หลังจากนั้น เบียร์ที่มีอยู่ก็โดนจัดการเรียบโดยพวกผมทั้งสองคน นั่นยังไม่หนำใจมัน ไอ้เปรี้ยวลงไปซื้อที่มินิมาร์ทใต้ตึกมาเพิ่มอีกหกกระป๋อง มันไปอยู่ลอนดอนมา คอแข็งขึ้นเยอะเลย แต่ผมเนี่ยร่อแร่เต็มทีแล้ว
“เปรี้ยว กูพอแล้วนะ อยากนอน” ผมบอกมันพร้อมกับเลื้อยนอนลงบนพื้นหน้าโซฟา แล้วสติผมก็ปลิวไป พร้อมเสียงโวยวายของไอ้เปรี้ยวที่ลอยมา
“ไอ้เหยี่ยวอย่านอนนะ ถ้ามึงนอน กูไม่รับผิดชอบนะเว้ย”
รับผิดชงรับผิดชอบห่าไร กูง่วง
เสียงพลิกตัวไปมาของอะไรสักอย่างข้างหลังผม ที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นไอ้เปรี้ยว ทำให้ผมปรือตาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพลิกตัวตะแคงไปทางมัน จึงเห็นแผ่นหลังกว้างอยู่ข้างหน้า ผมนอนอยู่บนเตียงมีผ้าห่มเรียบร้อย สงสัยไอ้เปรี้ยวมันลากผมมานอนด้วย
ดีที่มันไม่ทิ้งให้ผมนอนอยู่บนพื้นเย็นๆ ไม่งั้นคงปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้ว
ผมหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับเสียงพลิกตัวของคนตรงหน้าอีกรอบ ผมกำลังจะลืมตาขึ้นถามมันว่านอนไม่หลับหรือไง แต่ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อได้ยินเสียงมันพูด
“กูไม่ทนแล้วโว้ย”
แล้วตามมาด้วยสัมผัสที่ทำผมอึ้งจนได้แต่นอนนิ่ง
มันเป็นความรู้สึกที่ผมอธิบายไม่ถูก อยากจะผลักไสมันให้ออกไปจากตัวผม แต่ผมไม่ก็ทำ กลับปล่อยให้มันบดเบียนริมฝีปากของผมอย่างหิวกระหายอยู่อย่างนั้น สองมือมันกุมหน้าของผมไว้ มันพยายามเปิดปากผม ด้วยลิ้นของมัน ไอ้ผมมันก็ไม่เคยได้จูบแบบกระชากวิญญาณนี้จากใคร เลยทำได้แค่เพียงปล่อยให้ไอ้เปรี้ยวดูดกลืนทั้งปากของผมอย่างเมามันอยู่อย่างนั้น
กูจะตายอยู่แล้วไอ้เพื่อนเวร หยุดสักทีเถ๊อะ
เหมือนมันจะรู้ใจผม มันหยุดทุกการซอกซอนริมฝีปากผม แล้วผมก็ได้ยินเสียงมันลุกออกจากห้องไป
ผมลืมตาโพลง ใจเต้นตูมตาม ดีที่ผมยังไม่ตายไปกับจูบร้อนแรงของมัน
ไอ้เพื่อนบ้า มึงเล่นกูซะหมดแรงเลย
แล้วผมก็นอนไม่หลับอีกเลย พร้อมกับไอ้เปรี้ยวที่หายหัวจากห้องไปเลยเช่นกัน...
เปรี้ยวมันหายหัวไปเป็นอาทิตย์เลยครับ ห้องก็ไม่กลับ ติดต่อไม่ได้เลย ผมคิดจะแจ้งคนหายแล้ว แต่โทรไปหาแม่มัน น้าหวานเลยบอกว่ามันไปเที่ยวต่างจังหวัด เดี๋ยวก็กลับ
ปกติมันมีอะไรก็บอกผมตลอด ไม่เคยขาดการติดต่อแบบครั้งนี้เลย จนผมรู้สึกแปลกๆ มันดูเหมือนว่าชีวิตขาดอะไรไปสักอย่าง
ไม่สิ
ไม่ใช่แค่ขาดสักอย่างหรอก แต่ก่อนก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนี้
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงได้คิดถึงมากขนาดนี้นะ
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปช้ากว่าที่ผมเคยรู้สึก แต่ผมว่ามันยังดีกว่าตอนที่ผมเป็นตอนนี้ซะอีก ผมไม่รู้ว่ามันแปลกไหมนะกับการที่เราคิดถึงใครสักคนมากกว่าที่เคยเป็น แล้วจู่ๆเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเราแล้ว แต่ทำไมเรากลับยินดีได้ไม่เต็มที่ให้สมกับความคิดถึงเลยล่ะ
ผมรู้สึกหน่วงในอก ทำไมถึงได้รู้สึกเจ็บแบบนี้นะ
“อ้าวเหยี่ยว มึงมาทำอะไรที่นี่วะ” เสียงทักที่คุ้นเคย แต่ผมทำได้แค่มองมือที่มันจับกุมใครอีกคนไว้ โดยที่มันยังประคองไหล่ของเขาไว้อย่างอ่อนโยน
น้ำผึ้ง ทำไมถึงได้มาอยู่กับมันที่นี่ได้
แต่ก็นั่นแหล่ะ ห้างออกจะกว้าง ผมยังเจอกับไอ้เปรี้ยวได้เลย แล้วทำไมพวกเขาจะเจอกันไม่ได้ล่ะ นั่นทำให้ผมคิดว่าช่วงเวลาที่มันหายไป มันคงไปทำความรู้จักกับน้ำผึ้ง
ซึ่งไม่ว่ามันจะไปเจอเขาได้อย่างไร ก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ ในเมื่อวันนั้น มันบอกผมเองว่า เนื้อคู่ของมัน จะเจอก็ต้องมีเพื่อนสนิทช่วย ซึ่งวันนั้นพวกเขาก็เจอกัน จึงมีวันนี้ที่พวกเขาได้ยืนเคียงข้างกัน
มันอาจจะจริงที่หมอดูโคตรแม่นตามที่ไอ้เปรี้ยวเชื่อหรือมันอาจจะเป็นเพราะพรหมลิขิตก็ตาม ผมควรจะดีใจนะ ผมควรจะรู้สึกแบบนั้น
ผมย้ำกับตัวเองซ้ำๆ แต่แม่งก็ไม่สามารถสัมผัสถึงความยินดีเลยว่ะ
ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่เดินย้อนกลับมาทางเดิม กลับบ้านแม้เพิ่งจะก้าวเข้าไปที่นั่นได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ตาม
“สวัสดีครับพี่ม้ง ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้ติดต่อไปเลย ถ้าพี่ไม่โทรมาเนี่ยผมคงลืมไปเลย” ผมยกมือไหว้ผู้ชายตัวอ้วนที่นั่งอยู่โต๊ะมุมสุดของร้านติ่มซำชื่อดัง ผมนั่งลงตรงข้าม โดยมีพี่ม้งยิ้มขำๆกับท่าทางทุกข์ร้อนของผม
“คิดมากน่าเหยี่ยว พอดีพี่ยุ่งเรื่องงานแต่งอยู่ ก็เลยเพิ่งได้ติดต่อไปเหมือนกัน” พี่ม้งบอกแบบอารมณ์ดี
“พี่ม้งจะแต่งงานแล้วเหรอครับ” ผมตาโต มองพี่ม้งอย่างยินดี
พี่ม้งโบกมือปฏิเสธ
“ไม่ใช่พี่หรอก เจ้าน้ำผึ้งน่ะ”
ชื่อนั้นทำให้ผมพูดไม่ออก ผมไม่ต้องเดาอะไรต่อก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่าแต่งกับใคร เพราะภาพต่อมาก็คือ ชายหญิงคู่หนึ่งเดินเคียงกันมาที่โต๊ะผม
“สวัสดีค่ะคุณเหยี่ยว”หญิงสาวทักทายด้วยน้ำเสียงหวานๆปานชื่อของเธอเอง
ส่วนไอ้ผู้ชายที่มาด้วยมันไม่ได้ทักอะไรผมเลย แต่มันมานั่งข้างผม ส่วนน้ำผึ้งนั่งข้างพี่ม้ง ผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ฟังพี่น้องคุยกัน ตอบบ้างเวลาพวกเขาชวนคุย
อาหารมื้อนี้มีแต่ของอร่อย แต่ทำไมผมกลืนไม่ค่อยลงเลยนะ
“เชิญคุณเหยี่ยวด้วยนะคะ” น้ำผึ้งยื่นซองสีชมพูหวานแหววให้ผมก่อนจะแยกกันกลับพร้อมพี่ม้ง
ขึ้นรถได้ผมก็โยนซองลงบนที่นั่งข้างตัว เหมือนน้ำตาจะไหลนะ
แต่มันไม่เหมือนหรอก ผมร้องไห้โหยหวนอยู่ในรถเก๋งคันเก่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม่ง! ไอ้เพื่อนเวร มึงมันเลวจริงๆ
ผมเช็ดริมฝีปากตัวเองแรงๆ เพื่อลบสัมผัสบ้าๆที่เพื่อนเห้ๆอย่างไอ้เปรี้ยวทิ้งไว้ มันทำแบบนั้นทำไมวะ เมาแค่ไหนก็ตาม มันก็ไม่ควรจูบผมหรือเปล่าวะ ทำไมต้องมาทำให้ผมหวั่นไหวเพราะสัมผัสของมันด้วย
เหมือนมันมากระตุ้นความรู้สึกที่ผมเก็บไว้นาน ทั้งกระทุ้ง กะเทาะจนมันแตกออกมาแทบจะหมดอยู่แล้ว ความเป็นเพื่อนตลอดยี่สิบห้าปีจะต้องมาจบลงเพราะการกระทำไร้ซึ่งเหตุผลของมัน และความหวั่นไหวของผมเองน่ะเหรอ
บ้า! บ้าชิบเลย!!!
รู้ตัวอีกทีผมก็มานั่งดื่มอยู่ร้านเหล้าที่อยู่ห่างจากคอนโดไม่มาก ทั้งที่คิดว่าดื่มน้อยกว่าทุกครั้ง แต่ทำไมผมเมาง่ายจังวะ หัวจะทิ่มโต๊ะอยู่แล้วถ้าไม่มีมือใครบางคนมาจับไหล่ผมไว้
“เหยี่ยว กูหามึงตั้งนาน ทำไมมานั่งเมาอยู่คนเดียววะ อยากมากิน ทำไมไม่ชวนกู รู้ไหมว่ากูเป็นห่วง แล้วเจอกันแม่งก็ไม่คุยกับกู มึงเป็นไรมากป่ะ มึงมีอะไรก็บอกกูดิ กูจะ..”
“มึงเงียบก่อนได้ป่ะ ถามเป็นชุดแบบนี้ กูจะตอบทันไหม” ผมเบรกมันไว้ก่อนที่สารพัดคำถามจะพุ่งมาหาผมที่กรึ่มๆอยู่ยิ่งให้เมาไปกันใหญ่
มันหุบปากฉับ นั่งลงตรงเคาน์เตอร์ข้างๆผม โดยไม่ได้สั่งอะไร แต่มันจะต้องจ้องหน้าผมเขม็งแบบนั้นไหมวะ
“มองไร หน้ากูมีอะไรติดหรือไง”
มันไม่ตอบได้แต่มองอยู่แบบนั้น
“เฮ้ยเหยี่ยวไม่เจอกันซะนาน หายไปเลยนะมึง เป็นไงบ้างวะสุขสบายดีนะมึง สมบูรณ์เชียว” ผมหันไปมองไอ้คนที่พล่ามยาวๆ โดยที่มือมันยังแตะไหล่อย่างสนิทสนมก่อนจะจำหน้ามันได้
“ไอ้ภพ ไอ้เพื่อนร้ากกก มึงก็หายหน้าไปเลยนะ งานวันเกิดกูก็ไม่มา”ผมลุกขึ้นตบไหล่มันแล้วมองมันอย่างคาดโทษ ตัวโงนเงนจนไอ้เปรี้ยวลุกมาประคองไว้ ผมขืนตัวออกเพราะรู้สึกแปลกๆ
“ปล่อยกู กูยืนเองได้”ผมพูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แต่มันก็ไม่สนใจ เปลี่ยนเป็นกอดผมแทนซะงั้น
“เหี้ยเปรี้ยวปล่อยกู คนมองกันเต็มแล้ว” คนมองกันแทบทั้งร้านอ่ะ ส่งเสียงแซวอย่างสนุกสนาน ไอ้ภพยกมือปิดปาก มองผมกับไอ้เปรี้ยวด้วยสายตาล้อเลียน
“กูไม่เจอมึงนาน ไม่คิดว่ามึงจะมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว” ไอ้ภพ ไอ้เพื่อนปากหมา!
“ผัวเผอที่ไหน มันเพื่อนกูโว้ย เพื่อนโว้ยเพื่อน”
“ผัวอะไร เหยี่ยวมันเคยมีผัวด้วยเหรอ” ไอ้ห่าเปรี้ยวก็จริงจังไปได้ มึงเชื่อมันได้ออกลูกเป็นควายแน่
“คุณก็ถามมันดูสิครับ ใช่ไหมครับคุณเหยี่ยว ฮ่าๆๆ” ไอ้ภพ กูไม่น่ามาเจอมึงเลย มึงพูดอะไรของมึ้งงง
ผมไม่รู้ว่าไอ้เปรี้ยวทำหน้ายังไง แต่แรงกอดรัดที่เอวเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ในขณะที่สีหน้าไอ้ภพในแสงสลัวๆ นั้นเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด มันกลืนน้ำลายก่อนบอกผมด้วยประโยคน่าถีบแล้ววิ่งจากไปท่ามกลางผู้คนทั้งหลายที่กินและเต้นกันอย่างเมามัน
“เคลียร์กันดีๆนะมึง ไม่คางเหลืองก็ฟ้าเหลืองอ่ะ”
ความจริงไม่เฉียดใกล้กับคำเตือนของไอ้ภพมันเลยด้วยซ้ำ ไอ้เปรี้ยวได้แต่ทำหน้านิ่งๆ ขับรถเลยคอนโดผมมาสักพักแล้ว จะโวยวายก็ไม่กล้า กลัวมันหักคอเอา มันพาผมมาคอนโดของมันทำไมวะ ผมไม่อยากอยู่กับมันสองต่อสองนะ กลัวเกิดเหตุการณ์แบบวันนั้นอีก แต่อีกใจก็อยากเคลียร์กับมันให้รู้เรื่องไปเลยเหมือนกัน
ผมเดินตามมันเข้าห้องมาอย่างเชื่องๆ แม้จะเวียนหัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเท่าตอนที่อยู่ร้านเหล้าแล้ว
“ไปอาบน้ำ มีเรื่องจะคุยด้วย”มันบอกพร้อมปลดกระดุมเสื้อตัวเองอย่างไม่เร่งรีบ
“มีไรก็คุยมาเลย เดี๋ยวกูกลับไปนอนคอนโดกู”
“ให้ทำอะไรก็ทำ อย่าขัด” ทำไมหน้ามันดุจังวะ กูเพื่อนมึงนะเว้ย
“เออ” ผมคว้าผ้าขนหนูแล้วเข้าไปอาบน้ำอย่างไม่พอใจเล็กน้อยที่มันกล้าออกคำสั่งกับผมทั้งที่มันไม่เคยทำ
อาบน้ำเสร็จ รู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลย ผมมองไอ้เปรี้ยวที่นั่งอยู่ปลายเตียงแบบวันนั้น ก่อนจะเลือกเดินไปนั่งเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งแทน
“มึงมีไรก็ว่ามา กูง่วงแล้ว” ผมมองนาฬิกาที่เข็มสั้นและเข็มยาวชี้เลขสิบสองพร้อมกัน แล้วได้แต่ถอนหายใจ พรุ่งนี้วันศุกร์ด้วย จะไปทำงานสายไหมวะ
“มึงมานั่งตรงนี้มา” มันตบที่ข้างๆตัว แววตายังดูนิ่งเฉยอยู่ แต่น้ำเสียงดีขึ้นเล็กน้อยแล้ว
ผมเดินไปนั่งข้างๆมันปุ๊บ มันทิ้งหัวลงบนไหล่ผมปั๊บ งงสิครับ มันไม่ค่อยทำแบบนี้ซะด้วยสิ นอกจากตอนที่มันเครียดมากๆเท่านั้น
นั่นทำให้ผมยกมือลูบไปบนผมนุ่มของมันเบาๆ แล้วถาม
“มึงเป็นอะไรวะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
มันพยักหน้า แล้วเลื่อนแขนมากอดเอวผมไม่แน่นมาก แต่มันดูสั่นไหวจนผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก
“เหยี่ยว กูเหมือนจะขาดใจตายเลยว่ะ” มันบอกด้วยเสียงแผ่ว ผมรอมันพูดต่อ มือของมันถูกผมกุมไว้และบีบอย่างให้กำลังใจ
“กูไม่รู้จะทำยังไงแล้ว กูกลัว..กลัวแม่งทุกอย่าง”
“มึงกลัวอะไร บอกกูได้ไหม” ผมถามมองมันด้วยรอยยิ้มที่ความหวังดี
เปรี้ยวสบตาผมก่อนตอบ
“กูกลัวมึง...ไม่รักกู แฮร่!” มันแฮร่ใส่หน้าผมเต็มๆเลย ไอ้เพื่อนเวร มาดราม่าใส่กันแล้วมาเล่นแบบนี้นะมึง เดี๋ยวมึงเจอกู
“เหรอครับ เปรี้ยวกลัวเหยี่ยวไม่รักเหรอ มามะให้เหยี่ยวโอ๋นะ” ผมคว้าไอ้เปรี้ยวที่ทำท่าจะหนีไว้ กอดแล้วขยี้ผมมันแรงๆอย่างหมั่นไส้
“อ..ไอ้เปรี้ยวอย่าจี้กู๊ววว”มันใช้นิ้วจี้เอวผม จนผมต้องปล่อยมันเป็นอิสระ หลังจากนั้นก็เกิดเหตุให้ผมต้องหงายหลังนอนลงเตียง เพราะไอ้เปรี้ยวแม่งโถมคล่อมผมไว้ทั้งตัวด้วยท่าทางโคตรล่อแหลม
“เหยี่ยว...กูเป็นเพื่อนกับมึงต่อไปไม่ได้อีกแล้วว่ะ” มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด ผมอ้าปากพะงาบ รู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
“ร..เรื่องวันนั้นเหรอ ที่ทำให้มึงเป็นเพื่อนกับกูไม่ได้ มึงเป็นคนเริ่มก่อนไม่ใช่หรือไง มึงจูบกูเองนะ กูหลับอยู่มึงยังแอบจูบกูเลย มึงจะมาตัดเพื่อนกันเพราะ..อื้อ!” ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ผมพูดจบก่อนวะ คนมันอัดอั้นนะเว้ย!
เปรี้ยวประกบริมฝีปากของมันลงบนปากของผม แล้วบดเบียดจนปากของผมบู้บี้ไปตามแรงของมัน จูบที่แทบหาความอ่อนโยนไม่เจอ แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่วงหา ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของได้จากรสจูบนี้
ผมหลับตาลง เมื่อจูบเริ่มเปลี่ยนเป็นรสหวาน เปรี้ยวไม่ได้จูบตะกุมตะกามแล้ว มันค่อยๆละเลียดชิมริมฝีปากของผมอย่างเชื่องช้า ก่อนจะแทรกลิ้นเข้ามาควานหาความหวานจากผมที่ยินยอมอย่างง่ายๆ
ผมตอบรับจูบของมันอย่างเต็มใจตอนไหนไม่อาจรู้ได้ รู้สึกตัวอีกทีกางเกงนอนของผมกำลังถูกรั้งลง จนผมคว้าไว้แทบไม่ทัน
“เปรี้ยว หยุดก่อน ไอ้เปรี้ยวหยู้ดดด” มันหยุดมือแต่โดยดี ฟุบหน้าลงบนไหล่ผมอย่างอ่อนแรง ลมหายใจที่ไม่มั่นคงของเราทั้งสองดังประสานกันในห้องกลบเสียงแอร์ซะแทบไม่ได้ยิน
“กูบอกมึงแล้วว่าเป็นเพื่อนกันไม่ได้” มันบอกอย่างหอบๆ
ผมอึ้งกับคำพูดที่เหมือนโดนมันตบหน้า นอนไร้เรี่ยวแรงกว่าตอนที่มันจู่โจมผมซะอีก
“โอเค กูเข้าใจแล้วว่ามึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับกู แต่ยังไงกูก็คิดว่ามึงเป็นเพื่อนอยู่ดี..ลุกดิ กูจะกลับบ้านแล้ว” ผมดันอกมันให้ออกห่างจากตัว มันยอมลุกออกจากผมแต่โดยดี
ผมลุกขึ้นกะว่าจะไปร้องไห้ให้ไกลๆมัน แต่ไอ้เปรี้ยวมันคว้ามือผมไว้พร้อมกับดึงเข้าไปกอดไว้ซะแน่นเลย น้ำตาที่กลั้นไว้ก็จะแตกอยู่แล้ว ห่าเอ้ย ปล่อยกู๊ววว
“มึงฟังไม่เข้าใจหรือไง ว่ากูเป็นเพื่อนกับมึงไม่ได้อีกแล้ว พูดไม่รู้จักฟังเลยนะมึงน่ะ ใครเขาอยากเป็นเพื่อนกับมึงกัน”
ผมหดคอหนีเมื่อรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แนบลงบนหลังคอ มันจูบคอของผม ไอ้เพื่อนเวร มันจะเอายังไงกันแน่วะ
“ถ้ามึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับกูขนาดนี้ เลิกคบกันก็ได้! แล้วมึงก็หยุดทำแบบนี้สักทีได้ไหมวะ!” ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ในเมื่อมันอยากเลิกคบ ผมก็จะยอม เพราะผมคงทนไม่ได้อีกแล้วที่จะปล่อยให้มันมาเล่นกับความรู้สึกของผมอย่างนี้
“มึงพูดเองนะว่าจะเลิกเป็นเพื่อนกับกู”
แม้จะงงและตั้งรับไม่ค่อยไหวผมก็ต้องตอบออกไปเพื่อยุติทุกอย่างตามที่มันต้องการให้เป็นแบบนั้น
“เออ!”
“โอเค มึงพูดรู้เรื่องสักที” มันตอบก่อนจะจับผมหันไปหามัน รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าคมเข้มอย่างชายไทยนั้นสว่างไสว จนผมอดคิดไม่ได้ว่าการที่มันจะเลิกเป็นเพื่อนกับผม ทำไมมันถึงได้ดีใจขนาดนี้วะ
“มึงจำไว้ว่าต่อไปนี้มึงกับกูไม่ใช่เพื่อนกัน แต่...” มันลากเสียงยาว นิ้วเรียวยาวของมันค่อยๆเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของผม แววตามันหวานเชื่อมจนผมทนมองไม่ไหวจึงต้องหลบตาไป
“จำไว้ว่าต่อจากนี้และตลอดไปว่า...มึง” มันหยุดพูดพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“เป็น-เมีย-กู”
“หา!!!” ผมอ้าปากค้าง ตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า
“ไม่หาแล้ว เจอแล้ว พอแล้ว เข้าใจไหม” พูดพร้อมกับก้มหน้ามาหอมแก้มผมหนักๆทีนึง
ผมได้แต่เอ๋อ ปรับอารมณ์ตามมันไม่ทัน ไอ้เปรี้ยวมันเลยรุกหนัก หอมแก้มหอมคอไม่หยุดจนผมต้องดันหน้ามันออกอย่างแรง
“เดี๋ยวๆ มึงพูดเรื่องอะไรของมึงวะ กูงงไปหมดแล้ว ไหนมึงบอกจะเลิกคบกู แล้ว กูไปเป็นเมียมึงตอนไหน มันอะไรกันแน่วะ ล..แล้ว มึงจะแต่งงานกับน้ำผึ้งไม่ใช่เหรอ”
มันถอนหายใจ ยกมือกุมหน้าของผมไว้ แล้วบอก
“เหยี่ยวฟังกูนะ กูกับน้ำผึ้งเพิ่งไปเจอกันที่ห้างวันเดียวกับวันที่เจอมึงนั่นแหล่ะ เขาเดินหลบรถเข็นแล้วมาชนกูจนล้ม กูเลยต้องช่วยเขา และอีกอย่างนะ เขามีแฟนอยู่แล้ว ถ้าไม่รู้ ก็รู้ไว้ซะด้วย”
ผมก็ไม่ได้ดูชื่อบ่าวสาวในบัตรเชิญซะด้วยสิ พูดไม่ออกเลยครับ แต่มันโล่งใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ก..กู มึนหัวว่ะ กลับบ้านก่อนนะ” ผมทำเฉไฉ จะเดินหลบมัน แต่ไอ้เปรี้ยวดันขวางหน้าไว้ ดึงผมเข้าไปกอดทั้งตัว
“กูไม่อยากปล่อยให้มันค้างคาแล้วว่ะ เรื่องหมอดู กูก็แค่กุขึ้นมาเอง ความจริงแล้ว วันนั้นกูอยากพามึงไปทำอะไรสักอย่างที่น่าจดจำ ก่อนที่กูจะขอมึงเป็นเมียแค่นั้นเอง”
“หา!!” น่าจดจำชิบหายเลยไอ้ฟายยย
“กูอยากได้มึงเป็นเมียมานานแล้ว แต่แค่ยังไม่มีโอกาส”
“หา!!”
“กูรับรองว่าเป็นเมียเสี่ยเปรี้ยวจะไม่มีคำว่าลำบากแน่นอน”
“ม..มึง บ้ารึเปล่าไอ้เปรี้ยว กูเพื่อนมึงนะ” ผมละล่ำละลักพูดอย่างตกใจในคำพูดของมัน
“จุ๊ๆ ที่รักครับ เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วนะ เหยี่ยวเป็นเมียเปรี้ยวตั้งแต่ตอนจูบกันครั้งแรกแล้วนะครับ” อย่าๆ มึงอย่ามาทำสายตากรุ้มกริ่มใส่กูแบบนี้ เดี๋ยวกูหวั่นไหว
“กูไม่รู้อะไรทั้งนั้น จู่ๆมึงมากล่าวหาว่ากูเป็นเมีย มึงแกล้งกูอยู่ใช่ป่ะ ไอ้ห่านี่ บอกกูมาเลยนะ”
“กู-รัก-มึง แค่นี้พอไหมที่มึงจะมาเป็นเมียของกู”
คำว่ารักกระแทกเข้าใจอย่างจัง หน้าของผมเห่อร้อนวาบๆ พูดตะกุกตะกักติดอ่าง
“ก..กู..ไม่รู้แล้วเว้ย ป..ปล่อยกู๊ววว”
ไอ้เปรี้ยวมันต้องหูตึงแน่ๆ มันไม่ฟังที่ผมพูดเลย กลับลากผมไปที่เตียง แล้วขึ้นคล่อมผมไว้ด้วยท่าทางคุกคาม มือสองข้างของผมถูกมันตรึงไว้เหนือศีรษะ ผมพยามยามดิ้น แต่ไอ้เวรนี่แรงเยอะชะมัด
“เหยี่ยวรู้ไหม ว่าเปรี้ยวรักเหยี่ยวมานานแค่ไหนแล้ว”
พอเปรี้ยวเกริ่นด้วยประโยคนี้ ทำให้ผมหยุดดิ้นเพื่อฟังมันพูดต่อด้วยหัวใจที่เต้นโครมคราม
“ตอนมอห้าเปรี้ยวอยากกินมะพร้าวน้ำหอมที่หลังบ้านของเหยี่ยวมาก พอเปรี้ยวบอกเหยี่ยวว่าอยากกิน เหยี่ยวก็ปีนขึ้นไปเก็บให้ นั่นเป็นความประทับใจแรก ที่ทำให้เปรี้ยวตกหลุมรักเหยี่ยวจนถอนตัวไม่ได้เลย”
โอ้โห น่าประทับใจมากกก มันรักผมเพราะเรื่องนั้นน่ะนะ
“คิก จริงเหรอ ฮ่าๆๆๆ” ผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เปรี้ยวมันหน้าบึ้งเลยครับ
“กูรักมึงจากตอนนั้นจริงๆ ยิ่งหลังจากนั้นที่กูเฝ้ามองมึงในฐานะเพื่อนที่แอบรักมึง กูก็ยิ่งรักมึงมากขึ้นจนอยากได้มึงมาเป็นเมีย มันไม่ค่อยยุติธรรมกับมึงที่กูคอยแต่จ้องจะจับมึงทำเมีย กูเลยต้องไปให้ห่างมึงที่สุด แต่ตอนนี้กูไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้ว กูรักมึงจนไม่อยากปล่อยมึงไปอีกแล้ว”
“มึงจะให้กูเป็นเมีย โดยที่มึงจะไม่สนใจว่ากูจะรักมึงหรือเปล่าเลยน่ะเหรอ”
มันนิ่งคิด ก่อนตอบอย่างลังเล
“ความจริง กูก็ปวดใจที่แอบรักมึงอยู่ข้างเดียวนะ แต่ถ้ามึงไม่เคยคิดแบบเดียวกันกับกูเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วต้องมาเจ็บปวดเพราะความดื้อดึงดันของกู กู..ก็คงต้องปล่อยมึงไป”
ตามันคลอด้วยน้ำใสๆ จนผมอดสงสารไม่ได้
“แล้วถ้ากูยอม ป..เป็นเมียมึงล่ะ แต่ว่ากูไม่ได้รักมึง..มึงจะทนได้เหรอ”
ตกใจกับคำถามของตัวเองเหมือนกัน แต่กล้าหาญเยี่ยงชายชาตรีอย่างผม ทำไมถึงจะต้องยอมเป็นเมียของมันด้วยวะ ฮือๆ
ไอ้เปรี้ยวจากที่มันน้ำตาคลออยู่ เปลี่ยนสีหน้าทันควัน ทำไมรู้สึกว่าชะตาตูดจะขาดแปลกๆเลยวะ
“จะรักหรือไม่รัก มันอยู่ที่การกระทำว่ะ กูเชื่ออย่างนั้น”
“หา!”
จากนั้นภาพใบหน้าของไอ้เปรี้ยวที่ห่างกันสักคืบได้ก็โน้มลงมาติดกับใบหน้าผม โดยมีริมฝีปากของเราทั้งสองคนเชื่อมกันอยู่ ฝ่ามือร้อนของเปรี้ยวลูบไล้ไปทั่วผิวกายของผมอย่างมีอารมณ์ ผมที่ไม่ค่อยเจอเหตุการณ์ระทึกขวัญแบบนี้ ได้แต่ปล่อยตัวอ่อนระทวย ใต้ร่างกำยำของไอ้เปรี้ยวอย่างไม่ขัดขืน เมื่อเจอจูบที่รีดวิญญาณของไอ้เปรี้ยว
มันรุกไล่ต้อนผมต้องจนมุม รู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าหลุดออกจากตัวหมดแล้ว ไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกงชั้นใน
ไอ้เพื่อนเวรที่อยากเลื่อนสถานะเป็นผัว มันกะจะไม่ปล่อยให้ผมได้สติเลย เอาแต่จ้องหน้ายิ้มๆแล้วหัวเราะหึๆอย่างโรคจิต แล้วผมก็รู้สึกว่าก้นสัมผัสอะไรเย็นๆสักอย่าง พร้อมมีอะไรทิ่มเข้ามาในตัวผมแบบไม่ตั้งตัว
“เปรี้ยว เจ็บ กูเจ็บ” ผมน้ำตาเล็ด ร้องบอกไอ้เพื่อนเวรที่ตั้งหน้าตั้งตาแหกขาของผมออกซะกว้าง มันก้มหน้า ทิ่มนิ้วเข้ามาในก้นของผมอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ทนหน่อยนะที่รัก อีกนิดเดียวก็พร้อมแล้ว” เสียงมันแหบพร่า เซ็กซี่สุดๆ
“พร้อมอะไร กูยังไม่พร้อม” ผมตะโกนบอก มือจิกที่นอนแน่น เมื่อรู้สึกเสียววาบเมื่อเปรี้ยวหมุนควงไปโดนจุดสัมผัสเข้า
“พร้อมเถอะนะ เมียจ๋า ผัวจะอดทนไม่ไหวแล้วนะ”
ความจุกและเจ็บต่อมามันมหาศาลมาก รู้สึกเหมือนตัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆซะให้ได้ เมื่อไอ้เปรี้ยวดันน้องชายของมันเข้ามาในตัวผม ของมันใหญ่แค่ไหน ผมรู้สึกได้ ผมกลั้นน้ำตาด้วยความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต
เวรเอ้ย! มันไม่ให้เวลาผมทำใจเลย
เปรี้ยวจูบซับน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน ผมเลยดึงมันมาจูบเพื่อกลั้นเสียงครางด้วยความเจ็บปวดของตัวเอง และเพื่อทำให้ตัวเองมีอารมณ์ร่วมกับมันให้มากที่สุด
ไม่นานเราสองคนก็สอดประสานร่างเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เปรี้ยวปรนเปรอผมด้วยความร้อนแรงที่ทั้งมีความนุ่มนวลและหอมหวานให้อยู่ในบทรักของเราอย่างลงตัว
แม้ตอนแรกเจ็บแทบตาย แต่มันเทียบไม่ได้กับตอนนี้ที่มันทั้งมีความสุข จนผมไม่อยากให้สิ่งเหล่านี้หยุดลงเลย รวมทั้งความหื่นบังตาไอ้เปรี้ยว ผมเลยโดนจัดหนักซะเกือบเช้า ตื่นขึ้นมาก็เห็นไอ้เปรี้ยวแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอกแล้ว
ผมขยับตัวมากไม่ได้ มันปวดระบมไปหมดเลย หันไปมองนาฬิกา มันบ่ายสองกว่าแล้ว
ตายห่า ผมยังไม่ได้โทรไปลางานเลย โดนหักเบี้ยขยันแน่งวดนี้ ฮือ
“อ้าวตื่นแล้วเหรอจ๊ะ เมียจ๋า” เมื่อเปรี้ยวหันมาเห็นผมว่าตื่นแล้ว มันก็รีบเดินมานั่งข้างเตียงแล้วกุมมือผมไว้อย่างเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างเมียจ๋า ลุกขึ้นไหวไหม” มันจะประคองให้ผมลุกขึ้น แต่ผมส่ายหัวปฏิเสธ มันเลยก้มลงหอมหน้าผากผมแทน
“ตัวรุมๆนะ เดี๋ยวผัวจ๋า ออกไปซื้อข้าวต้มมาให้กินนะครับ”
“อือ” ผมตอบได้แค่นั้นทำท่าจะหลับตาต่อ พยายามไม่สนใจคำที่มันเรียกแทนตัวเองกับผมที่โคตรน่าขนลุกนั่น แต่ต้องกระเด้งตัวลุกนั่งแทบทันที เมื่อไอ้เปรี้ยวมันพูดประโยคต่อมาที่ทำผมลืมเจ็บไปชั่วขณะ แล้วอยากกระโดดถีบมันให้หน้าหงายจริงๆ
“เมื่อเช้ามีคนโทรหาเมียจ๋าด้วยแหล่ะ ถามว่าทำไมเมียจ๋าไม่ไปทำงานสักที” ผมหูผึ่ง รีบถามมันต่อด้วยน้ำเสียงแหบๆ
“มึงบอกเขาว่าไง”
ไอ้เปรี้ยวยิ้ม ขยิบตาใส่ ดูน่าขนลุกชะมัด ทำไมผมรูสึกตงิดในรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจของมันเลยวะ
“อ๋ออออ...ผัวจ๋าบอกว่าเมียจ๋าคงยังไปทำงานไม่ได้ เพราะ..พวกเราเพิ่งเข้าหอกันคืนแรกที่มันก็หนักหน่วงพอดู ผัวจ๋าเลยบอกลางานให้เมียจ๋าเรียบร้อยแล้วนะ”
“หา!! มึงว่าไงนะไอ้เปรี้ยว” ผมตะโกนพูดเท่าที่พลังเสียงของผมจะทำได้ หัวคิ้วข้างขวากระตุกยิกๆ ไอ้บ้า มึงพูดอะไรของมึ้งงง
เปรี้ยวหน้าเหวอในท่าทางที่ตกใจของผม แต่แล้วมันก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“แล้วอีกอย่างนะ..เขาโทรมาตอนที่เรากำลัง...” มันทำยกมือทำนิ้วชี้ชนกัน พร้อมด้วยใบหน้าเขินๆ”ตอนที่เราจะเสร็จรอบสุดท้ายน่ะจ่ะเมียจ๋า ”
“หา!”
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะที่ล่องลอยมาจากปากไอ้เปรี้ยว ผ่านหูผมไปอย่างบางเบา ก่อนมันจะหายออกจากห้องไป พร้อมกับสติของผมที่คืนกลับมาว่าถ้าเลือกได้ ผมอยากได้เห้อย่างมันมาเป็นผัวจริงๆเหรอ?
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มันคงเป็นกรรมของผมเองที่เป็นคนอยู่ดีๆ ดันไปหลงรักเห้อย่างมัน คงได้แต่ทำใจล่ะครับ ฮือๆๆ
FIN
สวัสดีค่ะ หายไปนานมากกก ขอฝากตัวอีกครั้งนะคะ กับการกลับมาอย่างไม่เป็นทางการ เรื่องนี้คนเขียนแต่งค้างไว้นานตั้งแต่ปีที่แล้ว เพิ่งได้มีโอกาสกลับมาแต่งอีกครั้ง ฝากด้วยนะคะ
