เรื่องสั้น: whistle เสียงกระซิบบ้าน พ่องไปทำงานแล้ว ได้ทวีตข้อความ
‘หลับตาได้สองวิ ลืมตาขึ้นมาต้องกลับไปเรียนอีกละ วันหยุดของผมมมมมม’
4.28 PM
ไอไม้ไหวได้รีทวิตข้อความของ
บ้าน พ่องไปทำงานแล้ว4.33 PM
ไอไม้ไหวได้ตอบกลับข้อความของ
บ้าน พ่องไปทำงานแล้ว‘สู้ๆนะ’
4.56 PM
แจ้งเตือน:
บ้าน พ่องไปทำงานแล้ว ได้ชื่นชอบการตอบกลับของคุณ//กดหัวใจ 5.15 PM
……..
!!
แม่งงงงง......เขินชิบหายวายวอด!
“อ๊ากกกกกกกกก”
ผมกรีดร้องกลิ้งขลุกขลักไปมาบนเตียง มือซ้ายดึงน้องเน่าตุ๊กตาหมีสีฟ้ามากอด มือขวาชูโทรศัพท์เปิดขึ้นมาดู
บ้าน พ่องไปทำงานแล้ว ได้ชื่นชอบการตอบกลับของคุณ
“แม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
หน้าจอเปิดค้างแอคเคาน์โปรดของผม
‘บ้าน พ่องไปทำงานแล้ว’ ชื่อมันครับ ชื่อบ้าน....ส่วนผมชื่อไม้ บ้านเป็นเซเลปครับโด่งดังในโลกโซเชียล มีคนติดตามเหยียบแสน ดาราก็ไม่ใช่แต่ได้รับความนิยมสูงมากกกกก
ตัดภาพมาที่ผมซึ่งเป็นแค่เศษเล็บ นั่งติ่งเขาไปวันๆ สมัครเป็นแฟนคลับตามเชคทุกความเป็นไปของเขาไปเรื่อย รู้ไปหมดว่าบุคคลสาธารณะคนนี้ไปไหนหรือทำอะไรมาบ้างในแต่ละวันจนเป็นความเคยชินว่างเมื่อไหร่เป็นต้องเปิดดู จนติ้งต่างไปเองว่าผมซี้กับมันไปแล้วทั้งที่ผมรู้จักมันฝ่ายเดียว ไม่เคยรู้จักกัน เจอหน้ากันสักครั้งก็ไม่เคย
ทุกท่านครับ ผมยังเป็นผู้ชายที่มีใจรักผู้หญิงนะ เพียงแต่มีไอดอลในดวงใจเป็นผู้ชายเท่านั้นเอง ส่วนจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมให้ความสนใจกับ ‘บ้าน พ่องไปทำงานแล้ว’ ก็น่าจะเป็นช่วงนึงที่ผมรู้สึกเบื่อจากการนั่งอ่านหนังสือกับปั่นงาน เลยมานั่งไถทวิตกระทั่งไปเจอชื่อนี้ซึ่งกวนตีนดีจึงเข้าไปดู ปรากฎว่า โอ้โห งานกูงอกพร้อมกับเขาที่เสียดแทงออกมาจากหัวด้วย! ผมกะจะดูแก้เซงสักครึ่งชั่วโมงไม่ขาดไม่เกินจากนี้ ดันจัดไปห้าชั่วโมงแบบโนเบรคครับ เชคตั้งแต่มันทววีตปัจจุบันยันเพิ่งสมัครอ่ะ
และหลังจากนั้นก็ตามมาเรื่อยๆ รวมแล้วน่าจะปีกว่าได้มั้งครับที่ผมรู้จักเขา .....แต่เขาไม่รู้จักผม
แต่วันนี้โคตรปริ่มบ้าน พ่องไปทำงานแล้ว ได้ชื่นชอบการตอบกลับของคุณ
เขากดหัวใจให้ผมด้วยแหละ ....เขินจัง
ก๊อกๆๆๆๆๆ
“ไม้! เป็นอะหยังบ่อสบายก๊ะลูก”(ไม่เป็นอะไรไม่สบายเหรอลูก)
ผมรีบหุบยิ้มดึงหน้าที่บานเป็นจานข้าวกลับมา ก่อนจะพาร่างกายที่หล่อไปทุกส่วนไปหน้าประตูแล้วผลักออกชะโงกหน้าให้สุดที่รักของผมเห็น
“คร้าบบบบ”
“ปวดเมื่อยตี้ไหนก่อ มาหื้อแม่ผ่อกำลุ”(ปวดเมื่อยที่ไหนรึเปล่า มาให้แม่ดูหน่อยสิ)สุดที่รักของผมว่าพลางแนบหลังมือนุ่มกับหน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา แตะค้างอยู่แบบนั้นห้าวิแล้วพึมพำ
“ตั๋วเย็นบ่เป็นไดเหาะ”(ตัวเย็นไม่เป็นไรนี่)
“อ้ายหล่อก่อ”(พี่หล่อมั้ย)ผมแกล้งยิ้มทะเล้นแล้วยักคิ้วให้ผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก กลับโดนฝ่ามือพิฆาตฟาดหมับเบาๆตรงหัวไหล่เฉ้ย
“อ้ากก ไม้เจ็บหนาแม่อัญ”
“บ่อต้องมาสำออย ออกมาจากคอกแล้วลงมาเก็บผ้าหื้อฉันตวย”(ไม่ต้องมาสำออย ออกมาจากคอกแล้วลงมาเก็บผ้าให้ฉันด้วย)
ผมอมยิ้มให้แม่ที่มักจะแทนตัวเองว่าฉันในบางครั้งแล้วเหลียวไปมองหลังซึ่งเป็น คอก ที่แม่อัญเธอว่า แต่นั่นเป็นห้องนอนที่ผมสิงไม่ออกไปไหนตั้งแต่เช้าจนสี่โมงแล้ว ก็สมควรออกจากคอกจริงๆครับ
“ครับแม่ เดี่ยวปี้ไม้ไปเก็บหื้อหนา”(ครับเดี๋ยวพี่ไปเก็บให้นะ)
ผมว่ามือคว้าตัวเธอเข้ามากอดแล้วหอมแก้มซ้ายขวาอย่างหมั่นเขี้ยว เธอดันตัวผมออกแล้วเขกมะเหงกไปที
“จะอ้อนเอาอะหยังเหอตาลูกคนนี้”(จะอ้อนเอาอะไรหืมตาลูกคนนี้)
“ไม้กิดเติงหาแม่อัญ...”(คิดถึงแม่อัญ)แล้วผมก็ซุกหน้าเข้ากับพุงเล็กๆของเธออย่างลูกแมว เสียงหัวเราะคิกคักลอยมา
“หึ ที่จะอี้มาอู้เน้อ ตันวาปี๊กมาแล้วก็หายไปอยู่ในคอก ถ้าแม่บ่มาเคาะก็บ่ออกมาแล้วม้างงงง”(หึ ทีอย่างงี้มาพูดนะ เมื่อวานกลับมาแล้วก็หายไปอยู่ในคอก ถ้าแม่ไม่มาเคาะก็คงไม่ออกมาแล้วม้าง)
“ไม่จริงเลยยยยคุณอัญญญ”
ผมถูหน้าไปมากับพุงก่อนจะได้ยินเสียงตวาดเรียกชื่อผมดังมาจากด้านหลังทำเอาผมสะดุ้งรีบยืนตรงไปหลบหลังแม่
“อย่ามากอดเมียพ่อ เดี๊ยะๆ ไอ่ลูกคนนี้ เผลอแปปเดียวไม่ได้”
มาแล้วครับคุณเอี่ยม คุณพ่อของผมเอง มาพร้อมเสื้อยืดผ้าขาวม้าเซอร์ๆแต่ยังคงความหล่อทุกกระเบียยดนิ้วเหมือนผม
“โถ่ คุณเอี่ยม พี่ไม้แค่คิดถึงคุณอัญกอดนิดหน่อยเอง ไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้!”
ขี้งก!
“ชิ!”
ผมจิปากเชิดหน้าก่อนจะถูกดึงเข้าไปกอดโดยคนหวงเมียและคนมีเกียไว้ประดับกาย....เกียมัวน่ะครับ
“มากอดคุณเอี่ยมบ้างคุณเอี่ยมก็คิดถึงพี่ไม้และรักคุณแม่อัญมากด้วย”
“ปากหวานแต้ฮันนี่”(ปากหวานจังฮันนี่)
แล้วเราสามแม่ลูกก็กอดกันกลมนานหลายนาที
ผมเป็นลูกชายคนเดียวครับ ไม่มีน้องแต่อย่างใด ที่เรียกแทนตัวเองว่าพี่ผมก็จำที่มาที่ไปไม่แน่ชัดหรอกน่าจะอยากเป็นใหญ่ในบ้านมั้งเลยเรียกแทนตัวเองแบบนี้ พ่อกับแม่ คุณแม่อัญกับคุณพ่อเอี่ยมเป็นคนต่างถิ่นกันทั้งคู่ อย่าได้แปลกใจทำไมการใช้ภาษามันดูแหวกแนว คุณแม่อัญเธอเป็นสาวครึ่งภาคกลางแดนกรุงเทพและภาคตะวันออกเชียงเหนือเมืองขอนแก่นแต่ติดใจภาษาถิ่นทางภาคเหนือเลยอู้กำเมืองสลับกันกับคุณพ่อเอี่ยมซึ่งเป็นหนุ่มเหนือแต้ๆแต่ติดพูดกลางเพราะต้องใช้บ่อย
หน้าที่การงานทางบ้านของผม คุณเอี่ยมทำงานด้านสาธารณสุขและไปจอยที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งถือหุ้นอยู่ในนั้น10เปอร์เซนต์บางครั้งคราวส่วนคุณแม่อัญประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นร้านกาแฟและจัดเลี้ยง จัดห้องประชุม ก่อนหน้านั้นเปิดร้านขายของตกแต่งบ้านควบคู่ก็รับทรัพย์กันปาย และนายไม้ลูกชายเดียวขณะนี้อยู่ปีสุดท้าย คณะนิติศาสตร์ เรียนแยกไปเจริญรอยตามคุณยายที่กำลังนั่งบัลลังก์อยู่จังหวัดมหาสารคาม แต่เนื่องจากเป็นช่วงหลังฝึกงานและอีกวีคจะเปิดเทอมผมจึงหลบมาจำศีลที่นี่ก่อนครับ
“ไม้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปช่วยพ่อขุดหลุมลงลำไยตวยเน้อ”(ไม้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปช่วยพ่อขุดหลุมลงลำไยด้วยนะ)
แม่สั่ง มือตักแกงส้มมะรุมเติมใส่ถ้วยของผมกับพ่อ เป็นงานอดิเรกวันหยุดของคุณพ่อเขาครับ วันธรรมดาจับเครื่องวัดความดันกับสเตธโธสโคปก็มาจับจอบจับเสียม เป็นความสุขเล็กๆนอกจากจีบคุณแม่อัญครับ ทั้งที่ก็คบกันมายี่สิบกว่าจนผมโตมาสิริอายุได้ 21 ปีแล้ว มองดูคู่นี้ที่ไรเหมือนดูวัยรุ่นจีบกันน่ะ มีงอนนิดหน่อยพองามดูไปก็น่ารักดีนะ คุณพ่อเอี่ยมกับคุณแม่อัญเนี่ย
“ครับแม่”
ผมดึงตัวเองออกจากความคิดพลางพยักหน้าปากเคี้ยวเมนูโปรดหยุบหยับอย่างเอร็ดอร่อย ไม่อยากจะเมาท์ครับ กลับมาบ้านเกือบสองวันน้ำหนักนี่จะขึ้นมาอีกโลนึงละ ต้องออกกำลังกายสลายไขมันอีกคราสร้างซิกแพคแม้มันจะไม่มีก็ตามเถอะ
“แล้วคิดรึยังว่าจะกลับมาบริหารงานที่บ้านหรือจับงานกฎหมายเลย”
พ่อถามผมก็พยักหน้าอีก
“งานกฎหมายก่อนนะคุณเอี่ยม เรียนมาแล้วนี่นา”
“อืมมม เดี๋ยวไปปรึกษาพี่มอญก็แล้วกันว่าจะเอายังไง”
“ครับผม”ผมยิ้มแฉ่งตักผัดหน่อไม้ฝรั่งเข้าปาก
ทางบ้านของพ่อกับแม่มีญาติที่ทำงานด้านกฎหมายอยู่ครับ แต่ส่วนใหญ่เขาจะให้คำแนะนำและเก็บหนังสือตุนไว้ด้วย เรื่องเส้นสายไม่ต้องห่วงผมรักศักดิ์ศรีหรอกน่า และเด็กนิตินั้นย่อมรู้ว่าข้อสอบมันมหาโหดและการทำงานนี่อย่างละเอียดแม้คุณจะมีเส้นสายแค่ไหนแต่หากคุณไม่สามารถสอบผ่านเข้าทำงานตรงนั้นได้หรือลุ่มๆดอนๆคุณก็ไปไม่รอดหรอกครับ
พ่อแม่ผมเคยว่าเอาไว้
‘สิ่งไหนที่ได้มายากเรามักเห็นค่าของมัน มากกว่าสิ่งที่ได้มาง่ายๆไม่นานก็อาจกลายเป็นไร้ค่าสำหรับเรา’ เพราะงั้นการได้อะไรมาด้วยตัวเองย่อมดีกว่าและน่าภูมิใจกว่าด้วย จริงมั้ยครับ?
วันรุ่งขึ้นช่วงเช้าผมช่วยพ่อขุดหลุมปลูกลำไยผลไม้แสนหวานที่ทั้งบ้านผมชอบ 10กว่าต้นได้ ผมทานข้าวแล้วกลับมาห้องเพื่องีบครึ่งชั่วโมงแล้วบ่ายนี้ก็เข้าไปโรงพยาบาลกับพ่อไปตรวจสุขภาพประจำปีครับ
ผมเข้าคิวตั้งแต่บ่ายตรวจเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างก็บ่ายแก่ๆแล้ว ก่อนหน้านั้นก็มีคนที่ผมเรียกว่าพี่หมอสวมกาวน์สั้นคาดแมสไปครึ่งหน้าพาผมไปตรวจไปตึกโน้นนี่จนครบ ผมก็ขอบคุณเขาตอนส่งผมกลับที่ห้องทำงานพ่อ ทั้งที่ตลอดมาผมดื้ออยากจะไปเองแทบบ้า
แต่คิดไปคิดมาถ้าผมไปตรวจเองคงสองทุ่มมั้งครับ ขนาดขึ้นรถจากสายบ้านตัวเองยังไปลงอีกจัดหวัดข้างเคียงได้เลย เอ้อ....แต่ก็นะคุณเอี่ยมนะคุณเอี่ยมผมโตแล้ว เป็นนายไม้ไม่ใช่เด็กชายไม้นะพ่อ!
ได้แต่บ่นมาตลอดทางคุณพ่อเอี่ยมบอกให้รอกลับด้วยกันผมเลยปลีกตัวมานั่งเหม่ออยู่บนชั้นดาดฟ้าซึ่งถูกจัดไว้เป็นสวนของโรงพยาบาล กินลมชมวิวไปเรื่อยๆจนผล๊อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว......
.
.
.
.
ตื่นมาอีกทีเพราะไอเย็นๆกระทบผิวจนผมต้องห่อตัวให้ความอบอุ่นกับตัวเอง พลันสัมผัสหนานุ่มก็ปกคลุมตัวที่กำลังขดเป็นวงของผม และรู้สึกด้วยว่าเก้าอี้ไม้บนดาดฟ้านี่มันก็ดูยุบๆยังไงชอบกลนะ
แต่จะยุบได้ไงวะ!“โอ้ยยยย!”
ผมไปฤกษ์เบิกตากว้างกว่าไข่นกกระจอกเทศก่อนจะกระเด้งไปชนกับอะไรไม่รู้ที่มาดูทีหลังเห็นว่าเป็นคอนโซลรถ โคตรเจ็บ....
“โอยยยยยย”ผมโอดโอยกุมหน้าผากหลับตาปี๋
“ไม่เป็นไรนะ”
เสียงทุ้มที่ไม่ใช่เสียงคุณพ่อเอี่ยมสุดที่รักของผมดังขึ้นจากข้างๆ กลิ่นโคโลญจ์นหอมละมุนคุ้นแปลกๆ ทำให้ผมเปิดตาข้างหนึ่งขึ้น ก็เห็นเป็นผู้ชายสวมเชิ้ตทำงานนั่งบังคับรถอยู่ ตาจดจ่อกับถนน แต่ผมนี่ตาลายและอยากหลับแบบซ้อมตายอีกครา
เชี่ยยยยยยยยยยมัน! นั่น ! นั่น!
ไอ้พี่บ้าน พ่องไปทำงานแล้วว!!!!“อ้าวว นิ่งไปเลย สงสัยยังง่วงอยู่ล่ะสิ”
คนข้างกายเอ่ยถามคล้ายเรียกสติพลางหันมาแล้วส่ายหน้าอมยิ้มให้ผมน้อยๆ ผมที่เป็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างงงมึนอึ้งต้องจัดการกับตัวเองโดยการตบหน้าสองเพี๊ยะ
เพี๊ยะ
เพี๊ยะหมับ!
แล้วข้อมือก็ถูกกุมไว้โดยคนที่คุณก็รู้ว่าใครพร้อมเสียงทุ้มแหวดัง
“เฮ้ย ทำร้ายตัวเองทำไม!”
“ผม.....” หยุดอยู่แค่นั้น ผมก้มหน้ามองข้อมือของตัวเองที่ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้วเหลือบไปมองมือข้างนั้นของเขาที่กำลังจับพวงมาลัยอยู่ด้วยความรู้สึกร้อนวูบวาบปลายจมูกกับใบหู เหมือนสาวน้อยชิบหายเลยครับ
“ไม่ต้องกลัว พี่ไม่พาไปฆ่าหรอก แค่จะพาไปเชือด”
ไอ่คนเดิมที่กำลังเข้าใจผิดเอ่ยพลางหันมาส่งรอยยิ้มเย็นให้ ผมผงะก่อนจะกระพริบตากับประโยคทีเล่นทีจริงเมื่อกี้ ก็พอจะรู้แล้วว่าไม่ใช่ฝันหรอก ตัวจริงเสียงจริงแน่นอน ว่าแต่มาอยู่นี่ได้ไง
“ผม...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“คุณอาหมอไม่ว่างน่ะมีประชุมผู้บริหารถึงสามทุ่มท่านจึงวานพาเด็กแถวนี้ไปส่งที่บ้านด้วย”
“พี่รู้จักพ่อผมด้วยเหรอ”
ผมถามเสียงโทนเดียวกับสิริ คนถูกถามขำก่อนจะตอบอย่างอารมณ์ดี
“ไม่มั้ง เรียกซะขนาดนี้”
“พี่รู้จักผมได้ยังไง”
“อ่อ วันนี้เห็นเด็กที่ไหนไม่รู้ไม่เคยรู้จักไม่เคยเจอเดินตามคุณพ่อมาต้วมเตี้ยมแล้วก็เดินตามพี่ไปห้องตรวจโน่นตรวจนี่ทั้งบ่าย จำไม่ได้เหรอน้องเป็นปลาทองเหรอเราน่ะ”
ผมกรอกตานึกตามหลังสะดุดกับคำว่าต้วมเตี้ยม นี่ว่าผมเป็นเต่าตบท้ายด้วยด่ากูเป็นปลาทอง สรุปจะให้เป็นอะไร แต่ช่างเถอะ ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น
“อ๊า! พี่คนนั้นหน้ากากกับกาวน์สั้น กลิ่นนี้ใช่ๆ ผมว่าแล้วทำไมมันคุ้นจมูกจัง”
ผมกระดิกนิ้วชี้ดิ๊กๆพลางพูดรัวเร็วตามความคิด เรียกเสียงหัวเราะให้คนข้างๆอีกครั้ง
“หูววมีจำกลิ่นได้ด้วย แสดงว่านึกออกแล้วสิ หึ”
“จมูกผมดีต่างหากล่ะ แต่นั่นคุณหรอกเหรอ...โลกกลมชะมัด” ท้ายประโยคผมพูดกับตัวเอง ทว่าคนหูดียังได้ยิน
“โลกกลมเหรอ”“เอ่อ.....”
“หืมม ว่าไง”
“ก็คุณออกจะดังในโลกโซเชียล ผม...ผมกดฟอลโลวคุณครับ”
“อย่างงี้นี่เอง เขินมั้ยเจอตัวจริงแล้ว”เขาถามพลางชะลอรถเมื่อเข้าสู่ไฟเหลืองแล้วมาเป็นไฟแดงก่อนจะหันมาจ้องตาผมอย่างจัง
เขินสิวะครับ นั่นคือคำตอบแรก
“ไม่เห็นเขินเลย ผมเป็นผู้ชายจะเขินผู้ชายด้วยกันทำไม ผมไม่ใช่เกย์นะคุณ”
“แล้วทำไมหน้าแดงจังเลย”
ผมจับแก้มซ้ายขวาพยายามมองเงาตัวเองผ่านกระจกมองข้าง
“แดงตรงไหน ผมร้อนต่างหาก”
แล้วเขาก็หัวเราะหึหึพูดประมาณ งั้นเหรอ แล้วรอให้สัณญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวอย่างใจเย็น
ผมพับเสื้อกันหนาวของเขาวางไว้บนตัก นั่งนิ่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอง คอยเมียงมองรอบกายโดยเฉพาะใบหน้าด้านข้างของสารถีบางครั้งคราว แล้วเขาก็หันมายิ้มให้ผมเป็นครั้งคราวเช่นกัน
รู้สึกเหมือนบินได้ผมข่มไม้ข่มมือข่มใจตัวเองไม่ให้ข่มขืน เอ้ยย ยกโทรศัพท์มาเซลฟี่กับเขาและแอบมองเขาให้น้อยที่สุด แม้ทุกชอตจะอยู่ในสายตาผมหมดแล้วก็เถอะ แหมมม มากระทบไหล่เซเลปทั้งทีนะครับ สุดๆไปเล้ยยยยยย
“เลิกมองพี่ได้แล้วครับ ถึงบ้านเราแล้วนะ” ดันรู้อีกแต่....
ผมเลิกคิ้วไปทางเขา ห๊ะ บ้านเรา?
“......”
“ก็บ้านของเรานั่นแหละครับ”
“บ้านของเรา อ่อ บ้านของผม”
ผมเกาท้ายทอยด้วยความอาย ดั๊นคิดไปเยอะ ความจริงก็มีเพียงหนึ่งเดียว โถ่ บักง่าวววว
“ขอบคุณนะครับ”
ก่อนปิดประตูรถผมยังไม่ลืมขอบคุณเขาด้วยความเสียดาย ภาวนาให้เขารั้งผมไว้ ผมยังอยากรู้จักเขามากกว่านี้ ถึงแม้มันจะเป็นความโลภที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายกับตีสนิทคนดังยังไงยังงั้น แต่ผมไม่สนผมอยากรู้จักเขาจริงๆ
“เอ่อ...ขับรถกลับดีดีนะครับ”สุดท้ายผมก็ทำได้เพียงกล่าวคำนี้ออกไป
หมับ!
“เดี๋ยวสิ!”
ทว่ามือหนามาดันประตูให้เปิดออกกว้างกว่าเดิม ผมหมุนตัวกลับไปมองเขาอีกครั้ง
ตึกตัก..ตึกตัก....เฮ้ยยยย ไอ่ไม้ เอ็งจะใจเต้นแรงกับผู้ชายด้วยกันไม่ด้ายยยยยยยย
ภายในใจผมคลั่งจนแทบปีนเสาไฟฟ้าแล้วโห่ร้อง แต่ภายนอกผมยังตีหน้านิ่งหรืออาจค่อนไปทางกวนตีนก็เป็นได้พลางฉีกยิ้มถาม (ไม่กล้ายิ้มกว้างเดี๋ยวปากฉีก โคตรตื่นเต้น)
“ครับ”
“มีไลน์มั้ย”
อื้อหืออออ ผมขอทำท่าไถลไปกับผืนหญ้าคล้ายตอนนักบอลทำประตูได้มะ แล้วขอชูนิ้วชี้สองข้างวิ่งไปรอบสนามสักสิบรอบ
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยแต่ในความบ้าผมยังตีหน้านิ่งเสียงสิริก็มา
“ครับ....”
“ขอหน่อยสิ”
เอาแล้วววววววววว“ครับ”ผมพยักหน้ามึนหยิบโทรศัพท์เปืดคิวอาร์โค้ดให้ก่อนจะทำการยิงและเป็นเพื่อนกันเรียบร้อย
“ถ้าพี่ทักไปตอนดึกแฟนไม่ว่าใช่ไหม”
“ไม่ว่าครับ ไม่มีแฟนผมโสดอยู่ โสดอยู่จริงๆนะ จริงๆ”ผมรู้สึกว่าตัวเองพุดรัวลิ้นพันกัน ตัวก้เกือยกระโจนเข้าไปนั่งข้างคนขับอีกรอบ อิตาพี่บ้านก็ได้แต่ขำจนตาหยีกับท่าทีของผม มันดูไม่ใช่ขำแบบสุภาพนะครับแต่มันเป็นแบบขำจริงๆอ่ะ ผมสัมผัสได้ ตอนนี้ผมก็ใจพองโตแปลกๆ
“โอเค ....แล้วพี่จะทักไปนะ”
“ครับ”
ผมดันประตูจะปิดให้แต่เขาก็ขัดขึ้นมาอีก ลุ้นสิครับ
“อ่อ ....พี่ชื่อบ้านนะ”
“ครับคุณบ้าน”
“เรียกพี่สิ”
“ครับ ...พี่บ้าน เอ่อ...ผม....ผมชื่อ”
“ไม้..นายมนณโม พี่จำได้”เขายิ้ม
ผมสูดลมหายใจ ตามวิสัยของเด็กนิติ(?)เมื่อมีสิ่งใดมากระทบตอมความอยากรู้อยากเห็น มักจะทำทุกวิถีทางเพื่อเค้นหาความจริง ด้วยหลักเหตุและความยุติธรรม แล้วตอนอาจารย์ชอบพุดเสมอหลังบรรยายว่า
ถ้าสงสัยอะไรให้ถาม งั้นผมถามนะ
“เอ่อ...ผมขอถามอะไรได้ไหมครับ”
“ว่ามาสิ”
แม่ง.....ถ้าถามไปตรงๆจะโดนเทป่าววะ
“พี่สัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธ ไม่ต่อยผมนะ”
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”
“เออน่าสัญญามาก่อน”
“ครับ สัญญา”
พี่บ้านชูสามนิ้วแบบลูกเสือสามัญ ผมเม้มปากราวสองนาทีต่อมาผมจึงเอ่ยถามด้วยความหนักแน่น ให้รู้ไปเลยว่าผมต้องการคำตอบจริงๆ
“พี่เป็นเกย์ปะ”“.......”
......
เงียบ...........ชะงักไปเลยครับ......
ไม่มีสัณญาณจากเลขหมายที่ท่านเรียก....กรุณาอย่าถามใหม่ ....อันตรายต่อชีวิต.....
ผมหลับตาพลางหดคอเมื่อพี่บ้านแกข้ามจากฝั่งคนขับมาเบาะข้างแทนดึงคอเสื้อผมให้ไปใกล้จนตัวโยน ก่อนจะรู้สึกหนักตรงช่วงไหล่ทั้งสองข้างลืมตามองก็เป็นฝ่ามือหนาของเขานี่เอง
“เฮ้ยยย พี่อย่าผิดสัญญาดิวะ”
ผมพูดถอยห่างจากเขาระวังภัยให้ตัวเองสุดๆ หากถูกขืนตัวไว้กลับต้องเบิกตากว้างยามใบหน้าคมแบบเซเลปเข้ามาใกล้ ฉากนิยายชายรักชายที่เคยเห็นผ่านตามช่องเคเบิ้ลทาบทับมามันต้องเป็นอะไรแบบนี้แน่ ผมหลับตาถดตัวออกเต็มทีพร้อมเม้มปากแน่น เฮ้ยไม่เอานะ ผมยังชอบผู้หญิง!!
“พี่ไม่ได้เป็นเกย์หรอก แต่น้องรู้จักคำว่าถูกชะตาไหมครับ”เสียงนั้นกระซิบข้างใบหูผม ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“แต่ถ้าทำตัวน่ารักก็ไม่แน่นะไอ่น้อง หึหึ”
แล้วเขาก็ผละออกไปนั่งอยู่หน้าพวงมาลัยตามเดิม ผมลอบพ่นลมหายใจแล้วมองค้อนเขาอย่างเคืองๆ
“พี่แกล้งผมเหรอ!”
“อือ หยอกเล่น...”ผมกำหมัดแน่น เลิกเลยเลิกเป็นแฟนคลับมัน! ทว่าจังหวะคิดโกรธมันอยู่นั้นไอ่คนน่าหงุดหงิดมันก็ดึงคอเสื้อผมไปพร้อมกระซิบคำที่ทำให้ผมเบิกตากว้างกว่าครั้งไหนๆ แล้วตบท้ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนสตาร์ทรถแล้วขับออกไป ปล่อยผมยืนอ้าปากพะงาบพะงาบอยู่หน้าบ้านเป็นไอ่บ้าอยู่คนเดียว
แม่งง!ติ้งหน่อง....เฮือกกก!
เสียงข้อความทำเอาผมสะดุ้ง ตบที่กางเกงสองสามทีแล้วหยิบมันออกมาเปิดดูเป็นแอพพลิเคชั่นไลน์
“เช้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
บ้าน พ่องไปทำงานแล้วยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องไม้ //อิโมติยิ้มกว้าง
ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะคิดยังไงกับผม หรือพีคกว่านั้นเขาอาจรู้จักกับผมมาก่อนแต่ไม่น่าใช่หรอก เป็นเพราะความถูกชะตาฟีลคล้ายแรกพบสบตางั้นเหรอ ผมก็ไม่รู้อีกแหละ จะยังไงก็ช่าง
ทว่า
เสียงกระซิบเมื่อกี้ยังดังก้องอยู่ในหัว....“แต่พี่คิดจริง”สวัสดีค่า เรื่องนี้แต่งขึ้นเพราะได้แรงบันดาลใจมาจากพี่หมอคนนึง แฮะๆ ^^\"
ขอบคุณนักอ่านทุกคนนะคะ เป็นกำลังใจชั้นเยี่ยมเลยค่ะ ติชมได้เยยย ขอบคุณมากนะคะ (ไม่ได้เขียนแปลกๆใช่ไหมอ่า)
ถ้าผิดพลาดยังไงขออภัยด้วยนะคะ