หงส์ซาน #15 แพ้ราบคาบแก้ว
เรือทิ้งห่างจากเขาสามเกลอเพื่อส่องสัตว์ต่อ คราวนี้เจอลิงครับ ไกด์ชี้ชวน ผมมองตามแต่ยังไม่เห็น เขาบอกมันตกใจเสียงเรือวิ่งเข้าป่าไปแล้ว ก่อนไอ้บ๊วยจะสะกิดไหล่ผม ชี้ไปยังพื้นริมน้ำ ผมตาโตเมื่อเห็นลิงขนสีน้ำตาลเข้มตัวหนึ่งยืนหันหน้าลอกแลกมองมาทางเรา ในมือถืออะไรสักอย่างที่น่าจะเป็นผลไม้
“เอ้า โบกมือทักทายเพื่อนหน่อย”
บ๊วยมันยกมือขึ้นประกอบ ผมมองมันตาขวาง มันหัวเราะร่วน เขาหยุดให้เราถ่ายรูปแล้วพาเรือแล่นไปตามทาง สักพักไกด์ก็ชี้ให้ดูกระทิงตัวโตที่ยืนหันก้นให้ เขาพาเรือขับเข้าไปใกล้แล้วดับเครื่อง เพราะเดี๋ยวมันตกใจหนีเข้าป่าไปก่อน พี่หมอรัวมือถือ แต่คงได้แต่ภาพก้นพี่หมอจึงป้องปากตะโกนใส่มัน
“เฮ้ย ไอ้เพื่อนยาก หันหน้ามาให้ถ่ายรูปหน่อย!!”
ไม่รู้ว่ามันได้ยินเสียงพี่หมอหรือว่าอะไร มันเอี้ยวหน้ามามองดีๆ ประมาณสามสี่วินาทีแล้วเดินก้นบิดเข้าป่าไปอย่างเมินเฉย ได้ยินเสียงพี่หมอบ่นอุบอิบ ผมหัวเราะร่วน คนขับสตาร์ทเรืออีกรอบ กระทั่งไปเจอกวางตัวเบ้อเร่อยืนสีแทบกลืนกับหญ้าริมน้ำ ตัวนี้น่าจะเป็นกวางรับแขกครับ มันยืนด้วยท่าทางสง่างาม สะบัดหูสะบัดหาง ปากเคี้ยวอะไรอยู่แยบๆ พี่หมอรัวกล้องอีกรอบ มันหันหน้ามาทางเราดีๆ ผมก็ถ่ายมันไปหลายช็อตเลย
เรือวิ่งไปอีกพักก็เจอลิงอีกตัว เลียงผาด้วย ไกด์บอกเราโชคดีมาก เพราะเจอสัตว์ค่อนข้างเยอะ
ไกด์ถามว่าอยากไปชมวิวไหม มีสองจุดให้ชมคือเขาสกกับเขาไกรสร แต่ต้องเดินไกลและปีนป่ายกันค่อนข้างเยอะ เย็นมากแล้วด้วย กว่าจะไปจะกลับมันจะดึกเสียก่อน อันตราย บ๊วยกับพี่หมอจึงลงความเห็นกันว่าไม่ไป กลับไปโดดน้ำเล่นที่แพดีกว่า เรือจึงพาเรากลับ
อากาศกำลังดีเลยครับ พอเรือส่งถึงที่ผมก็วิ่งถลาลงน้ำนำร่องไปก่อนทันทีดังตูม พี่หมอโดดตามลงมาติดๆ สักพักไอ้บ๊วยก็ตามลงมาด้วย ผมรีบว่ายน้ำดึบๆ หนีตัวอันตรายประจำเขื่อนทันที
แต่มันว่ายเร็วกว่า ตามมาประกบหลัง หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอก ทำใจอย่างเดียว บนฝั่งไอ้น้ำยาล้างจานกับน้ำยาขัดส้วมยังยืนนิ่งทำหน้าที่ประหนึ่งหุ่นปั้น ผมเอ่ยปากชวนไปเล่นๆ
“ลงมาเล่นน้ำด้วยกันสิซันไรส์วิกเซอร์”
สองคนนั้นยังยืนนิ่งประหนึ่งเสียงผมเป็นเสียงตอมหึ่งๆ ของแมลงหวี่
ผมย่นจมูกใส่
“ลงมาสิ ทั้งสองคน”
ไอ้บ๊วยมันสั่งด้วยน้ำเสียงเบาๆ สองคนนั้นขยับ ถอดเสื้อออกจากหัว ก้าวตามลงมาตามสั่ง
ผมจิ๊ปาก
เออ ผมมันไม่ใช่เจ้านายของพวกมันนี่
เอาตามจริงตั้งแต่วันแรกที่สองคนนี้โผล่มา ผมน่าจะอยู่ในฐานะนักโทษมากกว่า เพราะมันไม่ยอมให้ผมหลุดพ้นสายตาเลย
ผมไม่ได้สนใจคนทั้งคู่ ขยับว่ายน้ำไปเรื่อยๆ ก่อนร่างทั้งร่างจะเบรกกึก เพราะเอวถูกยึดจับไว้ด้วยสองมือใหญ่ๆ ของใครบางคน
ผมหันไปมอง
“เกาะหลังเฮียไหม”
“ไม่ใช่สัมภเวสี”
มันหัวเราะหึๆ แต่หันหลังให้ ผมชั่งใจอยู่อึดใจเดียวก็ลอยไปเกาะหลังมันไว้ ครั้งที่แล้วเล่นน้ำกันกลางคืน ครั้งนี้กลางวัน คนละอารมณ์เลย มันพาว่ายช้าๆ ผมเกาะทุ่นมีชีวิตลอยไปเรื่อยๆ ตอนแรกเกาะเฉยๆ แต่มันสบาย ผมจึงค่อยๆ ขยับตัวแนบติดแผ่นหลังอีกคนมากขึ้น กระทั่งหน้าผมอยู่ห่างหน้ามันเพียงนิด
“ทำไมเฮียถึงยอมแต่งงานกับอั๊ว”
ผมถามขึ้นมาเงียบๆ มันหยุดว่ายน้ำ ผมขยับไปลอยตัวด้วยตัวเอง
ถึงมันไม่บอก ผมก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
มันลอยตัวหันมาเผชิญหน้ากับผมตรงๆ สีหน้านิ่งเรียบ แสงแดดยามเย็นฉาบไล้ใบหน้ามันให้ดูสุขุมขึ้น
ให้ตาย ป๊ากับม๊าก็ช่างปั้นให้ออกมาหล่อได้ใจ
มันไม่ตอบ แต่ขยับมาจูบหน้าผากผมเบาๆ
“อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ หงส์ แล้วหงส์จะรู้คำตอบที่แท้จริง การแต่งงานครั้งนี้มันไม่ใช่แค่งานเท่านั้น”
ผมหลบสายตานั้นเสีย ว่ายไปเกาะหลังมันตามเดิม พระอาทิตย์คล้อยตัวต่ำลงไปเรื่อยๆ เรามองไปยังทิศทางเดียวกัน ผมกระชับกอดมันแน่นขึ้น มองเจ้าดวงโตๆ ที่กำลังจมลึกลงไปใต้น้ำ
มันจับผมลงจากหลัง ดึงมาด้านหน้า ไม่พูดอะไร จับผมจูบอีกรอบ
ผมบอกไม่ถูกว่าทำไมรอบนี้ผมไม่สะบัดสะบิ้งดิ้นหนีอะไร ไม่อายว่าจะมีใครเห็นด้วย ปล่อยให้มันเป็นผู้พยุงตัวเราสองคน โอบสองวงแขนรอบลำคอแกร่ง ตอบรับรสจูบนุ่มนวลนั้น
มันถอนปากออก มองตาผม ก้มจูบแก้มแผ่วเบา น้ำเย็นๆ ร้อนขึ้นมาทันที
“พระอาทิตย์ตกหนีแล้ว”
ผมอ้อมแอ้มพูดหนีความรู้สึกกระดากที่บังเกิดขึ้น มันยิ้ม จับผมเกาะหลังอีกรอบ พาว่ายขึ้นฝั่ง เห็นพี่หมอเล่นน้ำอยู่แถวๆ ขอบแพ ส่วนวิกเซอร์กับซันไรส์ ลอยอยู่ในน้ำครับ แต่ลอยนิ่งไม่ต่างกับยืนอยู่บนฝั่ง เหมือนเปลี่ยนสถานที่ลงมาทำหน้าที่บอดี้การ์ดในน้ำกันมากกว่า ผมลงจากหลังบ๊วยว่ายเองเมื่อระยะมันใกล้เข้าไป
“ปลาตายกันหมดเขื่อนแล้วครับน้องหงส์”
ผมมองคนพูดงงๆ
“ทำไม”
“โดนมดบุก จับปลาไปกิน เพราะน้ำแถวนี้มันหวานจนมดขึ้น”
โห
ผมหน้าร้อนผ่าว อุบอิบว่า ‘บ้า’ เบาๆ ว่ายไปเกาะขอบแพ ตีขาเล่นป๋อมแป๋ม พี่หมอหัวเราะ ลอยตัวไปใกล้เพื่อนตัวเองเพื่อพูดคุยหัวเราะกันตามประสาเพื่อนสนิท ผมไม่ได้สนใจสองคนนั้น สองมือเกาะขอบแพ พยุงร่างอย่างสบายอารมณ์
ก่อนสะดุ้งเฮือกเพราะโดนคร่อมร่างจากทางด้านหลัง ผมหันไปมอง
ผู้ร้ายประจำเขื่อนนี่เอง สองมือมันวางไว้ข้างๆ มือผม แผงอกแนบมากับแผ่นหลัง ดันเบา ๆ จนผมลอยชิดขอบแพเข้าไปอีก
“จะเบียดเข้ามาทำไมเนี่ย”
ผมโวยวายเบาๆ ออกแรงที่แขนดันตัวเองถอยหลังเพื่อผลักอีกคนออกห่าง
“เฮียอยากอยู่ใกล้ๆ หงส์”
ตูม!!!
เหมือนโดนระเบิดร่วงใส่หัวแบบไม่มีหวอเตือน ผมขยับเอาอกไปชิดขอบแพตามเดิม อุบอิบพูดไม่หวังให้ใครได้ยิน
“บ้า”
ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ มันขยับมาชิดหลังผมอีกรอบ เวลาแพขยับ ร่างเราก็ขยับเคลื่อนไหวไปตามกระแสคลื่นเบาๆ นั้น จะว่าไปมันก็เพลินดี
แต่มันจะเพลินกว่านี้ถ้าไม่มีอะไรมาทำให้หัวใจผมเต้นผิดปกติแบบนี้ มันขยับมือมาจับมือผมไว้ทั้งสองข้าง คลึงเบาๆ
“มือซีดหมดแล้ว”
“แช่น้ำนานมันก็ต้องซีดเป็นธรรมดา” ผมขยับเบาๆ ดึงมือออกห่าง คือหัวใจมันเต้นผิดปกติครับ สงสัยต้องให้พี่หมอช่วยตรวจสุขภาพหลังเที่ยวเสร็จนะเนี่ย
มันตามมากุมมือผมไว้เหมือนเดิม แทรกผสานนิ้วเราเป็นหนึ่งเดียว
โอ๊ย เขิน…
“อุ่นขึ้นไหม”
มันกระซิบถาม
“ไม่ได้หนาวนี่”
ผมตอบกลับเสียงเบา ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ แล้วมันก็งับหูผมมาเบาๆ ผมเอี้ยวหน้าไปมองตาขวาง มือยังถูกยึดอยู่จึงทำอะไรไม่ได้
มันขบลงมาเบาๆ อีกรอบ ผมรีบเบี่ยงหน้าหนี ด่ามันทางสายตาอีกรอบ มันตามมางับอีก
“เป็นหมารึไง”
“มั้ง”
“หน้าด้าน”
มันเพียงแค่ยิ้มตอบรับเท่านั้น ด่าอะไรไปไม่เคยสะทกสะท้านเลยตานี่
“หิวรึยัง”
อยู่ๆ มันก็ถามขึ้น เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน ผมพยักหน้ารับ มันมองไปทางซันไรส์กับวิกเซอร์ สองคนนั้นมองมาก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว รับทราบด้วยกระแสจิตพากันว่ายน้ำขึ้นฝั่งไป
พวกนั้นก็หน้าด้านว่ะ มองกันอยู่ได้ นี่มันจะต้องดูพวกผมไม่คลาดสายตาตลอดเวลาเลยรึไง
พี่หมอว่ายน้ำลอยมาเกาะแบบเดียวกับผมข้างๆ บ๊วยมันยังไม่ขยับไปไหน
สายตาผมปราดไปเห็นร่องรอยอะไรบางอย่างบนคอพี่หมอ ต่ำลงไปแถวๆ คอเสื้อ พอดีเสื้อเปียกแล้วมันถูกร่นลงจึงเห็น มันเป็นสีกลีบกุหลาบ รูปร่างหน้าตาคุ้นๆ นะ
“พี่หมอ ไปโดนอะไรกัดมาหรือเปล่า เป็นรอยเลย”
ผมดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมข้างหนึ่งชี้คอตัวเองให้ดูเป้าหมาย พี่หมอทำหน้าฉงน ยกมือลูบเบาๆ ตรงจุดนั้น ทำท่านึก พักหนึ่งก็ยิ้มพราย
“สงสัยจะโดนปลิงดูด”
ผมตาโต
“ที่นี่มีปลิงด้วยเหรอ”
ผมทำท่าจะขึ้นจากน้ำ แต่ไอ้บ๊วยรวบเอวไว้ มองหน้าเพื่อนตัวเอง
พี่หมอหัวเราะร่วน
“ไปนอนกับใครมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ไอ้บ๊วยถามเพื่อนมันเอง
นอนกับใคร??
อ๋อ รอยคิสมาร์คนี่เอง
โธ่ คิดว่าโดนปลิงดูดจริงๆ
ผมจ้องมองรอยนั้นอีกรอบ เกิดความสงสัยเหมือนบ๊วยมันเลยครับ ไปนอนกับใครที่ไหนมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะอยู่ด้วยกันแทบจะตลอด
พี่หมอยักไหล่ ไม่ตอบ เกาะขอบแพนิ่งเฉย ยิ้มกริ่ม มองตรงไปทางวิกเซอร์กับซันไรส์ ยกยิ้มนิดหนึ่ง ผมมองตามสายตาพี่หมอ สองคนนั้นเวลาลงน้ำจะถอดเสื้อประจำ ตอนนี้จึงเห็นกล้ามได้ชัดๆ ถ้าไม่ติดว่าสองพี่น้องนี่ปากหมาจนหมาจริงๆ ขอเป็นลูกศิษย์ ผมว่าสองพี่น้องนี้ต้องเป็นผู้ชายที่เพอร์เฟ็กมากแน่ๆ
กล้ามเป็นลอนคนละหกห่อ
ไม่ใช่สิ น่าจะมากกว่านั้น ผมไล่สายตานับ 6…7…8
โอ้โห แปดห่อแน่ะ
ตัวโตขนาดนั้น ไอ้นั่นก็คง…
ผมลดหน้าต่ำลงให้น้ำสูงปริ่มขึ้นเกือบมิดจมูกดับความร้อนและความคิดอุบาทว์ในหัวตัวเอง
คิดอะไรพิลึกวะหงส์ซาน
ผมขยับ ชะงัก เพราะรู้สึกถึงรังสีทะมึนจากคนด้านหลัง ผมเอี้ยวหน้ามอง ไอ้บ๊วยหน้าบูดเป็นตูดลิงเลย
“โดนปลิงกัดรึไง อยู่ๆ ก็หน้าบูด”“มองอะไรอยู่”
“มองหน้าเฮียไง”
“ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้”
ผมขมวดคิ้ว มองกลับไปทางสองพี่น้องต่างชาติบนแพ
“มองซันไรส์กับวิกเซอร์ไง”
ผมตอบตามตรง มันหน้าหงิกยิ่งกว่าเดิม
อะไรวะ
ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ จากพี่หมอ แล้วรายนั้นก็โดดขึ้นแพไป ผมทำท่าจะโดดขึ้นตาม แต่ไอ้บ๊วยมันยึดเอวไว้
“จะขึ้นแล้ว หนาว”
มันจับผมหันไปเผชิญหน้า ประคองผมให้ลอยด้วยตัวเอง จับจูบอีกรอบ
โอ๊ย อะไรมันจะจูบบ่อยขนาดนี้ เอะอะจูบ เอะอะจูบ
“ห้ามมองผู้ชายคนไหนนอกจากเฮียอีก”
ผมอ้าปากค้าง
“บ้ารึไงแค่มอง”
“แต่หงส์เป็นเมียเฮีย”
“บ้ารึเปล่า แค่มอง แล้วนั่นก็บอดี้การ์ดเฮียนะ”
“ไม่ว่าใครก็ห้ามมองทั้งนั้น ยกเว้นเฮีย”
“เผด็จการ”
“ถ้ามองผู้ชายคนไหนอย่างชื่นชมแบบเมื่อกี้อีก เฮียจะปล้ำแปดยก”
“โรคจิตแล้วเฮีย นี่มันเข้าข่ายริดรอนสิทธิมนุษยชนนะ”
“แล้วแต่จะคิด แต่ถ้าหงส์มองใครแบบเมื่อกี้อีก… แปดยก”
มันเน้นคำหลังชัดเจน
อื้อหือ มึง แค่สี่ยกกูก็นอนเดี้ยงไปสามวันแล้วแปดยกนี่คงเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตแน่ๆ
“ก็ได้ๆ หนาว ขึ้นได้ยัง”
ผมรับปากอย่างเสียไม่ได้ มันยิ้มออกมาบางๆ จูบหน้าผากผมเบาๆ จับผมยกหวืดขึ้นไปนั่งแหมะบนแพ ผมรีบขยับลุก มันก้าวตามขึ้นมาติดๆ
น้ำจากตัวเราสองคนไหลพรากเป็นทาง วิกเซอร์เดินเข้ามาหาพร้อมผ้าเช็ดตัวสองผืน ผืนหนึ่งให้ผม อีกผืนให้เจ้านายมันเอง ผมรับมาซับตัวเดินเข้าห้องไป
ผมขอใช้สิทธิ์ที่เดินเข้าห้องเป็นคนแรกจะเข้าไปอาบน้ำก่อน แต่พอจะปิดประตูห้องน้ำก็ต้องชะงัก เพราะมีมือปริศนามาหยุดไว้ ผมเงยหน้ามอง
ไอ้บ๊วยครับ
“อาบด้วยกันจะได้ไม่เสียเวลา”
ผมตาโต เรื่องอะไร หาเรื่องให้โดนล่วงละเมิดน่ะสิ
“ไม่!!”
ผมตอบพร้อมดึงประตูปิด แต่ฤทธิ์เทวดารึจะสู้ซาตาน มันดันผลัวะเดียวก็ขยับเข้ามาด้านในได้แล้ว
“งั้นเฮียอาบก่อน อั๊วอาบทีหลังได้”
ผมจะเดินออก แต่มันรั้งจับเอวผมไว้
“มาให้ทำโทษข้อหามองชายอื่นก่อน”
“ห้ามกันขนาดนี้ไม่ควักลูกตากันออกเลยล่ะ ปล่อย!”
ผมพยายามดิ้นรน
“อยากทำเหมือนกัน แต่ถ้าควักออก หงส์ก็มองไม่เห็นเฮียน่ะสิ ไม่คุ้มเท่าไหร่”
มันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
มันจับผมออกห่างจากประตู ปิดประตูลงเสียงดัง…กรึบ
ผมมองประตูบานนั้นอย่างอาลัยอาวรณ์
โอกาสรอดชีวิตเหลือเพียง 0.0001% เท่านั้น
“เอ่อ เฮีย หงส์หิวข้าว”
ผมเอาลูกอ้อนเข้าสู้ ขยับไปยืนห่างจากมันร่วมวา
“อาหารยังไม่มาเลย”
“หงส์เหนื่อย อยากรีบอาบน้ำให้เสร็จเร็วๆ”
มันยกยิ้ม เลิกถอดเสื้อตัวเองออกโยนตุบลงพื้น ผมมองตามเสื้อตัวนั้นแล้วหันกลับมามองเจ้าของเสื้ออีกที มันยกยิ้มอย่างตัวร้าย จับขอบกางเกง ผมถอยกรูดไปติดกำแพง
อยากกลายร่างเป็นสไปเดอร์แมนแล้วปีนกำแพงหนี แต่ทางรอดของผมถูกดักไว้หมดแล้ว พอทำอะไรไม่ได้ ผมยกหมัดขึ้นตั้งการ์ดทันทีแบบมวยไทยเตรียมสู้
มันชะงัก หัวเราะออกมาเสียงดัง
“โดนน้ำมากจนสมองบวมรึไง”
“เอาดิ เข้าใกล้ ต่อยตาแตก”
มันเลื่อนมือจากขอบกางเกงมากอดอกเอียงคอมอง
“ต่อยเฮียให้ได้สักหมัดสิ แล้วเฮียจะปล่อยไป”
มันท้าผมเหมือนเดิม อยู่นี่ผมว่ามีโอกาสมากกว่าข้างนอกนะ ผมยกการ์ดสูงรับคำท้า พยายามมองหาช่องว่างเพื่อต่อย
คือ…ผมเรียนมวยไทยมาแค่หลักสูตรเร่งรัด (พอดีมันเจ็บผมเลยไม่ได้เรียนต่อ)
เอาไงดี เบ้าตาไหม
ไม่ได้ๆ มันต้องไปทำงานต่อ เดี๋ยวหมดความน่าเชื่อถือ
กระโดงคาง
โหย หน้าแข็งเป็นหินแบบนั้น ผมว่ากระดูกมือผมคงจะหักมากกว่า
มุมปากไหม
อืม น่าสน แต่ถ้าปากเขียวมาน้ำยาล้างจานคงจับผมกระทืบ
หรือเจาะไข่มันดี ไม่มีใครเห็น น็อกดาวน์พาวเวอร์
อืม เป็นความคิดที่ดี งั้นเตะไข่มันนั่นแหละ เอาให้หมดสมรรถภาพไปเลย
ฉึบ!!
ไม่ใช่เสียงแข้งผมที่หวดออกไปตามใจคิดหรอกครับ แต่เป็นเสียงของมันที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาจับสองข้อมือผมไว้ต่างหาก
อ้าว ซวยละ
มันยกยิ้ม
“ใช้เวลาคิดนานเกินไปนะหงส์ ครั้งหน้าตัดสินใจให้เร็วกว่านี้หน่อย”
แล้วมันก็จับหมัดผมไปรวบรวมกันไว้ด้วยกันด้านหลัง แทรกเข่าเข้ามาตรงกลางระหว่างขา ดันจนหลังผมติดกำแพง
“เฮ้ย!! ปล่อย”
มันใช้มือที่ว่างถลกเสื้อออกจากตัวผม ม้วนมัดเป็นปมผูกข้อมือผมติดกัน ผมตาโต
“โรคจิตแล้ว มัดทำไม ปล่อย!!”
ผมท้วงหน้าตื่น
หรือว่ามันจะเป็นพวกซาดิสม์วิปริต ชอบความรุนแรง
มันยกยิ้ม สอดมือแทรกผ่านขอบกางเกงไปบดคลึงก้อนเนื้อกลมๆ ของผม ไม่หนักไม่เบา มืออีกข้างลูบไล้มาทั่วผิวเนื้อเปลือยเปล่าด้านหน้า ผมครางฮือเมื่อมันคีบหัวนมผมด้วยหลังนิ้วชี้และนิ้วกลาง
“เดี๋ยวเฮียอาบน้ำให้”
มันเปิดฝักบัว ราดน้ำจนตัวผมเปียกชุ่ม (จริงๆ มันก็เปียกมาก่อนหน้านั้นแล้วจากการเล่นน้ำ) มันหันไปกดสบู่จากกล่องข้างกำแพงมาถูจนเกิดฟอง นำมันมาลูบไล้บนเนื้อตัวผม
“บ้าหรือเปล่า ปล่อยนะเว้ยไอ้โรคจิต!!”
ผมพยายามดันมันออกด้วยไหล่ มันไม่สนการขัดขืนของผมลูบไล้ฝ่ามือไปมา มือมันผ่านไปที่ไหน ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านไปตามจุดนั้น ผมครางฮือเมื่อมันลูบผ่านยอดอกผมเบาๆ มันตั้งชันมาก่อนหน้านั้นแล้ว ตอนนี้ยิ่งตั้งเข้าไปใหญ่ มันค่อยๆ จับกางเกงผมรูดออกจากตัวช้าๆ ทิ้งลงพื้นข้างตัว
น้องผมตื่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ มันไล้วนฝ่ามือไปรอบๆ ขยับถอดกางเกงตัวเองออกบ้างจนตอนนี้เรามีสภาพไม่ต่างกันแล้ว ไม่อยากมองเลย เพราะไอ้นั่นมันชี้หน้าผมอยู่ มันแก้ปมผ้ามัดข้อมือผมออก ผมรีบจับสองต้นแขนมันไว้ทันทีดันออก ตอนนี้เรี่ยวแรงผมเหลือไม่ถึงครึ่ง ผิวเนื้อเต็มไปด้วยสบู่
“อ๊า…”
ผมครางสยิวออกมาเมื่อมือนั้นเกลี่ยมาทั่วบั้นเอว มันโอบร่างผมไว้ ก่อนค่อยๆ แทรกนิ้วผ่านรอยแยกด้านหลัง ผมตาโตจะดันตัวออก แต่มันยึดโอบไว้
มือมันลื่นพรืดเพราะสบู่ มันจับผมพลิกหันหลังทันที ดึงสะโพกเข้าหามัน
“ไม่ทำนะ”
ผมร้องขอ ถึงจะรู้ว่าโอกาสรอดมีน้อยก็เถอะ
คิดว่ามันจะฟังคำขอผมไหมล่ะ
คำตอบก็คือ…
“อืม..”
ผมครางออกมาเบาๆ เมื่อเนินเนื้อสองข้างถูกจับแยกกว้าง แล้วบางสิ่งอุ่นร้อนแข็งปั๋งค่อยๆ แทรกผ่านเข้ามา ผมแนบหน้าเข้ากับกำแพงห้องน้ำ แยกขาออกกว้างขยับสะโพกเพื่อผ่อนคลาย มันก้มงับติ่งหูผมเบาๆ ขยับชำแรกผสานร่างของเราทีละนิดๆ มันไม่ได้รีบร้อน แต่ทำช้าๆ ทำเบาๆ สบู่ลื่นๆ ช่วยได้เยอะมากเลย
“ไอ้หื่น”
ผมด่ามันไป ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆ มันดึงสิ่งนั้นออกช้าๆ แล้วใส่กลับเข้ามาใหม่แผ่วเบา
“I want to make Love to you”
“พูดจีนก็ได้นะ น่าจะฟังลื่นหูกว่าภาษาอังกฤษ”
ผมรวนมันไปอีกรอบ มันหัวเราะหึๆ
“โรแมนติกกับเฮียหน่อยหงส์”
“อยากได้กระติกให้ไปขอซันไรส์”
“หงส์!”
มันขยับแรงขึ้นเหมือนต้องการทำโทษ ผมครางสะท้านตัวสั่นริกไปหมด
มันจับผมพลิกหันไปเผชิญหน้า ยกสองขาผมขึ้นโอบรอบเอวมัน ดันหลังผมแนบติดกำแพง ผมรีบโอบสองมือรอบคอมันทันทีเพื่อพยุงร่างกันร่วง
มันดันคางผมขึ้นเบาๆ บังคับให้สบตา กระซิบแผ่ว
“บอกรักเฮียสิ หงส์ซาน”
ผมกัดกราม จ้องกลับด้วยดวงตากึ่งปรอยกึ่งไม่พอใจ กระซิบกลับ
“ไม่”
มันคลอเคลียริมฝีปากกับปากผม ไปที่แก้ม เปลือกตา หน้าผาก
“พูดสิ”
ใครมันบ้ามาร้องขอให้บอกรักกันเวลานี้วะ ผมไม่สนใจเมินหลบไปด้านข้าง มันจับคางผมให้หันมาสบตาอีกรอบ
“นะ พูดสักคำให้เฮียชื่นใจหน่อย” ปากมันร้องขอในขณะที่ท่อนล่างก็ขยับไม่หยุด ช้าๆ เบาๆ ยิ่งทำปราการที่ผมตั้งไว้สูงลิบก่อนหน้าก็ค่อยๆ พังทลายลงมา
“นะ Please, for me”
กูบอกว่าภาษาจีนก็ได้ ไม่ฟังกันเลยไอ้นี่
“Please”
น้ำเสียงมันทั้งกระเส่า เร่าร้อน ออดอ้อนและอ่อนหวาน ผมขยับซุกหน้ากับหน้าอกมันกระซิบแผ่ว
“หงส์รักเฮีย”
มันดันตัวผมออกจากอก ก้มจูบ มันเป็นจูบที่ไม่ได้เร่าร้อน แต่กลับเชื่องช้า หวามไหว ติดจะดูอ่อนหวานจนน่ากลัว
‘หงส์รักเฮีย’
ทำไมผมถึงรู้สึกแปลกๆ ไปกับคำพูดที่ไม่ได้ออกมาจากความรู้สึกจริงๆ แบบนั้นก็ไม่รู้
ถ้าเปรียบรสจูบครั้งนี้เป็นขนมหวาน ตอนนี้ผมก็กำลังละเลียดกินมันอยู่อย่างเอร็ดอร่อย โดยมีคนป้อนคือไอ้บ๊วยนั่นแหละ
ยิ่งกินยิ่งหวาน ยิ่งกินยิ่งอร่อย
พอมันหยุด ผมยังรู้สึกเสียดายเลย ผมมองมันตาปรอย มันยิ้มนิดๆ ปล่อยผมยืนกับพื้นอีกรอบ พลิกหันหน้าเข้ากำแพง ผมไม่ได้ขัดขืนหรือคิดจะดิ้นรนหลีกหนีอีก สองมือค้ำยันกำแพงไว้รองรับร่าง ได้ยินเสียงทุ้มครางเบาๆ มือหนึ่งของมันค้ำกุมมือผมไว้กับกำแพง อีกข้างประคองอยู่ที่สะโพก
หัวใจผมไหวแรงสุดๆ
ไม่ใช่เพราะร่างกายที่กำลังถูกกระตุ้น แต่เป็นเพราะมือมันที่กำลังกอบกุมมือผมไว้ตอนนี้ต่างหาก บ๊วยมันเร่งจังหวะหลังจากรบด้วยลีลาลีลาศมาชั่วระยะหนึ่ง เวลาช้าก็นิ่มนวลดีอยู่หรอก เวลาเร่งนี่เอวแทบหัก
รอบเดียวครับ แต่อย่างที่เคยบอก ผมกับมันเป็นพวกอึดด้วยกันทั้งคู่ รอบเดียวก็เล่นเอาเอวผมเคล็ดไปเลย ผมออกมาแต่งตัวเป็นเวลาเดียวกับที่ซันไรส์มาเคาะห้องพอดีบอกว่าอาหารพร้อมแล้ว ผมพยายามปรับสภาพเนื้อตัว แต่มันเคล็ดขัดยอกที่สะโพกจนเดินเป๋ไป ออกไปก็เห็นพี่หมอนั่งห้อยขาริมแพ พี่แกใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสามส่วน
โอ้โห เห็นรอยกลีบกุหลาบชัดเลย
ผมยังงงไม่หายว่าพี่หมอเอาเวลาที่ไหนไปเต๊าะสาว
จะว่าไปนักท่องเที่ยวสวยๆ มาเที่ยวแพแบบเราก็เยอะ หน้าตาพี่หมอก็หลอกล่อสาวได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ดีกรีหมอเครดิตดียิ่งกว่าบัตรทอง แค่เห็นสาวๆ คงพร้อมใจยินดีให้รูดเสื้อชั้นในได้ง่ายๆ ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่ง เบ้หน้านิดๆ เพราะยังหน่วงตรงนั้นอยู่ พี่หมอลุกขึ้นจากน้ำมานั่งบ้าง
อยากแซวเรื่องรอยบนตัวพี่หมอเหมือนกัน แต่กลัวโดนแซวกลับ ผมเลยเลือกที่จะเงียบๆ ไว้ มื้อนี้เรากินกันค่อนข้างมืด แสงจากดวงไฟสว่างไสวไปทั่ว มันสวยมากจริงๆ เรากินไปนั่งคุยกันไปอย่างออกรส บางเรื่องผมก็ไม่รู้เรื่องหรอก มื้อนี้มีแค่สามคนครับ เพราะวิกเซอร์กับซันไรส์แยกไปกินอีกสำรับ
แน่นอนว่าหลังจากมื้อเย็น บ๊วยมันต้องทำโรแมนติกด้วยการลากผมไปนั่งบนฟูกที่ผมลากมาปูชานแพ ข้างๆ เป็นแก้วไวน์ ดื่มกันเงียบๆ
มันก็ดื่มไปกอดผมไป จูบได้จูบ ลูบไล้ได้ลูบไล้ เก็บเล็กเก็บน้อยไป ใจแข็งขนาดไหน เจอแบบนี้ก็ระทวยได้เหมือนกันนะครับ
“แก่จนปูนนี้แล้วทำไมเฮียยังไม่แต่งงาน”
ผมหาเรื่องคุย จริงๆ คือกะจะรวนมันแก้เบื่อไปงั้นเอง
มันมะเหงกผมเบาๆ
“เฮียแค่สามสิบต้นๆ แก่ที่ไหน”
“แก่ก็ยอมรับมาเถอะว่าแก่ ไม่มีใครว่าหรอก โกงอายุล่ะสิ หน้าเงี้ยอย่างกับห้าสิบห้า”
จริงๆ ไม่ถึงหรอกครับ ข่มมันไว้ก่อน มันหัวเราะหึๆ
“ขิงน่ะ ยิ่งแก่ยิ่งร้อนแรงนะ”
“พอดีไม่ชอบขิง ชอบน้ำเต้าฮู้มากกว่า แล้วตอบได้รึยังว่าทำไมยังไม่แต่งงาน”
“พอดียังไม่เจอคนถูกใจ”
“เป็นเกย์?”
ผมถามตรงๆ มันส่ายหน้าไปมา ตอนนี้มันนอนตะแคงข้างเอกเขนกอยู่บนฟูก รองด้วยหมอน ยกส่วนบนสูง ผมนั่งอยู่ตรงซอกพุงมัน หันหน้าเข้าหาแม่น้ำ ไม่เห็นวิกเซอร์แล้วครับ ไม่รู้ว่าง่วงแล้วเข้านอนก่อนหรือเปล่า เห็นแต่พี่หมอกับซันไรส์ แต่แค่แวบเดียวเท่านั้น เพราะบ๊วยมันดึงความสนใจผมกลับ
“หงส์เป็นผู้ชายคนแรกที่เฮียนอนด้วย”
ผมส่ายหน้าไปมา
“ไม่เชื่อ ท่าทางดูชำนิชำนาญราวกับผ่านมาแล้วอย่างโชกโชน”
มันหัวเราะหึๆ
“ของพวกนี้ใช้สัญชาตญาณก็เรียนรู้ได้แล้ว ร่างกายมนุษย์มันมีไม่กี่จุดหรอกที่กระตุ้นได้”
ผมหน้าร้อนผ่าว
“หื่น”
ผมอ้อมแอ้มด่า พูดไปชักเข้าเรื่องใต้สะดือ
“สเปกเป็นแบบไหน”
ผมถามต่อ
มันไม่ตอบ แต่มองหน้าผมนิ่งๆ
“เอ้า ตอบสักที สเปกเป็นแบบไหน”
มันระบายยิ้มออกมาบางๆ
“ดื้อ”
อื้อหือ โรคจิตเปล่าวะ ชอบคนดื้อเนี่ยนะ
“ปากไม่ตรงกับใจ”
เลวร้ายกว่าดื้ออีก
“ขาว”
โอ้ อันนี้ธรรมดา สเปกชายไทย
“เตี้ย”
หะ!! เดี๋ยวนะ มันความหมายเดียวกับผู้หญิงตัวเล็กหรือเปล่า
“ซื่อบื้อ”
“สเปกทุเรศจัง”
ผมสวนกลับทันทีที่มันพูดจบ มันหัวเราะร่วน
“คงหาได้หรอกนะ สเปกแบบนี้”
มันมองหน้าผม แล้วหัวเราะออกมาอีกรอบ
อะไรวะ
“แล้วใครเป็นต้นคิดให้เฮียตกลงมาแต่งงานกับอั๊ว”
ผมถามต่อ
“เฮียเอง”
ผมทำหน้าฉงน
“เฮียรู้จักหงส์จากข้อมูลที่ส่งมาให้เพื่อแต่งงานกับอาเหมย”
ผมพยักหน้าหงึกๆ
“หลังจากนั้นก็ส่งนักสืบไปตามดูพฤติกรรมตลอด”
ผมอ้าปากค้าง
“ตอนไหน”
มันยกยิ้ม แต่ไม่ตอบคำถาม
“พอเหมยหนีไป เฮียเลยเสนอกับป๊าม๊าว่าจะขอแต่งงานแทน”
ผมจิ๊ปาก
“คิดได้เนอะ โรคจิตจริงๆ เหมยก็ไม่น่าหนีไปเลย ถ้าได้แต่งงานกัน ป่านนี้เราคงมีความสุขร่วมกัน แถมยังมีหลานให้ป๊ากับม๊าอุ้มด้วย”
“หนีไปน่ะดีแล้ว เพราะถ้าเหมยอยู่ เฮียก็ไม่ได้แต่งงานกับหงส์น่ะสิ”
“แต่อั๊วไม่อยากแต่งงานกับเฮีย อยากแต่งงานกับเหมยมากกว่า”
ผมบอกมันตามตรง มันไม่ต่อความเรื่องนั้นเสถามไปเรื่องอื่น
“หงส์อยากมีลูกเหรอ”
“เอ้า ถามได้ อยากสิ รึเฮียไม่อยากมี?”
มันจ้องหน้าผม
“ไอ้อยากมันก็อยาก แต่ดีแล้วที่หงส์เป็นผู้ชาย เพราะถ้าเป็นผู้หญิงแล้วท้อง ลูกเราอาจได้เชื้อสมองบวมแบบหงส์”
ผมอ้าปากค้าง
“ใครสมองบวม!!”
มันหัวเราะหึๆ โอบวงแขนรอบเอวผม
“ไม่ว่าหงส์จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เฮียก็ดีใจที่ได้แต่งงานกับหงส์”
ผมอึ้งฟัง สมองกำลังทำการประมวลผลอย่างหนัก
“แน่สิ หงส์เป็นตัวนำโชคเฮียนี่ จะเพศไหนเฮียก็ไม่สนอยู่แล้ว”
มันจ้องหน้าผม พ่นลมหายใจแรงจนเส้นผมบนหน้าผากผมสะบัดพรืด ตามด้วยมะเหงกลูกใหญ่
“บื้อ”
แล้วมันก็หัวเราะ มองตาผม
“แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหงส์ เฮียถูกแวดล้อมด้วยมนุษย์เจ้าเล่ห์ สวมหน้ากากเข้าหากัน คิดซับคิดซ้อน ฉลาดเป็นกรด พอมาเจอคนแบบหงส์ในวงสังคมแบบนี้ก็ทำให้เฮียแปลกใจไม่น้อยว่ามีด้วยเหรอคนแบบนี้”
ผมขมวดคิ้วมองงงๆ
นี่มันกำลังชมหรือด่าผมอยู่กันแน่?
มันจ้องหน้าผม เกลี่ยแก้มแผ่วเบา โดนมันสัมผัสทีไร ไม่ว่าที่ไหน ตรงนั้นจะร้อนวูบวาบทุกที
“หงส์อยู่กับเฮียแล้วไม่มีความสุขเหรอ”
“ไม่ ปวดสะโพกจะตาย”
มันหัวเราะ
“นอกจากปวดสะโพกล่ะ”
ผมนิ่งคิด เอาตามจริงยกเว้นเวลามันล่อจนผมลุกไม่ได้ไปสามวัน นอกนั้นผมก็ถือว่าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ต่างกับอยู่บ้านนั่นแหละ
มันยกหน้าขึ้นมาจูบหน้าผากผมเบาๆ กระชับกอดผมแน่นขึ้นไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบอะไร
ผมก็ไม่คิดจะยอมรับกับมันตรงๆ มองเหม่อไปยังท้องน้ำยามค่ำคืนสะท้อนแสงจันทร์และดวงดาวอีกครั้ง วันนี้ท้องฟ้าสดใสเห็นดาวได้แจ่มชัดกว่าเมื่อวานอีก
ยิ่งวงแขนมันโอบกระชับมามากเท่าไหร่ หัวใจผมยิ่งเต้นเร็วมากขึ้นเท่านั้น
To be Con
รอเวลาให้น้องหงส์ใจอ่อนเร็ว ๆ สู้ ๆ เฮียไป่หลง
ข่าวสารและนิยายเรื่องอื่นๆ:
https://goo.gl/WbWxt8