ตอนที่ 13 : พาเสี่ยมาปล่อยแก่ [1] 100%
“ทำไมพี่ไปเที่ยวสวนสนุกกับเสี่ยได้ แล้วผมไปด้วยไม่ได้”
เช้าวันต่อมา ผมต้องยืนเกาหัวอยู่แถวหน้าประตูบ้านเพราะน้องชายตามวอแวตั้งแต่ตอนกลางคืนยันตอนเช้า
“พ่อกับแม่ยอมได้ยังไง เสี่ยต้องตั้งใจจับพี่กินแน่ๆ!”
“เจ...พี่เป็นคนชวนเสี่ยต่างหาก”
“นั่นไง พี่โดนเสี่ยหลอกให้ตายใจแล้วล่ะสิ งั้นผมตามไปด้วย”
“เราอายุเท่าไหร่ รู้จักเสี่ยรึเปล่า จะไปด้วยได้ยังไง พี่เกรงใจเสี่ย” ผมดันตัวน้องชายให้ขึ้นบันไดไปนอนต่อ ปกติตื่นสายโด่งเพราะทำงานกะดึกแท้ๆ แต่วันนี้ดันตื่นพร้อมผม นั่งจับผิดกันตั้งแต่ตอนแต่งตัวยันลงมารอเสี่ยข้างล่าง “แล้วไอ้การไปสวนสนุกเนี่ย...จะไปทำอะไรๆ กันได้ยังไง พี่ชวนเสี่ยเที่ยวเล่นล้วนๆ เลย”
ไอ้น้องชายยึกยัก พลิกตัวกลับมายืนกอดอกจ้องตาผม วางท่าอย่างกับเป็นบุพการี
“พี่จิคิดยังไงกับเสี่ย”
“ก็...ผู้ใหญ่ใจดีที่ให้โอกาสไง พี่คงไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีเขา แม้จะเพราะด้วยร่างกายจิระก็เถอะ ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก เสี่ยเองก็ไม่ได้คิดอะไรกับพี่หรอก พี่พูดมากจะตาย เจยังบ่นบ่อยๆ เลย”
“เสี่ยอาจจะหลงคารมพี่จิก็ได้นี่”
...พูดมากนับเป็นคารมด้วยเหรอวะ“ถ้าคิดว่าเสี่ยเป็นผู้ใหญ่ใจดี แล้วทำไมต้องให้แม่ทำข้าวกล่อง ไปนั่งกินด้วยกันสองคนกระหนุงกระหนิงล่ะ”
“ก็เสี่ยลองแล้วชอบ จะให้พี่ปฏิเสธบอกว่าไม่เอาครับ เสี่ยไม่ต้องกินแล้วนะได้ด้วยเหรอไอ้เจ อีกอย่างแม่ก็ต้องทำให้พี่อยู่แล้ว เพิ่มเสี่ยมาอีกคน ไม่ได้เดือดร้อนเราสักหน่อยนี่ ทำดีกับเสี่ยดีกว่าไปก้าวร้าวใส่เขานี่นา พี่หวังดีก็ผิดเหรอ” ผมถามงุนงงกับน้องชาย “ไม่ว่าพี่จะกลับร่างเดิมหรืออยู่ในร่างของจิระ ก็ยังต้องพึ่งพาเสี่ยเรื่องงาน อะไรที่ช่วยเหลือกันได้ก็ทำไป เห็นอย่างนั้นแต่เสี่ยขี้เหงาจะตาย เขาไม่ชอบกินข้าวคนเดียวพี่เลยต้องเสนอตัวกินเป็นเพื่อนไง”
พูดแล้วก็แทบปาดน้ำตาสงสารเสี่ย โธ่ พ่อกับแม่ของเขาต่างแยกย้ายกันไปมีครอบครัวตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เขาต้องแบกรับบริษัทนี้ด้วยตัวคนเดียวในบ้านหลังใหญ่โตขนาดนั้น แม้จะมีคุณสันกับสองพี่น้องบิ๊กเบิ้ม แต่ทั้งสามคนก็ไม่เคยนั่งกินข้าวด้วยกันกับเสี่ย ยกเสี่ยประหนึ่งเจ้านายสูงศักดิ์ เสี่ยเองก็ขี้เก๊กซะด้วย เหงาแต่ไม่ออกปาก แล้วใครจะไปรู้ความในใจกันล่ะ วิธีแก้เหงา เลยเป็นการหาเด็กเลี้ยงมาจับกินเล่นซะงั้น
ผมน่ะอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นขนาดนี้ เลยเข้าใจดีเลยว่าการต้องอยู่คนเดียวน่ะน่าเศร้าเป็นที่สุด เมื่อก่อนเวลาออกกองที่ต่างจังหวัด ผมแทบจะนอนไม่หลับด้วยความคิดถึงบ้าน คิดถึงกับข้าวฝีมือแม่ ในเมื่อเสี่ยติดใจรสมือแม่ไปกับผมด้วย ก็ควรจะส่งเสริมให้จิตใจอันหื่นกามของเสี่ยนั้นมีความอบอุ่นแทรกซึมลงไป จะได้ไม่ฟุ้งซ่านเหมือนที่เป็นอยู่
ไอ้น้องชายมองหน้าผมที่คล้ายจะเป็นพ่อพระผู้เมตตาแล้วสรรหาคำโต้เถียงต่อไม่ออก เลยจำใจเบี่ยงตัวหลบ ให้แม่ของผมที่รอดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ เข้ามาสอบถามอย่างห่วงใย
ก็บ้านนี้คนที่ใหญ่ที่สุดคือเจตรินนี่หว่า
“วันนี้ไม่เอาข้าวกล่องเหรอลูก”
“กว่าจะได้กินผมกลัวจะเละก่อน ก็วันนี้ไปเที่ยวเล่นกันนี่ครับ” ผมยิ้มให้แม่ผู้ไม่เคยทัดท้านต่อว่า หากเป็นเรื่องที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ก็พร้อมจะสนับสนุนเกื้อกูล “ว่าแต่ผมแต่งตัวอย่างนี้โอเคมั้ย”
ไอ้เจยืนกอดอกสะบัดหน้าหนีเหมือนไม่อยากยุ่งด้วย ส่วนแม่เพ่งพิจารณาอย่างจริงจัง
“ไม่ว่าจะมุมไหนก็ยังหล่อเหลาน่าเอ็นดู เห็นแล้วใจเต้นรัวกับลูกชายตัวเองทุกที”
“แม่...” ผมยิ้มเจื่อน
“เฮ้อ! ทนมองไม่ได้แล้ว” เจตรินขยี้หัวอย่างงุ่นง่านก่อนจะเดินขึ้นห้อง แล้วลงมาพร้อมกับถุงใส่อุปกรณ์ปลอมตัวแบบครบเซ็ท ไม่ว่าจะเป็นวิกผมสีดำ แว่นตากันแดดอันโต หมวกแกป และเสื้อคลุมแขนยาวแบบมีฮู้ด
“ร้อนตายเลย” ผมหยิบเสื้อคลุมแล้วย่นหน้า เพราะวันนี้ตั้งใจพาเสี่ยไปปล่อยแก่โดยเฉพาะ เลยใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำเงินกับกางกางลายทหารห้าส่วน พ่วงแตะหนีบลายช้างน้ำอีกหนึ่งคู่ และเป้สะพายข้างเก๋ๆ อีกหนึ่งใบ แน่นอนว่าผมเองก็มีอุปกรณ์ปลอมตัว ซึ่งก็คือ...หน้ากากอนามัย
“อากาศร้อนแบบนี้ยังใส่หน้ากากอนามัยอีก นอกจากจะเป็นจุดเด่นแล้วพี่นั่นแหละที่จะเป็นลมตาย อย่า อย่าอ้างว่าใส่แขนสั้นขาสั้นนะ ผิวจิระขาวมาก พี่จะไปเดินสะท้อนแสงให้คนเขามองทำไม ปลอมตัวให้เนียนๆ หน่อยสิ!” ไอ้จิพูดพลางยัดเยียดของทั้งหมดใส่มือผม แล้วยังบังคับให้เปลี่ยนกางเกงด้วย “รองเท้าแตะน่ะพอไหว แต่ยังไงสีผมก็ต้องปิด เลือกเอาแล้วกันระหว่างย้อมผมกับใส่วิก”
“ย้อนตอนนี้จะไปทันได้ยังไง แล้วไอ้นี่เจไปเอามาจากไหน” ผมชูวิกผมดำยาวระบ่าปรกหน้าด้วยความตะลึง อย่าบอกนะว่าน้องชายผมนั้น...
“ซื้อมาสิพี่จิ ผมซื้อตั้งแต่ซีรี่ส์ตอนแรกฉายและเห็นผลตอบรับดีกระฉูดแล้ว ผมกะให้พี่ปลอมตัวเวลาครอบครัวเราออกไปข้างนอก แต่ไม่นึกว่าจะได้ใช้เพราะพี่ไปเดต...”
“พี่ไม่ได้ไปเดต” ผมพูดพลางลองสวมวิก รู้สึกอบๆ นิดหน่อย แถมไอ้ผมหน้าก็ขยันปรกตาชะมัดเลย แต่ต้องทนครับ อย่างน้อยก็ดีกว่าหน้ากากอนามัยเป็นไหนๆ “พี่แค่ไปเที่ยวเล่นกับเสี่ย”
“คร้าบ” ไอ้น้องชายขานรับขอไปที คร้านจะเถียงกับผมเต็มแก่ ก่อนจะเข้ามาช่วยผมแต่งตัวจนกระทั่งมันให้ผ่านนั่นแหละ ถึงเพิ่งได้ฤกษ์ออกจากบ้าน พอดิบพอดีกับรถสีดำจอดเทียบอยู่หน้าตึกแถวเก่าโทรมอย่างไม่เข้ากันสักนิด
ขนาดเผื่อเวลาลงมารอล่วงหน้าเป็นชั่วโมงยังเกือบสาย...เกือบให้เสี่ยต้องรอแล้วเรา
“สวัสดีครับเสี่ย” ผมยกมือไหว้ตามความเคยชิน ก่อนจะหันไปยิ้มให้คุณสัน “สวัสดีครับคุณสัน พี่เบิ้มด้วย แล้วบิ๊กล่ะครับ”
“สวัสดีครับคุณจิ...บิ๊กไปรอที่บริษัทล่วงหน้าแล้วล่ะครับ ให้ขับรถของเสี่ยมาเกรงว่าจะสะดุดตา เลยใช้รถของเบิ้มที่มารับคุณจิเป็นประจำจะดีกว่า” คุณสันอธิบาย “วันนี้แต่งตัวดีนะครับ ผมเตรียมของมาเก้อเลยเชียว”
“น้องชายผมเป็นคนจัดการน่ะครับ” ผมตอบก่อนจะหันมามองเสี่ย “วันนี้เสี่ยเอง...ก็แต่งตัวดีใช่ย่อยนะครับเนี่ย”
“ไม่ต้องชมหรอก ฉันรู้ว่าฉันดูเด็กลง”
“ครับๆ” ผมหัวเราะร่วน คืองี้ครับ ปกติเสี่ยจะใส่สูทสุภาพ แต่งตัวเนี้ยบอย่างกับคุณชาย สร้างภาพลักษณ์ของประธานบริษัทผู้เคร่งขรึม แต่วันนี้เสี่ยสวมเสื้อโปโลกางเกงสเลค แถมยังเตรียมหมวกมาด้วย แม้จะเห็นยี่ห้อแล้วขนหน้าแข้งแทบร่วง เอ่อ...จิระไม่มีขนหน้าแข้ง แต่เอาเป็นว่า เสี่ยดูเด็กลงมาก จากอายุสามสิบสอง ลดเหลือยี่สิบเจ็ดขาดตัว
“ว่าแต่คุณสันจะไปกับพวกเราด้วยเหรอครับ” ผมถามเพราะอีกฝ่ายสวมสูท ไม่เหมือนคนไปเที่ยวสักนิด
“ผมตั้งใจไปส่งเสี่ยให้แน่ใจว่าถึงที่หมายแล้วค่อยกลับบริษัทพร้อมเบิ้มครับ ถึงอยากอยู่ด้วย แต่นานครั้งเสี่ยจะมีเวลาส่วนตัวข้างนอกโดยไม่มีพวกเรา ผมเลยอยากให้เวลานี้เต็มที่ ถ้าจะกลับรบกวนคุณจิโทรมาล่วงหน้าสักชั่วโมงนะครับ เราจะได้ไปรับทัน”
ตั้งใจไปส่งเสี่ยให้แน่ใจว่าถึงที่หมายงั้นเหรอ...อย่าบอกนะว่าตั้งแต่เด็กจนโตเสี่ยมีสอง ไม่สิ สามถ้ารวมบิ๊กด้วยคอยดูแลเป็นมือเป็นเท้าไม่ห่างกระทั่งจะไปไหนมาไหนเองก็ไปไม่เป็น!?
“สัน”
“หากผมพูดมากไปก็ต้องขอโทษด้วยครับท่าน”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณสัน วันนี้ผมจะดูแลเสี่ยอย่างดี” ผมยิ้มกว้างเริงร่า เสมือนได้รับการฝากฝังหน้าที่แสนยิ่งใหญ่ เสี่ยเจ้าของบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์อะไรกัน นี่เป็นคุณชายผู้ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมที่กำลังอยากทำตัวเป็นเด็กอีกครั้งต่างหาก!
...ตรงหน้าผมตอนนี้คือผู้ชายวัยสามสิบสองที่กำลังนั่งหน้าซีดหลังลงจากเฮอริเคน
บอกเลยว่า...หมดสภาพ!
“น้ำครับเสี่ย”
“ขอบใจ” เสี่ยรับน้ำเย็นที่ผมเพิ่งวิ่งไปซื้อมาดื่มทันที ท่าทางเขาแย่มากจนผมต้องใช้แผนที่สวนสนุกช่วยพัดให้ จะสงสารก็สงสาร จะขำก็ขำ เพราะตอนเราเดินเข้าสวนสนุกมาเสี่ยก็เรียกร้องอยากลองขึ้นเฮอริเคนที่ผมเคยเล่าให้ฟังอย่างกับต้องการท้าทายเอาชนะ แต่สุดท้าย...
เสี่ยก็ไม่รอด
โชคดีที่วันนี้เป็นวันธรรมดาคนเลยค่อนข้างบางตา จะมีก็พวกเหล่านักเรียนที่มาทัศนศึกษา สวมเครื่องแบบเดียวกันเดินเล่นทั่วสวนสนุก กับนักท่องเที่ยวต่างชาติบ้างประปราย เห็นชุดนักเรียนกางเกงขาสั้นแล้วอดระลึกถึงสมัยตัวเองหัวเกรียนวิ่งไล่เพื่อนไม่ได้ ตอนนั้นไอ้จิตรินนับเป็นหัวโจกเลยเชียว เพราะตัวสูงใหญ่ ผิวเข้มน่าเกรงขาม แถมยังแรงเยอะ แม้ผมจะใจดีใจอ่อนจนโดนเรียกว่าตัวยักษ์ใจเหลวก็เถอะ แต่ก่อนจะย้อนความไปมากกว่านี้ ผมควรหันมาดูแลเด็กโข่งที่กำลังจะตายก่อน...
หน้าหล่อคมของเสี่ยซีดมาก เขาขยับปีกหมวกลงเพื่อบังแดด นั่งพิงกับพนักเก้าอี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหยียดหลังตรง บุคลิกดีสุดขีด เท่าที่สังเกตจากนิสัยและการปรนนิบัติรับใช้ของคุณสัน คาดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเสี่ย ล้วนมีคุณสัน พี่เบิ้มและบิ๊กช่วยปัดเป่าอุปสรรคกรุยทางให้ด้วยพรมแดง ถึงได้มีความมั่นใจสูง มาดมั่นไม่กลัวใครและคิดเข้าข้างตัวเองเป็นตุเป็นตะ ผมยอมรับ ว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง แม้จะแอบเกเรไปคั่วเด็กหรือทำอะไรๆ ในที่ทำงานบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีข่าวลือเรื่องเอารัดเอาเปรียบใคร และเพราะถูกดูแลดีอย่างนี้ เขาเลยคิดว่าทุกอย่างมันช่างง่ายดายจนกระทั่งมาเผชิญด้วยตัวเอง...
ถึงได้รู้ว่าเฮอริเคนน่ะไม่กระจอกเหมือนปากเล่านะเสี่ย!
อา...เสียมารยาทกับหัวหน้าเกินไป ไอ้จิตบหน้าตัวเองหนึ่งที
“ทำอะไร”
“เปล่าครับ” ผมรีบปฏิเสธ ชักจะฟุ้งซ่านแล้วสิเรา “เสี่ยลุกไหวรึยัง ถ้าไหวเราไปนั่งพักกันในห้องอาหารก่อนมั้ย ตรงนี้ค่อนข้างร้อน ผมกลัวเสี่ยจะเป็นลม ผมแบกไม่ไหวหรอกนะ”
“ฉันไม่เป็นลม!”
“ครับๆ” ผมยิ้มอ่อนให้เสี่ย พอรู้ว่าเขาเป็นคนยังไงก็รับมือกับท่าทางของเขาง่ายขึ้น อย่าไปย้ำความอ่อนแอ อย่าไปขัดใจเสี่ย หาทางประนีประนอมเบี่ยงเบนหัวข้อจะดีที่สุด “สีหน้าเสี่ยดีขึ้นแล้ว งั้นต่อไปเอาอะไรดี บ้านผีสิงมั้ยครับอยู่ใกล้ๆ นี่เอง แถมข้างในค่อนข้างเย็น เอ่อ...เสี่ย...คงไม่กลัวผีใช่มั้ย”
เสี่ยแค่นหัวเราะดูแคลน
“ฉันไม่ใช่เด็ก”
“งั้นก็ดีเลย ไปบ้านผีสิงกันเถอะครับ ไม่ได้เข้าตั้งหกปี ผมลืมไปแล้วว่าข้างในเป็นยังไง!”
ผมมุ่งมั่นเดินนำไปยังบ้านผีสิง ตอนต่อแถวมีเด็กกลุ่มหนึ่งคล้ายจะจำหน้าผมได้ เลยแกล้งพูดภาษาจีนมั่วๆ แล้วทำเป็นโวยวายเสียงดัง เด็กพวกนั้นจึงหันหนีไม่ติดใจอีก
“จะแสดงก็แสดงได้นี่” แม้จะถูกลูกดาราชื่อดังอย่างเสี่ยชม ผมก็หาได้ทะนงตัวไม่
“นี่ไม่ใช่การแสดง แต่เป็นการกลบเกลื่อนต่างหากครับ” ผมยิ้มแฮะๆ ยืนรอสักพักก็ถึงคิว ผมชูข้อมือที่สวมสายรัดสำหรับเล่นได้ไม่จำกัดรอบให้ดูแล้วเดินนำ แต่กลับโดนเสี่ยเบียดตัวแทรกแย่งเข้าไปก่อน แถมยังปั้นหน้าวางท่า ราวกับว่าผู้ใหญ่ใจดีคนนี้จะปกป้องอดีตเด็กเลี้ยงร่างบอบบางปลิวลมอย่างผมเอง เอ่อ...เสี่ย แต่เสี่ยเดินมาถึงหน้าบันไดสำหรับขึ้นแล้วก็หยุด แถมยังสะดุ้งน้อยๆ ตอนได้ยินเสียงกรี๊ดของกลุ่มเด็กเมื่อกี้ด้วยนะ
ว่าแต่เขา ไอ้จิตรินเองก็แอบสะท้านเฮือกๆ เหมือนกัน ข้างในหนาวกว่าที่คิด แถมบรรยากาศก็วังเวง ข้างหลังเราก็ไม่มีใครตามเข้ามาซะด้วยสิ ผมมองหน้าเสี่ย เสี่ยมองหน้าผม ก่อนจะขึ้นบันไดพร้อมๆ กัน
พอหลุดจากโซนหน้าห้องโถง ทั้งผมทั้งเสี่ยก็แอบสูดหายใจ ข้างในมันมืดตึดตื๋อ! มืดจนแทบมองไม่เห็นมือตัวเองเลยแม้ว่าจิระจะข่าวโอโม่มากก็เถอะ ยังดีนะที่พื้นมีรอยเท้าเรื่องแสง เลยพอรู้ทางไม่ต้องคอยคลำกำแพงเอา ผมย่องตามหลังเสี่ย ยึดสุภาษิตที่ว่าตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด...
“เฮ้ย!”
ก่อนจะร้องลั่นเมื่อจู่ๆ ก็มีผีพุ่งกระแทกใส่ลูกกรง ซาวน์เอฟเฟคอลังการมาก ผมยืนตัวแข็ง จนกระทั่งเห็นว่านั่นเป็นแค่ตุ๊กตาแต่งหน้าผีก็ถอนหายใจโล่งอก แต่พอหันไปมองผู้ใหญ่ใจดีขึ้นมา...
“เสี่ย รอผมด้วย!!”
เขาก้าวฉับๆ นำไปหลายช่วงตัวแล้ว!
ผมรีบเร่งฝีเท้าตามหลังเสี่ย ระหว่างทางแอบหลุดตะโกนโวยวายไม่หยุดเพราะตกใจ มันไม่กลัวนะครับ...แต่มันตกใจไง! จังหวะตุ้งแช่แบบหนังผีไทยน่ะเข้าใจผมใช่มั้ย!
รู้ตัวอีกทีผมก็มาถึงทางออกกับเสี่ย
ทำไมเหนื่อยกว่าตอนเล่นเฮอริเคนอีกวะผมยืนหอบเกาะกำแพงตรงประตูทางออกเพื่อพักหายใจ ร้องโวยวายน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่ใช้พลังงานเยอะคือการเล่นไล่จับกับเสี่ยเนี่ยล่ะ! อะไรจะเดินไวขนาดนี้! เขามองพวกบรรดาผีข้างในบ้างรึเปล่าผมเองก็ไม่แน่ใจ!
“ก็ไม่เท่าไหร่”
นั่น...ยังมาพูดอย่างภาคภูมิใจแล้วยังมองผมด้วยสายตาเวทนาอีก ผมยิ้มแห้ง ไม่อยากจะขัดความมั่นหน้าของเสี่ยที่คล้ายจะเห็นว่าบ้านผีสิงนั้นช่างจิ๊บจ๊อยประหนึ่งมาเดินเล่นในสวนดอกไม้ โธ่เอ๊ย เดินเล่นหรือแข่งวิ่งกันแน่ครับ ไอ้จิตรินสงสัยเหลือเกิน!!
พอลมหายใจเริ่มเป็นปกติ ผมก็หยิบน้ำที่เสี่ยดื่มค้างไว้ขึ้นกระดก ใช้มือปาดคางแล้วแล้วส่งต่อให้เสี่ย
“น้ำมั้ยครับ”
เสี่ยมองผมด้วยสายตาประหลาด ผมชะงัก นึกได้ว่าเสี่ยเป็นคุณชาย คงไม่กล้าดื่มน้ำต่อจากผมหรอก เลยรีบปิดฝาขวดแล้วตั้งใจว่าจะไปซื้อน้ำขวดใหม่ให้เสี่ย แต่ไม่ทันจะเก็บใส่เป้ เสี่ยก็คว้าไปเปิดดื่ม ยกกระดกท่าเดียวกับผมเป๊ะ แต่ไหงออกมาดูมีชาติตระกูลกว่าหลายเท่าก็ไม่รู้
“ต่อไป...ไวกิ้งแล้วกัน” เสี่ยพูดพลางส่งน้ำกลับให้ผม ท่าทางมั่นใจมากขึ้นหลังได้แก้ตัวในบ้านผีสิง
“เสี่ยไหวเหรอ” ผมนึกสภาพเขาตอนอยู่บนเฮอริเคนแล้วหวาดเสียวแทน เกิดฝืนจนเป็นลมขึ้นมาจะทำยังไง จะทิ้งก็ไม่ได้จะแบกก็ไม่รอด
“เมื่อกี้ฉันแค่ตั้งตัวไม่ทัน”
“ถ้าเสี่ยว่าอย่างนั้นผมก็ไม่ขัด” ผมพยักหน้าหงึกหงัก อย่าไปขัดคอเสี่ย ประเดี๋ยวจะทรงกริ้วเอาได้ แต่เพื่อไม่ให้เสี่ยคลื่นไส้ ผมเลยเลือกนั่งตรงกลางลำไวกิ้ง ขณะที่วัยรุ่นกับชาวต่างชาติไปนั่งกันตรงท้ายเรือกับหัวเรือกันหมด กลายเป็นส่วนต่างสองหน่อ
ผมลำบากตรงที่ต้องคอยจับวิกดำ ส่วนเสี่ย...
เสี่ยนิ่งชะมัด
นิ่งจนผมต้องเงยมองเป็นระยะว่าเขายังอยู่ดีมั้ย หรือสติปลิวตามแรงเหวี่ยงไวกิ้งไปแล้ว!
โชคดีที่พอลงจากเครื่องเล่นเสี่ยยังเดินตรงดีไม่ได้โซเซเหมือนบางคนที่ต้องพักเกาะราว ผมรีบเดินตามหลังเสียที่ก้าวฉับๆ ผมว่าผมเดินเร็วแล้วนะ แต่เสี่ยเดินไวกว่าผมอีก
อ้อ...ความยาวของขาเราไม่เท่ากัน
“เป็นไงบ้างครับเสี่ย พักก่อนมั้ย”
“สนุกดี” เสี่ยบอกด้วยสายตาชื่นชมตัวเอง ผมอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะหลุดหัวเราะ ไอ้นั่งนิ่งเมื่อกี้คือเขากำลังสนุกอยู่หรอกเหรอ ผมเป็นห่วงมากไปสินะ
เพราะสีหน้าเขาไม่ได้ซีดเผือดเหมือนจะเป็นจะตายผมเลยเชื่อคำนั้น เสี่ยเป็นคนเก่ง สงสัยตอนแรกจะปรับตัวไม่ทันจริงๆ มาถึงสวนสนุกครั้งแรกก็โดนจับตีลังกาหมุนหน้าหมุนหลังขนาดนั้นนี่นะ
พอไม่ต้องกังวลเรื่องเขาคราวนี้ผมก็ค่อยเล่นได้สนุกขึ้นมาหน่อย
“งั้นลองรถไฟตะลุยอวกาศมั้ยครับ”
“ไม่มีปัญหา”
นับจากนั้นทุกอย่างราบรื่นมาก ราบรื่นกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก มากับเสี่ยที่แก่กว่าเกือบสิบปี แต่เหมือนมากับเพื่อนที่อายุใกล้เคียงกันที่ขี้เก๊กไปสักหน่อยแต่ค่อนข้างกระหายความตื่นตาตื่นใจ คงเพราะเพิ่งมาครั้งแรก ทุกอย่างเลยดูใหม่สำหรับเสี่ยไปหมด เสียอย่างเดียว ผมเป็นฝ่ายต้องดูแล เพราะเสี่ยไม่ยอมไปซื้อของอะไรเอง เวลาหิวน้ำผมต้องไปต่อแถว เสี่ยจะนั่งรออย่างเดียว แถมยังทำหน้าเหมือนว่า มันใช่หน้าที่ฉันเรอะ
ตอนเที่ยง ผมชวนกินเคเอฟซี แน่นอนว่าเข้าคิวซื้อน่ะมีแค่ผม ออกเงินเองด้วยแม้ว่าเสี่ยบอกจะเลี้ยงก็เถอะ แต่นี่เป็นการเที่ยวเล่น ไม่ใช่ให้เสี่ยพาเด็กมาเปย์ ค่าเข้าเขาออกแล้ว ทุกอย่างหลังจากนั้นผมเลยอาสาควักเงินอย่างไม่เสียดาย
“ช้อนกับส้อมครับเสี่ย”
ส่งอุปกรณ์การกินเสร็จ ตรวจดูว่ากระดาษทิชชูไม่ขาด เสี่ยไม่ต้องการอะไรแล้วผมก็จับไก่มาฉีกกินทันที จิ้มซอสผสมอย่างสำเริงสำราญใจ ไม่ต้องกลัวเรื่องเชื้อโรคเพราะล้างตอนไปกดซอสแล้ว เกรงก็แต่เสี่ยจะรังเกียจรึเปล่า
กินเสร็จหนึ่งชิ้น ผมก็เงยดูสังเกตสีหน้าเสี่ย เห็นว่าเขาแอบเลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีท่าทีอยากต่อว่าอะไร สงสัยจะไม่เคยมีคนทำตัวตามสบาย คงมาดดูดีเหมือนที่เขามักทำละมั้ง ก็คนใกล้ตัวเสี่ยแต่ละคนธรรมดาซะที่ไหน คุณสันน่ะเข้มงวดสุดๆ พี่น้องบิ๊กเบิ้มก็ค่อนข้างเจียมตัวสงบปากสงบคำ ส่วนพวกเด็กเลี้ยง อา...น่าจะอยากให้เห็นแต่ด้านดีๆ คงไม่กล้ามานั่งฉีกไก่จนหนังกระเด็นอย่างผมหรอก
เทียบกันแล้ว ท่ากินไก่ของเสี่ยช่างเหมือนศิลปะ การใช้ช้อนกับส้อมตัดไก่เป็นชิ้นๆ แล้วเอาเข้าปากนั้นราวกับว่าเสี่ยกำลังหั่นสเต็กยังไงยังงั้น แต่ผมเสียดายเนื้อที่เหลือติดกระดูก ก็เลยแอบจิ๊กของเสี่ยมาแทะเล่น เห็นเสียไม่หือไม่อือ ก็ถือว่าเขาอนุญาตแล้วกัน เงินผมนี่ กินไม่หมดเสียดายแย่
หลังปฏิบัติภารกิจเติมท้องให้เต็มเรียบร้อย ผมก็เอาถาดไปยกเก็บ ก่อนจะกางแผนที่ ถามเสี่ยว่าอยากเล่นอะไรต่อ
“เธอเลือกสิ” เกือบลืมเสี่ยไม่เคยมา เขาเลยไม่รู้ว่าเครื่องเล่นแต่ละอย่างนั้นเป็นยังไง
“ยังอิ่มๆ กันอยู่งั้นเล่นอะไรเบาๆ แล้วกันครับ อืม...เที่ยงตรงแบบนี้ ซูเปอร์สแปลซน่าจะเหมาะ” ผมแนะนำ “เหมือนล่องแก่งน่ะครับเสี่ย แต่พอเครื่องเล่นทิ้งตัวลงมา น้ำจะสาดกระจายซู่ซ่าเย็นฉ่ำสุดๆ ไปเลย!”
“ฉันไม่อยากเปียก”
“งั้นเสี่ยซื้อเสื้อกันฝนแล้วกัน ผมจำได้ว่ามีขายอยู่แถวนั้นนะ มาทั้งที่เล่นให้ครบกันนะครับ เสี่ยจะได้เอาไปเล่ากับคุณสันได้ไงว่าพิชิตเครื่องเล่นสวนสนุกครบทุกเครื่องแล้ว!”
แล้วมีหรือเสี่ยจะปฏิเสธ เขาซื้อเสื้อกันฝนแบบใสมาสวม ส่วนผม แม้จะเอาแว่นกับหมวกติดไปด้วยไม่ได้ แต่ก็มีหมวกฮู้ดช่วยปกปิดใบหน้า และก็ช่างบังเอิญเหลือเกิน ผมกับเสี่ยดันได้นั่งคู่กันสองคนแถวหน้าสุด เพราะเด็กนักเรียนอยากจะนั่งกับเพื่อนกระจุกรวมกันด้านหลัง
ตอนเรือเริ่มไต่ขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมเห็นเสี่ยเตรียมความพร้อมจับเสื้อกันฝนกะไม่ให้ละอองน้ำใดๆ มาโดนตัวเป็นอันขาด ผมลอบยิ้ม มองเสี่ยเพลินตาสุดๆ จนกระทั่งเริ่มจะทิ้งดิ่งลงนั่นแหละถึงหันมาสนใจกับเครื่องเล่น กะว่าจะชูสองนิ้ว ส่งยิ้มให้กลุ่มคนที่ยืนตรงสะพานสักหน่อย แต่ไม่ทันได้ทำ เสี่ยกลับคว้ามือขวาผมไปจับแล้วซุกอยู่ใต้เสื้อ
ใจกระตุกวูบหนึ่ง
วินาทีนั้น เครื่องเล่นพลันพุ่งกระโจนสู่น้ำเย็นด้านล่างจนกลายเป็นคลื่นตีโค้งตลบย้อนเข้ามา เสี่ยก้มหน้าหลบ ส่วนผมนั้นโดนไปเต็มๆ เพราะยังอึ้ง ผลคือแม้จะมีหมวกฮู้ด แต่ก็เล่นเอาหน้าชุ่มฉ่ำ วิกด้านหน้าชื้นแนบศีรษะ ส่วนกางเกงไม่ต้องพูดถึง แฉะยันชั้นในเลยครับท่าน
พอเครื่องเล่นตีโค้งเตรียมกลับฝั่ง เสี่ยก็คลายมือขวาผม เพิ่งมารู้ตัวเอาตอนนี้ว่าเสี่ยไม่ได้ทำเพราะพิศวาส แต่เพราะกลัวว่าแผลที่ฝ่ามือของจิระจะโดนน้ำต่างหาก
เผลอคิดไกลไปเองแล้วสิเราผมมัวแต่สนุกจนลืมดูแลร่างกายที่แสนสำคัญนี้ไปเลย
-----
แหมๆ หนูจิ ไหนว่าไม่คิดอะไรไงจ๊ะ ถ้าไม่คิดอะไร จะไม่ตัดพ้อแบบนี้นะบอกเลย!
มาปล่อยแก่ไปกับเสี่ยกันค่ะ เห็นมุมสบายๆ ของสองหนุ่มกันบ้าง เสี่ยเก๊กมาทั้งเรื่องแล้ว ให้เสี่ยได้เดต เอ๊ย เที่ยวกับหนูจิบ้างดีกว่า ^0^! #ฝอยตกเสี่ย
เพจนักเขียนที่แอบย่องตามเป็นสตอล์กเกอร์