บทที่ 7
ผมกลับห้องด้วยความเหนื่อยล้า เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ และในเวลาเช่นนี้ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลที่ผมจะคิดถึงมากที่สุดคือ พ่อ กับ แม่ ผมพาร่างที่เหนื่อยเดินเข้าไปที่ห้องนอนคว้ากระเป๋าเป้ในเล็กในห้องจับยัดรายงานและหนังสือที่ต้องใช้ใส่ลงในกระเป๋าเพื่อเดินทางกลับบ้าน
“พ่อครับแม่ครับ ... สวัสดีครับ”
ผมกลับมาถึงบ้านตอนสองทุ่มนิดๆ ทั้งพ่อและแม่ต่างยังนั่งดูละครกันอยู่ทางด้านล่าง พอเข้ามาในตัวบ้านได้ผมก็วางเป้เอาไว้ที่พื้นและเดินเข้าไปนั่งแทรกตรงกลางระหว่างท่านทั้งสอง
“ตายแล้ว ลูกกลับมาบ้านโดยที่ไม่ใช่วันหยุด แม่ต้องจดลงสมุดบันทึกเลยรึเปล่าจ๊ะ?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ”
“กินอะไรมารึยัง?”
“ยังเลยครับแม่”
“มีอะไรรึเปล่า? สีหน้าดูไม่ค่อยดี”
“งั้นเดี๋ยวแม่ไปเตรียมข้าวให้ คุยกับพ่อเขาไปก่อนแล้วกัน”
ผมก็ไม่รู้ว่าหน้าตาของผมแสดงออกอะไรไปมากแค่ไหน แต่ยิ่งเห็นถึงความห่วงใยและความใส่ใจของท่านทั้งสอง ผมก็ยิ่งไม่กล้าที่จะเอาเรื่องหนักใจมาทิ้งเอาไว้ที่บ้านทีเวลามีความสุขผมยังไม่เคยกลับเอาความสุขมาฝากเอาไว้ที่นี่ ผมว่าผมหนักใจคนเดียวคงดีกว่าที่ใครทุกคนต้องมาร่วมทุกข์ไปกับผม
“ไม่มีอะไรครับพ่อ ผมแค่เหนื่อย”
“ถ้าเรื่องเรียนไม่ต้องไปเครียดมันมากก็ได้ เอาที่ไหว”
“ครับ”
ความไม่อยากอาหารหายไปทันทีที่เห็นข้าวไข่เจียวหมูสับฝีมือของแม่ ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ห้องของตัวเองแม้จะยังไม่ได้กินอะไรแต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความหิว แต่มาตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าข้าวจานตรงหน้าเพียงจานเดียวอาจจะไม่พอกับความต้องการของผม
หลังจากที่เก็บล้างเรียบร้อยผมใช้เวลาเอื่อยอยู่ข้างล่างดูหนังกับพวกท่านต่อ แล้วหลังจากที่ละครหลังข่าวจบเราทั้งสามก็ค่อยแยกย้ายไปที่ห้องใครห้องมัน ผมเข้าไปอาบน้ำทำหัวสมองให้โล่ง เพราะวันนี้ผมก็เสียเวลาไปมากโดยที่ยังไม่ได้แตะรายงานชิ้นสุดท้ายก่อนสอบไฟนอล
ผมกางโต๊ะญี่ปุ่นออกตรงกลางแล้วลงนั่งแปะที่พื้นคิดว่าจะตั้งใจทำรายงานแต่กลายเป็นว่าผมยังคงเอาแต่วนเวียนอยู่กับโทรศัพท์เข้าไปอ่านโพสนั้นอยู่ซ้ำๆ แล้วก็คิดวนไปมาอยู่กับเรื่องเดิมๆ จนสุดท้ายก็แต่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์โดยการเอาแต่นั่งมองกองหนังสือตรงหน้า
พอนั่งมองหัวข้อรายงานนานเข้าผมก็พาลคิดไปว่าที่ผมได้หัวข้อรายงานยากแบบนี้มันเป็นเพราะอาจาร์ยเองก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยรึเปล่า? ถึงต้องการสั่งสอนให้ผมตั้งใจเรียนมากกว่าไปมีเรื่องราวแบบนั้น
ผมคิดย้อนไปถึงหน้าของเพื่อนในคาบเรียนทุกคนที่มองมา สายตาที่ยิ้มมาให้กับผมตอนที่ทักกันจะมีสักกี่คนที่ยิ้มจริงใจไม่ใช่ยิ้มเยาะเย้ยหรือขยะแขยง
แล้วปราโมทย์ละเขาเป็นคนที่เข้าใจผมจริงๆ แบบที่เขาพูดรึเปล่า หรือเขาอาจจะเหมือนคนที่ชมรมก็ได้ที่ต่อหน้ายอมรับผมเป็นเพื่อนแต่ความจริงไม่เคยมอบคำนั้นให้กับผมเลย
ยิ่งคิดก็เจอแต่ทางตันคิดไม่ออกว่าควรจะวางตัวกับคนอื่นๆ อย่างไร จะให้เอาเรื่องนี้ไปปรึกษาพ่อกับแม่ผมก็ไม่มีความกล้าอีกอย่างพวกท่านอาจจะมองว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระของเด็กๆ ก็ได้ ในขณะที่ผมกำลังติดอยู่ในความคิดของตัวเอง เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นปลุกให้ผมหลุดจากภวังค์
“ฮัลโหลพี่เก่ง ผมติดต่อพี่ไม่ได้เลย”
“ขอโทษ พี่ติดธุระนิดหน่อย”
“ธุระของพี่คือเรื่องที่พี่โดนปลดจากพรีเซ็นเตอร์ของมหาวิทยาลัยรึเปล่า?”
“ชินอยู่ไหน? พี่มารอหน้าหอข้างล่าง”
“ผมอยู่ที่บ้าน”
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหา...ได้ไหม?”
มองดูเวลานี่มันก็ดึกมากแล้ว แม้ผมอยากรู้เรื่องราวจากปากของพี่เก่งว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ถ้าให้ขับรถมาเวลานี้มันอาจจะเป็นอันตรายต่อพี่เก่งได้
“อย่าเลยครับ คนที่บ้านนอนหมดแล้ว”
“งั้นเหรอ?” เสียงของพี่เก่งดูผิดหวังจนผมเองก็หวั่นใจว่าพี่เก่งกำลังจะคิดว่าผมไม่อยากเจอพี่เขารึเปล่า จากที่เคยคิดว่าจะรอกลับไปที่หอแล้วค่อยคุยกันเลยกลายเป็น
“พรุ่งนี้เช้าพี่ค่อยมาดีกว่าครับ”
“โอเคครับ”
.................................................................
ผมแชร์โลเคชั่นที่อยู่ให้พี่เก่งทางโทรศัพท์ก่อนที่จะวางสาย พี่เก่งมาถึงบ้านของผมตั้งแต่ 7 โมงเช้าผมเดินออกไปเปิดประตูให้กับพ่อกับแม่ออกไปทำงานก็เห็นรถพี่เก่งขับสวนเข้ามาในซอยบ้านพอดี
เพียงแว้บแรกที่ผมเห็นหน้าของพี่เก่งผมก็รู้เลยว่าตัวพี่เก่งเองก็คงจะโดนผลกระทบจากเรื่องนี้หนักไม่ต่างกับผม ผมมองหน้าพี่เก่งด้วยความรู้สึกผิด ถ้าในชีวิตพี่เขาไม่มีผมเข้ามายุ่งพี่เขาคงไม่ต้องกลายมาเป็นหนุ่มโรคจิตชอบถ่ายคลิปคนอื่นไปทั่ว จากที่เป็นหนุ่มเรียนดี หนุ่มกิจกรรมอยู่ดีๆ
“พี่...ผมขอโทษ”
มันเป็นเพียงคำเดียวที่ผมจะสามารถบอกกับพี่เก่งได้ คำขอโทษจากผมคือขอโทษที่เข้ามารู้จักกับพี่เขาแล้วทำให้พี่เขามีแต่ความวุ่นวาย ถ้าตั้งแต่วันที่มีข่าวช่วงแรกผมยอมถอยออกมา ในวันนี้ผมกับพี่เก่งก็คงไม่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้
“พี่ก็ต้องขอโทษเราเหมือนกันที่ทำให้เราต้องมาโดนไปด้วย”
“เมื่อวานมีคนมาบอกผมเรื่องพรีเซ็นเตอร์ มันจริงรึเปล่าครับพี่?”
“มันเป็นแค่การสอบถามนะ เป็นธรรมดาที่พอข่าวไม่ดีออกมามากๆ พี่ก็ต้องโดนเรียกไปคุย แต่ก็แค่คุยและพิจารณายังไม่ได้มีการปลดพี่อย่างที่เขาพูดกัน”
“แต่รูปพี่หายไปแล้ว”
“ก็ต้องเอาออกก่อน แล้วถ้าสอบสวนแล้วไม่มีมูลความจริงทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม”
“จริงนะพี่”
“จริงสิ พี่จะหลอกชินทำไม”
พี่เก่งตัดสินใจเล่าทุกคำพูดที่เกิดขึ้นในระหว่างที่เข้าไปคุยกับอาจารย์ให้ผมได้รับรู้เมื่อเห็นว่าผมยังคงทำหน้ากังวลอยู่ สรุปแล้วพวกข่าวต่างๆ ไปถึงหูอาจารย์จริงอย่างที่ผมกังวล แต่พี่เก่งก็ได้อธิบายตัวเองไปหมดแล้วว่าพี่เขาไม่เคยทำเรื่องเสียหายแบบนั้น ยังโชคดีที่อาจารย์ยังยอมรับฟังพี่เก่งอยู่บ้าง
“แล้วพี่เก่งต้องทำอะไรต่อไปรึเปล่า?”
“ความจริงก่อนออกมา อาจารย์ก็แนะนำให้พี่ไปแจ้งความไว้ พวกแบบ พรบ คอมพิวเตอร์ทำนองนั้น”
“แล้วพี่คิดว่ายังไง?”
“พี่ก็อยากไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างสร้างความวุ่นวายให้กับพี่และชิน จนตอนนี้กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต ถ้าถามว่ามันคุ้มกับการที่จะเสียเวลาไปแจ้งความไหม? พี่ว่าคุ้ม แต่พี่เองก็ไม่รู้ว่าหลังจากที่แจ้งความไปแล้วมันจะมีอะไรคืบหน้ามากน้อยแค่ไหนคนพวกนั้นจะหยุดจริงๆ หรือเปล่า? อีกอย่างกฎหมายเรื่องนี้กับกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทมันเป็นอะไรที่ยังไม่ชัดเจนพี่ก็งงและไม่แน่ใจ ไม่ได้เรียนด้านนี้มา”
“ผมเห็นด้วยกับอาจารย์นะพี่”
“ถ้าพี่จะเอาเรื่อง พี่ก็ต้องไปบอกที่บ้านเพื่อปรึกษา ทีนี้เรื่องมันก็จะใหญ่โตไปอีก แค่นี้พี่ก็ปวดหัวจะตายแล้ว ถ้าพ่อกับแม่รู้พี่คงต้องอธิบายอาจจะนานกว่าไปอธิบายกับตำรวจ แล้วที่บ้านของพี่เองก็ไม่ได้พร้อมถึงขนาด…”
“พี่เก่ง”
“ว่า? ขอโทษพี่เริ่มบ่นมากไปแล้วใช่ไหม?”
“ยังไงพี่ก็มีผมอยู่เสมอนะ”
ผมเอื้อมมือไปจับมือของพี่เก่งเอาไว้เพราะผมต้องการให้พี่เก่งรู้ว่าไม่ว่าคนอื่นจะพูดถึงพี่เก่งยังไงหรือไม่ว่าพี่เก่งต้องโดนอะไรผมก็ยังจะอยู่ตรงนี้เสมอ จะอยู่เป็นรุ่นน้องของพี่เขาเสมอ
“แม้ว่าพี่อาจจะเป็นคนแบบนั้นอย่างที่เขาว่ากัน?”
“อื้ม....แค่พี่ดีกับผม ผมก็จะอยู่ข้างพี่เสมอ พี่มีผมเสมอนะ”
“ขอบคุณครับ”
พี่เก่งคว้าตัวผมเข้าไปกอด ความตกใจที่อยู่โดนดึงเข้าไปกอดเอาไว้แน่นทำให้ผมเกร็งตัวเอาไว้ ที่ผ่านมาแม้พี่เก่งจะเล่นหรือแสดงออกถึงความสนิทแต่มันไม่มีครั้งไหนที่จะถึงขั้นกอด
แต่พอคิดได้ว่าวันนี้พี่เก่งคงเจอแรงกดดันมาพอสมควรจากการประชุมกับคณะอาจารย์ ผมจึงปีดความตกใจของตัวเองทิ้งไปแล้วยกมือขึ้นกอดพี่เก่งกลับพร้อมกับค่อยๆ ตบลงที่หลังของพี่เก่งและบอกว่าผมอยู่ตรงนี้
.....................................................................
“ขอบคุณชินมากนะ ที่ยังยอมนั่งกับพี่ตรงนี้ ไม่ไปไหนเหมือนคนอื่นที่พอพี่ไม่ได้มีผลประโยชน์ก็ต่างหายไปจากพี่”
เพราะผมรู้ดีว่าผมกำลังทำอะไรผมจึงไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลง ผมยังเจอพี่เก่งเหมือนเดิม เดินไปที่ชมรมพร้อมพี่เก่งยังคงให้การสนับสนุนชมรมทุกอย่าง แม้ว่าพี่เก่งจะถูกลดหน้าที่จากผู้ดูแลชมรมมาเป็นแค่คนร่วมชมรมก็ตาม
ผมใช้เวลาคิดอยู่สักพักเช่นกันก่อนที่จะกลับไปที่ชมรมอีกครั้ง แน่นอนว่าผมค่อนข้างมั่นใจว่ารูปล่าสุดถูกปล่อยโดยคนที่ชมรมที่ไปออกค่ายด้วยกันในวันนั้นทำให้ผมไม่อยากเข้าไป แต่ ถ้าพี่เก่งโดนปลดแล้วผมไม่เข้าชมรมเลยทุกคนอาจจะคิดได้ว่าพวกเขาคิดถูกแล้วว่าที่ผมเข้ามาชมรมก็เพราะพี่เก่ง ผมอยากให้เขารู้ว่าผมเข้าชมรมนี้เพราะผมชอบในการถ่ายรูปจริงๆ
“ผมบอกพี่แล้วว่าผมจะไม่ไปไหน”
ผมทำเป็นเข็มแข็งและไม่แคร์สายตาของใครเวลาที่มีคนมองตอนที่ผมกับพี่เก่งเดินคู่กันในมหาวิทยาลัย แต่ความเป็นจริงผมกลับมาร้องไห้ทุกวันที่ห้องของตัวเองที่คอยเจอแต่สายตาพวกนั้น
ชีวิตช่วงนี้ในรั้วมหาวิทยาลัยผมก็ได้ปราโมทย์เป็นที่พึ่ง แม้ใครจะว่าปราโมทย์ว่าเป็นเด็กเนิร์ดขนาดไหนแต่สำหรับผมแล้วปราโมทย์คือเพื่อนที่ดีที่สุด
ปราโมทย์ตัวติดกับผมจนใครๆ ต่างก็พูดกันว่าผมโดนพี่เก่งเขี่ยทิ้งเลยต้องมาพึ่งพาโมทย์ให้มารับช่วงต่อ แต่ถึงจะโดนพูดแรงขนาดไหนก็ตามปราโมทย์ก็ไม่เคยปล่อยให้ผมเดินไปไหนมาไหนคนเดียวแถมยังอยู่ข้างๆ ผมเสมอ จนผมรู้สึกผิดในใจที่เคยระแวงว่าปราโมทย์จะเหมือนกับคนอื่นๆ
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวซวยเพราะไม่ว่าผมจะสนิทกับใครคนนั้นต้องกลายเป็นข่าวในแง่ลบเสมอ ผมเคยคิดถึงขนาดที่ว่าหรือผมสมควรที่เลิกคบกับทั้งสองคนนั้นดีนะ
ยิ่งรับรู้ผมยิ่งรับไม่ได้ ผมเริ่มเก็บตัวไม่อยากออกไปเรียนแต่ก็ได้ปราโมทย์มาลากออกไปทุกครั้ง จากที่เป็นคนไม่มีสังคมอยู่แล้วผมก็ยิ่งเป็นคนเก็บตัวนั่งหลังห้องติดกำแพงเพราะไม่อยากให้ใครมาสนใจในตัวของผม
“นายโคตรเจ๋งอะ มีพระเอกขี่ม้าขาวมาปกป้องด้วย”
“เราเอาใจช่วยนะ กำจัดคำพูดพวกนั้นให้หมดละ”
“ดีเลย แจ้งความเอาเรื่องเลยสิ เราอยากรู้ว่าจะจับออกมาได้ครบทุกคนไหม?”
ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการให้กำลังใจผมจริงๆ หรือ ต้องการใประชดประชันผม แต่ที่รู้แน่ๆ ก็คือ การที่พยายามไม่ทำเป็นจุดสนใจของผมดูจะไม่เป็นผลหลังจากที่เพื่อนของกลุ่มพี่เก่งร่วมกันแชร์สเตตัสของพี่เก่งในหน้าเฟสบุ๊คของอย่างพร้อมเพรียงกันในวันนึง โดยที่สเตตัสนั้นพี่เก่งโพสว่า
“ถ้าเรื่องมันไม่หยุดลงสักที ผมคงต้องดำเนินการทางกฎหมาย ไม่ได้อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่แต่มันมีผลกระทบต่อหลายฝ่ายครับ กรุณาหยุดพูดในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องจริงด้วยครับ”
แทนที่ทุกคนจะเข้าใจว่าทำไมพี่เก่งต้องออกมาพูดถึงเรื่องฟ้องร้อง แทนที่ทุกคนจะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าแค่การสนุกปาก แต่มันกลายเป็นว่าทุกคนไม่ได้มองในมุมนั้น ทุกคนต่างมองว่าพวกเราทั้งสองคนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ต้องทำเป็นเบ่งเป็นพวกมีอำนาจ ก็แค่เราสองคนอยากปกป้องสิทธิ์ของตัวเองทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้
“จะรีบไปไหน? ไม่อยู่ทานข้าวก่อน?”
ปราโมทย์อาจจะบังคับให้ผมออกมาเรียนได้แต่หลังจากเลิกเรียนปราโมทย์ไม่สามารถที่จะรั้งผมเอาไว้ได้ ผมมักจะตรงกลับห้องโดยที่ไม่แวะที่ไหน
ผมรู้ว่าปราโมทย์ไม่ต้องการให้ผมอยู่คนเดียว แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะไปนั่งให้เป็นเป้าสายตากับความกังวลว่าคนอื่นจะมองมาด้วยความคิดไหนจริงๆ
“ไม่ละ เราอยากกลับห้อง”
“แต่เดี๋ยวนายก็ต้องกลับมาชมรมอยู่ดี”
“เดี๋ยวค่อยออกมาตอนที่พี่เก่งเลิกเรียนเดี๋ยวเราตรงไปจากหอก็ได้”
“นายจะหลบแบบนี้ตลอดไปเลยรึไง?”
“อย่ามาว่าเราไม่สู้นะ เราสู้แล้ว!! เราไม่รู้เราต้องทำยังไงแล้ว !!! พูดก็ไม่มีคนเชื่อ ไม่พูดก็กลายเป็นยอมรับ ไหนปราโมทย์บอกว่าถ้าเราเงียบซะ เรื่องมันก็จะเงียบไปเองไง?”
“ชิน...เราแค่อยากให้นายแข็มแข็งผ่านมันไปให้ได้”
“เรายอมแพ้แล้วปราโมทย์...เรายอมแล้ว...เราทำแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว...เราไม่เอาแล้ว”
ผมนั่งยองลงเอามือกอดกับเข่าก้มลงให้ชิดกับเข่าของตัวเองปล่อยความอ่อนแออยู่ที่ข้างตึกโดยที่ใช้กำแพงที่อยู่ทางด้านหลังเป็นที่พิงกายเอาไว้ ผมทนแข็มแข็งแบบจอมปลอมแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ความกดดันมันมากเกินกว่าที่ผมจะรับได้อีกต่อไป
“ถ้านายคิดว่าทางเลือกอีกทางที่นายคิดมันดีกว่า นายก็ทำตามที่นายมั่นใจแล้วกัน”
โปรดติดตามตอนต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านรวมถึงทุกคอมเมนท์ด้วยค่ะ
#theeffect