The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: The effect (warning rape และ มีความรุนแรงค่ะ) - บทส่งท้าย - 30/10/2017 จบบริบูรณ์  (อ่าน 39568 ครั้ง)

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 9 - 16/07/2017
«ตอบ #30 เมื่อ22-07-2017 12:52:49 »

บทที่ 10
“ผม.....ไม่ทราบครับ”

“ยังไงลองปรึกษาทางครอบครัวดูก่อนได้ค่ะ ถ้ามีอะไรให้พี่หรือคุณหมอช่วยก็แจ้งได้เลยทุกเมื่อเลยนะคะ”

“ขอบคุณครับ”

หลังจากบทสนทนาเบื้องต้นจบลงและผมก็สามารถสงบลงได้มาก คุณหมอก็ทำการตรวจร่างกายของผมอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนที่จะออกไปจากห้องพัก

แผลที่ดูคุณหมอจะเป็นกังวลมากที่สุดก็น่าจะเป็นแผลที่ศรีษะพร้อมทั้งแผลที่ทางด้านหลังของผม คุณหมอเตือนให้ผมแจ้งอย่างรวดเร็วถ้าเกิดมีอาการผิดปกติหรือรู้สึกเจ็บปวด อย่าได้ทนเพราะคุณหมอกลัวว่าจะเกิดการติดเชื้อแล้วอาการของผมจะแย่ลงกว่าเดิม

.....................................................................

“เมื่อกี้เราขอโทษนะที่สะบัดปราโมทย์ออก” 

“ไม่เป็นไร เรื่องเล็ก เราติดต่อครอบครัวนายได้แล้วนะ อีกไม่นานที่บ้านนายก็คงมาถึง” 

“ขอบคุณนะ” 

“ก็เพื่อนกัน”   

แม้ว่าจะเริ่มดึกแล้วปราโมทย์ก็ไม่ยอมไปไหน ผมออกปากให้ปราโมทย์กลับไปแต่ปราโมทย์ก็ไม่ยอม ยังคงนั่งอยู่เงียบๆ เป็นเพื่อนของผม ปราโมทย์ยอมขอตัวกลับบ้านก็ตอนที่แม่ของผมมาถึงที่โรงพยาบาล

“ชินลูกแม่ ลูก”

ทันทีที่แม่เห็นผมแม่ก็เอาแต่ร้องไห้ น้ำตาของแม่ที่ไหลออกมามันทำให้ผมเสียใจ เสียใจที่ไม่ระวังตัวเองให้มากกว่านี้เสียใจที่เป็นต้นเหตุให้แม่ต้องทุกข์  เสียใจที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองจากเหตุการณ์นี้ได้

“เล่าให้แม่ฟังได้ไหมลูก? แม่อยากรู้” 

“เขาเป็นรุ่นพี่ผมครับแม่”

“ก่อนหน้านี้เราสนิทกันมาก แต่ว่าพักหลังเกิดเรื่องที่ทำให้เราไม่ได้สนิทกันเหมือนเมื่อก่อน เราไม่ได้คุยกันมาสักพักแล้ววันนี้พี่เขามาหา แล้วพี่เขาก็ ก็ ก็…”

ทุกครั้งที่ผมพยายามที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมจะรู้สึกถึงมือของพี่เก่งที่คอยบีบคอของผมเอาไว้ นึกถึงตอนที่พี่เก่งบังคับและฝืนสอดใส่เข้ามาตัวของผม นึกถึงคำที่บอกว่ารักแม้ว่ามือของเขาจะคอบบีบคอและทุบตีผมอยู่ก็ตาม ภาพเหล่านั้นมันยังคงชัดเจน ชัดซะจนผมเหมือนมันกำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้   

“แม่ แม่ ช่วยด้วย ชิน ชิน” 

“พอแล้วชิน พอแล้ว แม่อยู่นี่ๆ”

“คุณหมอค่ะๆ” 

เสียงที่แม่ทั้งกดออดทั้งตะโกนเรียกคุณหมอให้วุ่นวายไปหมดเริ่มดังขึ้นเมื่อผมเริ่มออกปากขอความช่วยเหลือจากแม่ ผมรู้ว่าผมอยู่ที่โรงพยาบาลโรงพยาบาลที่ไม่มีพี่เก่ง ผมรู้ว่าแม่อยู่ตรงนี้ทั้งอ้อมกอดที่แม่กอดผมอยู่และเสียงของแม่ที่ดังอยู่ใกล้ตัวของผม แต่ผมไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองให้หยุดได้

ความกลัวที่เกิดขึ้นมันไต่ระดับขึ้นตามวินาทีที่ผ่านไป ความกลัวและความรู้สึกไม่ปลอดภัยทำให้ผมกลับมาหายใจไม่ออกอีกครั้ง มือของพี่เก่งยังคงอยู่ที่รอบคอของผมและไม่ว่าผมจะพยายามแกะมันออกเท่าไหร่มันก็ไม่หลุดออกไปจากคอของผมสักที

คุณหมอเข้าห้องมาพร้อมกับเครื่องช่วยหายใจ คราวนี้คุณหมอไม่ได้บอกให้ผมนับเลขเหมือนครั้งแรกแต่เป็นการเอาอ๊อกซิเจนใส่ครอบเข้ามาให้ผมแม้จะต้องใจที่อยู่ก็โดนอะไรมาครอบลงตรงหน้าแต่เสียงของแม่ที่คอยบอกให้ผมหายใจพร้อมกับพี่พยาบาลอีกคนที่คอยบอกอยู่ข้างๆ ทำให้ผมยอมสูดเอาอากาศจากสิ่งแปลกปลอมนั้นและนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น พอคุณหมอเห็นว่าผมเริ่มหายใจได้เอง คุณหมอก็ถอยออกไปเหลือเพียงแค่ผมกับพี่พยาบาลคนนึง

“ยังไง หมอขอเชิญคุณแม่คุยด้วยนิดนึงนะคะ” 

ตอนที่สายตาของผมชำเลืองเห็นว่าแม่กำลังเดินตามหมอออกไปผมเกิดอาหารประหม่าไม่อยากอยู่คนเดียวในห้องนี้ขึ้นมาผมจึงเอื้อมมือไปแตะแม่เอาไว้ 

“ไม่เอา”  ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบว่าผมไม่อยากให้แม่อยู่ห่างจากตรงนี้

“เอ่อ คุณหมอค่ะ คุยกันในห้องนี้ได้ไหมคะ?” 

“ได้ค่ะ แต่เชิญออกมาจากเตียงนิดนึงนะคะ คนไข้จะได้พักผ่อน”

“แม่ยังอยู่ในห้องนะชินลูก”

ผมพยักหน้าและยอมปล่อยมือออกจากตัวของแม่ในที่สุด   

แม้ว่าคุณหมอจะพยายามอธิบายแม่ด้วยเสียงที่เบาแต่ด้วยสภาพในห้องที่เงียบทำให้ผมยังคงสามารถจับใจความในสิ่งที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันได้

คุณหมอบอกว่าผมอาจจะเป็น Panic attack ซึ่งมันก็อาจจะเป็นผลของเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้าร่างกายหายดีแล้วคุณหมออยากจะแนะนำให้ผมเข้าพบกับหมอทางด้านจิตวิทยาเพื่อเป็นการตรวจเช็คให้แน่ใจเพื่อที่จะได้รักษาได้อย่างถูกต้อง

“โรคที่หมอว่านี้สามารถหายได้ด้วยตัวของคนไข้เองหรือในบางรายก็ต้องพึ่งการรักษาโดยการใช้ยาเข้าช่วย ยังไงให้คุณหมอเฉพาะทางตรวจดูอีกทีน่าจะเป็นผลดีที่สุดค่ะ”

“ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ”

“แล้วก็นี่คือยา Pep ค่ะ”

“มันคือยาอะไรคะ?”

คุณหมอหันมาหาผมที่ยังคงมองทั้งสองคนโดยที่แทบไม่กระพริบตา คุณหมอเดินกลับมาที่เตียงพร้อมทั้งยื่นยามาให้ผมกิน พร้อมทั้งยังอธิบายเกี่ยวกับตัวยาและก็ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ให้ผมกับแม่ฟัง

ในช่วงแรกที่ผมรับยาต้านไวรัสมาทานผมยังไม่ได้รู้สึกถึงผลกระทบเหมือนที่คุณหมอเตือนเอาไว้ ผมยังสามารถนั่งดูแม่ที่กำลังยืนคุยกับคุณหมออยู่ที่อีกมุมห้องได้ตามปกติ

แต่พอเวลาผ่านไม่มานานผมรู้สึกเหมือนใครกำลังเอาด้ามค้อนมาทุบที่หัวของผมมันปวดหัวไปหมด ผมไม่รู้ว่าผมจะอธิบายถึงอาการปวดนี้ว่าอย่างไร ผมพยายามที่จะอดทนเพราะไม่อยากให้แม่เป็นห่วงไปมากกว่านี้แต่แล้วผมก็ทนกับอาการปวดหัวนี้ไม่ไหวกลายเป็นว่าผมอาเจียนออกมาจนเปรอะผ้าห่มและตัวเอง โชคดีที่ผมไม่ได้ทานอะไรของที่ออกมาจึงมีแต่น้ำ 

“ชินลูก คุณหมอค่ะลูกดิฉันเป็นอะไรคะ?” แม่ผละตัวที่กำลังคุยกับคุณหมอและพุ่งมาที่เตียงอย่างรวดเร็ว 

“มีหลายสาเหตุค่ะ เดี๋ยวยังไงดิฉันคงต้องขอตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะมันเป็นไปได้ทั้งผลข้างเคียงของยาที่ได้รับไป แต่เนื่องด้วยคนไข้มีไข้อยู่แล้วจากร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ เพราะมีแผลลึกที่ศรีษะและทางด้านหลัง ดังนั้นเลยอาจจะเป็นอาการร่วมค่ะ” 

พยาบาลต้องเอาชุดเข้ามาให้ผมเปลี่ยนและก็ต้องเปลี่ยนผ้าปูและผ้าห่มใหม่ทันหมด ผมเองก็ต้องให้แม่ลำบากพยุงเข้าไปทำความสะอาดตัวในห้องน้ำ

พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแม่ก็หันไปแจ้งความจำนงกับคุณหมอ มือของแม่สั่นเทาทุกครั้งที่ต้องลากผ่านหรือไปโดนล่องลอยที่เหลืออยู่ที่ตัวของผมจนในที่สุดผมก็ต้องเห็นแม่ของผมร้องไห้เพราะผมอีกครั้ง

"ดิฉันจะแจ้งความค่ะ ยังไงดิฉันรบกวนขอใบรับรองจากทางแพทย์ด้วยนะคะ" 

"ได้ค่ะ" 

"แม่…ถ้าแจ้งความคนอื่นก็ต้องรู้ ผมไม่อยากแจ้งความ ผมไม่อยากให้ใครรู้ แม่ ผมไม่อยาก ไม่แจ้งได้ไหมแม่? ไม่ทำแบบนั้นได้ไหม?"

“ยังไงหมอขอตัวก่อน แล้วถ้าตกลงได้เรื่องอย่างไรสามารถแจ้งหมอได้เลยค่ะ”

คุณหมอขอตัวออกไปจากห้องพัก แม่เองก็ไม่ได้รับปากว่าจะทำตามความต้องการของผมแม่บอกแค่ว่าเดี๋ยวจะรอให้พ่อมาก่อนแล้วเรามาพูดเรื่องนี้กันอีกที 

“ยังไงก็ต้องทำ คุณอย่าตามใจลูก…”

ผมเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มารู้สึกตัวตื่นก็ตอนที่ผมได้ยินเสียเหมือนพ่อกับแม่กำลังคุยกัน พอลืมตาขึ้นมามองก็พบว่าพ่อกำลังยืนคุยกับแม่ที่มุมห้องอยู่จริงๆ ผมไม่ได้ฝันไป

“พ่อ”

“ชิน เป็นไงบ้างเรา”

“ผม โอเคครับ”

ความเป็นจริงผมอยากบอกพ่อเหลือเกินว่าผมเจ็บมากแค่ไหน แต่ผมต้องพยายามทำเป็นไม่เจ็บเพราะผมยังจำได้ว่าก่อนที่ผมจะหลับแม่พูดเรื่องเกี่ยวกับการแจ้งความซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมไม่ต้องการและผมก็คิดเอาว่าถ้าผมไม่เจ็บเรื่องมันก็จะจบอยู่เพียงเท่านี้

"ชิน พ่อกับแม่คุยกันแล้ว ฟังพ่อนะเขาคือคนผิด แล้วเราจะปล่อยให้คนผิดอย่างเขาทำอย่างนี้กับลูกและหายไปหรืออย่างไร?" 

"การดำเนินคดีมันเพื่อตัวของลูกเองนะ" 

“แต่ผม ... ผมไม่อยากให้ใครรู้”

“ชินฟังพ่อนะ”

“ผมไม่เจ็บแล้ว ไม่เจ็บแล้วจริงๆ ครับ”

“ชิน เขาทำกับลูกขนาดนี้ ลูกไม่กลัวว่าเขาจะไปทำแบบนี้กับคนอื่นอีกเหรอ? นอกจากจะเพื่อตัวลูกเองแล้วที่ในอนาคตเขาจะได้ไม่ต้องมายุ่งกับลูกอีก ทุกอย่างที่ตัดสินใจในวันนี้ก็เพื่ออนาคตข้างหน้าด้วยนะลูก”

“ผม”

“ถือว่าลูกได้สู้เพื่อตัวเอง”

“ครับ…” แล้วผมก็จำต้องยอมตกลง

สองวันต่อมาพ่อกับแม่มาทำเรื่องให้ผมออกจากโรงพยาบาลชั่วคราวเพื่อที่จะออกไปดำเนินการแจ้งความ ตลอดการเดินทางจากโรงพยาบาลไปที่โรงพักใจของผมสั่นมือของผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ   

"ผมพาลูกชายมาแจ้งความเรื่องคดีข่มขืนและทำร้ายร่างกายครับ" 

"เชิญครับ" 

ร้อยเวรนายนั้นมองตรงมาที่ผมและเชิญผมให้เขาไปใกล้ๆ แม่เลยต้องเข็ญรถเข็ญมาให้ชิดกับโต๊ะ   

"กรุณาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังด้วยครับ" 

"วันนั้นผมก็กลับเข้าหอตามปกติ แต่ก่อนที่เข้าไปในหอพี่เขาก็เข้ามาทัก" 

"ขอชื่อของคนนั้นด้วยครับ" 

"..." 

"คุณครับ รบกวนขอชื่อคนนั้นด้วยครับ" 

"เก่งชัย รัตนาวงค์" 

"เชิญเล่าต่อเลยครับ" 

"หลังจากนั้นพี่เขาก็ขึ้นมาที่ห้อง..." 

ผมพยายามตั้งสติและเล่าตามสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่เล่าถึงมันเหมือนกับผมไปยืนอยู่ตรงนั้นอีกครั้งไปยืนอยู่ที่ใต้หอ ความเจ็บที่มันเริ่มจางหายไปเหมือนมันจะกลับมาเมื่อภาพทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นอยู่ในหัวของผม

คอที่โดนบีบแม้ตอนนี้จะเหลือแค่รอยช้ำแต่ผมกลับรู้สึกหายใจไม่ออกเหมือนมือของพี่เก่งกำลังยังกำอยู่ที่รอบคอของผม ทางด้านหลังของศรีษะก็เหมือนกำลังถูกตีด้วยหัวเข็มขัดซ้ำๆ อยู่ตลอดเวลา

ผมทำไม่ได้ ผมไม่ไหวแล้ว ผมเจ็บเหลือเกินผมทนเห็นภาพตัวเองเมื่อสองวันก่อนไม่ได้อีกแล้ว ผมจึงหยุดการเล่าไว้เพียงแค่พี่เก่งลากผมเข้าไปที่ห้องนอน

“ผมทำไม่ได้” 

"ไม่เป็นไรลูกๆ"   

"ผมเล่าไม่ได้แล้ว ผมเล่าไม่ได้แล้ว ไม่เอาแล้ว ผมไม่เจ็บแล้ว ผมไม่เอาแล้ว ผม ผม" 

แม่ดึงตัวของผมที่เริ่มสั่นเข้าไปกอดเอาไว้ และวันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมเป็นไอ้ขี้แพ้เป็นคนที่ไม่สามารถจะต่อสู้อะไรได้แม้กระทั่งจะสู้เพื่อตัวเอง เมื่อผมเย็นนายตำรวจคนนั้นก็เริ่มที่จะถามคำถามกับผมต่อ

"แล้วไม่ทราบในตอนนั้นมีใครอยู่ด้วย หรือ มีใครเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ้างไหมครับ?" 

“ไม่มีคนอยู่กับผมครับ แต่ผมมาเจอเพื่อนของผมตอนที่ผมพยายามหนีออกมาจากห้องของตัวเองครับ"

“งั้นยังไงก็ต้องรบกวนขอชื่อและเบอร์ติดต่อของเพื่อนของคุณด้วย เพราะเขาก็อาจจะเป็นหนึ่งในพยานในครั้งนี้ได้ แต่อย่างไรเสียนอกจากผลของใบรับรองแพทย์ที่ได้มาอยู่ในมืออันนี้ หรือแม้ว่าเพื่อนของคุณจะให้ปากคำที่เป็นประโยชน์แต่มันก็จะไม่มี
น้ำหนักพอถ้าเรื่องราวที่เหลือมันไม่ได้ออกมาจากปากของคุณ”

“ครับ” 

ผมใช้เวลารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์เต็มจึงสามารถทำเรื่องออกมาจากโรงพยาบาลได้ แต่คุณหมอขอให้มาเช็คร่างกายในอีก 3 เดือนข้างหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าผมไม่ได้ติดโรคร้ายมาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ 

ปราโมทย์เป็นคนทำเรื่องลาให้ผมกับอาจารย์แถมก็ยังแวะเอาชีทเรียนมาให้ผมทุกวัน ในตอนแรกผมไม่กล้าสู่หน้าปราโมทย์เพราะพอร่างกายผมเริ่มหายดีผมก็จำได้ว่าปราโมทย์มาเจอผมในสภาพไหน

ผมไม่แน่ใจว่าปราโมทย์จะมีความรู้สึกรังเกียจผมบ้างไหมเพราะตลอดเวลาที่ปราโมทย์แวะมาหาปราโมทย์มักจะพยายามรักษาระยะห่างระหว่างผมกับเขาเอาไว้เสมอเลยทำให้ผมพูดคุยกับปราโมทย์น้อยลงกว่าที่เคย

โชคดีที่นิ้วมือและหัวเข่าไม่ได้มีการแตกหักเพราะฉะนั้นแค่อยู่นิ่งๆ เพิ่มอีกสองสามวันทุกอย่างก็ดูเข้าที่เข้าทางและจากผลเอ๊กซเรย์ก็โชว์ให้เห็นว่าทั้งเส้นเอ็น กล้ามเนื้อและกระดูกของผมไม่มีปัญหา

ส่วนช่องทางด้านหลังของผมก็เริ่มหายเป็นปกติจนสามารถขับถ่ายได้ด้วยตัวเอง ผมจึงเหลือแค่แผลที่หัวที่ยังคงต้องไปล้างแผลทุกวัน

ตั้งแต่ผมกลับมารักษาตัวที่บ้านแม่ก็ขอลาพักร้อนยาวเพื่อออกมาดูผมให้เต็มที่ เพราะนอกจากผลข้างเคียงของยาที่ทำให้ผมมึนและอาเจียนบ้างในบางครั้ง สิ่งที่ผมเป็นโดยที่ไม่รู้ตัวคือผมก็ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้อีกเลย ถึงแม้ผมกำลังอยู่ในบ้านของตัวเองก็ตามไม่ว่าจะเป็นตอนกลางวันหรือกลางคืนก็ต้องมีคนอยู่กับผม เพราะฉะนั้นในทุกคืนพ่อหรือแม่จะต้องสลับมานอนเป็นเพื่อนผมที่ห้องเพราะถ้าผมเกิดตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่เจอใคร โรคพานิคของผมจะกำเริบขึ้นทันที 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 10 - 22/07/2017
«ตอบ #31 เมื่อ22-07-2017 16:04:34 »

ฮืออ สงสารT.T

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 10 - 22/07/2017
«ตอบ #32 เมื่อ22-07-2017 21:53:19 »

สงสารมาก เป็นนิยายที่สะท้อนอีกด้านของนิยายทั่วๆไปจริงๆ ถ้าคนมันโดนกระทำแบบไม่เต็มใจเค้าคงรู้สึกแบบนายเอกเรื่องนี้แหละยากที่จะรักคนที่สร้างบาดแผลให้เรา มันไม่โรแมนติกเลยปราโมทย์คงไม่ได้รังเกียจหรอกแค่เห็นผวาเลยเว้นระยะให้เพื่อนเฉยๆ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 10 - 22/07/2017
«ตอบ #33 เมื่อ30-07-2017 12:44:17 »

บทที่ 11

บ่ายวันเสาร์แม่กับพ่อบอกว่าวันนี้จะมีทนายคนที่เป็นเพื่อนของพ่อมาหาที่บ้านเพื่อมาคุยกันถึงเรื่องคดี ผมพยายามต่อรองพร้อมทั่งอ้างเหตุผลมาอีกมากมายที่จะไม่ต้องอยู่เจอแต่พ่อกับแม่ก็ไม่ยอมให้ผมได้ทำตามใจอยาก

ก่อนที่จะได้ออกมาจากโรงพยาบาลผมเห็นว่าพ่อกับแม่เงียบไปถึงเรื่องนี้ผมก็นึกว่าทุกอย่างมันจะจบอยู่แค่นั้น จบที่สถานีตำรวจไม่นึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันยังไม่เคยจางหายไปจากใจของท่านทั้งสอง

เสียงแตรที่ถูกบีบโดยอาพุฒที่หน้าบ้านมันทำให้จังหวะเต้นของหัวใจของผมเต้นเร็วขึ้น เหงื่อของผมเริ่มออกมาเต็มแผ่นหลังและฝ่ามือ

“ไงชิน จำอาได้ไหม?”

“สวัสดีครับอาพุฒ”

อาพุฒทำให้ผมสบายใจอละรู้สึดลืมเรื่องเหล่านั้นไปได้สักพักโดยการที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องคดีตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในบ้าน อาพุฒชวนผมคุยพร้อมกับถามไถ่ถึงเรื่องทั่วไปก่อนที่จะวนกลับมาสู่เรื่องที่ผมไม่อยากเล่ามากที่สุด

“ไหนชินลองเล่าให้อาฟังหน่อยว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”

“ผมเล่าให้พ่อกับแม่ฟังไปแล้วครับ”

“แต่อาอยากฟังอีกครั้ง อาอยากฟังโดยละเอียด”

“ละ...ละเอียดแค่ไหนครับ?”

“ชินลองเริ่มจากคนนั้นเข้ามาเจอชินยังไง? เริ่มทำร้ายชินยังไง? เริ่มต่อสู้กันแบบไหนบ้าง? ชินได้ทำอะไรเพื่อเป็นการป้องกันตัวเองไหม?”

“...”

ผมก้มหน้าเอาคางชิดอกกำมือเอาไว้แน่นจนเล็บจิกลงไปที่ฝ่ามือ ทำไมทุกคนต้องมาถามเรื่องนี้กับผม? ทำไมต้องมาทำให้ผมรู้สึกไม่ดี? พวกเขาไม่รู้เหรอไงว่าผมไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น? พวกเขาไม่รู้เหรอว่ามันเลวร้ายและผมยังคงเจ็บปวดกับมันอยู่

ที่ผมไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือทำไมต้องอยากให้ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ทั้งพ่อทั้งแม่ หมอ ตำรวจ รวมมาถึงอาพุฒ ทุกรายละเอียดก็ถูกเขียนประจานอยู่ในกระดาษใบนั้นที่ผมลงมือเขียนเองกับมือแล้ว

หรือว่าที่จริงแล้วพวกเขาก็แค่ต้องการตอกย้ำให้ผมรู้ว่าผมเป็นไอ้ขี้แพ้ที่ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ หรือว่าที่จริงแล้วพ่อโกรธผมที่วันนั้นผมโกหกออกไปว่าผมไม่เจ็บ หรือว่าแม่เองก็โกรธที่ผมไม่ยอมพูดอะไรต่อหน้าร้อยเวรคนนั้น ทั้งพ่อและแม่ก็เลยเอาอาพุฒมาลงโทษผม

“ชิน ลูกตอบคุณอาไปสิ”

“ผม...ไม่อยากพูดถึงมันครับ”

“ฟังอานะ ถ้าชินไม่พูด เรื่องมันก็จะเดินต่อไปไม่ได้ แล้วแบบนี้ถ้าเกิดว่าต้องขึ้นศาลจริงๆ เราจะสามารถพูดกับศาลได้เหรอ? ทนายฝั่งนั้นเขาต้องถามอะไรแรงกว่าอาอีกนะ”

“ก็ให้เขาถามไปสิ!!! แต่ผมจะไม่ตอบ ผมไม่อยากพูดแล้ว ผมไม่อยากไปนั่งป่าวประกาศเรื่องนี้กับใครแล้ว!!”

“ใจเย็นๆ ลูกใจเย็นๆ”

“ได้ยินผมไหม ผมไม่พูด ได้ยินผมไหม!!”

“ผมว่าพอก่อน...คุณให้ลูกไปพักก่อนก็ได้คุณเดี๋ยวผมคุยกับพุฒเอง”

”ค่ะ”

ก่อนที่อาพุฒจะกลับไป อาได้ให้ความเห็นกับพ่อเอาไว้ว่าสิ่งที่ทางเราจะสามารถทำได้ก็แค่ส่งเรื่องไปให้กับครอบครัวฝั่งโน้นได้ทราบแล้วก็ค่อยมาดูท่าทีว่าทางโน้นจะว่าอย่างไร


..................................................................

“แบบนี้ไม่ไหวหรอกชิน จะไปสอบได้ยังไงให้แม่ไปพบอาจารย์ดีกว่า” 

ครบ 3 อาทิตย์กว่าที่ผมกลับมารักษาตัวที่บ้านแต่ร่างกายของผมก็ยังไม่หายร้อยเปอร์เซ็น ไม่ใช่แค่บาดแผลที่ยังไม่หายแล้วทำให้แม่เป็นกังวล แต่ผลกระทบจากยาต้านที่ทำให้ผมอาเจียนและมีไข้สลับกันไปมาแบบนี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมไม่สามารถอ่านหนังสือทวนสอบได้เต็มที่

“แม่ว่าอาจารย์เขาจะยอมไหม?” 

“ยังไงก็ต้องลองดู...คุณคะพรุ่งนี้คุณหยุดงานอยู่เป็นเพื่อนลูกได้ไหม?” 

"ได้สิ งั้นพรุ่งนี้ชินอยู่กับพ่อนะลูก" 

"แล้วแม่จะบอกอาจารย์ว่าอะไร? แม่จะบอกกับทางมหาวิทยาลัยว่าผม..ผมโดนอะไรผมถึงต้องหยุดเรียน แม่จะบอกกับเขารึเปล่า แม่...แม่.."

“ชิน”

“งั้นผมไปดีกว่า ผมไหว ผมไหว...ผมทำได้ ผมอ่านซ้ำไปเยอะแล้ว..ให้ผมไปนะครับแม่ ... พ่อให้ผมไปสอบนะ”

แม้ลึกๆ ในใจของผมจะตะโกนกู่ร้องว่าผมไม่พร้อมกับการสอบในครั้งนี้แต่การที่จะขอสอบทีหลังคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเหตุผลที่มีมันต้องมากพอ

ผมพอรู้ว่าแม่คงต้องบอกความจริงกับอาจารย์เพื่อให้อาจารย์พิจารณา แต่ถ้าต้องเป็นแบบนั้นผมว่าผมยอมไปสอบทั้งที่ผมไม่พร้อมแบบนี้ยังจะดีซะกว่าที่ต้องให้มีคนรู้เรื่องของผมเพิ่มขึ้น

"ใจเย็นๆ มองแม่นะชิน หายใจเข้าลึกๆ มองแม่ หมอบอกให้ทำยังไงจำได้ไหม? มองแม่ มอง นับเลขตามแม่นะ หายใจเข้า" 
"ครับ 7 9 12 16..." 

"ชินฟังแม่นะลูก...แม่คงต้องบอกกับทางอาจารย์ เพราะเราต้องใช้ใบรับรองแพทย์ไปยื่นประกอบ" 

"แต่ แต่ ผม.." 

"การบอกในครั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของลูกเอง อีกอย่างที่อาจารย์รู้ เขาก็ช่วยกันคนนั้นออกไปห่างจากลูก ไม่ดีเหรอ? จะได้ไม่มีใครมาทำร้ายลูกแม่ได้อีก เชื่อแม่นะครับ อย่ากังวลไปเลยนะชิน" 

“ครับ" 

เย็นวันนั้นหลังจากที่ผมยอมตกลงทำตามที่แม่บอก ผมได้แต่นั่งมองพ่อที่ต้องโทรศัพท์สายด่วนไปหาเจ้านายขอหยุดงาน มองดูแม่ที่ต้องมานั่งจัดเอกสารเพื่อที่จะเอาไปยื่นกับอาจารย์ให้ผม มองดูชีทที่วางอยู่ตรงหน้าที่ปราโมทย์ต้องเป็นคนเอามาให้จากที่มหาวิทยาลัย   

หันกลับมามองตัวเองแล้วผมเองตอนนี้ละผมกำลังทำอะไรอยู่? ผมกำลังนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรสักอย่างนั่งเป็นคนไร้ค่ามาเป็นเวลาหลายอาทิตย์ ทำไมนะทำไมผมถึงไม่เข็มแข็งกว่านี้? ทำไมผมถึงไม่อดทนให้มากกว่านี้? แล้วผมต้องเป็นภาระให้คนอื่นไปอีกนานแค่ไหนกัน? เมือ่ไหร่กันที่ผมจะหายดี?

"ขอโทษครับ พ่อ แม่" 

“ชินว่าไงนะลูก?”

“ไม่มีอะไรครับ”

เสียงกระซิบคำขอโทษของผมคงไม่มีใครได้ยินนอกจากตัวของผมคนเดียว
…………………………………

ผมกลับมาเหยียบที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งใน 1 เดือนต่อมาหลังจากที่ผมได้กินยาต้านครบตามกำหนดแถมร่างกายก็หายดีทุกอย่างเหลือเพียงแผลเป็นเล็กน้อยเท่านั้น

ตั้งแต่เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ วันนี้เป็นวันแรกที่ปราโมทย์ยอมขับรถมามหาวิทยาลัย เมื่อเช้าปราโมทย์อาสาเป็นคนไปรับผมที่บ้าน ที่ปราโมทย์ต้องลำบากก็ไม่ใช่เพราะใครแต่เป็นเพราะผมที่ไม่มั่นใจที่จะต้องเดินเข้ามหาวิทยาลัยด้วยตัวเองเพียงลำพัง 

“เรามีอะไรแปลกหรือเปล่า?”

“ไม่มีนิทำไม?”

“ก็เหมือนว่าทุกคนกำลังมองเราอยู่”

“นายคิดมากไม่มีใครสนใจเราสองคนเลย ก็เหมือนแต่ก่อนที่เราไม่มีใครสนใจเรากันนั่นแหละ”

แม้ว่าปราโมทย์จะพูดแบบนั้นกับผมแต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่ ตั้งแต่ผมก้าวลงมาจากรถ ผมรู้สึกได้ว่าทุกสายตากำลังจ้องมองมาที่ผม กำลังจ้องมองทุกอากัปกริยาไม่ว่าผมจะเดินไปไหนหรือขยับตัวทำอะไร

“งั้นเราไปห้องน้ำก่อนนะ” พอผมไม่มั่นใจมากๆ ผมเลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อไปทำสมาธิให้สมองมันโล่งขึ้นไม่เอาแต่จดจ่ออยู่กับคนอื่น

“งั้นเรารอตรงนี้ เดินกลับมาตรงนี้นะ”

“อื้ม”

ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังจะเลี้ยวเข้าไปที่ข้างตึกที่มีห้องน้ำอยู่ ผมก็โดนใครสักคนกระชากแขนของผมจากทางด้านหลังและลากผมไปที่ทางด้านหลังของตึก

สัมผัสที่ผมได้รับมันทำให้ร่างกายของผมเกร็งจนไม่สามารถขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว ยิ่งผมได้เห็นว่าคนที่กำลังจับตัวของผมอยู่นั้นเป็นใคร ระบบการหายใจของผมก็เริ่มติดขัดทันที

“ชิน หายไปไหนมา? พี่โทรหาเราติดต่อเราไม่ได้เลย เปลี่ยนเบอร์ทำไม? พอพี่ไปที่หอก็ไม่ได้เจอ”

พูดถึงเรื่องหอแน่นอนว่าผมไม่มีวันที่จะกลับไปเหยียบที่นั้นอีกครั้ง ผมไม่สามารถทำใจกลับไปใช้ชีวิตที่นั้นอได้ รวมถึงตามคำแนะนำของหมอที่ไม่ต้องการให้ผมอยู่คนเดียว ทำให้ตั้งแต่ด่อนออกจากโรงพยาบาลพ่อก็ไปทำเรื่องย้ายออกพร้อมทั้งยังขนของทั้งหมดของผมออกมาทั้งหมดแล้ว

“....”

“ตอบสิ”

“...”

“วันนั้นพี่บอกแล้วไงว่าอย่าคิดหนีพี่”

“ปล่อย.......ผม”

“ชิน..พี่ขอโทษ”

“ปล่อย..”

“ทำไมตัวเราสั่น? เราเป็นอะไร?”

“....”

“กลัวพี่เหรอ? พี่บอกเราแล้วไงว่าพี่รักเรา พี่ทำไปทุกอย่างก็เพราะว่าพี่รักเรา พี่ขอโทษแต่พี่เสียเราไปไม่ได้ อย่ากลัวพี่เลย พี่เองก็รู้สึกเสียใจมากที่พี่ทำลงไป”

“ปล่อยผม”

“ให้อภัยพี่ได้ไหม? นะครับ ให้โอกาสพี่นะ พี่ขอแค่โอกาสแล้วพี่จะทำให้รู้ว่าพี่รักเรามากแค่ไหน....”

สิ้นเสียงของประโยคสุดท้ายที่ผมไม่รู้ว่าพี่เก่งพูดอะไรพี่เก่งก็ดึงผมเขาไปกอด ทันที่ร่างกายของผมได้สัมผัสกับตัวของพี่เก่งจากที่หายใจไม่สะดวกกลับกลายเป็นว่าในตอนนี้ผมไม่สามารถหายใจได้เลย อากาศที่ในตอนแรกยังสามารถเข้ามาได้น้อยนิดแต่ตอนนี้ผมไม่สามารถสัมผัสได้ถึงมันอีกเลย

ผมเกร็งไปทั้งตัว เกร็งด้วยความกลัว เกร็งโดยที่ต้องการออกไปจากอ้อมกอดอันน่ารังเกียจ แต่ผมไม่มีเรี่ยวแรงที่มากพอที่จะผลักพี่เก่งออกไปจากตัวของผมได้ แรงของผมหายไปพร้อมกับอากาศที่มันไม่มี

ไม่รู้ว่าเวลาที่น่าทรมาณตรงนี้ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วผมไม่รู้ สิ่งที่รู้ก็คือพี่เก่งยังคงกอดผมเอาไว้แน่นพร้อมกับพร่ำคำว่ารักให้ผมได้ยินอยู่ซ้ำๆ ที่ข้างหู

ร่างกายผมเกร็งถึงขีดสุดในตอนที่พี่เก่งยกมือขึ้นลูบหัวของผมแล้วมือของพี่เก่งดันไปโดนแผลที่เพิ่งตกสะเก็ดที่อยู่ทางด้านหลังของศรีษะ แล้วก็เป็นสัมผัสนั้นเองทำให้ความอดทนในการเข็มแข็งหมดลง

ผมอาเจียนออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจผมไม่สามารถควบคุมร่างกายที่เป็นของตัวเองได้เลย ร่างกายไม่เชื่อฟังในสิ่งที่ผมสั่งให้ทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่ากำลังอยู่ตรงไหนและควรที่จะทำหรือไม่ทำอะไร อาเจียนของผมเปรอะเปื้อนใส่ทั้งตัวของพี่เก่งและตัวของผมเองแต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือผมปล่อยให้ปัสสะวะไหลออกมาจากตัวเอง

“เป็นอะไรชินเป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเราเป็นอย่างนี้?”

ในที่สุดพี่เก่งก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของผม พี่เก่งปล่อยผมออกจากอ้อมกอดด้วยความตกใจอย่างกระทันหัน ทำให้ผมที่ไม่ทันได้ตั้งตัวล่วงลงไปนั่งกับพื้น

“ชินเป็นอะไร ชินบอกพี่สิ พูดกับพี่สิชิน” พอพี่เก่งได้สติพี่เก่งก็พยายามที่จะเข้ามาประคองตัวของผม แต่กลับกลายเป็นผมเองที่ถอยกรูดหนีไปตามกำแพง

“ชิน ชิน เราเอง”

โชคดีที่ปราโมทย์เดินมาทางนี้พอดีทำให้เขาเจอผมที่พยายามคลานออกมาจากตรงข้างกำแพงนั้น ปราโมทย์มองตรงไปทางพี่เก่งที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ชิน หายใจ หายใจ นับเลข ทำตาม 5 7 9 11 5...”

ร่างกายของปราโมทย์กับร่างกายของผมเราไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ทำให้เขาไม่สามารถจะอุ้มผมไปขึ้นรถได้ ปราโมทย์จึงพยายามทำให้ผมสงบลงที่ตรงนี้ โดยการที่ให้ผมนับเลขซ้ำอยู่อย่างนั้น

ในช่วงหลังมานี้ ผมสามารถหายได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่ ณ เวลานี้ที่ผมยังคงเห็นพี่เก่งยืนอยู่ตรงนั้น ผมยังคงเห็นสายตาของพี่เก่งที่ยังจ้องมองผมอยู่

“พี่ช่วยออกไปไกลๆ จากตรงนี้ได้ไหมครับ?”

“นั้นคนรักของพี่ พี่อยากเข้าไปดูว่าเขาเป็นอะไร”

“ถ้าพี่ไม่อยากให้เขาตายตรงนี้พี่ก็ต้องไป”

“พี่ไม่ไป”

“ได้ งั้นผมจะตะโกนเอาให้ดังเอาให้ทุกคนรู้ พี่จะแลกกับการได้ยืนมองคนที่พี่รักอยู่ไหม?”

“อยากจะตะโกน ก็ตะโกนไปเลย!!”

“ก็ดี...ถ้าชินเป็นอะไรไปก็โทษตัวเองได้เลยแล้วกัน เพราะว่าพี่คือต้นเหตุ ผมจะบอกพ่อกับแม่เขาด้วย ว่าลูกเขาต้องเป็นแบบนี้เพราะอะไร”

พี่เก่งหยุดฝีเท้าที่กำลังเดินก้าวย่างมาที่ผม หน้าพี่เก่งบ่งบอกถึงความไม่ชอบใจที่ต้องยอมทำตามคำสั่งของปราโมทย์ แต่ปราโมทย์แสดงออกให้รู้ว่าเขาพร้อมที่จะทำจริงอย่างที่เขาพูด พี่เก่งจึงค่อยยอมเดินหายจากไปตรงนี้

......................................................

ที่บ้านไม่มีใครคาดคิดว่าผมจะกลับบ้านมาก่อนเวลาที่ได้บอกเอาไว้ ดังนั้นตอนที่ปราโมทย์มาส่งผมที่บ้านเขาจึงต้องลงเอยโดยการอยู่เป็นเพื่อนผมจนกว่าพ่อหรือแม่จะกลับมาถึงบ้าน

“ชินจะไปไหน? ไม่มานั่งอ่านหนังสือด้วยกันเหรอ?”

“เราจะไปเช็ดเบาะให้”

“ไม่เป็นไรตอนนายไปอาบน้ำเราไปเช็ดมาแล้ว”

“แต่มันอาจจะไม่สะอาด”

“สะอาดแล้ว”

“เราแค่อยากไปดูให้แน่ใจ”

เมื่อผมยังคงยืนกรานแบบนั้นปราโมทย์จึงไม่ได้เอ่ยห้ามอะไรผมอีก ผมเดินไปเอาผ้าที่หลังบ้านมาชุบน้ำพร้อมทั้งไปคุ้ยหาน้ำยาเช็ดเบาะหนังของพ่อในโรงเก็บของและมาขัดที่เบาะที่ผมนั่งกลับมา

ผมไม่อยากให้เบาะของปราโมทย์ต้องเปรอะเพราะผมเป็นต้นเหตุ ผมไม่อยากทำให้คนรอบข้างเห็นผมเป็นตัวเดือนร้อน หรือ ภาระ ผมกลัวพวกเขาจะรู้สึกเบื่อผมและหายจากผมไปในที่สุด

ผมไม่รู้ผมจมอยู่ที่รถนานแค่ไหน มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่พ่อกลับมาถึงที่บ้านแล้วเดินมาตามให้ผมเข้าบ้าน ดูเหมือนว่าระหว่างที่ผมกำลังสาละวนกับการทำความสะอาดปราโมทย์คงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อได้ฟังหมดแล้ว พ่อจึงได้โทรหาอาพุฒพร้อมทั้งกำชับให้ดำเนินเรื่องให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และไม่ว่ากรณีไหนก็พร้อมดำเนินคดีให้ถึงที่สุดโดยไม่มีการยอมความ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้พ่อและแม่ต่างลงความเห็นว่าผมยังไม่พร้อมไปมหาวิทยาลัย แต่แม่เองก็ได้ใช้วันลาของทั้งปีหมดไปเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นคราวนี้จึงเป็นตาของพ่อที่ต้องใช้ช่วงลาพักร้อนเพื่อดูแลผมที่บ้าน

เป็นผมที่เป็นตัวสร้างปัญหาให้คนอื่นต้องมาเดือนร้อนอีกแล้วสินะ

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 11 - 30/07/2017
«ตอบ #34 เมื่อ31-07-2017 20:38:15 »

อ่่านแล้วเศร้ามากจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-08-2017 00:51:43 โดย papapoope »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Re: The effect (Bad Ending) SM - บทที่ 11 - 30/07/2017
«ตอบ #35 เมื่อ01-08-2017 05:26:35 »

เก่ง สร้างภาพหรือเป็นอย่างที่เขาลือกัน
แต่พอชินปลีกตัว เพื่อให้ข่าวลือยุติลง
ทำไมเก่ง บอกว่าในเมื่อชิน คิดว่าเขาเลว เขาก็จะเลวซะเลย
เหมือนเก่งมีปมในอดีต เคยถูกคนรักหักหลัง

แต่การทำร้ายชิน อย่างรุนแรง ข่มขืนคนที่ตัวเองบอกรัก
มันไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่ นี่ใช่คนรักกันเขาทำกันหรือ :ling1: :ling1: :ling1:
แล้วไม่สำนึกเจอใหม่ก็ผวาเข้าใส่ ทั้งที่สภาพชินไม่ได้ปกติเมื่อพบตัวเอง

พ่อแม่ชิน ให้แจ้งความถูกต้องเลย
ร่างกายชิน ย่ำแย่มาก แต่สภาพจิตใจ เลวร้ายยิ่งกว่าร่างกายเสียอีก
ชินเป็นโรคหวาดระแวงขนาดนี้ จะเรียนอย่างปกติได้หรือ

ปราโมทย์ คิดกับชินแค่เพื่อนจริงหรือ  :hao3:
ดีที่ปราโมทย์เจอชิน ตอนพยายามหนีเก่ง
ทำให้พาชินมารักษาตัวได้ ไม่งั้นชินคงถูกทรมานต่ออีก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 11 - 30/07/2017
«ตอบ #36 เมื่อ20-08-2017 10:17:34 »

บทที่ 12
เสียงกดออดดังที่หน้าบ้านอีก 2 วันต่อมา พ่อเป็นคนเดินไปเปิดประตูบ้านให้ผู้ใหญ่ 2 คนที่ผมไม่รู้สึกคุ้นหน้า ผมที่แอบมองจากบันไดรีบเดินตรงไปที่ห้องครัวไปเตรียมน้ำให้สำหรับแขกทั้งสองคนด้วยความที่ผมรู้สึกว่าผมควรทำตัวเป็นคนมีประโยชน์สำหรับคนที่บ้านบ้าง ผมเดาว่าพวกเขาน่าจะเป็นคนจากที่ทำงานของพ่อ

แต่ทันทีที่เขาแนะนำตัวกับพ่อว่าพวกเขาคือใคร แก้วน้ำทั้งสองแก้วที่อยู่ในถาดที่ผมถืออยู่เกือบจะล่วงหล่นลงที่พื้น จากนามสกุลที่ผมได้ยินผมก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาคือพ่อแม่ของพี่เก่ง

“ดิฉันอยากมาขอเจรจากับเรื่องที่เกิดขึ้นค่ะ”

“ทางเราไม่มีอะไรที่ต้องการจะเจรจา เชิญคุณกลับไปกันได้ครับ”

“เรื่องนี้ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ ผมได้ลองคุยกับลูกของผมแล้วทางนั้นเขาก็บอกว่าเพราะเขากับลูกของคุณรักกันแต่ว่าวันนั้นมีปัญหากันนิดหน่อยเรื่องเลยออกมาเป็นแบบนี้ แล้วเขาก็เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก”

“แต่จากทางผม ผมว่าเรื่องราวต่างๆ มันไม่ใช่แบบที่ลูกของคุณเล่า”

“เราใช่ไหมจ๊ะที่ชื่อ ชิน?”

“คะ..ครับ”

“ลองเล่าเหตุการณ์ให้น้าฟังหน่อยได้ไหมคะ? น้าเองก็อยากรู้เหตุการณ์จากปากของเราเหมือนกัน เพราะจากสำนวนที่น้าได้อ่านมาเหมือนเรายังไม่ได้เล่าอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลยนี่จ๊ะ”

“ผม ผม..” ยังไม่ทันที่ผมจะได้อธิบายตามที่แม่ของพี่เก่งต้องการพ่อของพี่เก่งก็พูดขัดบทสนทนาขึ้นมา

“ผมว่าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยดีกว่าครับ เรื่องแบบนี้อย่าให้ต้องขึ้นถึงโรงถึงศาลเลยคุณ”

“จริงค่ะ ดิฉันว่าเรามาคุยกันดีๆ แล้วยอมความกันให้เรื่องราวมันจบไปจะดีกว่านะคะ”

“ยังไงวันนี้ผมเชิญพวกคุณกลับ แล้วทางเราจะค่อยติดต่อกลับไปอีกทีเมื่อถึงเวลานัดขึ้นศาล”

“ลองคิดดูดีๆ นะครับ นี่เบอร์ส่วนตัวของผมเผื่อคุณจะเปลี่ยนใจ”

“ชิน...น้าขอบอกอะไรกับเราเอาไว้สักอย่างนะจ๊ะ”

“ครับ” ผมตอบรับแม่ของพี่เก่งออกไปแม้ว่าตอนนี้คางของผมจะก้มลงจนชิดเข้ากับหน้าอกของตัวเองแล้วก็ตาม

“ตาเก่งเขารักเรามากนะ...เสียดายที่เราต้องมาทะเลาะกันรุนแรงถึงขนาดนี้”

หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปพ่อก็รีบต่อสายตรงหาอาพุฒเพราะพ่อกลัวว่าทางเราจะเสียเหลี่ยมเขา อาพุฒได้อธิบายให้ฟังผ่านสายโทรศัพท์ว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ยอมความกันได้จริง แถมการยอมความก็เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากแค่ทางเราตกลงที่จะรับอะไรจากเขาสักอย่างก็ถือว่าเป็นการตกลงยอมความกันแล้วแม้จะไม่มีลายลักษณ์อักษรเกิดขึ้น อาพุฒเตือนให้พวกเราระวังเกี่ยวกับข้อกฎหมายให้ดีอย่าทำอะไรโดยที่ยังไม่ได้ปหรือกษากับทางอา

“ชินไม่ต้องห่วงนะลูก...เราจะผ่านมันไปได้”

“ครับ...พ่อ”

ผมไม่รู้เลยว่าพ่อได้นัดกับอาพุฒมาคุยอีกทีกันในกลางดึกของคืนนั้นหลังจากที่ผมขึ้นไปทางด้านบนกับแม่แล้ว การเผชิญหน้ากับพ่อแม่ของพี่เก่งทำให้ผมนอนไม่หลับผมจึงลงมาทางด้านล่างของบ้านเพื่อที่จะหาอะไรดื่มให้อุ่นท้อง

ช่วงที่ผมก้าวลงตามขั้นบันไดผมมีโอกาสได้เห็นสองคนกำลังคุยกันอย่างเคร่งเครียดผมจึงหยุดเดินและนั่งลงเพื่อที่จะรับฟังบทสนทนานั้น บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับผมโดยตรง

“เคสลูกนายมันยากนะฉันขอบอกนายล่วงหน้าเอาไว้เลย เพราะลูกนายไม่ยอมพูดอะไรถึงเหตุการณ์วันนั้นเลย”

“ลูกฉันคงยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้”

“เข้าใจ แต่อย่าลืมว่าหลักฐานจากสภาพแวดดล้อมมันน้อยมาก ถ้าเกิดฝั่งนั้นเขาจะเล่นเกี่ยวกับว่าลูกนายเป็นคนให้ลูกเขาขึ้นห้องไปเอง ที่มีเรื่องกันก็แค่ว่าเป็นเรื่องของคนรักทะเลาะกัน คดีมันจะเป็นไปอีกทางเลยนะ”

“แต่ลูกฉันไม่ได้เป็นคนรักกับทางนั้น ฉันเคยถามลูกแล้ว ลูกไม่มีทางโกหกแน่นอน”

“แต่เท่าที่ลองไปเลียบเคียงถามที่มหาวิทยาลัยมา เหมือนว่ามันจะมีมูลอยู่บ้างนะที่ลูกนายอาจจะกำลังคบกับทางนั้น ถ้าต้องสืบพยาน นายเข้าใจใช่ไหม?”

“โธ่เว้ย!!! ทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องมาเกิดขึ้นด้วยวะ”

“แต่เอาน่ะ ยังไงฉันก็ต้องทำให้ดีที่สุดนั่นแหละ”

“ขอบใจนายมาก”

.................................................................

หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดคราวนี้ผมรู้แล้วว่าผมคือตัวแปรหลักของคดีดังนั้นถ้าผมอยากจะช่วยพ่อไม่ให้พ่อไปเป็นตัวตลกในศาลผมก็ควรที่จะเข็มแข็งให้มากกว่านี้ ผมคิดทบทวนเรื่องราวอยู่นานจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ ผมเดินกลับขึ้นหาแม่บนห้อง ปลุกให้แม่ตื่นพร้อมกับเป็นครั้งแรกที่ผมยอมพูดคำนี้

“แม่ครับ ชินอยากเข้ารับการรักษากับคุณหมอจิตแพทย์”

ตาของแม่เปิดกว้างด้วยความตกใจเพราะผมมักจะปฎิเสธการรับเข้าการรักษามาโดยตลอด ผมมีความเชื่อมั่นว่าผมจะสามารถผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ด้วยตนเองยิ่งคนรู้น้อยผมจะยิ่งผ่านมันไปได้เร็ว แต่ดูเหมือนว่าผมจะคิดผิด เวลาไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลยในเรื่องนี้

“เกิดอะไรขึ้นลูก? มีอะไรหรือเปล่า”

“ผมแค่อยากเข้มแข็งเตรียมขึ้นศาลครับ”

“จริงเหรอลูก?”

“ครับ”

ผมว่ามันถึงเวลาแล้วละที่ผมต้องต่อสู้เพื่อครอบครัวและเพื่อตัวของผมเองบ้าง

...................................................................

“สวยเนอะ”

“สวยมากกกกก”

“สวยสุด”

ผมกลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้งในช่วงที่จะใกล้สอบปลายภาค ครั้งแรกที่ได้ยินคำพวกนี้ผมไม่เคยคิดว่ามันจะหมายถึงผม แต่พอเริ่มได้ยินบ่อยครั้งเข้า อีกทั้งมีคนเดินเข้ามาพูดกับผมโดยตรงมีกลุ่มคนที่เดินผ่านในบางครั้งก็พูดลอยๆ ผ่านหน้าเพื่อให้ผมได้ยิน

จากการกระทำผมเริ่มพอรู้แล้วว่าเขาน่าจะหมายถึงผมแล้วเขาก็คงอยากให้ผมรู้ ด้วยความที่คาใจว่ามันเป็นคำพูดสำหรับผมหรือไม่ผมเลยกลับเข้าไปในหน้าเพจลับๆ นั้นอีกครั้ง

ทันทีที่ผมเข้าไปที่หน้าเพจผมก็เห็นข้อความหลายอย่างที่ถูกกล่าวถึงเรื่องของผม มีทั้งรูปผมและรูปพี่เก่งสมัยที่เรายังสนิทกันมาถูกโพสไว้พร้อมคำบรรยายใต้ภาพว่า “นี่น่ะเหรอคนโดนกระทำ??” ในรูปภาพมีหลายคอมเมนท์ที่กล่าวไปในแนวทางที่ว่า

“โอ๊ย ไม่มีวันจริงอะ ถ้าจะจริงก็ไปให้เขาเอาเองพอเอาเสร็จเขาจะทิ้งก็หาว่าเขาใจร้าย”

“เออ มีคนในบอกว่าคนนั้นพยายามผูกมัดพี่เก่ง พี่เก่งไม่เล่นด้วยก็เลยเป็นอย่างนี้”

“เออ ถ้าถูกข่มขืนตามข่าวจริงก็ต้องขึ้นศาลละปะ นี่เรื่องเงียบก็แสดงว่าสร้างเรื่อง”

“นี่บอกเลยว่าถ้าเป็นเราเราไม่แจ้งความ ถือว่าเป็นบุญ ขอเก็บคลิปด้วยเลยค่ะ”

“เออ ตอนนั้นเราเคยเดินเข้าไปถามก็บอกว่าพี่น้องกัน พี่น้องท้องชนกันอะดิไม่ว่า”

นอกจากรูปภาพนี้แล้วยังมีรูปของผมกับคนอื่นที่เอามาเทียบว่าถ้าจะต้องมาข่มขืนคนอย่างผมพวกเขายอมไปติดคุกและข่มขืนคนอื่นที่หน้าตาดีกว่าคนหน้าตาธรรมดาอย่างผมจะดีกว่า

นอกจากรูปภาพที่หลากหลายยังมีสเตตัสที่พูดถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะอีกด้วย

“คิดอย่างไรกับข่าวลือว่าของ ช กับ ก”

“เพื่อนกูไม่ลงแรงขนาดนั้นมั้ง?”

“ใช่ๆ อย่าง ก ยืนเฉยๆ ก็มีคนมาเสนอตัวแล้วปะ?”

“ไม่เชื่อ ถ้าจริง กูเรียกว่าบุญตูดว่ะ”

“สงสัยกลัวเขาเอาแล้วทิ้ง ปล่อยข่าวเปล่า?”

“สร้างเรื่องอยากเด่นอะดิ”

“เรื่องจริงเหรอ? ต้นข่าวมาจากไหนวะ?”

“มีคนไปแอบได้ยินอาจารย์พูด”

“แหล่งข่าวเชื่อได้จริงเปล่า พวกมึงเดี๋ยวก็ซวยกันหมด”

“ไม่มีมูล หมาไม่ขี้มะ?”

“สงสารพี่เก่ง ต้องมาถูกมองไม่ดีเพราะพวกพยายาม”

“เออ อาจารย์ก็แม่งไม่ยุติธรรม เขาแยกไม่ออกเหรอวะว่าใครเป็นยังไง?”

“โลกนี้แม่งอยู่ยาก”

“กูไม่รู้กูรู้แต่กูแบนไม่ให้เข้างานกลุ่มจร้า รำ พวกพยายาม”

“เออในรุ่นเหลือใครคบ? ก็เห็นมีแต่ไอ้แว่น แค่นี้ก็บอกแล้วไหมว่าใครเป็นไง”

“ไหนใครรุ่นเดียวกับนาย ช มาเม้าท์หน่อยสิ เห็นว่าอ่อยมากจริงปะ? ขยายที”

ยิ่งเลื่อนลงไปผมก็เห็นถึงคอมเมนท์ที่บอกว่าผมเป็นคนผิดในเรื่องนี้ ผมผิดอะไร? ผมไม่รู้เลยว่าผมผิดอะไร? หลายคนที่พิมพ์ในคอมเมนท์เหล่านั้นไม่มีใครที่รู้จักผมสักคน คนเหล่านั้นไม่เคยแม้แต่จะเรียนกับผมเลยด้วยซ้ำ แต่ทำไมหลายคนถึงทำเป็นเหมือนว่าเขารู้จักผมดี แถมเขายังพิมพ์เหมือนรู้ว่าผมต้องการอะไร 

“นายดูอะไรอยู่?”

ปราโมทย์เดินมาดึงมือถือออกไปจากมือของผม พอเขาเห็นว่าผมกำลังดูอะไรอยู่ปราโมทย์ก็ถอนหายใจและพยายามบอกให้ผมเดินตามเขาไปที่ทางด้านหลังของตึก

“นายจะเข้าไปดูเพจพวกนี้อีกทำไม?”

“นายเห็นใช่ไหม? ใครก็ๆ ว่าแต่เรา เราอยากกลับบ้านเราไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว”

“ชิน”

“ครั้งนั้นเราบอกนายแล้วว่ามีคนมองนายก็ไม่เชื่อ ทำไมนายไม่เชื่อ? นายต้องเชื่อเราสิ หรือว่านายก็ไม่เคยเชื่อเรา นายเองก็มองเราแบบที่คนอื่นมองใช่ไหม? ใช่ไหม!!”

“ชิน มองเรา”

“นายไม่เข้ามาใกล้เราเลยนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง...มันเป็นเพราะนายรังเกียจเราใช่ไหม?”

“แล้ว แล้ว...แล้วพวกเขารู้ได้ยังไง? พวกเขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง? เขารู้ที่เกิดขึ้นได้ยังไง? นายเล่าเหรอ?”

“ชิน เราเชื่อนาย ใจเย็นๆ เราเชื่อนาย เราเชื่อนายหมดเลย”

“แล้วเราก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังสักคำเดียว”

“...”

“แล้วเห็นไหม ว่าเราไม่ได้รังเกียจนาย”

ปราโมทย์ยื่นมือเข้ามาจับตัวของผมเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้รังเกียจตามที่ผมกล่าวหาเขา ผมรับรู้พร้อมทั้งยังเข้าใจว่าเขากำลังปลอบและทำให้ผมสงบลง แต่กลับกลายเป็นว่าการกระทำเหล่านั้นของเขามันทำให้ผมเกร็งหนักกว่าเดิม

“โอเค มองเรานะชิน เราจะปล่อยตัวนายแล้วนะ เราปล่อยเพราะนายกำลังสั่นอย่างแรง ไม่ได้ปล่อยเพราะเรารังเกียจนายสักนิด”

ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องไม่มีผู้ชายคนไหนเลยที่สามารถแตะตัวของผมได้ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นพ่อของผมเองก็ตาม เมื่อปราโมทย์เห็นถึงความตื่นกลัวของผมเขาจึงค่อยๆ ปล่อยมือออกจากตัวผม

ทันทีที่ผมสามารถขยับร่างกายของตัวเองได้ ผมก็รีบควานหาของในกระเป๋า หายาที่คุณหมอจ่ายมาให้กินเพื่อระงับอาการตื่นกลัวไม่ให้เป็นไปมากไปกว่านี้

แม้ผมจะสงบลงแล้วด้วยฤทธิ์ของยาแต่ผมก็ยังคงยืนพักอยู่ที่หลังตึกที่เดิมแล้วก็ยังคงพยายามกล่อมให้ปราโมทย์พาผมกลับบ้าน แต่ปราโมทย์ก็เอาแต่ปฏิเสธคำขอของผมโดยให้เหตุผลว่าเขาไม่สามารถขาดเรียนได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันกับเขา

ช่วงเวลาที่เหลือก่อนที่จะเข้าห้องเรียนผมพยายามหนีกลับบ้านด้วยตัวเองแต่ปราโมทย์ก็เป็นคนมาเจอทุกครั้งแล้วคอยพูดเตือนสติให้ผมรู้ว่าผมในตอนนี้มีหน้าที่ที่ต้องทำอะไร

“นายหยุดไปนานถ้าเกิดนายยังเอาแต่หยุดอยู่แบบนี้ นายอาจจะไม่มีสิทธิ์ในการสอบปลายภาคแถมร้ายที่สุดนายอาจจะต้องดร็อปเรียน นายอยากให้เป็นแบบนั้นเหรอ?”

“โอเค” คำพูดของปราโมทย์มันช่วยเตือนสติที่ยุ่งเหยิงให้กลับมาอีกครั้ง ผมหยุดโน้มน้าวปราโมทย์เลิกพยายามที่จะหนีกลับและอยู่ตามเก็บวิชาต่างๆ ที่ขาดไปให้ครบ 

................................................

“นี่ครับ”

ตอนเย็นผมยื่นเอากระดาษข้อสอบเดินไปส่งให้กับอาจาร์ยที่หน้าห้องสอน ในห้องไม่มีใครเหลืออยู่แล้วมีแค่ผมกับอาจารย์ประจำวิชาแค่ 2 คน 

“นายชินธร”

“ครับ?”

“ฉันขอถามอะไรเหน่อยสิ”

“ครับ?”

“ข่าวที่เขาพูดกันมันเป็นเรื่องจริงเหรอ?”

“ข่าว?”

“ก็เรื่องที่เธอถูก นายเก่ง ทำร้ายร่างกาย”

“............”

“ไม่น่าเชื่อเลย ว่านายเก่ง เขาจะเป็นคนแบบนี้ไปได้ อาจารย์ไม่เคยคิดมาก่อน”

“...”

“ว่าแต่ตอนนั้นเราผิดใจอะไรกันหรือเปล่าเรื่องมันเลยออกมาเป็นแบบนี้?”

แล้วนี่ก็คือสิ่งที่รับประกันสำหรับผมว่าต่อให้ผมพูดอะไรออกไปก็ไม่มีใครสนใจเสียงของผม ยังไงก็ไม่มีมีวันที่เสียงของผมจะดังเท่าพี่เก่งคนที่มีภาพลักษณ์ดีมาตลอดเกือบสี่ปีไปได้เลย

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 12 - 20/08/2017
«ตอบ #37 เมื่อ09-09-2017 07:32:30 »

บทที่ 13

การไปมหาวิทยาลัยสำหรับผมในตอนนี้มันคือการก้าวย่างสู่นรก แถมมันดันเป็นนรกที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นนรกที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เดินเข้าไปในมหาวิทยาลัย  นรกของการโดนมองด้วยสายตาที่ทิ่มแทงและดูถูก 

“วันนี้ไม่ต้องไปตามนัดเหรอลูก?”

“ไม่ครับแม่ หมอบอกว่าผมดีขึ้นแล้ว ยาที่ได้มายังเหลืออยู่”

“ต้องไปเมื่อไหร่บอกแม่นะ”

“ครับ”

ผมโกหกแถมยังเป็นการโกหกอย่างหน้าตาย ที่ผมหยุดไม่ใช่เพราะหมอสั่งให้หยุดไปพบเพียงแต่ผมไม่เห็นว่าอาการของผมจะดีขึ้นหลังจากที่ผมไปพบแพทย์ ผมไม่เห็นจะเข้มแข็งขึ้นอย่างที่ผมได้คาดหวังเอาไว้ ผมยังคงสั่นเป็นคนบ้าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เหมือนเดิมเวลาต้องเผชิญกับสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ

ผมไม่อยากต้องให้พ่อกับแม่ต้องมาเสียค่าใช้จ่ายให้กับสิ่งที่ผมไม่สามารถช่วยทำให้มันดีขึ้นมาได้ ผมจึงตัดสินใจหยุดไปพบแพทย์โดยที่ไม่ได้ปรึกษากับใคร

.........................................................................................

“ทำไมนายต้องใส่หมวกด้วยล่ะ?”

มีเพื่อนร่วมห้องหลายคนเดินวนเข้ามาถามถึงเหตุผลว่าทำไมผมต้องใส่หมวกมาเรียน ผมอยากอธิบายกับพวกเขา อยากบอกว่าเพราะผมกลัวสายตาของคนอื่น ผมกลัวว่าจะมีพวกที่พิมพ์ข้อความเหล่านั้นมองมาที่ผม
แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะอธิบายเพราะผมไม่รู้เลยว่าหลังจากที่ผมพูดอธิบายกับพวกเขาไปแล้วพวกเขาจะเอาไปพูดต่อในรูปแบบไหน แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงว่าพวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่โพสต์ว่าเกี่ยวกับตัวผมในเพจนั้น

“พอดีตัดผมพลาดมาน่ะ เลยใส่หมวกบังเอาไว้”

“อ่อ เหรอ? แค่ตัดผมพลาดเองใส่หมวกเหมือนหนีใคร ไม่ต้องกังวลน่า เดี๋ยวผมก็ยาวแล้ว”

ลองคิดดูอีกทีมันก็อาจจะจริงอย่างที่พวกเขาว่าก็ได้ ผมไม่น่าทำเรื่องพวกนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่อย่างที่พวกนั้นเขาพูดกัน ผมเป็นผู้ชายเรื่องแค่นี้ผมไม่สมควรที่จะเอามาใส่ใจ ท้องก็ท้องไม่ได้สักหน่อย มองย้อนกลับไปวันนั้นผมไม่น่าเชื่อแม่กับพ่อของผมเลย ถ้าวันนั้นผมไม่ไปแจ้งความ ยอมดื้อถึงที่สุดที่จะไม่เจออาพุฒแล้วทำตามความตั้งใจเดิมของผมซะ วันนี้ผมก็คงไม่ต้องมาเจอกับสายตาแบบนี้ ผมคงจะสามารถเข้าเรียนได้อย่างมีความสุขมากกว่านี้

 “ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ?”

ตอนที่ผมกับปราโมทย์เดินกลับมาที่รถเตรียมตัวจะกลับบ้าน เราทั้งสองคนก็พบว่ารถของปราโมทย์ถูกเจาะยางจนไม่สามารถขับได้ปราโมทย์จึงโทรเรียกช่างให้มาเปลี่ยนล้อ ระหว่างที่เราทั้งสองคนกำลังนั่งรอช่างอยู่นั้น สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นร้านขายของที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ผมเลยคิดจะเดินไปซื้อขนมและน้ำมานั่งกินรองท้องกันไปก่อนเพราะคงอีกนานกว่าช่างจะมาถึงในช่วงเวลายามเย็นแบบนี้

“งั้นเราเดินไปซื้อน้ำกับขนมมารองท้องดีกว่า หิว ปราโมทย์เอาอะไรไหม?”

“เอา เอามาเผื่อด้วย อะไรก็ได้...เริ่มหิว”

“โอเค”

“แน่ใจนะว่าไปคนเดียวได้?”

“แน่ใจสิ แค่นี้เอง นายรอช่างไปเถอะ”

“จะทำแบบนี้กับพี่จริงๆ ใช่ไหม?”

ผมเดินปละจากตัวรถของปราโมทย์ได้ไม่นานและทั้งที่ยังเดินไม่ถึงร้านขายของผมก็ต้องหยุดกึกด้วยเสียงที่ดังมาจากข้างๆ แถมมันยังเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคยและจำได้ดีว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร

“อย่ามายุ่งกับผม”

“ถอนฟ้องและยอมความเถอะ...ยังไงพี่ก็พร้อมที่จะอยู่กับชิน รับผิดชอบชิน และยอมรับในสิ่งที่พี่ทำลงไปอยู่แล้ว ชินจะไปฟ้องให้เรื่องมันยุ่งยากทำไม?”

“ไม่..ไม่ต้องการ”

“เรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะนะชิน พี่รู้ว่าพี่ทำให้ชินโกรธ พี่ทำให้ชินเจ็บ พี่รู้ว่าพี่มันแย่แค่ไหน”

“...”

“ชินยังไม่ต้องรับรักพี่ตอนนี้ก็ได้ แต่ขอแค่ให้พี่ได้พิสูจน์ตัวเอง ได้พิสูจน์ความรักของพี่ที่มีต่อชินบ้าง ให้พี่ได้แสดงออกบ้าง พี่ขอเท่านี้ แล้วถ้าวันข้างหน้าพี่ยังไม่สามารถทำให้ชินรักพี่ได้ พี่จะยอมรับมัน แต่อย่าปิดโอกาสพี่แบบนี้”

“ไม่…ไม่เอา”

“ชิน..”

“ออกไป”

“ถ้าชินยังทำแบบนี้ ยังหนีพี่แบบนี้ ยังเอาแต่ไล่พี่ให้ห่างไป...ชินกำลังบีบพี่ให้ต้องทำในสิ่งที่พี่ไม่อยากทำ ชินรู้ตัวหรือเปล่า? พี่ไม่เคยอยากทำแบบนี้ ไม่เคย แต่เพราะชิน เพราะ..”

“ผมทำอะไร?”

พี่เก่งเดินก้าวเข้ามาหาผมโดยที่ใช้ช่วงจังหวะที่ผมกำลังยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม ช่วงที่ผมกำลังเกิดความสงสัยว่าผมไปบังคับให้พี่เก่งทำอะไร แล้วพี่เก่งจะทำอะไรกับผมอีก

เสียงร้องไห้ เสียงขอร้องที่เป็นเสียงของผมเองลอยแผ่วออกมาจากมือถือในมือของพี่เก่ง เสียงนั้น เสียงที่ผมอยากลืม เสียงที่ผมไม่อยากได้ยินมันอีกเป็นครั้งที่สอง เสียงที่น่าสมเพชของผม ที่เอาแต่อ้อนวอนขอร้องโดยที่ไม่คิดจะทำอะไร เอาแต่ร้องอย่างคนหมดทางสู้

“ไอ้เหี้ย!!”

“ที่ต้องเหี้ยก็เพราะว่าชินบังคับพี่เองพี่ไม่ได้อยากเหี้ยกับชิน!! ได้ยินไหมว่าพี่ไม่เคยอยาก!! ไม่เคย!!”

“มึงมันเลว กูไม่มีวันให้อภัยมึง ไม่มีวัน!!...”

“ชินยังไม่เข้าใจพี่ ใช่ไหม?”

“ออกไปจากชีวิตกู ออกไป! กูเกลียดมึง!”

“เกลียดเหรอ? ก็ดี คลิปนี้ก็จะได้เห็นทั่วกัน  ไหนๆ จะถูกเกลียด จะโดนเอาเข้าคุก ชีวิตกูตอนนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ไหนๆ จะพังแล้วทั้งที ก็ขอทำให้ถึงที่สุดก่อนจะพังก็แล้วกัน”

พี่เก่งก้าวเข้ามาใกล้ตัวของผมมากขึ้น อยากจะขยับขาและเดินหนีไปใหเพ้นแต่ผมไม่สามารถก้าวมันออกไปได้ ได้แต่ยืนเป็นเป้านิ่งให้พี่เก่งโน้มตัวมาใกล้กับที่หูของผมพร้อมกับกระซิบประโยคที่อยากให้เรารู้กันเพียงแค่สองคน

“แล้วจะเลวได้มากกว่านี้อีก ในเมื่อรักกันดีๆ ไม่ได้ ในเมื่อเป็นคนดีแล้วไม่เอา ก็ต้องเป็นแบบนี้นั่นแหละ..พี่ขอแค่โอกาส คิดให้ดีก่อนปฏิเสธพี่”

เสียงกระซิบที่ลอยผ่านเข้ามาที่ริมหูเป็นแรงผลักให้ผมออกวิ่งกลับไปที่รถของปราโมทย์ ปราโมทย์ยังคงคุยโทรศัพท์บอกทางจากหน้ามหาวิทยาลัยมาที่ลานจอดรถอยู่กับช่าง แต่ผมไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว ผมไม่สามารถยืนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้อีกแล้ว ผมไม่สามารถยืนอยู่ที่เดียวกับคนนั้นได้อีกต่อไป

“กะ ... กลับบ้าน กลับบ้านนะปราโมทย์ ขอร้อง พาเรากลับบ้าน พาเรากลับที”

“ชิน เดี๋ยว ชิน...”

ท้ายที่สุดปราโมทย์ก็ยอมทิ้งรถเอาไว้ที่มหาวิทยาลัยแล้วนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านเป็นเพื่อนตามที่ผมขอร้อง ระหว่างที่อยู่บนรถผมโทรต่อสายตรงหาพ่อกับแม่พร้อมกับขอร้องให้ท่านทั้งสองกลับบ้านมาหาผมโดยทันที

“เกิดอะไรขึ้น ลูก เกิดอะไรขึ้น?”

“ขอร้องนะครับ พ่อกับแม่ ผมขอร้อง ยอมความนะครับ...เราให้เรื่องพวกนี้จบไปเลยได้ไหมครับ?”

“เราคุยกันแล้ว ชิน ตั้งสติลูก เกิดอะไรขึ้น? ไหนลองเล่าให้พ่อกับแม่ฟังก่อน”

“นะครับ...ผมขอร้อง เรายอมความได้ไหมครับ? ผมขอร้อง...ขอยอมความได้ไหมครับ?”

ผมก้มลงกราบแทบเท้าพ่อกับแม่ ที่ผมต้องกราบและขอโทษเพราะผมรู้ดีว่าสิ่งที่ผมขอมันไม่น่าให้อภัย ผมกำลังทำให้ท่านทั้งสองคนกลายเป็นไอ้ขี้แพ้เช่นเดียวกันกับผม ผมทำให้เพวกท่านต้องกลืนคำของพวกท่านเอง

แต่ผมไม่สามารถให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว ผมไม่ต้องการมารับรู้เรื่องพวกนี้ ผมไม่ต้องการให้เรื่องนี้มาเป็นเรื่องที่พี่เก่งยังคงเข้ามาพูดคุยกับผม ถ้าการที่ผมยอมความแล้วมันจะแลกกับการให้พี่เขาออกไปจากชีวิตของผมได้ ผมยอม ผมยอมให้พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวของผม

“นะครับ พ่อ แม่ ผมขอร้อง”

“โธ่ ชินลูก”


ในที่สุดพ่อกับแม่ก็ยอมตกลงที่จะยอมความกับทางฝั่งนั้น วันที่พ่อโทรเรียกให้ทางนั้นมาตกลงเรื่องคดีความที่บ้านของเรา ทางนั้นดูจะดีใจเป็นพิเศษที่เรื่องมันออกมาในรูปแบบนี้ ดูได้จากการที่พวกเขาทุกคนเดินยิ้มกันเข้ามาในเขตบ้านของผม พวกเขายิ้มอย่างสบายใจโดยที่พวกเขาคงลืมไปเลยว่ารอยยิ้มของเขาอาจจะทำร้ายใจของใคร และพวกเขากำลังเหยียบเดินอยู่ในบ้านของใคร

“ทางเราดีใจมากนะคะที่ทางคุณตัดสินใจแบบนี้”

“ความจริงผมก็ว่ามันเป็นเรื่องของเด็กสองคน แต่ผมเองก็เห็นว่าลูกผมก็ทำเกินกว่าเหตุไปมาก ผมก็เลยอยากจะมารับผิดชอบในตรงนี้”

ทางนั้นเสนอเงินจบเรื่องโดยเรียกมันว่าค่าทำขวัญเป็นจำนวนหนึ่งล้านบาท น้ำตาของแม่ร่วงอาบแก้มเป็นสายตอนที่เศษกระดาษใบนั้นมันถูกยื่นออกมา ส่วนพ่อของผมก็ยื่นมือออกไปรับเช็คด้วยมือที่สั่นเทา

ผมรู้ว่าถ้าเลือกได้ท่านทั้งสองคงไม่อยากรับเงินจำนวนนั้นเอาไว้ แต่เพราะครอบครัวของเราไม่ได้เป็นครอบครัวที่ร่ำรวย  ไหนจะค่ารักษาตัวของผมที่ต้องออกไปแถมพ่อกับแม่ยังต้องมาหยุดงานเพื่อที่จะมาดูแลผมอีก ท่านคงไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องรับมันเอาไว้ ภาพของความฝืนทนของพ่อกับแม่นั้นทำให้ผมต้องลุกออกมาจากที่ตรงนั้นเพราะผมก็ไม่สามารถทนเห็นภาพนั้นได้อีกต่อไป

“ชิน”

พี่เก่งเดินตามผมออกมาที่ห้องครัว ผมมองออกไปก็เห็นว่าแม่กำลังมองมาที่ทางผมเช่นกัน เพราะฉะนั้นแม้ผมจะรู้สึกกลัวแต่ผมก็ยังรู้สึกอุ่นใจและความอุ่นใจมันก็เปลี่ยนเป็นความกล้าจนทำให้ผมสามารถยืนประชันหน้ากับพี่เก่งได้ ครั้งสุดท้ายเท่านั้นผมท่องเอาไว้ในใจ มันจะเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น

“มีอะไร?”

“นี่โทรศัพท์พี่ ชินลบทุกอย่างที่อยู่ในนั้นด้วยตัวของชินเองได้เลย...พี่ขอบคุณที่ชินยอมความ พี่ขอบคุณ มันมีความหมายกับครอบครัวของพี่มากจริงๆ”

“วางไว้ที่โต๊ะ”

ผมชี้ไปที่โต๊ะทานข้าว เมื่อโทรศัพท์เครื่องนั้นถูกวางลงที่โต๊ะผมจึงค่อยเอื้อมไปหยิบมือถือเครื่องนั้นด้วยมือที่สั่นทั้งสองข้างของตัวเอง แอพลิเคชั่นแรกที่ผมเลือกกดเข้าไปก็คือหมวดของภาพถ่าย ทั้งคลิปวีดีโอทั้งภาพของผมที่ปรากฏอยู่ในนั้นมันทำให้ขาของผมอ่อนแรง ผมจึงต้องลงนั่งกับพื้นแล้วจึงค่อยกดลบรูปและวีดีโอของผมในวันนั้นให้มันหมดไป

“อย่าร้องไห้...พี่ขอโทษ...ที่เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้...ที่พี่ทำเราแบบนี้...พี่ขอโทษ..พี่อ่านสิ่งที่เราเขียนลงกระดาษหมดแล้ว...พี่ขอโทษ”

ตลอดเวลาของการลบสิ่งเลวร้ายนั้นผมไม่รู้สึกตัวเลยว่าผมกำลังร้องไห้อยู่ ผมรู้แค่ว่าภาพที่อยู่ตรงหน้ามันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ก็เท่านั้นเอง แม้จะลบหมดแล้วแต่ผมก็ยังคงกดซ้ำวนไปมาเพราะผมต้องการเช็คให้แน่ใจว่าไม่เหลืออะไรที่เกี่ยวกับผมหลงเหลืออยู่ในนั้น จนผมพอใจและมั่นใจผมจึงวางโทรศัพท์เอาไว้ที่พื้น

“เสร็จแล้วใช่ไหมครับ?”

“...” ผมใช้การพยักหน้าเป็นคำตอบ

พี่เก่งลงมานั่งที่พื้นด้วยกันกับผม เขาค่อยๆ หยิบโทรศัพท์เก็บเข้ากระเป๋ากางเกงของตัวเองก่อนที่เอื้อมมือมาจะมาจับที่มือของผม ผมค่อยๆ เลื่อนมือของตัวเองออกมาจากการจับกุมของพี่เก่ง พี่เก่งยอมปล่อยมือของผมออกแต่โดยดี เรานั่งกันอยู่เงียบๆ สักพักก่อนที่พี่เก่งจะเป็นคนทำลายความเงียบลง

“ชินจะไม่ให้โอกาสพี่เลยจริงๆเหรอครับ? พี่รู้สึกผิดแล้วจริงๆ นะครับ พี่ขอโอกาสก็ไม่ได้เหรอ? พี่จะยอมเราทุกอย่าง ขอแค่บอกพี่ยอมทุกอย่าง”

“…”

“ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่ทำให้ชินเสียใจ แต่พี่ก็ทำมันไปเพราะพี่กลัวจะเสียชินไป พี่ผิดตรงไหนที่พี่รู้สึกกับเรามากขนาดนี้? พี่ผิดมากเหรอครับ?”

“...”

“แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายเดือนที่เราไม่เจอกันเหมือนเมื่อก่อน ชินเคยคิดเรื่องของเราบ้างไหม?”

พี่เก่งก้มตัวลงไปจูบลงที่ปลายเท้าของผม พี่เก่งแนบใบหน้าที่เคยเป็นที่ภาคภูมิใจและเป็นที่นิยมของใครหลายๆ คนลงที่หลังเท้าของผมทั้งสองข้างพร้อมกับจรดหน้าผากลงไปพร้อมกับพร่ำพูดคำว่ารักและขอโทษอยู่อย่างนั้น

“…”

เสียงสะอื้นของผมที่ผมพยายามเก็บเอาไว้มันดังขึ้นจนพี่เก่งเองต้องหยุดพูดและเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก นั้นเป็นช่วงขณะเดียวกันกับที่พ่อของผมลุกเดินตรงมาที่ครัว มาหาผม

“ธุระของบ้านคุณเสร็จหมดแล้ว...เราก็กลับไปได้แล้ว”

“พี่..ไปก่อนนะ...พี่ขอโทษจริงๆ”

แม้สายตาของพี่เก่งจะบ่งบอกถึงความไม่เต็มใจแต่พี่เก่งก็ยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ในจังหวะนั้นเองที่ผมได้มีโอกาสสบตาและมองหน้าของพี่เก่ง นั่นทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่เสียน้ำตากับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่พี่เก่งเองก็กำลังเสียน้ำตาจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ต่างจากผมเช่นกัน

“พี่ขอโทษ...พี่รักเราจริงๆ นะ”

พี่เก่งยกมือไหว้ลาและกลับหลังหันเตรียมออกไปจากบ้านหลังนี้ แต่ก่อนที่พี่เก่งจะออกไปผมลืมไปว่าผมยังไม่ได้บอกสิ่งที่อยู่ในใจของผมให้กับพี่เขาได้รู้

“พี่เก่ง”

พี่เก่งหยุดเดินหันหลังกลับมามองที่ผมด้วยหน้าตาที่มีความหวัง ผมหยุดหอบและตั้งสติให้ดีก่อนที่กล่าวคำที่คิดเอาไว้ออกไปให้พี่เขาได้รับรู้

“ผม..ไม่มีวันให้อภัยพี่...ไม่มีวัน”

“ชิน”

“และผม...เกลียดพี่ เกลียด”


โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
«ตอบ #38 เมื่อ09-09-2017 08:06:45 »

อ่านแล้วสงสารชิน
จากมุมของผู้ถูกกระทำอย่างไม่ยินยอมมันช่างโหดร้ายและส่งผลกระทบมากจริง ๆ แต่คนภายนอกจะมองแค่ว่าเขาไม่เป็นไร เสแสร้ง คำว่ากล่าวต่าง ๆ นานายิ่งทำร้ายเหมือนกรีดแผลซ้ำเข้าไปอีก
ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เกิดกับตัวคุณ คุณก็ไม่มีทางรู้หรอกว่ามันหนักหนาแค่ไหน อย่าวิพากย์วิจารณ์ใครแบบนี้เลย มันจะเป็นบาปหนาติดตัวเสียเปล่า ๆ
ฝ่ายเก่งกับครอบครัวก็ดีใจไปสิ ผู้เสียหายเขายอมถอนฟ้อง ไม่ต้องมาสนใจหรอกว่าตัวเองสร้างรอยด่างพร้อยไว้กับชีวิตใครคนหนึ่ง
 เขาจะมีชีวิตแบบปกติได้อีกไหม แค่ตัวเองไม่เสียประวัติก็พอแล้วสินะ
(อ่านถึงตอนนี้แล้วน้ำตาคลอ)

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
«ตอบ #39 เมื่อ19-09-2017 23:28:14 »

อยากให้เก่งได้รับผลจากสิ่งที่ทำค่ะ ไม่ใช่แบบนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
« ตอบ #39 เมื่อ: 19-09-2017 23:28:14 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
«ตอบ #40 เมื่อ20-09-2017 13:03:31 »

ตั้งตารอเลย ตอนต่อไป หายากนะ มุมมองที่อยู่บนความจริงไม่ได้วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ ถึงจะอ่านไปด้วยความสะเทือนใจก็ตาม

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 13 - 09/09/2017
«ตอบ #41 เมื่อ29-09-2017 22:44:38 »

บทที่ 14

“นายควรบอกแม่”

“เราสัญญาว่าเราจะบอก แต่ขอแค่เราพร้อม”

ปราโมทย์พยายามย้ำคำให้ผมบอกเรื่องราวเหล่านี้ให้กับแม่ได้รู้ ผมรับปากไปเพื่อป้องกันไม่ให้ปราโมทย์เป็นคนบอกทั้งที่ความจริงแล้วผมไม่เคยมีความคิดที่จะพูดเรื่องนี้ให้กับที่บ้านได้รู้

หลังจากที่ผมได้ออกมาจากโรงพยาบาลผมแอบไปทำเรื่องพักการเรียนเอาไว้โดยที่ไม่ได้บอกใครที่บ้านสักคน มีคนเดียวที่รู้เรื่องก็คือปราโมทย์ ไม่ใช่ว่าผมอยากที่จะบอกเขาแต่ที่ผมต้องยอมบอกเพราะเขาบังเอิญเดินมาเจอผมพร้อมกับเอกสารขอพักการเรียนในมือ

ในช่วงแรกที่ไม่ได้ไปเรียนผมก็ออกไปมหาวิทยาลัยพร้อมกับปราโมทย์เหมือนเดิมเพียงแต่ปรโมทย์จะให้ผมลงแถวร้านกาแฟตามห้างไปนั่งรอ รอจนปราโมทย์เลิกเรียนและกลับบ้านพร้อมกัน

“ที่นายยังเอาแต่ออกมาเพราะว่านายยังไม่ได้บอกที่บ้านใช่ไหม?”

“เราหาโอกาสอยู่น่ะ”

แต่หลังๆมาปราโมทย์บอกว่าเขาจะไม่ช่วยผมโกหกอีกแล้วโดยการที่เขาจะยอมมารับแล้วพาผมไปไหนต่อไหน นั่นเลยทำให้ผมต้องอยู่แต่กับบ้าน ผมจึงมาจบด้วยข้ออ้างที่ว่าผมไม่มีเรียน

“วันนี้ก็ไม่มีเรียนเหรอชิน?”

“ไม่มีครับ”

“มันหลายวันแล้วนะลูก”

“...”

“งั้นชินอยากไปที่ทำงานกับแม่ไหม?”

“แม่...ต้องไปทำงานใช่ไหมครับ?”

นั่นสินะ ถ้าผมหยุดก็หมายถึงว่าใครสักคนก็ต้องหยุดเพื่ออยู่เป็นเพื่อนกับผมที่บ้าน ผมลืมข้อนี้ไปได้ยังไงกัน?

“เปล่าจ้ะ งานแม่ไม่ได้รีบ”

“งั้นก็...ไม่ครับ”

“ชิน ช่วงปิดเทอมลองไปเรียนขับรถดีไหมลูก เผื่อวันไหนเราอยากออกไปไหนโดยที่ไม่มีโมทย์เขา เราจะได้ไปได้”

“...”

“ชิน ได้ยินแม่ไหมลูก?”

“...”

“ชิน”

เพี๊ยะ

ผมปัดมือของแม่ที่กำลังจะมาจับตัวของผมด้วยความไม่ได้ตั้งใจ ผมกำลังเหม่อ ผมกำลังคิดเรื่องอื่น ตอนที่หางตาของผมเหลือบไปเห็นมือของแม่ที่กำลังเอื้อมมาหาผมนั้นมันทำให้ผมตกใจ

“ผมขอโทษ”

ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้มันออกมาในรูปแบบนี้ ไม่ได้อยากทำร้ายความรู้สึกของแม่ เพราะผมก็รับรู้ได้ว่าแม่หวังดีกับผมมากขนาดไหน

“ชินยังทานยาตามที่หมอสั่งหรือเปล่า?”

“ทานครับ”

ผมโกหกอีกแล้ว ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องยา ยานั่นผมเลิกทานมันไปนานแล้ว นานจนผมไม่คิดว่าผมต้องการมันอีก ผมไม่ใช่คนป่วยแล้ว ผมออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ทำไมผมจะต้องการมัน?

แม่เริ่มทำท่าอยากที่จะซักถามผมมากขึ้น ผมจึงหนีความจริงโดยการขึ้นมาบนห้องแล้วเก็บตัวเองอยู่ในนั้น โดยการที่อ่านกระดาษที่ผมเคยร่างเขียนถึงเหตุการณ์เอาไว้


ผมใช้เวลาตลอดช่วงสายนั่งคิดทบทวนดูแล้ว ผมว่าเรื่องที่ออกมาเป็นแบบนี้มันไม่ใช่ใครที่ไหนที่เป็นคนผิด มันเป็นผมเองที่เป็นคนผิด ทุกอย่างมันเริ่มต้นมาจากผม เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีผมสักคนเรื่องราวเหล่านี้มันก็จะจบลง ปราโมทย์ก็ไม่ต้องคอยไปรับไปส่งผมถ้าเกิดผมต้องการที่จะไปมหาวิทยาลัยอีกครั้ง พ่อกับแม่ก็จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้เหมือนเดิมอีกครั้ง และสุดท้ายผมก็จะได้พ้นไปจากสภาพนี้เสียที 

“ชิน ชินลูก เปิดประตูให้แม่หน่อย”

ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงจากที่ไกลๆ มันดังออกมาจากหน้าห้องนอนของผม แม่ใช่ไหมนะ? ผมยิ้มให้กับภาพตรงหน้า ภาพหน้าของแม่ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาผม แม่มักจะเป็นแบบนี้เสมอ เป็นคนแรกที่เข้ามาหาผมเสมอ แม่จะรู้ไหมนะว่าผมรักท่านที่สุดในโลกเลย

“กรี๊ดดด ชินลูกแม่! ลูก! ชิน!!”

แม่ดึงเอาเสื้อผ้าในตู้มาผูกที่ข้อมือของผมเอาไว้ ผมใช้โอกาสที่แม่กำลังเข้าใกล้กับตัวของผมนี้จับมือของแม่เอาไว้ ก่อนที่ผมจะต้องหายไปจากตรงนี้ ก่อนที่แม่จะรู้สึกโล่งใจที่มีลูกไม่เอาไหนอย่างผม

“แม่ ชินขอโทษนะ...ทุกเรื่องที่ชินทำ เรื่องที่ชินเป็นคนขี้แพ้ .... บอกพ่อด้วยว่าชินขอโทษ”

กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาจากข้อมือของผมหลังจากที่ผมตัดสินใจจบปัญหาทุกอย่างลงโดยการที่เอาเศษกระจกมากรีดลงไปที่ข้อมือ ตอนแรกกลิ่นเหล่านั้นมันคละคลุ้งเหม็นคาวไปทั่ว แต่แค่เพียงแม่เปิดประตูเข้ามากลิ่นคาวที่ชวนอาเจียนก็หายไปทันที ในตอนนี้ผมได้แต่กลิ่นของแม่ กลิ่นที่ผมคุ้นเคยแทน


แม่ไม่ต้องห่วงแล้วนะครับ ต่อไปนี้ชินจะไม่ทำอะไรให้แม่ลำบากใจอีกแล้ว แม่ไม่ต้องมาหยุดงานลางานสลับกับพ่อเพื่อชินอีกแล้วนะครับ
วันนี้ชินเป็นลูกที่ดีให้พ่อกับแม่ไม่ได้แต่ชินสัญญาว่าถ้าชินได้มีโอกาสกลับมาเป็นลูกของพ่อกับแม่อีกครั้ง ชินจะเป็นลูกคนที่ดีกว่าเดิมให้พ่อกับแม่ภูมิใจ 


เสียงแม่พูดอะไรไม่รู้อยู่อีกมากมายแต่ผมไม่สามารถรู้เรื่องหรือจับใจความมันได้อีกแล้ว อีกอย่างตอนนี้ผมก็ง่วงนอนมากเหลือเกินซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะ เพราะตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องจนมาถึงวันนี้ยังไม่มีวันไหนที่ผมสามารถหลับตาลงนอนได้อย่างเต็มตาสักคืน นับจากวันนี้ไปผมจะได้นอนหลับอย่างสมใจอยากสักที ผมคิดถึงการนอนที่ยาวนานของผมนี่จัง 

.........................................................................

“แม่”

ครั้งแรกที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่โรงพยาบาล ผมพยายามบอกตัวเองว่านี่คือความฝัน มันไม่ใช่เรื่องจริงที่ผมจะยังอยู่ตรงนี้ แต่แล้วผมก็ต้องยอมรับความจริงเมื่อตอนที่หันไปทางซ้ายแล้วเห็นแม่นอนฟุบอยู่กับขอบเตียงข้างๆ กันกับผม พร้อมกับพ่อที่กำลังนั่งหลับอยู่ที่โซฟา

ทำไมนะ ทำไมผมไม่เคยทำอะไรได้สำเร็จเลยสักอย่าง แค่จะหยุดเป็นตัวถ่วงของทุกคนผมยังไม่สามารถทำมันได้เลย แค่จะจบชีวิตของตัวเองความสามารถของผมยังทำไม่ได้เลย

“ตื่นแล้วเหรอลูก?”

“ครับ”

“ชินอยากกิน อยากดื่มอะไรหน่อยไหมลูก?”

ผมส่ายหน้าเป็นคำตอบให้กับแม่  ผมไม่ได้อยากได้อะไรทั้งนั้น สิ่งที่ผมอยากได้ สิ่งที่ผมต้องการมันเป็นสิ่งที่ผมเพิ่งกระทำมันลงไปแล้วไม่สำเร็จ

“แม่...แม่ปล่อยให้ชินตายไม่ได้เหรอครับ?”

“ชินลูก...ทำไมพูดแบบนี้? ชินไม่รักแม่แล้วเหรอ?”

“แล้วพ่อล่ะ ชินไม่รักพ่อเหรอลูก?”

“รัก...ครับ”

“งั้นอย่าพูดแบบนี้อีกนะลูก อย่าพูดแบบนี้อีก”

ใช้เวลาเพียงไม่นานแผลที่ข้อมือที่ลามยาวไปจนถึงช่วงข้อพับก็หายดี ในวันที่หมอยอมให้ผมกลับบ้านได้ ผมโดนส่งตัวต่อให้แก่คุณหมอจากแผนกจิตเวชในทันที

“ผมผิดปกติใช่ไหมครับเลยต้องมาอยู่ตรงนี้?”

“ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่ใช่เลย”

คุณหมอบอกว่าสิ่งที่ผมนึกคิดอยู่ตอนนี้มันเป็นผลพลอยจากโรคอื่นๆ ที่ผมกำลังเป็นอยู่ อย่างเช่นโรค Panic attack ที่เกิดขึ้นแล้วมีการพัฒนามาจนเป็นโรคซึมเศร้า

ก่อนหน้านี้ผมยังไม่ต้องรับยาเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า แต่ตอนนี้คุณหมอเห็นว่ามันถึงเวลาที่สมควรที่จะสั่งยาให้ผมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงแบบนี้กับผมอีก

แม่ของผมตัดสินใจลาออกจากงานทันทีหลังจากที่ผมได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอ ตอนนี้ที่บ้านของผมเลยเหลือพ่อเป็นเสาหลักของบ้านเพียงคนเดียวเท่านั้น

หลายต่อหลายครั้งผมเห็นพ่อกลับมาบ้านด้วยสภาพที่เหนื่อยมากกว่าเดิม แม้ว่าพ่อจะยิ้มให้กับผมแต่มันก็เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พ่อเริ่มทำโอทีที่บริษัทมากขึ้นและพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะก้าวไปสู่ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะมีเงินเดือนที่มากขึ้น

ส่วนตัวผมในที่สุดก็ต้องยอมรับสารภาพกับที่บ้านไปว่าผมดร็อปเรียนเพราะผมไม่คิดว่าผมจะสามารถไปนั่งเรียนที่มหาวิทยาลัยได้เหมือนเดิม เมื่อทั้งพ่อและแม่ได้ฟังเหตุผลจากปากของผมท่านทั้งสองก็พาไปทำเรื่องลาออกอย่างถาวรในวันรุ่งขึ้น

แม้จะหยุดไปเรียนแต่ผมก็ลงเรียนแบบออนไลน์ (Distance learning)* 4 แทนตามคำแนะนำของอาพุฒ แล้วผมก็เชื่อว่ามันน่าจะเป็นวิธีเรียนที่ดีสำหรับผมมากที่สุด

............................................................................................

“แม่ครับ ผมนั่งคนเดียวในห้องได้”

“ไม่เป็นไรลูก ให้แม่นั่งเป็นเพื่อนดีกว่าเผื่อว่าชินอยากได้อะไร

ผมยอมรับว่าผมยังคงปรับตัวไม่ได้และรู้สึกอึดอัดที่มีแม่มาคอยอยู่ใกล้ๆ คอยจับตาดูการกระทำของผมอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าผมมีความลับที่ให้แม่รู้ไม่ได้แต่การกระทำนั้นของแม่มันเป็นการตอกย้ำว่าผมคือบุคคลที่ไร้ความสามารถและผมมันคือภาระ

“แม่ ผมออกไปหน้าหมู่บ้านนะครับ”

“ออกไปทำอะไรลูก?”

“ออกไปซื้อของกินครับ”

“อยากกินอะไรบอกแม่มา เดี๋ยวแม่ออกไปซื้อให้”

“ผมอยากออกไปดูด้วยตัวเอง”

“งั้นรอแป๊บนึงนะลูก แม่ไปเปลี่ยนเสื้อเดี๋ยวเดียว เสร็จแล้วแม่จะไปเป็นเพื่อน”

“แต่ผมอยากออกไปคนเดียว”

“รอแป๊บนึงนะลูก”

“แม่ ผมโตแล้ว”

“แต่แม่เป็นห่วง” 

“ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ฟังผมบ้าง”

“ลูกก็ฟังแม่บ้าง”

เหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่กลับมาอยู่ที่บ้านแม่ไม่เคยยอมให้ผมไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว เวลาผมหายเข้าไปในห้องน้ำหรือห้องนอนเป็นเวลานานแม่ก็จะคอยเคาะเรียกผมอยู่ตลอดเวลา

ผมพยายามพูดให้แม่เชื่อใจว่าผมจะไม่ทำอะไรอย่างที่แม่กังวลอีก แต่ดูเหมือนว่าคำพูดของผมจะไปไม่ถึงแม่ นั่นเลยเป็นจุดที่ทำให้ผมหยุดพูด หยุดอธิบายตัวเอง

จากที่พูดน้อยลงกับแม่โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ผมกับแม่เรากลายเป็นว่าไม่ได้พูดกัน นับวันการพูดคุยระหว่างผมกับครอบครัวยิ่งน้อยลงไปทุกที ในโต๊ะกินข้าวนอกจากเสียงของช้อนกับส้อมที่กระทบจานแล้ว มันแทบไม่มีเสียงอะไรเกิดขึ้นเลย แม้ตลอดเวลาทั้งวันเราจะนั่งด้วยกันแต่ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราใช้เสียงจากโทรทัศน์เป็นตัวทำลายความเงียบแทนการพูดคุย

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 14 - 29/09/2017
«ตอบ #42 เมื่อ30-09-2017 17:44:50 »

พออ่านตอนนี้ไปไม่กี่บรรทัด ก็อุทานว่า ฉิบหายละโรงซึมเศร้าแหง โอ้ยยย สะเทือนใจ

ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 14 - 29/09/2017
«ตอบ #43 เมื่อ30-09-2017 20:37:32 »

นอนอ่านน้ำตาไหลเลยทำยังไงชินถึงจะหายสงสารทาก

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 14 - 29/09/2017
«ตอบ #44 เมื่อ07-10-2017 09:42:38 »

บทที่ 15

ผมตัดสินใจปิดปากของตัวเองเพียงเพราะผมไม่อยากทะเลาะกับพวกเขา ภาพในวันที่ผมปัดมือแม่ออกจากตัวผม สีหน้าของแม่ในวันนั้นมันเศร้าเพียงใดผมไม่เคยลืม

ผมพยายามอย่างมากที่จะควบคุมอาการและคำพูดของตัวเองเพราะผมไม่อยากที่จะต้องกลับไปถึงจุดนั้น จุดที่ผมทำร้ายจิตใจของแม่อีก แค่นี้แม่กับพ่อก็ต้องเสียเงินเสียทองมารักษาลูกที่ไม่ได้เรื่องคนนี้ตั้งมากมายเท่าไหร่ 

“ผมทำให้แม่ต้องเข้าพบหมอใช่ไหมครับ? แม่กำลังป่วยแบบผมหรือเปล่าครับ?”

“อย่าไปคิดถึงเรื่องอื่น แค่พยายามทำให้ตัวเองดีขึ้น ทานยาให้ตรงเวลา มีอะไรเล่าให้หมอฟัง ตอนนี้หน้าที่เราตรงนี้ทำให้ดีที่สุดแค่นี้คุณแม่ของเราก็จะต้องดีใจมากแน่ๆเลยค่ะ”

เคยเชื่อว่าถ้าเงียบแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นแต่กลับกลายเป็นว่าผมคิดผิด ยิ่งผมไม่พูดก็ดูเหมือนว่าจะเป็นแม่ที่กังวลใจมากขึ้น จนทำให้แม่ต้องเป็นคนที่พบหมอที่แผนกจิตเวชเหมือนกันกับผม

ตอนที่ออกมารับยาผมเห็นคุณหมอเรียกแม่ให้เข้าไปคุยส่วนตัว ผมนั่งรออยู่ที่เดิมที่เก้าอี้ตัวเดิมจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยที่ไม่รู้ว่าแม่จะหายเข้าไปในห้องนั้นนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่แม่มาหยุดที่ข้างตัวด้วยท่าทางที่พยายามฝืนยิ้มให้ผมพร้อมทั้งบอกว่า “กลับบ้านเรากันลูก”

.......................................................................

“ฮึก คุณ ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะทำยังไงแล้ว ลูกไม่ยอมคุยกับฉันเลย”

“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น?”

“ฉันก็ไม่รู้ อยู่ๆ ลูกก็หยุดคุยกับฉัน”

“ใจเย็นๆ คุณ อยากให้ผมเข้าไปคุยกับลูกหน่อยไหม? อยากสลับให้ผมเป็นคนไปดูลูกหรือเปล่า?”

มันเป็นภาพที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ภาพที่พ่อกับแม่กอดกันร้องไห้ในห้องนอนของท่าน ความตั้งใจจะเข้ามาขอโทษที่ทำให้พวกท่านทุกข์ทำให้ผมเห็นภาพนี้กับตาตัวเอง

คำขอโทษถูกกลืนกลับลงคอ ผมเดินหันหลังกลับไปที่ห้องของตัวเองนั่งรอเวลาที่ท่านทั้งสองจะเดินเข้ามาหาผม แล้วก็เป็นอย่างที่คิด ใช้เวลาเพียงไม่นานผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าห้อง แล้วก็เป็นพ่อที่เดินเข้ามาหาผมและนั่งลงที่เก้าอี้

“ไงเรา ได้ข่าวช่วงนี้ทำตัวเป็นหนุ่มติสท์ไม่ยอมพูดคุยกับแม่เขาเหรอ?”

“ผม...ผม”

“แล้วเราพอจะเล่าให้พ่อฟังได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมนั่งก้มหน้าเงียบอยู่นานจนตัวเองยังเริ่มที่จะรู้สึกรำคาญตัวเอง แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านเลยไปนานขนาดไหนพ่อก็ไม่ได้เร่งเอาคำตอบจากผม

เมื่อเวลาผ่านไปจนผมคิดว่าผมพร้อมผมก็เงยหน้าขึ้นไปสำรวจบุคคลตรงหน้า ก็เห็นว่าพ่อยังใส่ชุดทำงานมานั่งรอคำตอบจากผมที่นั่งสบายอยู่กับบ้านมาทั้งวัน “รู้ใช่ไหมว่าคนที่จะทำให้ดีขึ้นได้มันต้องเริ่มต้นที่ตัวเรา” คำพูดของหมอดังเข้ามาในหัว 

“ผมแค่ ... ผมไม่อยากรู้สึกเป็นภาระ ผมอยากทำอะไรด้วยตัวเองได้ ผมไม่อยากรู้สึกไร้ค่า ที่ผ่านมาผมรู้ว่าผมผิด แต่ผม ผม...ผมไม่อยากรู้สึกแบบนั้น ผมอยากเป็นคนมีคุณค่าอีกครั้ง พ่อ ชินอยากมีคุณค่าอีกครั้ง”

พ่อไม่จู่โจมเข้ามากอดผมเพราะรู้ว่าผมยังไม่สามารถถูกตัวผู้ชายได้สักเท่าไหร่ พ่อจึงค่อยๆ เลื่อมือของพ่อมาจับมือของผมเอาไว้ รอจนผมหยุดสะอื้นพ่อจึงค่อยๆ พูดให้ผมเข้าใจ

“ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครในบ้านหลังนี้มองลูกเป็นภาระหรือคนไร้ความสามารถ ลูกยังเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับพ่อและแม่เสมอ”

“แต่แม่...”

“ที่เราต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดเหหมือนลูกยังไม่โตเพียงแค่ตอนนี้ลูกไม่สบายแต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกหายดี ลูกก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตตามเดิม ไปเป็นอิสระแบบคนที่โตแล้วเหมือนเดิม”

“พ่อ....ผมขอโทษครับ”

“ไม่เป็นไรเลย”

“แม่ ...แม่เขาโกรธผมหรือเปล่า?”

“แม่เขาไม่เคยโกรธลูก พ่อสามารถยืนยันแทนแม่เขาได้เลย เพราะลูกคือลูก ไม่เป็นไรนะ เราต้องผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ลูกของพ่อเก่ง พ่อมั่นใจว่าลูกจะต้องทำได้”

“ขอบคุณครับ”

“อย่าลืมพูดกับแม่เขาแบบนี้ล่ะลูก”

“ครับ”

ผมย้ายตัวเองออกจากห้องแล้วขอไปนอนซุกตัวอยู่กลางเตียงของพ่อกับแม่ ทำตัวเหมือนตัวเองยังเป็นเด็กเล็กอีกครั้ง ตลอดทั้งคืนก่อนที่ผมจะหลับตาลงผมเอาแต่พร่ำพูดขอโทษพ่อและแม่ แล้วทั้งพ่อกับแม่ก็ไม่รู้สึกเบื่อที่ต้องคอยพูดกับผมซ้ำๆ ว่า “ไม่เป็นไร” เช่นกัน

แม้ผมจะไม่ได้พูดออกไปแต่ผมได้ให้คำสัญญากับตัวเองเอาไว้ว่าหลังจากคืนนี้ผมจะเป็นคนใหม่คนที่เปิดใจเชื่อฟังหมอและปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด และพยายามที่จะก้าวผ่านตรงนี้ไปให้ได้ เพื่อทุกคนและเหนือสิ่งอื่นใด…เพื่อตัวของผมเอง

หลังจากคืนนั้นผมก็เปลี่ยนตัวเองครั้งยิ่งใหญ่ ผมให้ความร่วมมือกับหมอมากขึ้นปฏิบัติตามที่หมอบอกทุกอย่างทำให้ตอนนี้ผมสามารถเริ่มเดินเข้าไปในกลุ่มชนกับเขาได้อีกครั้งหลังจากที่ต้องเอาแต่อยู่กับบ้านมาตลอดเวลา

“พร้อมนะลูก?”

“พร้อมครับ”

ผมเคยลองแค่ไปขึ้นรถเมล์และขึ้นรถไฟฟ้าคนเดียวเพื่อที่จะเบียดกับผู้คน ในวันนั้นผมทำมันไม่ได้ ผมหน้ามืดและอาเจียน เพียงแค่ไม่กี่นาทีผมต้องรีบแทรกตัวเพื่อขอลงในป้ายถัดไป

แต่วันนี้ผมทำมันได้แล้ว ผมไม่เป็นลม ไม่อึดอัด แม้ก้าวแรกที่เหยียบขึ้นไปบนรถผมจะมีอาการหอบหายใจถี่แต่ผมก็สามารถปรับลมหายใจนั้นให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกครั้ง

“ดีมากลูก ดีมาก ลูกทำได้แล้วนะ”

ขั้นต่อมาที่ผมเริ่มฝึกคือขึ้นแท็กซี่ด้วยตัวเอง ในช่วงแรกผมทำได้ไม่ดีเท่าไหร่เพราะมันเป็นการอยู่แค่สองต่อสองกับคนแปลกหน้า ผมขอเขาลงกลางทางเสมอ

แต่หลังๆ นี้ผมสามารถที่จะอยู่บนรถนั้นได้จนถึงบ้าน แม้ว่าหลังของผมจะเต็มไปด้วยเหงื่อและมือจะเกร็งจนเมื่อยก็ตามแต่อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ขอลงกลางทางอย่างที่แล้วมา

แล้วมาวันนี้ผมก็ก้าวมาอีกขั้นโดยการเอาขนมที่แม่ทำขายลองมาขายที่ตลาดนัด แถมมันจะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้พูดคุยกับผู้คนแบบมากหน้าหลายตา

“อ้าวปราโมทย์ มาได้ไง?”

“ก็มาให้กำลังใจนายไงเผื่อนายหนีกลับบ้านก่อนของจะหมด แม่จะได้มีคนช่วย”

แม้ผมจะลาออกจากที่มหาวิทยาลัยมาแล้วแต่ผมกับปราโมทย์เราก็ยังคงไปมาหาสู่พูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอ ปราโมทย์เป็นคนที่ทำให้ผมเข้าใจว่ามันไม่ใช่ทุกคนที่จะไม่ฟังเรา ไม่เข้าใจเรา ปราโมทย์ทำให้ผมเรียนรู้สิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นคือ “ในโลกใบนี้มันต้องมีใครสักคนที่พร้อมจะอยู่ข้างเราด้วยความเข้าใจ ด้วยคำว่ามิตรแท้ ด้วยคำว่าเพื่อน”

“หรือจะมากินขนมฟรีก็บอก”

“อย่ารู้มากนะ”

ในที่สุดเหตุการณ์วันนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ผมไม่หนีกลับบ้านก่อนแม้ในบางทีผมจะเห็นคนที่แต่งตัวคล้ายกับคนที่มหาวิทยาลัยแต่ผมก็ยังคงสามารถคุมตัวเองหรืองเท้าให้อยู่กับที่เอาไว้ได้ พอกลับถึงบ้านผมรีบเล่าอวดพ่อถึงสิ่งที่ผมทำได้

“เก่งมากแล้วนะลูกพ่อเนี่ย แบบนี้พ่อต้องคอยจับเวลากลับบ้านหรือยัง? จะหนีเที่ยวหรือยังล่ะเรา?”

“คุณ อย่าไปยุลูกสิ”

“พ่อครับ แม่ครับ ผมขออะไรอีกสักอย่างได้ไหมครับ?”

“ไงคราวนี้จะไปทดสอบความกล้าที่ไหนอีก? หรือว่าจะหนีเที่ยวจริงๆ ตามที่พ่อพูด”

“ผม...อยากไปช่วยงานอาพุฒครับ”

“ฉันว่านายอย่าดีกว่า” ปราโมทย์ที่ขอติดพ่วงกลับมาบ้านเพื่อฝากท้องมื้อเย็นรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนที่พ่อกับแม่ของผมจะพูดอะไร

“แต่เราอยากลอง...”

“นะครับ พ่อ แม่”

การช่วยงานอาพุฒก็คือการไปพูดคุย ไปนั่งข้างๆ ไปชวนเล่น รวมถึงไปรับฟังเรื่องราวต่างๆ จากเด็กๆ ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศมาเหมือนกันกับผม ก่อนหน้านี้ที่จะรู้จักกับโครงการผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศเยอะขนาดนี้โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่มีจำนวนไม่น้อยไปกว่าเด็กผู้หญิงเลยสักนิด

ในโครงการของอาพุฒนอกจากเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้วยังมีเด็กอีกหลายคนที่เข้าร่วมโครงการและรับการรักษาที่เกิดจากการโดนรังแกทางอินเตอร์เน็ต (Cyber bullying)* 5 ถ้าให้เลือกที่จริงกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ผมก็อยากเข้าไปช่วยดูแลมากที่สุด โชคดีที่อาพุฒก็ดูเหมือนจะเห็นด้วยที่ให้ผมเริ่มจากกลุ่มนี้ก่อนเช่นกัน

“พ่อขอถามเหตุผลได้ไหม?”

ผมรู้ว่าทำไมถึงไม่มีใครอยากให้ผมไปเพราะทุกคนกลัวว่าผมจะกลับไปเป็นอย่างเดิมอีก เพราะกว่าผมจะผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้วมายืนในจุดนี้ได้ผมต้องใช้เวลาเกือบสองปี

“ผมยังโชคดีที่มีพ่อแม่และปราโมทย์เข้าใจแถมยังคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ มาเสมอ แต่เด็กเหล่านั้นคุณหมอกับอาพุฒบอกว่าพวกเขาต้องต่อสู้เพียงลำพัง ผมเลยอยากไปช่วยพวกเขา”

“งั้นเอางี้ ถ้าลูกอยากไปจริงๆ แม่มีข้อแม้”

“ครับ?”

“ทุกครั้งที่ไปต้องมีแม่หรือพ่อไปเป็นเพื่อนด้วยทุกครั้ง และถ้าเกิดไม่ไหวต้องรีบบอกพ่อกับแม่แล้วกลับบ้านทันที”

“ได้ครับ ผมตกลง”

“งั้นก็ตกลงตามนั้นจ้ะ”

“ขอบคุณนะครับพ่อ แม่..”

“ขอบคุณนะปราโมทย์”

“เรื่องอะไร?”

“ทุกเรื่องเลย”

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ

ปล ขอแอบแจ้งข่าวนิดนึงนะคะว่า หนังสือเรื่อง #theeffectth มีขายรอบ Pre sale ที่ร้าน That Y ค่ะ แล้วหลังจากนั้นสามารถหาซื้อได้ที่บูธ B2S ในงานหนังสือแห่งชาติ วันที่ 18 ตุลาคม นี้ค่ะ

ออฟไลน์ hellfire

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #45 เมื่อ10-10-2017 14:16:10 »

สวัสดีค่าคนเขียนนี่เพิ่งเริ่มอ่านนิยายเรื่องนี้สนักมากค่ะเป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะนิยายคุณดีมากจริงๆรออยู่นะคะ o13

ออฟไลน์ papapoope

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #46 เมื่อ20-10-2017 19:03:59 »

อ่านแล้วซึ้งจริงๆ
ความรักของครอบครัวนี้อบอุ่นเสมอ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #47 เมื่อ21-10-2017 18:21:04 »

 :katai4: :katai4: :katai4: สนุกอ่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #48 เมื่อ22-10-2017 00:35:41 »

ถ้าเป็นเรื่องจริงนี่อึ้งนะ สำหรับคนอย่างเก่งที่หลอกคนทั่วไปได้ ยังไม่รู้ว่าหลอกพ่อแม่ตัวเองด้วยหรือเปล่า คนแบบนี้น่ากลัวจังเลย :ling3:

ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #49 เมื่อ23-10-2017 11:44:32 »

โอ้ยยย จากตอนที่คนเขียนบอกจบแบดเรานี่ถอดใจไม่อ่านดีไหม แต่พอลองอ่านๆไปนี่ถึงตอนล่าสุดไม่รู้ตัว ชอบเลยอ่ะ เป็นแนวเรื่องแฝงข้อคิดอะไรหลายๆอย่างนะถ้าลองคิดดีๆ เป็นกำลังใจให้รอตอนต่อไปอยู่นะ  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-10-2017 11:44:32 »





ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #50 เมื่อ23-10-2017 16:32:00 »

สนุกดีนะครับ,,,

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #51 เมื่อ23-10-2017 20:04:57 »

ชินสู้ๆ  :katai2-1:  ส่วนคนทำให้ชินเป็นแบบนี้ขอให้ตกนรกทั้งเป็นที่ทำให้คนที่ตัวเอง (พูดว่า) 'รัก' เป็นอย่างนี้ :fire:

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #52 เมื่อ23-10-2017 21:15:00 »

อุ้ยยย... ชอบมากเบยยย..
ไรท์เตอร์มาต่อไวๆนะคะ..
ติดตามค่ะ..  :katai2-1:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #53 เมื่อ24-10-2017 23:05:48 »

ติดตามจ้า  :L2:

ออฟไลน์ MNIMD

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #54 เมื่อ25-10-2017 01:03:35 »

 ผลกระทบจากการโดนข่มขืนมันน่ากลัวจริงๆนะ ทำให้คนๆนึงกลัว หวาดระแวงทุกอย่าง ทำให้คนๆนึงซึมเศร้า คิดว่าตัวเองไม่มีค่า เราจะรักคนที่เขามาข่มขืนเราได้ยังไง ในเมื่อเขาทำให้เราเป็นถึงขนาดนั้น
 การโดนข่มขืนมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆเลย อ่านแล้วสงสารน้องมาก อยากกอดปลอบ อิพี่เก่งนี่ก็เลวเหลือเกินไม่มีคำบรรยายอื่นใดนอกจากสารเลวอีกแล้ว ทำแบบนี้กับเขายังมีหน้ามาอ้อนวอนขอความรักกับเขาอีก
 ขอให้ชินหายไวๆและกลับมาเข้มแข็งเหมือนเก่าอีก มีทั้งพ่อทั้งแม่ ปราโมทย์ อาพุฒที่คอยให้กำลังใจชินอยู่นะรวมถึงเราด้วย ติดตามตอนต่อไปนะคะ

ออฟไลน์ sweetsky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 150
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: The effect (warning rape SM ) - บทที่ 15 - 07/10/2017
«ตอบ #55 เมื่อ30-10-2017 06:42:34 »

บทส่งท้าย


“ชิน ทางนี้”

“ปราโมทย์มารอนานหรือยัง?”

“นาน ทำไมนายช้า”

“โดยทั่วไปต้องตอบว่าไม่นานเป็นการรักษามารยาทสิ อะ เอาไป ของฝากจากภาคเหนือ ไส้อั่ว”

“ขอบใจ อะ นี่ก็ของนาย ของขวัญวันเรียนจบ”

“จำได้ด้วย?”

ผมหยิบเอาของขวัญวันเรียนจบมาดูมันคือชุดครุยของมหาวิทยาลัยที่ผมลงเรียนทางไกลเอาไว้ การเรียนจบของผมมันเรียบง่ายไม่มีงานรับปริญญา มีเพียงแค่ใบประกาศนียบัตรส่งมาที่บ้านแล้วเราก็แค่ทานข้าวกันเพื่อเป็นการฉลองที่บ้านเพียงเท่านั้น

“ขอบคุณมากเลยนะปราโมทย์ เป็นของขวัญรับปริญญาที่เราชอบมากเลย”

“อย่าลืมไปใส่ถ่ายคู่กับพ่อแม่ล่ะ”

“อื้ม”

“ว่าแต่ คราวนี้นายจะกลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ถาวรเลยหรือเปล่า?”

“น่าจะถาวรแล้วล่ะ แม่บ่นว่าเหงาจะแย่อยู่แล้ว ถามแต่เรื่องของเรา ปราโมทย์ล่ะเป็นไงบ้าง?”

“เราสบายดี แต่งานยุ่งมาก ถ้าเล่าจะยาวสั่งอะไรกินกันก่อนไหม?”

“โอเค”

“เออ ชิน”

“ว่า?”

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ”

“อื้ม ขอบคุณนะ”



อาพุฒอาจจะเห็นแววจากการทำงานเป็นกำลังเสริมที่โครงการ ทำให้พอผมเรียนจบอาพุฒก็ชวนให้ไปทำงานที่บริษัท ผมทำงานทางด้านเอกสารช่วยดูงบประมาณ ช่วยการวางแผนของบริษัททนายซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวอาพุฒ ส่วนในเวลาว่างผมยังคงไปที่โครงการ ยังคงไปช่วยเหลือเด็กๆ ที่นั่น ก็เลยเหมือนกับว่าผมได้ทำทั้งสองงานควบคู่กันไป

เพราะงานว่าความและโครงการของอาพุฒไม่ได้อยู่แต่ในกรุงเทพฯ เลยมีบ่อยครั้งที่ผมต้องติดสอยห้อยตามอาพุฒไปตามต่างจังหวัด แต่ครั้งนี้หลังจากที่แม่เริ่มบ่นหลายครั้งว่าผมน่าจะลืมทางกลับบ้าน ผมเลยตัดสินใจที่จะกลับมาหางานประจำที่กรุงเทพฯ

“แล้วนี่หางานใหม่ได้หรือยัง?”

“ได้แล้ว อาพุฒดูให้น่ะ เป็นงานที่แม่กลั่นกรองแล้วด้วยว่าอยู่แต่ในกรุงเทพฯ จริงๆ”

“เอาน่า แม่นายคงเหงา วันก่อนแวะเอาของไปให้เราโดนดึงอยู่ยาวถึงสามทุ่มกว่า”

“โหดมาก”

“ชิน”

“หืม?”

“นายสบายใจแล้วใช่ไหม?”

ผมก็ไม่รู้ว่าผมสามารถพูดว่าผมสบายใจได้หรือยัง ถามว่าอาการต่างๆของผมหายไปหมดแล้วไหม? ก็เรียกได้ว่าผมกลับมาเป็นคนเดิมได้เกือบเต็มร้อย ยังมีบ้างบางครั้งที่ผมยังคงหวาดกลัวและหวาดผวา แล้วชื่อของพี่เก่งเองก็ยังไม่เคยเลือนไปจากใจของผม

“ก็เรียกว่าดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ”

“ให้อภัยเขาหรือยัง?”

นั่นน่ะสิ มันเป็นคำถามที่ผมไม่มีคำตอบว่าผมสามารถให้อภัยพี่เก่งแล้วหรือยัง ทั้งๆ ที่ใครต่อใครก็ต่างพูดว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผมดีขึ้น นั่นก็คือการให้อภัยคนที่ทำร้ายเรา

“...ไม่รู้สิ”

“ไม่ต้องรีบ...เราแค่คิดว่ามันน่าจะดีกับตัวนาย..แต่ถ้าไม่ได้ก็ปล่อยมันไปตามกาลเวลา”

“อื้ม...จะลองพยายามดูนะ”



ผมนั่งคุยกับปราโมทย์ต่อจนแสงอาทิตย์เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มถึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ปราโมทย์เสนอตัวที่จะไปส่งที่บ้าน แต่ตอนนี้ปราโมทย์ไม่ได้อยู่บ้านหลังเดิมเหมือนตอนสมัยเรียนแล้ว ปราโมทย์ย้ายไปอยู่ใกล้ที่ทำงานของเขาซึ่งมันไกลจากที่บ้านผมเป็นอย่างมาก เงยหน้าไปดูจากสถานการณ์ของการจราจรในวันนี้ผมว่าปราโมทย์น่าจะกลับถึงคอนโดอีกทีตอนเที่ยงคืน

“งั้นถึงบ้านแล้วส่งข้อความมาด้วย”

“โอเค ขับรถดีๆ”

หลังจากที่เดินไปส่งปราโมทย์ที่รถผมเปลี่ยนใจที่ตรงกลับบ้านเป็นเดินดูของในห้าง มันก็นานมากแล้วที่ผมไม่ได้มาเดินซื้อของในห้างแบบนี้ด้วยงานที่รัดตัวแล้วไหนจะต้องเดินทางตลอดเวลา ผมเลือกเดินเข้าร้านหนังสือเป็นร้านแรก กะว่าจะแค่ยืนดูของแต่ตอนเดินออกมาจากห้างในมือผมดันได้หนังสือติดกลับมาสองเล่ม

“ฮัลโหล ถึงไหนแล้วลูก?”

“กำลังจะกลับแล้วครับ”

“โอเค งั้นแม่กับพ่อรอที่บ้านนะ รอกลับมากินข้าวพร้อมกัน”

“ครับ”


ผมมัวแต่เดินเล่นเพลินจนไม่ได้ดูนาฬิกา ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็อยากจะเลื่อนเวลากลับให้เร็วกว่านี้ ไม่ใช่เป็นเวลาเร่งด่วนอย่างหกโมงเย็น ผมไม่อยากขึ้นไปเบียดกับผู้คนในรถโดยสาร มีความคิดแวบนึงที่จะเดินหันหลังเข้าไปในห้างแต่อีกใจก็ไม่อยากให้แม่กับพ่อรอนานผมเลยเลือกที่จะกลับบ้านตอนนี้

ถนนยามเย็นดูคึกคักไม่เงียบเหงาเพราะยังมีผู้คนมากมายเดินซื้อของและพูดคุยกัน แม้แสงแดดสีแดงอมส้มที่มักจะเป็นตัวแทนของความเหงาและโดดเดี่ยว แต่พอได้มายืนอยู่ตรงนี้ผมก็รู้สึกว่าแสงนั้นมันทำอะไรผมไม่ได้เลย

ผมกำลังยืนรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนไปอีกฝั่ง ผมกวาดตามองสิ่งรอบตัวไปเรื่อยปล่อยจิตใจไปกับการมองดูผู้คน แต่แล้วสายตาของผมก็ดันเห็นคนๆหนึ่งจากอีกฝั่งของถนน

คนๆนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไป เขายังคงเป็นคนที่ดูโดดเด่นท่ามกลางผู้คนมากมายได้เสมอ เขายังสามารถเป็นคนที่ดึงดูดสายตาได้แม้ว่าเขาจะดูอ่อนล้าก็ตาม

มือของผมที่เริ่มเปียกชื้นกำถุงหนังสือที่อยู่ในนั้นแน่นขึ้นพร้อมทั้งยังภาวนาขอให้คนฝั่งนั้นไม่เห็นผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่อาจจะเป็นเพราะผมภาวนาช้าไป เพราะแค่เพียงอึดใจต่อมาสายตาของเราทั้งสองคนก็ประสานกัน เราสบตากัน
พี่เก่งยิ้มกว้างให้ผมทั้งน้ำตา มันน่าอิจฉานะที่แม้ว่าพี่เก่งจะร้องไห้และทำหน้าตาบูดเบี้ยวแต่เขาก็ยังคงอยู่ในร่างของเทพบุตรเสมอ

ทันทีที่ไฟแดงเริ่มกระพริบเป็นสัญญาณเตือนให้เตรียมตัว เป็นสัญญาณให้ผู้คนที่อยู่ฝั่งนั้นสามารถข้ามมาที่ฝั่งนี้ได้ สมองของผมก็สั่งงานว่าให้ผมรีบหันหลังกลับจากจุดที่ยืนอยู่

ใจที่กำลังเต้นแรงของผมมันเป็นสิ่งที่บอกให้ผมรู้ตัวว่าผมคงไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับเขาได้จริงๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงยังคงก้าวขาไปข้างหน้าไม่ยอมถอยหลัง ทำให้ผมก็เป็นคนแรกที่เดินลงจากฟุตบาทของฝั่งนี้ แล้วไม่รู้อะไรที่ดลใจให้เขาคนนั้นเดินลงมาจากขอบฟุตบาทของฝั่งนั้นเป็นคนแรกเช่นกันดั่งผม

แล้วอย่างไม่ได้คาดฝัน ทันใดนั้นอยู่ๆ ก็มีรถบรรทุกพุ่งตัวมาจากอีกด้านของถนนที่เพิ่งมีสัญญาณไฟแดงไปเข้ามาในเขตถนนด้วยความเร็วสูง



โครม!



เสียงของสองสิ่งกระทบกันดังสนั่น รอบข้างของผมไม่มีแม้กระทั่งเสียงพูดคุย แต่เพียงไม่นานเสียงหวีดร้องและความโกลาหลก็เกิดขึ้น

แม้รอบตัวของผมจะมีแต่เสียงของความวุ่นวายแต่แปลกที่ในใจของผมดันสงบได้มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องขึ้น อาจจะเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้มันคงจะเป็นสิ่งที่ผมต้องการเสมอมา


ขอบคุณที่ในที่สุดก็ทำให้ผมได้ผ่อนคลายและปล่อยวางอย่างแท้จริง


ถ้าปราโมทย์มาถามผมอีกครั้งผมก็คงตอบได้อย่างเต็มปากว่า


“อื้ม เราสบายใจดีแล้วล่ะ”





จบบริบูรณ์


 :pig4:



Talk : สวัสดีค่ะอย่างแรกเลยต้องขอขอบคุณทุกคนมากเลยนะคะที่กดเข้ามาอ่านกันรวมไปถึงทุกคอมเมนท์ที่เข้ามาเมนท์ให้กำลังใจกันมันมีความหมายมากจริงๆ ค่ะ เรายอมรับเลยว่าเราไม่มีความมั่นใจตอนจะลงเรื่องนี้เลยเรากลัวมากจริงๆ เรากลัวเราไม่สามารถสื่อได้ถึงอารมณ์ของน้องชินกับพี่เก่งแต่พอเราได้เห็นยอดกดอ่านและมีคอมเมนท์เข้ามามันสามารถลดแรงกดดันและทำให้เรามีกำลังใจให้ไปต่อและออกมาจนเป็นรูปเล่มได้จริงๆ ค่ะ // โค้งขอบคุณอีกครั้ง


เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกเลยที่เราไม่ได้ตอบคอมเมนท์ของใครเลยเราเห็นของทุกคนเลยค่ะและเราอยากพูดกับทุกคนมากกกกกกกกเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่เรามักจะแอบคุยด้วย แต่เราตั้งใจจบเรื่องนี้แบบเปิดว่าหลังจากเสียง ’โครม’ มันเกิดอะไรขึ้นกับทั้ง 2 คน เราเลยไม่อยากให้คำพูดของเราทำลายจินตนาการของคนอ่านเราเลยทำได้แค่กดบวกเป็ดแบบเงียบๆ ตอนเข้ามาเห็นคอมเมนท์ค่ะ ฮา ยังไงก็จบเรื่องนี้แล้วสามารถไปพูดคุยกันได้ที่ #theeffectth  นะคะ ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ rsmrypngpth

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 65
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สำหรับเรา เก่งตาย

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ crazydoii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 858
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Bad Ending จริงๆนะครับ,,,  สนุกดีครับ,,

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด