วันนี้วันศุกร์
[ ซื้อหนึ่ง ]…วันนี้เป็นวันศุกร์
…แค่คิดก็ไม่อยากจะขยับตัวออกไปไหน
“เฮ้อออ” ผมถอนหายใจออกมารอบแล้วรอบเล่าเมื่อมองท้องถนนที่เต็มไปด้วยไฟท้ายรถและหยาดฝนตรงหน้า เปิดเนวิเกเตอร์เพื่อสำรวจทางเลี่ยงที่จะสามารถพาผมกลับบ้านได้ไวขึ้นสักห้านาทีก็ยังดี
…แต่ทุกเส้นถนนกลับเป็นสีแดง
…สีที่หมายถึงการจราจรที่แน่นขนัด
“ค่อยกลับก็ได้วะ” ผมตัดสินใจก่อนจะบอกกับตัวเองเสร็จสรรพแล้วเลี้ยวเข้าซอยก่อนถึงแยกไฟแดงใหญ่ที่ติดยาวมาจนเกือบถึงเส้นนี้ มองทางฝั่งขวาไปเรื่อยๆ ก็เจอสิ่งที่ต้องการ
“ที่จอดรถเต็มไหมครับ?” ผมถามพนักงานพลางรับบัตรจอดรถมาทางช่องหน้าต่างที่เปิดแย้มไว้นิดๆ เพราะกลัวฝนเข้า เธอยิ้มให้อย่างติดจะเกรงใจเล็กน้อย
“เกือบๆ แล้วล่ะค่ะ” เธอบอกพร้อมค้อมศีรษะเพื่อขอโทษอีกครั้ง ผมรับบัตรมาแล้วเก็บไว้ก่อนจะหันไปยิ้มให้แล้วขอบคุณ แล้วเข้ามาในลานจอดรถ วนได้สองรอบถ้วนก็เห็นรถคันหนึ่งกำลังถอยออก รู้สึกโชคดีนิดๆ ถึงแม้จะวนไปถึงสองรอบแล้วก็ตาม
ย่านร้านอาหารย่านดังที่รวมทุกความเป็นญี่ปุ่นไว้ยังเต็มไปด้วยผู้คนเหมือนที่มาทุกครั้ง ทั้งคนไทยคนต่างชาติโดยเฉพาะคนญี่ปุ่นที่อาศัยกันอยู่เยอะแถวย่านสุขุมวิท แต่เชื่อเถอะว่าไม่มากเท่าพวกร้านอาหารกึ่งผับที่พวกเพื่อนผมมันชอบแห่กันไปในเย็นวันศุกร์แบบนี้แน่ๆ
“いらっちゃいませ / ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงทักทายแบบตามแบบฉบับของร้านอิซากายะแบบญี่ปุ่นดังขึ้น ผมยิ้มรับพอเป็นมารยาทก่อนจะเดินตามพนักงานต้อนรับที่ผายมือไปยังที่นั่งสำหรับสองที่ตรงมุมด้านในเพราะโซนบาร์ที่ผมชอบนั่งบ่อยๆ มันเต็มแล้ว
“รับอะไรดีคะ?” เธอเปลี่ยนประโยคเป็นภาษาไทยทันทีเมื่อนำเมนูอาหารมาให้ ผมกวาดตามองเมนูที่ดูเหมือนจะมีการปรับเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เอามะเขือเทศสด โทโระทามาโกะ(ไข่ลวก) แล้วก็โทรินาเบะ(หม้อไฟเนื้อไก่)ครับ” พนักงานทวนรายการอาหารให้ฟังอีกครั้งก่อนจะเก็บเมนูอาหารแล้วเดินจากไป ระหว่างรออาหารผมก็ไถโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ
…ขนาดฝนโปรยอยู่แบบนี้เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของผมยังพากันหอบหิ้วไปร้านเหล้าได้ นับถือใจพวกมันจริงๆ ครับ
…หืม? ฮ่องกงพายุเข้า แล้วไอ้เพื่อนที่มันเพิ่งไปทำงานเมื่อเดือนที่แล้วจะเป็นไงบ้างวะเนี่ย?
…นักร้องเกาหลีมาอีกแล้ว แบบนี้หลานผมต้องไม่พลาดแหง แล้วพี่ผมก็ต้องมาบ่นอีกตามเคย
…ดาราสาวคนนี้
“โทะมะโตะ(มะเขือเทศ)ค่ะ” ผมละสายตาขึ้นจากหน้าจอ มองจานสีดำที่เต็มไปด้วยมะเขือเทศที่ดูน่ากินสุดๆ กำลังถูกวางลงบนโต๊ะ
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับ ฉีกถุงผ้าเย็นออกมาแตะลงไปหลังคอเพื่อเรียกความสดชื่น เช็ดมือพอสะอาด คว้าตะเกียบขึ้นมาได้ก็คีบเข้าปากหนึ่งชิ้น
…โคตรสด
ผมคีบเข้าปากอีกชิ้นแบบลองจิ้มมายองเนส รสชาติเข้ากันได้ แต่ชอบกินแบบสดๆ มากกว่า ผมคีบเข้าปากอีกชิ้นแล้วก้มลงไถหน้าจอต่อ
…ข่าวดาราสาวหายไปแล้วกลายเป็นลิงค์ MV เพลงใหม่ของศิลปินกลุ่มหนึ่งจากโพสต์ของเพื่อนสมัยมัธยมที่เด้งขึ้นมาบนสุดตามการอัปเดตแทน
“พี่ชอบกินมะเขือเทศเหรอคับ?” เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นตรงหน้าทำให้ผมเลิกสนใจหน้าจอโทรศัพท์แล้วเงยหน้าขึ้นมอง เด็กผู้ชายตัวเล็กที่อายุน่าจะราวๆ ห้าถึงหกขวบยืนตาแป๋วอยู่ฝั่งตรงข้าม สายตามมองตามมะเขือเทศอีกชิ้นที่ผมใช้ตะเกียบคีบแล้วและกำลังจะนำมันเข้าปาก
“ครับ? เอ่อ ก็ชอบนะ” ผมตอบอย่างงงๆ พลางมองซ้ายมองขวาว่าเด็กคนนี้มาจากไหน
“ผมไม่ชอบเลยคับ ไม่เห็นอร่อยเลย” เจ้าตัวส่ายหัวพลางทำหน้าปูเลี่ยนๆ เมื่อเห็นผมเห็นกินมะเขือเทศก่อนจะลากเก้าอี้ไปข้างหลังเล็กน้อยแล้วพาร่างเล็กๆ ของตัวเองปีนขึ้นไปนั่ง
“เหรอ แล้ว เอ่อ น้อง… ชอบอะไรล่ะครับ?” ผมอดรู้สึกแปลกๆ กับสรรพนามที่ใช้เรียกเจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคนนี้ไม่ได้ รุ่นๆ นี้นี่ไม่ใช่น้องแล้วครับ เล่นอายุเท่าหลานผมขนาดนี้ แต่เพราะเขาเรียกผมว่า ‘พี่’ งั้นก็ …เรียกว่า ‘น้อง’ ไปแล้วกันเนอะ
“ถั่วคับ ถั่วเขียวๆ อร่อยมาก พี่ชอบกินถั่วไหมครับ?” เขาถามแล้วจ้องกลับมาตาแป๋วอย่างลุ้นๆ จนผมต้องตอบกลับไป
“เอ่อ …ก็ชอบครับ แต่ชอบมะเขือเทศมากกว่า” เจ้าตัวเล็กยิ้มที่เห็นผมบอกว่าชอบถั่วที่ว่านน่าถึงแม้ผมจะไม่เข้าใจว่าถั่วเขียวๆ ที่ว่าของเขาหมายถึงอะไรก็ตาม
“มะเขือเทศไม่เห็นอร่อยเลยครับ” เจ้าตัวเล็กตรงหน้าทำหน้ายู่ เอาแต่ส่ายหน้าแล้วบ่นว่ามะเขือเทศไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ ปกติผมไม่ค่อยถูกโรคกับเด็กเท่าไหร่ แต่อาจเป็นเพราะคำว่า ‘คับ’ ที่เด็กคนนี้ใช้ลงท้ายเกือบทุกประโยคถึงแม้จะออกเสียงไม่ชัดตามประสาเด็กแต่ก็ทำให้ผมอดเอ็นดูเจ้าตัวเล็กข้างหน้านี่ไม่ได้
…ที่บ้านคงสอนมาดี
“แล้วนี่คุณพ่อคุณแม่ไปไหนเหรอครับ?” เจ้าตัวเล็กเงยหน้ามองผมหลังจากใช้สายตาต่อสู้กับมะเขือเทศในจานอยู่นานแล้วทำท่าคิดตามจากนั้นก็ส่ายหัว
“ป๊าไปทำงานคับ ไม่มีคุณแม่” เขาส่ายหน้าทำเอาผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“แล้วทำไมมาอยู่นี่ล่ะครับ?” หรืออาจจะหนีมา ร้ายกว่าคือโดนลักพาตัวมาแต่ใครจะลักมาแล้วปล่อยทิ้งเอาไว้ในร้านแบบนี้ ผมนี่ก็บ้าไปใหญ่ แต่สมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้เถอะ
“มารอป๊าคับ”
“คนเดียวเหรอครับ?” ผมถามอย่างสงสัย แล้วก็ยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่เมือเขาพยักหน้า นี่คือพ่อของเจ้าตัวเล็กนี่ต้องใจกล้าขนาดไหนนะถึงปล่อยให้เด็กตัวแค่นี้มารอในร้านแบบนี้คนเดียว ถึงแม้จะเป็นร้านอาหารแต่ด้วยลักษณะร้านแบบอิซากายะทำให้ในร้านมีทั้งเหล้าทั้งบุหรี่ซึ่งไม่ดีต่อเด็กเท่าไหร่นักทั้งรูป รส กลิ่น เสียง แถมนี่ก็จะทุ่มหนึ่งแล้วด้วย
“ทุกวันเลยเหรอครับ?”
“ไม่ครับ แค่วันที่มาโรงเรียน” ตอบแล้วก็ยิ้มเผล เริ่มอยากรู้จักพ่อเจ้าเด็กนี่แล้ว ก็รู้ว่าเด็กดูสุภาพเรียบร้อยขนาดนี้ที่บ้านก็คงจะอบรมมาดี แต่ความกวนนี่ก็ดูเหมือนจะใช่ย่อย
…เชื้อคงไม่ทิ้งแถว
“โทโระทามาโกะค่ะ”
“ครับ” ผมขยับจานมะเขือเทศที่หมดไปกว่าครึ่งแล้วหลบเพื่อให้พนักงานวางถ้วยไข่ลวกซีอิ๊วหวานลงได้
“อ้าวน้องศิ ทำไมมานั่งตรงนี้คะ ขอโทษด้วยนะคะ ไม่ทราบว่าน้องรบกวนรึเปล่าคะ?” อยู่ดีๆ พนักงานก็ทักทายเจ้าตัวเล็กตรงหน้าที่ดูน่าจะสนิทกันอยู่แล้วก่อนจะหันมาขอโทษขอโพยผมยกใหญ่
“ไม่รบกวนครับ” ผมยิ้มเพื่อให้เธอสบายใจแล้วมองดูเจ้าตัวเล็กที่ทำหน้าลังเลเมื่อพนักงานยื่นมือมาให้พลางชี้ไปที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ค่อนข้างหลบมุมและปลอดจากควันบุหรี่เพื่อชวนให้กลับไปนั่งตรงนั้น ผมก็เพิ่งสังเกตว่าบนโต๊ะมีทั้งเครื่องเขียนและสมุดภาพระบายสีกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด
…คงเดินมาจากตรงนั้น
“ผมนั่งกินข้าวตรงนี้ไม่ได้เหรอคับ?” แล้วสายตาแป๋วๆ ก็ถูกใช้อีกครั้ง พนักงานมีท่าทีลำบากใจ ปากก็พยายามกล่อมให้น้องกลับไปนั่งที่สลับกลับหันมาขอโทษผม
“ให้น้องเขานั่งตรงนี้ก็ได้ครับ ไม่เป็นไร” ผมบอกแล้วพยักหน้าเพื่อยืนยัน เจ้าตัวเล็กยิ้มยิงเขี้ยวอย่างดีใจพนักงานยังคงลังเลก่อนจะขอตัวไปถามคนที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้จัดการร้านก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมจานถั่วแระญี่ปุ่นในมือ
“งั้นขอรบกวนหน่อยนะคะ ถ้าน้องรบกวนคุณลูกค้ามากไปเรียกพนักงานได้เลยนะคะ น้องศิก็อย่ากวนพี่เขานะคะ แล้ววันนี้จะกินอะไรดีเอ่ย?” พนักงานสาวว่าแล้ววางจานถั่วแระลงตรงหน้าก่อนจะยื่นเมนูรูปภาพให้เจ้าตัวเล็กที่ตอนนี้รู้แล้วว่าชื่อ ‘น้องศิ’ เลือก
“พี่คับ เลือกให้ผมหน่อยได้ไหมคับ?”
“น้องศิคะ” พนักงานสาวมีท่าทีอ่อนใจ แต่เจ้าตัวเล็กยังยิ้มหน้าซื่อตาใสจนผมเริ่มสงสัย
…สุภาพแต่ก็กวน เอาแต่ใจนิดๆ แต่ก็ขี้อ้อน
…ปะป๊าแบบไหนกันนะที่เลี้ยงเด็กจนออกมามีนิสัยแบบนี้
“น้องศิชอบอะไรครับ? นอกจากเจ้าถั่วเขียวๆ” ผมยื่นมือไปรับเมนูมาเพื่อหาเมนูที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ก่อนจะรีบดักทางเมื่อเห็นเจ้าตัวทำท่าจะยกถั่วในมือขึ้นมาโบกๆ แล้วก็ชะงักไปเพราะอาหารจานใหม่ที่ถูกนำมาเสิร์ฟ
“โหหหหห” ผมขำก่อนจะแกล้งยื่นมือไปปิดปากที่อ้าหวอตามเสียงร้อง
“โทรินาเบะค่ะ”
“พี่คับๆ พุ่มๆ อันนี้อะไรเหรอคับ?”
“อย่าจับนะครับมันร้อน” ผมจับมือเจ้าตัวเล็กไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะจิ้มลงในหม้อที่มีต้นหอมญี่ปุ่นสุมเป็นโดมสูง
“ผมกินอันนี้ได้ไหมคับ?”
“อยากกินเหรอครับ?” ผมถามย้ำอีกครั้ง เจ้าตัวพยักหน้าแล้วมองโดมต้นหอมญี่ปุ่นตาแป๋ว
“อันนี้น้องทานได้ไหมครับ?”
“สักครู่นะคะ” พนักงานสาวหายไปอีกครั้งแล้วเดินกลับมาหาพร้อมชุดถ้วยและช้อนอีกชุด
“ทานได้ค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอรบกวนอีกครั้งนะคะ ทางผู้จัดการร้านแจ้งว่ามื้อนี้ขออนุญาตไม่คิดค่าอาหารเพื่อเป็นการขอบคุณค่ะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ส่วนใหญ่ผมก็ทานเองทั้งนั้นแล้วน้องก็ไม่ได้รบกวนอะไร” ผมรีบบอกพลางโบกมือปฏิเสธทันทีเพราะเกรงใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะคุณลูกค้า เพราะพ่อของน้องศิขออาสาเป็นคนจ่าย”
“เอ่อ…” หนักกว่าเก่าอีก แต่เพราะถูกคะยั้นคะยอเข้าหลายครั้งผมเลยยอมตกลงแล้วจัดการย้ายเจ้าตัวเล็กมานั่งข้างๆ แทนฝั่งตรงข้ามเพราะกลัวจะเอามือไปจิ้มหม้อ
“อร่อยไหมครับ?” ผมถามพลางนั่งมองเจ้าตัวเล็กที่เคี้ยวต้นหอมไม่ยอมหยุดทั้งๆ ที่ปกติเด็กตัวแค่นี้มักไม่ค่อยยอมทานพวกผักใบเขียว
“อร่อยคับ”
“แล้วระหว่างต้นหอมกับถั่วเขียวๆ ชอบอันไหนมากกว่าครับ?” ผมมองน้องศิที่ทำท่าคิดหนักจนเหมือนผู้ใหญ่จนเผลอหัวเราะมาอย่างอดไม่ได้
“ชอบทั้งคู่เลยครับ แต่ชอบถั่วเขียวๆ มากกว่านิดนึง”
“โอเคครับ งั้นก็กินให้หมดเลยนะ” ผมว่าก่อนจะตักถั่วแระญี่ปุ่นวางไว้ให้บนจานเปล่าข้างๆ
“อันนั้นไข่ใช่ไหมคับ?” น้องศิถามทั้งๆ ที่ปากยังเต็มไปด้วยถั่วแระผมหยิบทิชชู่มาเช็ดให้ก่อนจะเลื่อนถ้วยไข่ลวกที่ยังไม่ได้แตะเข้าไปใกล้ๆ
“ไข่ครับ อยากชิมไหม?” เจ้าตัวเล็กพยักหน้าหงึกๆ ผมหัวเราะ เอาช้อนของน้องศิมาแตะๆ ซีอิ๊วหวานแล้วยื่นไปให้เจ้าตัวชิมก่อน
“หวานคับ น้ำตาลเหรอคับ?” น้องศิทำหน้าเหยเกก่อนจะใช้มือป้อมๆ ดันถ้วยไข่ลวก
“ไม่ชอบเหรอครับ?”
“ไม่ชอบหวานๆ คับ” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจที่เห็นเจ้าตัวเล็กดูเหมือนไม่ชอบของหวานแต่ชอบกลับชอบผักซะขนาดนั้น
“น้องศิชอบขนมไหมครับ?”
“ขนมอะไรเหรอคับ?” ผมลองถาม เด็กส่วนใหญ่พอได้ยินคำว่าขนมแล้ว ไม่ว่าจะขนมอะไรก็ต้องตาโตไว้ก่อนแต่ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กตรงหน้าดูออกจะนิ่งเฉย
“เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม”
“เค้กอะไรเหรอครับ?” คราวนี้ผมเริ่มไปต่อไม่ถูก
“เค้กช็อกโกแลตก็ได้ครับ” ผมเลยตัดสินใจเลือกอะไรไปสักอย่าง
“ไม่ชอบครับ แต่ชอบนิดหนึ่ง” ผมหลุดขำก่อนจะยกมือไปลูบหัวอย่างเอ็นดู
…ไม่ชอบ แต่ชอบนิดนึง คืออะไรวะ?
“แล้วปกติกินขนมอะไรครับ?”
“ปกติคืออะไรครับ?”
“หมายถึงที่กินบ่อยๆ น่ะครับ” ผมว่าพลางนวดขมับตัวเอง ทั้งขำทั้งปวดหัว
“ขนมกลมๆ สีเหลืองๆ ครับ”
“มาการองเหรอครับ?” ผมถามอย่างไม่แน่ใจนักพลางนึกภาพตาม
“คืออะไรเหรอครับ?” แต่กลายเป็นเจ้าตัวเล็กถามกลับมาซะอย่างนั้น
“เอ่อ ขนมกลมๆ เหลืองๆ ที่ว่าชื่ออะไรเหรอครับ?”
“ทอง… จำไม่ได้ครับ” หืม? กลมๆ เหลืองๆ ชื่อทอง…
“ทองหยอด?”
“ใช่คับๆ พี่รู้จักเหรอคับ?” ผมพยักหน้าแล้วก็ยิ่งสงสัย
“ไม่หวานเหรอครับ?”
“ปะป๊าทำไม่หวานคับ” น้องศิยิ้มร่าก่อนจะอ้าปากงับไก่ที่ผมป้อนให้เพราะเจ้าตัวเอาแต่กินต้นหอม
“ปะป๊าทำ?”
“คับ ปะป๊าทำได้ทุกอย่างเลยคับ เก่งที่สุดเลย” เจ้าตัวอวดพ่อตัวเองเรียบร้อยแล้วอวกนิ้วโป้งกำกับให้
“อื้อหือ” ผมฟังแล้วก็ได้แต่ร้องเสียงหลงพลางพยายามนึกภาพผู้ชายที่
…เลี้ยงลูกคนเดียว ตัวเองยังไม่เลิกงานก็ปล่อยลูกให้มานั่งรอที่ร้านอิซากายะซึ่งมีทั้งเหล้าและบุหรี่
…ลูกชายสุภาพแต่ก็แอบกวน เอาแต่ใจบ้างแต่ก็ขี้อ้อน ชอบกินผัก ไม่ชอบกินของหวาน
…ที่สำคัญกว่าคือผู้ชายที่ว่านี้เป็นผู้ชายที่ดูเหมือนจะทำอาหาร เพราะทำขนมได้ แถมเป็นขนมไทยซะด้วย
“น้องศิครับ”
“คับ?”
“ปะป๊าจะมารับเมื่อไหร่เหรอครับ?”TBC.
คนเขียนก็จะแอบหายๆ ไปหน่อยนะคะ ^______^ ขอบคุณที่ยังติดตามนะคะ
สำหรับเรื่องต่อของแต่ละคู่ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเขียนต่อให้เหมือนเป็นตอนพิเศษค่ะ
ยังไงก็ฝากติดตามกันต่อไปนะคะ
**ปล.ขอแก้อายุน้องศิจาก
ไม่น่าจะเกินสิบขวบ เป็น
ราวๆ ห้าถึงหกขวบ นะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
Zenzaii