~°•°~°•°ยักษ์ยอกรัก °~°•°~°•° #แอบยักษ์ แจ้งเปิดพรีออเดอร์แล้วววว 16/8/61 p24
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ~°•°~°•°ยักษ์ยอกรัก °~°•°~°•° #แอบยักษ์ แจ้งเปิดพรีออเดอร์แล้วววว 16/8/61 p24  (อ่าน 192891 ครั้ง)

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




ยินดีต้อนรับเข้าสู่นิยายเรื่องที่สองในเซ็ทแอบรัก

เรื่องนี้เกี่ยวกับคนแอบรักที่แอบรัก

เอ้ะยังไง55555

เจอกันในเรื่องเลยดีกว่า

สำหรับคนเล่นทวิต #แอบยักษ์

แนวเรื่องเรื่อยๆมาเรียงๆไม่หวือหวา

ดรามานิดๆนะคะ
[/glow]



Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2018 15:53:25 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
บทนำ

 

 

 

 

 

            “ผมไม่ได้ทำจริงๆนะครับ  ผมสาบานได้  ผมไม่เคยมีความคิดจะโกงเงินบริษัทแน่นอน  เชื่อผมนะครับ”  ชายหนุ่มหุ่นผอมบางยกมือขึ้นไหว้ขอร้องเจ้านายของตนเป็นรอบที่เท่าไหร่  ทุกคนในห้องที่ร่วมเป็นพยานต่างก็คร้านจะนับ  น้ำตาไหลอาบเต็มสองข้างแก้มของคนที่ทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น  แล้วเอื้อมมือไปจับมือของหัวหน้าเอาไว้

            “พี่เดช  พี่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนคดโกงแบบนั้น  งานนี้เราก็รับร่วมกันไม่ใช่เหรอพี่เดช...พี่พูดอะไรบ้างสิครับ”  ลาภินพูดละล่ำละลัก  เขย่ามือทรงเดช  หัวหน้างานหลายครั้ง   อีกฝ่ายมีสีหน้าลำบากใจทว่าไม่มีคำใดหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของฝ่ายนั้น

            “พอเถอะคุณลาภิน  ผมจะเห็นแก่ที่หลานผมขอเอาไว้  ครั้งนี้ผมจะไม่เอาเรื่องถึงตำรวจ  แต่ผมคงรับคุณเข้าทำงานต่อไปไม่ได้  บริษัทผมไม่ต้อนรับคนโกง”  เจ้าของบริษัทที่ยืนกอดอกอยู่พูดเสียงเข้ม  ในมือของเขาถือเอกสารปึกใหญ่...หลักฐานการยักยอกทรัพย์ของลูกน้องหนุ่มเอาไว้

            “คุณภัทร  ผมไม่ได้ทำจริงๆนะครับ  ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมีลายเซ็นของผมอยู่บนนั้น  คุณภัทร  ฟังผมก่อน .....ไอ้แดน  กูไม่ได้ทำจริงๆมึงก็รู้  ช่วยกูหน่อยเถอะ”  ในเมื่อเจ้านายไม่ฟัง หันหลังเดินฉับๆออกไปจากห้องแล้ว  ลาภินเลยต้องหันไปหาเพื่อนสนิทที่เป็นหลานแท้ๆของเจ้านาย และเป็นคนชักชวนให้เขาเข้ามาทำงานด้วยที่นี่ตั้งแต่เรียนจบ

            “กูไม่นึกเลยว่ามึงจะเป็นคนแบบนี้  ริว....อาภัทรใจดีมากแล้วที่ไม่แจ้งความมึง”

          “แดน  ช่วยกูด้วย  เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ  กูไม่ได้ทำจริงๆ  มึงไม่เชื่อกูเหรอ”  ริวอ้อนวอนอีกรอบ   รั้งแขนของเพื่อนเอาไว้  แดนหันมามองเขาแล้วปัดมือของเขาออก  พูดโดยไม่มองหน้า

            “กูขอโทษริว  กูช่วยไม่ได้จริงๆ”  เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งของเขาพูดเป็นประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินตามอาหนุ่มและหัวหน้าของเขาออกไปจากห้อง

            ริวเม้มปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาอีก  แค่นี้ก็มากพอแล้ว  เขาไม่รู้ว่าจะไปร้องขอความยุติธรรมได้จากที่ไหน  ทำไมเจ้านายถึงตัดสินเขาอย่างรวดเร็วและง่ายดายเช่นนี้เพียงเพราะว่าหลักฐานที่เขาไม่เคยเห็นมันเลยด้วยซ้ำ  แม้ว่าลายมือชื่อบนนั้นจะเป็นลายมือของเขาก็เถอะ  ต่อให้อยากขอร้องให้สืบสวนเรื่องนี้ใหม่  เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงในเมื่อเขาถูกไล่ออกแล้ว

            ริวเก็บของออกมาจากบริษัทในเย็นวันนั้นเองท่ามกลางสายตาดูแคลนปนสมเพชของเพื่อนร่วมงานทุกคน  ไม่มีใครมาส่งเขา  ไม่มีใครเข้ามาพูดปลอบใจ  ไม่มีใครอยาก ‘ยุ่ง’  กับคนที่ถูกตราหน้าว่ายักยอกเงินบริษัทอย่างเขา

            ชายหนุ่มขนของใส่ลังขึ้นรถเมล์กลับมาที่แฟลตเก่าๆย่านชานเมือง  มันเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อยกให้แม่ตอนหย่ากัน  และแม่ก็ทิ้งเอาไว้ให้เขาอีกที หลังจากที่ท่านลาโลกนี้ไปด้วยอุบัติเหตุเรือคว่ำตั้งแต่ลาภินยังเรียนม.ปลาย

            เขาต้องทำงานไปเรียนไปตั้งแต่บัดนั้น   ใช้ความอุตสาหะสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐได้  อดทนเรียนจนจบ  ได้เข้าทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มั่นคงของญาติเพื่อน  นึกว่าชีวิตจะไปได้ดีแล้วแท้ๆ  ความฝันกลับล่มสลายลงมาอีกทั้งที่เพิ่งทำงานไปไม่ถึงปีเลยด้วยซ้ำ

            ชายหนุ่มถอดรองเท้าแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังเก่า  ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก  ความกลัดกลุ้มในใจเพราะตกงานยังไม่เท่าความเสียใจที่ถูกหาว่าโกง  ทั้งๆที่เขามั่นใจว่าตัวเองทำงานอย่างซื่อสัตย์มาตลอด  ทำไมคนอย่างเขาถึงได้เจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ด้วย

            “เมี้ยว”  เสียงร้องของสิ่งมีชีวิตที่สองในห้องดังขึ้น  ริวลืมไปสนิทเลยว่าเจ้าบาจายังไม่ได้กินข้าว ...ชายหนุ่มดันตัวลุกขึ้นจากเตียงที่ยวบลงไปเพราะสปริงเสีย  เดินไปคลุกข้าวให้เจ้าแมวสีน้ำตาลสลับขาวที่เดินเข้ามาเบียดอ้อน

            “หิวใช่มั้ย  อาหารแกดีกว่าฉันอีกนะมื้อนี้....บาจา”  ริวพูดเรื่อยๆ  คลุกข้าวกับปลาฉีกให้ใส่ชามข้าว  ยกมือขึ้นลูบขนนุ่มนิ่มของบาจาอย่างใจลอย

            จะว่าไป....นอกจากแดนกับเพื่อนสนิทของเขาอีกสองคนแล้ว  ก็มีเจ้าบาจานี่แหละ  ที่เขาถือว่าเป็นเพื่อนแท้อีกคน  ในชีวิตของลาภินไม่ได้มีเพื่อนมากมายเป็นกลุ่มเหมือนใครต่อใคร  เขาเป็นคนขี้อายและเข้ากับคนยาก  คนส่วนใหญ่เลยไม่อยากจะเสียเวลาพูดกับเขา...หรือจะพูดให้ถูกคือ  ไม่ได้สังเกตเห็นเขา...น่าจะถูกมากกว่า

            ตั้งแต่เด็กเขาเป็นเด็กหัวปานกลาง  หน้าตาปานกลาง  เรียนปานกลาง  กีฬาปานกลาง  ส่วนสูงปานกลาง  อืม...เอาเป็นว่าไม่มีอะไรอยู่ในเกณฑ์สูงหรือต่ำพอจะให้เป็นจุดสังเกต  เป็นมนุษย์ปานกลางที่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆท่ามกลางเพื่อนๆที่มีความโดดเด่นในด้านต่างๆ  ริวไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสวรรค์ถึงไม่คิดจะเพิ่มเติมอะไรให้เขาบ้างเลย  สักนิดก็ยังดี

            แต่อย่างน้อยเขาก็ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบมหาวิทยาลัยได้  แถมเป็นคณะที่ใฝ่ฝันของเด็กสายวิทย์ที่รักการคำนวนด้วย  แม้วันรับปริญญาจะไม่มีญาติสนิทสักคนมาก็ตาม...ช่างมันเถอะ

            ชายหนุ่มตักข้าวเข้าปากเคี้ยวอย่างไม่รู้รส  ทอดสายตามองภาพพ่อแม่ในกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือใกล้ๆ  ขอบตาเริ่มร้อนผ่าวอีกครั้ง  ไม่นานก็กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาที่ไหลรินเป็นทาง

            น้ำตาไหลเข้าปากเขาให้รสเค็มปะแล่มๆ  ริวยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ  หูได้ยินเสียงพูดคุยล้งเล้งของผัวเมียในห้องข้างๆเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ  อีกเดี๋ยวผัวก็คงเริ่มทุบตีเมียเหมือนทุกที  จากนั้นก็จะได้ยินเสียงด่าจากห้องตรงข้าม  วนเวียนไปเหมือนวัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุด  ขณะที่ห้องทางขวามือของเขาซึ่งเป็นเด็กหนุ่มม.ปลาย ก็จะเปิดเพลงเสียงดังเพื่อกลบเสียงรบกวนนั้น

            ริวมองไปรอบๆห้องเก่าของตัวเองสลับกับยอดเงินในสมุดบัญชีเล่มเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะและถอนหายใจยาว

 

..................................................................................................

           

            “อ้าว...ริว  กลับมาทำงานที่นี่แล้วเหรอ  ไหนว่าได้งานที่บริษัทอะไรนะ...”

            “น้องริว  พี่กี้คิดถึ้งคิดถึงน้องจังค่ะ”

            “ตัวหารทิปเพิ่มอีกแล้ว”

            เสียงทักทายของบรรดาเพื่อนพนักงานบริกรร้านอาหารใหญ่หรูหราใจกลางเมืองดังขึ้นรอบด้าน  ริวยกมือขึ้นไหว้รุ่นพี่ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เขายังหาเงินเรียนม.ปลาย  จนกระทั่งส่งตัวเองเรียนจบ

            “ริวจะมาช่วยกะดึกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ  ก็เหมือนเดิม คุ้นงานกันอยู่แล้ว   นี่แก้ม พนักงานใหม่เพิ่งเข้ามาเมื่อเดือนก่อน นายอาจจะยังไม่รู้จัก”   หัวหน้าที่ชื่อพี่ต้อมผายมือไปทางผู้หญิงตัวเล็กที่ส่งยิ้มมาให้เขาอย่างอายๆ  ริวยิ้มตอบกลับไป  “เอาละ  อีกครึ่งชั่วโมงจะเปิดร้านแล้ว  แยกย้ายกันไปทำหน้าที่เขาตัวเองได้”

            บริกรในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวมีสัญลักษณ์ของร้านและกางเกงดำเป็นเครื่องแบบต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเอง  ริวเดินไปหาพี่ฟ้า  พี่ที่เคยอยู่แฟลตห้องตรงข้ามกับเขามาก่อน และเป็นคนชวนเขามาช่วยทำงานที่ร้านอาหารตอนที่เขาไม่เงินซื้อหนังสือเรียน

            “ริวดูแลโซนตะวันออกนะ  ส่วนน้องแก้มดูแลฝั่งตะวันตกกับพี่”

          ริวทำงานตามที่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างคล่องแคล่ว  เวลาผ่านไปรวดเร็วก็ถึงเวลาเลิกงาน  เขารับเงินค่าตอบแทนรวมกับทิปที่ได้ในวันนี้มานับอย่างพอใจ  ถึงจะไม่ได้มากมายเป็นเงินก้อนเหมือนเงินเดือนที่เคยได้  แต่ก็นับว่าเพียงพอสำหรับยังชีพไปอีกหลายวัน

            “ริวกลับยังไงคะ”  เพื่อนใหม่ที่ชื่อเกวลีเดินมาหาเขา  ถามขึ้นยิ้มๆ  ชายหนุ่มยิ้มตอบกลับไปเรียบๆ

            “ผมขึ้นรถเมล์กลับ  แก้มล่ะ”  หญิงสาวกระพริบตา

            “แก้มเอามอเตอร์ไซค์มา  ริวกลับด้วยกันมั้ย”  คำตอบของเธอทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย

            “ขอบคุณมากแต่  ผม...ต้องแวะซื้อของก่อน  แก้มกลับเถอะ  เดินทางปลอดภัย  พรุ่งนี้เจอกันครับ”  เขาตอบแล้วก้มหน้าเดินเลี่ยงออกมาโดยเร็ว 

            เดินออกมาจนเกือบถึงริมถนนก็นึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในร้าน  จุ๊ปากอย่างหงุดหงิดแล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิมที่ค่อนข้างมืด  ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงตะโกน และก็เสียงตุ้บตับเหมือนคนสู้กัน

            ลาภินตกใจ  เขาหลบวูบเข้าที่มุมเสาข้างร้าน  แอบเหลือบมองไปทางเงาหลายเงาที่กำลังนัวเนียกันพัลวัน ได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดแว่วมาเป็นระยะ  แสงไฟหน้าร้านส่องให้เห็นลางๆว่ามีร่างๆหนึ่งนอนคลุกฝุ่นอยู่ที่พื้นและกำลังถูกรุมด้วยชายฉกรรจ์สามคน 

            หัวใจของเขาเต้นแรง  เห็นผู้ชายที่โดนรุมซ้อมคนนั้นพยายามยกแขนขึ้นมาบังแม้จะไม่ค่อยสำเร็จเท่าไหร่  ริวยกมือขึ้นป้องปากแล้วตะโกนเสียงดัง

            “เห้ยตำรวจมา  ตำรวจมาแล้วโว้ย  ทางนี้ครับคุณตำรวจ  มีคนตีกัน”

            พวกนั้นชะงักดูท่าจะไม่เชื่อเท่าไหร่  แต่คนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลับสั่งสั้นๆให้ไป  วูบเดียวก็หายไปกันหมด  เหลือแต่ร่างสูงใหญ่ที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้นลานจอดรถ 

            ริวขยับเข้าไปดูใกล้ๆ  คนบนพื้นตัวใหญ่กว่าที่เห็นจากไกลๆ  ท่านอนงอก่องอขิงบอกชัดว่าคงจะเจ็บเอาเรื่อง  ใบหน้าที่เห็นจากแสงไฟแตกยับทีเดียว

            “ชะ..ช่วยด้วย  ช่วยที”  เสียงห้าวๆพึมพำออกมาจากริมฝีปากที่บวมเจ่อ  ลาภินทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วผุดลุกขึ้นยืนขยับจะกลับเข้าไปในร้าน  ทว่ามือของอีกฝ่ายกลับดึงชายกางเกงของเขาเอาไว้  “อย่าไป.. ช่วยผมด้วย...ได้โปรด”

            “รู้แล้ว  จะเข้าไปตามคนมาช่วยนี่ไง”

            “พาผมไปรพ.”

            “ผมต้องเข้าไปเอาโทรศัพท์  ปล่อยมือก่อน”  ริวพูดห้วนๆ  ก้มลงดึงมือของฝ่ายนั้นออกจากขากางเกง  อีกฝ่ายยอมปล่อยมือ  มือใหญ่พยายามล้วงเข้าไปในกระเป่ากางเกงของตัวเองที่สวมอยู่

            “โทรศัพท์...ของผม  อยู่ในนี้....ใช้เลย”

            “อ้อ...ได้ครับ”  ลาภินช่วยล้วงดึงเอาโทรศัพท์มือถือหน้าตาเก่าพอๆกับโทรศัพท์ของเขาขึ้นมากด  หน้าจอเป็นภาพล็อครูปผู้ชายหน้าเข้มที่คงเป็นเจ้าตัวถ่ายคู่กับผู้หญิงวัยกลางคน   หน้าจอขึ้นในกรอกรหัสผ่าน  “รหัสอะไรครับ”

            “1507”  อีกฝ่ายตอบกลับมา

            เขาก้มลงกดปลดล็อคหน้าจอแล้วโทรออก  แจ้งให้รถรพ.มารับคนเจ็บที่หน้าร้านอาหารกึ่งผับแห่งนี้

            “อย่าเพิ่งไป..”  มือเหนียวราวกับทากาวยึดชายกางเกงของเอาไว้แน่น  กลิ่นคาวเลือดยังคลุ้ง  ลาภินพยายามแกะมือของฝ่ายนั้นออกอีกครั้ง

            “ปล่อยๆ  ผมต้องรีบกลับบ้าน”

            “รอก่อน”

            “งั้นเข้าไปพักในร้านก่อน”  ริวตัดสินใจ  เขาไม่อยากปล่อยให้คนเจ็บนอนแผ่อยู่กลางลานจอดรถแต่ก็ไม่ได้เป็นคนดถึงขนาดจะนั่งเฝ้าเอาไว้   แค่เขาโทรเรียกรถพยาบาลให้ก็ใจดีมากเกินพอแล้ว

            ชายหนุ่มย่อตัวลงจับแขนของอีกฝ่ายขึ้นมาพาดบนไหล่แล้วออกแรงดันตัวขึ้น  ริวรู้สึกเหมือนกำลังแบกกระสอบข้าวหนักหลายตันมากกว่าจะเป็นการช่วยพยุงใครสักคน  ร่างนั้นทั้งหนาและหนักและสูงกว่าเขาอย่างน้อยฟุตนึง

            “นี่คุณ...ช่วยออกแรงเดินหน่อยได้มั้ย”  ริวพูดหอบๆ   อีกฝ่ายปรือตาขึ้นมองหน้าเขาแล้วสั่นศีรษะ

            “ไม่ไหว...เจ็บไปหมด ทั้งตัว”

            “ผมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ”  เขาเซไปตามน้ำหนักตัวที่มากกว่าของอีกฝ่ายจนเกือบล้มลงไปทั้งคู่ถ้าไม่ได้พี่ฟ้า  พี่พนักงานที่ออกมาจากร้านเห็นเข้าพอดี  เธอวิ่งเข้ามาช่วยพลางถามด้วยความเป็นห่วง

            “เกิดอะไรขึ้นน่ะน้องริว   คนนี้ใครกัน”

            “ผมก็ไม่รู้  เจอเขาโดนซ้อมอยู่หน้าฝั่งผับเลยเข้าไปช่วย  ผมเรียกรถพยาบาลแล้ว  ฝากพี่ช่วย....”

            “น้องปายลูกสาวพี่ไม่สบายน่ะ  พี่ต้องรีบกลับไปดู   ขอโทษด้วยนะริว  เอางี้ เดี๋ยวพี่ช่วยพาเข้าไปนั่งข้างหน้าร้านแล้วกันนะ  ในร้านพี่ล็อคไปหมดแล้ว  ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”  หญิงสาวพูดเร็วปรื๋อ  เข้ามาช่วยเขาพยุงคนเจ็บเข้าไปนั่งบนบันไดหน้าร้าน  ร่างสูงใหญ่นั้นทอดยาวเหมือนคนหมดแรง

            “จะตายมั้ยเนี่ยน้องริว”

            “ไม่รู้เหมือนกัน  ทำไมรถพยาบาลมาช้าจังนะ”

            “งั้นริวดูไปก่อนนะ  พี่ต้องรีบไป  บายจ้ะ”  เธอโบกมือให้เขาแล้วตรงดิ่งไปยังรถยนต์ที่จอดเอาไว้ไม่ไกล  ริวถอนหายใจเฮือกใหญ่  หันไปดูคนเจ็บที่นอนกอดอกเงียบอยู่ข้างๆ  ยกหลังมือขึ้นไปอังตรงจมูกให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่

            “ผมยังไม่ตาย”  เสียงห้าวๆนั้นดังขึ้น  เลือดที่ไหลออกมาจากหางคิ้วที่แตกนั้นหยุดไปเองกลายเป็นคราบเกรอะกรัง  โชคดีที่สันจมูกโด่งคมนั้นไม่มีรอยหัก  ไม่อย่างนั้นคงน่าเสียดายแย่

            “ก็ดีแล้ว  งั้นคุณนอนรออยู่ตรงนี้แหละ  เดี๋ยวรถพยาบาลก็มา”  ริวรีบพูดแล้วผุดลุกขึ้นยืน

            “อยู่ก่อน  อย่าเพิ่งไป”  ฝ่ายนั้นพูดไปก็สูดปากไปด้วยความเจ็บ  ริวรู้สึกสงสารนิดๆทว่าเขาสงสารตัวเองที่จะไม่มีรถกลับมากกว่าถ้าขืนยังนั่งเล่นบทเป็นคนดีอยู่แบบนี้

            “ผมต้องกลับแล้ว”

            “งั้นช่วยผม...ช่วยอีกอย่าง”  อีกฝ่ายส่งโทรศัพท์มือถือเปื้อนเลือดของตัวเองมาให้  “โทรหาคนชื่อโอมที”

            “โอม?  เป็นญาติคุณใช่มั้ย”

            “น้อง...น้องชาย  โทรบอกเขาที”  อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน  ริวถอนหายใจเฮือก  รับโทรศัพท์เครื่องนั้นมากดหาเบอร์คนที่ชื่อโอม

            “อุ้ม แอ๋ม  ออย  นี่ไงโอม”   ริวกดโทรออก  รอสายครู่เดียวอีกฝ่ายก็กดรับ

            “ครับเฮียยักษ์  ไหนว่าวันนี้อยากอยู่คนเดียวไง”  เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นปลายสายทำให้หัวใจของคนฟังกระตุกไปวูบหนึ่ง  ริวขมวดคิ้วอย่างมึนงง  “คิดถึงผมล่ะสิ”   เสียงนั้นพูดต่อมาอีก

            “เอ้อ...ผมไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ครับ  คือเจ้าของโทรศัพท์เขาให้ผมโทรหาคุณโอมเพราะเค้าถูกรุมทำร้ายครับ”

            “ว่าไงนะ....แล้วนั่นใครพูด  เฮียยักษ์อยู่ที่ไหน  เป็นยังไงบ้าง”  ฝ่ายนั้นตะโกนตอบกลับมา

            “อยู่หน้าร้าน.....ครับ  ยังไม่ตาย  ผมเป็นเอ่อ...พลเมืองดี  โทรเรียกรถรพ.แล้วครับ  แต่ยังไม่มาเลย”

            “ขอบคุณคุณมากครับ  รบกวนคุณช่วยอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายผมก่อนได้มั้ยครับ  ผมกำลังจะไปถึงที่ร้านในอีกสิบนาทีนี้แล้ว  นะครับ”  เสียงทอดอ่อนจากปลายสายและความสงสัยข้องใจทำให้ลาภินตอบตกลง

            “ได้ครับ  ผมจะอยู่ที่นี่ก่อน”

            ฝ่ายนั้นกดวางสายไปแล้ว  เดาว่าคงกำลังรีบบึ่งรถมาที่นี่  ริวทรุดตัวลงนั่งบนขั้นบันไดข้างๆคนเจ็บที่นอนหลับตานิ่งอยู่   สอดโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋าเสื้อของเจ้าของ

            “มันว่าไง”

            “กำลังมาครับ”

            “อืม  ดีแล้ว”

            เงียบกันไปทั้งคู่  ริวยกมือขึ้นบีบไปมาด้วยความกังวลแกมตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว....ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็   ชื่อนี้  น้ำเสียงแบบนี้  วิธีพูดแบบนี้..... หัวใจเต้นแรงขึ้นตามเข็มวินาทีที่เคลื่อนผ่านไป  เขาลืมคนเจ็บไปเสียสนิทจนกระทั่งรถฟอร์จูนเนอร์คันหนึ่งขับเข้ามาจอดที่หน้าร้านและผู้ชายร่างสูงโปร่งก้าวลงมาจากรถ ตรงมาที่เขา

            “เฮียยักษ์  เป็นยังไงบ้าง”  คนมาใหม่ถามละล่ำละลัก  ไม่ได้สังเกตคนที่ผุดลุกขึ้นยืนจ้องหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ 

            “ไอ้โอมเหรอ  เจ็บฉิบเลย”

            “ใครทำเฮีย”

            “ไม่รู้...”

            “ผมจะพาเฮียไปรพ.เอง  อ้อ...คุณคือคุณพลเมืองดีใช่มั้ยครับ  ผมเป็นน้องชายเค้า  ผมจะพาเค้าไปรพ.เอง”

            “แต่รถรพ.”  ริวอึกอัก  ดวงตาคมที่มองตรงมาที่เขาทำให้รู้สึกใบหน้าร้อนๆ คิดอะไรไม่ค่อยออก

            “ยังไม่เห็นมาเลย  ผมพาไปเองดีกว่า”  คนชื่อโอมก้มลงช้อนหลังคนเจ็บแล้วพยุงลุกขึ้น  ริวเลยเข้าไปช่วยพยุงอีกข้างหนึ่ง  พาเดินไปที่รถที่จอดอยู่  ดันให้คนเจ็บขึ้นไปนั่งด้านหลัง

            “คุณก็ไปด้วยกันเถอะครับ”

            “ผม...ต้องกลับบ้าน”

            “คุณกลับยังไง”

            “รถเมล์”

            “เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้าน”  อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว  ไม่เปิดโอกาสให้เขาปฏิเสธ  ริวขยับจะก้าวขึ้นด้านหลังรถทว่าร่างของคนที่ถูกเรียกว่า ‘เฮียยักษ์’  ก็ดูจะเต็มพื้นที่ไปแล้ว

            “คุณนั่งข้างหน้าเถอะ”  เจ้าของรถตัดสินใจให้

            ริวเปิดประตูขึ้นมานั่งด้านหน้า  เหลือบมองอีกฝ่ายที่ขึ้นมาประจำที่คนขับแล้วออกรถตรงไปยังรพ.  อีกฝ่ายถามเขาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น   ริวก็เลยเล่าให้ฟังเท่าที่จำได้

            “คุณเป็นคนมีน้ำใจมากๆครับ  ผมไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดี  ถ้าไม่ได้คุณ  พี่ชายผมคงโดนหนักกว่านี้”  โอมพูดออกมา  ริวเผลอยิ้มออกมาตอบกลับไปว่า

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ  เอ้อ...ผมเต็มใจช่วย”

            “ครับ....เอ  ทำไมผมคุ้นหน้าคุณจัง  เหมือนเคยเห็นที่ไหน”  คนขับพึมพำ  เลี้ยวรถเข้าไปจอดที่ด้านหน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล

            อีกฝ่ายไม่อยู่รอฟังคำตอบที่ริวกำลังจะอ้าปากพูด  กลับกระโดดลงจากรถวิ่งไปช่วยบุรุษพยาบาลสองคนพาพี่ชายลงจากรถเข้าไปภายในห้องตรวจ     

            ริวลงยืนดูอยู่เงียบๆเห็นฝ่ายนั้นตามพี่ชายเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วหายเงียบไป  เขาถอนหายใจยาวหมุนตัวเดินกลับออกมาข้างนอก  มองหารถเมล์สักคันเผื่อจะยังมีเหลืออยู่

            “โทรศัพท์ก็ลืมอยู่ที่ร้าน  ที่นี่ก็โคตรไกลจากแฟลต”  แค่คิดว่าเงินที่ได้ในวันนี้จะต้องหมดไปกับค่าแท็กซี่  ริวก็อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ

            “มาอยู่ที่นี่เอง  ผมเดินตามหาคุณตั้งนาน”  เสียงทุ้มๆดังขึ้นข้างหลังทำเอาสะดุ้ง  ลาภินหันขวับไปเห็นร่างสูงโปร่งยืนล้วงกระเป๋า  มองมาที่เขายิ้มๆ

            “พี่ชายคุณเป็นยังไงบ้าง”

            “กระดูกแข็งเอาเรื่อง  ไม่มีหักตรงไหนเลย  มีแต่แตกต้องเย็บ  ผมเลยขอให้นอนคืนนึงพรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน”

            “อ้อ”  ริวอุทาน  นึกทึ่งในความอึดถึกของคนเจ็บเล็กน้อย

            “คุณเป็นเพื่อนกับน้องสายรหัสผมใช่มั้ย”  จู่ๆอีกฝ่ายก็ถามขึ้นมาเสียเฉยๆ  ริวเงยหน้าขึ้นสบตาคู่นั้นอย่างตกใจ   ตอบกลับไปตะกุกตะกัก

            “ชะ..ใช่ครับ  ผมเป็นเพื่อนราม”

            “อืมว่าแล้วเชียวว่าเคยเห็นหน้าที่ไหน   น้องชื่ออะไรนะ  โทษทีพี่แก่แล้วขี้ลืมหน่อย”

            “ชื่อริวครับ”

            “ใช่ๆ  จำได้แล้ว  น้องริว  สูงขึ้นเยอะเลยนี่  เป็นไงบ้าง  นั่งคุยกันก่อน  เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน”  รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางสบายๆ...ที่เขาเคยหลงใหลได้ปลื้มอยู่เงียบๆคนเดียว

            ...พี่โอม  จำเขาได้ด้วย...

            “ครับ”  ริวก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังอีกฝ่ายกลับเข้าไปในรพ.  ฝ่ายนั้นพาเขาเดินไปอีกตึกหนึ่ง  ขึ้นลิฟต์มายังชั้นบนที่ริวเห็นแวบๆว่าเป็นห้องพิเศษ  เดินตรงมาตามทางจนถึงหน้าห้องสุดท้าย   พี่โอมก็ยกมือขึ้นเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป  ร่างคนเจ็บนอนสงบอยู่บนเตียง  มีสายน้ำเกลือห้อยหนึ่งถุง

            “ไม่ต้องเกรงใจ  คนกันเองทั้งนั้น  นั่นเฮียยักษ์  รุ่นพี่พี่สามปี  ก็ต้องเป็นรุ่นพี่น้อง 7ปีมั้ง  ใช่มั้ย”

            “อ้อ ครับ..”  ริวทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตรงข้ามกับคนพูด  พี่โอมดูไม่เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่วันแรกที่เจอกันในฐานะที่เขาเป็นเฟรชชีวิศวะและอีกฝ่ายเป็นพี่ว้าก   อันที่จริงแล้วใบหน้าคมคายนั้นดูดียิ่งกว่าสมัยเป็นนักศึกษาเสียอีก

            “แล้วเราไปทำงานอยู่ที่ไหนล่ะ  ทำกับไอ้เจ้ารามหรือเปล่า”

            “เปล่าครับ  ผมทำงานบริษัท...เอ่อ  เพิ่งออกมาครับ”  คนฟังเลิกคิ้ว  เขาเลยอธิบายต่อ  “พอดีมีปัญหานิดหน่อย  ก็เลยออกมา”  ริวเลี่ยงที่จะเล่าความจริงที่เกิดขึ้น  อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากดูแย่ในสายตาคนฟัง  โดยเฉพาะคนฟังคนนี้

            “อ้าว  แล้วเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ”

            “ผมรับจ๊อบครับ  วันนี้ก็มาเสิร์ฟที่ร้านอาหาร”

            “เสิร์ฟมันจะได้สักเท่าไหร่เชียว  มาทำงานกับพี่มั้ยล่ะ  พี่กำลังหาคนมาเพิ่มอยู่พอดี”  พี่โอมเอ่ยชวนง่ายๆ  หน้าที่ไม่ยาก  แค่คอยช่วยเฮียยักษ์เขาอีกแรงเท่านั้นเอง”

            “เฮียยักษ์?”

            “คนนู่นนั่นแหละ  เป็นหัวหน้าของพี่อีกที  แกวิ่งคุมงานเยอะ  อยากได้คนมาช่วยดูช่วยเช็คของเช็คคนงาน  งานไม่ยากหรอก  แต่เงินดี  สนใจไหมล่ะ”

            “แต่ว่าผม...จะทำได้เหรอครับ”

            “ได้สิ  ง่ายกว่างานที่เดิมของเราแน่นอน  เอามั้ยล่ะ  ถ้าไม่ชอบก็ค่อยออกก็ได้  เดี๋ยวพี่จ่ายชดเชยให้สามเดือน”  ข้อเสนอของอีกฝ่ายดูเย้ายวนใจไม่น้อย

            “บริษัทอะไรเหรอครับ”

            “เอสเคก่อสร้าง  พี่เรียนจบมาเฮียยักษ์ก็ชวนมาทำงานด้วยกัน  เฮียแกใจดี  ถึงจะปากจัดไปบ้างแต่ว่าไม่มีอะไรหรอก  ไม่ดุเหมือนหน้าตา”

            “พี่โอมทำหน้าที่อะไรเหรอครับ”

            “พี่เป็นผู้จัดการทั่วไป  แต่ก็ดูเรื่องการเงินด้วย  งานประมูลด้วย  ติดต่อพวกออกแบบด้วย   เอ่อ...ถ้าริวมาช่วย  พี่ก็จะได้เบาลงหน่อยไง   ดีมั้ย  ที่บริษัทมีแต่พี่ๆน้องๆกันทั้งนั้น”

            “แล้วใครเป็นเจ้าของบริษัทครับ  เฮียยักษ์เหรอ”

            “ไม่ใช่  เห็นว่าเป็นคนอื่น  แต่พี่ไม่รู้เหมือนกัน  มันค่อนข้างซับซ้อน”  โอมดูลำบากใจ  “เอาอย่างนี้ดีกว่า  ถ้าริวสนใจก็โทรหาพี่เบอร์นี้นะ  หรือไม่ก็ถือนามบัตรพี่มาที่บริษัทพรุ่งนี้  พี่จะจัดการให้เอง”   โอมส่งนามบัตรให้เขา  ริวรับมาอ่าน   พยักหน้ารับ

            “ครับพี่โอม  ขอบคุณมากนะครับที่ชวน  ผมสนใจมากๆ พรุ่งนี้ผมอาจจะแวะไปหา”

            “มาเลย  พี่ยินดี”

            เขาอยู่คุยกับอีกฝ่ายอีกเล็กน้อย  จากนั้นโอมก็พาเขามาส่งที่แฟลตอีกมุมของเมือง  ริวบอกลาและยกมือไหว้อีกฝ่าย   ยืนรอส่งจนแสงสีแดงของไฟท้ายรถลับสายตา

            เดินขึ้นบันไดเนิบๆไปจนถึงหน้าห้องตัวเอง  ไขกุญแจห้องเปิดเข้าไปภายใน   ห้องเงียบกริบ เจ้าบาจาไม่รู้ไปแอบหลับอยู่ตรงไหน  ชายหนุ่มเดินผ่านโต๊ะกินข้าวเข้าไปในห้องนอน  กรอบรูปวางเรียงรายอยู่บนหลังตู้วางของติดกำแพง  ริวเดินไปหยุดดูรูปๆหนึ่งที่วางแอบเอาไว้มุมสุด  หลังรูปรับปริญญาของเขา

            เป็นภาพถ่ายรวมของค่ายรับน้องวิศวะที่มีใบหน้าของคนเกินร้อยส่งยิ้มกว้างมาให้   เขากวาดสายตามองแวบเดียวก็มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของรุ่นพี่ที่เขาได้พบเจออีกโดยไม่คาดฝัน   ไม่ไกลกันนั้นมีเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางยืนหันหน้าไปทางรุ่นพี่ตัวสูงคนนั้นด้วยแววตาที่มีแต่เค้าคนเดียวที่รู้ว่าต้องการจะสื่อว่าอย่างไร

            ล้วงเอานามบัตรขึ้นมาอ่านอีกครั้ง  รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะเลยลามไปยังแววตาทั้งคู่  เกิดเป็นรอยยิ้มสดใสที่แม้แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยเห็นมาหลายปี

            “ดีใจที่ได้เจอครับ...พี่โอม”

            ..............................................................................................




มาเปิดเรื่องใหม่เอาไว้รอต่อ555555
ใครเคยอ่านเรื่อง #แอบลักษณ์  มาเเล้ว  จะบอกว่านี่คือเรื่องที่สองในเซ็ท
เป็นเรื่องราวของคนที่แอบรักอีกเช่นเคยยยย
แต่เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นโปรดติดตามตอนต่อปายนะคะ

เรื่องเราจะเรื่อยๆหน่อยนะ ไม่หวือหวื  อ่านแล้วไม่ซาบซ่านหัวใจเท่าไหร่ 555
เจอกันตอนหน้าครัช
ใครเล่นทวิตใช้แทค #แอบยักษ์ นะคะ
 :katai2-1:

ออฟไลน์ Mr.กุ๊กกู๋

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
    • แฟนเพจ
ชอบแนวเรื่อยๆ อ่านเพลินดี
เรื่องโกงมันต้องมีเงื่อนงำ แดนรึเปล่านะที่ใส่ร้าย

รอรอครับ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ปวดใจกับเรื่องโน้นจนไม่กล้าอ่าน (ให้กำลังใจคนเขียนแบบเงียบ ๆ รอให้จบก่อน)
กับเรื่องนี้ไม่รู้ยังไง คงต้องดูไปก่อน ว่าแต่พระเอกนี่ใช่พี่ยักษ์ไหมนะ ก็ชื่อเรื่องมันบอกนะเราว่า

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
สงสารริวโดนไล่ออกทั้งที่ไม่ได้ทำ มันต้องมีเงื่อนงำแน่ๆ


แต่ในความโชคร้ายก็ยังโชคดีอยู่บ้าง มาบังเอิญเจอรุ่นพี่ที่มอ
คือริวนี่แอบรักพี่โอมหรอ แต่..ชื่อเรื่องมันพี่ยักษ์ น่าติดตามดี 555+

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตามแอบลักษณ์มา เปิดเรื่องนายเอกได้น่าสงสารจริงๆ มาทำงานกับพี่โอมจะเป็นไงนะ แต่พระเอกนี่พี่ยักษ์แน่ๆ และก็แอบสงสัยความสัมพันธ์ยักษ์โอมนะ มีไรป่าวหว่า

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk

ตอนที่ 1

ยักษ์ยอก...ยิ้ม

 

 

 



 

            “ผมมาพบคุณอมตะครับ”  ชายหนุ่มรูปร่างผอมบางในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวเรียบร้อยส่งนามบัตรที่เพิ่งได้รับมาเมื่อคืนให้กับพนักงานสาวใหญ่  เธอรับไปอ่านดูแล้วก็เงยหน้าขึ้นถามยิ้มๆ

            “ชื่ออะไรคะ”

            “ลาภินครับ”

            “นั่งรอสักครู่ก่อนนะคะ”  เธอผายมือไปทางเก้าอี้รับรองที่วางเรียงอยู่ด้านหน้าภายในอาคารพาณิชย์สูงสามชั้น  ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไรอย่างที่ริวคิดเอาไว้แต่แรก  ข้างหน้ามีป้ายตกแต่งเขียนเอาไว้ว่า บริษัท เอสเคก่อสร้าง จำกัด

            ชั้นล่างที่เขานั่งรออยู่นั้นมีพนักงานสามคน เป็นผู้หญิงสอง  ผู้ชายหนึ่ง  ทุกคนแต่งกายง่ายๆแต่สะอาดมีระเบียบ  ต่างคนต่างทำงานกันอย่างคร่ำเคร่งทีเดียว

            “เชิญทางนี้ค่ะ”  พนักงานคนที่สี่ที่เป็นหญิงสาวที่ดูอาวุโสกว่าคนอื่นเดินเข้ามากวักมือเรียกเขา  พานำไปยังห้องด้านในที่คล้ายๆห้องประชุม  “นั่งรอในนี้ครู่นึงนะคะ  เดี๋ยวคุณโอมเข้ามาค่ะ  รับชากาแฟไหมคะ  น้ำอัดลมก็มีนะ”

            “ขอบคุณครับ  เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ”  ริวปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ  อีกฝ่ายส่งยิ้มให้อีกครั้ง

            “ไม่ต้องเกร็งค่ะ  มาสมัครงานใช่ไหมคะ  ที่นี่เราทำงานกันสบายๆแบบพี่น้อง  มีอะไรก็บอกกันได้”

            “ขอบคุณมากครับ”  ริวก็ยังเกร็งอยู่ดี  ยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายไปอีกรอบ  ได้ยินฝ่ายนั้นหัวเราะเบาๆ  หมุนตัวเดินจากไป  ทิ้งให้เขานั่งบีบมือรออยู่คนเดียวในห้อง

            ความคิดล่องลอยกลับไปยังสมัยเมื่อหลายปีก่อนอีกครั้ง  การได้พบกับพี่โอมอย่างไม่คาดฝันเมื่อคืน  ทำให้ความทรงจำเก่าๆย้อนกลับมาอย่างง่ายดาย

            ‘ใครใช้ให้เงยหน้าขึ้นมาครับ  ก้มหน้าลงไป  ผมบอกพวกคุณแล้วไงว่าความตรงต่อเวลาเป็นสิ่งสำคัญ   แต่พวกคุณกลับไม่เห็นความสำคัญของสิ่งที่พวกผมสอน ....ก้มหน้าลงไป’  เสียงตะโกนอย่างดุดันของพี่ว้ากทำให้เขาจำต้องก้มหน้าลงไปอีก  ทั้งที่รู้สึกวิงเวียนเหมือนจะเป็นลมหลังจากลุกนั่งติดต่อกันหลายสิบครั้งกลางแดดเปรี้ยงตอนบ่ายจัด

          ริวพยายามทรงตัวเอาไว้แต่ว่ามันยากเต็มที  รู้สึกว่าร่างกายเริ่มโงนเงนซ้ายขวา  ได้ยินเสียงอุทานแว่วๆจากเพื่อนข้างๆก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง

          รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังกึ่งนั่งนอนอยู่บนเปลในร่มไม้  มียาดมจ่ออยู่ที่ปลายจมูก   มือของใครคนหนึ่งเขย่าเรียกอยู่ที่ไหล่เบาๆ

          ‘น้อง  เป็นไงบ้างครับ  น้องไหวหรือเปล่า ...ต้องไปรพ.มั้ยวะเนี่ย’

          ‘แค่ห้องพยาบาลก็พอมั้ง   กูว่า’

          ริวลืมตาขึ้นช้าๆ  ใบหน้าคมคายที่มองตอบกลับมาอยู่ใกล้จนริวผงะถอยอย่างตกใจ  อีกฝ่ายเลยรีบถามด้วยเสียงกังวล

          ‘เป็นไงบ้างครับ  ไหวหรือเปล่า  เมื่อเที่ยงทานข้าวหรือยัง’  ริวส่ายหน้า

          ‘ยังครับ  ผม...’  เพราะคาบเช้าเลิกสายเกินเวลา ทำให้ต้องรีบไปเข้าเรียนคาบบ่ายต่อ  เขาเลยได้กินแค่แซนวิชชิ้นเล็กๆเท่านั้น   พอเลิกเรียนต้องมาเข้าประชุมเชียร์ต่ออีก  มันก็เลยไม่ไหวเอา

          ‘งั้นเดี๋ยวให้ใครไปซื้อข้าวให้น้องหน่อย  หวานขอน้ำแดงให้น้องทีครับ’   รุ่นพี่คนนั้นจัดการหาน้ำหวานกับขนมมาให้เขากินจนเพิ่มพลังจนอิ่ม  ไหนจะข้าวผัดหมูที่ซื้อมาเลี้ยงอีก

          นั่นเป็นความประทับใจแรกของเขาที่มีต่อรุ่นพี่ปีสามที่มีชื่อว่า โอม

 

            “รอพี่นานหรือเปล่า  ขอโทษที  ติดธุระนิดหน่อย” 

            เขากระพริบตา  สะดุ้งหันไปมองร่างสูงโปร่งที่ก้าวเข้ามาในห้อง  ท่าทางพี่โอมดูเหนื่อยอ่อนเล็กน้อย  แต่ก็ยังมีรอยยิ้มปรากฎอยู่บนใบหน้าเหมือนทุกที

            ริวยกมือขึ้นไหว้

            “ไม่นานครับ  สวัสดีครับพี่โอม”

            “นั่งเลยๆ  ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรหรอก  คนกันเองทั้งนั้น  พี่ดีใจนะที่ริวมาน่ะ  พร้อมเริ่มงานวันนี้เลยมั้ย”

            “เอ่อ....พี่จะไม่ดูแฟ้มผลงาน หรือสัมภาษณ์อะไรผมก่อนเลยหรือครับ”  ลาภินถามอย่างเกรงใจ   อีกฝ่ายโบกมือให้  เอนตัวลงนั่งพิงพนักโซฟาพลางยกขาขึ้นไขว่ห้าง

            “ไม่ต้องหรอก  ไว้ค่อยดูก็ได้”  พนักงานสาวใหญ่คนเดิมเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาในห้องพร้อมกาแฟสองถ้วยในถาด  เธอยกมาเสิร์ฟให้

            “นี่พี่นิด  เป็นฝ่ายบุคคลของเรา  พี่นิดนี่น้องริว  รุ่นน้องผมสมัยเรียนเอง  เขาจะมาทำงานเป็นผู้ช่วยเฮียยักษ์ครับ”

            “ยินดีต้อนรับจ้ะ  เดี๋ยวไปหาพี่ที่โต๊ะนะ  จะได้ทำเรื่องเอกสารกัน”  เธอตอบกลับมายิ้มๆเหมือนเดิม  เป็นรอยยิ้มที่ริวนึกถูกชะตาด้วยตั้งแต่แรกเห็น  “อยากรับอะไรเพิ่มบอกนะคะ”

            “ขอบคุณมากครับพี่นิด”  พี่โอมบอก  “เอาล่ะริว  ทานข้าวเช้ามาหรือยัง”

            “ทานมาแล้วครับ”

            “ดีมาก....พี่จะให้ริวเริ่มงานแรกเลย”  คนฟังขยับตัว  นึกดีใจที่เตรียมตัวมาพร้อม  “เดี๋ยวนะพี่ลืมไปอย่าง...เงินเดือนกับสวัสดิการ   ที่ทำงานเก่าริวเขาให้เท่าไหร่”

            “ก็....ครับ”  ริวบอกตัวเลขไป  อีกฝ่ายมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย

            “อืม....ถ้างั้นพี่ให้มากกว่าเดิม 50 เปอร์เซ็น  ลาหยุดได้ปีละสิบวัน  ไม่รวมวันลาป่วยลากิจ  ค่าน้ำมันรถกับค่าเดินทาง ค่ารักษาพยาบาล เอาใบเสร็จมาเบิกได้ที่คุณตี๋ฝ่ายการเงินข้างล่าง  โอเคนะ  เดี๋ยวถ้านึกอะไรได้เพิ่มจะบอก  ริวมีอะไรอยากถามมั้ย”

            “ยังนึกไม่ออกครับ”

            “ไม่เป็นไร  งานแรกที่พี่จะมอบหมายให้ริวทำก็คือ...ไม่ต้องจดหรอก”  รุ่นพี่รีบบอกเมื่อเห็นรุ่นน้องล้วงเอาสมุดเล่มเล็กขึ้นมาเตรียมจด  “ริวช่วยพาเฮียยักษ์ไปหาหมอที  รายนั้นไม่ยอมไปล้างแผล  แถมยังไม่ยอมพักผ่อน  ออกไปลุยโคลนที่ไซต์อีก  ริวหาทางพาเฮียไปทำแผลตามที่หมอบอกทีนะ”

            คนฟังเกือบอ้าปากค้าง

            “เอ่อ...ทำไมล่ะครับ”  คนจบวิศวะโยธางง

            “เฮียแกไม่ชอบไปหาหมอน่ะ   พี่ฝากริวหน่อย  พอดีพี่มีงานต่ออีกที่หนึ่งต้องรีบไปดู  ว่าแต่ริวมีรถไหม”

            “ไม่มีครับ  แต่ขับเป็น”

          “งั้นทำเรื่องยืมรถบริษัทไปใช้ก่อนได้  ออกไปหาพี่นกนะ  เดี๋ยวพี่เขียนโน้ตเอาไว้ให้”  พี่โอมคว้ากระดาษกับปากกาขึ้นมาเขียนอะไรหยุกหยิกแล้วก็ส่งให้เขา  มีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามือถือของอีกฝ่ายทำให้พี่โอมดูรีบยิ่งกว่าเดิม  ริวรับกระดาษแผ่นนั้นมาถือเอาไว้   มองตามหลังร่างสูงโปร่งที่ผละออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

            เขาถอนหายใจยาว  เดินออกมาตามหาพี่นกที่ห้องทำงานด้านนอก  พี่นกที่ว่าเป็นคนดูแลแผนกวัสดุอุปกรณ์และยานพาหนะ  (ซึ่งพี่นกบอกว่าก็มีแค่รถกระบะสองคันที่จะให้เขายืมได้คันนึงนั่นแหละ)  หญิงสาวหุ่นท้วมพาเขามาดูรถที่จอดเอาไว้ข้างหลังอาคาร   สภาพของมันทำให้เขาอึ้งไปอึดใจ

            ...นี่มันยังวิ่งได้อยู่ใช่มั้ย....คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในความคิดของเขา  ทำไมสภาพตัวถังถึงได้ขะมุขมอมอย่างนั้นล่ะ  มีรอยบุบที่กันชนด้วย

            พี่นกเห็นริวมองอย่างไม่แน่ใจก็หัวเราะเสียงใส

            “โทรมไปหน่อย  ไปลุยไซต์มายังไม่ได้ล้าง  แต่รับรองว่าเครื่องวิ่งฉิวแน่นอน  เฮียยักษ์ดูแลเองกับมือ”

            “เฮียยักษ์ซ่อมรถได้ด้วยหรอ  นึกว่าจบโยธาซะอีก”  เขาหันไปถาม

            “จบโยธาเนี่ยแหละ  แต่แกซ่อมเป็นทุกอย่าง  ...น้องริวจะมาทำงานเป็นเลขาฯของเฮียเหรอ”  ฝ่ายนั้นลดเสียงลง

            “เปล่าครับ  ตำแหน่งผู้ช่วยเฉยๆ  พี่โอมบอกว่าช่วยคุมคนงาน เช็คงาน”

            “ก็คือเลขาฯนั่นแหละ  คุณโอมแกบอกไม่หมดล่ะซิ  แกคงอยากหาคนอื่นมาทำแทนเต็มทน”  แล้วเธอก็ยกมือขึ้นปิดปาก “อุ้ย! พี่พูดอะไรออกไปเนี่ย”

            “อ้าว  ทำไมล่ะครับ”  ริวขมวดคิ้ว

            “ก็...อย่าไปบอกใครนะว่าพี่บอก  เดี๋ยวถึงหูเฮียโกรธตาย..”  พอริวรับปากว่าไม่บอกใครแน่นอน  พี่นกก็กระซิบมาอีก “ทำงานกับเฮียยักษ์น่ะ  ต้องอดทนหน่อยนะ  เลขาฯคนเดิมลาออกไปสี่คนแล้วเพราะทนไม่ไหว   แกโหด”

            “โหดเหรอครับ”  ริวตกใจ  “โหดยังไงหรอ”   ความวิตกเข้าครอบงำเล็กน้อย  หรือว่าเขาจะตัดสินใจผิด?

          “ไม่ใช่โหดแบบทำร้ายร่างกายอะไรนะ  คืองี้...จริงๆแกไม่ได้ชื่อยักษ์หรอก  แต่ว่าคนเรียกยักษ์ เพราะแกตัวใหญ่เหมือนยักษ์ปักหลั่น  แถมยังหน้าดุ๊ดุ   ปากก็จัด  เวลาดุลูกน้องที กลัวหัวหดกันไปตามๆกัน” พี่นกทำท่าหวาดเสียว

            “แล้วทำไมพวกพี่ถึงยังทำงานอยู่ที่นี่ล่ะครับ”

            “เพราะแกดุก็จริง แต่ก็มีเหตุผล  แกคอยดูแลลูกน้องทุกคนเหมือนพี่น้องเลยนะ  ทนฟังแกดุไปก่อนสักพักเดี๋ยวแกก็หายโกรธเอง  ไม่ต้องไปคิดมากนะน้องริว  มีอะไรก็มาเล่าให้พี่ฟังได้  เดี๋ยวพวกพี่ช่วยเอง  พี่นิดฝ่ายบุคคลน่ะ...เจอแล้วใช่มั้ย  เขาเป็นญาติกับเฮีย  พูดอะไรเฮียก็ฟังอยู่หรอก”

            คนฟังชักมีสีหน้าไม่สบายใจ  นกเลยยกมือขึ้นแตะไหล่แทนการปลอบใจ

            “น้องริวใจเสียแย่เลย  พี่นกขอโทษนะ  พูดไปซะเยอะเหมือนขู่น้อง  ถ้าเราตั้งใจทำงานก็ไม่ค่อยโดนดุหรอก  เฮียแกชอบคนรักงาน  ชอบคนซื่อสัตย์”

            “เอ่อ...ครับ”  ...นี่ถ้าเฮียยักษ์รู้ว่าเขาถูกไล่ออกมาจากบริษัทเดิมด้วยสาเหตุอะไร  เฮียจะว่าอย่างไรนะ...

            “แล้วเรารู้จักคุณโอมมาก่อนหรอ”

            “ครับ  พี่โอมเป็นรุ่นพี่ที่คณะฯ”

            “อืม  ดีแล้วล่ะ  มีอะไรได้ปรึกษา  ช่วยเหลือกันได้เนอะ”  พี่นกส่งกุญแจรถให้เขา  “ริวใช้คันนี้ล่ะกัน  พี่ว่ามันใหม่กว่าหน่อย   เดี๋ยวจดกิโลเมตรเอาไว้ด้วยนะ  ตอนเติมน้ำมันจะได้มาเบิกได้”

            “ขอบคุณมากครับพี่นก”

            เขารับกุญแจมาถือเอาไว้  เปิดประตูเข้าไปสตาร์ทรถ  ข้างในรถสะอาดสะอ้านตรงข้ามกับภายนอกอยาช่างเหลือเชื่อ  มีกลิ่นหอมอ่อนๆที่ริวมองหาอยู่นานก่อนจะพบว่ามาจากพวงมาลัยดอกมะลิที่เริ่มเฉาวางแอบอยู่ตรงช่องเก็บของแอร์

            ริวสตาร์ทรถ  อันดับแรกเขาขับกลับไปที่ร้านอาหารเดิมก่อนเพื่อไปเอาโทรศัพท์มือถือคืน  จากนั้นก็กดโทรหาเฮียยักษ์ตามเบอร์ที่พี่โอมเขียนเอาไว้ให้  รอสายอยู่พักหนึ่ง  ฝ่ายนั้นก็กดรับ

            “ฮัลโหล”  เสียงแหบห้าวดังขึ้นห้วนๆ

            “สวัสดีครับ  ผมชื่อริวครับ  ที่จะเข้ามาทำงานตำแหน่งผู้ช่วยของเฮีย...”

            “อ๋อ  ไอ้โอมบอกแล้ว  เด็กที่เมื่อคืนช่วยฉันไว้ใช่มั้ย”

            “เอ่อ...ครับ”  เรียกเขาเป็นเด็กเลยเหรอ...

            “โทรมามีอะไรหรือเปล่า  ฉันกำลังยุ่งๆอยู่”  ริวได้ยินเสียงเครื่องจักร กับเสียงคนตะโกนโหวกเหวกอยู่อีกฝั่งแว่วๆ  เขารีบกรอกเสียงลงไป

            “พี่โอมให้พาเฮียไปทำแผลที่รพ.ครับ”

            “อ๋อ...มันใช้ให้เธอรับหน้าที่แทนล่ะสิ  หึๆ”  เสียงหัวเราะห้าวๆดังขึ้น  “ได้เลย  ฉันอยู่ที่ไซต์......ลองถามแผนที่กับพี่นิดดูก็ได้  แค่นี้ก่อนนะ”  แล้วอีกฝ่ายก็วางสายไป

            ริวมองโทรศัพท์งงๆ  เขาต้องโทรไปถามทางไปไซต์งานที่เฮียยักษ์กำลังทำงานอยู่   พอได้แผนที่เสร็จถึงรู้ว่ามันอยู่คนละซีกกับที่ๆเขาจอดอยู่เลย  ริวถอนหายใจเฮือก  ขับรถไปตามทางที่พี่นิดบอกมาให้  รถติดกลางเมืองทำให้เขาประสาทเสีย  ชักไม่เข้าใจว่าการพาเจ้านายไปหาหมอมันจะตรงกับสายงานที่เขาเรียนจบมาหรือเปล่า

            ...แต่ทีเสิร์ฟอาหารก็ไม่ได้มีวิชาไหนสอนนี่นะ....อย่างน้อย  งานนี้ก็น่าจะสบายและได้เงินดีกว่าร้อยเท่า

            เขาหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปจอดภายในซอยทางเข้าตามที่แผนที่บอก  ข้างในมีรั้วสังกะสีปิดรอบ  ได้ยินเสียงเครื่องจักร กับเสียงคนงานล้งเล้ง  บ่งบอกว่าเขาคงมาถูกที่แล้วล่ะ 

            ชายหนุ่มจอดรถเอาไว้ข้างนอกแล้วเดินลัดเลาะลอดรัวสังกะสีเข้าไปข้างใน  กวาดตามองพื้นหินทรายที่น้ำเจิ่งนอง และมีเสาปูนโผล่ขึ้นมาเป็นระยะ  ถัดไปนั้นมีปั้นจั่นตัวใหญ่กำลังตอกเสาเข็มอยู่ เสียงของมันสะเทือนพอๆกับพื้นดินที่ริวเหยียบยามที่แท่งเหล็กตอกลงมาเป็นจังหวะ

            ร่างสูงใหญ่ที่ริวตามหานั้นยืนเท้าสะเอวอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของไซต์กลางแสงแดดเปรี้ยง  สวมหมวกปีกกว้างแบบคาวบอยเอาไว้   ท่าทางชี้มือบอกว่ากำลังตะโกนสั่งงานคนงานอย่างเคร่งเครียด

            ริวค่อยๆเดินเลาะหลบเข้าไปอยู่ในร่ม  ตรงที่เป็นแคมป์พักของคนงาน  มีกระติกน้ำเย็นวางอยู่ตรงนั้น  เขาใช้ถ้วยพลาสติกวักน้ำล้างแก้ว แล้วตักขึ้นดื่มอย่างกระหาย

            “ยังไม่ทันทำงานก็มาหลบแดดซะแล้ว  นี่เธอจบโยธามาจริงๆหรือเปล่าฮึ  ท่าทางเหลาะแหละไม่เหมือนนายช่างเอาเสียเลย”   เสียงห้าวๆดังขึ้นทำเอาริวเกือบทำแก้วหลุดจากมือ  เขาหันขวับไปเจอรุ่นพี่ตัวใหญ่ยักษ์ที่เห็นยืนเท้าสะเอวอยู่เมื่อครู่

            ใบหน้าคมดุนั้นแดงเยิ้มด้วยเหงื่อ  ผ้าก๊อซที่ปิดแผลเอาไว้ตรงหางคิ้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงเพราะฝุ่น  ฝ่ายนั้นถอดหมวกปีกกว้างออกตบกับกางเกง  ทอดสายตามองเขาคล้ายประเมินกลายๆ

            ริวยกมือขึ้นไหว้  ทำเป็นไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้านี้

            “สวัสดีครับ  ผมชื่อลาภิน พี่โอมให้ผมมาพาเฮียยักษ์ไปให้หมอทำแผลครับ”  เขาพูดอย่างสุภาพ

            “อ้อ...”  อีกฝ่ายลากเสียง กวาดสายตามองร่างเล็กทั่วตัว  “รอก่อนได้มั้ย  ฉันยังทำงานไม่เสร็จ”  ริวส่งแก้วน้ำมาให้ยักษ์รับเอาไว้  “หรือเธอจะไปช่วยฉันด้วยก็จะดีมาก   เรียนจบมาแล้วเคยคุมงานไหม”

            “เคยครับ  ที่ทำงานเก่าผมก็คุมงาน”  คนอาวุโสกว่าดูประหลาดใจเล็กน้อย

            “งั้นก็ดี  ตามฉันมา”

            ร่างสูงไหล่กว้างจนเหมือนไม้แขนเสื้อเดินได้นั้นหมุนตัวเดินออกไปจากเต็นท์ที่พัก   ริวรีบเดินตามออกมาติดๆ  ฝ่ายนั้นพาเขาเดินผ่านไปบนเสาเหล็กกว้างแค่กระแบะมือที่ทอดผ่านไปบนพื้นปูนที่เพิ่งเทเอาไว้ใหม่ๆ  ริวพยายามทรงตัวเดินตามหลังอีกฝ่ายที่ก้าวฉับๆอย่างคล่องแคล่วราวกับนักกายกรรมนั้นไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

            เฮียยักษ์ให้เขาคอยดูตำแหน่งเสาที่จะตอกลงไปและก็คอยเช็คด้วยว่าที่คนงานทำนั้นถูกต้องหรือมั้ย  ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเสื้อของเขาก็ชุ่มโชกด้วยเหงื่อที่แตกพลั่กเหมือนเปิดก๊อก  แสงแดดยามเกือบเที่ยงตรงแผดจ้าลงมาอย่างไม่ปราณีปราศรัย  นึกอยากหลบเข้าร่มบ้างทว่ามองไปอีกฟากก็เห็นร่างสูงใหญ่ของเจ้านายยืนตากแดดอยู่เช่นกัน

            แต่ก่อนเขาก็ทำงานคุมงานนะ  แต่แทบไม่ได้ออกมาตากแดด  ดูงานอย่างละเอียดเป็นบ้าเป็นหลังขนาดนี้เลย  อย่างมากก็รออยู่ในร่ม  ไปดูตอนงานเสร็จ....หรือว่าเป็นเพราะแบบนั้น  เขาถึงได้สะเพร่าจนถูกใครก็ไม่รู้ใส่ร้ายป้ายสีว่ายักยอกเงินบริษัทกันนะ...ริวคิดในใจ  ทอดสายตามองเฮียยักษ์ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง






ต่อด้านล่างนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ต่อนะคะ







             พักกลางวันมาถึงในที่สุด  เฮียยักษ์ร่วมวงกินข้าวกระเพราหมูไข่ดาวง่ายๆฝีมือเมียหัวหน้าคนงาน   ริวก็เลยพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย  เขาตักข้าวเข้าปากเคี้ยวกลืนอย่างหิวโหยเพราะเสียพลังงานไปมากในช่วงเช้า  รู้สึกเพลียไม่น้อย  แถมเริ่มปวดหัวตุบๆที่ขมับ

            “เป็นไงบ้าง  หน้าแดงเถือกเหมือนกุ้งต้มเลย  ไหวหรือเปล่าไอ้หนู”  ดวงตาคมดุหันมามองเขาตรงๆ  ช่วยไม่ได้เลยที่ริวรู้สึกเหมือนถูกดูแคลนอยู่นิดๆตลอดเวลา

            “ไหวสิครับ  แค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอก”  เขาตอบกลับไป   ตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากแล้วรวบช้อน

            “ดีมาก”  ฝ่ามือหนักๆตบลงตรงกลางหลังของเขาไม่เบานัก  ทำเอาเกือบคะมำไปข้างหน้า  ริวเม้มปากนิดๆลุกขึ้นเดินตามหลังอีกฝ่ายออกมาจากที่พัก  แสงแดดแรงกล้าทำให้เขาอยากจะถอยร่นกลับไปนั่งผึ่งพัดลมต่ออีกครั้ง  ทว่าก็ก็ฝืนเก็บอาการเอาไว้

            ....เพิ่งเริ่มงานวันแรกเอง ไอ้ริว   อดทนหน่อยสิวะ...

            ปึก!  เขาชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างที่หยุดกะทันหันเต็มแรง  เจ็บที่ดั้งจมูกแปลบจนนึกว่าจะหัก  ยกมือขึ้นคลำดูเห็นยังเป็นสันเหมือนเดิมก็ค่อยยังช่วย  ริวเงยหน้าขึ้นมองคนหันกลับมาอย่างโกรธๆ

            “จะหยุดก็ไม่บอก”

            “ทำไมต้องบอก  ก็เห็นๆอยู่  มัวแต่เดินตาลอยเดี๋ยวก็หยิบตะปูที่พื้นเอาหรอก....มาไซต์งานใครเขาใส่ผ้าใบบางๆมากัน  พรุ่งนี้หารองเท้าที่พื้นหนากว่านี้นะ”   อีกฝ่ายพูดรัวเร็วแล้วดึงชายแขนเสื้อเขาลากให้เดินมาอีกทางที่ไม่มีเศษเหล็กตะปูกระจายอยู่

            “ยืนฝั่งนี้ล่ะกัน  สลับกันบ้าง  ฉันจะไปดูฝั่งนู้นเอง”   เฮียยักษ์พูดต่อมาแล้วถอดหมวกปีกกว้างที่สวมอยู่ออกโปะลงบนศีรษะของเขา  “ใส่เอาไว้  หน้าเหมือนจะทอดไข่ดาวสุก”

            “คุณเองก็ไม่ต่างกันหรอกน่า”  ริวสวนกลับไปอย่างลืมตัว

            “ฉันชินแล้ว  อย่างเธอคงเป็นพวกคุณหนูผิวบางล่ะสิ  โดนแดดนิดหน่อยก็เกรียมไปหมด”  คนฟังขยับจะตอบแต่ก็เปลี่ยนใจ   “ยืนอยู่ตรงนี้แหละ  เหลืออีกไม่เยอะหรอก  ใกล้จะเสร็จแล้ว”  เสียงห้าวๆตอนหลังอ่อนลงเล็กน้อยแทบไม่สังเกต

            “ครับ”  ริวประหยัดถ้อยคำ  หลบตาคมๆที่มองสบมาแวบเดียวก่อนที่เจ้าของจะก้าวยาวๆไปยังอีกด้านของไซต์ที่เพิ่งเริ่มตอกเสาเข็ม

            ตอนบ่ายลมเริ่มพัดมาบ้างให้คลายความร้อน  งานฝั่งที่ริวดูอยู่นี้ดำเนินไปอย่างเรียบร้อยดี   ตรงข้ามกับอีกฟากที่ดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย  ได้ยินเสียงห้าวดุตะโกนสั่งคนงานโหวกเหวกอยู่นานกว่าจะเสร็จสิ้น   ท่าทางของเฮียยักษ์ดูอิดโรยกว่าเมื่อตอนเที่ยงไม่น้อย

            ชายหนุ่มทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเปลผ้าใบข้างๆลาภิน   เส้นผมหยักศกดำสนิทเหมือนขนกาน้ำนั้นมันเยิ้มด้วยเหงื่อและคราบฝุ่นเช่นเดียวเสื้อผ้าของเขา   ริวนั่งมองเจ้านายคนใหม่นอนหลับตานิ่งอยู่สักพักก็ลุกไปยกพัดลมมาเปิดจ่อให้ใกล้ๆ

            เปลือกตาของยักษ์ลืมขึ้นมองแล้วส่งยิ้มให้นิดๆ

            “ขอบใจมาก  ขอฉันนอนพักนิดนึงนะ  สักสิบห้านาทีค่อยปลุก”

            “ให้ยี่สิบนาทีเลย”  ริวตอบกลับไป  เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของอีกฝ่ายขยับมากขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร

            เขาใช้หมวกคาวบอยใบนั้นโบกลมให้ตัวเองช้าๆ  พวกคนงานทยอยกันไปรับเงินค่าแรงรายวันจากจากหัวหน้าคนงานที่ตั้งโต๊ะกันอยู่   ท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่ต่างจากคนที่งีบหลับอยู่ข้างๆ  แต่ทุกคนก็มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า  ริวรู้ว่าเงินไม่กี่ร้อยแลกกับน้ำพักน้ำแรงของพวกเขานั้นมีค่าแค่ไหนกับครอบครัวที่รออยู่ที่บ้าน

            วูบหนึ่งที่เขานึกถึงแม่ขึ้นมา  แม่ทำงานหนักมากในฐานะแม่บ้านทำความสะอาดโรงเรียน  แม่ต้องไปโรงเรียนตั้งแต่เช้าเพื่อไปเปิดประตูห้องเรียนทุกห้อง  กลับเป็นคนสุดท้ายเพราะต้องรอให้ทุกคนกลับหมดก่อนจึงจะใส่กุญแจตึกเรียนได้   แม่กวาดห้อง ถูระเบียง  ขัดห้องน้ำโดยมีแค่ลูกมือเป็นเด็กสาวอีกสองคนและเขาที่จะปลีกตัวมาช่วยหลังจากที่เลิกเรียนเท่านั้น 

            การมีแม่เป็นแม่บ้านทำให้เขาได้สิทธิเรียนฟรีจนกระทั่งแม่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุเรือคว่ำ...นึกขึ้นมาทีไรหัวใจก็ยังวูบโหวงเหมือนทุกครั้ง  ราวกับเหตุการณ์ในวันนั้นเพิ่งเดขึ้นไม่นานมานี้เอง

            ถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็คงจะดี...เขาจะได้เล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟังได้บ้าง...

            “ยี่สิบห้านาทีแล้ว  ทำไมไม่ยอมปลุก”  เสียงห้าวๆดังขึ้น  ริวกันไปมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายนอนมองเขาอยู่ก่อนแล้วเงียบๆ  “อยากลาออกแล้วล่ะสิ  กลับไปทำงานที่เดิมสบายกว่ามั้ง”

            “ผมไม่ลาออกหรอกครับ”  ริวตอบสั้นๆ

            “เห็นตอนแรกก็พูดแบบนี้กันทุกคน  ไม่ถึงเดือนก็บายกันหมด  บอกว่าทนงานไม่ไหว....พวกเด็กรุ่นใหม่  เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”

            “อย่าเหมารวมว่าเด็กรุ่นใหม่จะเป็นแบบนั้นหมดสิครับ”

            “เธอจะบอกว่าตัวไม่ใช่งั้นสิ”

            “เปล่าครับ”  ริวส่ายหน้า  “ผมไม่สามารถตัดสินตัวเองได้หรอก  และก็คิดว่าไม่สามารถตัดสินใครโดยที่ยังไม่รู้จักคนๆนั้นดีพอได้ด้วย”

            เสียงหัวเราะห้าวๆดังขึ้น 

            “คืนนั้นเธอช่วยฉันเอาไว้ใช่มั้ย”  อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง  “มันมืดมาก  ฉันจำหน้าไม่ได้หรอก  แต่ว่าโอมบอกเอาไว้ว่าเธอเป็นพลเมืองดีที่มาช่วยและก็เป็นรุ่นน้องที่คณะฯ...ที่สำคัญ  กำลังตกงาน”

            “ครับ  ผมอยู่แถวนั้นพอดีก็เลย..”

            “กล้ามากนะ  ดูไม่เข้ากับรูปร่างท่าทางของเธอเลย....ถ้าเป็นคนอื่นก็คงจะรีบปลีกตัวหนีให้ไวที่สุด  ไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัวหรอก  นอกเสียจากว่า....”  เสียงของคนพูดขาดหายไปในลำคอ

            “นอกจากอะไรเหรอครับ”

            “ช่างมันเถอะ...ไม่มีอะไรหรอก”  คนพูดขยับตัวลุกขึ้นฉับพลัน  “เย็นแล้ว  ฉันจะพาไปเลี้ยงข้าว  ต้อนรับในฐานะที่เข้ามาทำงานใหม่”

            “แต่คุณต้องไปทำแผลที่รพ.ก่อนนะครับ  ที่คลินิกก็ได้”  ริวรีบบอก

            “อ้อ...ลืมไปเลยแฮะ”   ไม่รู้ทำไมริวถึงรู้สึกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งลืมชัดๆ  อาจเป็นเพราะนัยน์ตาคู่คมที่เริ่มมีแววพราวระยับให้เห็นก็ได้กระมัง

            “ไปทำแผลก่อนแล้วค่อยไปทานข้าวก็ได้มั้งครับ”

            “ฉันว่ากินก่อนน่าจะดีกว่านะ  กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”

            “คุณกลัวหมอเหรอครับ”  ริวถามกลับไปตรงๆ

            “เฮียยักษ์”  อีกฝ่ายตอบกลับมา  คนฟังขมวดคิ้วตามไม่ทัน  “มาทำงานกับเฮียแล้วก็เรียกฉันว่าเฮียยักษ์เหมือนคนอื่นๆก็ได้  ไม่ต้องคุณอย่างนั้น คุณอย่างนี้หรอก  ยังไงฉันก็เป็นรุ่นพี่เธออยู่แล้ว”

            ริวชะงักไปนิด

            “อ้อ...ครับเฮีย”

            “อืม...ถ้างั้นไปกินบะหมี่กันนะ  บะหมี่จับกังเคยกินไหม  ไม่ใช่เจ้าดังที่เยาวราชหรอกนะ  แต่ก็ให้เยอะ  อร่อยดีใช้ได้เลย”  ฝ่ายนั้นเดินลิ่วๆตรงไปที่รถก่อนแล้ว  ริวอ้าปากค้างรีบวิ่งตามหลังตรงไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ข้างนอก

            “คุณ..เอ๊ย  เฮียไม่มีรถมาหรอครับ”

            “ฉันมารถเจ้าโอมน่ะ  ขี้เกียจขับรถ...เหนื่อย”  อีกฝ่ายตอบกลับมา  ก้าวยาวๆของเฮียยักษ์นั้นเท่ากับริวต้องวิ่งสองสามก้าวเชียวนะ  ไม่แปลกที่เขาจะหอบเล็กน้อยเมื่อมึงรถกระบะที่จอดอยู่

            พอปลดรถได้ อีกฝ่ายก็ขึ้นไปประจำที่นั่งข้างคนขับเรียบร้อย...ริวตามขึ้นรถมาสตาร์ทรถ  จากนั้นเขาก็ต้องเวียนหัวกับการเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามซอยเล็กซอยน้อยที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นทางลัด  กว่าจะมาจอดที่หน้าร้านบะหมี่รถเข็นเล็กๆที่มีโต๊ะวางอยู่บนขอบฟุตบาทนับสิบ  คนนั่งกินแน่นทีเดียว

            กลิ่นหอมๆของน้ำซุปลอยมาเข้าจมูก  ริวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่  เดินตามหลังร่างสูงใหญ่ที่ลัดเลาะเข้าไปจนถึงโต๊ะว่างได้สำเร็จ   เฮียยักษ์สั่งบะหมี่ต้มยำสองชาม ส่วนเขาสั่งบะหมี่น้ำ

            “ชามเดียวก็น่าจะอิ่มแล้ว  สองชามมีหวังเธอท้องแตกแน่”  คนพามาพูดแกมหัวเราะ  เล่าให้เขาฟังถึงที่มาของร้านนี้ที่เจ้าตัวค้นพบตอนที่มาเช่าหออยู่ที่ปากซอยถัดไปนี่เอง  “อร่อย  ขายถูก  คนมากินเพียบเลยดูสิ  ฉันกินตั้งแต่สมัยมีโต๊ะตั้งแค่สองตัวเองนะ  เป็นที่พึ่งให้สมัยอยู่หอ ไม่มีเงินใช้สิ้นเดือน”

            ริวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ   ท่าทางฐานะของอีกฝ่ายก็คงจะไม่ได้ต่างกับเขามากนักหรอก 

            “แล้วทำไมเฮียถึงไม่อยู่หอในมหาลัยล่ะครับ”

            “ไม่ชอบน่ะ  เบื่อเมททะเลาะกันแต่เรื่องเดิมๆ  สู้ออกมาอยู่ข้างนอกไม่ได้  ลำบากหน่อยแต่ก็สบายใจกว่า”

            “ผมก็ไม่ชอบอยู่หอในเหมือนกัน  โชคดีที่แฟลตผมอยู่ใกล้เลยพอไปกลับได้”

            “เรารหัสอะไรนะ” 

            ยังไม่ทันตอบ  บะหมี่ก็ยกมาเสิร์ฟ  ปริมาณของมันในแต่ละชามทำให้ริวตาโต

            “โห  ให้เยอะมาก จะกินหมดมั้ยเนี่ย”

            “กินไม่หมดเขาปรับนะ  ต้องอยู่ล้างจานไม่ให้กลับ”  อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นพูดขึงขัง  คนฟังขมวดคิ้วอย่างคลางแคลง  แต่พอเหลือบตาไปเห็นเด็กหนุ่มสาวที่นั่งยองๆล้างจานอยู่ข้างๆรถเข็นก็เลยเชื่อสนิทใจ  ก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบคีบเส้นเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย  ขณะที่คนนั่งตรงข้ามกลั้นหัวเราะ คีบหมูแผ่นในชามของตัวเองใส่ชามของรุ่นน้อง

            “เห้ย...ไม่เอา  ผมกินไม่หมด”  อีกฝ่ายโวยวายขึ้นมาทันที

            “แลกกับหมูแดงสามชิ้น  ส่งมาเร็ว  เฮียไม่ชอบกินหมูแผ่น”

            “ผมขอชิมหมูแดงก่อน”  ริวรีบบอก  คีบหมูแดงเข้าปาก   “แลกกับหมูแผ่นก็ได้”  เขารู้สึกว่าหมูสับแผ่นนั้นอร่อยกว่าเล็กน้อยเพราะซึมซับน้ำซุปหวานๆเอาไว้ด้วย  ดีเหมือนกันที่ฝ่ายนั้นไม่ชอบกิน

            “เอาของชามนี้ไปด้วย”  เฮียยักษ์ซัดบะหมี่ต้มยำชามแรกหมดอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าความเร็วแสง  ดูท่าคงจะหิวมากจริงๆ  ส่วนริวยังกินได้ไม่ถึงครึ่งชามแรกเลยก็ชักจะอืดๆแล้ว

            “....สงสัยผมต้องล้างจานแล้วล่ะ  เฮียรอผมด้วยนะ”  ริวพูดเสียงอ่อย  ใช้ตะเกียบเขี่ยเส้นในชามไปมา 

            “รอได้  ไม่งั้นใครจะขับรถล่ะ”  ชายหนุ่มตอบกลับ  ซ่อนยิ้มทอดสายตามอง ‘เด็ก’  ตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย   ...ความจริงก็เรียกว่าเด็กไม่ได้หรอก  เรียนจบทำงานแล้วขนาดนี้  แต่เขาก็เผลอใช้คำแทนตัวอีกฝ่ายว่าเด็กทุกที  คงเป็นเพราะหุ่นผอมบางกับใบหน้าจ๋อยๆเหมือนหมาไม่มีเจ้าของนั้นล่ะมั้ง

            เห็นแล้วมัน...หมั่นเขี้ยวชอบกล

            “เอ้า  ส่งมา  เฮียช่วยกิน”  เขาดึงชามบะหมี่ตรงหน้ารุ่นน้องมาคีบเส้นเข้าปาก  อีกฝ่ายตกใจ

            “ไม่เอาสิเฮีย  ผมกินเหลือนะ...ไม่ต้องหรอก”             

            “เอาน่า  เฮียยังไม่อิ่มเลย”

            ริวเลยนั่งมองอีกฝ่ายจัดการบะหมี่ชามที่สามจนเรียบวุธ  อดทึ่งกับความสามารถในการกินของฝ่ายนั้นไม่ได้  มิน่าล่ะถึงได้ตัวใหญ่เหมือนยักษ์ขนาดนี้

            “ยังมานั่งมองอีก  เรียกเค้าเก็บโต๊ะสิ  จะได้กลับบ้านกัน”

            “กลับอะไรล่ะ  เฮียต้องแวะทำแผลก่อน   แผลเย็บไม่ใช่เหรอ  เกิดเน่าขึ้นมาทำไง”   ริวรีบเตือนความจำ  อีกฝ่ายชะงัก 

            “เดี๋ยวอาบน้ำแล้วเอาสบู่ล้างๆเอาก็ได้”

            “ไม่ได้  ต้องให้หมอเขาดูสิ”  ริวเผลอขึ้นเสียง  “เป็นหมอหรือไง  ถ้าไม่ใช่ก็ไปหาหมอซะ  ตัวก็ใหญ่ทำไมกลัวหมอเป็นเด็กๆไปได้”

            “นี่ๆ ชักจะมากไปล่ะ  พูดอย่างกับว่าตัวเองเป็นหมองั้นแหละ  ก็วิศวะเหมือนกันแหละวะ”

            “ก็ไม่ใช่หมอไง  ไม่งั้นทำแผลให้เองไปแล้ว”

            คนฟังเบิกตากว้าง  หันมามองหน้าริวเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก  เฮียยักษ์ดีดนิ้วเรียกเด็กมาเก็บเงินจากนั้นก็ลากเขาไปที่รถ

            “ไปหาหมอเลย  มีคลินิกหมออยู่ใกล้ๆแถวนี้  ไปด้วยกัน”

            “ทำไมจู่ๆถึงอยากไปนะ”  ริวพูดกับตัวเองงงๆ  แต่ก็ยอมขับรถออกไป  มองหาคลินิกแถวนั้นจนกระทั่งเจอเข้าเลยเลี้ยวรถเข้าไปจอด   เดินนำอีกฝ่ายเข้าไปข้างใน  บอกกับคนข้างหน้าที่เหมือนจะเป็นพยาบาลว่าจะมาขอทำแผล

            “ช่วยสอนให้น้องผมด้วยได้มั้ยครับ  วันหลังจะได้ทำแผลเองได้  ได้ไหมครับ”

            “ไม่ต้องให้คุณหมอดูหรอครับ”  ริวท้วง

            “ขอดูก่อนนะคะ”  คุณพยาบาลเปิดผ้าก๊อซที่ผิดเอาไว้ออกดู  “แผลเย็บแห้งดีนะคะ  แผลแบบนี้ทำเองที่บ้านก็ได้ค่ะ  เดี๋ยวซื้อพวกแอลกอฮอล์กับสำลี ผ้าก๊อซไป  แล้วมีนัดตัดไหมหรือเปล่าคะ”

            “มีแล้วครับ”   ผู้ชายร่างสูงใหญ่ตอบกลับไป  ริวกลั้นหัวเราะอยู่ในใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งเกร็งอย่างเห็นได้ชัดยามที่คุณพยาบาลใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผลให้  ท่าทางของเขาดูไม่สมตัวเอาเสียเลย

            “ตั้งใจดูสิ  พรุ่งนี้จะได้ทำแผลให้เฮียได้”  เสียงเข้มๆพูดขึ้นพร้อมกับนัยน์ตาดำสนิทที่ตวัดขึ้นมามอง   ริวเผลอส่งยิ้มตอบกลับไป

            “แผลแค่นี้เอง”  เขาใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ประกบกัน “ผมทำได้อยู่แล้วน่า  นึกว่าแผลเย็บสักสิบเข็ม”

            “ไม่โดนเองไม่รู้หรอก”  อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างหงุดหงิด  ริวยิ้มกว้างกว่าเดิม  ยืนอยู่ข้างๆดูคุณพยาบาลทำแผลให้จนเสร็จ   ไม่รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มนั้นทำให้ใครบางคนถึงกับลืมความแสบที่แผลไปเลย

            ยักษ์ยกมือขึ้นทาบอกของตัวเอง  รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นเร็วแรงอยู่ภายในจนน่าแปลกใจ  จะว่าเป็นเพราะตื่นเต้นตอนทำแผลก็ไม่น่าจะใช่  บางทีอาจจะเป็นเพราะประกายตาวิบวับที่ส่งมาจากดวงตากลมโตล้อมด้วยขนตายาวคู่นั้นกับรอยยิ้มหวานๆเห็นฟันเรียงกันสวยเหมือนสร้อยไข่มุก  รับกับลักยิ้มมุมปากข้างซ้าย  เปลี่ยนให้ใบหน้าเศร้านิดๆนั้นดูสดใสขึ้นฉับพลัน

            “...เฮีย  เฮียยักษ์...เสร็จแล้ว  มัวแต่นั่งเหม่ออยู่ได้  แอบปิ๊งพยาบาลหรือไง”  คนตรงหน้าเขาพูด  ชายหนุ่มกระพริบตา  ยกมือขึ้นแตะที่แผลซึ่งมีผ้าก๊อซแปะเอาไว้แล้วเรียบร้อยอย่างงงๆ

            “เอ่อ...เสร็จแล้วเหรอ”

            “ครับ  รอเค้าเรียกไปจ่ายเงินเนี่ย”

            “ริว”

            “ครับ?”  คนชื่อริวหันไปมองหน้าคนเรียก  เห็นฝ่ายนั้นอึกอัก  ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง  “มีอะไรหรือเปล่าครับ  หรือว่าเฮียแพ้ยาอะไร  ต้องรีบบอกเขานะ”

            “เปล่า...แค่...คือว่า”  ยักษ์มั่นใจว่าตัวเองไม่เคยพูดติดอ่างมาก่อนเลยในชีวิต  แถมสมองยังสั่งการช้าแบบแปลกๆ  “คือ...ง่า  เฮียอยากขอ air-X ด้วยน่ะ  ได้มั้ย”

            อีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มทั้งปากและตาที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนหมัดน็อคลงไปกองกับพื้นโดยไม่ทันตั้งตัว

            “ได้สิครับ  กินเข้าไปขนาดนั้น  ไม่อืดไงไหวล่ะครับ”


            .......................................................................................

 

            มาอัพต่อตอนที่ 1 กันนะคะ  อ่ะฮิ เรื่องนี้ไม่ดราม่ามาก(หลอก)นะ  รับรองว่ามุ้งมิ้งกิ่งก่องแก้ว สดใสเหมือนเเสงตะวันยามเช้า55555555555

ใครรอตามอ่านเรื่องนี้อยู่บ้าง เเสดงตัวเร็ววว  แนวโรแมนติกใสๆนะคะจะบอกให้คริคริ :hao6:

เจอกันตอนหน้านะคะ

ใครเล่นทวิต #แอบยักษ์ นะคะ

ถ้าเล่นเฟส เราฝากแฟนเพจด้วยยย Melenalike

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ โอ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 141
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เอาละสิ เฮียยักษ์หวั่นไหวแล้ว  :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ hoshinokoe

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1042
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +31/-0
ยิ้มแรกพบ 5555 ยิ้มทีถึงกับสตันเลย อิอิ

ออฟไลน์ maekkun

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ sebest

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 72
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
ตอนที่ 2

ยักษ์ยอก...ยิง

 

 

 

 

            “ให้ผมไปส่งเฮียที่ไหนดีครับ”  ริวถามขึ้นเบาๆ  ทำลายความเงียบในรถที่เกิดขึ้นตั้งแต่ออกมาจากคลินิก  คนนั่งข้างเหลือบตามามองเขาแวบหนึ่ง

            “ไปส่งที่บริษัทก็ได้  ฉันจะแวะเคลียร์งานเอกสารก่อน”

            “ได้ครับ”

            คนขับรับคำ  ไม่นานรถก็มาจอดที่หน้าบริษัทเอสเคก่อสร้าง  ยังมีแสงไฟลอดออกมาจากข้างในอาคาร แสดงว่าคนในนั้นยังไม่กลับบ้านกัน 

            “ริวขับรถกลับเลยก็ได้นะ  วันนี้ขอบคุณมาก”

            “ไม่เป็นไรครับเฮีย  เดี๋ยวผมนั่งรถเมล์กลับ”  ชายหนุ่มพูดอย่างเกรงใจ

            “ไม่เป็นไร ฉันอนุญาต”

            “คือผม...คือผมต้องไปทำงานต่ออีกที่หนึ่งนะครับ เลยไม่อยากเอารถของบริษัทไป ...ไม่ง่า  ไม่ถูกต้อง”  ริวพูดออกมาในที่สุด  คิ้วเข้มของคนฟังเลิกขึ้นเล็กน้อย

            “ทำงานที่ไหนต่อ?”

            “คือ...ผมเสิร์ฟอาหารที่ร้านอาหารครับ”

            “อ้อ...แล้วไปทำไหวเหรอ”

            “ไหวครับ”... ไม่ไหวก็ต้องไหว  กว่าเขาจะได้เงินเดือนเดือนนี้ก็อีกหลายอาทิตย์  แล้วระหว่างนี้เขาจะเอาอะไรกินเข้าไปล่ะ  ไหนจะเจ้าบาจาอีก....ลาภินเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายอย่างหวาดๆ ใบหน้าคมเข้มนั้นดูขรึมเครียดชอบกล  เฮียคงจะไม่พอใจที่เขาทำงานควบสองอย่าง  เพราะจะทุ่มเทให้งานของเฮียไม่พอ

            “เฮียไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะไม่ให้เสียงานของเฮียแน่นอน  พรุ่งนี้เฮียจะให้ผมทำอะไรที่ไหนบอกมาได้เลยนะครับ”

            “ถ้าอย่างนั้นก็มาเจอฉันที่นี่ตอนตีสาม  ฉันจะไปชลบุรีให้ทันตีห้า”  เฮียยักษ์พูดเรียบๆ  “มาไหวไหม  ถ้าไม่ไหวก็ลาออกไปเสิร์ฟอาหารอย่างเดียวพอ”

            “หวะ..ไหวครับเฮีย  ได้ครับ”

            “เธอจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าฉันจะไปทำงานอะไรที่ชลบุรี แล้วเธอต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง”  เสียงของยักษ์เข้มดุ จนคนฟังตัวลีบ   ริวนึกอยากยกมือขึ้นมาเขกศีรษะของตัวเองแรงๆ

            “ผมขอโทษครับ”   ...เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมลูกน้องถึงได้พร้อมใจกันเรียกอีกฝ่ายว่า ยักษ์  ขนาดแค่พูดธรรมดา ไม่ได้ด่าสักคำ  เขายังรู้สึกกลัวแกมกดดันถึงเพียงนี้   รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายจริงจังแค่ไหนกับการทำงาน

            “ยืนรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อน”  เจ้านายสั่งแล้วหมุนตัวก้าวยาวๆเข้าไปในอาคาร  พักเดียวก็กลับมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารปึกใหญ่  ริวรับมาถือเอาไว้อย่างงงๆ

            “คืนนี้เอาไปอ่านให้จบ  แล้วก็คิดเอาเองว่าจะช่วยอะไรฉันได้บ้างในโครงการนี้”

            “แต่ว่า..”  ริวกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ  ถ้าเขาต้องอ่านพวกนี้ทั้งหมดก็คงไม่มีเวลาไปทำงานที่ร้านอาหารแน่ๆ

            “ทำได้หรือเปล่าครับ”  เสียงคนพูดทั้งห้าวทั้งห้วนเหมือนครูฝึกรด. จนคนฟังตกใจรีบตอบรับออกไปเสียงดัง

            “ได้ครับ”

            “งั้นก็ดี  พรุ่งนี้เจอกันตีสามครับ”

            เฮียยักษ์เดินกลับเข้าไปในบริษัทแล้ว  แต่ว่าชายหนุ่มร่างผอมบางก็ยังยืนกอดแฟ้มเอกสารนิ่งอยู่อย่างคิดไม่ตก  สุดท้ายก็เลือกโทรศัพท์กลับไปหาพี่ฟ้าที่ร้านอาหาร  บอกว่าคืนนี้เขาคงไปทำงานไม่ได้  ฟังพี่ฟ้าบ่นมาตามสายอยู่พักใหญ่เพราะมีพนักงานลาหยุดพร้อมกันอีกสองคนเลยทำให้คนไม่พอ

            “ผมขอโทษจริงๆครับพี่  ไว้ถ้าผมมีเวลาจะเข้าไปช่วยนะครับ”

            “อืม  ไม่ต้องคิดมาหรอกริว พี่ก็บ่นไปงั้นแหละ  เราได้งานประจำก็ดีแล้ว  ตั้งใจทำงานล่ะ”

            ลาภินกวาดตามองแฟ้มเอกสารหนาปึกในอ้อมแขนแล้วก็ตอบกลับไป

            “ครับพี่ฟ้า”

            ยืนโหนรถเมล์ตัวโยนกลับมาถึงแฟลตที่พัก  เดินลากขาขึ้นบันไดไปจนถึงห้องของตนเอง  พอเข้าไปในห้องได้  เรี่ยวแรงที่มีก็คล้ายจะเหือดหายไปหมด   ได้แต่ทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงอย่างหมดแรง   ...ดีนะที่ไม่ได้ไปทำงานเสิร์ฟต่อ  ไม่อย่างนั้นเขาคงสลบเหมือด

            เจ้าบาจาเข้ามาอ้อนเหมือนทุกวัน  ชายหนุ่มดึงตัวเองลุกขึ้นมาหาอาหารให้เจ้าเหมียวกิน   เขาอาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มานั่งขัดสมาธิบนเตียง  หยิบแฟ้มเอกสารมาเปิดอ่านทีละหน้า

            ยิ่งอ่านเขาก็ยิ่งรู้สึกทึ่งกับโครงการที่บริษัทเอสเคก่อสร้างจะเข้าร่วมประมูลเสนอราคา  ภาพบ้านพักตากอากาศริมทะเลสวยงามแถมยังอนุรักษ์ธรรมชาติดูน่าสนใจมากในความคิดของเขา

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำลายสมาธิ  ลาภินเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู...หัวใจเต้นผิดจังหวะไปวูบเมื่อเห็นชื่อของ พี่โอม  ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

            “สวัสดีครับ”

            “ครับ  น้องริว....พี่โอมเองนะ   เข้านอนหรือยังนั่น”  เสียงทุ้มๆดังขึ้นริมหู  ชัดเหมือนเจ้าตัวมานั่งคุยอยู่ข้างๆ

            “ยังไม่นอนครับ”  ริววางแฟ้มหนาลงข้างตัว  เอนตัวลงพิงหมอน

            “ดีจัง...พี่จะโทรมาถามสารทุกข์สุกดิบน่ะ   ทำงานวันแรกเป็นไงบ้างครับ  โอเคหรือเปล่า  โดนเฮียยักษ์ดุเอาบ้างมั้ย”

            “ก็ดีครับพี่   เฮียให้ผมไปช่วยคุมงานนิดหน่อย  แล้วก็พาเฮียไปทำแผลที่คลินิก”

            “เหรอ...”  เสียงของอีกฝ่ายมีแววแปลกใจ  “ดีแล้วล่ะ  นี่พี่ยังไม่เจอเฮียเลยนะ”  ริวคล้ายได้ยินเสียงเหมือนคลื่นซัดดังจากปลายสาย

            “พี่โอมอยู่ที่ไหนหรอครับ”  เขาหลุดปากถามออกไป

            “หืม?  อยู่ที่บริษัทเนี่ยแหละ  เพิ่งกลับเข้ามา  วันนี้ไปทำงานทั้งวันเหนื่อยมาก”  อีกฝ่ายลากเสียงราวกับให้รู้ว่าเหนื่อยมากจริงๆ  คนฟังอมยิ้ม  “พรุ่งนี้น้องริวไปชลบุรีกับเฮียหรือเปล่าครับ”

            “ไปครับ”

            “ออกแต่เช้าเลยล่ะสิ”

            “ครับ  ตีสามแน่ะ”

            “ตีสามเลยเหรอ  ทุกทีจะออกหกโมงเช้านะ”  พี่โอมพูดตอบกลับมา  “ดีแล้วล่ะ  พรุ่งนี้เฮียยักษ์คงหาทางไปเกลี้ยกล่อมเจ้าของที่ให้ขายที่ให้เฮียน่ะ”

            “อ้าว  ผมนึกว่าไปเสนอราคาเสียอีก”

            “ยังไม่ได้ตกลงกันหรอก  เพราะเจ้าของที่รายหนึ่งดันไม่ยอมคืนที่  ทีนี้ก็เลยมีอีกเจ้าที่เป็นคู่แข่งกับเรา  เขาอยากจะเข้าไปกว้านซื้อที่เองเสียเลย  เล่นใต้โต๊ะกันน่ะว่าง่ายๆว่าจะล้มประมูล  เฮียไม่ยอมเลยจะไปสู้บ้าง”

            “อ้อ...”  ริวเริ่มงง ตามไม่ทัน

            “ช่างเถอะ  เดี๋ยวเฮียก็คงจะอธิบายให้ฟังหรอก  ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ก็รีบเข้านอนได้แล้วครับ  พี่ไม่รบกวนแล้ว  มีอะไรโทรมา ไลน์มาถามก็ได้นะน้องริว  พี่โอมยินดีช่วยครับ”

          “ครับ  ขอบคุณมากครับพี่โอม”

            “ฝันดีครับผม”

            อีกฝ่ายวางสายไปแล้ว  แต่ว่ากระแสเสียงทุ้มๆอ่อนโยนนั้นก็ยังก้องอยู่ในอกใจที่สั่นไหว  ริวถอนหายใจเฮือก  เอื้อมมือไปดึงเจ้าบาจามาฟัดเล่นแก้เขิน

            “ฝันดีครับพี่โอม”


            ..................................................................


            ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองอย่างพอใจเมื่อเห็นร่างโปร่งบางของเลขาฯ ก้าวลงจากรถแท็กซี่  ก้มหน้าก้มตามเดินจ้ำเข้ามาในบริษัท

            “มาถึงแล้วครับ”

            “ตรงต่อเวลาดีมาก”  เขาตอบ  พิศดูเหงื่อเม็ดเล็กๆที่ผุดขึ้นล้อมรอบกรอบหน้ารูปหัวใจนั้นเงียบๆ  สองแก้มแดงปลั่งแบบคนเพิ่งออกแรงมา  “นั่งพักก่อนก็ได้”

            “ไปเลยดีกว่าครับ  เดี๋ยวไม่ทัน”  ลาภินตอบกลับมา  ท่าทางกระฉับกระเฉง  ไม่ได้อิดโรยแสดงว่าเมื่อคืนเจ้าตัวคงไม่ได้ฝืนไปทำงานที่ร้านอาหารนั่นต่อหรอก    ยักษ์ตวัดสายตาดูแฟ้มหนาในมือที่ฝ่ายนั้นหอบมาด้วย   มีกระดาษแผ่นเล็กแนบไว้มีลายมือของเจ้าตัวจดย่ออยู่   คงกลับไปอ่านมาแล้วตามที่สั่ง

            “ได้   เธอเคยขับไปชลบุรีมั้ย”

            “ไม่เคยครับ”  ชีวิตนี้เขาเคยไปทะเลแค่หนเดียวคือตอนรับน้องเท่านั้นแหละ....ลาภินคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป

            “ถ้าอย่างนั้นฉันจะขับก่อน  แล้วให้เธอดูทาง  คอยจำทางไว้ให้ดี  คราวหน้าเธอจะเป็นคนขับ”  เฮียยักษ์พูดเรียบๆ  เดินนำอีกฝ่ายไปยังที่จอดซึ่งมีรถฟอร์จูนเนอร์คันหนึ่งจอดอยู่  ริวจำได้ทันทีว่ามันเป็นรถของพี่โอม

            “โอมให้ยืมมาใช้ก่อนน่ะ  นั่งสบายกว่ากระบะ”  เฮียยักษ์บอก  พยักหน้าให้เขาขึ้นไปนั่งข้างๆคนขับ

            ริวก้าวขึ้นไปนั่งที่เดิมที่เขาเคยนั่งมาแล้วเมื่อสองวันก่อน  ภายในรถสะอาดสะอ้านสมเป็นรถของพี่โอม  เบาะหนังสีดำเป็นมันปลาบ  ได้กลิ่นหอมอ่อนๆระเหยออกมาจากทุกซอกทุกมุมของรถ

          “ห้ามหลับ  คอยชวนฉันคุยไว้  ไม่งั้นฉันหลับ  ตื่นมาอีกทีลงข้างทางนะ”  คนขับพูดขู่ทันทีที่เห็นคนนั่งข้างเริ่มปรับเบาะให้เอนลงเล็กน้อย   ร่างเล็กรีบกระเด้งขึ้นมานั่งตัวตรง  มองหน้าเขาอย่างหวาดๆ

            “เฮียยักษ์หลับในบ่อยเหรอครับ”

            “ไม่บ่อยหรอก  แต่ต้องมีคนตื่นเป็นเพื่อน”  มือใหญ่เอื้อมไปกดเปิดวิทยุ   เพลงของศิลปินคนโปรดของริวดังขึ้นผ่านลำโพง

            ยักษ์ออกรถ  พาเขาขับไปตามทาง  ริวเผลอฮัมเพลงออกมาเบาๆ

            “ฉันนั่งยิ้มลำพัง หัวเราะลำพัง สดชื่นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา  ตั้งแต่ได้พบกับเธอนั้น   เรื่องจริงกับความฝัน   เกิดขึ้นด้วยกันทันตา”

            “ร้องเพลงเพราะนี่”  คนขับทัก 

            “เอ้อ....ขอบคุณครับ”   ริวอึกอัก  หยุดร้องไปทันที

            “ร้องต่อสิ  ไม่เป็นไรหรอก  ฉันก็ชอบเพลงนี้”   คนพูดเคาะปลายนิ้วลงกับพวงมาลัยตามจังหวะเพลงไปด้วย  เสียงห้าวๆเปล่งออกมาร้องคลอตามบ้างเลยทำให้ริวกล้าร้องต่อ

            “หยุด หยุด ชีวิต หยุดกับคนนี้  แม้ว่าใครจะดีสักแค่ไหน   หยุดหยุดความรัก ทั้งหัวใจ  หยุดอยู่กับเธอคนเดียว..”

            รถจอดติดไฟแดง

            “เฮียเป็นคนแรกที่ชมว่าผมร้องเพราะเลยนะ”  ลาภินพูดเสียงเบา

            “ทำไมล่ะ”

            “ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยกล้าร้องให้ใครฟัง”

            “งั้นเฮียก็เป็นผู้โชคดีเลยสิ  ที่ได้ยินเราร้องน่ะ”   ยักษ์หัวเราะ   “หรือจริงๆแล้วโชคร้าย”  เขาแกล้งพูดต่อ  พอคนฟังหน้าม่อยก็พูดต่อ   “พอได้ยินแล้วก็อยากฟังอีกบ่อยๆ”

            “เอ่อ...ไม่เอาแล้วเฮีย  เพลงเดียวพอแล้ว”

            “แค่นี้ก็ขี้หูสะเทือนแล้วเนอะ”

            “เฮียยักษ์!  คนยิ่งไม่มั่นใจอยู่”  ริวบ่นอุบอิบในลำคอ   แอบย่นหน้าให้เขาผ่านกระจก   ยักษ์เหลือบไปเห็นเข้าพอดีก็หัวเราะออกมาอีก 

            เขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองอารมณ์ดีเหลือเกิน  ทั้งๆที่ได้นอนไปเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น  แถมคนที่เขากำลังจะไปพบก็เรื่องมากหยุมหยิมเสียจนเขานึกหงุดหงิดล่วงหน้า

            สงสัยเพราะมีคนร่วมทางดีละมั้ง  ดูท่างานนี้เขาน่าจะมีโชคแฮะ...ยักษ์คิด  นั่งฟังอีกฝ่ายร้องเพลงหงุงหงิงไปตลอดทางสลับกับชวนคุยเล่นเป็นระยะ   พอออกเขตเมืองได้  ชายหนุ่มก็เร่งความเร็วขึ้นทำเวลา

            “เฮียยักษ์จบวิศวะรุ่นอะไรเหรอครับ”  จู่ๆคนนั่งข้างๆก็ถามขึ้น

            “ไม่บอก  จะหลอกถามอายุหรือไง”

            “โธ่  ผู้ชายที่ไหนเค้าซีเรียสเรื่องอายุกันล่ะครับ”

            “ทำไมล่ะ  ไม่มีใครอยากรู้สึกแก่หรอกนะ” 

            “งั้นถามใหม่  เฮียรหัสอะไรครับ”

            “.......”  อีกฝ่ายตอบกลับมา   ริวส่ายหัว

            “ทำไมห่างกับผมเยอะจังครับ  ตัวยอยักษ์กับรอเรือก็ติดกันนี่นา”

            “ใครว่าฉันชื่อจริงว่ายักษ์ล่ะ”  ชายหนุ่มรุ่นพี่ท้วง 

            “เออจริงด้วย   แล้วเฮียชื่อว่าอะไรหรอครับ”

            “จะถามไปทำไมชื่อจริงไม่มีประโยชน์หรอก  ถามนามสกุลยังดีกว่า เผื่อได้ใช้”   ยักษ์ตอบ  หัวเราะเบาๆเมื่อเห็นหัวคิ้วของอีกฝ่ายขมวดมุ่น

            “แล้วเฮียนามสกุลอะไรครับ”

            “อยากใช้หรือไง  ถ้าอยากก็จะบอกให้”

            “แล้วแฟนๆเฮียจะไม่เสียใจแย่เหรอครับ”   เพราะท่าทางเล่นๆของอีกฝ่ายแท้ๆทำให้ริวกล้าถามต่ออย่างที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกล้ามาก่อน 

            ยักษ์หัวเราะเสียงดังกว่าเดิม  ตอบกลับมาพลางยักคิ้ว

            “ผมโสดครับ”

            “เอ้อ...แยกหน้าเขียนเอาไว้ชลบุรีชิดซ้ายครับ”   ลาภินเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย  ชี้มือไปยังป้ายสีขาวที่ติดอยู่ข้างทาง   ได้ยินเสียงอีกฝ่ายจุ๊ปากในลำคอ

            พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นทำให้มองเห็นทางได้ชัดกว่าเดิมมาก  ริวสังเกตจากการขับรถว่ายักษ์เป็นคนใจเย็นพอใช้ทีเดียว  รถเลี้ยวเขตเมือง  เจ้านายให้เขาคอยมองป้ายบอกซอยเอาไว้  ในที่สุดก็เจอปากซอยที่มีป้ายติดเอาไว้เอียงกระเท่เร่

            “ซอยนี้แหละครับ  เลี้ยวเลย...”  เสียงริวขาดหายไปในลำคอเมื่อเห็นทางลูกรังเล็กๆแคบๆ  แวดล้อมด้วยพงหญ้าสูงเท่าเข่าตรงหน้า   มองเข้าไปมีแต่ต้นมะพร้าวกับต้นอะไรไม่รู้สูงๆเขียวครึ้มไปหมดทั้งบริเวณ  “ซอยนี้เหรอครับเฮีย”

            “ก็ชื่อซอยเดียวกับที่เขียนในกระดาษมั้ยล่ะ”

            “ครับ”

            “งั้นก็ลองเข้าไปดูล่ะกัน”

            เฮียยักษ์เลี้ยวเข้าไปในซอยนั้น  ขับตรงเข้าไปตามทางขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ  สองข้างทางเป็นพงหญ้า  ไม่มีชาวบ้านขับรถผ่านมาเลยสักคัน   ยิ่งขับเข้าไปลึกเท่าไหร่ บรรยากาศก็ยิ่งเปลี่ยว  วังเวงในความรู้สึกของริวมากขึ้นทุกที

            “เป็นอะไรนั่งเกร็งเชียว”  คนขับทักด้วยเสียงสบายๆ  แต่ริวก็เห็นว่าดวงตาคมกริบนั้นกวาดมองไปรอบๆด้วยความเครียดขรึมปนระมัดระวัง

            “ผมว่า...เรากลับกันดีกว่าครับ  มัน...แปลกๆ”

            “ที่ยังไม่พัฒนาก็แบบนี้แหละ  มีแต่ป่า..”  ยักษ์ตอบ   เพ่งมองไปยังทางข้างหน้า  “ถ้าดูไม่ผิด  ฉันว่าข้างหน้ามีบ้านคนนะ  น่าจะเป็นบ้านของคุณลุงที่เราตามหาอยู่นั่นแหละ”

            “ผมว่าเราถอยกลับไปตั้งหลักกันก่อนดีไหมครับ”

            “ตั้งหลักอะไรเล่า เธอนี่ก็กลัวอะไรไม่เข้าท่า  ดูสิ  มีคนเดินมาทางนี้ด้วย...”  เสียงของยักษ์ขาดหายไปในลำคอเมื่อสังเกตว่าผู้ชายที่เดินตรงมาทางรถยนต์ของพวกเขานั้นถืออะไรบางอย่างในมือสีดำสนิทมาด้วย

            “ริว”  เสียงเข้มๆนั้นกระซิบ  “มุดลงไปนั่งที่พื้น  เร็วเข้า”

            สิ้นประโยคนั้น  ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเกียร์แล้วเหยียบคันเร่ง  ถอยหลังออกมาจากซอย   ลาภินรีบปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วถดตัวลงไปนั่งที่พื้นอย่างลนลาน   หูได้ยินเสียงปืนดังลั่นติดต่อกันหลายนัด  ส่วนคนขับก็ก้มหลบไปพลาง  ถอยรถไปพลาง   ด้วยความรีบร้อนเลยทำให้ท้ายรถถอยไปชนเข้ากับต้นไม้ข้างทางเสียงดังสนั่น  กระเทือนไปหมดทั้งคัน

            ยักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกๆเรียกสติแล้วเปลี่ยนเกียร์  ทว่าเครื่องยนต์กลับดับลงดื้อๆ  ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดศีรษะของคนที่นั่งที่พื้นเอาไว้ไม่ให้โผล่ออกมา   อีกมือก็พยายามสตาร์ทรถไปด้วย





ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ ็Hollyk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +535/-22
    • FanPage Melenalike//Hollyk
 








            “อย่าออกมาๆ”  เขาพูดซ้ำๆ สายตาเหลือบเห็นร่างกำยำของผู้ชายที่ถือปืนในมือเดินตรงมาหาอย่างไม่สะทกสะท้านนั้นก็รู้สึกกลัวจับใจ   ยักษ์เอื้อมมือไปเปิดช่องเก็บของตรงที่นั่งของริวแล้วก็ใจหายใจวาบเมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่รถของเขา   และรถของโอมก็คงไม่มีปืนซ่อนเอาไว้ด้วย

            “ริว....”

            “ครับ”  อีกฝ่ายตอบเสียงสั่น

            “เดี๋ยวฉันจะเปิดประตูฝั่งฉันแล้ววิ่งไปทางขวามือ   มันคงจะตามฉันไป  ให้เธอวิ่งกลับไปที่ถนนใหญ่แล้วพาคนมาช่วยนะ”

            “ไม่เอา  แล้วคุณจะไม่โดนยิงหรอ”

            “ไม่หรอกน่า  ฉันมีพระดี”  พอเห็นหน้าคนฟังไม่เชื่อ  ยักษ์ก็ยกมือขึ้นตบที่แผ่นอกหนาของตัวเอง “ฉันใส่เสื้อเกราะกันกระสุนมาด้วย  ถ้ามันไม่ยิงหัวก็ไม่ต้องห่วงหรอก”

            ริวเหลือบมองเสื้อเชิ้ตชุ่มเหงื่อที่อีกฝ่ายใส่แล้วก็อยากจะหัวเราะออกมาดังๆให้กับมุขหลอกเด็กสามขวบนั้น   

            “เราโทรหาตำรวจดีกว่า”

            “ไม่ทันหรอก  ตามนี้นะ”   คนร้ายเดินเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที  ท่าทางมันย่ามใจเพราะคงรู้ว่าเขาไม่มีทางสู้   ยักษ์เม้มปากแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรง  นึกเจ็บใจที่ประมาท  ไม่คิดว่ามันจะลงมือซ้ำอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้

            เขาหันไปมองหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่มองมาอย่างกังวลแล้วพยักหน้าให้  พอได้จังหวะก็ขยับจะเปิดประตูรถทว่าลาภินกลับเปิดประตูออกไปก่อน   เสียงปืนดังขึ้นทันที   ร่างผอมบางของฝ่ายนั้นเผ่นพรวดออกไปจากที่กำบังโดยที่ยักษ์รั้งเอาไว้ไม่ทัน

            “ริว อย่า”

            เขาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นอีกฝ่ายเขวี้ยงแฟ้มหนาๆใส่คนร้ายที่ยกปืนขึ้นจ่อห่างออกไปไม่ถึงสิบก้าว   แฟ้มนั่นกระแทกมือของคนร้ายอย่างแม่นยำราวกับจับวาง   เสียงคนร้ายร้องลั่นเพราะความเจ็บปวด เซไปอีกทาง  ก่อนที่ร่างผอมๆนั้นจะกรากเข้าไปเตะปืนกระเด็นหายไปในพงไม้ 

            “หนีเร็วริว   ไปกันเถอะ”

            ยักษ์วิ่งเข้ามาลากคนบ้าบิ่นเกินตัวออกจากที่เกิดเหตุแล้วก็พากันวิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตาออกมายังถนนใหญ่  ใบหญ้าคมๆบาดผิวเป็นแผลเต็มไปหมดแต่ยักษ์ไม่มีเวลาไปสนใจ  มือกำข้อมือเล็กบางทั้งดึงทั้งลากให้วิ่งตามหลังออกมาอย่างทุลักทุเล

            ไม่ได้ยินเสียงใครตามมาอีก  พวกเขามายืนหายใจหอบอยู่ริมถนนใหญ่ปากซอย  ถัดออกไปมีร้านขายส้มตำไก่ย่างเพิ่งเรียงของเตรียมเปิดขาย   ยักษ์ลากข้อมืออีกฝ่ายให้เดินต่อ

            “โอ๊ย..”             รุ่นน้องอุทาน   เขาหันไปมองอย่างตกใจ

            “เป็นอะไร  โดนยิง?”

          “ข้อเท้าผม...น่าจะพลิกตอนที่เฮียลากผมออกมา”  เสียงของริวมีแววโกรธปนอยู่  “ลากออกมาไม่ดูเลย  เฮียขายาวผมก็ก้าวไม่ทันนะ”

            “ยังมาพูดอีก  เมื่อกี้ทำบ้าอะไรฮึ  จู่ๆก็พรวดออกไป  ไม่โดนยิงก็บุญเท่าไหร่แล้ว”  ยักษ์พูดเสียงดัง  “ทำอะไรไม่คิด  ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตราย”

            “เอ้า...ก็ดีกว่าเฮียออกไปโต้งๆแบบที่วางแผนมั้ยล่ะ”  ริวสวนเสียงสั่น  “เฮียวิ่งออกไปก็โดนมันยิงสิ”

            “แล้วเราไม่กลัวโดนยิงหรือไง  นึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่ผู้พิทักข์อธรรมเหรอ   ดูการ์ตูนมากไปมั้ง  นี่มันชีวิตจริงนะ  เอาตัวมาเสี่ยงไม่เข้าเรื่อง  ผมจ้างคุณมาเป็นเลขาฯ ไม่ใช่ให้มาเสี่ยงตายแทนผม”  ยักษ์พูดอย่างโกรธจัด  เสียงของเขาดังลั่นเหมือนฟ้าผ่า  นัยน์ตาคมลุกจ้าเหมือนมีเพลิงเข้าไปจุดเอาไว้

            ลาภินเริ่มตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่  เขายกมือขึ้นกอดอกกระนั้นทั้งร่างก็ยังสั่นอยู่ดีจนคนตรงหน้าสังเกตเห็น  ยักษ์เอื้อมมือไปจับต้นแขนทั้งสองข้าง  พูดเสียงอ่อนลง

            “เป็นอะไรไป  ทำไมตัวสั่น”

            “มะ..ไม่รู้”   ริวตอบ ปากสั่นจนฟันกระทบกันได้ยินเสียงกึกๆ

            ยักษ์ตกใจกว่าเดิม  แค่เห็นอีกฝ่ายออกไปเผชิญหน้ากับคนร้ายเมื่อครู่เขาก็ใจหายลงไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว  ยังไม่ทันหายตกใจเจ้าตัวก็ดันมาตัวสั่นเป็นลูกนกอีก....นี่มันอะไรกันวะเนี่ย

            ชายหนุ่มคว้ามือเล็กมาบีบแน่น  รู้สึกได้ว่าพอเขาจับมือไว้  อาการสั่นก็ดีขึ้นเล็กน้อย  ชายหนุ่มเลยยกมือขึ้นโอบรอบตัวฝ่ายนั้น  ดึงเข้ามาหาตัว

            ดูท่าริวจะกลัวมากกว่าที่เขาคิด  พอสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงแล้ว  ร่างกายที่ตึงเครียดแต่ฝืนเอาไว้เพื่อเอาตัวรอดถึงได้ออกอาการ

            “ตกใจหรอ  หรือว่ากลัวผม”

            ยักษ์ก้มลงพูดกับศีรษะทุยที่ซุกอยู่ที่อกเสื้อ  ไม่สนใจสายตาของคนขายส้มตำที่เริ่มเมียงมองมา  คนในอ้อมแขนของเขาสั่นศีรษะไปมา  ไม่ยอมตอบ

            ลาภินหลับตาลง  รับรู้ถึงวงแขนที่โอบล้อมอยู่รอบตัว  อาการสั่นสะท้านเหมือนอยู่กลางหิมะเมื่อครู่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว  เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเป็นอะไร ...เขาเคยเป็นมาก่อนหน้านี้แค่ครั้งเดียวคือตอนที่รู้ข่าวว่าแม่เสียชีวิต  ตอนนั้นกว่าจะหายก็ผ่านไปหลายชั่วโมง

            คงเป็นเพราะเขาตกใจมากเกินไปนั่นเอง

            “ไม่เป็นไรแล้ว  มันเจอฤทธิ์แฟ้มลอยฟ้าของเราเข้า   ข้อมือหักไปแล้วมั้ง”   เสียงห้าวๆกระซิบ  โยกตัวไปมาเล็กน้อยเหมือนปลอบเด็ก  “ดีขึ้นหรือยัง”

            ลาภินดันตัวออกจากวงแขน  เงยหน้าขึ้นสบตาเจ้านายที่มองมาด้วยความเป็นห่วง

            “ครับ  ดีขึ้นแล้ว”  เขาตอบกลับไป  เบือนหลบสายตาคมคู่นั้นโดยไม่ตั้งใจ  รู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศรอบตัว  คล้ายมีความขัดเขินบางอย่างแฝงอยู่ในควันของไก่ย่างที่ลอยมา

            “หิวหรือเปล่า”

            “เราควรรีบไปแจ้งตำรวจมั้ยครับ”

            “รองท้องก่อน  ไม่งั้นฉันคิดอะไรไม่ออก”   เฮียยักษ์ตอบกลับ  ยื่นท่อนแขนแข็งแรงคล้ำแดดให้เขาเกาะเป็นหลักพาเดินเข้าไปที่ร้านขายส้มตำไก่ย่างรถเข็น   อีกมือก็ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออก

            ยักษ์โทรหาเพื่อนที่เป็นตำรวจที่นี่ให้ช่วย  จากนั้นเขาก็โทรหาโอม เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง  ฝ่ายนั้นตกใจมากบอกว่าจะรีบขับรถมาชลบุรีโดยด่วน

            “ไม่ต้อง  เดี๋ยวเฮียกลับเอง แกอยู่คุมงานที่โน่นไป”

            “แต่ว่า..”         

            “ไม่มีแต่..  อ้อ ห้ามบอกแม่ด้วย”  เขาชิงดักคอเอาไว้  อีกฝ่ายรับคำเสียงอ่อย กำชับให้เขาไปรพ.แล้วก็วางสายไป    ยักษ์ถอนหายใจยาวหันมารับไก่ย่างชิ้นใหญ่ที่เลขาฯส่งมาให้

            “เฮียกินส้มตำไหวมั้ยครับ”  อีกฝ่ายถามขึ้นเบาๆ  พอเขาขมวดคิ้วก็รีบเสริม “คือผมกลัวเฮียไม่อิ่ม เลยสั่งตำไข่เค็มเผื่อให้เฮียไป”  เห็นหน้าคนพูดยักษ์ก็พอจะเดาได้ว่าใครกันแน่ที่อยากกิน...

            ...เพิ่งหายขวัญเสียไปหยกๆ ไม่ใช่หรือ?

            “ใครให้สั่ง”  เขาแกล้งถาม

            “ก็...เฮียจะรีบไปโรงพักใช่มั้ยครับ  งั้นเดี๋ยวผมยกเลิกเขา...”

            “ฉันไม่ชอบไข่เค็ม  เอาปูปลาร้ามาแทน”

            “ผมไม่กินปลาร้า”  ลาภินหลุดปาก

            “เอ้า...นี่สั่งให้ฉันกินหรือให้เรากินกันแน่ฮึ”

            “ให้เฮียครับ”  ลาภินยกห่อข้าวเหนียวในมือขึ้นกัดด้วยท่าทางที่ทำให้คนที่ยืนมองอยู่ต้องถอนหายใจเฮือก  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงต้องชะโงกเข้าไปสั่งตำปูปลาร้าเพิ่ม  ห่อกลับบ้าน แล้วยอมกินตำไข่เค็มรสชาติอ่อนๆที่เขาไม่เคยนึกชอบ

            แลกกับแค่ได้เห็นแววตาที่เริ่มกลับมาสดใสของใครบางคน

            รถตำรวจขับมาจอดเทียบริมฟุตบาท   นายตำรวจชุดเครื่องแบบสองนายก้าวลงมาจากรถเดินตรงเข้ามาหาพวกเขา   ลาภินเห็นเฮียยักษ์พูดคุยกับสองคนนั้นอย่างสนิทสนม  ไม่นานก็มีกำลังมาเพิ่มอีกหลายนาย  ตำรวจให้พวกเขารออยู่ข้างนอกตอนที่พวกเค้าเข้าไปในที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวัง

            ลาภินนั่งข้างๆเจ้านายในรถตำรวจ   เวลาผ่านไปเขาเริ่มรู้สึกว่าข้อเท้าปวดตุบๆแถมยังบวมขึ้นกว่าตอนแรกมาก  แต่ก็ไม่กล้าบอกใครเพราะเห็นทุกคนกำลังยุ่ง  เฮียยักษ์เองก็กำลังโทรติดต่องานไม่หยุด

            “เดี๋ยวเฮียจะเข้าไปเอารถ  เรานั่งรออยู่ที่นี่แหละ”  เฮียยักษ์วางสายแล้วหันมาบอกเขา  นัยน์ตาคมตวัดมองต่ำเห็นมือที่เขานวดข้อเท้าตัวเองอยู่  ...มันบวมเขียว  บางส่วนก็เริ่มม่วงช้ำอย่างน่ากลัว

            “เชี่ย...เป็นมากขนาดนี้ทำไมไม่บอก  นั่งเงียบอยู่ได้”  เฮียอุทานออกมาตามด้วยเสียงบ่นอย่างหัวเสีย   ร่างสูงใหญ่เดินย้อนกลับที่ร้านขายส้มตำ   สักพักก็กลับมาพร้อมกับน้ำแข็งหลายก้อนห่อด้วยผ้าที่ดูคล้ายผ้าเช็ดหน้า

            “ประคบน้ำแข็งไว้  ถ้างั้นต้องไปรพ.ก่อนแล้วค่อยไปโรงพัก”

            “เดี๋ยวผมไปรพ.เองก็ได้ครับ  แล้วจะตามไปโรงพักทีหลัง”    ริวรับห่อน้ำแข็งมาประคบที่ข้อเท้าตัวเองเบาๆ

            “อย่าดื้อ  บอกว่าไปพร้อมกันก็พร้อมกัน....นั่งรออยู่ที่นี่ก่อน  ฉันจะเข้าไปเอารถกับสารวัตรเค้า  อย่าไปไหน เข้าใจมั้ย”  ริวรู้สึกตัวเองกลายเป็นเด็กเล็กๆที่ถูกพ่อแม่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าอย่าไปวิ่งเล่นที่ไหนไกล

            เขาพยักหน้ารับอย่างหงอยๆ  มือหนึ่งประคบน้ำแข็งที่ข้อเท้าบวมเป่งของตัวเองเอาไว้  อีกมือก็ประคองถุงใส่ส้มตำปูปลาร้าเอาไว้บนตัก   

            ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ  มองตามร่างสูงหนาที่กระโดดขึ้นหลังท้ายรถกระบะของตำรวจ  เข้าไปในสถานที่เกิดเหตุที่ถูกเคลียร์พื้นที่เรียบร้อยแล้ว

            ชักสงสัยซะแล้วสิ  นี่เขากำลังหาเรื่องใส่ตัวอยู่หรือเปล่า  ภาพผู้ชายที่เดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับปืนในมือ  เหตุการณ์ก่อนหน้าที่เฮียยักษ์ถูกรุมกระทืบหน้าผับ   มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ   ฝ่ายนั้นน่าจะมีศัตรูที่ตามเอาชีวิตอยู่  และเขาคือใครกัน

            ทว่านั่นยังไม่สำคัญเท่ากับคำถามที่ว่า  เฮียยักษ์คือวิศวกรธรรมดาหรือว่าเป็นใครกันแน่

            ..........................................................................................





มาอัพต่อนะคะ 

เรื่องนี้มันก็จะมีบู๊ๆหน่อย แต่หวานมากๆ นะคะ5555555

มีใครตามอ่านเรื่องนี้อยู่บ้างคะ  แสดงตัวหน่อยเร็ววว

ใครเล่นทวิต #แอบยักษ์ นะคะ

ตอนหน้าจะพาไปเล่นทะเล ฮ่ะฮิ   โอ้ยยอยากปายยจุง

เจอกันตอนหน้านะคะ

-Melenalike-
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 14:22:22 โดย ็Hollyk »

ออฟไลน์ แฟนตาเซีย

  • หืมม...?
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 557
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
โว้ววว ติดตามๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ cher7343

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1686
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-4
แวะมากอด น้องขวัญอ่อนขวัญหายแล้วอิพี่ยักษ์

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อืมม.....น่าสงสัยจริงๆ อย่างริวว่า  o18 :hao3:
ยักษ์ ต้องมีอะไรมากกว่าที่เป็นแน่ๆ

มือปืน ก็ประสาท ประหลาดโคตร
เล่นยิงไม่มีปี่ ไม่มีขลุ่ย กลอง ฆ้อง แตร วง เลย

ริว กล้ามาก ขว้างแฟ้นใส่มือปืนแม่นมาก  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
แต่โดนกระชากว่งตามซะข้อเท้าแพลงเลย
รอตอนใหม่  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ชอบๆๆ ติดตามค่าา

ปล. ใครใส่ร้ายน้องนายเอกของเราา เพื่อนสนิทรึป่าว??  :katai1: :katai1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-06-2017 19:13:32 โดย cheezett »

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2115
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
สนุกมาเลยยยย
ลงขื่อติดตาม :katai5:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
บางทีก็คิดนะว่าเฮียยักษ์เป็นลูกมาเฟียที่ไหนรึเปล่า ฮาา แต่อาจจะเป็นเรื่องขัดผลประโยชน์กันก็ได้มั้ง เอาใจช่วยเฮียนะ และตอนที่น้องริวโดดลงรถไปเราก็อุตส่าห์นึกว่าน้องสายบู๊แบบเตะต่อยเก่งเสียอีก ที่ไหนได้

ออฟไลน์ nolirin

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +274/-5
เรื่องราวน่าค้นหา :3123:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ iampurnny

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เรื่องราวน่าติดตามดีครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด