บทที่ 6
เสียงออดดังขึ้นที่หน้าบ้านทำให้ผมต้องละสายตาออกจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ เหลือบตามองนาฬิกาแขวนผนังนิดหนึ่ง นั่งเขียนงานเพลินจนลืมดูเวลาไปเลย และไซม่อนก็ช่างมาตรงเวลาเสียเหลือเกิน
ผมเดินไปเปิดประตูบ้าน ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลบลอนด์กับนัยน์ตาสีฟ้าอมเทาที่ดูเป็นประกายคุ้นเคยส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ผม ผมชะงักกึกไปนิดหนึ่งก่อนจะรีบก้มหลบมองเด็กชายตัวจ้อยอีกคนที่อยู่ตรงหน้าเขา ไซม่อนจับบ่าเด็กคนนั้นเบา ๆ เขาบอกผมไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าจะพาแดน… ซึ่งก็คือลูกของแบรดมาพบผมวันนี้ ไซม่อนบอกว่าแองจี้ฝากให้เขาช่วยดูแลเจ้าตัวเล็กสักหน่อยเพราะต้องไปทำธุระต่างเมือง ซึ่งพอไซม่อนถามถึงเรื่องนี้ผมก็ตอบตกลงโดยไม่เสียเวลาคิด
“สวัสดีครับ ออสติน” ไซม่อนว่า จากนั้นก็หันไปสะกิดหลาน “แดนครับ ทักทายคุณน้าออสตินหน่อยเร็ว เขาเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ไง ที่อาเล่าให้ฟัง”
“สวัสดีครับ” เด็กชายพูดพร้อมกับส่งยิ้มอาย ๆ มาให้ ผมยิ้มตอบกลับโดยอัตโนมัติ มือเลื่อนไปจับกับเจ้าตัวตามธรรมเนียนแม้ว่านั่นจะต้องฝืนกับโรคไม่ชอบถูกตัวคนของผม แกเองก็จับมือผมตอบอย่างแหย ๆ ตามประสาเด็กที่ตื่นเกร็งตอนที่เจอกับผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักครั้งแรก ผมรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมาทันทีเมื่อนึกไปว่าแกต้องเจออะไรมาบ้าง
ถ้าให้พูดกันตามตรงแล้ว ผมไม่ชอบให้ใครมาบ้านบ่อย ๆ หรอกนะ แต่พอคิดว่าเด็กชายที่อยู่ตรงนี้เป็นลูกชายของเจ้าของหัวใจคนก่อน… มันรู้สึกเหมือนต้องชดเชยบางอย่างให้แกยังไงก็ไม่รู้
ผมเชิญทั้งสองคนเข้ามาในบ้าน สังเกตเห็นว่าแดนดูตื่นเต้นไม่น้อยกับบ้านหลังเล็กที่อยู่ติดทะเลของผม
“แกไม่ได้มาเที่ยวทะเลนานแล้วน่ะครับ” ไซม่อนพูดหลังจากบอกให้แดนเข้าไปนั่งรอบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นก่อน “ผมเลยคิดว่าถือโอกาส… พาแกมาเที่ยวด้วย มาเยี่ยมคุณด้วย คุณสบายดีหรือเปล่าครับ ออสติน”
“ก็เรื่อย ๆ เหมือนเดิมแหละครับ” ผมว่าพลางขยับตัวห่างจากเขานิดหนึ่งอย่างทำตัวไม่ถูก รู้สึกเหมือนใบหน้าเริ่มร้อนขึ้น
ตั้งแต่ที่เราสองคนจูบกันเมื่อคราวก่อน ผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเพราะไซม่อนบอกว่างานยุ่งมาก และพอหาเวลาว่างมาได้เขาก็พาหลานมาด้วย ซึ่งก็ดีนะสำหรับผม ถึงผมจะไม่ค่อยชอบอยู่ใกล้หรือสุงสิงกับคนเท่าไร แต่ถ้าต้องอยู่ด้วยกันตามลำพังสองต่อสอง ผมก็ไม่รู้จะวางตัวยังไงดีเหมือนกัน
“แล้วงานเขียนไปถึงไหนบ้างแล้วครับ” เขาถามต่อขณะก้าวเท้าตามมา ผมเหลือบมองแดนที่นั่งเรียบร้อยอยู่บนโซฟา ตามองออกไปนอกหน้าต่างที่เห็นวิวทะเลกว้างไกล ตาของเขาเหมือนของไซม่อนไม่มีผิดเลย แต่เส้นผมเป็นสีแดงเข้มเหมือนแม่
“ก็ยังมีที่ต้องแก้เยอะอยู่เหมือนกัน แล้วงานคุณล่ะ ไซม่อน” ผมถาม ตามองไปที่รอยช้ำจาง ๆ ที่อยู่บนแก้มของเขาอย่างรู้ทัน ชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เช่นเคย เลื่อนมือไปแตะตรงรอยนั้นทันที
“ก็ปะทะกับคนร้ายนิดหน่อยน่ะครับ แต่ไม่ได้ร้ายแรงอะไร”
“ก็พอเดาได้ครับ งั้นเดี๋ยวคุณไปนั่งกับแดนก่อนนะ ผมไปเตรียมของก่อน จะได้ไปตกปลากัน สายกว่านี้เดี๋ยวคนจะเยอะ”
ผมคุยกับไซม่อนล่วงหน้าไว้ก่อนแล้วว่าจะพาแดนไปตกปลา ผมเลยเตรียมคันเบ็ดที่น้ำหนักเบามาเผื่อไว้ให้แก หยิบถังใบเล็กที่เอาไว้ใส่เหยื่อ จากนั้นพวกเราสามคนจึงมุ่งหน้าไปจัดแจงจองที่นั่งตกปลาบนสันเขื่อนที่ถูกทำไว้ให้เพื่อการนี้ มีคนอื่นที่มาตกปลาอยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนมากก็คนที่ผมคุ้นตาทั้งนั้น ดูพวกเขาแปลกใจที่เห็นผมมากับไซม่อนและเด็กวัยประถมอีกคน
“นี่นะครับ แดน” ผมเริ่มสอนวิธีการตกปลาง่าย ๆ ให้แก “ขั้นแรกนะ เราต้องมีเหยื่อก่อน เดี๋ยวน้าใส่เหยื่อให้นะครับ เสร็จแล้วเดี๋ยวหนูเหวี่ยงลงไปแบบนี้”
ผมหยิบหางปลาหมึกที่ตัดเอาไว้ก่อนออกจากบ้านแล้วมาเสียบกับเหล็กกล้า สาธิตวิธีการให้เจ้าตัวดู แดนทำสีหน้าตั้งอกตั้งใจมากจนผมรู้สึกเขิน ผมต้องกลั้นใจจับแขนแกจากทางด้านหลังเพื่อสอนขั้นตอนพวกนั้น แต่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ถึงขนาดหายใจไม่ออกอย่างที่เคยเป็น บางทีอาการงี่เง่านี้ของผมอาจจะเริ่มดีขึ้นแล้วก็ได้
“เสร็จแล้วหนูใช้นิ้วแตะไว้กับสายเบ็ดตรงนี้นะครับ เวลาที่ปลาติดเบ็ดแล้วหนูจะได้รู้ไง”
“เข้าใจแล้วฮะ” แดนว่า ยิ้มด้วยสีหน้าเป็นปลื้ม มันทำเอาผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้
“คิดว่าทำเองได้ไหมครับ”
“ฮะ แถวนี้ปลาเยอะมากไหมครับ คุณน้าออสติน”
“เยอะสิ” ผมว่า “น้าเคยตกปลาจากที่นี่ตั้งหลายครั้ง แทบไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่ได้ปลากลับบ้าน”
“ถ้าผมตกปลาได้” เด็กชายเริ่มว่าอย่างตื่นเต้น “เราจะเอามันไปทำเป็นข้าวกลางวันหรือข้าวเย็นได้ไหมครับ”
“ได้สิ” ผมว่า สายตาเหลือบไปมองไซม่อนที่กำลังยิ้มขณะมองดูหลานของตัวเอง ดูเขามีความสุขที่ได้เห็นหลานดีใจ เห็นรอยยิ้มนั่นของเขาแล้ว… ผมรู้สึกใจแกว่งยังไงไม่รู้แฮะ “โอเค งั้นพอเธอตกได้อะไรแล้วบอกนะครับ เดี่ยวน้าไปคุยกับอาของหนูหน่อย”
“ครับผม” รับคำหน้าชื่นทีเดียว ผมอยากให้แกตกได้ปลาสักตัวจัง
ไซม่อนเดินตามผมมา ไม่ได้ไกลจากเด็กชายมาก แค่อยู่ในระยะให้แกไม่ได้ยินเท่านั้น แต่ต่อให้อยู่ใกล้กว่านี้ ผมว่าแดนก็อาจจะไม่สนใจด้วยซ้ำเพราะแกกำลังตั้งสมาธิอยู่กับผืนน้ำทะเลที่มีเบ็ดของตัวเองจุ่มลงไปอย่างมาก
เห็นแบบนั้นแล้วมันทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ตอนที่พ่อเพิ่งเริ่มสอนตกปลาให้ผม เหมือนกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เลย
“แล้วนี่ตกลงวันนี้คุณไม่ต้องทำงานเหรอครับ” ผมเอ่ยปากถาม เพราะเท่าที่คุยกันผ่านแชท ดูเหมือนไซม่อนจะยุ่งกับการสืบคดีตลอดเวลา ผมเข้าใจดีเพราะตอนที่ยังทำงาน ตัวผมเองก็ยุ่งตลอดแบบนั้นเหมือนกัน ต่อให้เป็นวันเสาร์อาทิตย์ก็ตาม แต่ถ้ามีคดีเร่งด่วนขึ้นมา ต่อให้ไม่ใช่เวลางานก็ต้องไปทำ
“วันนี้หยุดได้ครับ คู่หูผมก็คอยอัพเดทนู่นนี่ให้ฟังตลอดอยู่แล้ว”
“แล้วพรุ่งนี้คุณจะทำยังไง” ผมถาม เพราะไซม่อนบอกก่อนแล้วว่าแองเจลีนหรือแองจี้ แม่ของแดนจะไม่อยู่บ้าน
“ผมตั้งใจจะพาแกไปฝากที่บ้านเพื่อนของแองจี้น่ะครับ เห็นว่าหล่อนติดต่อคุยกันไว้แล้ว”
ผมพยักหน้ารับ สายตามองตรงไปที่เด็กชายตัวจ้อยอย่างไม่อาจละออกได้
“ผมว่าคุณควรจะไปตกปลากับแกนะ” ผมว่า เพราะเตรียมเบ็ดมาเผื่อสำหรับเราทุกคน “พอคุณอยู่ใกล้ ๆ แกแล้ว คุณดูเหมือนพ่อแกไม่ผิด”
“อ่า ใช่ครับ” ไซม่อนยิ้ม ตามองที่แดนนิ่งเหมือนกัน “มีคนพูดแบบนั้นเยอะเหมือนกัน แม้แต่แบรดที่เป็นพ่อแท้ ๆ เองยังพูดเลย”
พูดจบแล้วเขาก็หัวเราะ แล้วรอยยิ้มนั่นก็ดูเศร้าสร้อยขึ้นมาราวกับมีอะไรกรีดลงกลางใจ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เข้าใจยากอะไรหรอก
“เขาเป็นคนดี” ผมพูด “ดูจากแดนผมก็รู้แล้ว ที่คุณพาเขามาเจอผม เพราะคุณต้องการบอกเรื่องนี้ใช่ไหม”
ไซม่อนไม่ตอบ เขาแค่ยิ้มนิด ๆ ที่มุมปากเหมือนอย่างเคย “ขอโทษด้วยนะครับที่มากวนคุณแต่หัววันแบบนี้ มือกลางวันวันนี้ให้ผมเป็นเจ้ามือเถอะนะ”
“อย่าเลยคุณ” ผมรีบส่ายหัว “คุณกับแดนเป็นแขกนะ ผมจะเลี้ยงเอง กลางวันนี้เราจะพาแดนไปกินร้านเดิมไหมครับ ผมจะได้โทรไปจองโต๊ะไว้ก่อน”
คนข้างตัวผมยิ้มกว้างขึ้น มองผมด้วยนัยน์ตาคู่คมที่เหมือนกับเหวลึกนั่นอีกแล้ว ครั้งนี้ผมจ้องตอบมันกลับอย่างไม่เกรงกลัว ผมชอบตาของเขาจริง ๆ และบางทีเขาอาจจะรู้
“ร้านเดิมเหรอครับ” น้ำเสียงเย้าแหย่อยู่ในที “ผมชอบคำนี้จัง เหมือนร้านประจำที่เราไปกินด้วยกันบ่อย ๆ เลย”
“ก็แค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่เหรอคุณ อย่ามาเว่อร์ไปหน่อยเลย” ผมตอบด้วยน้ำเสียงปั้นปึ่ง แต่ก็อดยิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่ได้เหมือนกัน
“คุณว่าคุณจะกินไวน์ได้เมื่อไหร่ครับ” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ผมเดาได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไร เขาอยากจะชวนผมจิบไวน์ด้วยกันกับเขา ผมนึกภาพตามนั้นแล้วรู้สึกล่องลอยไปกับมันเหมือนกัน แต่ยังอีกพักใหญ่เชียวล่ะกว่าผมจะแตะต้องของพวกนั้นได้
“น่าจะประมาณ 2-3 เดือนครับ แต่คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะ คุณกินได้ตามสบายเลย ผมไม่อยากให้คุณอดกินอะไรที่อยากกินเพราะผม”
“คุณชอบพูดดักคอแบบนี้อยู่เรื่อย”
ผมยักไหล่ เดินกลับไปที่ที่แดนนั่งตกปลาอยู่ จากนั้นก็บอกแกว่าอาของแกก็คิดอยากตกด้วยเหมือนกัน
พูดถึงตรงนี้ไซม่อนก็หน้าซีดลง ก้มตัวมากระซิบกับผมทันที
“คุณ จะบ้าเหรอ ผมตกปลาเป็นที่ไหนล่ะ ไปบอกหลานผมแบบนั้นได้ไง”
“อ้าว” ผมอมยิ้มอย่างอารมณ์ดีทันที ใครจะไปคิดล่ะว่าหมอนี่ไม่เคยตกปลา ยิ่งเป็นคนที่จับเบ็ดมาตลอดตั้งแต่จำความได้อย่างผมด้วยแล้ว ยิ่งนึกภาพไม่ออกเลยในโลกนี้จะมีคนที่ไม่เคยตกปลากับเขาอยู่ด้วย “ก็ฝึกสิครับ คุณอาไซม่อน แดนเองไม่เคยตก เขายังลองเลย”
ไซม่อนหน้าง้ำลงเล็กน้อยเหมือนเด็ก ๆ เพราะน้ำเสียงล้อเลียนนั่นของผม ผมหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าลงมาแล้วกระซิบที่ข้างหู
“งั้นคุณก็ต้องสอนผมตกด้วยสิครับ ออสติน”
“เอ๊ะ… เอ่อ” เดี๋ยว ๆๆๆ ไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้มั้ง
“ทำไมครับ” ถึงทีเขายิ้มล้อเลียน “ทีกับแดน คุณยังสอนวิธีตกปลาให้เขาเลย พอเป็นผมแล้วคุณสอนให้ด้วยไม่ได้เหรอ?”
ว้อย… ทำไมไอ้หมอนี่ถึงชนะผมตลอดเลย
ผมสอนไซม่อนตกปลาแบบเดียวกับที่สอนให้แดน แต่หมอนี่ชอบมือลื่นมาจับตัวผมอยู่เรื่อย ทำเอาผมต้องรีบสะบัดออกแทบไม่ทัน ถึงเราสองคนจะ… เอ่อ จะ… จูบกันไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไอ้ความรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อตตอนโดนตัวกันนี่จะหายไปนะครับ
“โห คุณอาก็ตกปลาด้วย” แดนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อไซม่อนทรุดตัวนั่งลงข้าง ๆ “มาแข่งกันไหมฮะ ว่าใครจะตกได้ก่อน”
“น้อย ๆ หน่อยเถอะเราน่ะ” ไซม่อนหันไปหัวเราะให้แดน ยกมือลูบศีรษะแกอย่างอ่อนโยน ดูเขารักหลานมากจริง ๆ “ท้าแข่งแบบนี้ ขืนแพ้ขึ้นมาก็เสียหน้าแย่ จะไปบอกกับแม่ยังไง หืม ทำไมไม่ลองท้าคุณน้าออสตินดูล่ะ ดูสิ ไม่เห็นยอมจับเบ็ดสักที เอาแต่มองพวกเราอยู่เนี่ย”
อ้าว นั่น ยังจะวกกลับมาทางผมเอง
“คุณน้าออสติน ตกปลากันเถอะครับ จะได้ได้ปลากลับไปทำกับข้าวกันเยอะ ๆ เลย”
“อ่า… ก็ได้ครับ” ผมยอมรับปากอย่างเสียไม่ได้ เริ่มหยิบเบ็ดของตัวเองออกมา เล็งตำแหน่งแล้วเหวี่ยงลงไปทันที
นั่งอยู่อย่างนั้นสักพัก อยู่ ๆ สัมผัสบางเบาจากอีกฝ่ายก็เลื่อนมาแตะผม ผมสะดุ้งตัวนิดหนึ่ง หันกลับไปมองไซม่อนที่ยิ้มให้ผมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้มือข้างหนึ่งของเขาเริ่มเลื่อนมาแตะแขนผมแล้ว
ผมเม้มริมฝีปากแน่น ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ผลักสัมผัสนั้นออก ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังขึ้น มันเป็นสัมผัสง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ผมรู้สึกใจเต้นรัวราวกับวิ่งมาเป็นระยะทางร่วมกิโลฯ แล้ว
อ่า… อยากปัดมันออก แต่ถ้าทำแบบนั้น ไซม่อนอาจจะเสียใจอีกก็ได้ ผมยังจำแววตาของเขาครั้งก่อนได้ ตอนที่ผมปัดมือเขาออก ถึงผมจะเคยผลักเขาไปไม่รู้กี่รอบแล้วก็ตาม ส่วนมากเขาก็ไม่เป็นไรหรอก ยังตีหน้าทะเล้น ยิ้มหวาน ๆ ส่งคืนให้เหมือนเดิม แต่บางครั้งเขากับมีแววตาแบบนั้น… แบบที่แสดงออกมาให้เห็นว่าเสียใจกับการปฏิเสธของผม และบอกตามตรงเลย ผมไม่อยากเห็นแววตาแบบนั้นของเขา
“อ๊ะ! ผมตกได้แล้ว!” แดนอุทานขึ้นเสียงดังอย่างตื่นเต้นระคนตกใจ ผมรีบลุกขึ้นยืนทันทีพร้อมกับตรงไปช่วยเด็กน้อยคนนั้น ส่วนอาของเจ้าตัวยังยิ้มยียวนกวนประสาทอยู่เลยตอนที่ผมช่วยแดนดึงปลาตัวนั้นขึ้นมา ผมพยายามไม่ช่วยแกมากเพราะให้แกคิดรู้สึกว่าเป็นผลงานของตัวเองจริง ๆ
หลังจากที่ตกปลากันเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เอาปลาพวกนั้นกลับบ้าน ตัดสินใจว่าจะเอาปลาที่แดนตกได้ทำเป็นมือเย็น ส่วนมื้อกลางวันผมอาสาเป็นเจ้ามือพาทั้งคู่ไปเลี้ยงเอง
“แล้วคุณค่อยออกตอนซื้อวัตถุดิบมื้อเย็น” ผมพูดดักคอทันทีเมื่อเห็นไซม่อนอ้าปากจะค้าน “โอเคไหมครับ”
“ตกลงครับ” เป็นอันว่าคุยกันรู้เรื่อง
พวกเราเข้าไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ติดริมหน้าต่าง เป็นสิทธิพิเศษของผมที่เป็นลูกค้าประจำของร้านนี้เอง บวกกับเพราะโทรมาจองก่อนล่วงหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นคงจะได้ที่นั่งในร้านนี้ในช่วงเวลาเที่ยงตรงของวันได้ยาก
“โอ้โห” แดนร้องอุทานออกมาเมื่อกุ้งราดซอสกระเทียมถูกเสิร์ฟลงตรงหน้า เจ้าตัวหันไปมองอาอย่างเป็นปลื้ม “คุณอาฮะ กุ้งตัวใหญ่มากเลย”
“เอาเลย แดน จัดการเลยครับ” ไซม่อนว่า มือหนาเลื่อนไปลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู “อยากถ่ายรูปไปให้คุณแม่ดูด้วยไหมว่ามากินอะไรกับอาแล้วก็น้าไซม่อนวันนี้”
“อื้อ!”
นั่นแหละ พวกเราถึงได้เซลฟี่กันสามคน บอกตามตรง… ผมลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ผมถ่ายรูปเซลฟี่น่ะ มันเมื่อไหร่ นี่พอยิ่งคิดยิ่งรู้สึกชีวิตตัวเองมืดมนไร้สังคมยังไงก็ไม่รู้ นี่ผมปล่อยให้ตัวเองตกต่ำลงถึงขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย
ผมอมยิ้มนิดหนึ่งเมื่อเห็นไซม่อนบังคับให้แดนกินผักในจานสลัดจนหมด และเมื่อเจ้าตัวจัดการตามนั้นไซม่อนก็ตบรางวัลให้โดยการยอมให้แดนสั่งไอศกรีมมากินเป็นของหวาน ผมขอกาแฟตบท้ายส่วนตัวเขาตกลงกับแดนว่าจะแบ่งกันกินไอศกรีมคนละลูก
ดู ๆ แล้วก็น่ารักดี… สองคนนี้เหมือนพ่อลูกกันจริง ๆ นั่นแหละ
พวกเรากลับไปขลุกอยู่ที่บ้านผมตลอดทั้งบ่าย ไซม่อนปล่อยให้แดนเล่นเกมในโทรศัพท์ประมาณหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเจ้าตัวก็เริ่มตาปรือตามภาษาเด็ก ผมจึงบอกให้เขาพาหลานไปนอนที่ห้องนอนรับแขกบนบ้าน
ผมนั่งพิมพ์งานของตัวเองต่อในขณะที่ไซม่อนเองก็เริ่มหยิบแฟ้มคดีของตัวเองขึ้นมากางที่โต๊ะอาหาร ภายในตัวบ้านเงียบสงบอีกครั้งเมื่อพวกเราทุกคนจมอยู่กับโลกของตัวเอง
ผมขยับแว่นตาที่อยู่บนหน้านิดหนึ่งหลังจากที่อ่านทวนสิ่งที่ตัวเองเขียนลงไปอีกรอบ ได้ยินเสียงไซม่อนคุยโทรศัพท์แว่ว ๆ เจ้าตัวเดินออกไปคุยที่หน้าบ้านเพราะไม่อยากรบกวนผม ผมชอบที่เขาเป็นแบบนั้นนะ ถึงหลาย ๆ ครั้งจะรู้สึกเหมือนเขาก้าวล้ำเส้นของผมเข้ามามากเกินไป แต่เขาก็เคารพผมตลอด หรือแม้แต่ตอนที่เราจูบกัน พอผมบ่ายหน้าหนีอย่างอึดอัด เขาก็เข้าใจและไม่เซ้าซี้อะไรต่อ
ผมไม่ได้ปฏิเสธเขาตรง ๆ แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรมากเกินไปกว่านั้น เขาเองก็คงพอรู้ ถึงได้ไม่เซ้าซี้อะไรอีก และหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์วันนั้นไปเขาก็ไม่ได้เก็บเอามาถามซ้ำ ๆ ผมรู้ว่าเขากำลังรอจังหวะเวลาที่เหมาะ นั่นแหละ ส่วนที่ผมชอบเกี่ยวกับตัวเขา
ไซม่อนเดินกลับเข้ามาในตัวบ้านอีกครั้ง ผมตัดสินใจใช้จังหวะนี้พักงานของตัวเองแล้วออกไปหาเขาที่ห้องครัว เจ้าตัวกำลังรวบรวมเอกสารต่าง ๆ เกี่ยวกับคดีเข้าด้วยกัน เขาไม่ทันรู้ตัวว่าผมกำลังเดินเข้าไปหา ผมเหลือบมองรูปถ่ายใบหนึ่งด้วยความอยากรู้ ก่อนจะต้องรู้สึกเสียใจที่ทำแบบนั้น เพราะในรูปนั่นคือเด็กชายคนหนึ่งอายุไม่น่าเกินเก้าขวบถูกห้อยแขวนคออยู่ในตู้เสื้อผ้า
“พระเจ้า” ผมอุทานออกมาเบา ๆ ไซม่อนสะดุ้งตัวอย่างแรงเพราะไม่ทันตั้งตัว เขารีบรวบเอกสารทั้งหมดขึ้นไปแล้วเก็บใส่ลงแฟ้ม จากที่ผมเห็น รูปถ่ายแบบนั้นไม่ได้มีแค่ใบเดียว และเด็กชายในรูปแต่ละคนก็ไม่ใช่คนเดียวกัน
ผมรู้สึกได้เลยว่าตัวเองหน้าซีดลงขณะเอ่ยปากถาม “นั่นคดีที่คุณกำลังสืบอยู่เหรอ”
“ครับ ใช่” ไซม่อนตอบ สีหน้าไม่สบายใจเท่าไร “ผมไม่รู้ว่าคุณอยู่ข้างหลัง คุณไม่น่าต้องเห็นเลย”
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกแกน่ะ” ผมถาม ทั้ง ๆ ที่รูปถ่ายก็ตอบคำถามนั้นได้ดีอยู่แล้วแต่ผมก็ยังถามออกโง่ ๆ
“คนร้ายจับตัวพวกแกไปครับ มันซ่อนศพพวกแกไว้ในตู้เสื้อผ้า”
ผมกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง “กี่คนน่ะ”
“ตอนนี้ก็เจ็ดแล้วครับ”
“ตอนนี้เหรอ” ผมถามทวนเหมือนไม่อยากเชื่อ ถึงผมจะเคยทำงานคอยวิเคราะห์สภาพและการตายของศพมาก่อนก็เถอะ แต่พอมันเป็นเรื่องของเด็กตัวเล็ก ๆ แล้ว… ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนจนอยากจะอ้วกเลย “หมายความว่ายังไง แล้วจะมีเพิ่มในอนาคตเหรอ”
“พวกเราเองก็พยายามเร่งสืบอยู่เพื่อไม่ให้มีจำนวนเพิ่มเหมือนกัน” เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สีหน้าของเขาดูอ่อนล้าต่างกับเมื่อเช้าอย่างเห็นได้ชัดเลย ผมไม่ควรทำให้เขาเครียดเรื่องงานมากกว่าเดิมสิ
“คุณอยากได้แชมเปญไหม ที่ผมเคยบอกก่อนหน้านี้”
“แต่…” เจ้าตัวอึกอัก “คุณดื่มไม่ได้นี่นา”
“เถอะน่า ดื่มหน่อยเถอะ” ผมส่งยิ้มให้เขา รู้สึกได้เลยว่าไซม่อนงันนิดหนึ่ง นั่นสินะ ก็ผมไม่ค่อยยิ้มนี่นา “อย่างน้อยถ้าผมเปิดขวดให้คุณ ผมจะได้กลื่นของมันด้วยไง นั่นคงพอทำให้ผมชื่นใจขึ้นมาบ้าง”
ไซม่อนยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ผ่อนคลายลงอย่างเต็มที่ เป็นรอยยิ้มแบบที่เขามักส่งมาให้ผมเสมอตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน
เขาก้าวเท้าเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง ราวกับผมเป็นกวางที่ตื่นกลัวและอาจกระโดดหนีกลับไปอยู่หลังพุ่มไม้ได้ทุกเมื่อ ผมว่าตัวเองอาจจะขี้ขลาดกว่ากวางที่ว่าด้วยซ้ำ และครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองทำตัวอ่อนหัดแบบนั้นอีกแล้ว
ผมกำมือแน่น ก้มหน้าลงต่ำนิดหนึ่งขณะที่ไซม่อนค่อย ๆ แตะปลายนิ้วลงบนใบหน้าของผม เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา บริเวณที่เขาสัมผัสร้อนวูบ มันน่ากลัวเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผมรู้สึก แต่มันมีอะไรบางอย่างตามติดมาเหมือนเป็นเงา เป็นความรู้สึกวาบหวิวที่ชวนให้ใจเต้น แล้วอยู่ ๆ ผมก็นึกถึงคำสารภาพรักอันแสนกำกวมของเขาขึ้นมา
‘แล้วถ้าผมบอกว่าผมเข้าหาคุณเพราะตัวคุณเองล่ะ’
ผมหน้าร้อนขึ้นกว่าเดิม เหงื่อชุ่มเต็มอุ้งมืออีกรอบ แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หนี ไซม่อนค่อย ๆ ทาบจูบลงมาบนริมฝีปากของผม มันอ่อนหวานกว่าคราวที่แล้วที่เราจูบกันอีก ผมครางเสียงแผ่วในลำคออย่างตื่นกลัว มือหนาเลื่อนมาประคองแก้มผมไม่ให้ผินหน้าหนี ลิ้นร้อนค่อย ๆ สอดเข้ามาภายในโพรงปากอย่างระมัดระวัง
ผมตัวสั่น มือที่สั่นระริกเอื้อมขึ้นไปวางลงบนบ่าของเขาอย่างหวาดกลัว มือค่อย ๆ กำเสื้อของเขาแน่นขึ้น สะดุ้งตัวนิดหนึ่งเมื่อลิ้นนั้นกวาดขึ้นไปบนเพดานปาก ผมเกือบจะผลักบ่าเขาออกไปแล้วด้วยความตกใจ แต่ก็ยั้งตัวเองไว้อยู่ ทำเพียงขยำเสื้อของเขาแน่นขึ้นเท่านั้น
เหมือนเรี่ยวแรงถูกสูบออกไปจนหมด รู้สึกตาลาย ในตัวมันร้อนรุ่มเหมือนไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น
ไม่เอาแล้ว… ผมกลัว
“อื้อ….” ผมคราง คราวนี้ไม่สามารถหยุดตัวเองได้ ผมเผลอใช้มือที่อยู่บนบ่าเขาออกแรงผลักเขาออก ไซม่อนลืมตาขึ้นมามองผม นัยน์ตาสีฟ้าหม่นของเขาคมกริบอย่างน่าหวาดหวั่น ราวกับว่ามันกำลังเฉือนใจของผมออกเป็นชิ้น ๆ และผมก็อยู่นิ่ง ๆ บนเขียง ปล่อยให้เขาเชือดอยู่แบบนั้น
“อึก…” ไซม่อนไม่ปล่อยผมไปง่าย ๆ อีกแล้วคราวนี้ มือแกร่งยึดหลังต้นคอผม กดริมฝีปากลงมาพร้อมกับกวาดลิ้นร้อนไปทั่วทุกบริเวณอย่างกระหาย ผมสะดุ้งวาบ ตัวชาไปหมด ไม่มีแรงแม้แต่จะดิ้นขัดขืน… ไม่มีแรงแม้แต่จะผลักอกเขาออก
ผมตัวสั่น หลับตาทั้งสองข้างแน่นอย่างหวาดหวั่น เหงื่อไหลซึมไปทั่วทั้งตัวแล้วตอนนี้ และเหมือนไซมอนจะรู้ตัวว่าเขากำลังรุกล้ำผมมากเกินไป เขาเริ่มลดจังหวะลง แต่เหมือนความปรารถนาในตัวเขาก็มีมากเกินกว่าจะหยุดทุกอย่างได้ในทันที จูบร้อนแรงนั่นค่อย ๆ กลับมาเป็นอ่อนหวานอีกครั้ง นั่นไม่ได้ช่วยทำให้ผมหายกลัวเสียทีเดียว แต่ก็รู้สึกดีขึ้น
เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่กำลังลงบันไดมาทำให้พวกเราสองคนผละตัวออกจากกันอย่างอัตโนมัติทันที ผมเบือนหน้าหนี เดินหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ไซม่อนเองก็เหมือนกัน ก่อนที่เราจะผละออกจากกันแบบนั้น ผมเห็นว่าหน้าของเขาแดงเถือกไม่ต่างจากของผมเลย
นั่นทำให้ผมใจเต้น… ผมไม่คิดเลยว่าแม้แต่ไซม่อนเองก็ทำหน้าแบบนั้นได้ ก็หมอนี่มันสบาย ๆ ยิ้ม ๆ ไปหมดเสียทุกอย่าง มันอายเป็นกับเขาด้วยจริง ๆ สินะเนี่ย
“คุณอาไซม่อนครับ” แดนพูดด้วยเสียงงัวเงีย ยกมือขึ้นขี้ตาป้อย ๆ “ผมอยากเข้าห้องน้ำฮะ ห้องน้ำอยู่ตรงไหน”
“อ่า… เดี๋ยวน้าพาไปนะครับ” ผมรีบพูด เดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อไม่ให้แดนต้องลงมาเข้าห้องน้ำที่ชั้นล่าง และก็เผื่อไปให้ห่าง ๆ จากตัวไซม่อนด้วย
ให้ตายเถอะ อยู่ ๆ ก็มาจูบกันกลางบ้านได้นะ ก็รู้อยู่ว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน… ดีนะที่หลานไม่เห็น ถ้าโดนเห็นขึ้นมาจะทำยังไงเนี่ย
“เฮ้อ…” ผมถอนหายใจเฮือก ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากอย่างเหม่อลอย สัมผัสอบอุ่นถึงขั้นร้อนระอุนั่นยังติดอยู่… ยังรู้สึกเหมือนไออุ่นจากลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่เลย
แดนเดินเข้าไปในห้องน้ำด้วยตัวเอง ส่วนผมพิงตัวลงกับผนังด้านหลังแล้วยกสองมือขึ้นปิดหน้าที่ร้อนฉ่าของตัวเอง
หัวใจที่อยู่ในอกเต้นตุบตับเสียงดังราวกับจะกระเด็นหลุดออกมา
------------------------------------
Talk: ไซม่อน... เอาเด็กมาล่อออสตินว่ะ 5555555 เมื่อไหร่เขาจะได้กั---- แค่ก ก็แหม เห็นจูบมาหลายรอบละไง น่าจะเตรียมความพร้อมเสร็จแล้วไรงี้ 555555555
#ไซคนด้าน #ไซออส #sweetsanctuary