยิ้มเหมือนคนบ้าอยู่อย่างนั้นจนหลับไป ถ้ามีแฟนน่ารักขนาดนี้ ผมล่ะอยากจะเปิดวาร์ปไปให้ถึงวันศุกร์ถัดไปซะเดี๋ยวนี้เลย
.
.
.
.
เมื่อคืนกว่าผมจะกลับมาถึงบ้านคุณปู่คุณย่าก็ดึกแล้วล่ะครับ ก่อนเข้านอนผมบอกคุณปู่คุณย่าว่าวันนี้จะแวะไปทานมื้อเที่ยงที่บ้านท่านกิตติกับคุณหญิงหยด คุณปู่ก็หัวเราะร่าถูกใจในขณะที่คุณย่าลุกขึ้นก่อนไก่โห่มาทำอาหารใส่กล่องให้ผมถือติดไม้ติดมือไปฝากท่าน
ด้วยความตื่นเต้นผมจึงตื่นแต่เช้า และออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงสาย พร้อมเคาหยกอาหารจีนกวางตุ้งสูตรลับเฉพาะของคุณย่าที่รสชาติสุดยอดมากๆ ฝีมือในเรื่องการทำอาหารจีนของคุณย่าจัดอยู่ในระดับวังหลวงเชียวนะครับ แต่ก็ใช่ว่าคุณย่าจะใจดีทำอาหารให้ใครกินได้ง่ายๆ นอกจากคุณปู่ ผม คุณพ่อ ครอบครัวของท่านกิตติ และพี่นายที่นานๆ ครั้งจะมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าแล้ว คนอื่นก็ยังไม่มีใครเคยได้กินฝีมือของคุณย่าหรอกครับ แม้แต่คุณแม่ของผมซึ่งเป็นลูกสะใภ้ก็ยังไม่เคยได้กินเลย เคยมีรายการอาหารและร้านชื่อดังมาขอสูตรหลายต่อหลายครั้งแต่คุณย่าก็ไม่ให้ บอกแค่ว่าจะบอกสูตรให้กับหลานสะใภ้คนเล็กเท่านั้น ฮ่า แบบนี้ว่างๆ ผมคงต้องพาว่าที่สัตวแพทย์มาเข้าครัวซ้อมมือกับคุณย่าบ้างแล้วล่ะ
“งานนี้เป็นความรับผิดชอบของพี่นายไม่ใช่รึไง? งานไหนมีปัญหาล่ะโยนมาให้น้องตลอด แม่มันถือหางลูกผิดๆ ..ปู้ซันปู๋ซื่อ”
คุณย่าบ่นกระปอดกระแปดแล้วตบท้ายด้วยภาษาจีนที่แปลว่า
‘ไม่ได้เรื่อง’ แบบนี้ทุกครั้งที่งานในความรับผิดชอบของพี่นายมีปัญหาแล้วจะถูกคุณแม่ปัดให้มาอยู่ในมือของผม แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพี่นายหรอกครับ มันเป็นความต้องการของลูกค้าล้วนๆ ซึ่งผมเข้าใจดี
หลายคนอาจจะงงว่าทำไมคุณย่าของผมถึงได้บ่นแบบนี้ เรื่องของเรื่องก็คือพี่นายคือทายาทคนโตของตระกูล ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อไหร่ที่คุณพ่อเกษียณตัวเองพี่นายก็จะขึ้นเป็นประธานบริษัทคนต่อไป ดังนั้นหลังจากเรียนจบคุณพ่อจึงโอนถ่ายงานมาให้พี่นายเยอะขึ้นเพื่อจะได้เรียนรู้งานไปโดยมีคุณพ่อเป็นที่ปรึกษา แต่ดูเหมือนว่าเมื่อไหร่ที่พี่นายได้รับมอบหมายงานในด้านที่ไม่ถนัดคุณแม่จะแบ่งปันงานนั้นมาให้ผมช่วยจัดการดูแลโดยที่คุณพ่อไม่ทราบเรื่องซึ่งหากผมทำสำเร็จเรียบร้อยดีพี่นายก็จะไม่โดนคุณพ่อตำหนิ
ถ้าจะให้พูดตามตรงผมเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรครับมองในแง่ดีก็ถือว่าผมได้เรียนรู้งานไปด้วย ผมไม่ได้เก่งมาแต่กำเนิดแต่ความสามารถที่มีเพราะผมได้ราชสีห์เฒ่าอย่างคุณปู่ที่ท่านซ่อนเขี้ยวเล็บไว้ภายใต้ความชราทว่าคอยฝึกฝนวิชาให้ผมอยู่ต่างหาก
คุณปู่ปัดมือไปมาเพื่อให้คุณย่าหยุดบ่น แต่คุณย่าก็ยังบ่นอยู่แบบนั้นจนกว่าจะมีเรื่องอื่นเข้ามาแล้วท่านก็จะลืมเรื่องนี้ไปเอง ผมยกมือไหว้ท่านทั้งคู่เพราะคืนนี้ผมต้องไปค้างคืนที่พัทยา กว่าจะได้กลับคงเป็นพรุ่งนี้ช่วงดึก หรือไม่ก็คงจะกลับถึงกรุงเทพช่วงเช้ามืดของวันจันทร์
ได้รับพรเป็นภาษาจีนจากคุณปู่ ส่วนคุณย่าก็เว้นจังหวะการพึมพำด้วยการดึงผมเข้าไปจูบหน้าผากแถมเป่าหัวว่า
‘ขอให้ท่านกิตติกับคุณหญิงหยดเอ็นดูหลานย่ามากๆ’ ฮ่า ผมนี่ยกมือท่วมหัวสาธุแทบไม่ทันเลยครับ
11.20 น. ผมลงจากรถพร้อมกล่องอาหารหน้าบ้านหลังใหญ่ อย่าถามนะครับว่าตื่นเต้นแค่ไหน เอาเป็นว่าตื่นเต้นซะจนเหงื่อซึมไปทั่วทั้งแผ่นหลัง
“แหม.. ตรงเวลาเชียวนะ”
ออมเดินมารับผมถึงรถ แล้วควงแขนผมเดินไปหาใครอีกคนที่ยืนรออยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าเนียนใสอมยิ้มน้อยๆ วันนี้เจ้าตัวสวมเสื้อผ้าของแบรนด์ TJ เหมือนอย่างเคย เสื้อยืดสีขาวเนื้อบางตัวโคล่งกับกางเกงสีอ่อนพับปลายขาเล็กๆ และโดดเด่นมากยิ่งขึ้นด้วยเข็มขัดเส้นยาว ดูเท่ห์และน่ารักจนผมต้องขอสบถ เหี้ยเอ้ยย ซ้ำๆ อยู่ในใจหลายสิบรอบ ด้วยความตื่นเต้นแบบสุดๆ
“อาเต็มพาว่าที่อาเขยไปนั่งสงบสติอารมณ์ด้วยการตากแอร์ฉ่ำๆ ในห้องนั่งเล่นก่อนเถอะค่ะ ตื่นเต้นทีไรเหงื่อไหลท่วมทุกที”
อุตส่าห์ทำหน้านิ่งๆ ไม่มีพิรุธแต่ก็ยังโดนคุณเพื่อนทำขายหน้าอีก แต่ก็หยวนๆ ให้เพราะคำว่า
‘อาเขย’ ล่ะนะ ออมเดินนำเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ผมยืนเหงื่อแตกซิกอยู่กับคนน่ารักแค่สองคน
“อะไรหน่ะ?”
“อ่อ.. เคาหยก คุณย่าท่านฝากมาให้ท่านหน่ะ”
อีกฝ่ายเอียงคอเล็กน้อยด้วยคงจะไม่รู้จักอาหารจีนสักเท่าไหร่ ผมจึงอธิบายต่อให้อีกนิดหน่อยว่ามันคือหมูสามชั้นที่หั่นเป็นสี่เหลี่ยมแล้วเอาไปตุ๋นผสมกับผักแห้งต่างๆ คนฟังก็ได้แต่พยักหน้าอืมๆ แบบงงๆ จากนั้นก็ยื่นมือมารับกล่องอาหารไว้ก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในบ้านแล้วเรียกให้เด็กรับใช้มารับอาหารไปอีกทีหนึ่ง
“คุณพ่อคุณแม่อยู่ในห้องนั่งเล่น”
เจ้าของบ้านหันมาบอกผม พร้อมกับจัดความเรียบร้อยของเสื้อและไม่ลืมที่จะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากให้ผมด้วย ผมยอมรับว่าตื่นเต้นและกังวลใจมากแต่ถึงอย่างนั้นก็คงยังน้อยกว่าคนตรงหน้า ที่แม้ผิวเผินจะดูนิ่งๆ แต่ในบางเวลาหัวคิ้วก็ยังแอบชนกันให้เห็น
มือบางหยุดวางลงบนหน้าอกด้านซ้ายของผมแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“หัวใจเต้นแรงมาก”
ด้วยความอายผมจึงยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อ
“หวังว่าท่านกิตติคงไม่หยิบปืนมายิงเทมป์หรอกนะ”
“ก็ไม่แน่”
อ้าว ให้กำลังใจกันมากเลยครับที่รัก ด้วยความหมั่นเขี้ยวผมจึงตั้งใจจะบิดปลายจมูกรั้นนั่นสักที
“น้องเต็มยืนทำอะไรอยู่หน่ะลูก?”
เสียงของคุณหญิงหยดที่ดังขึ้นทำเอาผมตัวเกร็งและแทบจะดึงมือกลับลงมาข้างลำตัวแทบไม่ทัน แต่ฝั่งเจ้าของบ้านควบคุมสติได้ดีครับ ตอบกลับคนเป็นแม่ไปโดยไม่มีอาการตกใจหรือประหม่าแม้แต่นิดเดียว
“คุยกับกองทัพอยู่ครับคุณแม่”
“กองทัพ?”
คุณหญิงเดินตรงเข้ามายืนเคียงข้างลูกชาย เมื่อเห็นว่าเป็นผมก็ยกยิ้มพร้อมรับไหว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“พ่อกองทัพนี่เอง สวัสดีจ่ะ มานานแล้วเหรอลูก?”
“เพิ่งมาถึงครับ คุณย่าท่านฝากเคาหยกใส่กล่องมาให้ท่านกับคุณหญิงด้วยนะครับ”
“เต็มให้เด็กเอาไปเตรียมไว้สำหรับมื้อเที่ยงแล้วครับ”
ลูกชายอธิบาย คุณหญิงก็พยักหน้ารับด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ลำบากคุณนายจูแย่เลย หลานชายมาทุกครั้งต้องมีของติดไม้ติดมือมาให้ตลอด เอาไว้วันหลังถ้าน้องออมไปบ้านพ่อกองทัพ เดี๋ยวคุณย่าจะฝากกลับไปบ้างนะคะ”
เสี้ยวจังหวะหนึ่งที่คุณหญิงกำลังพูดถึงออม ผมก็แอบเห็นอีกฝ่ายเม้มปากเล็กน้อย
“แล้วน้องออมไปไหนเสียล่ะ ทำไมปล่อยให้อาเต็มดูแลเพื่อนแทนตัวเองแบบนี้เนี่ย? ไม่ไหวจริงๆ เลยเด็กคนนี้”
ชักจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้วล่ะครับ และผมก็ไม่ชอบความรู้สึกอึดอัดอะไรแบบนี้เลย
“ผมเจอออมแล้วครับ อีกอย่างที่มาเนี่ยตั้งใจจะมาหา..”
“ป้าทิพย์ตั้งโต๊ะเสร็จแล้วค่ะ เชิญที่โต๊ะอาหารเถอะค่ะ”
บุคคลที่ถูกพาดพิงชื่อเดินมาได้จังหวะพอดิบพอดี ออมหรี่ตาเหลือบมองหน้าผมนิดหนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มและกับตบลงบนแผ่นหลังผมดัง
‘อั่ก!’ เล่นเอาคุณหญิงยกมือทาบอกด้วยความตกใจ จากนั้นเจ้าตัวก็เนียนๆ บอกว่าจะเข้าไปตามคุณปู่แล้วก็เดินจากไป เต็มใจหัวเราะเบาๆ ก่อนจะแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเชิญคนเป็นแม่และผมไปที่โต๊ะอาหาร
อาหารอร่อยดีครับ แถมตำแหน่งของที่นั่งก็ยังทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหน่อย นั่นคือหัวโต๊ะเป็นท่านกิตติ ฝั่งซ้ายเป็นคุณหญิงหยดกับออม และฝั่งขวาเป็นเต็มใจและก็ผม ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีแต่ติดตรงที่ผมสัมผัสได้ถึงสายตาจากหัวโต๊ะที่คอยเลียบมองผมอย่างพินิจพิจารณาอะไรบางอย่างอยู่
“น้องเต็มลองทานเคาหยกหน่อยสิลูก เคาหยกเป็นอาหารจีน แต่สูตรของคุณป้าจูเขาอร่อยจริงๆ นะคะลูก ถ้าไม่ได้ชอบพอรักใคร่กันจริงๆ เห็นทีจะไม่ได้ทานอาหารฝีมือของคุณป้าจูเขาหรอกนะ”
คุณหญิงเลื่อนจานอาหารให้ลูกชาย พร้อมกับหันมาส่งยิ้มหวานให้ผม
“อาเต็มเขาไม่ค่อยรู้จักอาหารจีนสักเท่าไหร่หน่ะ”
เอ่อ.. ครับ.. ผมตอบรับคำอธิบายของคุณหญิงด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ และไม่ชอบสรรพนาม
‘คุณอา’ เอาเสียเลย ได้ยินทีไรแล้วมันหงุดหงิดจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ทำให้ผมสนใจไปมากกว่าคนที่ทานข้าวเป็นแมวดมได้หรอกครับ ผมจึงยื่นมือไปตักชิ้นเนื้อในจานเคาหยกมาวางให้คนที่นั่งข้างๆ ดวงตาคู่เรียวดูจะตกใจเล็กน้อยแต่ก็ลองชิมอาหารที่ผมตักให้ ผมก็โคตรจะใจเย็นนั่งมองอีกฝ่ายเคี้ยวจนละเอียดแล้วระบายยิ้มออกมา
“อร่อย”
“งั้นก็กินเยอะๆ ไว้วันหลังไปที่บ้านจะให้คุณย่าทำให้กินอีก”
แฟนชอบ ผมก็ต้องเอาใจตักใส่จานให้อีกสักชิ้นครับ
“อ่อ.. คุณย่าท่านยินดีจะสอนวิธีการทำให้เต็มด้วยนะ ถ้าเต็มสนใจจะลองหัดทำดูก็ได้”
คนฟังอมยิ้มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะใช้ฟันกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ ในแววตาคู่ใสส่องประกายความกังวลบางอย่างและนั่นก็ทำให้ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบรรยากาศรอบข้างมันเปลี่ยนไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ทุกสายตาจ้องมาที่ผมเป็นจุดเดียว โดยเฉพาะสายตาของท่านผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ความรู้สึกในตอนนี้ราวกับว่าเพิ่งได้กระทำผิดร้ายแรงถึงขั้นที่จะต้องตัดสินโทษประหารชีวิต แต่ก่อนที่จะตายนั้นศาล(ทหาร)ท่านยังเมตตาให้ผมเอ่ยคำอุทธรณ์ได้เป็นครั้งสุดท้าย
เอาไงก็เอาวะ ถ้าไม่กล้าเข้าถ้ำเสือแล้วจะได้ลูกเสือมาเป็นเมียได้ยังไง
“ผมกับเต็มใจเป็นแฟนกันครับ”
เสียงดัง ฟังชัด และมีเอฟเฟคเป็นเหงื่อที่ไหลเต็มแผ่นหลัง ท่านกิตติวางช้อนส้อมในมือแล้วยืดตัวกอดอกจ้องมองผมเขม็ง ในขณะที่คุณหญิงยกมือทาบอก ท่านอ้าปากเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออกจึงได้แต่นั่งหน้าซีดมองผมด้วยสายตาผิดหวังอยู่เงียบๆ คงจะมีแต่ออมเท่านั้นที่แอบส่งยิ้มและยักคิ้วให้ผม
“ท่านกับคุณหญิงอาจจะไม่ยอมรับในความรักของเรา แต่อย่างน้อยก็ขอโอกาสให้ผมได้พิสูจน์ตัวเองว่าผมมีความจริงใจและรักลูกชายของท่านจากใจจริง”
ด้วยสถานการณ์ที่แสนจะตึงเครียดนี้ผมคิดว่าถ้าหากผมพูดอะไรผิดไปแค่คำเดียว ชีวิตผมอาจจะดับลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นผมต้องพยายามควบคุมสติและพูดออกมาให้ดีที่สุด
“ได้โปรดขอโอกาสให้เราด้วยเถอะครับ”
ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วค้อมตัวลงให้ผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม ความเงียบยังคงปกคลุมอยู่เช่นนั้นอีกเกือบนาที ท่านกิตติก็คลายมือออกจากหน้าอกแล้วสายตาที่จ้องมองผมอยู่เมื่อครู่ได้เบี่ยงไปมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านแทน
“แฟนญี่ปุ่นของน้องเต็มมาไทยไม่ใช่เหรอ?”
น้ำเสียงทรงพลังอำนาจถามลูกชาย คนถูกถามขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ผมเลิกกับเนเนะแล้วครับ”
“แล้วไหนบอกว่าจะไปเที่ยวพัทยาด้วยกัน?”
“อ่อ.. ใช่ครับ”
“น้องออมจะไปกับอาเต็มเขาด้วยใช่รึเปล่า?”
ได้รับคำตอบจากลูกชายก็หันมาถามหลานสาวต่อ ออมสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังมีสติพอที่จะตอบกลับคนเป็นปู่ไปอย่างฉะฉาน
“ใช่ค่ะคุณปู่ ออม อาโบว์ อาซัน ดักแด้ และ... กองทัพ พวกเราไปกับอาเต็มทั้งหมดเลยค่ะ”
ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับ ความนิ่งนั้นทำให้ยากที่จะเดาความคิดและอารมณ์ได้ ผมไม่สงสัยเลยครับว่าเมื่อก่อนทำไมท่านถึงทำหน้าที่ผู้นำกองทัพได้อย่างดีเยี่ยมและมีแต่คนเคารพ ยกย่อง
“พรุ่งนี้กลับมาก็อย่าให้ค่ำมืดนัก”
ลูกชายและหลานสาวตอบรับ
‘ครับ/ค่ะ’ พร้อมกัน ดวงตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าเจ็ดสิบปีเหลือบมองลูกชาย
“กลับมาเราค่อยมาคุยกัน”
คนที่นั่งข้างๆ ผมตอบว่า
‘ครับ’ จบประโยคนั้นท่านก็จับช้อนและส้อมทานอาหารที่ค้างไว้ต่อ คุณหญิงหยดมองสามีอยู่ครู่หนึ่งก็ทำตามบ้าง และหลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาใดๆ อีกเลย ผมมองเคาหยกที่คุณย่าของผมอุตส่าห์ตื่นมาทำตั้งแต่เช้ามืดตอนนี้กลับไม่มีใครกล้าแตะต้อง มันถูกวางทิ้งไว้ราวกับเป็นอาหารที่ไม่มีใครต้องการ แต่แล้วก็มีผู้กล้าปรากฏขึ้น แขนเรียวขาวยื่นไปตักเนื้อตุ๋นมาวางในจานตัวเองแล้วค่อยๆ กินโดยที่ไม่ได้สนใจสายตาตำหนิจากผู้เป็นแม่เลยแม้แต่น้อย ผู้กล้าท่านนั้นนามว่า
‘เต็มใจ’ หรือก็คือ
‘คนรัก’ ของผมเองครับ
.
.
.
.
.
TBC..
ตอนที่แล้ว ได้ + 24เป็ด กับ คอมเม้นต์ที่เพิ่มขึ้นมาอีกนิดหน่อย
เข้าใจอารมณ์นักเขียนมั๊ยคะ แบบว่ามันดีใจแล้วก็นั่งยิ้มเหมือนคนบ้าเลยค่ะ
มีกำลังใจขึ้นเยอะเลย ขอบคุณมากๆ นะคะ