บทส่งท้าย
“ชิน ทางนี้”
“ปราโมทย์มารอนานหรือยัง?”
“นาน ทำไมนายช้า”
“โดยทั่วไปต้องตอบว่าไม่นานเป็นการรักษามารยาทสิ อะ เอาไป ของฝากจากภาคเหนือ ไส้อั่ว”
“ขอบใจ อะ นี่ก็ของนาย ของขวัญวันเรียนจบ”
“จำได้ด้วย?”
ผมหยิบเอาของขวัญวันเรียนจบมาดูมันคือชุดครุยของมหาวิทยาลัยที่ผมลงเรียนทางไกลเอาไว้ การเรียนจบของผมมันเรียบง่ายไม่มีงานรับปริญญา มีเพียงแค่ใบประกาศนียบัตรส่งมาที่บ้านแล้วเราก็แค่ทานข้าวกันเพื่อเป็นการฉลองที่บ้านเพียงเท่านั้น
“ขอบคุณมากเลยนะปราโมทย์ เป็นของขวัญรับปริญญาที่เราชอบมากเลย”
“อย่าลืมไปใส่ถ่ายคู่กับพ่อแม่ล่ะ”
“อื้ม”
“ว่าแต่ คราวนี้นายจะกลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ถาวรเลยหรือเปล่า?”
“น่าจะถาวรแล้วล่ะ แม่บ่นว่าเหงาจะแย่อยู่แล้ว ถามแต่เรื่องของเรา ปราโมทย์ล่ะเป็นไงบ้าง?”
“เราสบายดี แต่งานยุ่งมาก ถ้าเล่าจะยาวสั่งอะไรกินกันก่อนไหม?”
“โอเค”
“เออ ชิน”
“ว่า?”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”
“อื้ม ขอบคุณนะ”
อาพุฒอาจจะเห็นแววจากการทำงานเป็นกำลังเสริมที่โครงการ ทำให้พอผมเรียนจบอาพุฒก็ชวนให้ไปทำงานที่บริษัท ผมทำงานทางด้านเอกสารช่วยดูงบประมาณ ช่วยการวางแผนของบริษัททนายซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวอาพุฒ ส่วนในเวลาว่างผมยังคงไปที่โครงการ ยังคงไปช่วยเหลือเด็กๆ ที่นั่น ก็เลยเหมือนกับว่าผมได้ทำทั้งสองงานควบคู่กันไป
เพราะงานว่าความและโครงการของอาพุฒไม่ได้อยู่แต่ในกรุงเทพฯ เลยมีบ่อยครั้งที่ผมต้องติดสอยห้อยตามอาพุฒไปตามต่างจังหวัด แต่ครั้งนี้หลังจากที่แม่เริ่มบ่นหลายครั้งว่าผมน่าจะลืมทางกลับบ้าน ผมเลยตัดสินใจที่จะกลับมาหางานประจำที่กรุงเทพฯ
“แล้วนี่หางานใหม่ได้หรือยัง?”
“ได้แล้ว อาพุฒดูให้น่ะ เป็นงานที่แม่กลั่นกรองแล้วด้วยว่าอยู่แต่ในกรุงเทพฯ จริงๆ”
“เอาน่า แม่นายคงเหงา วันก่อนแวะเอาของไปให้เราโดนดึงอยู่ยาวถึงสามทุ่มกว่า”
“โหดมาก”
“ชิน”
“หืม?”
“นายสบายใจแล้วใช่ไหม?”
ผมก็ไม่รู้ว่าผมสามารถพูดว่าผมสบายใจได้หรือยัง ถามว่าอาการต่างๆของผมหายไปหมดแล้วไหม? ก็เรียกได้ว่าผมกลับมาเป็นคนเดิมได้เกือบเต็มร้อย ยังมีบ้างบางครั้งที่ผมยังคงหวาดกลัวและหวาดผวา แล้วชื่อของพี่เก่งเองก็ยังไม่เคยเลือนไปจากใจของผม
“ก็เรียกว่าดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ”
“ให้อภัยเขาหรือยัง?”
นั่นน่ะสิ มันเป็นคำถามที่ผมไม่มีคำตอบว่าผมสามารถให้อภัยพี่เก่งแล้วหรือยัง ทั้งๆ ที่ใครต่อใครก็ต่างพูดว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผมดีขึ้น นั่นก็คือการให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา
“...ไม่รู้สิ”
“ไม่ต้องรีบ...เราแค่คิดว่ามันน่าจะดีกับตัวนาย..แต่ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยมันไปตามกาลเวลา”
“อื้ม...จะลองพยายามดูนะ”
ผมนั่งคุยกับปราโมทย์ต่อจนแสงอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ปราโมทย์เสนอตัวที่จะไปส่งที่บ้าน แต่ตอนนี้ปราโมทย์ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดิมเหมือนตอนสมัยเรียนแล้ว ปราโมทย์ย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานของเขาซึ่งมันไกลจากที่บ้านผมเป็นอย่างมาก เงยหน้าไปดูจากสถานการณ์ของการจราจรในวันนี้ผมว่าปราโมทย์น่าจะกลับถึงคอนโดอีกทีตอนเที่ยงคืน
“งั้นถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาด้วย”
“โอเค ขับรถดีๆ”
หลังจากที่เดินไปส่งปราโมทย์ที่รถผมเปลี่ยนใจที่ตรงกลับบ้านเป็นเดินดูของในห้าง มันก็นานมากแล้วที่ผมไม่ได้มาเดินซื้อของในห้างแบบนี้ด้วยงานที่รัดตัวแล้วไหนจะต้องเดินทางตลอดเวลา ผมเลือกเดินเข้าร้านหนังสือเป็นร้านแรก กะว่าจะแค่ยืนดูของแต่ตอนเดินออกมาจากห้างในมือผมดันได้หนังสือติดกลับมาสองเล่ม
“ฮัลโหล ถึงไหนแล้วลูก?”
“กำลังจะกลับแล้วครับ”
“โอเค งั้นแม่กับพ่อรอที่บ้านนะ รอกลับมากินข้าวพร้อมกัน”
“ครับ”
ผมมัวแต่เดินเล่นเพลินจนไม่ได้ดูนาฬิกา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะเลื่อนเวลากลับให้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เป็นเวลาเร่งด่วนอย่างหกโมงเย็น ผมไม่อยากขึ้นไปเบียดกับผู้คนในรถโดยสาร มีความคิดแวบนึงที่จะเดินหันหลังเข้าไปในห้างแต่อีกใจก็ไม่อยากให้แม่กับพ่อรอนานผมเลยเลือกที่จะกลับบ้านตอนนี้
ถนนยามเย็นดูคึกคักไม่เงียบเหงาเพราะยังมีผู้คนมากมายเดินซื้อของและพูดคุยกัน แม้แสงแดดสีแดงอมส้มที่มักจะเป็นตัวแทนของความเหงาและโดดเดี่ยว แต่พอได้มายืนอยู่ตรงนี้ผมก็รู้สึกว่าแสงนั้นมันทำอะไรผมไม่ได้เลย
ผมกำลังยืนรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนไปอีกฝั่ง ผมกวาดตามองสิ่งรอบตัวไปเรื่อยปล่อยจิตใจไปกับการมองดูผู้คน แต่แล้วสายตาของผมก็ดันเห็นคนๆหนึ่งจากอีกฝั่งของถนน
คนๆนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป เขายังคงเป็นคนที่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมายได้เสมอ เขายังสามารถเป็นคนที่ดึงดูดสายตาได้แม้ว่าเขาจะดูอ่อนล้าก็ตาม
มือของผมที่เริ่มเปียกชื้นกำถุงหนังสือที่อยู่ในนั้นแน่นขึ้นพร้อมทั้งยังภาวนาขอให้คนฝั่งนั้นไม่เห็นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะผมภาวนาช้าไป เพราะแค่เพียงอึดใจต่อมาสายตาของเราทั้งสองคนก็ประสานกัน เราสบตากัน
พี่เก่งยิ้มกว้างให้ผมทั้งน้ำตา มันน่าอิจฉานะที่แม้ว่าพี่เก่งจะร้องไห้และทำหน้าตาบูดเบี้ยวแต่เขาก็ยังคงอยู่ในร่างของเทพบุตรเสมอ
ทันทีที่ไฟแดงเริ่มกระพริบเป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมตัว เป็นสัญญาณให้ผู้คนที่อยู่ฝั่งนั้นสามารถข้ามมาที่ฝั่งนี้ได้ สมองของผมก็สั่งงานว่าให้ผมรีบหันหลังกลับจากจุดที่ยืนอยู่
ใจที่กำลังเต้นแรงของผมมันเป็นสิ่งที่บอกให้ผมรู้ตัวว่าผมคงไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้จริงๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยังคงก้าวขาไปข้างหน้าไม่ยอมถอยหลัง ทำให้ผมก็เป็นคนแรกที่เดินลงจากฟุตบาทของฝั่งนี้ แล้วไม่รู้อะไรที่ดลใจให้เขาคนนั้นเดินลงมาจากขอบฟุตบาทของฝั่งนั้นเป็นคนแรกเช่นกันดั่งผม
แล้วอย่างไม่ได้คาดฝัน ทันใดนั้นอยู่ๆ ก็มีรถบรรทุกพุ่งตัวมาจากอีกด้านของถนนที่เพิ่งมีสัญญาณไฟแดงไปเข้ามาในเขตถนนด้วยความเร็วสูง
โครม!
เสียงของสองสิ่งกระทบกันดังสนั่น รอบข้างของผมไม่มีแม้กระทั่งเสียงพูดคุย แต่เพียงไม่นานเสียงหวีดร้องและความโกลาหลก็เกิดขึ้น
แม้รอบตัวของผมจะมีแต่เสียงของความวุ่นวายแต่แปลกที่ในใจของผมดันสงบได้มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องขึ้น อาจจะเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคงจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการเสมอมา
ขอบคุณที่ในที่สุดก็ทำให้ผมได้ผ่อนคลายและปล่อยวางอย่างแท้จริง
ถ้าปราโมทย์มาถามผมอีกครั้งผมก็คงตอบได้อย่างเต็มปากว่า
“อื้ม เราสบายใจดีแล้วล่ะ”
จบบริบูรณ์
Talk : สวัสดีค่ะอย่างแรกเลยต้องขอขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่กดเข้ามาอ่านกันรวมไปถึงทุกคอมเมนท์ที่เข้ามาเมนท์ให้กำลังใจกันมันมีความหมายมากจริงๆ ค่ะ เรายอมรับเลยว่าเราไม่มีความมั่นใจตอนจะลงเรื่องนี้เลยเรากลัวมากจริงๆ เรากลัวเราไม่สามารถสื่อได้ถึงอารมณ์ของน้องชินกับพี่เก่งแต่พอเราได้เห็นยอดกดอ่านและมีคอมเมนท์เข้ามามันสามารถลดแรงกดดันและทำให้เรามีกำลังใจให้ไปต่อและออกมาจนเป็นรูปเล่มได้จริงๆ ค่ะ // โค้งขอบคุณอีกครั้ง
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่เราไม่ได้ตอบคอมเมนท์ของใครเลยเราเห็นของทุกคนเลยค่ะและเราอยากพูดกับทุกคนมากกกกกกกกเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่เรามักจะแอบคุยด้วย แต่เราตั้งใจจบเรื่องนี้แบบเปิดว่าหลังจากเสียง ’โครม’ มันเกิดอะไรขึ้นกับทั้ง 2 คน เราเลยไม่อยากให้คำพูดของเราทำลายจินตนาการของคนอ่านเราเลยทำได้แค่กดบวกเป็ดแบบเงียบๆ ตอนเข้ามาเห็นคอมเมนท์ค่ะ ฮา ยังไงก็จบเรื่องนี้แล้วสามารถไปพูดคุยกันได้ที่ #theeffectth นะคะ ขอบคุณค่ะ