“เดี๋ยวพี่ล้างเองปิ๊น ไปคุยกับเพื่อนเหอะ” พี่ปูนพูดขึ้นแล้วมาหยิบจานในมือผมไป
“มีอะไรก็รีบๆเคลียร์กันซะนะ” พี่ปูนเข้ามากระซิบใกล้ๆก่อนจะเดินเข้าครัวไปพร้อมกองจาน ถึงเวลาที่ผมต้องตัดสินใจแล้วสินะ
“กู...มีอะไรจะคุยด้วยอ่ะ” ผมเดินไปหาไอ้คริสที่กำลังใส่รองเท้าเตรียมตัวกลับ
“ก็คุยมาดิ” น้ำเสียงเหวี่ยงๆที่ส่งมาแถมยังเอาแต่ก้มหน้าผูกเชือกไม่ยอมหันมามองหน้ากันอีกด้วย แม่ง ทำตัวอย่างกับงอนผมแน่ะ
“จะคุยยาวเว้ย เรื่องเมื่อเย็นอ่ะ จะฟังไหม ถ้าไม่ฟังก็กลับไปเลย” ผมพูดแล้วหันตัวกลับ กูไม่ง้อมึงหรอกเชอะ
“เดี๋ยว อยากรู้ดิ แค่นี้ทำงอนนะ” ห๊ะ ผมเนี้ยนะงอนมัน มันนั่นแหละงอนผมมากกว่า
“เออ งั้นก็คุยไปเดินไปแล้วกัน จะขึ้นรถเมล์หรือแท็กซี่อ่ะ?”
“รถเมล์ก็ได้ กูไม่รีบ”
“โอเค” ผมบอกก่อนจะสวมรองเท้าแตะเดินนำมันมา ออกจากบ้านไปตามทางฟุตบาท มันเองก็เดินตามหลังมาติดๆจนเราเดินพร้อมๆกัน
“ก่อนที่กูจะพูดเรื่องเมื่อเย็น กูขอถามอะไรมึงสักอย่างได้ป่ะ?”
“ได้ดิ จะถามกี่อย่างก็ได้”
“อืม...ทำไม มึงต้องมาบังคับให้กูแป็นแฟนมึงด้วยวะ” ผมแทบกลั้นหายใจก่อนจะถามคำถามที่น่าอายออกไป
“...ถ้าให้พูดจริงๆก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอ้า!” คือตอบได้กวนตีนมาก ตอนแรกมันเล่นบังคับผมทวงสิทธิ์ต่างๆนาๆ แต่พอถามเอาคำตอบจริงจังกลับบอกว่าไม่รู้ ให้มันได้อย่างงี้สิวะ
“ฮ่าๆๆ จริงๆนะ ก็...ตอนแรกที่กูเจอมึงอะ ตอนที่กูโดนรุมตีน จำได้ป่ะ?”
“จำได้ดิวะ กูเนี้ยเป็นคนวิ่งไปตามตำรวจมาช่วยมึงเองแหละ”
“เออ นั่นแหละ คือก่อนหน้านี้กูก็มีพวกของกูมาด้วยไง แต่พอปะทะกัน แม่งอยู่ๆ หายหัวกันไปไหนหมดก็ไม่รู้ ตอนนั้นกูรู้สึกว่ากูถูกทิ้งอะมึง แบบเหี้ยไรวะทิ้งกูไปไหนกันหมด กูกำลังโดนรุมกระทืบจนเจ็บไปหมดเสือกไม่มีหมาตัวไหนมาช่วยกูสักตัว ตอนนั้นกูคิดว่ากูคงตายแน่ๆอ่ะ ไม่น่ารอด”
“เออ สภาพมึงตอนนั้นก็ไม่น่ารอดจริงๆแหละ เลือดแม่งเต็มหน้าเต็มตัวหมด” คิดแล้วยังสยองไม่หาย
“ใช่ไหมล่ะ แต่ตอนที่กูกำลังหมดความหวัง อยู่ๆกูก็คิดขึ้นมาเฉยๆว่า กูจะตายไปโดยยังไม่เคยรักใครไม่ได้เด็ดขาด”
“พูดจริงดิ” ผมหันไปมองหน้ามันแบบขำๆ จะตายอยู่แล้วยังจะมีอารมณ์มาคิดเรื่องนี้อีกหรอวะ
“เออ จริงดิ กูคิดอย่างนั้นจริงๆนะเว้ย กูเสียดายตายถ้าชีวิตกูไม่แฮปปี้เอ็นดิ้งเหมือนในนิทานอ่ะ กูมโนไว้หลายเรื่อง ถ้าไม่ได้ทำสักเรื่องกับคนที่รัก กูคงเป็นวิญญาณที่โคตรเศร้าแน่ๆ อย่างน้อยก่อนจะตายก็ควรมีความทรงจำดีๆกับใครสักคนป่ะว่ะ” ไอ้คริสพูดอย่างจริงจัง จริงจังมาก จนผมเองต้องกลั้นขำไว้
มันแม่ง... โคตรน่ารัก
“อืมๆๆ แล้วไงต่อ”
“ก็พอกูคิดอย่างงั้นปุ๊บ จู่ๆความเจ็บที่กำลังโดนกระทืบก็หายไปเฉย ตอนนั้นกูก็มึนๆงงๆเหมือนสติกูเริ่มไปแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าโดนลากโดนยกไปนอนที่ไหนสักอย่าง ตอนนั้นกูคิดกูคงได้ขึ้นสวรรค์แล้วละมั้ง กูเสียใจมาก กูนึกว่ากูตายแล้วมีเทวดามาหิ้วปีก ไอ้ห่าแม่ง”
“ฮ่าๆๆๆ” ผมหัวเราะลั่น โอ๊ยยยย จินตนาการมึงนี้เนอะ ตลกอะ
“อย่าขำดิวะ กูจริงจังนะเนี้ย”
“เออๆ ต่อดิ”
“เออ กูก็กำลังเสียใจหนักมากไง แล้วทีนี้กูก็รู้สึกว่าคนมากุมมือกู พูดให้กำลังใจกู แล้วมันแบบโคตรรู้สึกอบอุ่นเลยเว้ย ไอ้ความรู้สึกถูกทิ้งเหลือตัวคนเดียวจนตายมันหายไปหมดเลย กูรู้สึกดีใจมากที่มีคนมาอยู่เคียงข้างกู ณ ตอนนั้น กูก็เลยพยายามลืมตามองว่าใครคือเจ้าของมือที่แสนอบอุ่นนั้น” พอพูดมาถึงตรงนี้ไอ้คริสมองหน้าผม ก่อนจะยิ้มนิดๆ
แล้วเอามือมากุมมือผมไว้ -///-
ไอ้ผมก็แรดยอมให้มันจับไม่สะบัดออกสักนิด
“ตอนที่ลืมตาแล้วเห็นหน้ามึงอ่ะ กูคิดว่ามึงเป็นนางฟ้าจริงๆนะ หัวใจกูเต้นแรงมากจนกูเองยังกลัวว่ามันจะหลุดออกมาจากตัวกูเลย”
“เวอร์!”
“จริงๆเว้ย”
“อ้วก” ผมทำท่าอ้วกแก้อาย แหม ผมก็คนนะครับไม่ใช้พระอิฐพระปูนถึงจะไม่รู้สึกอะไรเลย พูดมาขนาดนี้ไม่เขินก็แปลกแล้ว
“ปิ๊น มึงคือรักแรกพบของกูนะ”
ฉ่า -////////- หน้าร้อนไปหมดแล้วคร้าบบบบ ทำไมถึงอะไรน้ำเน่าได้ขนาดนี้วะ
“มึง มันใจง่ายมากกว่า แหม เจอกูตอนมึนๆแป๊บเดียวก็มาบอกว่ารักซะแล้ว ไวไปไหมมึง” ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าคนเราจะรักอีกฝ่ายได้เพียงแค่เห็นหน้ากัน ถ้าชอบเล่นๆก็ว่าไปอย่าง
“กูก็คิดแบบนั้นแหละ แต่พอกูฟื้นมารักษาตัวจนหายกูก็ยังไม่สามารถลืมหน้ามึงไปได้เลย กูก็เลยคิดว่าต้องหามึงให้เจอให้ได้ แต่พอกูเจอมึงแม่งก็เสือกความจำสั้นจำกูไม่ได้อีก กูเลยหงุดหงิดไง คนแม่งก็มองเต็มไปหมด ยอมรับตรงๆเลยว่ากูกลัวเสียหน้ามากเลยต้องพูดบังคับมึงไป”
“แต่หลังจากนั้นมึงก็บังคับกูทุกวันอ่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ เออยอมรับ ก็มึงน่ารักนิหว่า กูกลัวว่าถ้าไม่บังคับมึง มึงคงไม่มาเจอหน้ากูอีกแน่ๆ เลยต้องหาข้ออ้างมาบังคับมึงอะ” ก็จริงแหละครับ ใครจะไปอยากเจอมัน ณ ตอนนั้น ภาพตอนยืนเถียงกันริมถนนเข้ามาเป็นฉากๆเลย
“งั้นเรื่องหนังสือนั้น มึงก็แค่เอามาอ้างเล่นๆไม่ได้อยากได้คืนจริงๆใช่ป่ะ?” ผมลองแกล้งถามมันดู
“ไม่ได้อ้างเล่นๆเว้ย! อยากได้คืนจริงๆสิถามได้ กูรักกูหวงมากเลยนะเล่มนั้น วันที่พกมากูก็กะจะเอาไปอ่านที่ตู้อ่านหนังสือคนตาบอดสักหน่อย แต่ดันมามีเรื่องก่อนไง” พอฟังมันพูดก็แอบคิดนะครับว่า มันเองนี้ก็ใจดีไม่น้อย มีคิดจะไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟังด้วย
“งั้นกูก็ต้องหามาคืนมึงให้ได้จริงๆใช่ไหม ถึงจะเป็นอิสระ” ผมถามมัน เพราะดูท่ามันหวงหนังสือเล่มนั้นมากจริงๆ
“ไม่คืนก็ได้นะ”
“เฮ้ย จริงดิ”
“เออ แค่มาเป็นแฟนกูจริงๆก็พอ”
“ไอ้บ้า! ตกลงกันแค่ 6 เดือนเถอะ จำไม่ได้รึไง” ทีงี้ล่ะเนียนเลยนะมึง
“ก็กูอยากเป็นนานกว่านั้นอ่ะ” แล้วไอ้คริสก็ทำหน้าเป็นเด็กโดนขัดใจอีกรอบ
“ถึงตอนแรก เรื่องของเราสองคนมันจะเป๋ๆแปลกๆไปบ้าง แต่ทุกครั้งที่กูอยู่กับมึง กูมีความสุขมากนะเว้ย กูเป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ กูคิดว่ามึงเองก็น่าจะรู้สึกเหมือนกูใช่ไหมล่ะ”
“มึงรู้ได้ไง อย่ามั่วไปหน่อยเลยว่ะ” เถียงครับ ผมคีพลุคตลอดแหละ
“ถ้าไม่ใช่ มึงคงไม่กล้าปล่อยกลิ่นปากเน่าใส่กูหรอก ไอ้ห่า แถมตุ๊กตาลิงตัวนั้นก็อยู่บนเตียงมึงด้วยใช่ไหมล่ะ รู้สึกดีกับกูแล้วบอกมาเหอะ ทีกูยังบอกมึงตรงๆเลย”
“...” แม่งเจอมันพูดแบบนี้ผมเองก็ไปไม่เป็น
“ของอย่างงี้มันก็ต้องรอเวลาก่อนป่ะว่ะ ให้มันชัวร์ก่อน ไม่ใช่พูดออกมาง่ายๆแบบมึง” ผมเถียงมันไป
“ไม่ใช่ว่ากูพูดออกมาง่ายๆเว้ย แต่กูที่เคยเฉียดตายมาก่อน กูรู้ดีว่าทุกนาทีมันมีค่า กูรอดมาแล้ว กูก็ควรทำในสิ่งที่กูอยากทำ พูดในสิ่งที่กูอยากพูดกับคนที่กูอยากให้รู้ไง ไม่อยากเสียดายอะไรอีกแล้ว กูแมนพอที่จะพูดความจริง...แล้วมึงล่ะแมนพอป่าว ที่จะทำตามความรู้สึกตัวเอง” เด็กหนุ่มลูกครึ่งพูดอย่างท้าทาย เพราะตัวเขาคิดไว้แล้วว่า ร่างเล็กกว่าตรงหน้าเขามีใจให้เขาบ้างแน่นอนไม่มากก็น้อย อยู่ที่ว่าจะกล้าพูดออกมาหรือเปล่า
ผมไม่ได้ตอบอะไรไอ้คริสไป แต่ก้าวเท้าเดินต่อ ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้แน่นอนว่าผมเองก็รู้สึกดีๆกับมันแหละครับ แต่ถ้าจะให้ยอมรับความจริงมันก็น่าอายไหมล่ะ แถมต้องตอบคำถามเพื่อนๆผมอีก ไหนจะสังคมอีกล่ะครับ
ถึงประเทศไทยจะบอกว่ายอมรับเกย์กันมากขึ้นแต่เอาเข้าจริงก็มักมีการพูดถึงในทางเหยียด ดูถูก เหมือนเป็นตัวตลกในสังคมเสมอ ไม่ใช่แค่นี้นะครับ ครอบครัวพวกผมอีก ทั้งพ่อและแม่ผมเป็นคนหัวโบราณครับบ่อยครั้งที่เวลาพ่อหรือแม่มาเยี่ยมผมกับพี่ปูนแล้วนั่งดูทีวีด้วยกัน เวลามีข่าวเกี่ยวกับเกย์ พ่อก็มักบอกว่าพวกนั้นมันบ้าเกิดเป็นผู้ชายดีๆไม่ชอบ เดี๋ยวก็โดนฟ้าผ่าตาย แม่ก็บอกว่า เสียดายหน้าตาหล่อๆเป็นเกย์กันไปหมด ไม่น่าเป็นเลย เป็นต้น เอาแค่เรื่องพวกนี้ไม่รวมเรื่องยิบย่อยผมก็ประสาทจะกินแล้วครับ
“แล้วตกลงเรื่องเมื่อตอนเย็นคืออะไร?” ไอ้คริสถามขึ้น ทำให้ผมหลุดจากความคิดตัวเอง
“ก็...คือเพื่อนกูมันรู้ว่ามึงบังคับให้กูเป็นแฟนไง มันก็ไม่พอใจ บอกให้กูมาเคลียร์กับมึงว่า...ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับกูอีก เดี๋ยวพวกมันจะช่วยกันหาหนังสือมาคืนมึงให้อ่ะ” ผมบอกมันเสียงเบา
“แล้วแม่งเสือกอะไรด้วยว่ะ! เรื่องของกูกับมึงสองคนป่าวล่ะ คิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะแยกมึงไปจากกูได้หรอ ไม่มีทาง!” ไอ้คริสดูหัวเสียมากพอได้ฟังที่ผมพูดเสร็จ
“อย่าด่าเพื่อนกู เพื่อนกูมันก็ห่วงกูถูกแล้วเว้ย ลองเป็นเพื่อนมึงโดนอย่างนี้มึงจะยอมอยู่เฉยไหมล่ะ?” ผมถามกลับ ซึ่งแน่นอนว่าไอ้คริสก็เงียบไปเป็นตัวมันเองก็คงไม่ยอมเห็นเพื่อนโดนบีบบังคับเหมือนกัน
“ขอโทษนะ”
“ห๊ะ? ขอโทษเรื่องไรอะ”
“ขอโทษที่บังคับมึงไง”
“อ้อ อืม” ผมตอบรับ อยู่ๆมาขอโทษอย่างรู้สึกผิด ผมเองก็แอบตั้งตัวไม่ทันเหมือนกัน
เดินจนถึงป้ายรถเมล์แล้วนั่งลงไปพลางมองดูว่าใกล้จะมีรถเมล์ผ่านมาหรือยัง
“แล้วมึงอยากให้กูเลิกยุ่งกับมึงหรือเปล่า?” ไอ้คริสที่นั่งตาม เอ่ยถามขึ้นแล้วมองมาอย่างรอคำตอบ
ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจแล้วสินะ
.
.
.
“คนอย่างมึงเคยฟังใครไหมล่ะ ถึงกูไล่ มึงก็วิ่งตามอยู่ดี” ผมบอกมันไปแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ามันจะเข้าใจความหมายจากคนปากแข็งแบบผมไหมนะ
“ฮ่าๆๆๆ รู้ใจกูไม่พอ ยังรู้สันดานกูอี๊กกกกกก” ไอ้คริสยิ้มแฉ่ง อย่างพอใจคำตอบผม
“ก็แค่ 6 เดือนเว้ย ในฐานะแค่เพื่อนเท่านั้น อย่าทำเป็นดีใจไป ชิ”
ไม่รู้ว่าอนาคตมันจะเป็นอย่างไร จะโดนพวกเพื่อนผมรุมด่าในการกระทำของผมหรือเปล่า แต่ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตไปครับ คิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร
ไอ้คริสเองมันก็ดีกับผมมากๆ ถ้าคบกับมันเป็นเพื่อนไปก่อนก็คงไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยก็ถือว่ารับผิดชอบที่ทำหนังสือมันหายไปก็แล้วกัน
“อาทิตย์หน้าโรงเรียนกูจัดโอเพ่นเฮ้าส์ มึงจะไปป่ะ?” ไอ้คริสถามขึ้น ผมเองก็เห็นประกาศเชิญชวนในเฟสบุคที่มีคนแชร์ๆกันมาเหมือนกัน ว่าโรงเรียนมันจัดงานโอเพ่นเฮ้าส์
“ไม่รู้ดิ มีอะไรน่าสนใจอ่ะ”
“ตัวกูไง น่าสนใจสุดในโรงเรียนล่ะ” ^^
“โอเค งั้นกูไม่ไป” - -
“เฮ้ย ล้อเล่น ไปเหอะ อยากให้ไปอ่ะกูมีเล่นดนตรีตอนเย็นไปเชียร์กูหน่อย กูต้องการกำลังใจนะเว้ย” ไม่พูดปล่อยยังส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ผมอีก
“เออๆ ก็ได้วะ” ผมตอบรับมันไป เห็นหน้าตาวอนตีน?แล้วสมเพชเวทนา
“กูจะรอนะ”
“เอออออ ว่าแต่มึงขึ้นรถเมล์สายอะไรว่ะ กูจะได้ช่วยดูให้” ผมถามพลางคอยมองหารถเมล์
“ไม่รู้ดิ กูก็ไม่เคยขึ้นจากที่นี้ไปถึงบ้านกูสักที”
“อ้าว แล้วทำไมไม่ขึ้นแท็กซี่ตั้งแต่แรกว่ะ จะเดินมาป้ายรถเมล์ทำไมตั้งไกล บ้าป่ะเนี้ย”
“ก็...แค่อยากอยู่กับมึงนานๆ”
“โว๊ะ ในหัวสมองมึงนี้มีแต่น้ำเน่าป่ะว่ะ ไอ้ห่า พูดแต่ละคำ ขนลุกฉิบหาย”
“หึหึหึ พูดจากใจโว๊ยยย เขินอ่ะดิ”
“เขินพ่อง นู่นรถแท็กซี่มาแล้วโบกเร็ว” ผมรีบบอกมัน ไอ้คริสก็ลุกไปยืนโบกจนแท็กซี่จอดรับ
“เดินกลับดีๆนะปิ๊น ถึงบ้านแล้วบอกกูด้วยล่ะ” ไอ้คริสสั่ง
“อืมๆ มึงเองก็กลับดีๆนะ”
“โอเค รีบนอนนะจะได้หายป่วยไวๆแล้วอย่าลืมฝันถึงกูล่ะ”
“ไม่มีทาง รีบไปได้แล้ว ชิวๆ” ผมทำท่าไล่มันจนแท็กซี่ออกรถไป ไอ้คริสเองก็มองจากในตัวรถมาที่ผม แล้วยกมือบ๊ายบายให้
ผมก็แค่ยกมือโบกกลับไปก่อนจะหันหลังกลับบ้าน...
ไปด้วยรอยยิ้ม
