เสียดายของ
ตอนพิเศษ เธอจะรักฉันได้ไหม
นายโพไซดอนกำลังหงุดหงิดอย่างมาก
ภาพของชายหนุ่มผมยาวใบหน้าหล่อเหลาที่กำลังก้มหน้าดูอะไรในแทปเล็ต ภายในร้านกาแฟในมหาวิทยาลัยเป็นภาพที่ดึงดูดสายตาใครต่อใครเป็นอย่างมาก จะด้วยเพราะชุดนักศึกษาที่ไม่ใช่เครื่องแบบของสถาบันแห่งนี้หรือด้วยหน้าตาของเขาก็ตาม
แต่ชายหนุ่มผู้ที่กำลังตกเป็นเป้าสายตาไม่ได้สนใจต่อสายตาและเสียงนินทารอบข้าง เพราะภาพที่ปรากฏหราอยู่บนหน้าจอแทปเล็ตในมือกำลังทำให้เขาเหมือนถูกแช่แข็ง
ภาพของเนปจูน ...
เนปจูนที่กำลังนั่งหันหลังให้กล้องโดยมีวงแขนของใครสักคนโอบไหล่เอาไว้ พร้อมแคปชั่น
น้องเนปจูนกับน้องเอิร์ธนี่ยังไงน้า....โอบกันขนาดนี้พี่ก็ฟินสิคะ
#เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ #เอิร์ธเนป แอดมินแม่มดน้อยโดเรมี
วันนี้เขามารอรับคนที่ตามจีบที่มหาวิทยาลัยของเจ้าตัว ก็มานั่งรอที่ร้านกาแฟใกล้ๆกับคณะที่เนปจูนเรียนอยู่ นั่งอยู่พักใหญ่ๆเพื่อนสนิทก็ส่งภาพต้นเรื่องนี่มาให้เขาดู เห็นภาพนี้เขาก็พอจะเข้าใจว่าคงแค่เพื่อนกันแต่เมื่อกดเข้าไปดูเอชแท็ก
#เอิร์ธเนป ก็พบกับภาพลักษณคล้ายๆกันนี้หลายภาพ ทั้งนั่งติดกัน จับมือ เช็ดเหงื่อหรือโอบกันอย่างภาพแรกนั่นก็มีอยู่เยอะ
ก็รู้ว่าเนปจูนเป็นที่น่าสนใจของคนเยอะแยะแต่ไม่คิดว่าจะมีในรูปแบบนี้ ไอ้คู่จิ้นอะไรนี่ด้วย จิ้นทำไมว่าที่แฟนตัวจริงนั่งอยู่นี่โว้ยยยยยยยยย อยากจะตะโกนให้ก้องโลกแต่เรื่องจริงทำแค่กดไลค์ไปเบาเบาพร้อมกับเม้นไปว่า
น่ารักดีครับ เป็นเพื่อนที่ดูสนิทกันดีเนอะ
หงุดหงิดชะมัดในความหงุดหงิดก็มีความอยากเจอ..อะไรของผมวะ ย้อนแย้งชะมัด
หงุดหงิดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้นี่แหละ...ยังไม่ใช่แฟนไง แม่งหงิดใจ
ตึ๊ง
เสียงเตือนจากโปรแกรมแชทดังขึ้นดึงความสนใจของผมไป คนที่แชทมาคือไอ้เพื่อนสนิทตัวดีที่ส่งลิงค์ภาพมาให้ผมนั่นแหละ
ไงมึง หงิดเลยดิ
เออแม่ง
ตกลงเพื่อน?
ไม่รู้ยังไม่เจอ
เออๆ
คุยกะน้องมันดีดีล่ะ
อย่าลืมว่ามึงยังไม่ใช่แฟนเค้า
เอออออออ
มันกดอ่านแล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมนึกถึงประโยคสนทนาเมื่อครู่ นั่นสินะผมกับเนปจูนเรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมตามจีบเขาก็จริงและอีกคนก็เหมือนจะมีใจแต่เรื่องของสถานะมันก็จำเป็นป่ะวะ หรือผมคิดมากไป แล้วไอ้สถานะคนคุยนี่มัน
หึงได้ไหม
โอ้ยยยยไอ้โพซเครียด
ผมไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่ผมไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครแบบที่เหมือนเอาตัวเองไปหมุนรอบคนคนนึง เหมือนกำลังวิ่งอยู่บนฝ่ามือของเขา ความรู้สึกมากมายนี้ทำให้ผมไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง กลัวว่าจะเสียไป ถ้าผมอยากได้สถานะนั้นอยากได้สิทธิ์นั้นแล้วเขาให้ไม่ได้ ผมกลัวว่าตัวเองจะกลับมายืนจุดเดิมไม่ได้เหมือนกัน
มือถือผมสั่น
ยกขึ้นมาดูเป็นชื่อของคนที่กำลังคิดถึงอยู่พอดี
“ครับ”
//เรียนเสร็จละนะ มายัง?//
“ถึงนานแล้ว อยู่ร้านเดิม”
//โอเค เดี๋ยวเดินไปหา//
“ครับ”
แล้วปลายสายก็ตัดไป ผมเก็บเรื่องสถานะที่ยังคิดไม่ตกอยู่นี่ให้ออกไปจากใจก่อน วันนี้ผมกับเนปจูนนัดกันว่าจะไปเก็บภาพทุ่งหนองหญ้าม้า ที่เป็นแลนด์มาร์คใหม่ของจังหวัด ที่นัดกันวันนี้เพราะเราเช็คสภาพอากาศและช่วงเวลาที่จะเกิด Magic Hour มาแล้ว
เสียงกระดิ่งเหนือประตูดังขึ้นผมหันไปมองก็พบกับคนที่ตัวเองมานั่งรอ เกือบจะยิ้มให้แล้วถ้าไม่เห็นว่าใครเดินตามเนปจูนมาด้วย คนที่เดินตามเนปจูนเข้ามายกมือไหว้ผม ผมพยักหน้ารับเบาเบาไม่ได้แสดงออกเลยนะว่าไม่ชอบ จริงๆ...
“รอนานไหม” เนปจูนเอ่ยถามก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างๆผม
ผมส่ายหน้า ไม่ตอบอะไร
“เดี๋ยวเพื่อนไปด้วยนะ มีเอิร์ธกะอีกสองคนที่จะไปรถเอิร์ธ”
“อ่าฮะ” ผมตอบรับ
ผมลุกขึ้นทำให้อีกสองคนต้องลุกตาม เนปจูนมองผมงงๆว่าเป็นอะไรแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา เพื่อนของเนปจูนเดินไปขึ้นรถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกล
แล้วจะเดินมาด้วยแต่แรกทำไมฟระเมื่อเข้ามาในรถผมนั่งนิ่งๆปรับอารมณ์ตัวเองอยู่สักพัก คนที่นั่งข้างกันมองนิ่งๆแต่เมื่อผมกำลังจะเอื้อมมือไปสตาร์ทรถเขากลับแตะเบาเบาที่หลังมือของผม
“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำหน้าไม่โอเคตั้งแต่เมื่อกี๊แล้วอ่ะ ถ้าไม่สบายเราไม่ไปวันนี้ก็ได้นะ”
ผมส่ายหน้า
“เปล่าไม่ได้ไม่สบาย แค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อย”
หน่อยแป๊ะไรล่ะตอบแค่นั้นแล้วก็ออกรถไป เนปจูนเอื้อมมือมากดเปิดเพลงคลอไประหว่างทาง เจ้าตัวเอากล้องขึ้นมาเช็คไม่ได้ถามอะไรอีก
จนเมื่อเรามาถึงสถานที่ที่จะมาเก็บภาพกันวันนี้ ทุ่งหนองหญ้าม้า หรือทุ่งดอกกระดุมเงินชาวบ้านเรียกว่าหญ้าหัวหงอก เป็นพื้นที่ทุ่งกว้างโดยในช่วงหนึ่งของปีทหารจะใช้ลริเวณนี้เป็นสถานที่ซ้อมยิงปืนเป็นเวลาราว1-2 เดือน แต่นอกนั้นก็ปล่อยว่างเปล่าเป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านจะใช้เลี้ยงสัตว์ และในช่วงฤดูหนาวทุ่งกว้างแห่งนี้จะเต็มไปด้วยดอกกระดุมเงิน เหมาะเป็นสถานที่ที่ถ่ายภาพ เพราะทั่วทั้งทุ่งจะเต็มไปด้วยเจ้าดอกเล็กๆสีขาวพวกนี้
เนปจูนบอกผมว่าจะไปสมทบกับเพื่อนๆ ผมพยักหน้ารับรู้แล้วกลับมาสนใจกล้องในมือ พยายามมีสมาธิกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแต่เชื่อผมเถอะใจผมลอยตามใครบางคนไปอีกแล้ว ผมไม่ชอบตัวเองเวลาต้องมาหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่แบบนี้ แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำยังไงถึงจะหายหงุดหงิด
ผมเดินตามเนปจูนไป
จะด้วยอะไรก็ตามแต่ผมดันเดินมาเห็นภาพที่ทำให้อุณหภูมิในเลือดพุ่งสูงขึ้น นั่นคือภาพของคนสองคนที่ยืนชิดกันแล้วก้มลงมองภาพในกล้อง...กล้องที่คล้องอยู่ที่คอเนปจูน
ใกล้ไปป่ะแม้กายหยาบจะหยุดนิ่งแข็งค้างเหมือนต้องสาปแต่กายละเอียดของผมคือพุ่งเข้าไปจับสองคนนั้นแยกออกจากกันแล้ว
พอ พอแล้ว พอครับ
ผมเดินจากมาเงียบๆ ไม่ได้เข้าไปทำอะไรแบบที่คิด แค่เดินออกมาจากตรงนั้น ถ้าไม่มีสิทธิ์ก็สู้ไม่เห็นเลยจะดีกว่า
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงผมเห็นเนปจูนเดินมาที่รถ อารมณ์ที่เริ่มเย็นลงก็พลันร้อนขึ้นมาอีกเมื่อเห็นว่าใครเดินตามมา
“ทำไมมาอยู่นี่อ่ะ” เนปจูนก้าวเท้าเข้ามาใกล้ผมแล้วเอ่ยถาม
“ได้รูปแล้ว”
อันนี้ไม่ได้โกหกนะครับผมได้ภาพแบบที่ต้องการแล้วจริงๆ เลยมานั่งรออีกคนที่รถ
“เก่งอ่ะเรานี่ถ่ายไปตั้งเยอะยังไม่แน่ใจเลยว่าจะได้รูปดีดี”
“ได้อยู่แล้วล่ะ” ผมตอบไป ยกมือขึ้นขยี้หัวอีกฝ่ายเบาเบา
เนปจูนส่งยิ้มกว้างๆมาให้....
ผมเบือนสายตาหนีจากรอยยิ้มที่ชวนให้ใจเต้นนั้น ไปที่คนที่เดินตามเนปจูนมา ส่งสายตาเป็นเชิงถามไถ่ไปให้
“ผมจะเดินมาบอกว่าเดี๋ยวให้เนปกลับกับผมก็ได้ครับ ยังไงก็ทางเดียวกัน”
คือจะเอาแบบนี้เลยใช่ป่ะ
ผมตวัดสายตามองคนที่มาด้วยกัน ที่เดินมานี่คือจะมาบอกว่าจะกลับกลับคนอื่นงี้ดิ เออ ยืนรอตั้งนานโง่เป็นควายเลยกู หงิดโว้ยย
“ก็จะได้ไม่ต้องวนรถไปมาไง ว่าจะกลับเข้าเมืองก็ตั้งหลายกิโล” เนปจูนพูดเสียงอ่อน แต่ความรู้สึกเดือดพล่านในอกกลบทุกอย่างไปจนมิด
โอเค
จะเอาแบบนี้ก็ได้
“แล้วแต่ละกัน” ผมพูดแค่นั้นแล้วหันหลังไปเปิดประตูรถ ไม่สนใจว่าใครจะมองยังไงไม่สนใจว่าน้ำเสียงที่พูดออกไปจะเต็มไปด้วยความเย็นชามากแค่ไหน จัดการถอยรถออกมาจากตรงนั้น
ถ้าอยากจะไปกับใครก็ไปเถอะ วันนี้แม่งเกินจะรับไหวแล้วจริงๆความมั่นใจที่เคยมีหายไปหมด ขอถอยไปตั้งหลักก่อนละกัน
ติดไฟแดงแรกผมกดโทร.หาเพื่อนสนิทชวนมันไปดื่มที่ร้านประจำ แล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่คอนโซลรถ
ไฟแดงที่สองโทรศัพท์แจ้งเตือนว่ามีไลน์เข้า เบนสายตาไปมองเห็นว่าเป็นชื่อใครก็เมิน ไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่อะไรทั้งนั้น พอก่อน วันนี้พอก่อน
เสียงแจ้งเตือนยังเข้าต่อเนื่อง ทั้งสายเรียกเข้า ไลน์
ยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ขอปรับสภาพอารมณ์ตัวเองก่อน ผมยังไม่พร้อมจะรับรู้อะไรทั้งนั้น แค่คืนนี้...ขอเวลา จริงๆ
กลับมาถึงหอก็มืดพอดี ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ไลน์บอกเพื่อนว่ากำลังออกไปแล้วทิ้งโทรศัพท์ไว้ที่ห้อง
ใจร้าย เสียงเล็กๆในหัวดังขึ้น ถ้าการที่ผมปกป้องความรู้สึกตัวเองแล้วจะเรียกผมว่าคนใจร้าย ผมร้ายก็ได้
แต่การที่เขาเลือกกลับกับเพื่อนคนนั้นของเขาทั้งๆที่มากับผม มันไม่ใจร้ายเลยงั้นสิ ผมที่ไปนั่งรอเขาอยู่หลายชั่วโมงแทนที่จะได้คุยกัน เสร็จธุระไปกินข้าวบ้างกลับมีคนมาขวางตลอดแล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ผมที่ขับรถไปหาตั้งเป็นยี่สิบกิโลเพื่อจะเห็นว่าเขาอยู่กับคนอื่นและมีความสุขดี
ไอ้อาการที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินนี่ผมต้องจัดการเองผมรู้ และนี่คือวิธีการของผม
แต่ไอ้ความรู้สึกที่เรียกว่าหึงนี่ที่ผมยังหาทางจัดการกับมันไม่ได้ ทำให้ผมต้องถอยมาตั้งหลักก่อน เพราะไม่ว่ายังไงผมยังไม่มีสิทธิ์อะไรไปหึงเขา
แต่สิทธิ์ที่จะปกป้องความรู้สึกตัวเองนี่ผมมีเต็มที่ ใช่ไหม?
ไปเถอะแดกให้แม่งเมาละพรุ่งนี้ค่อยตื่นมาสู้ใหม่
ผมมาถึงร้านก่อนเวลาเล็กน้อย(มาแท็กซี่ครับ ตั้งใจจะมาเมาเราต้องไม่ขับเพื่อรับผิดชอบสังคม) จัดการสั่งเครื่องดื่มพร้อมกับแกล้มเรียบร้อย นั่งรอไม่นานไอ้เพื่อนสนิทผมก็มาถึง
ผมกับมันต่างคนต่างนั่งดื่มกันไปเงียบๆ ไม่มีบทสนทนาใดใดระหว่างเรา
จนเหล้าในขวดพร่องไปครึ่งหนึ่งมันถึงได้เปิดปากถามขึ้นมา
“สรุปโดนเท?” ปากมันนี่นะบอกแล้วว่านั่งเงียบๆก็พอ
“เปล่า”
“อ้าว ไม่โดนเทละชวนกูมาทำหน้าเศร้าดื่มเหล้าเคล้าเสียงเพลงเพื่อ?”
“ต้องโดนเทหรอถึงกินเหล้าได้ แค่มีเงินจ่ายก็พอแล้วไหม”
“ครับๆ แล้วตกลงจะบอกไหมว่าเป็นเหี้ยไร” มันรู้นั่นแหละครับว่าผมนอยด์เรื่องอะไรแกล้งถามกวนตีนไปงั้น
ผมถอนหายใจใส่มันไม่ตอบอะไร
“ถ้าคิดว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ ก็ทำให้มันมีซะสิ”
“ถ้ามันง่ายกูจะมานั่งนอยด์ทำไม”
“แล้วมันยากตรงไหน กูก็เห็นน้องมันก็ชอบมึงแล้ว ถ้ามึงหมายถึงไอ้คนที่เป็นเพื่อนน้องมันนะถ้าเขาจะขยับสถานะกันมันคงขยับมานานแล้วไหมวะ”
“ตั้งนานไอ้เพื่อนนั่นไม่อยากขยับ แต่เสือกอยากมาขยับตอนนี้ดิ กูมองตาแม่งก็รู้”
“งั้นมึงก็รวบเลย”
“รวบ?”
“ปล้ำแม่งเลย”
“ไอ้เหี้ย”
แล้วบทสนทนาก็จบลงแค่นั้น นั่งฟังเพลงที่นักร้องประจำของร้านกำลังขับกล่อมค่ำคืนให้ดำเนินไปแต่ความคิดของผมกลับลอยไปไกล
คำว่ารักฉันพูดมาตลอดเลย อย่างที่เธอเคยเคย ได้รับฟัง
แต่เธอก็รู้ คนเรามันตบมือข้างเดียวไม่ดัง...นั่นสินะผมยังไม่เคยถามเขาเลยนี่นา
ผมที่เคยเชื่อในการกระทำมาโดยตลอด มาในวันนี้ที่ความมั่นใจที่เคยมีมันลดลงจนน่าใจหาย
เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืนเหล้าหนึ่งกลมกินสองคน...ต้องยอมรับว่ามึนครับ ยังไม่ถึงกับเมา เอาเป็นว่ายังคงสติตัวเองไว้ได้
ไอ้เพื่อนสนิทโทร.เรียกรูมเมทมารับส่วนตัวผมที่อยู่คนเดียวก็ต้องพึ่งพาตัวเอง เรียกแท็กซี่สิครับ
ผมลงจากแท็กซี่ที่หน้าหอพัก ยามเห็นผมเดินเซๆลงมาจากรถก็เดินเข้ามาจะมาพยุงแต่ผมโบกมือปฏิเสธไปผมโอเค
ร่างกายน่ะไหวแต่ใจล้ามาก
ลุงยามแกพูดอะไรสักอย่างกับผมซึ่งผมก็ไม่ทันได้ฟังหรอก เพราะลิฟต์มาถึงซะก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมมาฟังนะลุง
ลิฟต์เปิดที่ชั้นที่ต้องการ ร่างกายเดินไปตามสัญชาติญาณความเคยชิน เดินมาจะถึงห้องตัวเองผมถึงได้สังเกตว่าที่พื้นหน้าประตูมีใครคนนึงนั่งกอดเข่าอยู่ ไฟทางเดินส่องสว่างทำให้ผมเห็นชัดเจนว่าคนคนนั้นเป็นใคร
เนปจูน
มาทำอะไรที่นี่
ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู
เที่ยงคืนครึ่งผมก้าวเดินเข้าไปใกล้ สะกิดคนที่นั่งเอาหน้าซุกแขนอยู่ให้เงยขึ้นมา
“พี่โพซ” อีกคนเอ่ยเรียกชื่อผมแผ่วเบา น้ำเสียงสั่นเครือ
ผมไม่ตอบอะไรฉุดให้เขาลุกขึ้นยืน ควานหากุญแจห้องในกระเป๋ากางเกง ในจังหวะที่ไขกุญแจนั้นมือของคนที่มานั่งรอก็คว้าหมับเข้าที่ชายเสื้อ
“พี่โพซ” น้ำเสียงของเนปจูนแผ่วเบายิ่งกว่าเคย
“ไปคุยกันในห้องตรงนี้ยุงกัด” ผมเหลือบมองรอยแดงๆที่แขนของเขา
จัดการเปิดประตูห้องแล้วเดินเลยเข้าไปเปิดไฟเปิดแอร์ ปล่อยให้อีกคนเดินตามเข้ามาเงียบๆ
ผมเดินเลยเข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตา เดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นเนปจูนยังยืนอยู่ที่กลางห้องดวงตาภายใต้ขนตาดกหนาเป็นแพนั่นจ้องมาที่ผม
เขายังอยู่ในชุดนักศึกษาอยู่เลยเป้ที่อยู่บนไหล่นั่นก็เป็นใบที่ใช้วันนี้...อือ ผมจำได้ ถ้าเป็นเรื่องของเขาผมจำได้ทุกอย่างนั่นแหละ
“มีอะไรถึงได้มานั่งอยู่แบบนั้น ลืมอะไรบนรถหรอ?” ผมเอ่ยถาม
ยืนกอดอกไหล่พิงกำแพงห้องจ้องมองอีกฝ่าย
เนปจูนสายหน้า ฟันขาวขบริมฝีปากล่างหลุบตามองพื้นไม่สบตาผม
วินาทีที่เขาหลบตา ผมถึงกับใจดิ่งวูบ ไม่ใช่ว่าจะมาบอกจะเลิกคุยกันหรอกใช่ไหม
“แล้ว...”
“ก็พี่โพซนั่นแหละ”
พูดไม่ทันจบอีกคนก็แทรกขึ้นก่อน เพราะผม ผมทำอะไรวะครับ
“พี่? พี่ทำอะไร?” สิ้นคำถามผมเนปจูนก็เงยหน้ามองผมแววตาตัดพ้อ
“ก็ทำไมไม่ตอบไลน์ ไม่รับโทรศัพท์ เดินหนีมาแบบนั้นแล้วจะยัง...” หลบตาอีกแล้ว
“ยัง?” เอาล่ะผมเริ่มเข้าใจละ
นี่เรียกมาง้อป่ะ“ก็พี่โพซ...วันนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ถามก็ไม่บอก ทำหน้าเหมือนไม่อยากคุยกับจูน ตอนถ่ายรูปก็ไม่เดินมาหาแล้วก่อนกลับยังทำหน้าเหมือนรำคาญด้วย ฮึก...ไลน์มาหาก็ไม่อ่าน โทร.ก็ไม่รับ ฮึก...ถ้าไม่ชอบแล้วก็บอกกันดิไม่ใช่มาทำแบบนี้” พูดอยู่ดีดีน้ำตาก็ไหลออกมา ผมที่ยืนเก๊กอยู่ก็อยู่ไม่สุข มือเอื้อมมาจะคว้าตัวเขาไว้แต่อีกคนสะบัดออก
“อย่ามาจับ ฮึก...ไม่ชอบกันแล้วก็อย่ามายุ่ง ไม่อยากคุยแล้วก็พูดมาเลย” ชิปหายละไอ้โพซงานเข้าไอ้ที่มึนๆอยู่เพราะเหล้านี่
หายเลย
“พี่ยังไม่ได้พูดเลยว่าไม่ชอบ” เดินไปคว้าแขนเขาไว้
“แล้ว...”
“พี่หึง”“...”
“พี่เห็นรูปจูนกับเพื่อนที่นั่งกอดกันโพสต์ลงเฟซบุ๊ค แล้ววันนี้ที่ไปทุ่งดอกไม้จูนไปกับพี่แต่กลับกับ
คนอื่น พี่ไปนั่งรอจูนตั้งนานขับรถไปหาเพราะอยากเจอ พี่รู้ว่ามันงี่เง่า พี่รู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์หึงจูน แต่คนมันรู้สึกไปแล้วจะให้พี่ทำไงวะ”
“เลยไปกินเหล้าหรอ?”
“พี่แค่อยากจัดการความรู้สึกตัวเองก่อน ไม่อยากพูดอะไรตอนนั้นกลัวว่าจะระเบิดออกไปทั้งๆที่ไม่มีสิทธิ์ทำ”
“เลยไม่อ่านไลน์แล้วก็ไม่รับโทรศัพท์ด้วยหรอ?”
“อือ ก็กลัวว่าถ้าได้ยินเสียงว่าเราอยู่กับคนอื่นพี่คงจะแย่กว่าเดิมไปอีก”
“จูนคิดว่าเพราะพี่โพซเบื่อจูนแล้ว เบื่อที่ต้องคอยไปหาตั้งไกล บางวันก็นั่งรอจนมืด...”
“พี่จีบเราอยู่นะ”
เนปจูนก้มหน้ามองพื้น
เอาเถอะยอมมาหากันถึงที่นี่ก็ดีใจจะตายห่าอยู่ละ
“ไปอาบน้ำไป คืนนี้นอนนี่แหละเดี๋ยวพี่หาเสื้อผ้าให้”
ผมหมุนตัวจะเดินผละไปที่ตู้เสื้อผ้า แต่แรงกอดรัดที่ด้านหลังทำให้หยุดชะงัก
“พี่โพซเป็นแฟนกันนะ”ห๊ะ
“ห๊ะ!!” ผมยืนอึ้ง หูฝาดป่ะวะ
“เป็นแฟนกันไง” เสียงเดิมย้ำมาอีกที
ผมจับมืออีกคนให้คลายอ้อมกอด หันกลับมามองหน้าให้แน่ใจว่านี่ใช่เนปจูนจริงๆหรือเปล่า
“เมาหรือเปล่าเนี่ย” ผมถามกลับไป ใบหน้าเรียวเล็กนั่นมุ่ยเข้าหากันอย่างไม่พอใจทั้งๆที่เหมือนเลือดทั้งตัวจะไหลไปรวมกันที่หน้า
“ก็พี่พูดเองไม่ใช่ไงว่ายังไม่มีสิทธิ์หึง ก็เนี่ยถ้าเป็นแฟนกันก็จะหึงได้ใช่ไหมล่ะ” ทำกล้าพูดเนอะคนเราทั้งๆที่เขินหน้าแดงขนาดนั้น
น่ารักว่ะ“ชอบให้หึงหรอ?”
อีกคนส่ายหน้า
“ไม่รู้หรอกว่าชอบหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคือไม่ชอบให้พี่โพซเมินจูนแบบวันนี้อ่ะ มันไม่โอเคเลยมันกลัวไปหมดหัวใจก็ปวดหนึบๆ”
โอ้ยยยยยน่ารักโว้ยยยยย กลั้นยิ้มจนปวดแก้มสถานการณ์แม่งมาถึงจุดนี้ได้ไงวะ
“แต่ถ้าเป็นแฟนกันแล้วพี่จะไม่ปล่อยให้จูนไปสกินชิปกับผู้ชายคนไหนแล้วนะทำได้กับพี่คนเดียว พี่จะหึง จะหวงมากๆด้วย จะมีสิทธิ์ที่จะลงโทษถ้าจูนดื้อด้วยนะ เอาหรอ?”
อีกคนจ้องผมตาแป๋วทั้งๆที่ยังมีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ที่ขนตา พยักหน้าช้าๆ
“อะไรก็ได้ แค่พี่โพซไม่เมินแบบวันนี้ก็พอ”
ผมคว้าคนตัวเล็กกว่าเข้ามากอดคางเกยไว้บนไหล่ กระซิบคำตอบที่ข้างหูให้คนในอ้อมกอดฟัง
“งั้นน้องเนปจูนก็เป็นแฟนพี่โพซแล้วนะครับ”
คนฟังพยักหน้ารับเบาเบา สองแขนยกขึ้นมากอดตอบเหมือนกับจะย้ำคำตอบด้วยภาษากาย
คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ผมได้นอนกอดแฟนตัวเอง...แฟนผมที่ชื่อเนปจูน
Fin
----------------------------------------------------------------------------------------------
ฟินไหมไม่รู้รู้แค่คนเขียนง่วงมาก ถ้าเจอคำผิดหรือตกหล่นก็แจ้งไว้ได้นะครับ
ยอมรับว่าตอนที่แต่งตอนนี้อารมณ์สวิงมาก
ปล.รักคนอ่านทุกคนครับ ทุกยอดวิวและทุกๆคอมเม้นเป็นแรงผลักดันและกำลังใจที่ดีเสมอ
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ครับ เจอกันตอนหน้า...(อีกกี่ตอนนะ...)
ปล2. เอาภาพ"ทุ่งหนองหญ้าม้า"มาฝากให้ชมกันครับ ^^