บทนำ
“ผมไม่ได้ทำจริงๆนะครับ ผมสาบานได้ ผมไม่เคยมีความคิดจะโกงเงินบริษัทแน่นอน เชื่อผมนะครับ” ชายหนุ่มหุ่นผอมบางยกมือขึ้นไหว้ขอร้องเจ้านายของตนเป็นรอบที่เท่าไหร่ ทุกคนในห้องที่ร่วมเป็นพยานต่างก็คร้านจะนับ น้ำตาไหลอาบเต็มสองข้างแก้มของคนที่ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น แล้วเอื้อมมือไปจับมือของหัวหน้าเอาไว้
“พี่เดช พี่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนคดโกงแบบนั้น งานนี้เราก็รับร่วมกันไม่ใช่เหรอพี่เดช...พี่พูดอะไรบ้างสิครับ” ลาภินพูดละล่ำละลัก เขย่ามือทรงเดช หัวหน้างานหลายครั้ง อีกฝ่ายมีสีหน้าลำบากใจทว่าไม่มีคำใดหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของฝ่ายนั้น
“พอเถอะคุณลาภิน ผมจะเห็นแก่ที่หลานผมขอเอาไว้ ครั้งนี้ผมจะไม่เอาเรื่องถึงตำรวจ แต่ผมคงรับคุณเข้าทำงานต่อไปไม่ได้ บริษัทผมไม่ต้อนรับคนโกง” เจ้าของบริษัทที่ยืนกอดอกอยู่พูดเสียงเข้ม ในมือของเขาถือเอกสารปึกใหญ่...หลักฐานการยักยอกทรัพย์ของลูกน้องหนุ่มเอาไว้
“คุณภัทร ผมไม่ได้ทำจริงๆนะครับ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมีลายเซ็นของผมอยู่บนนั้น คุณภัทร ฟังผมก่อน .....ไอ้แดน กูไม่ได้ทำจริงๆมึงก็รู้ ช่วยกูหน่อยเถอะ” ในเมื่อเจ้านายไม่ฟัง หันหลังเดินฉับๆออกไปจากห้องแล้ว ลาภินเลยต้องหันไปหาเพื่อนสนิทที่เป็นหลานแท้ๆของเจ้านาย และเป็นคนชักชวนให้เขาเข้ามาทำงานด้วยที่นี่ตั้งแต่เรียนจบ
“กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้ ริว....อาภัทรใจดีมากแล้วที่ไม่แจ้งความมึง”
“แดน ช่วยกูด้วย เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ กูไม่ได้ทำจริงๆ มึงไม่เชื่อกูเหรอ” ริวอ้อนวอนอีกรอบ รั้งแขนของเพื่อนเอาไว้ แดนหันมามองเขาแล้วปัดมือของเขาออก พูดโดยไม่มองหน้า
“กูขอโทษริว กูช่วยไม่ได้จริงๆ” เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งของเขาพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินตามอาหนุ่มและหัวหน้าของเขาออกไปจากห้อง
ริวเม้มปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาอีก แค่นี้ก็มากพอแล้ว เขาไม่รู้ว่าจะไปร้องขอความยุติธรรมได้จากที่ไหน ทำไมเจ้านายถึงตัดสินเขาอย่างรวดเร็วและง่ายดายเช่นนี้เพียงเพราะว่าหลักฐานที่เขาไม่เคยเห็นมันเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าลายมือชื่อบนนั้นจะเป็นลายมือของเขาก็เถอะ ต่อให้อยากขอร้องให้สืบสวนเรื่องนี้ใหม่ เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงในเมื่อเขาถูกไล่ออกแล้ว
ริวเก็บของออกมาจากบริษัทในเย็นวันนั้นเองท่ามกลางสายตาดูแคลนปนสมเพชของเพื่อนร่วมงานทุกคน ไม่มีใครมาส่งเขา ไม่มีใครเข้ามาพูดปลอบใจ ไม่มีใครอยาก ‘ยุ่ง’ กับคนที่ถูกตราหน้าว่ายักยอกเงินบริษัทอย่างเขา
ชายหนุ่มขนของใส่ลังขึ้นรถเมล์กลับมาที่แฟลตเก่าๆย่านชานเมือง มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อยกให้แม่ตอนหย่ากัน และแม่ก็ทิ้งเอาไว้ให้เขาอีกที หลังจากที่ท่านลาโลกนี้ไปด้วยอุบัติเหตุเรือคว่ำตั้งแต่ลาภินยังเรียนม.ปลาย
เขาต้องทำงานไปเรียนไปตั้งแต่บัดนั้น ใช้ความอุตสาหะสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐได้ อดทนเรียนจนจบ ได้เข้าทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มั่นคงของญาติเพื่อน นึกว่าชีวิตจะไปได้ดีแล้วแท้ๆ ความฝันกลับล่มสลายลงมาอีกทั้งที่เพิ่งทำงานไปไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มถอดรองเท้าแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังเก่า ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ความกลัดกลุ้มในใจเพราะตกงานยังไม่เท่าความเสียใจที่ถูกหาว่าโกง ทั้งๆที่เขามั่นใจว่าตัวเองทำงานอย่างซื่อสัตย์มาตลอด ทำไมคนอย่างเขาถึงได้เจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ด้วย
“เมี้ยว” เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตที่สองในห้องดังขึ้น ริวลืมไปสนิทเลยว่าเจ้าบาจายังไม่ได้กินข้าว ...ชายหนุ่มดันตัวลุกขึ้นจากเตียงที่ยวบลงไปเพราะสปริงเสีย เดินไปคลุกข้าวให้เจ้าแมวสีน้ำตาลสลับขาวที่เดินเข้ามาเบียดอ้อน
“หิวใช่มั้ย อาหารแกดีกว่าฉันอีกนะมื้อนี้....บาจา” ริวพูดเรื่อยๆ คลุกข้าวกับปลาฉีกให้ใส่ชามข้าว ยกมือขึ้นลูบขนนุ่มนิ่มของบาจาอย่างใจลอย
จะว่าไป....นอกจากแดนกับเพื่อนสนิทของเขาอีกสองคนแล้ว ก็มีเจ้าบาจานี่แหละ ที่เขาถือว่าเป็นเพื่อนแท้อีกคน ในชีวิตของลาภินไม่ได้มีเพื่อนมากมายเป็นกลุ่มเหมือนใครต่อใคร เขาเป็นคนขี้อายและเข้ากับคนยาก คนส่วนใหญ่เลยไม่อยากจะเสียเวลาพูดกับเขา...หรือจะพูดให้ถูกคือ ไม่ได้สังเกตเห็นเขา...น่าจะถูกมากกว่า
ตั้งแต่เด็กเขาเป็นเด็กหัวปานกลาง หน้าตาปานกลาง เรียนปานกลาง กีฬาปานกลาง ส่วนสูงปานกลาง อืม...เอาเป็นว่าไม่มีอะไรอยู่ในเกณฑ์สูงหรือต่ำพอจะให้เป็นจุดสังเกต เป็นมนุษย์ปานกลางที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆท่ามกลางเพื่อนๆที่มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ ริวไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสวรรค์ถึงไม่คิดจะเพิ่มเติมอะไรให้เขาบ้างเลย สักนิดก็ยังดี
แต่อย่างน้อยเขาก็ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้ แถมเป็นคณะที่ใฝ่ฝันของเด็กสายวิทย์ที่รักการคำนวนด้วย แม้วันรับปริญญาจะไม่มีญาติสนิทสักคนมาก็ตาม...ช่างมันเถอะ
ชายหนุ่มตักข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างไม่รู้รส ทอดสายตามองภาพพ่อแม่ในกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือใกล้ๆ ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวอีกครั้ง ไม่นานก็กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาที่ไหลรินเป็นทาง
น้ำตาไหลเข้าปากเขาให้รสเค็มปะแล่มๆ ริวยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ หูได้ยินเสียงพูดคุยล้งเล้งของผัวเมียในห้องข้างๆเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อีกเดี๋ยวผัวก็คงเริ่มทุบตีเมียเหมือนทุกที จากนั้นก็จะได้ยินเสียงด่าจากห้องตรงข้าม วนเวียนไปเหมือนวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่ห้องทางขวามือของเขาซึ่งเป็นเด็กหนุ่มม.ปลาย ก็จะเปิดเพลงเสียงดังเพื่อกลบเสียงรบกวนนั้น
ริวมองไปรอบๆห้องเก่าของตัวเองสลับกับยอดเงินในสมุดบัญชีเล่มเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะและถอนหายใจยาว
..................................................................................................
“อ้าว...ริว กลับมาทำงานที่นี่แล้วเหรอ ไหนว่าได้งานที่บริษัทอะไรนะ...”
“น้องริว พี่กี้คิดถึ้งคิดถึงน้องจังค่ะ”
“ตัวหารทิปเพิ่มอีกแล้ว”
เสียงทักทายของบรรดาเพื่อนพนักงานบริกรร้านอาหารใหญ่หรูหราใจกลางเมืองดังขึ้นรอบด้าน ริวยกมือขึ้นไหว้รุ่นพี่ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เขายังหาเงินเรียนม.ปลาย จนกระทั่งส่งตัวเองเรียนจบ
“ริวจะมาช่วยกะดึกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ ก็เหมือนเดิม คุ้นงานกันอยู่แล้ว นี่แก้ม พนักงานใหม่เพิ่งเข้ามาเมื่อเดือนก่อน นายอาจจะยังไม่รู้จัก” หัวหน้าที่ชื่อพี่ต้อมผายมือไปทางผู้หญิงตัวเล็กที่ส่งยิ้มมาให้เขาอย่างอายๆ ริวยิ้มตอบกลับไป “เอาละ อีกครึ่งชั่วโมงจะเปิดร้านแล้ว แยกย้ายกันไปทำหน้าที่เขาตัวเองได้”
บริกรในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวมีสัญลักษณ์ของร้านและกางเกงดำเป็นเครื่องแบบต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง ริวเดินไปหาพี่ฟ้า พี่ที่เคยอยู่แฟลตห้องตรงข้ามกับเขามาก่อน และเป็นคนชวนเขามาช่วยทำงานที่ร้านอาหารตอนที่เขาไม่เงินซื้อหนังสือเรียน
“ริวดูแลโซนตะวันออกนะ ส่วนน้องแก้มดูแลฝั่งตะวันตกกับพี่”
ริวทำงานตามที่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างคล่องแคล่ว เวลาผ่านไปรวดเร็วก็ถึงเวลาเลิกงาน เขารับเงินค่าตอบแทนรวมกับทิปที่ได้ในวันนี้มานับอย่างพอใจ ถึงจะไม่ได้มากมายเป็นเงินก้อนเหมือนเงินเดือนที่เคยได้ แต่ก็นับว่าเพียงพอสำหรับยังชีพไปอีกหลายวัน
“ริวกลับยังไงคะ” เพื่อนใหม่ที่ชื่อเกวลีเดินมาหาเขา ถามขึ้นยิ้มๆ ชายหนุ่มยิ้มตอบกลับไปเรียบๆ
“ผมขึ้นรถเมล์กลับ แก้มล่ะ” หญิงสาวกระพริบตา
“แก้มเอามอเตอร์ไซค์มา ริวกลับด้วยกันมั้ย” คำตอบของเธอทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย
“ขอบคุณมากแต่ ผม...ต้องแวะซื้อของก่อน แก้มกลับเถอะ เดินทางปลอดภัย พรุ่งนี้เจอกันครับ” เขาตอบแล้วก้มหน้าเดินเลี่ยงออกมาโดยเร็ว
เดินออกมาจนเกือบถึงริมถนนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในร้าน จุ๊ปากอย่างหงุดหงิดแล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่ค่อนข้างมืด ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงตะโกน และก็เสียงตุ้บตับเหมือนคนสู้กัน
ลาภินตกใจ เขาหลบวูบเข้าที่มุมเสาข้างร้าน แอบเหลือบมองไปทางเงาหลายเงาที่กำลังนัวเนียกันพัลวัน ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแว่วมาเป็นระยะ แสงไฟหน้าร้านส่องให้เห็นลางๆว่ามีร่างๆหนึ่งนอนคลุกฝุ่นอยู่ที่พื้นและกำลังถูกรุมด้วยชายฉกรรจ์สามคน
หัวใจของเขาเต้นแรง เห็นผู้ชายที่โดนรุมซ้อมคนนั้นพยายามยกแขนขึ้นมาบังแม้จะไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่ ริวยกมือขึ้นป้องปากแล้วตะโกนเสียงดัง
“เห้ยตำรวจมา ตำรวจมาแล้วโว้ย ทางนี้ครับคุณตำรวจ มีคนตีกัน”
พวกนั้นชะงักดูท่าจะไม่เชื่อเท่าไหร่ แต่คนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลับสั่งสั้นๆให้ไป วูบเดียวก็หายไปกันหมด เหลือแต่ร่างสูงใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้นลานจอดรถ
ริวขยับเข้าไปดูใกล้ๆ คนบนพื้นตัวใหญ่กว่าที่เห็นจากไกลๆ ท่านอนงอก่องอขิงบอกชัดว่าคงจะเจ็บเอาเรื่อง ใบหน้าที่เห็นจากแสงไฟแตกยับทีเดียว
“ชะ..ช่วยด้วย ช่วยที” เสียงห้าวๆพึมพำออกมาจากริมฝีปากที่บวมเจ่อ ลาภินทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วผุดลุกขึ้นยืนขยับจะกลับเข้าไปในร้าน ทว่ามือของอีกฝ่ายกลับดึงชายกางเกงของเขาเอาไว้ “อย่าไป.. ช่วยผมด้วย...ได้โปรด”
“รู้แล้ว จะเข้าไปตามคนมาช่วยนี่ไง”
“พาผมไปรพ.”
“ผมต้องเข้าไปเอาโทรศัพท์ ปล่อยมือก่อน” ริวพูดห้วนๆ ก้มลงดึงมือของฝ่ายนั้นออกจากขากางเกง อีกฝ่ายยอมปล่อยมือ มือใหญ่พยายามล้วงเข้าไปในกระเป่ากางเกงของตัวเองที่สวมอยู่
“โทรศัพท์...ของผม อยู่ในนี้....ใช้เลย”
“อ้อ...ได้ครับ” ลาภินช่วยล้วงดึงเอาโทรศัพท์มือถือหน้าตาเก่าพอๆกับโทรศัพท์ของเขาขึ้นมากด หน้าจอเป็นภาพล็อครูปผู้ชายหน้าเข้มที่คงเป็นเจ้าตัวถ่ายคู่กับผู้หญิงวัยกลางคน หน้าจอขึ้นในกรอกรหัสผ่าน “รหัสอะไรครับ”
“1507” อีกฝ่ายตอบกลับมา
เขาก้มลงกดปลดล็อคหน้าจอแล้วโทรออก แจ้งให้รถรพ.มารับคนเจ็บที่หน้าร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้
“อย่าเพิ่งไป..” มือเหนียวราวกับทากาวยึดชายกางเกงของเอาไว้แน่น กลิ่นคาวเลือดยังคลุ้ง ลาภินพยายามแกะมือของฝ่ายนั้นออกอีกครั้ง
“ปล่อยๆ ผมต้องรีบกลับบ้าน”
“รอก่อน”
“งั้นเข้าไปพักในร้านก่อน” ริวตัดสินใจ เขาไม่อยากปล่อยให้คนเจ็บนอนแผ่อยู่กลางลานจอดรถแต่ก็ไม่ได้เป็นคนดถึงขนาดจะนั่งเฝ้าเอาไว้ แค่เขาโทรเรียกรถพยาบาลให้ก็ใจดีมากเกินพอแล้ว
ชายหนุ่มย่อตัวลงจับแขนของอีกฝ่ายขึ้นมาพาดบนไหล่แล้วออกแรงดันตัวขึ้น ริวรู้สึกเหมือนกำลังแบกกระสอบข้าวหนักหลายตันมากกว่าจะเป็นการช่วยพยุงใครสักคน ร่างนั้นทั้งหนาและหนักและสูงกว่าเขาอย่างน้อยฟุตนึง
“นี่คุณ...ช่วยออกแรงเดินหน่อยได้มั้ย” ริวพูดหอบๆ อีกฝ่ายปรือตาขึ้นมองหน้าเขาแล้วสั่นศีรษะ
“ไม่ไหว...เจ็บไปหมด ทั้งตัว”
“ผมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ” เขาเซไปตามน้ำหนักตัวที่มากกว่าของอีกฝ่ายจนเกือบล้มลงไปทั้งคู่ถ้าไม่ได้พี่ฟ้า พี่พนักงานที่ออกมาจากร้านเห็นเข้าพอดี เธอวิ่งเข้ามาช่วยพลางถามด้วยความเป็นห่วง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะน้องริว คนนี้ใครกัน”
“ผมก็ไม่รู้ เจอเขาโดนซ้อมอยู่หน้าฝั่งผับเลยเข้าไปช่วย ผมเรียกรถพยาบาลแล้ว ฝากพี่ช่วย....”
“น้องปายลูกสาวพี่ไม่สบายน่ะ พี่ต้องรีบกลับไปดู ขอโทษด้วยนะริว เอางี้ เดี๋ยวพี่ช่วยพาเข้าไปนั่งข้างหน้าร้านแล้วกันนะ ในร้านพี่ล็อคไปหมดแล้ว ต้องขอโทษด้วยจริงๆ” หญิงสาวพูดเร็วปรื๋อ เข้ามาช่วยเขาพยุงคนเจ็บเข้าไปนั่งบนบันไดหน้าร้าน ร่างสูงใหญ่นั้นทอดยาวเหมือนคนหมดแรง
“จะตายมั้ยเนี่ยน้องริว”
“ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมรถพยาบาลมาช้าจังนะ”
“งั้นริวดูไปก่อนนะ พี่ต้องรีบไป บายจ้ะ” เธอโบกมือให้เขาแล้วตรงดิ่งไปยังรถยนต์ที่จอดเอาไว้ไม่ไกล ริวถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันไปดูคนเจ็บที่นอนกอดอกเงียบอยู่ข้างๆ ยกหลังมือขึ้นไปอังตรงจมูกให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่
“ผมยังไม่ตาย” เสียงห้าวๆนั้นดังขึ้น เลือดที่ไหลออกมาจากหางคิ้วที่แตกนั้นหยุดไปเองกลายเป็นคราบเกรอะกรัง โชคดีที่สันจมูกโด่งคมนั้นไม่มีรอยหัก ไม่อย่างนั้นคงน่าเสียดายแย่
“ก็ดีแล้ว งั้นคุณนอนรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มา” ริวรีบพูดแล้วผุดลุกขึ้นยืน
“อยู่ก่อน อย่าเพิ่งไป” ฝ่ายนั้นพูดไปก็สูดปากไปด้วยความเจ็บ ริวรู้สึกสงสารนิดๆทว่าเขาสงสารตัวเองที่จะไม่มีรถกลับมากกว่าถ้าขืนยังนั่งเล่นบทเป็นคนดีอยู่แบบนี้
“ผมต้องกลับแล้ว”
“งั้นช่วยผม...ช่วยอีกอย่าง” อีกฝ่ายส่งโทรศัพท์มือถือเปื้อนเลือดของตัวเองมาให้ “โทรหาคนชื่อโอมที”
“โอม? เป็นญาติคุณใช่มั้ย”
“น้อง...น้องชาย โทรบอกเขาที” อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน ริวถอนหายใจเฮือก รับโทรศัพท์เครื่องนั้นมากดหาเบอร์คนที่ชื่อโอม
“อุ้ม แอ๋ม ออย นี่ไงโอม” ริวกดโทรออก รอสายครู่เดียวอีกฝ่ายก็กดรับ
“ครับเฮียยักษ์ ไหนว่าวันนี้อยากอยู่คนเดียวไง” เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นปลายสายทำให้หัวใจของคนฟังกระตุกไปวูบหนึ่ง ริวขมวดคิ้วอย่างมึนงง “คิดถึงผมล่ะสิ” เสียงนั้นพูดต่อมาอีก
“เอ้อ...ผมไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ครับ คือเจ้าของโทรศัพท์เขาให้ผมโทรหาคุณโอมเพราะเค้าถูกรุมทำร้ายครับ”
“ว่าไงนะ....แล้วนั่นใครพูด เฮียยักษ์อยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง” ฝ่ายนั้นตะโกนตอบกลับมา
“อยู่หน้าร้าน.....ครับ ยังไม่ตาย ผมเป็นเอ่อ...พลเมืองดี โทรเรียกรถรพ.แล้วครับ แต่ยังไม่มาเลย”
“ขอบคุณคุณมากครับ รบกวนคุณช่วยอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายผมก่อนได้มั้ยครับ ผมกำลังจะไปถึงที่ร้านในอีกสิบนาทีนี้แล้ว นะครับ” เสียงทอดอ่อนจากปลายสายและความสงสัยข้องใจทำให้ลาภินตอบตกลง
“ได้ครับ ผมจะอยู่ที่นี่ก่อน”
ฝ่ายนั้นกดวางสายไปแล้ว เดาว่าคงกำลังรีบบึ่งรถมาที่นี่ ริวทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันไดข้างๆคนเจ็บที่นอนหลับตานิ่งอยู่ สอดโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าเสื้อของเจ้าของ
“มันว่าไง”
“กำลังมาครับ”
“อืม ดีแล้ว”
เงียบกันไปทั้งคู่ ริวยกมือขึ้นบีบไปมาด้วยความกังวลแกมตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว....ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ชื่อนี้ น้ำเสียงแบบนี้ วิธีพูดแบบนี้..... หัวใจเต้นแรงขึ้นตามเข็มวินาทีที่เคลื่อนผ่านไป เขาลืมคนเจ็บไปเสียสนิทจนกระทั่งรถฟอร์จูนเนอร์คันหนึ่งขับเข้ามาจอดที่หน้าร้านและผู้ชายร่างสูงโปร่งก้าวลงมาจากรถ ตรงมาที่เขา
“เฮียยักษ์ เป็นยังไงบ้าง” คนมาใหม่ถามละล่ำละลัก ไม่ได้สังเกตคนที่ผุดลุกขึ้นยืนจ้องหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
“ไอ้โอมเหรอ เจ็บฉิบเลย”
“ใครทำเฮีย”
“ไม่รู้...”
“ผมจะพาเฮียไปรพ.เอง อ้อ...คุณคือคุณพลเมืองดีใช่มั้ยครับ ผมเป็นน้องชายเค้า ผมจะพาเค้าไปรพ.เอง”
“แต่รถรพ.” ริวอึกอัก ดวงตาคมที่มองตรงมาที่เขาทำให้รู้สึกใบหน้าร้อนๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก
“ยังไม่เห็นมาเลย ผมพาไปเองดีกว่า” คนชื่อโอมก้มลงช้อนหลังคนเจ็บแล้วพยุงลุกขึ้น ริวเลยเข้าไปช่วยพยุงอีกข้างหนึ่ง พาเดินไปที่รถที่จอดอยู่ ดันให้คนเจ็บขึ้นไปนั่งด้านหลัง
“คุณก็ไปด้วยกันเถอะครับ”
“ผม...ต้องกลับบ้าน”
“คุณกลับยังไง”
“รถเมล์”
“เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธ ริวขยับจะก้าวขึ้นด้านหลังรถทว่าร่างของคนที่ถูกเรียกว่า ‘เฮียยักษ์’ ก็ดูจะเต็มพื้นที่ไปแล้ว
“คุณนั่งข้างหน้าเถอะ” เจ้าของรถตัดสินใจให้
ริวเปิดประตูขึ้นมานั่งด้านหน้า เหลือบมองอีกฝ่ายที่ขึ้นมาประจำที่คนขับแล้วออกรถตรงไปยังรพ. อีกฝ่ายถามเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ริวก็เลยเล่าให้ฟังเท่าที่จำได้
“คุณเป็นคนมีน้ำใจมากๆครับ ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดี ถ้าไม่ได้คุณ พี่ชายผมคงโดนหนักกว่านี้” โอมพูดออกมา ริวเผลอยิ้มออกมาตอบกลับไปว่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ้อ...ผมเต็มใจช่วย”
“ครับ....เอ ทำไมผมคุ้นหน้าคุณจัง เหมือนเคยเห็นที่ไหน” คนขับพึมพำ เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ด้านหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล
อีกฝ่ายไม่อยู่รอฟังคำตอบที่ริวกำลังจะอ้าปากพูด กลับกระโดดลงจากรถวิ่งไปช่วยบุรุษพยาบาลสองคนพาพี่ชายลงจากรถเข้าไปภายในห้องตรวจ
ริวลงยืนดูอยู่เงียบๆเห็นฝ่ายนั้นตามพี่ชายเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วหายเงียบไป เขาถอนหายใจยาวหมุนตัวเดินกลับออกมาข้างนอก มองหารถเมล์สักคันเผื่อจะยังมีเหลืออยู่
“โทรศัพท์ก็ลืมอยู่ที่ร้าน ที่นี่ก็โคตรไกลจากแฟลต” แค่คิดว่าเงินที่ได้ในวันนี้จะต้องหมดไปกับค่าแท็กซี่ ริวก็อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ
“มาอยู่ที่นี่เอง ผมเดินตามหาคุณตั้งนาน” เสียงทุ้มๆดังขึ้นข้างหลังทำเอาสะดุ้ง ลาภินหันขวับไปเห็นร่างสูงโปร่งยืนล้วงกระเป๋า มองมาที่เขายิ้มๆ
“พี่ชายคุณเป็นยังไงบ้าง”
“กระดูกแข็งเอาเรื่อง ไม่มีหักตรงไหนเลย มีแต่แตกต้องเย็บ ผมเลยขอให้นอนคืนนึงพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน”
“อ้อ” ริวอุทาน นึกทึ่งในความอึดถึกของคนเจ็บเล็กน้อย
“คุณเป็นเพื่อนกับน้องสายรหัสผมใช่มั้ย” จู่ๆอีกฝ่ายก็ถามขึ้นมาเสียเฉยๆ ริวเงยหน้าขึ้นสบตาคู่นั้นอย่างตกใจ ตอบกลับไปตะกุกตะกัก
“ชะ..ใช่ครับ ผมเป็นเพื่อนราม”
“อืมว่าแล้วเชียวว่าเคยเห็นหน้าที่ไหน น้องชื่ออะไรนะ โทษทีพี่แก่แล้วขี้ลืมหน่อย”
“ชื่อริวครับ”
“ใช่ๆ จำได้แล้ว น้องริว สูงขึ้นเยอะเลยนี่ เป็นไงบ้าง นั่งคุยกันก่อน เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน” รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางสบายๆ...ที่เขาเคยหลงใหลได้ปลื้มอยู่เงียบๆคนเดียว
...พี่โอม จำเขาได้ด้วย...
“ครับ” ริวก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังอีกฝ่ายกลับเข้าไปในรพ. ฝ่ายนั้นพาเขาเดินไปอีกตึกหนึ่ง ขึ้นลิฟต์มายังชั้นบนที่ริวเห็นแวบๆว่าเป็นห้องพิเศษ เดินตรงมาตามทางจนถึงหน้าห้องสุดท้าย พี่โอมก็ยกมือขึ้นเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป ร่างคนเจ็บนอนสงบอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือห้อยหนึ่งถุง
“ไม่ต้องเกรงใจ คนกันเองทั้งนั้น นั่นเฮียยักษ์ รุ่นพี่พี่สามปี ก็ต้องเป็นรุ่นพี่น้อง 7ปีมั้ง ใช่มั้ย”
“อ้อ ครับ..” ริวทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับคนพูด พี่โอมดูไม่เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันในฐานะที่เขาเป็นเฟรชชีวิศวะและอีกฝ่ายเป็นพี่ว้าก อันที่จริงแล้วใบหน้าคมคายนั้นดูดียิ่งกว่าสมัยเป็นนักศึกษาเสียอีก
“แล้วเราไปทำงานอยู่ที่ไหนล่ะ ทำกับไอ้เจ้ารามหรือเปล่า”
“เปล่าครับ ผมทำงานบริษัท...เอ่อ เพิ่งออกมาครับ” คนฟังเลิกคิ้ว เขาเลยอธิบายต่อ “พอดีมีปัญหานิดหน่อย ก็เลยออกมา” ริวเลี่ยงที่จะเล่าความจริงที่เกิดขึ้น อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากดูแย่ในสายตาคนฟัง โดยเฉพาะคนฟังคนนี้
“อ้าว แล้วเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ”
“ผมรับจ๊อบครับ วันนี้ก็มาเสิร์ฟที่ร้านอาหาร”
“เสิร์ฟมันจะได้สักเท่าไหร่เชียว มาทำงานกับพี่มั้ยล่ะ พี่กำลังหาคนมาเพิ่มอยู่พอดี” พี่โอมเอ่ยชวนง่ายๆ หน้าที่ไม่ยาก แค่คอยช่วยเฮียยักษ์เขาอีกแรงเท่านั้นเอง”
“เฮียยักษ์?”
“คนนู่นนั่นแหละ เป็นหัวหน้าของพี่อีกที แกวิ่งคุมงานเยอะ อยากได้คนมาช่วยดูช่วยเช็คของเช็คคนงาน งานไม่ยากหรอก แต่เงินดี สนใจไหมล่ะ”
“แต่ว่าผม...จะทำได้เหรอครับ”
“ได้สิ ง่ายกว่างานที่เดิมของเราแน่นอน เอามั้ยล่ะ ถ้าไม่ชอบก็ค่อยออกก็ได้ เดี๋ยวพี่จ่ายชดเชยให้สามเดือน” ข้อเสนอของอีกฝ่ายดูเย้ายวนใจไม่น้อย
“บริษัทอะไรเหรอครับ”
“เอสเคก่อสร้าง พี่เรียนจบมาเฮียยักษ์ก็ชวนมาทำงานด้วยกัน เฮียแกใจดี ถึงจะปากจัดไปบ้างแต่ว่าไม่มีอะไรหรอก ไม่ดุเหมือนหน้าตา”
“พี่โอมทำหน้าที่อะไรเหรอครับ”
“พี่เป็นผู้จัดการทั่วไป แต่ก็ดูเรื่องการเงินด้วย งานประมูลด้วย ติดต่อพวกออกแบบด้วย เอ่อ...ถ้าริวมาช่วย พี่ก็จะได้เบาลงหน่อยไง ดีมั้ย ที่บริษัทมีแต่พี่ๆน้องๆกันทั้งนั้น”
“แล้วใครเป็นเจ้าของบริษัทครับ เฮียยักษ์เหรอ”
“ไม่ใช่ เห็นว่าเป็นคนอื่น แต่พี่ไม่รู้เหมือนกัน มันค่อนข้างซับซ้อน” โอมดูลำบากใจ “เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าริวสนใจก็โทรหาพี่เบอร์นี้นะ หรือไม่ก็ถือนามบัตรพี่มาที่บริษัทพรุ่งนี้ พี่จะจัดการให้เอง” โอมส่งนามบัตรให้เขา ริวรับมาอ่าน พยักหน้ารับ
“ครับพี่โอม ขอบคุณมากนะครับที่ชวน ผมสนใจมากๆ พรุ่งนี้ผมอาจจะแวะไปหา”
“มาเลย พี่ยินดี”
เขาอยู่คุยกับอีกฝ่ายอีกเล็กน้อย จากนั้นโอมก็พาเขามาส่งที่แฟลตอีกมุมของเมือง ริวบอกลาและยกมือไหว้อีกฝ่าย ยืนรอส่งจนแสงสีแดงของไฟท้ายรถลับสายตา
เดินขึ้นบันไดเนิบๆไปจนถึงหน้าห้องตัวเอง ไขกุญแจห้องเปิดเข้าไปภายใน ห้องเงียบกริบ เจ้าบาจาไม่รู้ไปแอบหลับอยู่ตรงไหน ชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะกินข้าวเข้าไปในห้องนอน กรอบรูปวางเรียงรายอยู่บนหลังตู้วางของติดกำแพง ริวเดินไปหยุดดูรูปๆหนึ่งที่วางแอบเอาไว้มุมสุด หลังรูปรับปริญญาของเขา
เป็นภาพถ่ายรวมของค่ายรับน้องวิศวะที่มีใบหน้าของคนเกินร้อยส่งยิ้มกว้างมาให้ เขากวาดสายตามองแวบเดียวก็มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของรุ่นพี่ที่เขาได้พบเจออีกโดยไม่คาดฝัน ไม่ไกลกันนั้นมีเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางยืนหันหน้าไปทางรุ่นพี่ตัวสูงคนนั้นด้วยแววตาที่มีแต่เค้าคนเดียวที่รู้ว่าต้องการจะสื่อว่าอย่างไร
ล้วงเอานามบัตรขึ้นมาอ่านอีกครั้ง รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะเลยลามไปยังแววตาทั้งคู่ เกิดเป็นรอยยิ้มสดใสที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยเห็นมาหลายปี
“ดีใจที่ได้เจอครับ...พี่โอม”
..............................................................................................
มาเปิดเรื่องใหม่เอาไว้รอต่อ555555
ใครเคยอ่านเรื่อง #แอบลักษณ์ มาเเล้ว จะบอกว่านี่คือเรื่องที่สองในเซ็ท
เป็นเรื่องราวของคนที่แอบรักอีกเช่นเคยยยย
แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นโปรดติดตามตอนต่อปายนะคะ
เรื่องเราจะเรื่อยๆหน่อยนะ ไม่หวือหวื อ่านแล้วไม่ซาบซ่านหัวใจเท่าไหร่ 555
เจอกันตอนหน้าครัช
ใครเล่นทวิตใช้แทค #แอบยักษ์ นะคะ
