บทที่ 30
ผมรู้สึกตัวอีกทีในวันต่อมา แต่กว่าจะได้สติ เรียบเรียงเรื่องราวต่างๆ และพูดคุยกับหมอหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ต้องใช้เวลาสองวันเต็มในการพักฟื้นตัว
สิ่งแรกที่ผมถามหาทันทีที่เอ่ยปากได้คืออาการของไซม่อนที่เข้าไปอยู่ในห้องผ่าตัดพร้อมๆ กับคนที่ยิงตัวเขา ผมรู้ดีว่าแองเจลีนคงมีเจ้าหน้าที่คอยคุมตัว แต่มันก็อดนึกภาพไม่ได้ว่าทั้งสองคนนั้นฟื้นมาเจอกันมันจะน่าตลกและกระอักกระอ่วนขนาดไหน
เมื่ออาการของผมดีขึ้นจนเกือบจะมากลับอยู่ในสภาวะปกติ อะแมนดาที่คอยมาดูอาการเรื่องหัวใจก็อนุญาตให้ผมแวะไปหาไซม่อนได้จนได้
ตอนที่ผมไปถึงห้องพักฟื้นของอีกฝ่าย สภาพของไซม่อนดูดีกว่าที่ผมคิดไว้มากทีเดียว และเนื่องจากแผลอยู่ใต้เสื้อผ้าที่เขาใส่ทำให้มองด้วยตาไม่เห็น ยิ่งทำให้รู้สึกว่าหมอนี่ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ เข้าไปอีก
เขาเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นผมก้าวเข้ามาในห้อง ก่อนจะส่งยิ้มบางๆ ที่บ่งบอกถึงความยินดีมาให้ ผมก้าวเท้าเข้าไปประชิดเตียงเขา เอื้อมมือไปกุมมือเขาราวกับต้องมนตร์
“ออสติน” น้ำเสียงนั่นอ่อนโยนจนผมกังวลว่าจะทำใจแข็งกับเขาอยู่ได้ยังไง “ดีจังที่คุณปลอดภัย”
“คุณน่าจะบอกตัวเองมากกว่านะ”
“ผมแค่โดนยิงเอง… ถ้าไม่ตายก็ไม่เป็นไรหรอก”
อ้อ เหรอ เพิ่งรู้ว่าพวกตำรวจเขาคิดกันแบบนี้
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นพร้อมกับร่างของไคล์ที่ก้าวเข้ามา ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยทีเดียวที่เห็นเขาอยู่ที่นี่
“ขอขัดจังหวะหน่อยนะ” เจ้าตัวพูดพร้อมกับหยิบตราของตำรวจขึ้นมาให้พวกเราดู ซึ่งไม่จำเป็นเลยสักนิด ผมกับไซม่อนรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร และท่าทางที่ดูเป็นการเป็นงานนั่นก็บ่งบอกว่าเขาคงไม่ได้มาเยี่ยมไข้แน่ๆ “ผมเป็นคนรับผิดชอบคดีอยู่ มีคำถามจะถามคุณสองสามข้อ”
“ไม่มีปัญหาครับ” ไซม่อนว่าขณะที่ผมถดตัวให้ไคล์ก้าวมายืนอยู่ที่ข้างเตียงอย่างรู้หน้าที่ เขาหันมามองผมก่อนจะว่า
“จริงๆ แล้วฉันตั้งใจจะไปหานายเพื่อถามคำถามก่อน แต่พยาบาลบอกว่านายมาอยู่นี่”
“จะถามฉันกับไซม่อนพร้อมๆ กันเลยก็ได้นะ”
เขาพยักหน้า หากเริ่มหันไปไล่บี้กับคนที่นอนอยู่บนเตียงก่อน
“คุณมาอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อคืนได้ยังไง”
“เอ่อ ก็…” ไซม่อนพยายามเรียบเรียง เหลือบมามองทางผมก่อนจะตอบ “เมื่อวานหลังจากที่เราคุยกันทางโทรศัพท์ พอผมรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดเป็นใคร ผมก็นึกเป็นห่วงออสตินขึ้นมา”
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าออสตินทำงานอยู่เวลานั้น มันเลยเวลาเลิกงานปกติของเขาไปแล้ว”
“บอกตามตรงว่าผมเองก็ไม่แน่ใจหรอกครับ คุณเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ ผมคิดจะไปหาเขาที่บ้านเหมือนกัน แต่วันนั้นแองเจลีนเพิ่งขอให้ผมอยู่เฝ้าแดนเพราะเจ้าหล่อนมีงานที่ค้างที่โรงพยาบาล… ซึ่งมันก็เป็นโรงพยาบาลเดียวกับที่ออสตินทำงานอยู่พอดี หลังจากนั้นผมก็โทรหาทั้งออสติน โทรหาแองจี้ แต่ติดต่อใครไม่ได้สักคน ผมเลยเริ่มรู้สึกแปลกๆ แต่นั่นก็หลังจากที่คุณจับตัวคนที่แองเจลีนจ้างได้แล้วโทรมาบอกข้อมูลนั้นกับผมน่ะนะ”
ผมฟังการซักถามระหว่างพวกตำรวจด้วยกันเอง รู้สึกว่าไคล์จะดูพึงพอใจที่อีกฝ่ายตอบได้ชัดเจนและละเอียดโดยที่เขาไม่ต้องถามเข้าไปในเชิงลึก เป็นนัยว่าต่างคนต่างรู้วิธีการทำงานของกันและกันดี ไคล์หันกลับมาถามคำถามผมอีกสองสามคำถาม และเมื่อเจ้าตัวได้ข้อมูลจนพอใจแล้วชายหนุ่มก็ปิดสมุดของตัวเองลง เขาหันมามองผมด้วยสายตาที่อ่อนโยนมากขึ้นทำให้ผมพอรู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในฐานะเพื่อนของผม ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ไทเลอร์แบบเมื่อครู่
“แล้วนายรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมถึงได้ลุกออกจากเตียงแบบนี้ ไม่ใช่ว่าต้องรอฟื้นตัวอีกสักพักเหรอ”
“ฉันพักมาสองวันแล้ว ไม่เป็นไรแล้วล่ะ” ผมยิ้มตอบ
“แล้วนี่แองเจลีนเป็นยังไงบ้างครับ หล่อนได้สติหรือยัง” ไซม่อนหันมาถามไคล์ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ผมแอบรู้สึกว่าเขาอยากจะขัดบทสนทนาระหว่างเราทั้งคู่มากกว่า
“หล่อนเริ่มรู้สึกตัวแล้วครับ แต่ยังไม่มีสติมากพอที่จะให้การอะไรได้” ไคล์นิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเปิดปากต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณยิงหล่อนเข้าที่ท้องเหมือนกัน ป่านนี้หล่อนอาจจะฟื้นแบบเต็มที่แล้วก็ได้”
“ตอนนั้นผมจะไปเล็งอะไรได้ล่ะคุณ แค่ยิงโดนนั่นก็ปาฏิหาริย์แล้ว”
“แต่ก็นับว่าโชคดีที่คุณทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นออสตินคงตายไปแล้ว หรือไม่ก็คุณทั้งคู่”
ไซม่อนยักไหล่ แต่ทำได้ไม่เต็มที่เพราะเจ็บแผลอยู่ “ผมก็ว่างั้น ถ้าไม่คับขันจริงๆ ผมก็ไม่อยากยิงพี่สะใภ้ตัวเองหรอก”
“คุณคงลำบากใจน่าดู”
“ผมเป็นห่วงหลานมากกว่า พ่อก็เสียแล้ว แม่ก็กำลังจะเข้าคุก จะมีอะไรแย่ไปกว่านี้อีก”
พอไซม่อนพูดถึงแดนขึ้นมาผมก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมาทันที ไว้ผมต้องหาเวลาไปเยี่ยมแกสักหน่อย ถึงมันจะไม่สามารถแทนที่พ่อหรือแม่ของเด็กชายได้ก็เถอะ
“ว่าแต่… ผมถามได้ไหมว่าพวกคุณสองคนยังคบกันอยู่รึเปล่า”
ผมกับไซม่อนมองหน้ากันทันทีก่อนจะตอบพร้อมๆ กัน
“ครับ/เปล่า”
และคำตอบก็ไม่ได้ตรงกันด้วยนะ แล้วไอ้อ้บ้านี่มาบอกได้ไงว่าเรายังคบกันอยู่ มั่วนิ่มชัดๆ
ไคล์หันมาเลิกคิ้วให้ผมเป็นเชิงถาม คนที่นอนอยู่บนเตียงอึกอัก
“คือ… ผมว่าเราก็ยังไม่ได้บอกเลิกกันเป็นอย่างทางการนะ ออสติน”
“อ้อ ที่เราห่างกันไปเป็นเดือนๆ นี่ไม่ได้ช่วยบอกอะไรเลยสินะครับ” ถามเขาเสียงเย็น ไซม่อนดูเหมือนจะตัวเล็กลงเรื่อยๆ กับความเย็นชาของผม ในที่สุดเขาก็ยอมรับ
“ก็… ตั้งใจจะง้อคุณจนกว่าคุณจะยอมกลับมาคบกับผมอีกรอบนั่นแหละ”
“เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลังได้ไหม” ผมตัดบทอย่างอึดอัด ไม่อยากเอาเรื่องความสัมพันธ์ของเรามาคุยต่อหน้าคนนอก
ไคล์ดูเหมือนจะเข้าใจในทันทีว่าผมหมายถึงอะไร เขาตั้งท่าจะเอ่ยปากขอตัวออกจากห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่โทรศัพท์มีสายเข้าพอดี เขายกมือขึ้นเป็นเชิงขออนุญาต กดรับสาย กรอกเสียงเป็นการเป็นงานลงไป ผมใช้จังหวะนี้ถลึงตาใส่ไซม่อนเป็นเชิงตำหนิ ขนาดที่ว่าถ้าตามันเปล่งเสียงได้มันคงพูดออกมาแล้วว่า ‘จะมาพูดเรื่องนี้ตอนนี้ทำไม’
คนป่วยยักไหล่อีกรอบหนึ่งเป็นจังหวะที่ไคล์กดวางสายพอดี
“หล่อนได้สติแล้ว ตอนนี้ทีมผมคนหนึ่งกำลังสอบปากคำอยู่”
“แต่หลักฐานมันตำตาขนาดนั้น คงไม่มีอะไรต้องถามมากหรอกมั้ง” ผมพึมพำ นึกภาพตอนที่แองเจลีนยัดตัวเองใส่ลงไปในช่องแช่ศพกับภาพที่เจ้าหล่อนแทบจะเป่าหัวผมกระจายแล้วขนลุกซู่ขึ้นมา เชื่อเลยว่าตัวเองคงต้องเห็นฝันร้ายนั่นไปอีกหลายปีทีเดียว
“ฉันอาจจะต้องขอให้นายไปให้ปากคำในศาลด้วย ออสติน”
“ต้องขึ้นศาลอีกแล้วเหรอ” ผมคราง ความประทับใจล่าสุดกับสถานที่ราชการแห่งนั้นไม่ค่อยดีเท่าไร ผมว่ามันก็ไม่ค่อยดีกับไคล์ด้วยนั่นแหละ แต่เขาคงหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ดูให้ดีๆ นะครับว่าหล่อนได้ใครเป็นทนาย” ไซม่อนพูด น้ำเสียงเจือแววล้อเลียน “ถ้าได้คุณวินเซนต์ เลสเตอร์ล่ะก็คงต้องไปฟาดฟันกันอีกต่อแน่”
“ใครจะเป็นทนายก็ไม่สำคัญหรอกครับ” สีหน้าและน้ำเสียงของไคล์ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงทนายคนนั้น ผมว่ามันดูเย็นชาติดจะหยันๆ เล็กน้อย นั่นทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกัน ไคล์ไม่ค่อยแสดงท่าทีแบบนี้ให้เห็นเท่าไร “ถึงยังไงซะคนทำผิดก็คือคนทำผิด หลักฐานเราก็มีครบ แล้วมันก็แน่นหนาพอที่จะเอาชนะคดีได้แน่ ถ้าหล่อนกล้าจะปฏิเสธสักข้อกล่าวหาล่ะก็นะ”
“ไคล์” ผมสะกิดเพื่อนนิดหนึ่งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าถึงอย่างไรแองเจลีนก็เป็นพี่สะใภ้ของไซม่อน… เป็นคนในครอบครัวของเจ้าตัว และนั่นทำให้ไคล์รู้ตัวขึ้นมา เขาหันไปมองคนบนเตียงด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้--”
“ผมเข้าใจครับ” ไซม่อนตัดบท “ยังไงเสียหล่อนก็ทำผิดจริงๆ แล้วผมก็เสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่”
มือหนาเลื่อนมากุมมือผมแน่นราวกับจะบอกว่าประโยคนั้นเขาตั้งใจพูดกับผม นั่นสินะ ถ้าคิดในมุมเขามันก็น่ากระอักกระอ่วนอยู่ ก็เขาบอกว่าเขารักผม… แต่คนในครอบครัวเขาอีกคนพยายามจะฆ่าผม มันก็สมควระลำบากใจอยู่หรอกนะ
ผมไม่ทันสังเกตเห็นว่าไคล์หลุบตาลงมองมือของไซม่อนที่จับมือผมอยู่ เขาหันมามองหน้าผมก่อนจะถามต่อ
“นายจะกลับไปคบกับเขาอีกงั้นเหรอ”
ผมสะดุ้งไปอย่างคาดไม่ถึง แม้แต่ไซม่อนเองยังชะงักไปด้วยความตกใจเช่นกัน แล้วนี่เรื่องส่วนตัวของผมมันกลายเป็นเรื่องส่วนรวมแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย
ไคล์หันกลับไปมองไซม่อนด้วยสายตาไม่สื่ออารมณ์ “ไม่ได้อยากจะว่าอะไรหรอกนะ แต่ผมฟังเรื่องของคุณมาจากออสตินเยอะพอสมควร… ผมไม่อยากให้เพื่อนผมต้องเสียใจกับเรื่องความรักอีก”
“ผมเข้าใจครับ” ไซม่อนยอมรับโดยดุษณี หากเจ้าตัวก็ไม่หลบตาคู่สนทนา
“ออสตินเจอเรื่องหนักๆ มาเยอะแล้ว และให้บอกกันตามตรง ผมไม่อยากให้เขากลับไปคบกับคุณอีกหรอก ต่อให้คุณจะเป็นคนช่วยชีวิตเขาในเหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ก็เถอะ”
โอ๊ย ดีนะที่ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ไซม่อนจับล่ามไว้กับเตียงสามวัน ไม่งั้นนอกจากเขาจะคัดค้านเรื่องเราสองคนแล้วเขาอาจโยนไซม่อนเข้าเรือนจำได้ แบบไม่ไว้หน้าเรื่องที่ว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหน้าที่เอฟบีไอด้วย
“แต่เรื่องนั้นไม่ใช่การตัดสินใจของคุณไม่ใช่เหรอครับ” ไซม่อนตอบเสียงนุ่ม ยกยิ้มจางบนมุมปาก “มันเป็นเรื่องของผมกับออสติน”
ทีอย่างนี้ล่ะเป็นเรื่องส่วนตัวขึ้นมาเชียว
“ถูกของคุณ” ไคล์ว่า ก่อนจะพูดตัดบท “เอาล่ะ ผมคงต้องไปเสียที แล้วถ้ามีอะไรคืบหน้าจะติดต่อมา”
“ขอบคุณครับ”
“ขอบใจนะ ไคล์” ผมรีบว่า หลังจากการซักถามเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าที่ไซม่อนไหวตัวมาช่วยผมไว้ได้ทันก็เพราะได้รับการติดต่อจากเพื่อนผมคนนี้ ไม่งั้นป่านนี้ผมคงแข็งเป็นไอติมแท่งอยู่ในช่องแช่ศพไปแล้ว
“ไม่เป็นไร” มีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับอยู่บนมุมปากเขาในรอบนี้ บ่งบอกให้รู้ว่าเขาพูดในฐานะเพื่อน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบสวน “ดูแลตัวเองนะ ออสติน ฉันอาจจะต้องพึ่งนายอีกหลายอย่างในคดีนี้”
“วางใจได้เลย”
ไคล์เดินออกจากห้องไป ทิ้งผมไว้กับไซม่อนตามลำพัง คุณเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งได้รับการผ่ากระสุนออกจากท้องเริ่มอ้อนทันที
"ออสติน ผมคอแห้งจังเลย เอาน้ำมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ"
ผมปรายตามองเขาอย่างเย็นชานิดหนึ่ง แต่เห็นสีหน้าเซียวๆ แบบคนป่วย นั่นแล้วก็ใจอ่อน ยอมเดินไปรินน้ำใส่แก้วส่งให้จนได้
เขายกแก้วขึ้นดื่มอย่างเชื่องช้า ผมขยับตัวไปช่วยพยุงอย่างเผลอตัว ไซม่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้ผม ทำเอาผมต้องรีบหลบหน้าไปอีกทางทันที
"เฮ้ อย่าเมินกันแบบนั้นสิครับ คุณหมอ ทีตอนเจ้าหน้าที่ไทเลอร์อยู่ด้วยยังไม่เมินขนาดนี้เลย"
"ผมเปล่าเมินสักหน่อย"
"งั้นมายิ้มให้ผมที ออสติน" พูดพลางดึงแขนผม เลื่อนมือมาจับหน้าให้หันไปหาเขา ผมส่งหน้าบูดสนิทไปให้ไซม่อน สัมผัสจากนิ้วของอีกฝ่ายที่แตะลงบนคางทำให้ผมร้อนวูบขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ไซม่อนเลื่อนคางผมให้ก้มลงไปมองตาเขา
แล้วให้ตายเถอะ... ไอ้สายตาแบบนั้น ผมเกลียดจริงๆ เวลาที่ได้สบตากับเขาตรงๆ แบบนี้
"ขนาดเจ้าหน้าที่ไทเลอร์ คุณยังบอกขอบคุณเขาเลย" น้ำเสียงน้อยอกน้อยใจนั่นทำให้คิ้วขวาผมกระตุก
"ก็เขาเป็นคนโทรบอกคุณเรื่องแองเจลีนไม่ใช่เหรอครับ ก็ถือว่าเขาเป็นคนช่วยชีวิตผมไว้สิ"
"แล้วผมล่ะ ออสติน" คนโดนยิงเพราะมาช่วยผมทำน้ำเสียงออดอ้อนระคนตัดพ้อ
จะว่าใจอ่อนก็ใจอ่อน จะว่าหมั่นไส้ก็หมั่นไส้
ผมแกล้งยกยิ้มเหยียด "ไม่รีบร้อนทวงบุญคุณไปหน่อยเหรอครับ"
"ผมรู้ดีว่าคุณคงไม่หายโกรธผมง่ายๆ"
"ขอโทษทีเถอะ มันเลยคำว่าโกรธไปแล้วรึเปล่า คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าตัวเองทำอะไรกับผมไปบ้าง"
"ผมรู้ครับ แต่คุณก็รู้ดีว่าผมทำแบบนั้นเพราะอะไร"
มือของเขาแตะลงบนมือผมอย่างระมัดระวัง ผมมองตาม ไซม่อนค่อยๆ ดึงมือผมออกแรงบีบมากขึ้น หมอนี่มันเก่งเรื่องทำให้ผมใจอ่อนตลอดเลย และตอนนี้ผมไม่รู้สึกอะไรนอกจากอยากก้มลงไปกอดปลอบเขา
"คุณอยากให้ผมทำยังไง" อดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ หลุดปากถามออกไปจนได้ "คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่"
"เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมครับ กลับมาคบกันเหมือนเดิม"
"หลังจากที่คุณโกหกผมสารพัดแล้วก็จับผมขังไว้ในบ้านตัวเองสามวันน่ะเหรอ?"
"เราเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหมครับ ทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง"
"มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก ไซม่อน" ผมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ "ผมไม่ใช่คนที่เจ็บแล้วไม่จำนะ ผมจำแม่นเลยด้วย และคิดว่าคงไม่มีทางลืมแน่"
"ผมก็ไม่ได้ขอให้คุณลืมสักหน่อย ออสติน ผมขอให้คุณยกโทษให้ผม"
"ผมว่านั่นอาจจะยากกว่าขอให้ผมลืมอีก"
“อ้าว แต่ตอนนั้นคุณบอกว่าคุณยกโทษให้ผมแล้วนี่?”
เขาพูดตอนที่โดนยิงและกำลังจะตายแหล่มิตายแหล่นั่น หน้าผมร้อนขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะเริ่มโวยวาย
“อันนั้นมันไม่นับสิ!”
“อ้าว เป็นแบบนั้นได้ไง แบบนี้ไม่เท่ากับว่าคุณพูดจากลับกลอกเหรอ”
อุก ถึงกับเถียงกลับไม่ออก
ผมหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างคนจนแต้ม ไซม่อนเงียบไป มือของเขาที่ยึดมือผมไว้แน่นเริ่มชื้นขึ้นนิดหนึ่ง "คุณไม่รู้สึกอะไรกับผมแล้วเหรอครับ ออสติน"
มาแล้วไง คำถามนี้ ผมหลุบตาต่ำลงอย่างหวาดกลัว กลัวว่าไซม่อนจะมองลึกเข้ามาแล้วกวาดเอาสิ่งที่ผมพยายามซ่อนไว้ข้างในไป
"ผมไม่รู้ว่าคุณพูดเรื่องอะไร"
"คุณไม่รักผมแล้วเหรอ"
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเราสามารถพูดเรื่องน่าอายออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้
"ผมไม่เคยรักคุณ"
"มองตาผม ออสติน มองตาผมแล้วพูดแบบนั้น ถ้าคุณทำได้ ผมจะไม่ยุ่งอะไรกับคุณอีก"
หน้าของผมร้อนวูบด้วยความรู้สึกมากมายที่ปนเปกัน หันหน้าไปประสานสายตากับเขา ได้ยินหัวใจบนอกข้างซ้ายเต้นรัวขึ้นยามที่ได้สบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่แสนเยือกเย็นคู่นั้น สีหน้าของเขาสงบนิ่ง รอฟังคำพูดของผม
"ผมไม่เคยรักคุณ" ไซม่อนดึงตัวผมลงไป ประกบจูบลงบนริมฝีปากอย่างอ่อนโยนทั้งที่ผมยังพูดประโยคนั้นไม่จบ ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ผมไม่ขัดขืนอะไรเลย
"โกหก"
"ผมไม่ได้รักคุณ ไซม่อน" ผมพยายามพูด หน้าร้อนผ่าวไปหมดเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของตัวเองตรงกันข้าม เขาเลื่อนหน้าผมลงไปจูบอีกครั้ง ยึดหลังคอผมไว้ให้รับสัมผัสของเขา
"คุณโกหก"
"ผมไม่ได้โกหก"
"งั้นทำไมถึงยอมให้ผมจูบล่ะ"
"ก็คุณดึงผมลงมาจูบนี่"
"คุณผลักผมออกก็ได้นี่ครับ ยังไงตอนนี้ผมก็สู้แรงคุณไม่ไหวอยู่แล้ว"
"ทำแบบนั้นก็กระเทือนแผลคุณสิ"
"ไม่เห็นต้องสนก็ได้นี่"
"น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่คนเลือดเย็นแบบนั้น"
"เพราะแบบนั้นไงผมได้รักคุณจนโงหัวไม่ขึ้น"
ผมอ้าปากค้าง มองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไซม่อนส่งยิ้มหวานมาให้ ท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ของเขาทำให้ผมอยากจะร้องตะโกนด้วยความขัดใจ รู้ตัวอีกผมก็ก้มหน้าลงไปจูบปิดปากเขาอีกรอบอย่างหงุดหงิด
หมอนี่แม่งโคตรขี้โกงเลย พูดคำนั้นออกมาง่ายๆ ทั้งที่ผมปวดหัวจนแทบบ้ากับการคิดเรื่องพวกนี้
ลิ้นอุ่นของอีกฝ่ายชำแรกเข้ามาในโพรงปากผมอย่างนุ่มนวล ผมจูบตอบเขาขณะเลื่อนมือไปลูบหลังคอคนป่วยอย่างเคลิบเคลิ้ม เข่าข้างหนึ่งเกยขึ้นไปบนเตียงเพื่อขยับให้ขยับตัวและใบหน้าเข้าใกล้เขาได้สะดวกยิ่งขึ้น มือหนาล้วงเข้ามาใต้ชายเสื้อแล้วเปะป่ายไปทั่วแผ่นหลังของผมอย่างกระหาย รู้สึกราวกับว่าพวกเราห่างหายการสัมผัสร่างกายคนมานาน เหมือนคนสิ้นไร้ไม้ตอกในการมีสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างไรอย่างนั้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้นตามด้วยร่างของใครบางคนที่เปิดประตูพรวดเข้ามา ไคล์รายงานความคืบหน้าที่เพิ่งได้มาอย่างรวดเร็ว "เราเพิ่งค้นบ้านของแองเจลีน แมคแนร์มา เราพบมีดที่คาดว่าหล่อนใช้ตอนที่--"
แล้วเสียงของคนพูดก็ขาดห้วงไป ผมกับไซม่อนผละออกจากกันทันที มือรีบเลื่อนไปดึงเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นลง หน้าร้อนไปถึงหู และมันคงแสดงออกชัดเจน
เจ้าตัวอ้าปากทำเหมือนจะพูดอะไรอย่างหนึ่งขณะเสมองไปทางอื่น ละสายตาไปจากผมด้วยท่าทีอึดอัดเล็กน้อย ส่วนผมตอนนี้อายจนแทบอยากจะมุดลงรูอยู่แล้ว ส่วนไซม่อนจัดแจงเสื้อคนไข้ของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในที่สุดไคล์ก็พูดทำลายความเงียบขึ้นมา
"เอ่อ ขอโทษนะที่เข้ามารบกวน"
"ไม่ ไม่ๆๆ ไม่เป็นไร" ผมพูดละล่ำละลัก แล้วก็รู้สึกตัวว่าไอ้คำว่าไม่เป็นไรในสถานการณ์แบบนี้แปลกๆ "ฉันหมายถึง เอ่อ เมื่อกี้นายกำลังพูดถึงอะไรนะ"
"เราเจอมีดที่คาดว่าน่าจะใช้กรีดขานายเมื่อคราวก่อน แล้วก็เครื่องช็อตไฟฟ้าด้วย" ไคล์ดูโล่งอกที่หัวข้อสนทนาดึงกลับไปเป็นเรื่องงานอีกครั้ง "แต่ยังไงอาจจะต้องรอยืนยันเรื่องนั้นอีกที แต่ไม่ผิดแน่ คนที่ช็อตไฟฟ้าแล้วก็กรีดขานายในตอนนั้นคือหล่อนแน่นอน ก็อย่างที่หล่อนบอกนายด้วยตัวเองล่ะนะ"
“อะ… อื้อ” ผมรับคำอึกอัก ยังรู้สึกหน้ายังร้อนไม่หาย
ไคล์มองผมสลับกับคนบนเตียงก่อนจะพูดขึ้นเหมือนทนไม่ไหว
"ออสติน นายมากับฉันหน่อยได้ไหม มีเรื่องจะคุยด้วย"
นั่นไง หนีไม่พ้นจริงๆ
ผมเดินออกมาจากห้องพักฟื้นของไซม่อน ไคล์พาผมไปที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาลที่ไม่วุ่นวายมาก เจ้าตัวหันกลับมามองหน้าผมด้วยสีหน้าจริงจังทีเดียว
"นายแน่ใจแล้วเหรอ"
“หา?”
"เรื่องของไซม่อน แมคแนร์น่ะ"
ผมนิ่งเงียบไป
เข้าใจดีว่าไคล์เห็นที่ผมจูบกับไซม่อนแล้ว เข้าใจด้วยว่าคำถามของเขาหมายถึงเรื่องอะไร
"หมอนั่นโกหกนายเยอะมากนะ ออสติน แล้วก็เพราะเขาไม่ใช่เหรอที่ทำให้แองเจลีนพุ่งเป้าหานายแบบนี้"
"แต่เขาก็ช่วยฉันเรื่องที่เกือบโดนฆ่าเหมือนกัน"
"อืม ใช่ ถ้าไม่นับเรื่องเขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้นายเกือบโดนฆ่าล่ะก็นะ แบบนั้นก็คงฟังดูเป็นบุญเป็นคุณได้อยู่"
ผมเงียบลงไปอีกรอบ ไคล์สังเกตเห็นท่าทีนั้นของผมแล้วถอนหายใจออกมาเฮือก
"นายรักผู้ชายคนนั้นงั้นเหรอ"
"ฉัน..." ผมอึกอัก "ฉันก็ไม่รู้"
"นายไม่รู้จริงๆ เหรอ?"
เฮ้อ เบื่อเล่นเกมตอบคำถามชะมัด
"ก็ได้ ฉันรักเขา คิดว่านะ” กลั้นใจพูดออกไปแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอีกเฮือก ยกมือขึ้นมาปิดหน้าด้วยความลำบากใจ "ฉันควรจะทำยังไงดี ไคล์"
"นายตอบคำถามนั้นของตัวเองแล้ว" เจ้าหน้าที่หนุ่มว่าพร้อมกับตบบ่าผมเบาๆ "ฉันต้องไปทำงานแล้ว เอาไว้ค่อยคุยกัน"
ผมมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายไป ถอนหายใจออกมาอีกรอบแล้วตรงกลับไปที่ห้องของไซม่อน แค่คิดว่าต้องไปเผชิญหน้ากับหมอนั่นทั้งที่เพิ่งจูบกันมา... โอย เอาเป็นว่าไม่คิดแล้วแล้วกัน