Sorry,โทษทีครับผมรักเพื่อนใหม่ l ☻Update☻ [บทที่ 14] !!(end)♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sorry,โทษทีครับผมรักเพื่อนใหม่ l ☻Update☻ [บทที่ 14] !!(end)♣  (อ่าน 12412 ครั้ง)

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



Sorry,โทษทีครับผมรักเพื่อนใหม่

มีการแก้ชื่อเรื่อง(25/4/60) จาก error! วุ่นนักรักขัดใจ เป็นชื่อนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าจู่ๆผู้แต่งก็คิดชื่อเรื่องใหม่ได้หลังจากลงไปแล้วหลายบท(น่าตบตัวเองให้ตาย) และชื่อใหม่ดันเข้ากับเนื้อหามากกว่าชื่อเก่ามากๆ เลยขออนุญาตเปลี่ยนนะครับ // ขออภัยเป็นอย่างยิ่ง

--------------------------------------------

Contents



--------------------------------------------

ถ้ามีตรงไหนผิดพลาดสามารถแนะนำได้เสมอเลยนะครับ ผมจะนำคำติของทุกๆท่านไปพิจารณาและแก้ไข
ขอฝากนิยายเรื่องแรกเอาไว้ด้วยนะครับ   :o8:

หมายเหตุ : เรื่องราวนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติเท่านั้น อาจจะมีการดึงสถานที่จริงมาใช้บ้างเล็กน้อย

หมายเหตุ2 : Extra ในแต่ละบทเป็นสิ่งที่ผมคิดขึ้นมา เป็นบทคุยสั้นๆที่จะไม่มีทางรู้แน่นอนในบทหลัก เพราะผมหาทางใส่
                 ลงไปไม่ถูก ก็เลยแยกออกมาเลย เพราะฉะนั้นบางบทก็จะไม่มีนะครับ(ขึ้นอยู่กับมุกของผู้เขียน มุกหมดก็คือจะไม่มี)

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2017 20:43:28 โดย BetaCosmos »

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
Intro
จุดเริ่มของความผิดพลาด : Start to ERROR!


   “ลาเต้ปั่นได้แล้วครับ”

        “เอ้า ถึงเวลาเปลี่ยนกะแล้วน้องเต้ ตั้งใจดีมาก อ่ะนี่ค่าจ้างของวันนี้ ผู้จัดการฝากมาให้” 

        “เย้! ขอบคุณครับพี่เซฟ...โอ้ย ผมเจ็บนะ อย่าลูบหัวแรงดิ”

         ขอแนะนำให้รู้จักนะครับ คนที่ลูบหัวผมไปหัวเราะไปอยู่นี่คือรุ่นพี่ที่ทำงานของผม พี่เค้าชื่อพี่เซฟ เค้าเป็นคนดูแลผมตอนที่ผมเข้ามาทำงานใหม่ๆ ทำให้เราค่อนข้างสนิทกัน   

         “เออใช่ รีบกลับบ้านไปพักผ่อนเลย พรุ่งนี้มีนัดรวมนิสิตใหม่ไม่ใช่หรอ”

         “หืม พี่รู้ได้ยังไงเนี่ย แอบดูตารางของผมใช่มะ แต่ขอบคุณครับที่เตือน”

         “เปล่าๆ พี่รู้จากผู้จัดการน่ะ แล้วพรุ่งนี้มาทำงานเปล่าฝากพี่บอกผู้จัดการไหม”

         “ทำครับทำ มันเลิกประมาณเที่ยง ผมเข้ากะบ่ายโมง ถ้าจะสายก็คงไม่เกินสิบนาทีอ่ะครับ ขอบคุณครับที่ห่วง”

         ก็อย่างที่เห็นแหละครับ ผมรักและเคารพรุ่นพี่คนนี้มาก พี่เค้าเป็นคนดีมากๆ  เอาใจใส่ผม แม้บางครั้งจะชอบแกล้งผมก็เถอะ แต่บางครั้งการเอาใจใส่ของพี่ทำให้ผมรู้สึกถึงรังสีริษยาที่มาจากกลุ่มผู้หญิงบ้างเป็นบางครั้ง (บางครั้งก็แอบช็อกนิดหน่อย เพราะว่าก็มีมาจากผู้ชายบ้าง...) เพราะงั้นบางทีผมก็ต้องพูดให้พี่เค้ารู้ตัวว่าตัวเองอ่ะหล่อมาก สูงมาก แล้วก็หุ่นดีมาก (เอ๊ะ ทำไมพูดแล้วอยากร้องไห้) ดังนั้นการรักษาภาพพจน์ก็เป็นเรื่องที่ควรกระทำ เพราะจากการสังเกตลูกค้า ที่มากันส่วนมากก็เพื่อส่องคุณพี่นี่แหละ

           “โอเคกลับบ้านปลอดภัยนะ”

           “เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่ได้ไปหาเจ้าข้าวเลย”

           “อ๋อ นั่นไงวิ่งมาแล้วนั่น” ผมหันมองไปทางที่พี่เซฟชี้

           “ไงจ้ะ เจ้าข้าว คิดถึงพี่มั้ย หืมม มาม่ะ จูบที”

           “น้องเต้ อายลูกค้าหน่อยครับ” พี่เซฟพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

            ไอพี่บ้า เอาอีกแล้ว จะพูดทำไมให้คนมามองผมเนี่ย!

            'ข้าว' หมาพันธุ์ไซบีเรียนตาสองสี มันเป็นหมาประจำคาเฟ่แห่งนี้และเป็นหมาที่ทำให้ผมได้เข้ามาทำงานในคาเฟ่นี้ด้วย ถ้าจะถามว่าได้ยังไงก็ต้องย้อนความกันนิดหน่อย ตอนนั้นมันเป็นช่วงที่ผมพึ่งย้ายมาอยู่ตัวคนเดียวใหม่ๆ แล้วกำลังหาที่ทำงานพาร์ทไทม์ บังเอิญเห็นเจ้าข้าวมันวิ่งเล่นออกมาที่ถนน แล้วพี่เซฟก็วิ่งตามมา

           “น้องช่วยจับมันที!”

           “เอ๊ะ..?”

           แล้วเจ้าข้าวมันก็กระโดดเข้าหาผม  แต่ไซบีเรียนมันใช่หมาพันธุ์เล็กๆเสียเมื่อไหร่กัน ทันทีที่เจ้าข้าวกระโดดเข้าใส่ ด้วยน้ำหนักตัวของเจ้าหมา หงายหลังสิครับงานนี้

           “อูย...เจ็บๆ” กระดูกเชิงกรานหักไหมเนี่ย...รู้สึกร้าวไปทั้งหลังเลย

           “นี่เจ้าหนูก็โดดใส่คนอื่นมันไม่ดีนะ วิ่งหนีเจ้าของก็ไม่ดีนะรู้มั้ย!...” ผมดุเจ้าหมาพันธุ์ไซบีเรียน แต่ในทันทีที่ดุเสร็จ ผมก็โกรธมันต่อไม่ลง ดูสิครับ รู้ตัวด้วยว่าโดนว่า หูตกเชียว

           แต่ผมต้องใส่ชุดนี้ไปหางานต่อเนี่ยสิ...เฮ้อ ช่วยไม่ได้ ไว้หาต่อพรุ่งนี้แล้วกัน

           “เอ่อ ขอโทษครับๆ  เป็นอะไรมากมั้ย” พี่เซฟเดินเข้ามาถามผมด้วยสีหน้าเป็นห่วง

           หลังจากนั้นผมก็ได้รู้จักพี่เซฟกับเจ้าข้าวเนี่ยแหละ จากนั้นก็คุยกันไปคุยกันมาก็รู้ว่าพี่เซฟเค้าทำงานอยู่ที่คาเฟ่นี้ ก็เลยแนะนำให้ผมเข้ามาทำงานด้วย ซึ่งผมก็ตกลงไปแบบไม่คิดอะไรมาก เพราะกำลังหาอยู่พอดี แถมผมก็ชอบกลิ่นกาแฟด้วย การทำงานที่คาเฟ่จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับผม

            อืม ตั้งแต่ตอนนั้นก็อาทิตย์นึงแล้วสินะ...เป็นความทรงจำที่ดีล่ะมั้ง

            “นี่น้องลาเต้ นั่งเหม่ออะไรอยู่ ไม่กลับบ้านกลับช่องเหรอ” เสียงของพี่เซฟทักผมขึ้นมา

            “อ้าวจะหกโมงแล้วนี่ พี่กลับก่อนนะเจ้าหมาน้อย มาๆจุ๊บก่อนกลับ”

            “เลิกงานห้าโมง กลับหกโมง ตลกดีนะ”

            “กลับก็ได้ๆ ชิ ไล่กันอะไรขนาดนี้”

           “โอ๋ๆไม่งอนๆมาๆกอดที”

           “...พี่ครับ ผมว่ามันคงไม่ดีมั้ง”

           ผมคิดว่ากลับบ้านแล้วก็ควรค้นหาวิธีแก้คำสาปแช่งเป็นความรู้ติดตัวไว้บ้าง อยู่กับคนๆนี้ไม่วันใดวันนึงมันก็ต้องโดนพวกแฟนคลับพี่ขยี้บ้างแหละ...

           “ไม่ดีตรงไหนอ่ะ เป็นมารยาทนะ ตอนพี่อยู่เมืองนอกก็ทำ”

           “แต่นี่ประเทศไทย...”

           “ก็พี่ยังไม่ชินไหว้หนิ ทำให้พี่ไม่ได้หรอ นะๆ”

           อึก...พี่ครับหยุดใช้ความหล่อของพี่ กับน้ำเสียงอ้อนๆเถอะ มันทำให้ผมใจอ่อนก็จริง แต่ผมยังไม่อยากถูกแช่งชักหักกระดูกนะ...ต้องเด็ดขาดบ้างแล้ว!

          “ไม่ได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้”

          “เดี๋ยวนี้หัวแข็งขึ้นนะเราอ่ะ ตอนรู้จักกันใหม่ๆยังน่ารักกว่านี้เลยนะ ขออะไรก็ให้”

          “ไอ้พี่บ้า อายเค้ามั่งมั้ยเนี่ย ไปแล้วนะ หวัดดีครับ!” ทันทีที่ผมพูดจบผมก็รีบเดินแจ้นออกจากร้านในทันที

          “เฮ้อ...” มีวันไหนออกมาจากร้านโดยไม่อายมั่งมั้ยเนี่ย
 
           อ่อ จริงสิมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะงงเรื่องสถานะของผมนิดหน่อย งั้นขอให้ผมได้อธิบายตรงนี้นิดหน่อยแล้วกันนะครับ ผมชื่อเล่นว่า ลาเต้ เรียกสั้นๆว่าเต้ก็ได้ครับ ชื่อจริงคือ นายทิวา รุ่งเรืองสวัสดิ์ ย้ายมาอยู่คนเดียวได้ประมาณอาทิตย์กว่าๆแล้วครับ สาเหตุก็มาจากบ้านไกลมหาลัยนี่แหละ 

           สถานะปัจจุบันก็คือ เป็นนิสิตใหม่ของมหาลัย Q ครับ คณะที่ผมสอบติดก็คือสัตวแพทย์ ตอนนี้พักอาศัยอยู่ที่หอในของทางมหาลัย ส่วนเรื่องการทำงานพิเศษ ตอนนี้อย่างที่รู้ๆกันว่าผมทำงานอยู่ที่คาเฟ่ใกล้ๆมหาลัย สาเหตุก็คือ ผมอยากพึ่งพาตัวเองดูน่ะครับ จะพึ่งพ่อแม่ก็แค่ค่าเทอมเท่านั้นแหละ ผมไม่อยากเพิ่มภาระทางด้านค่าใช้จ่ายส่วนตัวก็เลยตัดสินใจทำงานเองเลย

         นี่ครับเดินมาประมาณสิบนาทีจากร้านคาเฟ่ ก็ถึงหอในแล้ว

         หอพักมหาลัยนี้ ผมพูดเลยว่าทุกอย่างโอเค มีแอร์ มีห้องน้ำในตัวด้วย เสียอย่างเดียวไม่มีลิฟท์ ของแบบนี้มันควรจะมีไม่ใช่หรอ! คนห้องพักอยู่ชั้นบนสุดอย่างผมนี่ เหนื่อยทุกวันเลยให้ตายสิ...

         ห้อง 609 ถึงซักที

         โอ๊ะ...รูมเมทยังไม่มาเลยแฮะ...อืม ก็ดีเหมือนกันนะ(นิสัยไม่ดี) ปกติห้องพักห้องนึงจะมี 2 คนครับ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด ผมอยู่คนเดียวมาตลอด พอลองถามผู้คุมหอดู ก็เห็นบอกว่าเดี๋ยวจะมาเร็วๆนี้แหละ เห็นทางฝั่งนั้นยังไม่ได้เคลียกับทางบ้านอะไรซักอย่าง
 
         อ้าวจะสองทุ่มแล้วหรอเนี่ย รีบอาบน้ำนอนดีกว่า นอนเร็ววันนึงก็ดีนะ (ปกตินอนดึกเพราะอ่านการ์ตูนบ้าง นิยายบ้าง ส่องเพจสัตว์โลกน่ารักเฟซบุ๊คบ้าง รู้ตัวอีกทีก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว)

         เออใช่! พรุ่งนี้มีงานรวมนิสิตใหม่สินะ ชีวิตในมหาลัยกำลังเริ่มแล้วสิ

         พรุ่งนี้จะเจอเรื่องอะไรบ้างนะ ตื่นเต้นจัง...

Extra

ตอนที่เจอกับพี่เซฟครั้งแรก
เซฟ : “น้องจะทำงานหรอ ไม่ได้ๆ ยังไม่บรรลุนิติภาวะยังทำงานไม่ได้นะ อย่างน้อยๆก็ต้องอายุ 18”
ลาเต้ : “ผมอยู่ปี 1 แล้ว!”
เซฟ : “...โกหกไม่ดีนะหนู“
ลาเต้ : (@Xy#$)
ความทุกข์ใจเล็กๆของผู้ชายสูง 165
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-04-2017 12:28:47 โดย BetaCosmos »

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ไอ้หมอนี่มันนักเลงชัดๆ

   “ติ๊ดติ๊ดติ๊ด”

        อือ เช้าแล้วหรอ เฮ้อ....ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความงัวเงีย

        ผมมองไปทางนาฬิกาที่ตั้งอยู่หัวเตียง เจ็ดโมงครึ่ง...เหลือเวลาอีกชั่วโมงครึ่งก่อนถึงเวลา ไปอาบน้ำดีกว่า

   หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ผมก็มานั่งเช็คว่าเอาของที่จำเป็นไปครบหรือยัง

   อืม..กระเป๋าเงิน โทรศัพท์ บัตรนักศึกษา เรียบร้อย

            จริงสิ ผมยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนี่นา เวลาเหลืออีกสี่สิบนาทีก่อนถึงเวลานัด จะเดินไปกินข้าวที่โรงอาหารดีมั้ยหว่า....แต่ว่าเมื่อวานก็กินข้าวเย็นไปเยอะอยู่ วันนี้ไม่ค่อยหิวด้วย ไม่กินข้าวเช้าแล้วกัน

           “...” ผมนั่งนิ่งๆอยู่ในห้องพัก...ทำอะไรต่อดี

   พอทำทุกอย่างเสร็จหมด ก็ไม่มีอะไรทำเลยแฮะ...เดินไปรอแถวๆที่นัดรวมแล้วกัน อย่างน้อยแถวนั้นก็มีคนล่ะนะ โชคดีอาจจะได้เพื่อนใหม่ด้วยด้วย!

   “...” จะว่าไป เขานัดรวมที่ไหนหว่า...ในตารางนัดก็ไม่มีเขียนบอกไว้นะ

        ถ้าปกติเวลาเขาจะรวมกันก็ต้องหอประชุมสินะ...ลองเดินไปดูก่อนแล้วกัน ถ้าไม่ใช่ค่อยลองถามคนแถวนั้นเอา

        หลังจากผมเดินลงมาจากหอพัก 6 ชั้น  ผมก็ต้องหยุดพักเหนื่อยซักครู่ ให้ตายสิถึงจะไม่เหนื่อยเท่าขาขึ้น แต่มันก็เหนื่อยอยู่ดีแหละ...ผมเกลียดการเดินขึ้นลงบันไดจริงๆ

        ผมหันมองซ้ายมองขวาเพื่อหาทางไปหอประชุม...มาอยู่ตั้งอาทิตย์กว่าแล้วแท้ๆ แต่จำทิศจำทางไม่ได้ น่าเขกหัวตัวเองนัก

        มหาลัยนี่มันแตกต่างกับโรงเรียนมากเลยนะครับ เส้นทางนอกจากจะคดเคี้ยวเลี้ยวลด ยังกว้างอีก

        สิบนาทีผ่านไป หลังจากที่ผมเดินวนงมทางอยู่นาน ในที่สุดก็ผมว่ามันอยู่ห่างจากหอพักไปไม่ถึง 50 เมตร....ใครเค้าสั่งเค้าสอนให้ทำทางคดเคี้ยวมากมายขนาดนี้เนี่ย!

        “หลบไปๆ!!!”

   “ว้อท...?” ผมหันไปทางที่เสียงดังมาตามสัญชาตญาณ

   สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นผมบอกได้คำเดียวว่ามันรวดเร็วมาก....สิ่งที่ผมรู้ตัวก็แค่มีคนๆนึงวิ่งมา แล้วผมก็หันกลับไปมอง....หลังจากนั้นก็....

   ‘โครม!’     

   “....?” ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมา พร้อมกับความมึนๆที่ยังอยู่ในหัว

   หือ...ที่นี่ที่ไหนเนี่ย...กลิ่นแอลกอออล์เช็ดแผล...?

   โรงพยาบาลหรอ...? ไม่สิจากมหาลัยไปโรงพยาบาลน่าจะนานพอควร ผมว่าผมสลบไปไม่นานนะหรือห้องพยาบาล...?

   เหมือนก่อนภาพจะตัดไป รู้สึกจะมีคนวิ่งมาชนนะ แต่ถึงขั้นสลบนี่...สงสัยต้องออกกำลังกายบ้างแล้วล่ะเรา

   “มึง...เป็นอะไรมั้ย?” เสียงทุ้มเข้ม ดังมาจากข้างๆตัวผม

   “อ่ะเฮือก?!”  เดี๋ยวๆ มีคนนั่งอยู่ข้างๆด้วยหรอ ทำไมตะกี้มองไม่เห็น...!

   “อาจารย์ครับ เหมือนเจ้านี่จะสมองกระทบกระเทือน...เค้าจะเป็นไรมั้ยอ่ะ ผมต้องรับผิดชอบอะไรมั้ย?”  ใส่ชุดนักศึกษาด้วย สีเนคไท ปี 1 นี่...มาอยู่ตรงนี้ทำไม...?

   แต่ว่านะ ทำไมต้องพูดเหมือนเราสติไม่ดี หรือเป็นการแสดงความเป็นห่วงแบบใหม่...?

   “จะพูดอะไรไม่ดีก็ให้ไกลเจ้าตัวนิดนึงนะ...”

   “อ้าวฟื้นแล้วหรอ เห็นอุทานประหลาดๆ แล้วเป็นไงมั่ง”

   “ก็ยังมึนๆนิดหน่อย แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้ไงอ่ะ...”

   “สุภาพจัง...ทำเอาจึ๊กกะดึ๊ยนะเนี่ย ความจริงมึงจะพูดคำหยาบกับกูก็ได้นะกูไม่ถือ”

         จึ๊กกะดึ๊ย?...อะไรล่ะนั่น คำแสดงความรู้สึกแบบใหม่หรอ? แล้วพูดทั้งๆที่ทำหน้าตายอยู่นี่ ดูตลกยังไงไม่รู้  ไอเรื่องคำหยาบจริงๆก็พูดได้แหละ แต่ไม่ใช่กับคนแปลกหน้าอ่ะ

   “แหะๆ...แล้วสรุปเรามาอยู่ที่นี่ได้ไงอ่ะ”

   “ใช้คำว่า เรา มันดูตุ้ดอ่ะ ไม่ใช้ไม่ได้หรอ คือกูไม่ชิน”

*ผึง* (เสียงเส้นความเป็นผู้ดีขาด)

   “เมื่อไหร่มึงจะตอบคำถามฮะ!! สรรพนามแทนตัวกูอยากจะใช้อะไรก็เรื่องกู ไม่ต้องมาสอด เสือก แทรก สาระแน เสนอหน้า เข้าใจมั้ยห๊ะ! “

   น่าเสียดาย ที่ข้างบนเป็นแค่จินตนาการในใจผม ใครจะไปกล้าพูดล่ะ ดูดิหน้าตาอย่างกับนักเลง พูดไปแล้วมันฉุนขาดขึ้นมา...ผมว่าครั้งนี้อาจจะไปอยู่ที่สวรรค์กับคุณปู่คุณย่า

        แต่ว่านะ ไอที่พูดมาตะกี้มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ

        “ตอบคำถามเรามาเหอะ เราอยากจะใช้อะไรก็เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาใส่ใจนะ รู้ใช่มั้ยว่าภาษาชาวบ้านเรียกคนแบบนี้ว่าอะไร?”

         เป็นไงการโต้ตอบพร้อมรอยยิ้ม เทคนิคยั่วโมโหคนที่ผมใช่ต่อกรกับพวกนักเลงมาตั้งแต่มัธยม ถามว่าทำไปแล้วได้อะไร ก็สะใจดี ถึงแม้ว่าสุดท้ายผมก็ต้องวิ่งหนีอยู่ตลอดๆก็เถอะ

          “...มึงด่ากูหรอ?”
          “ไม่ใช่มั้ง”
          “กวนตีนนะมึงอ่ะ ตัวเท่าลูกหมาแค่นี้ทำปากดี”
          “รู้สึกบางคนมันจะเริ่มก่อนนะ”

          มา! ตอนนี้พร้อมมีเรื่องแล้ว ให้มันรู้ดำรู้แดงกันไปเลย แต่เอาจริงๆ ก็พอเห็นฉากจบที่ตัวเองจมกองเลือด เอ่อ...ช่างมันเถอะ ลูกผู้ชายหยามไม่ได้!

          “พอค่ะนักศึกษา! อยากมีเรื่องเชิญข้างนอกค่ะ เจ้าหนูนั่นชื่อทิวาใช่มั้ย ไอคนที่นั่งข้างๆหนูนั่นแหละเป็นคนวิ่งชนหนูแล้วก็พามาส่งที่นี่ โอเคนะลูก จบพอ ไปร่วมกิจกรรมต่อซะ เชิญค่ะ”

          ทันทีที่อาจารย์ห้องพยาบาลพูดเสร็จ พวกผม เอ่อ หมายถึงผมกับมัน ก็ถูกโยนออกมานอกห้องอาจารย์ห้องพยาบาลที่นี่ น่ากลัวนิดหน่อยนะ 

           แต่ไม่ถูกชะตากับไอนี่เลย นึกว่าจะได้เจอเพื่อน เจอศัตรูซะงั้น

           “ไม่ขอบคุณกูหน่อยรึไง อุตส่าพามาห้องพยาบาล”

             “โอ้โห กระผมต้องขอขอบพระคุณคุณมากๆเลยนะครับ ที่พากระผมคนนี้มา!”

             เป็นคนชนเราแท้ๆ ยังจะให้ขอบคุณอีกหรอ อะไรเนี่ยบ้าเปล่า

             “เห้ย จับเสื้อกูไมว่ะ ก็ขอบคุณไปแล้วไง!”

             “อย่างงั้นเรียกขอบคุณเหรอ หึ...อยากจะขำ ชื่อเหมือนผู้หญิงก็อย่าทำตัวเหมือนผู้หญิงดิวะ ”

             “ไม่ทราบว่าไม่มีคนสอนหรอครับว่าอย่าวิจารณ์ชื่อคนอื่น แล้วเรื่องทำตัวยังไงก็ไม่เห็นจะใช่เรื่องที่ต้องมายุ่งนะ!”

            “ไอเตี้ยนี่พูดมากว่ะ”

 *ผึง* (เส้นความอดทนขาด)

            ไอหมอนี่จะเอาใช่ป่ะ ด้ายยย!

            ‘วิชาลับ เตะผ่าหมาก’ (พูดชื่อท่าในใจ)

            เป็นไงล่ะ ล้มพับเข่าอ่อนกันเลยทีเดียว แต่เห็นแล้วก็รู้สึกจุกแทน....ไม่รู้ ก็มันหาเรื่องผมก่อนอะ ให้ทำไงล่ะ

            “อึก....อุก...อูย ไอเตี้ยมึง!”

             สร้างวีรกรรมแล้วก็เผ่นสิ จะอยู่รอทำไม...เร็วเท่าความคิด ผมรีบวิ่งจู๊ดออกมา ตรงดิ่งไปที่หอประชุม...

             ที่เค้าว่าสังคมในวัยเรียนกับมหาลัยต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี่สงสัยจะจริงแฮะ สมัยเรียนยังไม่เคยเจอคนแบบนี้เลย ให้ตายสิ...

             อ้าว...มัวแต่ทะเลาะ มาไม่ทันจนได้ เค้าแยกกันหมดแล้ว ฮืออ...ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

             “นั่นน้องคนที่สลบไปเปล่าคะ?” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งทักผม ดังมาจากข้างหลัง

             “หืม...อ่าใช่ครับ” ใส่เสื้อสตาฟ...? มีอะไรหว่า แล้วรู้ได้ไงว่าเราสลบไป

            “พอดีเลย ดีที่มีคนมาแจ้งพี่ไว้ก่อนว่าเราน่ะไปห้องพยาบาล พวกรุ่นพี่สตาฟเลยส่งพี่มาดูแลน้องเนี่ยแหละ”

            “อ่าขอบคุณมากเลยครับ...แล้วใครมาแจ้งให้หรอครับ”

            “ก็คนที่ตัวสูงๆ หน้าตาดูหล่อๆแบบแบดบอย ผมไถข้างอ่ะจ้ะ เห็นว่าชื่อ นิล เนี่ยแหละมั้ง”

            “...เป็นไรไปหรอน้อง จู่ๆก็หน้าซีด ไหวมั้ย”

            เอ... ลักษณะเมื่อกี้นี้ คุ้นๆอยู่นา โอ้โห เหงื่อแตกพลั่กๆ เลยตู ลักษณะนั่นมันของเจ้านั่นชัดๆ  นิลสินะ อ๋อ อืม...ชื่อเหมาะสมกับจิตใจดีนะ(ยังๆ ยังไปหาเรื่องเค้าอี๊ก)
 
            จะว่าไป...พอมาใจเย็นๆแล้วคิดดีๆ'นิล'ก็อาจจะเฟลนลี่ในแบบของเค้าก็ได้ การใช้กูมึงมันก็มีมาตั้งแต่มัธยม เราเองต่างหากที่ใจร้อน... จัดวีรกรรมไปเสียแล้วเจ้าเต้

            แต่เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะเนอะ~♥ (กำลังพยายามที่จะหนีปัญหา)

            “แล้วคนๆนั้นอยู่คณะอะไรหรอครับ ผมอาจจะไปขอบคุณเค้าที่หลัง”

            หึ ขอบคงขอบคุณอะไรกัน ไม่มีทางหรอก ที่ถามนี่เพื่อไม่ให้ไปย่างกรายที่นั่นต่างหาก

           “พี่กะแล้วว่าน้องต้องไปขอบคุณ พี่เลยถามมาให้เสร็จสรรพแล้วจ้ะ แต่อย่าไปบอกใครนะว่าพี่แอบเนียนๆเต๊าะน้องคนนั้นไปในตัว ฮิฮิ ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะหล่อที่สุดในรุ่นแล้วแหละ รุ่นพี่หลายๆคนบอกตัวเต็งเดือนมหาลัยเชียวนะนั่น น้องคนนั้นอยู่ปี 1 คณะสัตวแพทย์จ้ะ”
         
          “…” อะ..อะไรนะ?

          “น้องหน้าซีดอีกแล้ว!...ไหวจริงป่ะเนี่ย”

          หน้าแบบนั้นรักสัตว์ด้วยเรอะ! ถ้าบอกว่าอยู่วิศวะจะยังน่าเชื่อมากกว่าอีก...

     ไม่ใช่สิ ตอนนี้ไอนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ...อย่าพึ่งตระหนกไป ยังพอมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจอยู่นะ เอาล่ะ หลังจากจบงานผมว่าผมควรจะกลับไปเขียนพินัยกรรมซักฉบับ...แล้วก็โทรไปบอกลาพ่อแม่เอาไว้ล่วงหน้า

           “น้องไหวมั้ย ไปพักต่อก็ได้นะ..."

          “ไหวจริงๆครับ แค่ผมตกใจที่อยู่คณะเดียวกันเฉยๆ“

          “จริงหรอ..! ...แอบอิจฉาผู้หญิงคณะนี้จริงๆ ทำไมช่วงนี้คณะสัตวฯ มีแต่ผู้ชายหน้ากินนะ..

           อะไรนะตะกี้ พี่พูดอะไรนะครับ... ไม่ดีมั้ง...ไม่งามเลยนะ...

           “โอเคจ้ะ พอดีเลยตอนแรกพี่ว่าจะถามคณะน้องพอดี เค้ามีแยกรวมแต่ละคณะอีกทีน่ะ ป่ะเดี๋ยวพี่พาเดินไปนะ ระหว่างทางจะได้พูดกำหนดการที่เมื่อกี้มีการพูดรวมไปแล้วด้วย”

           “ขอบคุณมากเลยครับ...”

            เพราะระหว่างทางผมมัวแต่คิดฟุ้งซ่าน ว่าจะเขียนพินัยกรรมยังไงดี เลยจับใจความที่พี่เค้าพูดแค่ได้ว่า อีก 2 อาทิตย์ถึงจะเปิดเรียนจริงๆ ช่วง 2 อาทิตย์นี้จะเป็นกิจกรรมของเหล่าเฟรชชี่ เรื่องกิจกรรมอะไรบ้างให้ไปฟังจากที่คณะอีกรอบนึง

           “เอาล่ะ ถึงแล้วจ้ะ เดินตรงไปผ่านโดมไปก็ถึงแล้ว พี่ไปทำงานต่อแล้วนะ โชคดีจ้า”

           “ขอบคุณมากครับพี่คนสวย” พ่อแม่สอนมาดีน่ะครับ เวลามีใครช่วยเหลืออะไรก็ต้องชมกันบ้าง

           “อุ้ย ไม่ต้องยอหรอกจ้ะ พี่รู้ตัว บ้ายบาย” 

           เอาล่ะ พอผมเดินเข้าไปผมควรทำหน้ายังไงดีล่ะเนี่ย วันแรกก็มาช้าซะแล้ว...เพราะไอบ้านั่นคนเดียว!

           “เอ้า ปรบมือให้น้องคนที่มาใหม่หน่อยเร็วววว”

           พี่ครับ ผมขอบคุณมากที่ตอนแรกว่าจะแอบนั่งเนียนๆ กลายเป็นเด่นในพริบตา...หืม คนที่ถือไมค์หน้าตาคุ้นๆนะ ....

           พี่เซฟ!!! ทำไมมาอยู่ที่นี่เนี่ย พี่เค้าเป็นนักศึกษาของที่นี่หรอ...เอ๋ อะไรเนี่ย...

           “มาเลยๆ มายืนข้างหน้าเร็ว...ชื่ออะไรเราอ่ะ”

           (กระซิบ) ‘พี่เซฟ ผมพึ่งรู้ว่าพี่เป็นนักศึกษานะเนี่ย ทำไมไม่บอกผมเลย’ 

           “เอ้า รีบๆตอบมาเร็วเลยน้องทำไมมาช้า ไม่งั้นโดนทำโทษต่อหน้าเพื่อนๆนะ!”

            เมินกันหรอ...อ่ะไม่สิ บางทีถ้ารุ่นพี่รุ่นน้องรู้จักกันก่อน บางคนอาจจะมองไม่ดี...

           “ผมชื่อลาเต้ครับ...” โอ้ย ไม่ชอบโดนจ้องเลย รีบๆให้ผมไปนั่งซักที

           “แล้วทำไมมาช้า?”

           “ผมไปห้องพยาบาลมาครับ...”

           “ดังๆหน่อย!”

           ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรหรอก...นี่จงใจแกล้งกันใช่ไหม

           “ไปห้องพยาบาลมาครับ!!!”

           “เป็นอะไรไปห้องพยาบาล!”
 
           “...” จะให้ตอบจริงๆหรอ ‘โดนคนวิ่งชนเลยสลบครับ’ เนี่ยอ่ะนะ อนาถไปมั้ง ไม่เท่ห์เลยนะ...
 
           “ตอบ!”
 
           ฮึก...ตอบก็ได้...ไม่สนแล้ววว

           “โดนคนวิ่งชนแล้วสลบครับ...”

           “…”

            กริบ..กริบทั้งวง...หึ เราก็รู้ว่าพวกเธอๆทั้งหลายพยายามจะทำเป็นไม่สนใจ...แต่สีหน้าถ้าจะช่วยเก็บให้มิดกว่านี้ก็จะขอบคุณมาก

           ความประทับใจแรกกับเพื่อนๆในคณะ ตอนแรกที่เป็นศูนย์ตอนนี้ติดลบ... ตอนนี้ผมทำหน้ายังไงอยู่เนี่ย  อายจนไม่รู้จะอายยังไงแล้ว อยากร้องไห้....

           “ผมไปนั่งได้ยังครับ....” 

           “เชิญครับน้อง...” พี่เซฟขอบคุณที่แสดงสีหน้าเวทนาให้นะครับ...ไอพี่บ้า จริงๆก็แค่อยากแกล้งไม่ใช่หรือไง !
 
           หลังจากนั้นผมก็เดินไปนั่งที่ท้ายแถว แล้วก็นั่งถอนหายใจเหมือนคนแก่อายุร้อยยี่สิบปี...หลังจากผมถอนหายใจผ่านไปประมาณยี่สิบเฮือก จนคนแถวๆนั้นขยับถอยหนีผม ก็มีผู้ชายคนนึงที่นั่งข้างๆผมทักขึ้นมา

           “ทำหน้าเศร้าเชียว กูชื่อข้าวนะ ยินดีที่ได้รู้จัก ชื่อลาเต้ใช่มั้ย ไม่ต้องคิดมากนะยังไงๆก็อายไปแล้ว”

           ชื่อเหมือนไซบีเรียนที่คาเฟ่เลยอ่ะ(เสียมารยาท!)...เอาวะ เหนือความโชคร้ายยังมีโชคดี คิดในแง่ดี เพื่อนทั้งคณะก็รู้จักเราแล้ว...เพราะงั้นเราก็ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวอีกต่อไป! ว่าแต่พูดกูมึงกับคนแปลกหน้าอีกแล้วหรอ...หรือว่าเรากันแน่เนี่ยที่แปลก อืม จากความผิดพลาดเมื่อเช้า เราคิดว่าเราควรจะปรับตัวให้ชินโดยเร็ว

           เดี๋ยวนะ...สาบานว่าตะกี้ประโยคปลอบใจ?

          “อืม ขอบคุณที่ปลอบนะ เรียกเราเต้ก็ได้นะ...”

          หลังจากผมพูด คนที่ชื่อข้าว ก็พยักหน้าเป็นสัญญาณการรับทราบ จากนั้นพี่เซฟก็เริ่มพูดต่อ

         “เอาล่ะ เดี๋ยววันนี้พี่จะมีเรื่องแจ้งนะครับ ก็คือกิจกรรมที่พวกน้องจะเจอในช่วงสองอาทิตย์หลังจากนี้จะเป็นกิจกรรมประเภทที่ถ้าไปจัดตอนเปิดมันจะกระทบต่อเวลาเรียน ซึ่งทางพี่ๆก็เข้าใจดีเพราะว่าผ่านมาก่อน เลยตัดสินใจเอากิจกรรมหนักๆมาลงช่วงนี้แทน และเนื่องด้วยเวลาเตรียมตัวของพวกพี่มันน้อย กิจกรรมบางกิจกรรมที่น้องเห็นจุดผิดพลาดก็ช่วยๆกันอนุโลมกันไปเนอะ...”

          สาวๆบางคนนี่ทำหน้าตาเห็นใจขึ้นมาเชียวนะ แอบไปบอกธาตุแท้พี่แกให้สาวๆรู้ดีไหมเนี่ย (ยังเคืองอยู่)

         “โอเคๆ งั้นมาพูดเรื่องกิจกรรมกันเลย ที่ต้องเจอในสองสัปดาห์นี้มีอยู่สองกิจกรรม คือหนึ่งคัดเลือกดาวเดือนคณะ และสองค่ายเฉพาะของสัตวแพทย์ อันที่สองนี่พี่ไม่บังคับนะจ๊ะ แต่พี่ก็อยากแนะนำให้ไปๆกัน  ซึ่งรายละเอียดไว้ใกล้ๆค่อยแจ้ง เพราะบอกไปก่อนพวกน้องก็ลืมใช่ไหมล่ะ”  พี่เซฟพูดออกติดตลก

         “เอาล่ะกลับมาที่กิจกรรมแรกที่เจอ ก็คือหาดาวเดือนคณะ อย่างที่น้องรู้ๆกันว่าปีที่แล้วพี่คือเดือนคณะและยังเป็นเดือนมหา’ลัยอีกด้วย ส่วนพี่ผู้หญิงทางนั้นเป็นดาวคณะ เป็นรองดาวมหา’ลัย เพราะฉะนั้นพี่ก็เลยอยากจะคาดหวังว่าให้น้องๆเนี่ยมีซักคนหนึ่งได้เป็นดาวหรือเดือนมหา’ลัย...” คราวนี้พูดน้ำเสียงกดดัน...เอ่อ เปลี่ยนอารมณ์เร็วไปไหม เอ๊ะเดี๋ยวนะตะกี้พี่เซฟบอกว่าเป็นเดือนมหา'ลัย?

         “อ่ะล้อเล่นจ้า...อย่าทำหน้าซีเรียสแบบนั้นสิ พี่ไม่กดดันขนาดนั้นหรอกน่า”

         บะ..บ้าไปแล้ว พี่เซฟแกเป็นเดือนมหาลัย!! ไอเดือนคณะอ่ะ ผมเฉยๆ ไปอยู่คณะไหน หน้าตาแบบนี้ ส่วนสูงแบบนี้ ยังไง๊ยังไงก็ได้เป็น ที่ช็อคก็คือ ผมทำงานกับเดือนมหา’ลัยมาตลอด 1 อาทิตย์เต็มๆ แถมยังโดนกอด โดนแกล้งอีกสารพัดสารเพ ผมว่าผมพอจะรู้สาเหตุของการที่ลูกค้ามีสายตาริษยาแล้วล่ะ...แต่ผมตกข่าวไปได้ยังไงเนี่ย รุ่นพี่ที่ทำงานก็ไม่ได้บอกว่า พี่เค้าเป็นเดือนมหาลัย หรือมันเป็นความรู้ทั่วไป เพราะมหาลัยนี้ก็ดังใช่ย่อย เพราะงั้นมันก็ต้องมีการโปรโมตลงเฟซบุ๊คเป็นธรรมดา อืม....เฟซบุ๊คหรอ พอนึกๆแล้วหน้าไทม์ไลน์เราก็มีแต่มังงะกับอนิเมะ แล้วก็เกมนี่หว่า...

         “เอาล่ะพี่ขอพูดต่อนะ...การคัดเลือกจะมีขึ้นในพรุ่งนี้ เพราะงั้นใครที่หน้าตาสวยๆหล่อๆ ก็เตรียมตัวไว้ล่ะ โอเค มีแค่นี้ น้องๆไปกินข้าวเที่ยงแล้วก็กลับไปพักผ่อนได้ครับ เจอกันพรุ่งนี้ที่คณะตอนเก้าโมง”

         ไม่ได้การ ผมต้องรีบเข้าไปคุยกับพี่เซฟ...แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าไปหาพี่เซฟ กองทัพสาวๆก็ลุกขึ้นไปกรี๊ดพี่เซฟกันยกใหญ่

          “กรี๊ดดดดด พี่เซฟคะ ถ่ายรูปกับหนูหน่อยค่า หนูเป็นแฟนคลับพี่มาน๊านนานนะคะ”

          “อย่าเบียดฉันสิยะหล่อน”

          “ว้าย หล่อโฮกกกก”

          เอ่อ....ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวจังเลยครับ....

          ท่าทางคงได้คุยกันอีกทีตอนทำงานแหงๆ

          “กูว่าจะลงประกวดเดือนคณะล่ะ”

          “ห๊ะ....ข้าว มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เดี๋ยวที่ว่าจะลงประกวดนี่คือ..?”

          “กูอยากเป็นจุดสนใจแบบนั้นบ้าง...แล้วมันน่าจะเท่ห์ดีด้วย คิดว่ากูจะได้เป็นไหม”

          เดี๋ยวนะ...ไอหมอนี่ถามกันโต้งๆเลยเหรอ ไม่อายเลยเหรอ ซักนิดก็ไม่เหรอ...เอาเถอะช่างมันก่อน ตอนนี้เพื่อนกำลังต้องการแรงสนับสนุน เราก็ต้องช่วยล่ะนะ

           “อืม ก็น่าจะได้แหละ หน้าตานาย เอ่อ...หน้าตามึงก็ดี ไม่สิ เรียกหล่อเลยแหละ อ่ะ ส่วนสูงก็น่าจะได้นะสูงเท่าไหร่อ่ะ”  ผมต้องลองเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวบ้าง ไม่งั้นถูกมองว่าแปลกแน่ๆ...

            “178”

            “...สูงจัง”  ทำไมคนที่เจอช่วงนี้มีแต่คนสูงๆวะ...ไอพี่เซฟก็สูง 187 ไอนี่ก็ 178 ไอคนที่วิ่งชนเราเมื่อเช้าก็น่าจะ 180 ขึ้น บ้าบอกันไปแล้ว กินเสาไฟฟ้าเป็นอาหารหรือไง(ก็ยังไม่ยอมคิดว่าตัวเองเตี้ย)   

            “งั้นเดี๋ยวเรา เอ่อ เดี๋ยวกูจะช่วยมึงเอง อยู่หอในหรือเปล่า ถ้าอยู่ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะไปหยิบครีม กับแผ่นมาสก์หน้ามาให้ เตรียมตัวไว้สำหรับพรุ่งนี้ จะได้หน้าใสๆ”
 
            “จริงดิ...เต้ มึงนี่เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตกูเลย ขอบคุณนะ”

            ไอหมอนี่...จะเรียกว่าเชื่อใจคนง่าย หรืออะไรดีล่ะเนี่ย!

            “เดี๋ยวๆ พึ่งเจอกันไม่ถึงชั่วโมงเลยนะ...”
 
            “อ้าวหรอ...ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้กูกับมึงก็เป็นเพื่อนกันแล้ว”

            เออ เอาเข้าไป...

            “เพราะงั้นถ้ามึงมีเรื่องลำบากใจก็มาปรึกษากูได้นะ มึงดูเป็นคนที่เชื่อใจได้เพราะงั้นกูก็อยากให้มึงเชื่อใจกูเหมือนกัน”

            ก็อยากจะเชื่อใจอยู่หรอก แต่นี่มันยังเจอกันไม่ถึงชั่วโมงเลยเห้ย แล้วประโยคตะกี้มันอะไรไม่อายบ้างเรอะ!!! ไอหมอนี่มันบื้อ บื้อเห็นๆ ซื่อบื้อตัวพ่อเลย..

           แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอก ผมแพ้ทางกับคนที่เดาทางง่ายแบบนี้เนี่ยแหละ...จะทำอะไรก็ดูออกง่ายไปหมด คนแบบนี้ลองเชื่อใจดู คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ...
           
           ผมมองข้าว ที่กำลังจ้องผมตาปริบๆ ก่อนจะตอบไปว่า

           “อื้ม ขอบคุณนะ”

          พ่อครับแม่ครับ ตอนนี้ลูกชายของพ่อกับแม่มีเพื่อนในมหาลัยแล้วนะครับ ดูเป็นคนบื้อๆหน่อย แต่ผมคิดว่าคงไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพราะงั้นอย่างน้อยๆ ผมคิดว่าน่าจะผ่านชีวิตในมหาลัยไปได้ครับ...

Extra
ข้าว : “แล้วนี่จะไปไหนต่ออ่ะ”
ลาเต้ : “กินข้าวดิ ไม่หิวหรอ?”
ข้าว : “กระเป๋าตังเราอยู่หออ่ะ”
ลาเต้ : “...” (ไอ้@xY#$)
สุดท้ายก็จบที่ลาเต้ต้องเลี้ยงข้าวไปตามระเบียบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2017 19:42:24 โดย BetaCosmos »

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ไอหมอนี่ทำไมนิสัยไม่เหมือนหน้าตาเลย

[พาร์ทนิล]

   ผมตื่นขึ้นมาก่อนที่นาฬิกาจะปลุก สาเหตุก็ธรรมดาทั่วๆไปนั่นแหละ ‘ตื่นเต้น’ มันก็คงช่วยไม่ได้หรอก คนทั่วๆไปเวลาจะเจอเรื่องราวที่ไม่คุ้นชิน ก็ย่อมตื่นเต้น หรือตื่นกลัวเป็นธรรมดา

   อืม แต่นี่มันพึ่งจะเจ็ดโมงครึ่ง ผมคิดว่าผมน่าจะใส่ชุดวิ่ง แล้วออกไปวิ่งในมหาลัยให้มันคุ้นกับสถานที่หน่อยแล้วกัน ถ้าจำไม่ผิดในแผนที่ของมหาลัยที่ตึกหลักมีห้องอาบน้ำอยู่ เอาชุดนักศึกษาไปด้วยแล้วกัน จะได้ไม่ต้องเดินกลับมาเปลี่ยน

   เท่าที่ผมลองเดินดูเมื่อวาน แถวๆหอประชุมน่าจะเหมาะกับการวิ่งที่สุด ต้นไม้เยอะ บรรยากาศดีด้วย...

   หลังจากที่ผมหาตำแหน่งเหมาะสมและพร้อมที่จะเริ่มวิ่ง ผมก็เอาสายหูฟังเสียบเข้ากับมือถือ ผมเป็นคนชอบฟังเพลงไปวิ่งไปน่ะครับ ไม่งั้นวิ่งได้แค่นิดเดียวผมก็เบื่อแล้ว

   อืม...จะแปดโมงแล้ว โอเคเดี๋ยววิ่งวนตรงนี้เสร็จก็พอ

   โอ๊ะ เพลงเร็ว..งัดแรงเฮือกสุดท้ายออกมาวิ่งให้เต็มที่เลยแล้วกัน ผมเป็นนักวิ่งเก่า เพราะงั้นเวลาผมวิ่งด้วยแรงเต็มที่มันจะเร็วมากๆ ผมทำลายสถิติจังหวัดได้เลยนะ แต่พักหลังมานี่ก็ไม่ค่อยได้ฝึกเลย...เดี๋ยวมหาลัยมีงานกีฬาเฟรชชี่ด้วย ถือเป็นการปัดฝุ่นแล้วกัน

   เฮ้ย?! นั่นคนหนิ ทำไมตะกี้ไม่เห็น ฉิบหายแล้ว...เบรกไม่ทันแน่ๆ

   “หลบไปๆ!!!”

   “ว้อท...?” อย่ามัวแต่หันมามองสิว้อย บอกให้หลบก็หลบเซ่!

   ‘โครม’

    นั่น..จนได้

   “โอ้ย เจ็บๆ...เป็นอะไรมั้ย ขอโทษที ตะกี้วิ่งเร็วไปหน่อย” โอ้ย เจอเรื่องแต่เช้าเลย อีกชั่วโมงกิจกรรมจะเริ่มแล้วด้วย ขอให้ไม่เป็นอะไรเถอะ

   “...”

   ทำไมนิ่งไปเนี่ย ตายมั้ยนั่น แค่วิ่งชนเองเนี่ยนะ

   “เฮ้ย...ตื่นๆ เป็นไรมั้ย”

   เขย่าตัวก็ยังไม่ตื่น ต้องทำ CPR ไหมเนี่ย แต่หัวใจก็ยังเต้น ยังมีลมหายใจอยู่ด้วย ทำเนียนไม่รู้ไม่เห็นดีมั้ย...

   เฮ้อ...อยากจะหนีๆปัญหาอยู่หรอก แต่ปล่อยทิ้งไว้ก็น่าจะดูระยำเกินไป เอ้า...ฮึ้บ...ผมลองพยายามอุ้มเจ้าคนที่สลบไป

   ‘ตัวเบามาก?!...’ นี่ถ้าไม่เห็นว่าใส่ชุดนักศึกษาคงเด็กว่าเป็นเด็กมอต้นนะเนี่ย ตัวเล็กอีกต่างหาก

    พาไปห้องพยาบาลก่อนแล้วกัน เอ๊ะ นั่นพี่คนนั้นใส่เสื้อสตาฟนี่หว่า ตอนนี้แปดโมงครึ่งอืม...ไปบอกพี่เค้าไว้หน่อยแล้วกันเผื่อว่าอาจจะไปช้า

   แต่จะให้อุ้มเจ้านี่ไปด้วย ก็คงดูไม่ดีสินะ ตรงนั้นมีต้นไม้อยู่ เอาไปไว้ตรงนั้นก่อนแล้วกัน

   “รอแปปนึงนะ...”

   หลังจากผมวางเจ้าตัวเล็กให้นั่งพิงต้นไม้ ผมก็รีบวิ่งไปหาพี่ผู้หญิงที่ผมเห็น

   “เอ่อ พี่ครับ”

   “อุ้ยตาย น้องสุดหล่อมีอะไรคะ ถ้าจะขอเบอร์เดี๋ยวไว้พี่ทำงานเสร็จก่อนน้า อิอิ”

   “ไม่ใช่ครับ...ผมจะมาบอกว่า เดี๋ยวผมพาคนนั้นไปห้องพยาบาลหน่อยนะครับ เหมือนเขาจะสลบไป เพราะงั้นผมอาจจะเข้ามาร่วมกิจกรรมช้าหน่อย จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ผมชี้ให้พี่เค้าเห็นเจ้าตัวเล็กนั่น เหมือนพี่เค้าก็ทำหน้าเข้าใจ ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมก็ไม่ได้อยากบอกคนไปทั่วว่าทำคนสลบไป

   “อ๋อ โอเคจ้ะ แล้วน้องอยู่คณะอะไรปีอะไรเอ่ย พี่จะได้ไปบอกพี่ทางคณะเค้าให้ว่าน้องจะไปช้า น้องคนนั้นด้วย”

   “ผมอยู่ปีหนึ่งคณะสัตวแพทย์ครับ ส่วนคนนั้นผมไม่รู้ แต่สีเนคไทเป็นของปีหนึ่งครับ”

   “อ๋อ โอเคๆไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่ไปแจ้งกับทางสตาฟ ให้ส่งคนไปดูแลน้องคนนั้นที่ห้องพยาบาลทีหลังแล้วกัน”

   “ได้ครับ ขอบคุณมากเลยนะครับพี่” อืม รุ่นพี่สตาฟที่นี่ทำงานกันดีจังนะ มีส่งคนมาด้วย

   “จ้า พี่ชื่อแพรวอยู่คณะทันตะฯน้า อยู่ปี 3 มาหาพี่บ้างก็ได้น้า โชคดีจ้ะน้อง” จากนั้นรุ่นพี่คนนี้ก็วิ่งกรี๊ดกร๊าด ไปหากลุ่มเพื่อนที่อยู่ห่างออกไป

   ช่างเถอะ รีบพาเจ้าตัวเล็กไปห้องพยาบาลดีกว่า...

ณ ห้องพยาบาลในมหาลัย

   “ขอโทษครับ เพื่อนสลบไปครับ”

   “ไปทำอีท่าไหนมาล่ะนั่น ไหนดูสิ อืม...ไม่เป็นไรมากหรอก ให้นอนพักซักหน่อยเดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว”

   สรุปจะให้ตอบมั้ยเนี่ยว่าไปทำอะไรมา

   “โอเคครับ...งั้นเดี๋ยวผมขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ” งั้นก็รีบๆหนีดีกว่า

   “เดี๋ยวก่อน ไปทำอะไรมา ยังไม่ได้ตอบอาจารย์เลยนะ” ก็อาจารย์ไม่เปิดช่องให้ผมตอบเลยนี่ครับ

   “เอ่อ ผมวิ่งไปชนเค้าอ่ะครับ แต่อาจจะแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง...ห้องอาบน้ำไปทางไหนครับ”

   ต้องเปลี่ยนเรื่องก่อน...ผมสังหรณ์ใจว่า ’จารย์เจ๊คนนี้จะถามอะไรเพิ่มเยอะแน่ๆ

   “ออกไปแล้วเลี้ยวซ้ายเลยค่ะ ตรงไปห้องริมสุด อ่อใช่ อย่าไปอาบน้ำแล้วหายไปเลยนะ กลับมาด้วย”

   “ขอบคุณมากๆครับ...” ดักไว้แล้วจะทำไงล่ะทีนี้ ก็ต้องกลับมาใช่มั้ย เฮ้อ...

   จากนั้นผมก็รีบเดินออกมาจากห้องพยาบาลตรงดิ่งไปที่ห้องอาบน้ำ

   รีบอาบน้ำดีกว่า...ผมเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำของทางมหาลัย ห้องอาบน้ำอย่างกับในโรงแรมแหนะ...งบเหลือหรอ

   จะว่าไปหมอนั่นหน้าตาตอนนอนก็น่ารักอยู่...ถ้าเป็นเพื่อนกันได้ก็ดีสิ เราเองก็ยังไม่มีเพื่อนในมหาลัยเลย ไว้เดี๋ยวลองคุยดูหน่อยแล้วกัน

หืม ทำไมแสบๆที่ขา...แผลนี่หว่า สงสัยได้มาตอนวิ่งชน แน่ๆเลย ถ้าไม่ลืมเดี๋ยวไปห้องพยาบาลให้  ’จารย์ทำแผลให้แล้วกัน

   หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ผมก็เดินกลับไปที่ห้องพยาบาล ตามคำสั่งของอาจารย์พยาบาล

   “เอ้ามาแล้วหรอ มาเซ็นชื่อเข้าใช้เร็ว รู้จักกันใช่ไหม กับเด็กที่นอนอยู่น่ะ” อ๋อ นี่คือสาเหตุที่ให้กลับมาสินะ เฮ้อ นึกว่ามีอะไรซะอีก

   “เอ่อ...ไม่รู้จักครับ ผมแค่บังเอิญวิ่งไปชนกันเฉยๆ”

   “งั้นก็ไปดูที่บัตรนักศึกษาแล้วกัน น่าจะอยู่ในตัวของเด็กคนนั้นนั่นแหละ ไปดูมา แล้วมาเซ็นชื่อแทนซะนะ เพราะไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะหลับไปอีกนานแค่ไหน ช่วงบ่ายอาจารย์ไม่อยู่ เดี๋ยวจะไม่ได้เซ็นเอา”

   จากนั้นผมก็เดินไปที่ตัวของเจ้าตัวเล็ก เพื่อจะหาบัตรนักศึกษา อืม น่าจะอยู่ในกระเป๋าเสื้อนะ..นี่ไง

   “ทิวา รุ่งเรืองสวัสดิ์...ทิวา ชื่อเหมือนผู้หญิงจัง แต่ชื่อเราก็ไม่ได้ต่างกันหรอกมั้ง” ผมหัวเราะในใจ จากนั้นผมก็เดินกลับไปเซ็นชื่อให้ ‘ทิวา’

   “เสร็จแล้วก็ไปรวมก็ได้นะ เดี๋ยวนักศึกษาคนนี้ตื่นเมื่อไหร่ เดี๋ยวอาจารย์บอกให้เค้าตามไปเอง”

   อืม...มันก็ไม่ใช่ธุระที่ต้องมาเฝ้าหรอกนะ แต่...ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน มีลางสังหรณ์บอกให้อยู่เฝ้าเจ้านี่ไว้น่ะสิ

   “ผมเป็นคนวิ่งชนเค้าน่ะครับ ผมว่าผมควรจะไปพร้อมกับเค้า”

   “อืม ก็เอาเถอะ อย่าส่งเสียงดังรบกวนแล้วกัน”

   จากนั้นผมก็ไปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียงที่ ทิวานอนอยู่ ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ทิวาก็รู้สึกตัว

   “อึก...อือ”

   รู้สึกตัวแล้วหรอ...เอ๊ะ เราควรจะพูดอะไรก่อนดี ลองพูดแบบธรรมดาก่อนแล้วกัน

   “มึง...เป็นอะไรมั้ย?”

   “อ่ะเฮือก?!”

   อะไรอ่ะ ท่าตกใจ เหมือนลูกแมวเลย...

   จากนั้นผมก็ลองคุยกับทิวาดู แต่เหมือนว่านิสัยเค้าจะไม่ได้น่ารักเหมือนหน้าตาเลย...ผมพยายามแสดงความเป็นมิตรแล้วนะ อย่างประโยคที่ว่า

   ‘สุภาพจัง...ทำเอาจึ๊กกะดึ๊ยนะเนี่ย ความจริงมึงจะพูดคำหยาบกับกูก็ได้นะกูไม่ถือ’

   ผมหมายถึงให้เค้าทำตัวสบายๆ คำว่า จึ๊กกะดึ๊ย นี่ผมเห็นตอนสมัยมัธยม เพื่อนผมก็พูดกันบ่อยๆ เพื่อนเก่าผมมันบอกว่า เป็นคำที่ใช้แสดงความรู้สึกแปลกๆแบบสุภาพ...ผมทำอะไรผิดหรือไง

   อย่างประโยคนี้อีก ‘...ใช้คำว่า เรา มันดูตุ้ดอ่ะ ไม่ใช้ไม่ได้หรอ คือกูไม่ชิน’

   ผมอยากให้เค้าไม่ต้องรักษาระยะห่างกับผมแท้ๆเลยนะ ทำไมเจ้านี่มันถึงต้องโกรธด้วยล่ะ...หรือจริงๆคนๆนี้นิสัยไม่ดีอยู่แล้ว คนเรามันมองจากภายนอกไม่ได้สินะ

“ตอบคำถามเรามาเหอะ เราอยากจะใช้อะไรก็เรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องมาใส่ใจนะ รู้ใช่มั้ยว่าภาษาชาวบ้านเรียกคนแบบนี้ว่าอะไร?”

   ทำไมต้องพูดแบบนี้ด้วยเนี่ย ไม่เข้าใจเลย ไม่พอใจอะไรก็พูดมาดิ อยากด่าอะไรก็ด่ามาเลย จะได้รู้ว่าทำอะไรผิด เกลียดชะมัดๆพวกชอบแซะ สมัยเรียนก็มีพวกแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นโรงเรียนชายล้วนแท้ๆ เฮ้อ... 

   สรุปคือเจ้านี่มันด่าผมว่า ‘เสือก’ สินะ

   “..มึงด่ากู?”

   “ไม่ใช่มั้ง”

   อ้าว..กวนตีนอีก 

“กวนตีนนะมึงอ่ะ ตัวเท่าลูกหมาแค่นี้ทำปากดี”

“รู้สึกบางคนมันจะเริ่มก่อนนะ”

ผมเคยเป็นพวกชอบก่อปัญหาตอนสมัยเรียน แต่พอโตขึ้นก็เลยรู้ว่าที่ทำไป ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย ทำให้ตัวเองเจ็บตัวฟรีๆอีก ก็เลยเลิกไป แต่เหมือนเจ้านี่จะทำให้ผมต้องก่อปัญหาอีกสินะ

เริ่มจะหงุดหงิดแล้ว...จากนั้นเสียงของ อาจารย์ห้องพยาบาลก็ดังขึ้น

“พอค่ะนักศึกษา! อยากมีเรื่องเชิญข้างนอกค่ะ เจ้าหนูนั่นชื่อทิวาใช่มั้ย ไอคนที่นั่งข้างๆหนูนั่นแหละเป็นคนวิ่งชนหนูแล้วก็พามาส่งที่นี่ โอเคนะลูก จบพอ ไปร่วมกิจกรรมต่อซะ เชิญค่ะ”

ผมรู้สึกขอบคุณอาจารย์เล็กๆ ที่ช่วยขัดจังหวะ ไม่งั้นคงมีเรื่องมีราวใหญ่โตอีก เอาเป็นว่าแค่ให้เจ้านี่ขอบคุณก็พอ เสร็จแล้วก็ทางใครทางมัน

“ไม่ขอบคุณกูหน่อยรึไง อุตส่าพามาห้องพยาบาล”

นี่ผมไม่เคยใจดีกับใครเท่านี้มาก่อนเลยนะ พูดนำให้ก่อนด้วย

 “โอ้โห กระผมต้องขอขอบพระคุณคุณมากๆเลยนะครับ ที่พากระผมคนนี้มา!”

ไอเตี้ยนี่...กวนตีนจริงๆใช่มั้ย

“เห้ย จับเสื้อกูไมว่ะ ก็ขอบคุณไปแล้วไง!”

“อย่างงั้นเรียกขอบคุณหรอ หึ...อยากจะขำ ชื่อเหมือนผู้หญิงก็อย่าทำตัวเหมือนผู้หญิงดิวะ ” ผมอาจจะปากไวไปหน่อย เลยยั้งไม่ทัน แต่ตอนนี้ผมไม่สนอะไรแล้ว ถ้าเจ้าเตี้ยนี่ไม่จบ ผมก็ไม่จบอ่ะ เอาดิ

“ไม่ทราบว่าไม่มีคนสอนหรอครับว่าอย่าวิจารณ์ชื่อคนอื่น แล้วเรื่องทำตัวยังไงก็ไม่เห็นจะใช่เรื่องที่ต้องมายุ่งนะ!”

 “ไอเตี้ยนี่พูดมากว่ะ”

“…”

เงียบทำไมวะ  ไม่พูดต่อแล้วล่ะ ถ้าพูดดีๆตั้งแต่แรกก็จบแล้ว...เฮ้อ เหนื่อยใจจริง ลางสังหรณ์ของเรานี่เชื่อไม่ได้เล้ย พอๆ ไปดีกว่--

จู่ๆผมก็รู้สึกถึงแรงปะทะบางอย่าง ทันทีทันใดที่แรงส่งกระทบมา เข่าผมก็ทรุดในทันที พร้อมกับความจุกที่แล่นเข้ามา

“อึก....อุก...อูย ไอเตี้ยมึง!”

ไม่จบใช่มั้ยห๊ะ...อูย..อย่าหนีดิวะ!

 “นี่นักศึกษาเสียงดังมาก! ยังไม่ไปกันอีกเหรอคะ! อ้าว...?”

“ขอโทษ...ครับ...อาจารย์.....ผมว่าผม...ขอพักซักหน่อย...แล้วกันครับ...”

“อะ...ค่ะ พักเสร็จก็มาเซ็นชื่อด้วยล่ะ...”

[จบพาร์ทนิล]

   Extra
   ตอนนิลอุ้มลาเต้มาส่ง
            อาจารย์พยาบาล : (อืมมม..เคมีเข้ากั๊นเข้ากัน ได้พลอตใหม่ละทีนี้)
            นิล : (‘จารย์จ้องเราไมวะ...)          


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2017 19:42:08 โดย BetaCosmos »

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
[ไม่สามารถระบุได้]

   หลังจากที่ผมกินข้าวเสร็จ ผมก็กลับมาที่หอพร้อมกับเพื่อนใหม่ของผม เพื่อที่จะหยิบครีมกับแผ่นมาสก์หน้าให้ เพราะเหมือนว่าเขาจะต้องการประกวดเดือนคณะน่ะครับ

   “อ่ะ เอาไปดิ อันนี้ครีมใช้คู่กับแผ่นมาสก์หน้าอันนั้น ก่อนนอน ใช้เสร็จพรุ่งนี้เอามาคืนด้วยมันแพง”

   พูดกันตรงๆเนี่ยแหละ ก็มันแพงจริงๆนี่ กว่าผมจะเก็บเงินซื้อมันได้ ตั้งสี่เดือนเชียวนะ ครีมบ้าอะไรก็ไม่รู้แพงฉิบหาย...แต่เห็นบอกว่าใช้ดีก็เลยซื้อมา

   “ขอบใจมากนะ”
   “อื้ม ไม่เป็นไรหรอก นี่ก็ใกล้จะบ่ายโมงละ เดี๋ยวกู ต้องไปทำงานต่อ”
   “มึงทำงานด้วยหรอ....ไปด้วยได้มั้ยอ่ะ อยากเห็นอ่ะ!” ข้าวพูดพร้อมกับทำตาเป็นประกาย
   “...” เอาไงดีหว่า ไม่ได้อยากให้เพื่อนเห็นด้วยสิ ...ทำไมต้องทำหน้าอ้อนด้วยเนี่ย
   “เฮ้อ...ไปก็ไป” ผมตอบอย่างเหนื่อยใจ พักนี้ผมใจอ่อนง่ายเกินไปแล้วนะ
   “เย้~” ข้าวร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ เหมือนเด็กเล้ย ช่วยทำตัวให้สมกับส่วนสูงหน่อยได้มั้ยเนี่ย น่าขำจริงๆ (ความจริงก็ภูมิใจเล็กๆที่ทำตัวเป็นผู้ใหญ่กว่า)

   หลังจากนั้นพอทุกอย่างเรียบร้อย ผมกับข้าวก็ออกมานอกห้อง

   “โอเค ล็อกห้องเสร็จละ ไปเหอะป่ะ”
   “เต้ กูขอเอาครีมไปเก็บก่อนได้มั้ยอ่ะ”
   “อ่าได้ เอาสิ ห้องมึงอยู่ชั้นไหนอ่ะ”
   “ชั้นสี่ๆ ตามกูมาก็ได้”
   “อะ...อ่า”

   ผมอาจจะคิดมากไปแต่ว่า คุณพ่อคุณแม่ครับ ตอนนี้ผมลาเต้ อายุ 20 ปี กำลังมีผู้ชายชวนผมเข้าห้องครับ หวังว่าเขาคงจะไม่ทำอะไรผมนะ...


   ห้อง 403
 
   “โอเค เก็บเรียบร้อย ป่ะไปกันเหอะ...เป็นไรทำหน้าตาแปลกๆนะมึงอ่ะ ปวดท้องก็เข้าห้องน้ำกูก่อนก็ได้นะ”
   “ปะ...เปล่าไม่ได้เป็นไร”

   เอ่อ ผมไม่ได้กำลังคิดภาพอะไรแปลกๆจริงๆนะ เชื่อผมสิ 

   “จะว่าไป ข้าว ไม่เห็นรูมเมตมึงเลยอ่ะ ไม่อยู่หรอ” ผมถามเพราะตอนที่ข้าวเอาของไปเก็บผมก็แอบๆชะเง้อมองดูในห้องของเจ้านี่นิดหน่อย เรียนสายวิทย์-คณิตมามันก็ต้องรู้จักสังเกตใช่มั้ยล่ะครับ

   “เปล่าไม่มีอ่ะ ไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว ปีนี้คนอยู่หอมีไม่เยอะ มันก็เลยมีบางห้องที่มีคนเดียว ห้องมึงก็ไม่มีรูมเมตนี่ หรือถ้าเหงาย้ายมาอยู่ห้องกูก็ได้นะ เอาม่ะ”

   เยสสสสส...ขอบคุณมากเลยข้าวเพื่อนยากที่มอบความหวังนี้ให้ งั้นก็หมายความว่าเราก็มีโอกาสที่จะได้นอนคนเดียวไปตลอดทั้งเทอมสินะ อาจจะไม่ได้เพื่อน แต่เราก็แอบหวั่นๆเจอรูมเมตแย่ๆแบบในเน็ตเหมือนกัน

   แถมรูมเมตห้องเราก็ไม่มาซะเป็นอาทิตย์แล้ว เพราะงั้นโอกาสที่เราจะยึดครองห้องนั้นแต่เพียงผู้เดียวก็...คิกคิกคิก 

   “ทำหน้าตามีความสุขจังนะ อยากย้ายมานอนห้องกูขนาดนั้นเชียว”
   “ตลกละ ไม่มีทางอ่ะ ไปๆ เก็บของเสร็จแล้วก็ไป เดี๋ยวกูเข้างานสาย”


   ณ คาเฟ่ที่ผมทำงานอยู่

   “อ่ะนี่ ถึงแล้ว...เดี๋ยวกูไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จะสั่งอะไรก็เดินไปที่เคาร์เตอร์นะ” ผมพูดทิ้งเอาไว้
   “อ่าหะ...”

   ทำไมเจ้านี่มันดูประหม่าจังแฮะ...? ตื่นคนหรอ...?

   “สวัสดีจ้ะ หนูเต้ อ้าว นี่พาเพื่อนมาหรอ แหมเพื่อนหล่อจังนะ” เสียงทักมาจากทางด้านหลังพร้อมกับมีมือมาแตะที่ไหล่ของผม
   “อ้ะ...สวัสดีครับผู้จัดการ เดี๋ยวจะรีบไปเปลี่ยนเสื้อเดี๋ยวนี้แหละครับ” ผมหันกลับไปทักทายผู้จัดการของคาเฟ่แห่งนี้ 

   ก็อย่างที่ทุกๆท่านเห็น ผู้จัดการของผมเป็นสาวประเภทสองครับ เพราะงั้นบางทีเวลาเดินออกมาตรวจร้าน ก็จะโดนลูกค้านินทาบ้าง แต่ผู้จัดการของผมเขาก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร แถมยังมีลูกค้าบางคนพูดจาเสียๆหายๆใส่ จนตอนนั้นพี่เซฟถึงกับของขึ้น ผู้จัดการเขาก็มาห้ามไว้  ผู้จัดการเขาพูดแค่ว่า ‘ใครจะพูดอะไรก็ช่างเขา เราเป็นตัวเราแค่นั้นก็พอ’ เพราะงั้นผมก็เลยศรัทธาในความใจเย็น กับความมีสติของคนๆนี้มาก

   “โถ่ บอกกี่รอบแล้วว่าไม่ให้เรียกผู้จัดการ เรียกเจ๊ดีดี้ก็ได้จ๊ะ”
   “ไม่ดีกว่ามั้งครับ” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะ ก่อนจะเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อ

   จะว่าไปยังไม่เห็นพี่เซฟเลยแฮะ ลองถามผู้จัดการดูดีกว่า

   “เอ่อ ผู้จัดการครับ...หือ...” พอผมหันกลับไปมองก็เห็นภาพที่ ผู้จัดการไม่สิ ตอนผีออกผมขอเรียกผู้จัดการแล้วกัน ตอนนี้เหมือนกำลังผีเข้า...งั้นเรียกเจ๊

   “เจ๊ดีดี้ หยุดแต๊ะอั๋งเพื่อนผมมม ดูหน้ามันดิซีดเป็นไก่ต้มแล้วนั่น!”

   “โถ ขอกำไรชีวิตหน่อยไม่ได้เลย...อ่ะๆ เอาคูปองนี้ไปซะนะพ่อหนุ่ม ลดราคาเครื่องดื่มครึ่งราคา กินให้อร่อยนะจ๊ะ♥” พอเจ๊วางคูปองเสร็จ ก็ลูบคางข้าวหนึ่งที แล้วก็เดินไป...เดี๋ยวยังให้เดินไปไม่ได้ดิ ยังไม่ได้ถามเลย

   “เดี๋ยวครับเจ๊ เอ้ยผู้จัดการ”
   “มาขนาดนี้เรียกเจ๊ก็ได้ย่ะ มีอะไรหืม”
   “แหะๆ...พี่เซฟอยู่ไหนครับ”
   “อยู่ในห้องแต่งตัวแหนะ ป่านนี้น่าจะเสร็จแล้วมั้ง”
   “โอเคครับผม” พอขานรับเสร็จผมก็รีบตรงดิ่งเข้าห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า...เออ แล้วไอข้าวเป็นไงมั่งหว่า โดนไปแบบนั้น...

    “พี่เซฟ!!”
    “เบาๆสิ ลูกค้าตกใจหมด ปิดประตูก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
    “อะ...อ่าขอโทษครับ”
    “แล้วมีอะไรอยากคุยกับพี่สองต่อสอง หรือว่า....” พี่เซฟพูดกับผมพร้อมทำท่าทะเล้นใส่
    “หยุด ไม่ต้องนำพาให้ผมคิดอะไรแปลกๆ...ถ้าไม่อยากให้ผมเคืองตอบคำถามผมมา ทำไมพี่ไม่บอกผมว่าพี่เป็นนักศึกษา”
    “ก็ไม่ถามนี่...”

   อะไรนะ! มันก็ใช่ที่ผมไม่ได้ถาม แต่ไอเรื่องแบบนี้มันก็ควรจะบอกกันก่อนมั้ยห๊ะ!

   “โอ๊ะๆ พี่บอกแล้วจ้า...ไม่ต้องปล่อยจิตสังหารขนาดนี้ก็ได้นะแหม่...พี่อยู่ปี 2 คณะเดียวกับน้องนั่นแหละ”
   “เจอไปขนาดนั้นมันก็ต้องรู้อยู่แล้วไหมล่ะ!”
   “เอาใจยากจริง” พี่เซฟทำหน้ามุ่ยใส่
   “อะไรนะ! ยังไม่หมดซะหน่อย พี่จะเรียกผมไปข้างหน้าทำไม!”

   อันนี้แหละที่ยอมไม่ได้! รู้มั้ยว่าตอนผมไปกินข้าว เพื่อนๆในคณะเค้ามองผมกันใหญ่เลยอ่ะ...นี่ถ้าไม่ได้ข้าวใช้ประโยชน์จากขนาดตัวมันบังผมไว้นะ ผมอาจจะต้องโดนสายตามองจนตัวเป็นรูพรุนอยู่ที่โรงอาหาร

   “แหม ก็อยากแกล้งนิดหน่อยๆเท่านั้นแหละน่า แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุผลแบบนั้นนี่...”
   “อ๋อ แบบนี้นี่เอง…คิดว่าผมจะพูดแบบนั้นหรอไงห๊ะ”

   ผมพูดเสร็จ ผมก็ง้างมือปล่อยหมัดไปที่แขนของพี่เซฟ แต่ผมก็ยั้งมือนะ...แต่เอาจริงๆต่อให้ผมต่อยเต็มแรงผมก็ไม่คิดว่าพี่แกเขาจะเจ็บนะ

   “โอ้ยๆ พี่เจ็บนะ ต่อยแขนพี่ทำไม” หูย...สตอเบอรี่มากๆเลยครับพี่
   “ตลกละ ไม่ได้ต่อยแรงขนาดนั้นไหมล่ะ ตัวเองก็เล่นกล้าม ต่อยแค่นี้ไม่เจ็บหรอก”
   “อย่างน้อยก็เป็นห่วงพี่หน่อยไม่ได้หรือไง”
   “ไม่รู้ ตอนนี้เคืองที่พี่แกล้งผมอยู่ ไว้ตอนผมเลิกงานเลี้ยงโกโก้ปั่น เดี๋ยวผมหายโกรธเอง”
   “มีงอนแล้วบอกวิธีง้อด้วยเว้ย...”
   “แต่งตัวเสร็จแล้วก็ออกไปด้วยครับ ผมจะแต่งตัว”
   “ผู้ชายเหมือนกันอายอะไร หืม..?”
   “พี่เซฟครับ ถ้าพี่ยังไม่รีบออกไปนะ ผมจะฟ้องผู้จัดการว่าเมื่อมะรืน พี่แอบนินทาผู้จัดการ”
   “จ้าไปแล้วจ้า~”


[พาร์ทข้าว]

   ตอนนี้ผมประหม่ามากเลยครับ...ผมนั่งอยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่งใกล้ๆกับมหาลัย ซึ่งเป็นที่ๆเพื่อนใหม่ของผม ‘ลาเต้’ กำลังทำงานอยู่ที่นี่ แต่การที่ประหม่าก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมพึ่งเคยมาที่ๆแบบนี้ครั้งแรกเท่านั้นเอง

   อืม...จะเอายังไงกับคูปองนี่ดีนะ...ผมมองดูคูปองที่อยู่ในมือ ผมได้มันมาจากคนที่ลาเต้เรียกว่าผู้จัดการน่ะครับ เขาเข้ามาจับแขนผมบ้าง มือผมบ้าง มันน่ากลัวมากเลยนะ..แต่ผมก็ไม่กล้าทำอะไรด้วยสิ ถ้าทำอะไรไม่ดีไปเพื่อนผมโดนไล่ออกทำไงอ่ะ

   ‘จะสั่งอะไรก็เดินไปที่เคาร์เตอร์นะ’ ผมนึกคำพูดของเพื่อนที่พูดทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

   เอาล่ะ จะไปสั่งแล้วนะ..

   ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าเคาร์เตอร์ ทันใดนั้นเสียงของพนักงานชงกาแฟก็เอ่ยถามผม

   “รับอะไรดีครับ”
   “เอ่อ คือ...เอ้ย รุ่นพี่เซฟ!” ทำไมเดือนมหา’ลัย ถึงมาทำงานอยู่ที่นี่! จะว่าไปตอนนั้น เต้ก็ถามกับผู้จัดการอยู่นี่นาว่า ‘พี่เซฟอยู่ไหน’ เราก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นเซฟนี้

   พอดูใกล้ๆแล้วรุ่นพี่เขาหล่อมากเลย...หล่อแบบหล่อเอี้ยๆ เอาจริงๆมั้ยครับผมเป็นแฟนคลับของรุ่นพี่คนนี้มาตั้งแต่มอปลายแล้วล่ะ แต่ผมก็ปิดเป็นความลับมาตลอด เพราะคงไม่มีใครคิดหรอกว่าผู้ชายที่เป็นแฟนคลับผู้ชายด้วยกันจะเป็นชายแท้...

   “ฮัลโหลว อยู่มั้ยครับน้องข้าว..?” รุ่นพี่พูดพลางโบกไม้โบกมืออยู่ที่หน้าผม
   “เอ...เอ๊ะ อยู่ครับ ! พี่รู้จักผมด้วยหรอ..?” แอบตกใจนะเนี่ย คิดไม่ถึงว่าพี่เขาจะรู้จักเราด้วย
   “รู้จักๆ น้องเป็นเพื่อนลาเต้ใช่ไหมล่ะ เห็นเดินมาด้วยกันน่ะ แล้วก็บังเอิญได้ยินชื่อเข้า”

   ตอนนี้เป็นโอกาสทองแล้ว ลูกค้าในร้านก็ยังไม่เยอะ ลาเต้ก็ยังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ ลัคกี้! คราวนี้แหละจะได้ถ่ายรูปคู่ภาพและขอลายเซ็นแบบไม่ต้องอาย!

   “ร..รุ่นพี่! คะ..คือว่า..ชะ..ช่วย..อะ..เอ่อ..คือ”

   จะตื่นเต้นทำไมเนี่ยเรา ใจเย็นๆสิ ใจเย็นๆ

   “อะไรนะครับ..?” รุ่นพี่อย่ายื่นหน้ามาใกล้ขนาดนั้นสิ ผมอายจะแย่อยู่แล้ว...โอ้ย หน้ารุ่นพี่ตอนใกล้ๆมัน...
   “ช่วยชงกาแฟให้หน่อย!!!”
   “เอ๋...ปกติพี่ก็ชงอยู่แล้วนะ แล้วน้องจะเอาอะไรล่ะ”

   จบแล้ว...โอกาสทอง...แค่ได้เจอกันก็ยากแล้ว...นี่ฟ้าอุตส่าห์เห็นความติ่งรุ่นพี่ของเรา เลยประทานโอกาสมาให้ แล้วเราก็ทำมันพังซะเอง...เล่นตะโกนซะขนาดนั้น หมดสิทธิ์ขอแบบเนียนๆแล้ว ฮือ...ไอโง่เอ้ยยย

   “เอานมสดปั่นครับ...ใส่คาราเมลเยอะๆด้วยครับ...” กินของหวานย้อมใจแล้วกัน...
   “อ้าว พี่ก็นึกว่าเราจะเอากาแฟ โอเคๆ ไม่เป็นไร รอแปปนะ” รุ่นพี่พูดพร้อมกับหัวเราะ


   ผ่านไปประมาณ 2 นาที รุ่นพี่ก็เอานมสดปั่นมาให้

   “หกสิบครับผม” เอ๊ะ แพงอ่ะ ร้านแบบนี้ราคาเลยอัพหรอ ก็กะแล้วว่าต้องแพงขึ้น แต่อันนี้เกินไปไหม ซื้อข้างนอกแก้วละยี่สิบเองนะ!
   เออ เกือบลืม เรามีคูปองนี่หว่า

   “ใช้คูปองนี่ได้ไหมครับ...”
   “น้องไปได้มาจากผู้จัดการสิท่า เจ๊แกก็ทำแบบนี้กับผู้ชายทุกคนที่โดน(หลอก)แต๊ะอั๋งนั่นแหละ อย่าไปถือสาเลยนะ”
   “อ่า..”
   “ลดแล้วเหลือสามสิบครับ”

   เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย...ผมควานหากระเป๋าตังเพื่อที่จะจ่ายค่าน้ำ...

   “ไม่มี!...”

   ตอนเอาครีมไปเก็บก็หยิบใส่กางเกงมาแล้วนี่...!

  “น้องลืมกระเป๋าเงินหรอ..?”
  “เหมือนจะหายอ่ะ....” เฮ้อ น่าอายจัง ต่อหน้ารุ่นพี่ด้วย...
  “อ้าว งั้นให้พี่เลี้ยงไหม...ถือเป็นการแสดงความรู้จัก...”
  “ไม่ดีกว่าครั—“ ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ รุ่นพี่ก็พูดขึ้นมา
  “อ้าว เจ้าข้าว กลับมาแล้วหรอ คาบอะไรมาล่ะนั่น”
  “เรียกผมหรอ..?” เจ้าข้าว ข้าวจ้าว เอ๊ะ อะไรงง
  “อ๋อ โทษทีๆ พี่หมายถึงเจ้านั่นน่ะ” ผมหันตามทางที่รุ่นพี่ชี้ไป ผมเห็นหมาพันธุ์ไซบีเรียนตัวหนึ่ง กำลังวิ่งมา แล้วมันวิ่งมาหยุดที่หน้าเคาร์เตอร์ ข้างๆผม

   ตาสองสีด้วย น่ารักจัง...แต่ของที่มันคาบอยู่ คุ้นๆอยู่นะ

  “กระเป๋าตังผมนี่!”
  “อ้าว จริงหรอ บังเอิญจัง ข้าวคาบของมาให้ข้าว” รุ่นพี่พูดพร้อมกับหัวเราะไปด้วย

   ผมทำได้แค่มองตาปริบๆใส่รุ่นพี่ เอาอะไรขำอ่ะ...

  “โอ้ยๆ ดูดิ มองพี่สายตาแบบเดียวกันเด๊ะเลยอ่ะ” รุ่นพี่ขำก๊ากออกมาอย่างไม่เขินอาย...แล้วที่ว่าสายตาเหมือนกัน...ชมว่าเราน่ารักหรอ…?

   หลังจากที่รอให้รุ่นพี่หยุดขำ ผมก็ได้กระเป๋าเงินคืนจากเจ้าหมาที่ชื่อเหมือนกันกับผม และสุดท้ายผมก็ได้จ่ายเงินค่านมสดแบบไม่ต้องให้รุ่นพี่เลี้ยง

   จากนั้นผมก็ใช้เวลาที่ต้องรอเพื่อนผมเลิกงาน ด้วยการเล่นกับเจ้าหมาไซบีเรียนและแอบส่องรุ่นพี่ จากบ่ายโมงกว่าๆ นี่ก็เกือบจะห้าโมงแล้ว (ก็เพลินดีนะครับ)


   ซักพักลาเต้ก็เดินมาหาผม

   “ไอข้าว เดี๋ยวกูไปเปลี่ยนชุดเสร็จก็กลับละ อ้าว สนิทกับไอข้าวแล้วหรอ...” พอพูดเสร็จลาเต้ก็หลุดขำก๊ากออกมาซะชุดใหญ่ มันเอาตรงไหนมาขำวะ
   “ชื่อเหมือนกันก็ว่าตลกแล้ว เหมือนที่พี่เซฟบอกเลย เวลามองนี่คล้ายกันอย่างกับแกะแหนะ โอ้ยขำ” จำเป็นต้องขำขนาดนี้มั้ย...มัวแต่ขำไม่ได้กลับกันพอดี ผมอยากจะรีบเอาภาพที่ผม(แอบ)ถ่ายรุ่นพี่ไป ปริ้นแปะผนังห้องจะแย่

   ผมเลยจัดการตบกะโหลกใส่เจ้าเพื่อนที่กำลังหัวเราะอยู่

   “โอ้ย ไอข้าว กูเจ็บนะว้อย แค่หัวเราะต้องตบหัวขนาดนี้เลยหรอ”
   “หยุดขำเถอะน่า มึงรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว เดี๋ยวก็ถึงหอดึกหรอก”
   “โห นี่พึ่งจะห้าโมงเอง อ่ะๆไปก็ได้ๆ”

   ผมว่าผมต้องพูดกับเจ้าข้าวหน่อยแล้ว...(พูดชื่อตัวเอง แล้วมองหน้าหมา ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดี)

   ถ้าเป็นหมาของคนอื่น แล้วเป็นชื่อตัวเองก็คงขัดใจนิดหน่อย แต่นี่เป็นหมาของรุ่นพี่หยวนๆให้แล้วกัน

   “นี่เจ้าข้าว เวลาอยู่ที่นี่ก็เล่นกับรุ่นพี่แทนเราเยอะๆนะ ไหนๆก็คล้ายกันแล้วเนอะ”

    ผมพูดพลางลูบหัวมันไป ซึ่งมันก็เหมือนจะฟังรู้เรื่องนะ ตอบรับมาด้วย

   “โฮ่ง!”

    ผมยิ้มตอบเจ้าหมานี่ไป ถ้าได้มาที่นี่อีกบ่อยๆก็คงดี

[จบพาร์ทข้าว]   

   ผมดูดโกโก้ปั่นที่พี่เซฟ(จำใจ)เลี้ยงผมพลางโบกมือลาเจ้าข้าวกับพี่เซฟ ก่อนจะหันมาคุยกับ ‘ข้าว’ ที่เดินอยู่ข้างๆผม

   “มึงก็รอกูได้เนอะ ตอนแรกคิดว่าต้องกลับไปก่อนแน่ๆ”

   ข้าวทำผมแปลกใจจริงๆนะ ถึงรอได้ ก็ไม่คิดว่าหน้าตาจะดูอิ่มเอมได้ขนาดนี้...อย่างน้อยๆที่ผมคิดไว้ก็คือหน้าตาเหมือนผีตายซาก อะไรทำนองนี้ เพราะผมก็เข้าใจเวลารออะไรนานๆน่ะ

   “พอดีมีอะไรสนุกๆให้ทำเยอะน่ะ” ข้าวตอบผมมา

   “อ่อหรอ...” หมายถึงอะไรกันนะ อยากรู้จัง อย่าหาว่าผมเผือกเลยนะ แต่นี่ก็เป็นสีสันอย่างหนึ่งของชีวิต การเผือกคนอื่นอ่ะ สนุกจะตาย...
   “จะว่าไป รุ่นพี่ เอ่อหมายถึง รุ่นพี่เซฟ เขาพักอยู่ที่ไหนหรอ มึงรู้ป่ะ”

   รู้จักพี่เซฟด้วยแฮะ...หมายความว่าการรู้จักพี่เซฟเป็นเรื่องธรรมดาน่ะสิ...เราเองสินะ ที่ตกข่าว ไม่รู้ว่าพี่แกเค้าเป็นเดือนมหา’ลัย

   “อืม นั่นสิ ไม่เคยถามเลย” แค่รู้ว่าเป็นรุ่นพี่ในคณะก็ตกใจจะแย่แล้ว...แต่พอพูดขึ้นมาก็นั่นดิ พี่เขาอยู่ที่ไหนนะ ลึกลับอย่างบอกไม่ถูกเลยแฮะพี่เซฟเนี่ย

   “งั้นหรอ..มึงก็ไม่รู้สินะ” ข้าวตอบผมมาด้วยสีหน้าดีใจปนผิดหวัง...อะไรล่ะนั่น ประมาณว่าดีใจที่เราก็ไม่รู้ แต่ตัวเองก็อยากรู้หรอ

   “มึง ถ้าวันไหนมึงไปทำงาน กูขอไปด้วยทุกครั้งเลยได้ไหม”

   ข้าวพูดประโยคนี้มา พร้อมกับมองหน้าผม...มันทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไงเนี่ย จะอ้อนก็ไม่ใช่ จะบังคับก็ไม่เชิง แถมดูเศร้าแปลกๆอีก คนบ้าอะไรแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าได้หลากหลายขนาดนี้

   แต่ทำหน้าแบบนี้ ผมก็ใจอ่อนอีกนั่นแหละ ถึงผมจะไม่รู้ว่ามันมีเหตุผลอะไรที่ทำให้มันอยากไปอีกบ่อยๆ แต่ถ้ามันไปแล้วมีความสุข ในฐานะเพื่อน ผมก็โอเคล่ะนะ!

   ผมยิ้มให้มัน พร้อมเขย่งตัวไปกอดคอของมัน

   “อื้ม ได้ แอบปิ๊งใครในร้านอ่ะดิ เอาเถอะ อยากมาก็มา” ผมพูดพลางหัวเราะ
   “...” เดี๋ยวไอข้าว มึงหน้าแดงทำไม ตะกี้กูแค่พูดเล่นนะเว้ย...

   ไว้ว่างๆค่อยเรียกมันมาล้วงความลับดีกว่า...


   หลังจากนั้นผมก็เดินคุยเรื่อยเปื่อยกับไอข้าวจนมาถึงหอ

   เตรียมตัวเหนื่อยอีกแล้วววว หกชั้น เฮ้ออออ....

   พอเดินถึงชั้นสี่ ข้าวก็แยกตัวไป ดีจังนะ อยู่แค่ชั้นสี่...

   หลังจากทรหดอดทนอยู่ที่บันได ในที่สุดผมก็เดินมาถึงชั้นหกแล้ว! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะที่ผมคิดแบบนี้ ผมภูมิใจทุกครั้งที่ก้าวเดินขึ้นมาถึงชั้นหกได้ โดยไม่เหนื่อยตายกลางทางเสียก่อน(มันเหนื่อยจริงๆนะ)

   เออใช่ วันนี้วันอัปเดตการ์ตูนกับนิยายนี่นา! งั้นต้องรีบเข้าไปเปิดแอร์ อาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อย มุดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แล้วเข้าสู่โลกแฟนตาซี~~

   ผมเดินกระโดดโหยงเหยงกลับห้องพร้อมกับความดีใจ ทันทีที่ผมบิดลูกบิดประตู ก็พบว่ามันไม่ได้ล็อก..!

   ผมหน้าซีดในทันที

   ทำไมไม่ได้ล็อก เมื่อเช้าก็ล็อกแล้วนี่...ขโมยหรอ?!

   ผมค่อยๆเปิดประตูเข้าไปอย่างช้าๆ ลมแอร์เย็นๆไหลผ่านออกมา

   เปิดแอร์ด้วย! เปลืองค่าไฟมั้ยนั่นคนจ่ายมันคือเรานะ! ไม่ใช่สิค่าไฟไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้เอาไงดีวะ โทรแจ้งยามหน้าหอดีมั้ย...

   ผมค่อยๆแง้มหน้าไปมอง เอ๊ะไม่มีใคร...ทันใดนั้นประตูห้องน้ำก็เปิดออก สิ่งที่ผมเห็นก็คือ

   ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ร่างสูงหุ่นนายแบบ มีกล้ามเป็นมัดๆพอดูแล้วรื่นรมย์ใจ(?) และเขานั้นอยู่ในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว...

   มันใช่เวลามาใช้พรรณนาโวหารมั้ยเนี่ยห๊ะ คนแปลกหน้าอยู่ในห้องนะเว้ย...!

   จะว่าไปไอนี่หน้าคุ้นอยู่นะ เหมือนเคยเห็นจากที่ไหนซักแห่ง....แต่ก่อนที่ผมจะนึกออก อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ว่าผมเป็นใครในทันทีที่เห็น สังเกตจากสีหน้าตกตะลึงของเขาน่ะ

   เขาพูดคำๆหนึ่งออกมาในทันทีที่เห็นหน้าผม และมันก็ทำให้ผมนึกออกเช่นกันว่าเขาคนนี้คือใคร

   “ไอเตี้ย!!”
   “เชี่ยนิล!”

   พ่อครับแม่ครับ เหมือนว่าชีวิตมหาลัยสุดสงบที่ลูกหวังไว้ จะไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะครับ...

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2017 21:50:18 โดย BetaCosmos »

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ก็แค่เข้าใจผิด มันจะมีอะไรมากกว่านั้นอีกล่ะ

ตอนนี้ผม นายทิวา รุ่งเรืองสวัสดิ์ กำลังจะโดนฆ่าตายอยู่ในห้องของตัวเองครับ โดยไอคนที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ที่กำลังจ้องผมเขม็งอยู่นั่นอ่ะครับ  โดยสาเหตุมันมาจากเมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้ว...

“เชี่ยนิล!” มันมาอยู่ในห้องของเราได้ยังไงวะ!

แต่ตอนนี้ผมต้องทำตามสัญชาตญาณของผมก่อน มันมีบางอย่างแล่นเข้ามาให้หัวผมว่า ‘ถ้าไม่หนีตอนนี้มึงตายแน่นอน’

เอาล่ะ โกยแน่บ!!

“ไอเตี้ยหยุด!” นิลพยายามเอื้อมมือมาคว้าคอเสื้อผม แต่โชคดีที่ผมเตี้ย(...) เพราะงั้นก็เลยพลาดไป

พอรู้ว่าเจ้านั่นพลาดผมก็รีบหันหน้าพร้อมที่จะหนีไปให้ไกลสุดขอบโลก แต่ทว่า...คนบทมันจะซวยก็คือซวย ทำอะไรไม่ได้หรอก
ในจังหวะที่ผมกำลังจะออกตัววิ่งนั้น อาจจะเพราะรีบ ผมก็เลยสะดุดนิดหน่อย ถ้าแค่สะดุดเฉยๆมันก็คงไม่เป็นไรหรอก เผอิญว่า ด้านหน้าผมมีประตูที่เปิดไว้เนี่ยสิ

‘ปัง!’

สรุปง่ายๆตามภาพที่เห็น หน้าผมอัดเข้ากับประตูเต็มๆ

หลังจากนั้น ผมก็โดนไอนิลจับโยนเข้ามาในห้อง แล้วก็กลายเป็นแบบปัจจุบันนี่แหละครับ...

“…”
“…”

เอาแล้ว บรรยากาศชวนอึดอัด...ผมว่าผมคงต้องลองใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

“เอ่อ...มึงมาอยู่ในห้องกูได้ไงหรอ” ผมพูดพร้อมกับมองมันตาใส ราวกับว่าเราไม่เคยมีอะไรระหว่างกันมาก่อน

มันจ้องผมเขม็ง จนทำให้ผมสะดุ้ง

“ก็นี่ห้องของกู ทำไมจะเข้ามาไม่ได้”
“ห๊ะ...” เดี๋ยวงั้นก็หมายความว่ารูมเมตเราคือ ไอนี่เนี่ยนะ...อืม ห้องของข้าวยังว่างอยู่สินะ
“มึงไม่ต้องหาวิธีหนีเลย กูไม่ยอมให้มึงไปไหนแน่ๆ จนกว่ามึงจะแสดงความรับผิดชอบที่มึงทำร้ายกู”

เบื่อพวกรู้ทันจริ๊ง...แต่ตอนนี้ผมกดดันซะจนอยากจะร้องไห้แล้วเนี่ย...ผมพยายามมองตามันให้มันเห็นใจแต่เหมือนว่าจะไม่ได้ผล..

หืม..ที่ขานั่น แผลหรอ

“มึงเป็นแผลหนิ แผลใหญ่ด้วย ไม่ไปทำแผลล่ะ”

ไม่ใช่ว่าผมเป็นห่วงอะไรหรอกนะ แต่ผมไม่ชอบเวลาเห็นแผลน่ะ ไม่รู้สิ ผมอาจจะโรคจิตก็ได้นะ เวลาผมเห็นใครมีแผลทีไร ผมก็ชอบเสนอตัวเข้าไปทำแผลให้ตลอดเลย เพราะงั้นผมก็เลยเลือกเรียนคณะสัตวแพทย์นี่แหละ ถ้าถามว่าทำไมไม่ไปเรียนหมอ เป็นหมอคนมันต้องเรียนอนาโตมี่มนุษย์ใช่มั้ย ผมไม่ชอบอ่ะ ร่างกายมนุษย์ดูน่ากลัวกว่าร่างกายสัตว์อีก ผมก็เลยเรียนหมอสัตว์แทน

“ไม่ต้องยุ่ง กูไม่เป็นไร” โอ้ย เบื่อพวกงี้จังว่ะ มีแผลก็ไปทำแผลสิ ไม่ได้ถามเลยว่าเจ็บไหม

“ไม่ต้องเก๊ก ไปนั่งที่เตียง ปิดส่วนล่างดีๆด้วย กูไม่อยากเงยหน้าขึ้นมาเห็นอะไรแปลกๆหรอกนะ เดี๋ยวทำแผลให้ก่อนแล้วค่อยคุยกัน ได้มาจากตอนชนกูใช่มั้ย” ผมรู้เพราะว่าลักษณะมันเป็นแผลไถลน่ะ ผมค่อนข้างเชี่ยวชาญกับลักษณะแผลอ่ะนะไม่อยากจะคุย(นี่คือไม่อยากคุย)

ซึ่งมันไม่ยอมพูดอะไรตอบมา แต่ก็ยอมไปนั่งดีๆ ผมก็เดินไปหายาทำแผลที่ผมเก็บเอาไว้

หลังจากที่ผมหายาเจอแล้ว ผมก็เดินไปนั่งที่พื้น ก่อนจะเริ่มเอาแอลกอฮอล์มาเช็ดแผลของมัน

ในขณะที่ผมเช็ดแผล เหมือนว่านิลจะแสบแผล แต่ก็เก็บอาการไว้ สังเกตจากการกระตุกขาในทุกๆครั้งที่ผมเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ไปโดน

หืม...น่าสนุก

“ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาก็ได้นะ” ผมพูดพร้อมกับทำสีหน้าเจ้าเล่ห์
“พูดเชี่ยอะไร แค่นี้ไม่เจ็บหรอก”
“อ๋อหรอ งั้นเจอนี่หน่อย” ทันทีที่ผมพูดจบ ผมก็เอาสำลีขยี้ไปที่แผลของมัน สงสารไหมสงสารครับ ผมไม่ใช่คนใจยักษ์ใจมากเสียหน่อย แค่สะใจเท่านั้นเอง
“โอ้ย ไอสัดทำดีๆดิวะ มึงอยากมีเรื่องกับกูเพิ่มใช่มั้ยห๊ะ”

โถ คำหยาบคายนี่รับไม่ไหวจริงๆเลยนะครับเนี่ย พอดูๆไป เจ้านี่เหมือนนักเลงก็จริงอยู่ แต่เวลาจะพูดจะทำอะไรก็ไม่มีอะไรซับซ้อนเท่าไหร่นะ แค่ใบหน้าตายซากของมันเลยทำให้ดูโหดแค่นั้นเอง รับมือไม่น่ายาก

“อ้ะๆ ทำดีๆก็ได้”

จากนั้นผมก็ทำแผลให้มันเงียบๆ ก็พอเช็ดแอลกอฮอล์เสร็จ ก็ลงเบตาดีน แล้วก็ใช้ผ้าพันแผลพันเป็นอันเสร็จ

ผมไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ตอนผมทำแผลมันจ้องผมใหญ่เลย...ผมก็พยายามพูดบอกมันเป็นระยะๆแล้วว่าจะไม่แกล้งอีก มันก็ไม่เลิกจ้องเสียที ดูเหมือนจะเดาใจยากกว่าที่คิดนิดหน่อยนะเนี่ย

“เอ้าเสร็จแล้ว ไปใส่เสื้อผ้าไป” ผมไล่มัน
“ขอบคุณ…” หืม ขอบคุณหรอ พูดดีๆก็เป็นนี่
“อื้ม ไม่เป็นไรหรอก เต็มใจทำ” ผมยิ้มให้มันด้วยความยินดีปรีดา

ใช่เต็มใจมากๆ อย่างน้อยๆก็มั่นใจได้แล้วว่าผมจะไม่ถูกมันฆ่าหั่นศพในห้องนี้แน่ๆ

จากนั้นมันก็ใส่เสื้อผ้า แล้วก็มานั่งบนเตียงที่อยู่ตรงข้ามกับผม สภาพห้องที่มีรูมเมต...ความกว้างหายไปครึ่งนึง ฮือ...

ตอนนี้ความเงียบกลับมาอีกครั้ง และมันก็นั่งจ้องผมอยู่เงียบๆตามเดิม เหมือนรอให้ผมพูดอะไรซักอย่าง จากตอนแรกที่ผมว่าจะไปอาบน้ำ แล้วรีบมาอ่านการ์ตูนกับนิยาย ตอนนี้ผมไม่กล้ากระดิกตัวไปไหนเลย

มันกำลังวางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า หรือมันกำลังจ้องให้ผมกดดันมากๆจนเผลอกัดลิ้นตัวเองตาย ร้ายกาจ..ร้ายกาจจริงๆ
แต่ตอนนี้ถ้าผมยังไม่พูดอะไรผมต้องบ้าตายแน่ๆ

“เอ่อคือ...ชื่อนิลใช่ไหม กูได้ยินมาจากพี่สตาฟว่ามึงไปแจ้งว่ากูสลบไป ขอบคุณมากเลยนะ...แล้วก็ขอโทษเรื่องเมื่อเช้าด้วย กูไม่ได้ตั้งใจ...” ผมไม่สามารถมองหน้ามันตรงๆได้ในขณะนี้ ทั้งๆที่ห้องเปิดแอร์แต่เหงื่อกลับไม่หยุดไหล ทั้งๆที่เหงื่อไม่หยุดไหลๆ แต่ร่างกายกลับเย็นเฉียบ...

อยากจะตบปากตัวเองว่าทำไมไม่ชวนคุยเรื่องอื่น 

“เฮ้อ...” มันถอนหายใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ตอนนี้สภาพมันอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้น ผมที่เคยเซ็ตเอาไว้ก็ปล่อยลงมาปรกหน้า ส่วนเรื่องสายตาที่มองมาหาผม ไม่รู้ ผมจะถือว่าผมมองไม่เห็นที่มองมาด้วยความเย็นชาแล้วกัน

แล้วมันก็ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมาย คือมันเดินมาใกล้ๆผม พร้อมกับ...

สั่งว่าให้ผมยืนขึ้น!

“ยืนขึ้น”
“เอ๋..?”
“บอกให้ยืนก็ยืนเหอะน่า”

อ่ะๆ ยืนก็ยืน
“แล้ว...?”

จากนั้นมันก็ลูบหัวผม ก่อนจะพูดว่า

“ตอนนั้นมึงด่ากูทำไม ไม่พอใจอะไรกู คราวหลังก็พูดกันดีๆ กูไม่ใช่คนชอบมีปัญหากับใครหรอก”

แต่หน้าตาดูเป็นคนชอบหาเรื่องมากเลยอ่ะ(แค่ก)...เดี๋ยวถ้าจะพูดแค่นี้แล้วให้ยืนเพื่อ..? ก่อนที่ผมจะได้ถามมันว่าให้ยืนทำไม มันก็พูดขึ้นมาก่อนว่า

“อ่ะ มาพูดกันแบบลูกผู้ชายมึงไม่พอใจอะไรกู ว่ามา”

ผมแอบตกใจนิดหน่อยที่จริงๆแล้วมันเป็นคนใช้หลักเหตุและผลเข้าคุยกันมากกว่าที่ผมคิดเสียอีก ผมก็ไม่ได้เกลียดคนประเภทนี้ซะด้วยสิ งั้นทำไม เมื่อเช้าเราถึงทะเลาะกันได้นะ...

นั่นสิ ทำไมนะ เราแค่ไม่ชอบให้คนพูดคำหยาบใส่เหรอ ไม่สิตอนนี้ข้าวก็พูดแบบเดียวกับที่มันพูดกับเราตอนนี้ แถมตอนนี้เราเองก็ใช้คำหยาบด้วย
สรุปแล้ว สาเหตุมาจากคำหยาบเหรอ หรือว่ายังไงกัน ผมเริ่มงงๆกับอารมณ์ชั่ววูบในตอนนั้น มันสมเหตุสมผลตรงไหนกัน

“กูก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรมึงนี่...”
“แล้วเมื่อเช้า..มึงทำท่าเหมือนโกรธกูนะ”
“ก็ใช่...แต่ตอนนี้กูก็ไม่ได้โกรธอะไรมึงแล้ว”

มันทำหน้างงๆ ใช่ผมเองก็งงกับตัวผมเองเหมือนกัน  จากนั้นผมก็ใช้ความคิดสักพักก่อนจะเอ่ยสาเหตุที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด

“บางทีเราอาจจะแค่เข้าใจผิดกันเฉยๆนะ” ผมพูดพลางหัวเราะ

สีหน้าของนิลยังดูเคลือบแคลงใจอยู่เล็กน้อย ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมยังต้องสงสัยอีก

“นิล กูว่านะ ในเมื่อตอนนี้ก็ไม่มีใครโกรธกัน เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะ เนอะ”

ผมเสนอแนวทางที่ง่ายที่สุดออกมา  จากนั้นมันก็หลุดหัวเราะออกมานิดหน่อย เอ๊ะ ยิ้มก็เป็นนี่ หล่อด้วย ถ้ายิ้มเก่งๆหน่อย ผมว่าเจ้าหมอนี่คงฮอตไม่ใช่เล่นเลยแหละ

“ทำไมมึงถึงไม่ยิ้มบ่อยๆล่ะ หน้าตาก็ออกจะดี มัวแต่ทำหน้าบึ้ง ตอนกูเห็นครั้งแรกเลยเข้าใจผิดว่าเป็นนักเลงเลยนะรู้ไหม” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
จากนั้นมันก็ตอบมาว่า

“กูไม่ใช่คนยิ้มเก่งหรอก แต่ถ้ามึงว่างั้น จะลองดูก็ได้”

พูดจาแบบนี้ ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงหลงมันแน่ๆ คนอะไรก็ไม่รู้ พูดจาหว่านเสน่ห์แต่ไม่รู้ว่าเผลอพูดเนี่ย

จากนั้นผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้

“จะว่าไป ให้กูยืนทำไมอ่ะ”
“ก็กูกะจะลูบหัวมึงนั่นแหละ แต่ตอนที่ล้ม เหมือนหลังจะยอกนิดหน่อย กูขี้เกียจก้มมาก เลยให้มึงยืนเอา อย่างน้อยก็ไม่ต้องก้มเยอะ”

จากประโยคที่มันพูดมา ผมจะพยายามไม่คิดเยอะแล้วกันนะ ฮึ่มมม

จากนั้นผมก็ไปอาบน้ำ...แต่ผมลืมไปอย่างว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวดังนั้น การใช้ชีวิตจะลำบากขึ้นมาประมาณเท่าตัว
อย่างตอนอยู่คนเดียว ผมก็เดินเข้าไปอาบน้ำ จากนั้นก็เดินโตงเตงออกมาแต่งตัวข้างนอกได้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วไง...เพราะงั้นการอาบน้ำครั้งแรกก็เลย

“นิลกูลืมผ้าเช็ดตัวอ่าาา”
สักพัก
“นิลกูลืมเสื้อผ้าอ่ะ”
สามวิหลังจากนิลส่งเสื้อผ้าให้
“กะ...กางเกงใน”
และในที่สุดผมก็สามารถออกจากห้องน้ำมาได้อย่างสงบ(นี่สงบแล้วเหรอ)

“ใช้กูซะเป็นเบ๊เชียวนะ” นิลบ่นอุบหลังจากที่ผมออกมาจากห้องน้ำ
“ก็มึงผิดเองหนิ อยากมาอยู่หอช้า กูเลยไม่ชินเลยนี่ไง”
“กูก็มีธุระ ของกูไหมล่ะ”
ชิ..ไม่เถียงด้วยแล้ว

“เออใช่..วันนี้เขาพูดอะไรบ้าง หมายถึงที่เรียกมารวมวันนี้น่ะ”
“อ้าว ไม่ได้ไปฟังหรอ”
“ก็พอดีมันมีคนเตะผ่าหมากกูเนี่ยดิ เลยต้องนั่งพักอยู่ที่ห้องพยาบาล กว่าจะหายก็แยกกันไปหมดแล้ว”
ฉึก...เจ็บปวดเล็กๆ
“ขอโทษ...”

จากนั้นผมก็พูดเรื่องที่ต้องประกวดดาวเดือน กับค่ายแล้วก็เรื่องการเปิดภาคเรียนให้นิลฟัง พอพูดเสร็จผมก็ขอตัวมานั่งอ่านการ์ตูนกับนิยาย รู้ตัวอีกทีก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว ผมก็เลยจะปิดไฟนอน แต่ก่อนจะปิดไฟ ผมก็พึ่งเห็นว่าไอนิลเนี่ยมันหลับอยู่ ซึ่งมันหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เหมือนกัน

ไอนี่แม่งนอนเร็วจัง แต่ขอบตาคล้ำยังกับแพนด้า...ผมนั่งลังเลอยู่นานว่าควรจะเอา eye cream ไปทาให้มันดีไหม เพราะยังไงไอนี่ต่อให้มันไม่เสนอตัว มันก็คงโดนเลือกเข้าประกวดเดือนคณะแน่นอน

เฮ้อ...ทาให้ก็ได้วะ ยังไงก็เป็นเพื่อน จะให้ไปลงประกวดทั้งๆที่หน้าก็ออกจะหล่อ สูงก็สูง หุ่นก็ดี แต่มีตำหนิที่ตามันก็แลดูจะน่าสงสารเกินไป
เมื่อตัดสินใจได้แล้วผมก็เลย หยิบ eye cream ไปทาให้มัน ผมพึมพำนิดหน่อยหวังว่าให้มันได้ยินได้ฝันเป็นความอิจฉาเล็กๆน้อยๆของผมนั่นแหละ

“กูอิจฉาความสูง กับใบหน้าหล่อๆของมึงจริงๆ กูเนี่ยนะเกิดมาตอนมัธยมก็หน้าสิว มีแต่คนไม่ชอบ พอโตขึ้นดูแลผิวพรรณตัวเองก็กลายเป็นหน้าหวานซะงั้น แถมเตี้ยอีก เป็นผู้ชายที่เสียชาติเกิดจริงๆ”

หลังจากผมพูดจบ พร้อมๆกันกับที่ทาครีมใต้ตาให้มันเสร็จ ไอนิลมันก็จับข้อมือผมแล้วกระชากผมลงไปกอดที่เตียงมัน
“ไอนิลมึงปล่อยดิ๊ กูอึดอัด มึงแกล้งละเมอใช่ไหมเนี่ย!”
“...”
ไม่ตอบ.. เอาจริงๆก็พึ่งจะคุยรู้เรื่องเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้ มันจะกล้าดึงเราไปกอดก็ออกจะเกินไปหน่อย เว้นแต่ว่ามันจะปิ๊งเราเท่านั้นแหละ สงสัยจะละเมอจริงๆ

เฮ้อ..ต้องนอนทั้งๆแบบนี้ใช่มั้ยเนี่ย หลังจากที่ผมปลงได้ ผมก็เอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่อยู่เหนือเตียงนิล
บ้าจริง เขินอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ไม่ตลกเลยนะเนี่ย...

“ฝันดีเพื่อนใหม่”
ผมพูดก่อนที่จะหลับตาลง แล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไป


[พาร์ทนิล]

เหมือนว่าเจ้าตัวเล็กที่ผมนอนกอดอยู่นี่ จะไม่รู้ตัวว่าผมยังตื่นอยู่ ตอนแรกๆผมก็กะจะแค่แกล้งเล่นๆ ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า เจ้าตัวจะไม่ได้ดิ้นอะไรมาก แล้วก็ยอมนอนดีๆ

คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ทำตัวเหมือนจะเหินห่าง แต่ก็กลับดูแลเอาใจใส่ อย่างตอนทาอะไรสักอย่างให้ผมเนี่ย ผมนี่แทบบ้า แล้วตอนพูดประโยคนั่นอีก จะอิจฉาผมทำไมกัน สูงหล่อไปแล้วยังไง ในเมื่อคนรอบๆตัวก็มองมาด้วยสายตาแบบเดียวกัน

ผมรู้ตัวว่าตัวเองชอบไอหมอนี่ก็ตอนที่มันทำแผลให้ผมเนี่ยแหละ แล้วมันยิ่งทำให้ผมหลงในทุกๆครั้งที่มันยิ้มให้ คนบ้าอะไรยิ้มน่ารักฉิบหาย
เหมือนผมจะชอบคนๆนี้จริงๆ(พูดในฐานะลูกผู้ชายเลย)

มันจะรู้ตัวไหมนะ ว่าผมหลงมันเข้าแล้ว 

เฮ้อ แล้วไอแบบนี้ผมจะนอนหลับมั้ยเนี่ย

ผมพยายามข่มตา และข่มใจที่กำลังเต้นไม่เป็นส่ำอยู่ในตอนนี้

‘ฝันดีครับตัวเล็ก’ ผมยิ้มพร้อมกล่าวในใจ

[จบพาร์ทนิล]

   


ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ตัวตนของเขา

[พาร์ทข้าว]

“เรียบร้อย!” ผมตะโกนออกมาเสียงดังหลังจากที่ผมมองดูผลงานตัวเองที่แปะอยู่ที่ผนังห้อง

ภาพรุ่นพี่เซฟขณะชงกาแฟอยู่! ผมยิ้มอย่างพึงพอใจ เพราะภาพนี้ในบรรดากลุ่มแฟนคลับของรุ่นพี่ ผมมีมันแค่คนเดียว และเห็นมันแต่เพียงผู้เดียว จะมีอะไรน่าดีใจไปกว่านี้อีก

เอาจริงๆ บางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองดูโรคจิตอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ผมหลงรักเขาไปแล้วนี่ ผมพร้อมจะสนับสนุนเขาจากทุกหนทางที่ผมทำได้เลยล่ะ
 
ความจริงผมเป็นพวกรักในคุณธรรม การแอบถ่ายแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่หรอก แต่ผมก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้เลย เคยมีคนถามว่าทั้งๆที่ได้อยู่มหา’ลัยเดียวกันแล้วทำไมถึงไม่เข้าไปคุย ผมก็อยากนะ แต่การที่ผมได้มาอยู่ใกล้ชิดกับรุ่นพี่มากขนาดนี้ผมก็ดีใจจะแย่แล้ว มีแฟนคลับอีกร้อยๆคนที่อยากจะมาเรียนที่เดียวกับรุ่นพี่ แต่ไม่ได้มาเพราะมหา’ลัยแห่งนี้ เข้ายากยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
 
รุ่นพี่น่ะ เป็นลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย ชื่อจริงก็คือ โจฮาน เรืองวิไลณริศ อายุ 21 ปี งานอดิเรกคือฟังเพลง สิ่งที่ชอบกินคือ ข้าวไข่เจียวหมูสับ แล้วก็กาแฟเอสเปรสโซ่ เกิดวันที่ 24 ธันวาคม เลือดกรุ๊ป AB

บางครั้งผมก็อยากจะหัวเราะให้ตัวเองเหมือนกัน เพราะผมรู้เรื่องของรุ่นพี่มากกว่ารู้เรื่องตัวเองเสียอีก

ทุ่มครึ่งแล้วหรือนี่ ผมว่าผมคงต้องเตรียมตัวแล้วล่ะ

ผมหยิบเสื้อฮู้ดสีดำ ผ้าปิดปากสีดำ และแว่นตาดำ มาใส่ ถามว่าผมกำลังจะทำอะไรเหรอ ผมกำลังทำในสิ่งที่ผมเรียกว่า ‘หาข้อมูล’ ถ้าภาษาทั่วๆไปก็ ‘สตอร์กเกอร์’ หรือ ‘สะกดรอยตาม’ นั่นแหละครับ

ผมเดินลงมาจากหอพัก มุ่งหน้าไปที่คาเฟ่ที่เพื่อนของผม และรุ่นพี่ทำงานอยู่ สาเหตุที่ผมมาก็ผมอยากจะรู้ว่ารุ่นพี่อาศัยอยู่ที่ไหน ถ้าผมรู้ล่ะก็ ไม่ว่าจะของขวัญวันเกิด ของขวัญนู่นนั่นนี่ ผมก็สามารถแอบเอาไปวางได้ โดยที่ไม่มีใครรู้ มันมีประโยชน์น่ะ

ถ้าตอนนั้นผม(แอบ)มองตารางเวลาพนักงานไม่ผิด เวลาเลิกงานของรุ่นพี่เซฟคือสองทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาร้านปิดพอดี ตอนนี้ก็ทุ่มห้าสิบแล้ว
ผมเดินมาถึงหน้าร้านของคาเฟ่ โชคดีที่ว่าแถวๆนี้พุ่มไม้ค่อนข้างเยอะ ผมก็เลยหาที่แอบส่องไม่ยาก ผมขยับแว่นดำ...เออ ใส่มาทำไมวะ กลางคืนอยู่แล้ว ใส่แว่นแบบนี้มันจะเห็นไหม

หืม รุ่นพี่เซฟเลิกงานก่อนเวลาสามนาที เดินไปทางซ้ายของคาเฟ่...ผมก็ค่อยๆเดินลัดเลาะตามไป พอผมเดินตามได้ซักพักผมก็พบว่า แถวนี้มันเปลี่ยวมาก มากถึงมากที่สุด แล้วยิ่งอยู่ในบรรยากาศตอนกลางคืนแบบนี้ ขนาดผมเป็นผู้ชายอกสามศอก ยังอดรู้สึกกลัวไม่ได้เลย

“พี่เซฟค้าาาา!” เสียงแหลมสูงของผู้หญิงดังมา ตามมาด้วยเสียงวิ่ง
“อ้าว น้องทราย มีอะไรครับ”

ทรายงั้นหรอ รู้สึกจะเป็นเพื่อนในคณะเรานี่นา เกิดอะไรขึ้นนะ ผมแอบชะเง้อหน้าออกไปมองเล็กน้อย ทรายเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ตัวเล็กผิวขาว หน้าตาจิ้มลิ้ม ไม่ว่าผู้ชายคนไหนเห็นก็ต้องหลงทั้งนั้นแหละครับ แต่เธอคนนี้มาหาพี่เซฟทำไมนะ

“คือหนูชอบพี่ค่ะ ช่วยคบกับหนูได้ไหมคะ!” ทันทีที่ผมได้ยินผมก็ชะงักเล็กน้อย

อะไรเนี่ย ผมตามมาเจอการสารภาพรักงั้นหรอ รุ่นพี่จะตอบว่าไงนะ...

เอาจริงๆนะ ผมก็คิดอยากจะบอกชอบพี่เขาเช่นกัน แต่ทำไงได้ผมเป็นผู้ชาย เขาก็เป็นผู้ชาย เพราะงั้นผมเลยต้องหักห้ามใจตัวเองไว้เสมอๆ

“พี่ยังไม่เคยคุยกับน้องจริงๆจังๆเลยนะ เราพึ่งจะรู้จักกันเมื่อเช้านี้เองด้วย” รุ่นพี่ตอบทรายด้วยท่าทางนิ่งๆ

“งั้น...เราไปคุยกันไหมคะ ที่ห้องของพี่...” เดี๋ยว อะไรนะ! พี่เซฟบอกปฎิเสธผู้หญิงคนนี้ไปเลย ดูทำท่าทำทางสิ ผมเป็นยอมรับว่าผมค่อนข้างหัวโบราณ แต่นี่ยังไงก็รับไม่ได้

“แล้วแต่น้องเลยครับ อีกใกล้ๆก็ถึงแล้ว” พอพี่เซฟพูดเสร็จแล้ว ก็เริ่มเดินต่อ

รุ่นพี่! ทำไมล่ะ ทำไมรุ่นพี่ถึงไม่ปฎิเสธ พี่เขาไม่รู้ว่าเจตนาจริงๆของน้องคนนี้หรืออะไร ขนาดผมที่ว่าทั้งซื่อและบื้อผมยังรู้เลยนะ!
 
ยะ..ยอมไม่ได้ เอ้ย รับไม่ได้ ต้องเข้าไปเตือนกันแล้ว แล้วจะเข้าไปยังไงดี...โอ้ย มัวแต่คิดเดี๋ยวก็เดินไปไกลกันพอดี ไม่สนใจแล้ว ต้องหยุดให้ได้ก่อน!
 
กลางคืนแบบนี้ แล้วเราใส่ชุดแบบนี้ด้วย อื้ม ไม่น่าจะเป็นอะไรนะ!

“ช้าก่อน!!! หนุ่มสาวมาอยู่กลางค่ำกลางคืนแบบนี้มันไม่เหมาะสมนะ!” 

“อี๋ อะไรแหยงอ่ะ พี่เซฟคะ รู้จักกันหรอ” ทรายทำหน้าแหยพร้อมกับมองไปทางรุ่นพี่ ซึ่งรุ่นพี่ก็ไม่ได้แสดงปฎิกิริยาอะไรเพียงแต่มองตรงมาทางผมแบบมีเลศนัย

“นี่! พวกฉันจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับคุณไม่ใช่หรอ แล้วดูทำตัวลับๆล่อๆ อยากให้เรียกตำรวจไหมคะ!” เฮ้อ สวยใสไร้สมอง ไม่ได้สำนึกเลยสิเนี่ย เดี๋ยวนะ...ตำรวจหรอ! เออ ลืมไปเลยว่าตอนนี้กำลังแอบตามรุ่นพี่อยู่ฉิบหายแล้ว

“น้องทรายพี่ว่าวันนี้น้องกลับไปก่อนเถอะ พี่คงต้องคุยกับคนๆนี้ก่อนน่ะ” รุ่นพี่พูดแย้งขึ้นมา
“แต่คืนนี้หนูอยากไปกับพี่นี่คะ ช่างหัวคนๆนี้เถอะค่ะ” ทรายพูดพร้อมทำหน้าอ้อนใส่รุ่นพี่ ก่อนจะหันมามองค้อนผม
“ไว้วันหลังนะ วันนี้กลับไปก่อนเนอะ” รุ่นพี่ยิ้มให้ทรายก่อนจะลูบหัว
“ไว้วันหลังจริงๆนะคะ...งั้นบ๊ายบายค่ะ” ทรายทำหน้าผิดหวัง ก่อนจะเดินสวนผมไป แต่ในตอนที่เดินผ่านผมนั้นเธอก็กระซิบให้ผมได้ยิน
“ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นใคร แต่ทำแบบนี้เจอดีแน่”

หวา...ไปสร้างศัตรูเข้าแล้วสิ แต่ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นใครนี่นา

จากนั้นทรายก็ทำเสียงฟึดฟัดแล้วก็เดินกระแทกส้นสูงจากไป แฟนคลับรุ่นพี่ทุกท่านครับ ผมปกป้องสมบัติของพวกเราทุกคนไว้ได้แล้วนะครับ!
แต่เหมือนผมจะลืมอะไรไปอย่าง ถ้าผมโผล่ตัวออกมาแบบนี้ แล้วผมจะสะกดรอยรุ่นพี่ต่อได้ไง...

“ฮ่าฮ่าฮ่า เสร็จธุระแล้ว ไปละนะ” ผมพูดแก้เขินก่อนจะรีบเดินหนีไป แต่ว่ามันไม่ง่ายแบบนั้น
“เดี๋ยวก่อน” รุ่นพี่พูดห้ามพร้อมกับจับไหล่ของผม
“พี่รู้นะว่าเราคือใคร ตามพี่มาทำไม”
“ใครอะไรหรอ ใครตามพี่ ไม่มีครับ ไม่มีใครตามพี่มาเลย”
“ถ้าจะโกหก ก็ให้เนียนหน่อยนะ” พอรุ่นพี่พูดเสร็จ รุ่นพี่ก็จับแขนผมลากไปในทางที่จะเดินไปในตอนแรก
“ดะ...เดี๋ยว จะไปไหน!” ตกใจสิครับ กลัวว่าจะได้ไปหาตำรวจเนี่ยแหละ
“ห้องพี่ไง อยู่แถวนี้คุยกันคงไม่เหมาะ” รุ่นพี่ยื่นหน้ามาใกล้ๆผม
(กระซิบ) “ทรายยังเดินตามมาอยู่”
ผมก็เลยต้องจำใจไป เพื่อปิดบังตัวตนไว้ ไม่งั้นถ้ารู้ขึ้นมาว่าคือใครชีวิตผมจบสิ้นแน่ๆ


อพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่ง

เนี่ยหรอที่ๆรุ่นพี่อยู่ ธรรมดากว่าที่คิดนะเนี่ย...ภาพในหัวของผมก็คือบ้านหลังใหญ่ๆ เหมือนในละครอะไรแบบนี้เสียอีก

ผมมองรุ่นพี่ไขห้อง พอไขห้องเสร็จ รุ่นพี่ก็จับเสื้อฮู้ดผม จากนั้นภาพของผมก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีผมก็นั่งหงายหลังอยู่ในห้องแล้ว 
พี่แกโยนผมเข้ามาหรอเนี่ย?!

“โอ้ย! เจ็บๆ ทำอะไรเนี่ย!”
“ตามกูไปทำไม?”

“ห๊ะ...” ทันทีที่ผมเงยหน้ามองรุ่นพี่ ผมก็รู้สึกถึงอะไรแปลกๆ สีหน้าเปลี่ยนไป จากดูอบอุ่นเป็นเย็นชา บรรยากาศที่เคยน่าเข้าใกล้ ก็กลายเป็นกดดัน แถมที่สังเกตง่ายสุดคือ สรรพนามแทนตัว

“เดี๋ยวนะ เกิดอะไรขึ้นครับ รุ่นพี่ตะกี้ยังดีๆอยู่เลย” มันเปลี่ยนเหมือนเป็นคนละคน หรือว่ารุ่นพี่แกมีสองบุคลิก อย่างที่เคยเห็นในหนังสือฝรั่งเก่าๆเรื่องหนึ่งด็อกเตอร์เจกิลกับมิสเตอร์ไฮด์มั้งนะ

“ตอบมาก่อน”

“ก็ผมเป็นแฟนคลับรุ่นพี่ แล้วผมก็อยากรู้ว่ารุ่นพี่อยู่ที่ไหน ก็เลยตามไป” ตอบตรงๆเนี่ยแหละครับ ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด แต่หวังว่าจะไม่ต้องถึงมือตำรวจนะ

รุ่นพี่ก็มองผมด้วยสายตาเย็นชาเหมือนตอนแรก เงียบไม่พูดอะไร เหมือนใช้ความกดดันให้ผมบอกทุกอย่างให้หมด

ผมเปิดฮู้ดแล้วก็ถอดผ้าปิดปากออก เพราะดูเหมือนว่าสายตาพี่เขาจะมองออกอยู่แล้วว่าผมคือใคร

“ขอโทษครับ ที่ถือวิสาสะตามมา แต่เพราะผมอยากรู้จริงๆ ก็เลย...” ผมส่งสายตาสำนึกผิดไปให้พี่เขาเห็นใจบ้าง
“มึงชอบกูใช่ไหม”
“...?” ผมมองหน้าพี่เขาด้วยความงุนงงก่อนใบหน้าจะเริ่มร้อนขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน
“เดี๋ยวๆ กะ..ก็ไม่เชิงว่าไม่ใช่ แต่คือว่าไงดี...เอ่อ เอ๊ะไม่สิ ไม่ได้ชอบครับ!!!”

รุ่นพี่ก็มองผมเฉยๆ ดังเดิม จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัว ทิ้งให้ผมนั่งมึนๆกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สรุปรุ่นพี่มีสองบุคลิกจริงๆใช่มั้ย แล้วตะกี้พูดอะไรก็ไม่รู้ ผมสับสนไปหมดแล้วนะ

ซักพัก รุ่นพี่ก็เดินออกมาพร้อมกับถ้วยมาม่าถ้วยหนึ่งในมือ จากนั้นก็เดินมานั่งกินเงียบๆบนโต๊ะที่ตั้งอยู่กลางห้อง

“ทำไมมึงไม่กินอย่างอื่น...มาม่ามันไม่ดีต่อร่างกายนะ” ผมก็อยากจะพูดสุภาพกับรุ่นพี่เหมือนตอนแรกๆอยู่ แต่ตอนนี้ถ้ามัวแต่พี่ครับพี่ขาอยู่แบบนี้คงคุยกันไม่รู้เรื่องพอดี

“เสือก”

ผมไม่สนใจคำด่า แล้วเดินเข้าไปหาผู้ชายที่นั่งกินมาม่าอยู่ที่โต๊ะ (ถ้าพี่เขามีอาการสองบุคลิกจริงๆ คนที่อยู่กับผมตอนนี้ก็ไม่ใช่รุ่นพี่ที่ผมรู้จักหรอก เพราะงั้นไม่ต้องเกรงใจกันก็ได้) จากนั้นผมก็ดึงถ้วยมาม่าที่อยู่ในมือของคนๆนี้ออก แน่นอนคนตรงหน้าก็หันหน้ามาหาผมพร้อมกับแววตาหาเรื่อง

“เดี๋ยวกูทำอาหารให้ นั่งรอไป”

จากนั้นผมก็เดินเข้าไปในครัวโดยไม่สนใจเจ้าคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอีก แต่พอเข้าผมเข้าไป มันก็ทำให้ผมรู้ข้อมูลของพี่เซฟเพิ่มขึ้นอีกอย่าง สกปรกมาก ห้องครัวสกปรกแตกต่างจากห้องรับแขกลิบลับ ห้องรับแขกก็ไม่ได้สะอาดนักหรอก แต่ห้องครัวเนี่ยสกปรกกว่ามาก บางทีผมคงต้องทำความสะอาดให้แล้วล่ะ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ผมคงทำใจยอมรับตำแหน่งแฟนคลับแบบเต็มใจไม่ได้แน่ๆ ถ้าเจอคนที่ตัวเองชอบอยู่ในสภาพแบบนี้แล้วไม่ทำอะไรเลย

คืนนี้อีกยาว...เฮ้อออ

ประมาณสี่สิบนาทีจากนั้น ผมก็ทำความสะอาดเสร็จหมด ตอนนี้ผมอยู่ในสภาพปางตาย... เหนื่อยโครตพ่อโครตแม่ นี่อยากจะถามมากว่าเคยทำความสะอาดบ้างมั้ย หนังสือโป๊ก็เกลื่อน(เอาไปใช้ทำอะไรในครัว...) แถมในถังขยะก็มีแต่ถ้วยมาม่า ผมอยากจะรู้จริงๆว่าเอาสารอาหารจากไหนมาเพิ่มกล้ามกับความสูง

จากนั้น ผมก็ไปเปิดตู้เย็นดู เพื่อที่จะได้ทำอาหารให้คนที่อยู่ด้านนอก แล้วจะได้รีบกลับหอ เพราะหอปิดสี่ทุ่ม ซึ่งมันใกล้จะปิดแล้ว

สิ่งที่อยู่ในตู้เย็นมี ไข่สี่ฟอง แล้วก็ผักชีและก็ต้นหอม แค่นั้น  ผมนี่ถึงกับไมเกรนขึ้น โอ้ย รุ่นพี่ปกติแกอยู่ยังไง(วะ)ครับ ยังดีที่มีมาม่า ผมก็เลยตัดสินใจทำมาม่าผัดไข่

ประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ทุกอย่างก็เรียบร้อย ผมเดินออกจากครัวพร้อมกับยกจานมาม่าผัดไข่หอมฉุยในมือ

แต่พอออกมากลับพบว่าไม่มีใครเลย...

“หายไปไหนหว่า”

ผมวางจานมาม่าผัดไข่ไว้บนโต๊ะกลางห้อง ก่อนจะเดินหาเจ้าหนุ่มลูกครึ่ง

ประตูหน้าห้องปิดไม่สนิท...ออกไปข้างนอกหรอ

ผมค่อยๆเดินไปด้านหน้าห้อง ค่อยๆแง้มหน้าแง้มตาส่องดูด้านนอก ผมเห็นรุ่นพี่นั่งอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นท์ตรงโต๊ะหินอ่อน เงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า

ตอนนี้มีบางอย่างในใจของผม มันบอกว่าให้เดินไปหา ซึ่งยังไงผมก็ต้องเรียกเขามากินข้าวอยู่แล้ว เลยตัดสินใจเดินไป

“มาทำอะไรข้างนอกมืดค่ำป่านนี้ กูทำมาม่าผัดไข่ไว้ข้างในไปกินเร็ว เดี๋ยวเย็นหมด”

“ผิดหวังมั้ย ที่ตัวจริงไม่ได้เป็นแบบที่วาดฝันไว้” จู่ๆพี่แกก็เข้าโหมดดราม่าเฉยเลย! ผมพยายามคิดสิ่งที่พี่เขาพูดอย่างช้าๆ เหมือนต้องการจะสื่อว่าปกติที่เห็นไม่ใช่ตัวจริงเหรอ

“กูไม่ได้ผิดหวังอะไร เอาจริงๆคือตกใจมากกว่า ตอนแรกนึกว่ามีสองบุคลิกด้วยซ้ำ”

รุ่นพี่มองผมอึ้งๆก่อนจะพูดต่อ

“แต่กูจริงๆทั้งหยาบคาย ทั้งขี้เกียจ แถมไม่ได้ใจดีเหมือนที่เห็นๆหรอกนะ ทั้งๆแบบนั้นก็ยังไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ”

“อืม...ไม่นี่ ปกติก็ไม่มีใครที่จะแสดงนิสัยแย่ๆให้คนอื่นเห็นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้กูรู้สึกดีมากกว่าที่มึงไม่ได้มีอาการทางจิต แล้วก็ยอมปรึกษากูที่พึ่งเจอกันไม่นาน เอาจริงตอนนี้กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงกำลังรู้สึกยังไงอยู่ เคยได้ยินคำพูดที่ว่า ให้เป็นตัวของตัวเอง ใช่ไหม กูคิดว่ามันก็ใช่ แต่ใช้กับทุกคนไม่ได้หรอก เพราะบางคนก็อยู่ได้ด้วยภาพพจน์ที่สร้างขึ้น บางครั้งเราก็ต้องใส่หน้ากากกันบ้าง การที่มึงต้องแกล้งเป็นคนใจดีบ้าง ยิ้มง่ายบ้าง ร่าเริงบ้าง มันก็ปกติ”

ผมหันไปยิ้มพร้อมตบบ่ารุ่นพี่ที่สูงกว่าผม
ผมว่าผมพูดได้ดีอยู่ล่ะมั้งนะ อย่างน้อยๆผมก็ทำให้คนที่อยู่ตรงหน้ายิ้มเล็กๆได้ แค่นั้นก็ดีแล้ว

“ป่ะ ไปกินข้าวกันเถอะ”

ผมจับมือรุ่นพี่ให้ยืนขึ้น ก่อนจะลากตัวเข้าไปกินข้าวในห้อง


ในขณะที่รุ่นพี่กำลังกินมาม่าผัดไข่

“เอ่อนี่ มึงก็กล้าเหมือนกันนะ ที่ใช้กูมึงกับรุ่นพี่ได้เนี่ย”

ผมชะงัก

“เอาเถอะ แต่ใช้แบบนี้กูก็สบายใจดีไม่เป็นไรใช้ไปเถอะ แต่ข้างนอกก็เรียกดีๆแล้วกัน”

เฮ้อ...นึกว่าจะโดนอะไรเสียอีก

“นี่มึง ถ้าสมมติว่ากูแอบเอาเรื่องของมึงที่ทำกับกูไปลงในกลุ่ม FC ของกูเนี่ย มึงคิดว่าจะเป็นยังไง” รุ่นพี่มองหน้าผมด้วยสายตาข่มขู่

“เอ๊ะ...”

“ทั้งได้อยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสอง ทำกับข้าวให้ จับมือ และอื่นๆ”

“มะ..ไม่ได้นะ!” ถ้าลงไป การโดนรุมกระทืบก็คงอยู่อีกไม่ไกลแล้วล่ะ FC ของคุณพี่คนนี้ธรรมดาเสียที่ไหน

“กูล้อเล่น จริงจังไปได้” รุ่นพี่พูดพลางเคี้ยวข้าว ไม่มีรอยยิ้มอยู่บนหน้าเหมือนเดิมก็จริง แต่มันก็ไม่ได้กดดันเหมือนตอนแรกแล้ว

“มึงเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ” ผมพูดพลางยิ้มให้คนที่อยู่ตรงหน้า ตอนนี้เหมือนผมรู้สึกว่าเราอยู่ในระดับเดียวกันน่ะครับ ไม่ต้องใช้คำพูดแสดงความเคารพให้มากความ อยากเรียกอะไรก็เรียก

“เป็นไงอร่อยป่ะ กูทำอาหารเก่งนะเว้ย ถ้าไม่ติดว่ารักสัตว์มากกว่าทำอาหารนะ ก็เข้าคณะทางอาหารไปแล้ว”
“ก็งั้นๆอ่ะ”
“แต่ก็ขอบใจ...”

ผมยิ้ม รุ่นพี่ตอนปากร้ายนี่ไม่เลวเลย ยังไงๆผมก็เลิกชอบคนๆนี้ไม่ลงหรอก!
 
“แล้วไม่กลับหอหรือไง”

ทันทีที่รุ่นพี่ทัก ผมก็นึกขึ้นได้ว่า ‘กูไม่ได้พักอยู่ที่นี่!’ ผมรีบหันขวับไปมองนาฬิกา พบว่าตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว

“หอปิดแล้วอ่าาาา แล้วคืนนี้จะไปนอนไหนเนี่ย น้ำก็ยังไม่ได้อาบเลย ครีมที่อุตส่ายืมไอเต้มาก็ยังไม่ได้ใช้ พรุ่งนี้มีคัดเลือกดาวเดือนอีก โอ้ยยยย”
“นอนนี่ดิ”
“ห๊ะ ได้หรอ”

หรือว่าจะได้นอนเตียงเดียวกัน จริงหรอ! นี่มันหนึ่งในความฝันอันยิ่งใหญ่เลยนะ!

“ไม่ต้องคิดอะไรไร้สาระหรอก นู่นที่นอนมึงโซฟา เสื้อผ้าก็เดี๋ยวกูให้ยืมไปก่อน”

ดับฝันอย่างไม่มีเยื่อใยเลย โหดร้ายที่สุด...

จากนั้นผมก็ไปอาบน้ำ เอาเสื้อผ้าตัวใหญ่ของรุ่นพี่มาใส่  แล้วก็ไปนั่งอยู่บนโซฟา ที่รุ่นพี่เอาผ้าห่มมาวางไว้ให้แล้ว
ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าแล้วหรอเนี่ย...ตอนนี้รุ่นพี่น่าจะอยู่ที่ห้องนอนสินะ เฮ้อ...ไปปิดไฟดีกว่า ทั้งๆที่ได้นอนกับคนที่ชอบแท้ๆ ทำไมมันดูรันทดอย่างบอกไม่ถูกเนี่ย

หลังจากผมปิดไฟ ผมก็มานอนคิดสิ่งที่รุ่นพี่พูดอยู่ที่โซฟา

ถ้าตอนนั้นผมพูดไปแบบนี้จะเป็นไงนะ

‘ผมไม่เคยสนใจอยู่แล้วว่าจริงๆพี่จะเป็นคนแบบไหน ผมรักรุ่นพี่ในแบบที่รุ่นพี่เป็น มันเป็นมาตั้งแต่ผมเห็นพี่ในเฟสบุ๊คแล้ว’

ความจริงแล้วคนที่ใส่หน้ากากมากสุด อาจจะเป็นผมเองมากกว่า ทั้งๆที่ชอบจนแทบบ้า ก็กลับทำเป็นเพียงแค่แฟนคลับธรรมดาคนหนึ่ง...แต่ว่านะ บางทีแค่นี้ก็อาจจะดีที่สุดแล้ว ผมกุมหน้าอกตัวเองที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจแปลกๆ ก่อนจะหลับตาลง

[จบพาร์ทข้าว]


[พาร์ทเซฟ]

ผมตื่นขึ้นมากลางดึก หยุดคิดเรื่องของไอข้าวไม่ได้เลย ไม่ได้หมายถึงข้าวที่เป็นหมา หมายถึงข้าวที่นอนอยู่ที่โซฟาที่ห้องของผม ในตอนนี้ เวลานี้

ข้าวเป็นคนที่แปลก บางครั้งก็ดูบื้อๆ แต่บางครั้งก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็แปลกอีกอย่างคือมันมองทุกๆคนด้วยความเท่าเทียม ไม่มีใครเด่นไปกว่าใคร ไม่มีใครดีไปกว่าใคร หน้าตาดีก็คน หน้าตาไม่ดีก็คน สิ่งที่มันแสดงออกมาทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันเป็นคนแบบนี้ เพราะงั้นผมคิดว่าถ้าผมลองปรึกษาเจ้าเด็กนี่ดูอาจจะดีก็ได้ ซึ่งมันก็ทำให้ผมอึ้งนิดหน่อย มันเลือกใช้คำกว้างๆในการปลอบ มองว่าสิ่งที่ผมเป็นคือเรื่องปกติ มันจริงหรือไม่ผมไม่รู้ แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีเลยทีเดียว

ตอนนี้ผมว่าผมอาจจะได้เพื่อนที่เด็กกว่าแล้วก็ได้ ไม่สิยังไม่ใช่เพื่อนจริงๆหรอก ผมว่านะเจ้าเด็กนั่น มันคงต้องทำอะไรซักอย่างให้ผมเลื่อนขั้นจากเพื่อน เป็นอย่างอื่นแน่ๆ

“แล้วพี่จะรอดูนะ” ผมพึมพำกับตัวเองคนเดียวในห้องนอน ก่อนจะหลับตาลง

[จบพาร์ทเซฟ] 

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ดาวเดือนคณะ(1)

“ติ๊ดติ๊ดติ๊ด”

ถึงเวลาแล้วหรอ... ‘เจ็ดโมงครึ่ง’ ผมสามารถบอกเวลาได้ทันที แหงแหละ ก็ผมตั้งนาฬิกาปลุกเองนี่นา ผมค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา

ในตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา ผมก็เห็น.....ฮั่นแน่ คิดว่าจะเห็นใบหน้าหล่อๆของนิลใช่ม่ะ ผิดถนัด ผมเห็นแผงอกมันต่างหาก  ทั้งคืนผมไม่ได้นอนหัวอยู่บนหมอนเลย! ผมสะดุ้งตื่นไม่ต่ำกว่าสามสิบรอบ! เพราะว่ามันเอามือกดหัวของผมแนบกับแผงอกล่ำๆของมันชนิดที่ว่า ผมจะขาดอากาศตาย! ผมลองพยายามหันหน้าออกไปแล้ว แต่ก็กลัวคอเคล็ด เพราะผมขยับตัวไม่ได้!

จะกอดแน่นไปไหนฟะ! เมื่อคืนนอนกอดกันยังกับคู่ผัวตัวเมีย อย่าคิดว่าผมสมยอมนะ ตอนแรกก็ยอมหรอก แต่เพราะว่ามันทำให้ผมแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเนี่ยแหละ ผมเลยพยายามดิ้นดูเผื่อจะหลุด แต่ยิ่งดิ้นมันยิ่งกอดแน่น! สุดท้ายผมก็ต้องตื่นมาในสภาพนี้นี่แหละครับ

แต่ถ้าเกิดว่ามันยังไม่ตื่น ผมก็คงหลุดออกไปอาบน้ำแต่งตัวไม่ได้แน่ๆ  ผมลองเงยหน้าขึ้นไปมองหน้ามันดู

อืม พอขอบตาไม่คล้ำก็ดูดีขึ้นเยอะ(ครีมแพงก็ใช้ดีเป็นธรรมดา) ขนตามันยาวเหมือนกันนะเนี่ย... ผมเริ่มจะยอมรับว่ามันหล่อตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทั้งๆที่หลับอยู่แท้ๆ น่าหมั่นไส้จริง!

วิธีปลุกให้ตื่นหรอจะใช้กลิ่นปากในตอนเช้า ไม่น่าจะเวิร์ก ผมยังไม่อยากประจานความระยำของผมให้มันรู้ในตอนนี้  และในระหว่างที่ผมคิดหาวิธีอยู่นั้น มันก็ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา พร้อมกับยิ้มหล่อส่งมาให้

“ตื่นแล้วหรอทิวา”
 ผมทำหน้าแหยใส่มันพร้อมกับขนลุกเกรียวทั้งร่างกาย “ทักทายแบบนี้ เมาขี้ตาอยู่หรอ”
“ทำไมกลัวหลงกูอ่อ”
“ไอบ้าอย่าตลก เมื่อคืนมึงก็จะฆ่ากูคาแผงอกมึงแล้วนั่น”
“จริงดิ โทษทีๆ สงสัยกูละเมอ”
“มึงเนี่ยยิ้มไม่เป็นเหรอ กล้ามเนื้อหน้ามีปัญหาใช่ป่ะ” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ
“เป็นห่วง?”
“ห่วงพ่องสิ ปล่อยกูได้แล้ว กูจะไปอาบน้ำ! แล้วรู้ตัวมั่งมั้ยเนี่ยว่ามึงเอาเสาธงชาติมาจิ้มกูอยู่เนี่ย!”

พอผมพูดเสร็จ มันก็รีบปล่อยผมทันที ผมอุตส่าห์ทำไม่สนใจแล้วนะ(จริงๆนะ)

“เมื่อคืนกูฝันดีมากเลย” มันพูด
“เงียบ! ฝันดีมึงฝันร้ายกูสิ” ผมหยิบหมอนปาใส่ แต่มันรับได้(...)

จากนั้นผมก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัว

โรงอาหารในมหาลัยใกล้ๆหอ   

ผมเดินลงมาที่โรงอาหารพร้อมกับนิล เอาจริงๆผมไม่ได้อยากจะเดินอยู่ข้างมันเล้ย อย่าหาว่าผมพูดเวอร์เลยนะ ผมกับมันสูงต่างกันประมาณยี่สิบเซ็นได้ ซึ่งผมไม่โอเค ไม่โอเคมากๆ แต่ก็ทำไรไม่ได้ ถ้าเดินห่างเดี๋ยวก็โดนหาว่าหยิ่งอีก คราวหลังผมจะซื้อที่เสริมส้นมาใส่เอาสักเก้านิ้วไปเลย!

“กินไรดี” มันถามพลางลูบคางสาดส่องมองไปที่ร้านค้า
“กินโจ๊กแล้วกัน อยากกินอะไรร้อนๆ”

ดีที่ว่าพวกผมลงมาเร็ว ลูกค้าก็เลยไม่ค่อยเยอะ

ผมยกชามโจ๊กที่พึ่งได้ มาวางบนโต๊ะก่อนจะเริ่มกิน ซักพักหลังจากนั้นไอนิลก็เดินตามมา ผมพึ่งสังเกตว่าไอนิลเป็นเป้าสายตาขนาดใหญ่ของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาอยู่พอสมควร

“มึงมีแต่คนมองมึงอ่ะ”
“ก็กูหล่อ”
“อืม”
“ไม่ตบมุกเหมือนทุกทีอ่ะ”

ผมก็อยากจะตบมุกให้อยู่หรอก แต่ใจลึกๆ อยากจะหยิบชามโจ๊กสาดหน้ามันเลยน่าจะดีกว่า

“แล้วมึงจะลงประกวดดาวเดือนคณะป่ะวะ” ผมถามดูเพราะไม่แน่ถ้าเกิดว่าไอนี่มันเอาจริงขึ้นมานะ ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่ามันจะได้เป็นเดือนมหา’ลัย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้ามันทำให้เพื่อนได้ดีผมก็พร้อมสนับสนุน

หรือว่าไม่เอาดีกว่าวะ ผมค่อยๆลองร่างแผนภาพในหัว ถ้าสมมติว่าไอนิลได้เป็นเดือนอะไรซักอย่างไม่ว่าจะคณะหรือมหา’ลัยก็เถอะ มันก็จะกลายเป็นเป้าสายตามากขึ้น  แล้วคนอย่างไอนิลผมเดาว่าแม่งต้องเป็นพวกติดเพื่อนแน่ๆ เพราะฉะนั้นเวลาผมเดินไปไหน มันก็คงเดินไปกับผมนี่แหละ แล้วถ้าไอคนที่เดินกับผมเป็นเป้าสายตาล่ะก็...แค่คิดภาพก็ขนลุกแล้ว

เดินไปแล้วถูกมองตลอด(ถึงจะไม่ได้มองผมก็เถอะ) ถ้าเป็นงั้นจริงผมได้ตัดเพื่อนกับมันแน่ ไว้คุยกันแค่ในห้องพักพอ ผมไม่ใช่ประเภทชอบเป็นเป้าสายตาหรอกนะ!

“ไม่อ่ะ กูไม่ชอบอะไรที่พาเรื่องเยอะ”

โอ้โห ดีมากเลยนิล เอาล่ะเรายังพอเป็นเพื่อนกันต่อได้ ผมแสดงอาการพึงพอใจแบบสุดๆ แต่เหมือนว่าคนรับสารจะเข้าใจอะไรผิด

“ทำไมเหมือนดีใจ หวงกูหรอ”
“พ่องสิ หยุดมโน”
“งั้นกูลงประกวดดีกว่า”
“ห๊ะ...ไหนตะกี้บอกไม่”
“อยากเห็นมึงหวงกู”

ผมทำหน้าแหยใส่มันอย่างไม่ปิดบัง คือปกติก็แย่แล้ว นี่พูดพร้อมทำหน้าตาย ยางอายมีไหม...?

จากนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เออ จะว่าไปวันนี้ก็ยังไม่เห็นไอข้าวเลยแฮะ จะถามสักหน่อยว่าครีมใช้ดีไหม

“อ้าว น้องลาเต้ ได้เพื่อนใหม่อีกแล้วหรอ” เสียงที่ผมคุ้นเคยดังมาจากทางด้านหลัง คนเรียกผมแบบนี้มีอยู่ไม่กี่คนหรอก เพราะงั้นเสียงนี้ก็พี่เซฟแน่ๆ

ผมหันกลับไปมอง ภาพที่เห็นคือนอกจากหนุ่มลูกครึ่งแล้ว ยังมีหนุ่มหล่อผิวขาวอีกคนยืนอยู่ข้างๆ ไอข้าวนั่นเอง แล้วทำไมมาอยู่ด้วยกันได้ล่ะเนี่ย

“พี่เซฟกับข้าว ทำไมเดินมาด้วยกันอ่ะ สนิทกันถึงขั้นไหนแล้วเนี่ย” ผมพูดพร้อมมองสองคนสลับไปมาแบบมีเลศนัย

“มึงไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้นเลย มึงกับไอนิลก็เหมือนกันแหละ” ข้าวพูดแย้ง

“ก็นี่มันรูมเมตกู เดี๋ยว..ทำไมพวกมึงสองตัวรู้จักกัน”

“ก็กูเคยเรียนโรงเรียนชายล้วนที่เดียวกับไอนิล ถึงจะไม่ได้สนิทกันก็เถอะ แต่คนส่วนมากก็ต้องรู้จักป่าววะ ทายาทของตระกูลเศรษฐีอันดับสามในประเทศไทย ตระกูลอวิกาลน่ะ”

“ห๊ะ...” ทันทีที่ข้าวพูดผมก็รีบหันขวับไปมองหน้าไอนิลทันที ซึ่งมันก็ยังทำหน้าตายเช่นเดิม

“จริงดิ กูไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลย”

ไอหมอนี่แม่งทายาทเศรษฐีเหรอเนี่ย ไม่ยากจะเชื่อ ถ้าบอกว่าเป็นลูกหลานตระกูลมาเฟียจะอีกเรื่อง

“หน้าอย่างมึงเคยรู้อะไรด้วยหรอ” ไอนิลพูดหน้านิ่งๆแต่แววตาโครตหาเรื่อง

“ถึงรู้กูก็ไม่เชื่อหรอก หน้าอย่างนี้เนี่ยนะเศรษฐี” ผมส่งสายตาดูถูกกลับไป แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีทีท่าใส่ใจเลยแม้แต่น้อย พอเห็นอีกฝ่ายตอบรับดังนั้นผมก็ได้แต่หัวฟัดหัวเหวี่ยงคนเดียว

“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวพี่ไปเตรียมตัวคัดดาวเดือนก่อนนะ ข้าวก็อยู่กับเพื่อนไปก่อนไป” พี่เซฟพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งข้าวไว้กับพวกผม และทันทีที่พี่เซฟเดินไปไกลนั้นต่อมเผือกผมก็ทำงาน

“ข้าว กูบังคับให้มึงเล่า ทำไมมึงถึงได้เดินมากับพี่เซฟ”

“เรื่องมันยาวน่ะ แต่แค่เมื่อคืนกูไปนอนกับพี่เขามาแค่นั้นแหละ” ข้าวพูดพร้อมยิ้มน้อยๆ

ผมอึ้ง ไอนิลก็อึ้ง ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันกล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมาโต้งๆ

“ข้าว กูพึ่งรู้ว่ามึงมีรสนิยมแบบนี้” ผมตบไหล่มัน เอาวะ ถ้าเพื่อนมันมีความสุข ผมก็คงไม่ขัดอะไร

“เห้ย ไม่ได้หมายถึงนอนแบบนั้นไอสัด หมายถึงไปค้างเฉยๆ!”

“หราาา แล้วทำไมถึงได้ไปนอนค้างกับพี่เซฟอ่ะ” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะถามต่อ

มันก้มหน้างุดทำเหมือนไม่ค่อยอยากพูด หรือผมจะบีบคั้นบังคับมันมากเกินไป ไม่เป็นไรคืนนี้ยังมี

“ไม่เป็นไรไอข้าว มึงไม่พร้อมเล่ากูโอเค แต่งเมื่อไหร่อย่าลืมเชิญเพื่อนไปล่ะ” ผมยิ้มให้มัน

“...” ข้าวเงียบด้วยว่ะ โอเค แบบนี้ข้อสันนิษฐานของผมก็ถูกแล้วล่ะ เอาจริงๆต่อให้มันเถียงมาผมก็ไม่คิดว่าข้อสันนิษฐานผมจะผิด
ข้าวชอบพี่เซฟชัวร์ๆ

ผมยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนตบบ่าไอข้าว ซึ่งมันก็มองหน้าผมอย่าง งงๆ ผมหันกลับไปมองหน้าไอนิล ซึ่งผมกะว่ามันก็คงจะรับรู้ได้เหมือนกัน แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้ฟังอะไรเลยซักนิด ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเดียว แล้วงี้กูจะเม้าท์กับใครวะ

เฮ้อ...ไม่เป็นไรข้าวเพื่อนยาก เดี๋ยวเพื่อนคนนี้จะช่วยมึงเอง!


หลังจากนั้นก็ถึงเวลาเก้าโมง ผม ไอนิล แล้วก็ไอข้าว ก็ไปรวมกันที่หน้าตึกเรียนคณะสัตวแพทย์ ตามที่ได้นัดหมายไว้เมื่อวาน

เมื่อนักศึกษามารวมกันมากแล้วพี่เซฟก็เดินออกมา พร้อมกับเสียงกรี๊ด

“กรี๊ดดดดดดด พี่เซฟฟฟฟ”
“มองทางนี้ค่าาาา”

คอนเสิร์ตเรอะ?! เมื่อวานอย่าบอกนะว่าก็เป็นแบบนี้ แค่เผอิญผมมาช้าเลยไม่เห็น

“น้องๆเงียบกันก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะขออธิบายการเลือกดาวเดือนคณะให้ฟังก่อน”

เมื่อรอบๆเงียบแล้วพี่เซฟก็พูดต่อ

“วันนี้เราจะต้องได้ดาวกับเดือนคณะเลย เพราะทางพี่ๆอยากจะให้มันเสร็จๆไป จะได้ไม่ต้องมายืดเยื้อไปหลายๆวัน”

“ดังนั้นพี่จะขอให้ผู้ชายและผู้หญิงส่งตัวแทนมาฝั่งละสิบคน ใครมั่นใจว่าตัวเองสวยหล่อก็ยืนขึ้นเลย ไม่ต้องอาย เราเป็นหน้าเป็นตาให้คณะอยู่แล้ว พี่ให้เวลาสิบนาทีนะ”

พอพี่เซฟพูดเสร็จก็มีผู้หญิงกับผู้ชายบางคนยืนขึ้นในทันที ซึ่งผู้ชายหนึ่งในนั้นก็คือข้าว เพื่อนเรานี่ใจกล้าเหมือนกันนะเนี่ย ถึงแม้มันจะดูเกร็งๆอยู่ก็เถอะ

หือ เหมือนพี่เซฟก็แสดงอาการสนใจข้าวด้วยแฮะ ผมยิ้มกรุ้มกริ่มพลางมองพี่เซฟกับไอข้าวสลับไปมา ผมไม่ใช่หนุ่มวายหรอกนะ แต่ผมแค่ชอบมองเวลาคนรักกัน มันน่ารักจะตาย!

“กูไปละนะ” นิลที่นั่งอยู่ข้างๆผมยืนขึ้น

“ห๊ะ สรุปเอาจริงอ่ะ” ผมเงยหน้ามองมัน แล้วมันก็พยักหน้าตอบ

ผมก็ไม่ได้พูดอะไรตอบไป ได้แต่ส่ายหัวแบบติดตลกเท่านั้น จากนั้นมันก็เดินออกไปยืนด้านหน้า

เมื่อไม่มีใครยอมลุกด้วยตัวเองแล้ว ตอนนี้นี่แหละปัญหา ผู้หญิงขาดสอง ผู้ชายขาดสี่ เวลาแห่งการโบ้ยจะมาถึงแล้ว

“มึงอะไปดิ”
“ไม่เอาไปแล้วกูจะสู้ใครเค้าได้”
“กูอายว่ะ”
“มึงไปดิ มึงสูงอ่ะ”

จากนั้นเสียงของพี่เซฟก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“เหลืออีกสามนาทีนะครับน้อง ฝั่งไหนที่มาไม่ครบโดนทำโทษนะครับ” แม้ว่าสีหน้าพี่เซฟตอนนี้จะยิ้มแย้ม แต่คำพูดช่างดูกดดันเหลือหลาย
ตอนนี้ฝั่งผู้หญิงครบแล้ว ผู้ชายขาดคนนึง เอาวะลุกๆไปให้ครบ ผมลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างหน้า แม้ว่าขณะเดินจะได้ยินเสียงนินทาบ้าง

“หูย ดูดิโครตมั่นว่ะ ตัวเตี้ยยังจะกล้า” ผู้ชายคนหนึ่งในคณะกล่าวไว้

“หน้าสวยกว่ากูอีก อย่าบอกนะว่านั่นไปประกวดดาว ถ้าเป็นจริงผู้หญิงพ่ายเรียบ!” ผู้หญิงคนหนึ่งในคณะกล่าวไว้

‘แล้วมึงจะบ่นทำซากอะไรครับ ถ้าไม่ลุกไปโดนทำโทษชอบเหรอ ส่วนคุณผู้หญิงที่พูดไว้จะถือว่าชมแล้วกันนะ!’ ผมกล่าวไว้ (ในใจ)

“โอเค ครบ” พี่เซฟพูดเมื่อมองเห็นว่าฝ่ายชายและหญิงครบแล้วสิบคน

“จากนี้เดี๋ยวพี่จะรับหน้าที่ต่อนะคะ” คนที่ขึ้นมาพูดคือผู้หญิงที่เป็นดาวคณะ ถ้าจำไม่ผิดจะชื่อพี่แก้วนะ

“โอเค การคัดเลือกในรอบแรกคือรูปร่างภายนอกค่ะ การจะเป็นดาวเดือนได้เนี่ย สิ่งแรกที่คนนึกถึงคือหน้าตาต้องดีใช่มั้ย แล้วก็ต้องรูปร่างดีด้วย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวพี่จะให้พวกรุ่นพี่คัดออกจนเหลือฝั่งละหกคนนะคะ น้องที่ออกมาไม่ต้องตกใจพี่เค้าจะวัดสัดส่วนหนูไปคิดเฉยๆว่าพอสู้ใครได้ไหม ไม่เปิดเผยอย่างแน่นอนค่ะ พี่รับประกัน!”

จากนั้นรุ่นพี่ปีสองปีสามก็เดินออกมา พร้อมกับค่อยๆเลือกออก และแน่นอนว่าผมได้ออกคนแรก สาเหตุก็ส่วนสูงไม่ถึง แต่ผมก็ไม่ได้เสียใจหรอก จุดประสงค์ตอนแรกก็ออกๆไปให้ครบคนอยู่แล้ว(แต่ตอนนี้ผมกำลังของขึ้นกับไอพวกหัวเราะเนี่ยแหละ ฮึ่ม)

เมื่อผมกลับไปนั่งที่เดิม ก็มีคนมาคุยกับผมมากขึ้น มันก็น่ายินดี แต่ชอบถามนู่นนี่จนน่ารำคาญ แต่ภายหลังก็ต้องขอบคุณนิลที่ช่วยส่งสายตาอำมหิตมาไล่พวกนั้นไป อาจจะทำให้คนเข้าใจผิดบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าคุยกับพวกนั้นนะ

พอพวกรุ่นพี่แยกตัวคนที่ไม่เหมาะที่จะเป็นดาวหรือเดือนด้วยเหตุผลใดๆก็ตามแต่ ตอนนี้เหลือผู้หญิงกับผู้ชายอย่างละหกคนแล้ว นิลกับข้าวยังไม่ตกรอบแฮะ แต่ก็ไม่น่าแปลกถึงในผู้ชายหกคนนั้นแม่งจะหล่อสูงทุกคน แต่ถ้าให้เปรียบเทียบรัศมีและออร่าความหล่อ ผมว่าก็ไม่มีใครเทียบนิลกับข้าวได้หรอก ต้องขอบคุณครีมของผมที่ทำให้พวกมันหน้าใสได้ขนาดนี้

แต่เดี๋ยวถ้าข้าวไปค้างกับพี่เซฟครีมผมมันก็ไม่ได้ใช้อ่ะดิ!

ช่างเถอะก็ดีไม่เปลือง 

“เอ้า ปรบมือให้ผู้เหลือรอดทั้งสิบสองคนหน่อยเร็วววว” พี่แก้วพูดขึ้นมา ตามด้วยเสียงปรบมือดังสนั่น

“โอเคค่ะมาต่อกันที่หัวข้อคัดเลือกที่สอง ‘สติมาออร่าเกิด’ ”

โอ้โห พูดซะอย่างกับเกมโชว์เลย

“การคัดเลือกนี้มีจุดประสงค์ก็คือ ถ้าหากว่าถึงเวลาที่ต้องขึ้นเวทีประกวดดาวเดือนมหา’ลัยเนี่ย เราต้องพูดต่อหน้าคนเป็นพันๆคน ถ้าสติแตกขึ้นมาก็คงไม่ไหวใช่มั้ย ดังนั้นดาวเดือนจะสวยหล่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสติ!”

ตอนนี้ผมสงสัยอย่างว่าจะเอาอะไรมาวัดสติ มันไม่ใช่ของที่แข่งกันง่ายๆเลยนะ แข่งนั่งสมาธิไรเงี้ยหรอ แล้วคนอย่างไอข้าวจะไปรอดไหมเนี่ย ไร้สติสตางสุดๆ ดูสิแค่ออกไปให้คนจ้องก็ตัวแข็งทื่อแล้ว

“เราจะให้พูดประโยคที่กำหนดให้ ให้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์และไม่มีติดขัดนะคะ! เอาล่ะเริ่มจากฝั่งผู้ชายไล่จากทางขวาไปซ้ายแล้วกัน บอกชื่อบอกส่วนสูงด้วยนะ”

พี่แก้วยื่นไมค์ไปหาผู้ชายคนแรก

“ชื่อปาล์มครับ ชื่อจริงคือนิพัทธ์ สูงร้อยเจ็ดสิบห้าครับ”

“โอเคให้พูดประโยคนี้” พี่แก้วส่งสัญญาณให้รุ่นพี่สองคนเดินออกมา สองคนนั้นถือกระดาษแผ่นใหญ่ไว้ในมือ ก่อนจะกางออก บนกระดาษเขียนว่า

‘ชามเขียวคว่ำเช้าชามขาวคว่ำค่ำ’

ว้อทเดอะ(-ตี๊ด-) เนี่ยนะทดสอบสติ เรียกว่าทดสอบความลิ้นเปลี้ยจะง่ายกว่ามั้ง

ซึ่งคนแรกพูดไม่ได้ก็ตกรอบไปตามระเบียบ

จากนั้นก็คนต่อไปต่อไปและต่อไป ตกรอบหมด ประโยคก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ผมสงสัยว่าคณะเราลิ้นมันเปลี้ยหมดเลยเรอะ?! ไม่สิถ้ามองโลกแง่ดี(?)อาจจะตื่นเต้นกันก็ได้ นี่สินะที่เรียกว่าทดสอบสติ ตอนนี้เหลือแค่ไอนิลกับไอข้าวสองคน จะรอดไหมวะเนี่ย ผมแอบตั้งจิตภาวนาเอาใจช่วยไม่ให้พวกมันพูดแล้วลิ้นพันกัน

เมื่อถึงตาไอข้าว พี่แก้วก็เริ่มพูดต่อ “ผ่านมาสี่คนแล้วยังไม่มีใครพูดได้ถูกต้องเลยนะคะเนี่ย ดูสิว่าสองคนนี้จะเอาตัวรอดจากบททดสอบนี้ไปได้หรือไม่มาดูกันค่ะ!”

“ถึงตาของหนุ่มน้อยหน้าใส มาดเจ้าชายอ่อนโยน ที่ตัวพี่แอบกรี๊ดในใจ มาตั้งแต่วันแรก เอาล่ะค่ะประโยคมา!”

‘ทหารถือปืนแบกปูนไปโบกตึก’

อันนี้ง่ายโครต..ข้าวถ้ามึงพูดไม่ได้นะ กูจะใช้คีมดึงลิ้นมึงออกมา!

“ทะ...ทหารถือปืนแบกปูนไปโบกตึก”

หลังจากที่ทุกคนได้สติ เพราะไม่มีใครคิดว่ามันจะพูดได้(โครตดูถูก) เสียงเฮก็ดังขึ้นอย่างท่วมท้น ผมนี่แทบจะร้องไห้ให้กับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของไอข้าวจริงๆ ตอนเห็นสภาพที่มันเกร็งขนาดนั้น ใจผมนี่หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยนะ

“เอ้าปรบมือค่าาาา ในที่สุดก็ผ่านแล้วหนึ่งราย ทำเอาพี่แอบลุ้นว่าจะไม่มีเดือนแล้วนะเนี่ย”

เมื่อสิ้นเสียงปรบมือแล้ว พี่แก้วก็เดินไปที่คนต่อไป คนสุดท้ายไอนิล

“เอาล่ะ เรามาลองดูกันว่าหนุ่มคนสุดท้ายสุดหล่อมาดแบดบอย ที่สาวๆแอบกรี๊ดกันมาตั้งแต่เมื่อวาน จนรุ่นพี่หลายๆคนยกให้เป็นตัวเต็ง จะสามารถเข้ารอบได้หรือไม่ เรามาดูกันค่ะ เอาล่ะประโยคมา!”

‘ยายกินลำไยน้ำลายยายไหลย้อย’

อันนี้ส่วนตัวผมว่าไม่ยากนา...แต่ไอนิลจะพูดได้หรือเปล่าอีกเรื่อง

“ยายกินลำไยน้ำลายยายไหลย้อย” มันพูดได้ง่ายๆเลยว่ะ แถมยังดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยด้วย

เสียงปรบมือกับเสียงกรี๊ดดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ต่างกับตอนที่ข้าวผ่านเข้ารอบลิบลับ โครตลำเอียงเลย

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าจะมีผู้เข้ารอบถึงสองคนที่ลุคต่างขั้วกันขนาดนี้ โอเคไว้ก่อน เราไปต่อกันที่ฝ่ายหญิงค่ะ”

ซึ่งฝ่ายหญิงใช้เวลานานกว่าฝ่ายชายมากกกกกกก เพราะพี่แก้วก็พยายามให้ผู้หญิงพูดนั่นนี่ ผู้ชายในคณะก็ขยันแซว กว่าจะผ่านไปได้คนนึงก็เกือบๆยี่สิบนาที

เอาเป็นว่าจากนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าใครพูดอะไรยังไง เพราะผมพึ่งนึกได้ว่านี่มันบ่ายโมงแล้ว ตอนที่พี่แก้วให้ฝ่ายหญิงพูดผมก็เลยใช้จังหวะนั้นในการโทรไปหาผู้จัดการว่าวันนี้ขอหยุดหนึ่งวัน แม้จะโดนบ่นๆอยู่บ้างเพราะบอกกะทันหัน(ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะใช้เวลานานนมถมเถขนาดนี้)

ซึ่งท้ายที่สุดแล้วฝั่งชายมีคนเข้ารอบสองคนก็คือ นิลกับข้าว ฝั่งหญิงมีคนเข้ารอบสามคนคือทราย แอปเปิ้ล และขิม

“เอาล่ะ เรามาถึงจุดไคลแมกซ์ที่จะหาดาวเดือนกันจริงๆแล้ว ครั้งนี้เราจะใช้ผลโหวตของพวกน้องๆเข้าตัดสินด้วย ซึ่งนั่นก็คือ ‘การโพสท่า’ นั่นเองงงงง” พี่แก้วประกาศด้วยน้ำเสียงรื่นเริง

ถ้าโพสท่าแบบนี้ข้าวก็ตายอ่ะดิ แถมใช้ผลโหวตด้วย ร้อยทั้งร้อยผมว่าเทไปที่นิลแน่ๆ เป็นหัวข้อแข่งที่โครตล็อกผล ข้าวไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยๆมึงก็พยายามเต็มที่แล้ว ผมพยายามส่งสายตาแห่งความเห็นใจไปให้ไอคนที่ยืนเกร็งอยู่ข้างหน้า ซึ่งตอนนี้พอผ่อนคลายกว่าตอนแรกเยอะแล้ว(แหงแหละยืนรอฝั่งผู้หญิงนานขนาดนั้น ถ้ายังเกร็งอยู่นี่ มึงควรยอมแพ้กับการเป็นเดือน)

“ซึ่งน้องๆทั้งห้าคนเนี่ยจะโพสท่ายังไงก็ได้ ให้คนเห็นรู้สึกว่า เออ คนนี้แหละเหมาะสมกับการเป็นดาว เป็นเดือน แล้วพี่จะให้เพื่อนๆในคณะโหวตเพื่อตัดสิน ถ้าพร้อมแล้วเชิญไปเตรียมตัวเลยค่าาาา...อ๊ะ เดี๋ยวก่อนค่ะน้องนั่งรอแปปนึง”

พี่แก้วชะงักก่อนจะเดินไปคุยกับพี่เซฟที่เมื่อกี้กวักมือเรียกพี่แก้วอยู่ ก่อนจะเดินกลับมา

“ขอโทษค่ะน้อง พี่พึ่งเห็นว่านี่บ่ายโมงแล้ว น้องๆไปกินข้าวกันก่อนได้เลยค่ะ เดี๋ยวบ่ายสองครึ่งมารวมกันอีกทีนึง แยกย้ายได้ค่ะ”

ทันทีที่พี่แก้วปล่อย นักศึกษาหญิงหลายคนก็ไปกรูกันที่ข้าวกับนิล

ผมอยากจะถามว่าพวกเธอไม่หิวกันเหรอ

แบบนี้ผมก็ต้องไปกินข้าวคนเดียวอ่ะดิ...อืม นานๆทีไม่เป็นไรหรอก จากนั้นผมก็หันหลังกลับ แต่ว่าก่อนที่จะเริ่มออกเดิน ก็มีเสียงคนตะโกนมาจากด้านหลัง ซึ่งเสียงนี้ก็ไม่ใช่ของใคร ไอนิลนั่นเอง

“ทิวา!!!”

“ตะโกนหาพ่อง!!”

มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกซีรี่ย์เกาหลีหรือไงเนี่ยห๊ะ ตะโกนเรียกชื่อกูเนี่ย! คนมองเต็มเลย โอ้ยยย ตะกี้ไม่น่าตอบมันเลย ไม่งั้นส่วนใหญ่ก็คงคิดว่านั่นเป็นชื่อผู้หญิง แล้วก็มองไปทางกลุ่มผู้หญิง แล้วผมก็จะใช้จังหวะนั้นเดินหนีไป พึ่งรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงที่ดันไปคบมันเป็นเพื่อนก็วันนี้แหละ

หลังจากมันตะโกนผมก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปคว้าคอเสื้อมัน

“มึงสติดีไหมเนี่ย ต้องตะโกนขนาดนั้นเลย อายไหมเนี่ยถามจริง” ผมทำเสียงดุใส่มัน

“ก็กูนึกว่ามึงจะไปกินข้าวคนเดียว”

มันเดาถูกว่ะ แต่แค่กินข้าวคนเดียวนี่มันต้องตะโกนลั่นจนคนได้ยินทั้งมหา’ลัยเลยหรอ

ผมกุมขมับก่อนจะพูดต่อ “ไอบ้าเอ้ย มึงนี่มันบ้าจริงๆ งั้นก็รีบไปเคลียร์กับกลุ่มแฟนคลับมึงแล้วรีบมาเดี๋ยวกูรอ ถามไอข้าวด้วยว่ามันอยากมาด้วยกันมั้ย”

หลังจากที่เคลียปัญหาเสร็จไปหนึ่งอย่าง ผมก็ยืนคอยมันอยู่แถวๆนั้นแหละ แต่ดูท่าจะนาน เพราะเหมือนว่าสาวๆจะต่อแถวถ่ายรูปกับไอนิลยาวเลย ซึ่งฝั่งข้าวตอนนี้ที่ทางสะดวกแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจเดินไปถามมันเลย

“ไปกินข้าวด้วยกันป่ะ แต่ต้องรอไอนิลนะ”
“อ่อ คือกูกะจะไปชวนรุ่นพี่ว่ะ”

รุ่นพี่ในที่นี้ ผมแค่มองตามันก็รู้แล้วว่าหมายถึงใคร และเหมือนว่ามันก็คงรู้เหมือนกันว่าที่มันพูดผมรู้ว่าคือใคร มันก็เลยหน้าแดงๆขึ้นมานิดหน่อย

“อ๋อ โอเค คุยกันให้สนุก แล้วเป็นไงเดี๋ยวกูจะถามทีหลังนะ” ผมพูดพร้อมกับหัวเราะให้ จากนั้นข้าวก็เดินไปหาพี่เซฟ แล้วก็เดินแยกจากกลุ่มคนไป ส่วนผมก็เดินกลับมายืนรอที่เดิม 

“นายคือทิวาที่นิลเรียกตะกี้ใช่ไหม” เสียงผู้หญิงใสๆคนนึงดังมา

เมื่อผมหันไปมองผมก็รับรู้ได้ทันทีโดยสัญชาตญาณ

‘ปัญหาเดินมาหากูอีกแล้ว…’

ออฟไลน์ meawmeawsu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 8
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ดาวเดือนคณะ(2)

“นายคือทิวาที่นิลเรียกตะกี้ใช่ไหม”คนที่เรียกผมคือ แอปเปิ้ล ผู้เป็นหนึ่งในผู้รอดจากการประกวดดาวคณะ หล่อนเป็นผู้หญิงที่ผมหน้าม้าสั้นประบ่า ผิวขาวตามสมัยนิยม เป็นสาวหมวยน่ารักที่เห็นได้ทั่วๆไป แต่เหมือนว่าเธอคนนี้จะมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้คนที่มองละสายตาไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเท่าไหร่ที่จะมีคนมองเธอเยอะขนาดนี้

ถึงเมื่อกี้ผมจะพูดว่ามองแล้วละสายตาไม่ได้ ขอโทษด้วยครับ ผมลืมพูดไปว่ายกเว้นผม ไม่ใช่เพราะผมไม่ได้ชอบผู้หญิงหรืออะไรหรอก แค่ยัยคนนี้สูงเท่าผมเท่านั้นเอง เพราะงั้นการมองเธอนานๆมันจะทำให้หัวใจผมแหลกสลายไปเสียเปล่าๆ

“อื้มใช่ แล้วมีอะไรล่ะ”

“เปล่าหรอก เราก็แค่มาถามเฉยๆว่านายกับนิลเป็นอะไรกันหรอ” แอปเปิ้ลยิ้มถามผมมาด้วยทีท่าใสซื่อ แน่นอนสำหรับสายตาคนอื่นก็คงมองว่าเธอคนนี้ใสไร้พิษสงนี่แหละครับ

แต่ความจริงมันไม่ใช่เลยสักนิด! ผมไม่ได้ตาบอดขนาดที่ว่ามองไม่เห็นไฟที่ลุกอยู่ในดวงตาหล่อนนะ!

สรุปก็คือ เธอไม่ได้มาดีแน่นอน

เอาจริงๆการตัดสินใจที่ถูกต้องก็คือตอบไปว่าเป็นแค่เพื่อน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น แต่เผอิญว่าผมดันหมั่นไส้ผู้หญิงคนนี้โดยส่วนตัว(แมนมาก)
แต่ตอนนี้ผมสงสัยอย่าง ผมจะเป็นอะไรกับนิลแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ

“เป็นรูมเมต ที่สนิทกันมากเลย ทำไมหรอ” ผมพยายามพูดเน้นคำว่า สนิท ให้เธอได้ยินเต็มรูหูสองข้าง

“ก็ไม่มีอะไรหรอก เราก็แค่ดีใจที่เห็นนิลได้เพื่อนใหม่แล้ว เราเป็นแฟนเก่านิลน่ะ” แอปเปิ้ลพูดเน้นกลับ ก่อนจะมองผมด้วยสีหน้าท้าทาย

 “นิลมันอยู่โรงเรียนชายล้วนไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมีแฟนเก่าได้อ่ะ อย่าบอกนะว่า...” ผมมองแอปเปิ้ลตั้งแต่หัวจดเท้า

“ไม่ต้องมอง หญิงแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์ย่ะ โรงเรียนเรากับโรงเรียลนิลเป็นโรงเรียนหญิงล้วนชายล้วนที่อยู่ติดกัน บางทีก็เลยบังเอิญเจอกันบ้าง”

อ๋อ แบบนี้นี่เอง

“แล้วแฟนเก่านิลมาหาเพื่อนสนิทของนิลทำไมเหรอ” ผมยิ้ม
“เราอยากให้นายช่วยเราคืนดีกับนิลหน่อยน่ะ”

“หืมมม ก็ต้องดูก่อนว่าใครบอกเลิก ถ้าไม่รู้ก็คงช่วยไม่ได้” ผมพูดเป็นนัยว่าถ้าไม่บอกก็จะไม่ช่วย (เอาจริงๆไหม ถึงบอกมาผมก็ไม่ช่วยหรอก กร๊าก)

แอปเปิ้ลตีหน้าเศร้าแล้วก็พูดว่า “เราทำตัวงี่เง่าไปหน่อยน่ะ เราแค่อยากให้นิลสนใจตัวเรามากๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเราเองที่ทนไม่ไหว เลยขอเลิกไป ทั้งๆที่นิลก็เทคแคร์เรามาดีตลอด แต่นิลแสดงความรู้สึกออกมาไม่เก่งเท่านั้นเอง เราก็เลยเข้าใจผิดไปว่านิลไม่ได้สนใจเรา”

ถามยี่สิบ ได้ข้อมูลกลับมาสองร้อย โครตคุ้ม

“น่าเสียดาย แต่เราคงช่วยไม่ได้ ถ้านิลเป็นฝ่ายบอกเลิก ในฐานะเพื่อนเราก็คงไปคุยให้มันกลับมาง้อเธอได้ แต่นี่เธอเป็นฝ่ายบอกเลิกเอง เราก็จนปัญญาเพราะเราก็ไม่ได้เก่งเรื่องความรักด้วย” ผมพูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงจนใจ แต่เหมือนยัยแอ๊บจะไม่ได้โง่เหมือนที่ผมคิด

“ไม่เป็นไรๆ นายก็แค่ทำตามแผนของเราแค่นั้นเอง ตกลงไหม” โอ้โหแม่หนูคนนี้มีขอเสนอว่ะ ฉลาดแบบนี้ชอบมาก

โชคดีที่ว่าจังหวะนั้น นิลถ่ายรูปกับฝูงชนครบทุกคนแล้ว เลยเดินมาพอดี ผมก็เลยได้โอกาสหาข้ออ้างหนี

“อ้าว นิลมาพอดีเลย งั้นเดี๋ยวเราไปกินข้าวก่อนนะ หิวแล้วด้วย ไว้คุยกันที่หลังนะ” ทันทีที่ผมกำลังรีบเดินหนี ยัยแอปเปิ้ลก็จับแขนผมไว้ ส่งสายตาที่ตีความได้ว่า ‘จะหนีหรอ อย่าหวัง’ ยัยนี่ร้ายกาจนัก

“ป่ะ มึงกูเสร็จละ” นิลที่พึ่งเดินมาถึงพูดกับผม ทันใดนั้นเองยัยแอปเปิ้ลก็ปล่อยแขนผม แล้วก็กระโดดเข้าไปกอดนิล

“นิล เราคิดถึงเธอจังเลย!”

ยัยนี่หนิ! จะด่าตอแหลก็ดูไม่แมน งั้นเรียกว่าผู้มีความสามารถด้านการแสดงแล้วกัน!

“แอปเปิ้ล...?” นิลพูดด้วยสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด ผมก็ตกใจเล็กๆเหมือนกันที่นิลแสดงสีหน้าได้ชัดเจนขนาดนี้

เอ๊ะ แล้วทำไมผมต้องรู้สึกเจ็บใจนิดๆด้วยเนี่ย

“เฮ้อ คุยเสร็จแล้วก็ตามมาแล้วกัน กูหิวแล้วไปกินข้าวก่อนนะ” หลังจากที่ผมเพลียใจกับการกระทำของยัยแอ๊บ ผมก็ตัดสินใจว่าไปกินข้าวคนเดียวน่าจะดีกว่า

แต่เผอิญว่าผมดันเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยของยัยแอ๊บซะก่อน จากตอนแรกที่ว่าจะไปดีๆ คงต้องถอนคำพูดแล้วล่ะ

จะเล่นบทนางร้ายใช่ป่ะ แอปเปิ้ล รู้ฤทธิ์ไอเต้คนนี้น้อยไปแล้ว! แฟนเก่าแล้วไง คนนี้ไฉไลกว่าเว้ย!

 “แอปเปิ้ลเราพึ่งคิดได้ อย่าพึ่งยื้อไอนิลเลย มันต้องประกวดเดือนคณะต่อ จะให้ประกวดทั้งๆที่มันหิวก็คงไม่ดีเนอะ ให้มันไปกินข้าวเถอะ ถ้าไปช้าขึ้นมากับข้าวหมดแย่เลย” ผมพูดเองเออเอง

จากนั้นผมก็ถือวิสาสะหยิบโทรศัพท์ที่ใส่อยู่ในกระเป๋าเสื้อของแอปเปิ้ล แล้วก็ถ่ายรูปให้เสร็จสรรพ ก่อนจะส่งคืนให้พร้อมกับรอยยิ้ม จากนั้นอาศัยจังหวะที่แอปเปิ้ลยืนอึ้งอยู่ ดึงตัวนิลออกมา

“งั้นเราไปแล้วนะ โชคดีจ้ะ ขอให้มีความสุขกับรูปถ่ายนะ” ผมหัวเราะเบาๆให้แม่สาวคนนี้

“ป่ะนิล” จากนั้นผมก็รีบลากตัวไอนิลดึงเข้าฝูงชนไป ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าจะหลบพ้นไหมก็เถอะ ส่วนสูงของมันเด่นมาก แค่มองผ่านๆแป๊ปเดียวก็เจอแล้ว เพราะงั้นต้องรีบเดินให้ไกลที่สุด


โรงอาหารสักที่หนึ่งในมหาลัย

ผมว่าผมเดินมาไกลไปหน่อย นี่จะบ่ายสองแล้วยังไม่ได้กินข้าวกินปลาเลย นี่อยู่โรงอาหารไหนของมหาลัยวะเนี่ย เอาเถอะหิวจนไส้จะขาดแล้ว กินที่ไหนก็เหมือนๆกันล่ะวะ

“ทิวา...” เสียงไอนิลที่อยู่หลังผมพูด
“เรียกกูลาเต้ก็ได้”
“กูชอบเรียกทิวามากกว่า” มันพูดน้ำเสียงนิ่งๆ
“เออ ตามใจเถอะ แล้วมีไร...กินข้าวมันไก่ดีป่าววะ” เอ๊ะ หรือกินก๋วยเตี๋ยวดี

“ปล่อยมือกูได้ยัง คนมองเต็มแล้ว” ทันทีที่มันพูดผมก็หันขวับไปดูทันที เห้ย ตอนแรกจับแขนนี่หว่า ทำไมจู่ๆจับมือวะเนี่ย สงสัยหิวจนเบลอ เฮ้อ...
“ขอโทษๆ กูไม่รู้ว่ามึงไม่ชอบ” ผมปล่อยมือจากไอนิล
มันทำหน้างงๆ “ไม่ได้ไม่ชอบ”
“อ้าว แล้วแค่นี้ทักทำไมอ่ะ”
“ปกติผู้ชายเค้าจับมือกันด้วยหรอ”
“ก็ตอนสมัยกูเรียนมอปลาย เวลาผู้หญิงเวลาเป็นเพื่อนกันก็จับมือถือแขนเป็นเรื่องปกตินี่ นี่กูกับมึงก็เพื่อนกันไม่ใช่อ่อ แค่เป็นผู้ชายเองทำไมอ่ะ”

ผมทำหน้างงใส่มัน ซึ่งมันก็ดูอึ้งๆ ผมก็ไม่เข้าใจที่มันสื่อนักหรอก แต่ตอนสมัยเรียนมอปลายผมก็ทำกับเพื่อนผู้ชายคนอื่นแบบนี้นะ ก็ไม่เห็นมีใครว่าอะไร

“ไปกินข้าว มายงมายืนอึ้งอะไรอีกล่ะมึง กูหิว!” ถ้าผมยังไม่ได้อะไรยัดเขาท้องภายในสิบนาทีนี้ ผมต้องเป็นลมแหงแซะ

จากนั้นผมกับไอนิลก็ไปซื้อข้าวแล้วก็มานั่งกิน ทันทีที่ผมได้นั่งผมก็รีบตักข้าวเข้าปากด้วยความหิวโหย

“ค่อยๆกินเดี๋ยวติดคอ”
“อ้ออูอิ๋วอ่ะ(ก็กูหิวอ่ะ)” 

มันส่ายหน้าไปมา

“กินช้าๆ ถ้าไม่อยากให้กูหลงมึงเพิ่ม”

แค่กกกก ผมเช็ดน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมา ผมสำลักจนหน้าแดงไปหมดแล้วเนี่ย อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเพราะมันนะ เพราะสำลักข้าวต่างหาก!

“อ่ะน้ำ”
“เพ้ออะไรของมึงอีกเนี่ย! เกือบตาย!”
“ขอบคุณเรื่องแอปเปิ้ลนะ”
“ขอบคุณเรื่อง?” ผมพูดก่อนจะตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก
“ขอบคุณที่หวงกูไง” ไอนิลพูดหน้านิ่ง แน่นอนว่าผลที่ตามมาสำลักหนักกว่าครั้งแรก

อุ๊ก!...แค่กกก!

“อ่ะน้ำ”
“พ่อมึงตายยยย!!!”

ตอนนี้ถ้ามันยังไม่หยุดหยอดผมล่ะก็ ผมว่าอีกสักพักผมต้องเก็บอาการไม่ได้แน่ๆ ไอบ้าเอ้ย...พูดแบบนี้จะหว่านสเน่ห์รึไง

หลังจากนั้นพอกินข้าวเสร็จ ผมก็เดินหาทางกลับ(จำทางไม่ได้ เลยโดนไอนิลแซะตลอดทางเลย) ซึ่งก็ใช้เวลานานอยู่กว่าจะมาถึง เกือบไม่ทันแหนะ

“โอเค กลับมาที่การประกวดดาวเดือนกันต่อนะคะ” พี่แก้วเริ่มเอ่ย

“ตอนช่วงน้องๆพัก พวกพี่ๆได้ประชุมกันใหม่ว่าจะเปลี่ยนหัวข้อการประกวด จำได้ไหมก่อนปล่อย ที่เป็นหัวข้อโพสท่า”

เสียงฮือฮาเริ่มดังขึ้น

“สาเหตุก็เป็นเพราะ มันจะดูล็อกผลเกินไป ฝั่งผู้หญิงยังพอมีลุ้นกับทุกๆคน แต่ฝั่งผู้ชายเนี่ย พี่รู้ว่าสาวๆส่วนใหญ่ก็คงเลือกน้องนิลกัน”

พี่เซฟกู้ดจ็อบ! ผมสาบานได้เลยว่าความคิดแบบนี้มาจากพี่เซฟแน่นอน แหมพอคิดแล้วก็เขินแทนไอข้าวเหมือนกันนะเนี่ยมีคนใส่ใจด้วย(จริงๆเป็นไงไม่รู้หรอกแต่ผมอวยไว้ก่อน) ตอนนี้มีผู้หญิงบางคนบอกว่าข้าวดูดีๆก็หล่อไม่ใช่เล่น

ตอนแรกผมก็คิดว่าข้าวมันหล่ออยู่แล้วนะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไปยืนข้างนิลแล้วดูหล่อน้อยลง คนเลยไม่ค่อยกรี๊ดกัน ออร่าบดรัศมีบังเหรอ มึงมันแย่ไอนิล!

“เพราะงั้นเราจะใช้หลักการตัดสินใหม่ก็คือ ‘ตอบคำถาม’ ซึ่งห้าคนเนี้ย จะไปยืนอยู่ด้านหลังฉากกั้นตรงนั้น จากนั้นก็ใช้เครื่องแปลงเสียงไม่ให้จับได้ว่านี่คือเสียงใคร แล้วตอบคำถาม ใครตอบคำถามถูกใจน้องสุดน้องก็โหวตคนนั้น”

เมื่อพี่แก้วพูดเสร็จ ก็สั่งให้รุ่นพี่ปีสองพาผู้เข้าประกวดไปหลังฉากกั้น

“โอเคค่า งั้นเราจะเริ่มการตอบคำถาม ณ บัดนี้ เริ่มจากฝั่งหญิงก่อนแล้วกัน คำถามก็คืออออ” พี่แก้วลากเสียงให้ดูตื่นเต้น แม้ว่าจะไม่มีคนตื่นเต้นตามเลยก็ตาม นับถือสปิริตมาก

 “น้องคิดว่าการจะชอบใครรักใครสักคนเนี่ย มันเกิดขึ้นได้ยังไง เริ่มที่ผู้หญิงหมายเลขหนึ่ง”

[เอ่อ ก็คิดว่า น่าจะเกิดจากความประทับใจแรกมั้งคะ แบบเห็นก็รู้เลยว่าเนี่ยพ่อของลูก ฮ่าฮ่า ล้อเล่นค่ะ คือเห็นแล้วเรารู้สึกว่าน่าจะไปกันได้นะ ไม่ก็แบบดูเป็นคนที่ใจดี อบอุ่นดูแลเราได้ อะไรแบบนี้อ่ะค่ะ]

“อ๋อ ก็คือความรู้สึกแรกพบใช่มั้ยคะ ถือว่าเป็นคำตอบที่ดีเลยนะคะเนี่ย โอเคค่ะน้องๆลองคิดดูนะคะว่าคนนี้ตอบถูกใจเราไหม ถ้าชอบก็เก็บไว้ในใจแล้วรอโหวตเลยค่ะ ถ้ายังไม่ใช่ก็ไปดูคนต่อไปกันเลย”

[สำหรับหนูนะคะ หนูคิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่าความสนิทชิดเชื้อกันค่ะ คนเราจะมีความสัมพันธ์ที่ดีจนสามารถรักกันชอบกันได้เนี่ยถ้าหากว่าไม่รู้จักกันมาก่อน ก็คงยากที่จะเกิดค่ะ]

“หืมมม ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างกันสินะคะ ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่ดีค่ะ ผ่านหมายเลขสองไปดูหมายเลขสามกันเลย คนสุดท้ายแล้วนะคะของฝ่ายหญิง จำไว้นะคะถูกใจคนไหนก็ให้จำเอาไว้”

[หนูคิดว่า เป็นเพราะโชคชะตาค่ะ มันอาจจะดูเพ้อฝันไปหน่อย แต่หนูก็เชื่อว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ ถ้าเกิดมาเพื่อคู่กันแล้ว แค่มองตากันก็ชอบกันแล้วใช่มั้ยคะ หรือต่อให้มีเรื่องทะเลาะกันบาดหมางใหญ่โต สุดท้ายโชคชะตาก็ลากกลับมาเจอกันอยู่ดี หนูคิดว่าแบบนั้นค่ะ]

ผมถูกใจคำตอบนี้มากเลยนะ ไม่รู้สิ ก็ชอบอ่ะ...เดี๋ยวนะ ทำไมแว๊บนึงในหัวผมถึงมีหน้าไอนิลโผล่มา!

“โอ้โห โรแมนติกสุดๆ เป็นคำตอบที่งดงามมากเลยนะคะเนี่ย โอเคเพื่อไม่ให้เสียเวลา ไปต่อกันที่ฝั่งผู้ชายเลย แต่เราจะมีการเปลี่ยนคำถาม คล้ายๆกับเมื่อกี้เลยค่ะ ซึ่งคำถามก็คืออออ”

“ถ้าสมมติว่าน้องเกิดชอบใครรักใครขึ้นมาเนี่ย น้องจะทำไงให้รู้ว่าเรารัก เราชอบคะ คนแรกหมายเลขหนึ่งของผู้ชาย เชิญตอบเลยค่ะ”

[ใช้คำพูดแล้วก็การกระทำ แสดงให้เขาเห็น]

“หือ…แค่นี้หรอคะ”

[แค่นี้แหละครับ]

“โอเคค่ะ ฮ่าฮ่า ตรงไปตรงมาดีนะคะ ไปต่อกันที่หมายเลขสองกันเลยดีกว่า คนสุดท้ายของฝั่งชาย”

คนอื่นอาจจะไม่รู้ว่าคนที่พูดเมื่อกี้คือใคร แต่สำหรับผมถึงแม้จะเพิ่งรู้จักมันได้แค่วันสองวัน ผมมั่นใจไอคนตะกี้เชี่ยนิลแน่ๆ! ตอบไร้ซึ่งความโรแมนติกขนาดนี้ สั้นห้วนขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ยอมแก้ผ้าวิ่งรอบมหา’ลัย เลยเอ้า!

[ผมเหรอครับ ผมก็คงจะเฝ้ามองและสนับสนุนเขาอยู่ห่างๆ มันอาจจะดูเจ็บปวด แต่การได้เฝ้ามองเขายิ้ม หรือทำให้เขาที่เศร้ากลับมายิ้มได้ ผมคิดว่านั่นคือการบอกรักที่ดังที่สุดสำหรับผมแล้วครับ]

เสียงกรี๊ดและเสียงโห่ ดังไปทั่วบริเวณ ตามมาด้วยสีหน้าที่ซาบซึ้งในคำตอบของบุคคลผู้นี้ ผมเองก็ซาบซึ้งเช่นกัน มันช่างเป็นรักที่แสนบริสุทธิ์เสียนี่กระไร ผมชำเลืองหางตามองไปที่พี่เซฟซึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง เหมือนว่าเขาก็ตกใจกับคำตอบเมื่อครู่นี่เช่นกัน ผมคิดว่าเขารู้อยู่แล้วว่านี่คือคำพูดของใคร

“น้องเงียบๆหน่อยค่ะ พี่แก้วขอเช็ดน้ำตาสักครู่หนึ่ง คำตอบของน้องทำให้พี่ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่”

เสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นมาต่อจากนั้น ตามด้วยเสียงแซวของกลุ่มผู้ชายว่าตอแหล...เดี๋ยวๆ เขาแซวผู้หญิงกันแบบนี้แล้วเหรอ ไม่เกรงใจเพศก็เกรงใจความเป็นรุ่นพี่บ้างสิ!

หลังจากผ่านไปสักพัก พี่แก้วก็กลับมาพูดอีกครั้ง

“โอเคค่ะ ถึงเวลาต้องโหวตกันแล้วนะคะ”

หลังจากที่เก็บรวมรวมผลโหวตเสร็จแล้ว พี่แก้วกับพี่เซฟก็เดินออกมาคู่กันก่อนจะเริ่มพูด

“เอาล่ะ ดาวคณะคือผู้หญิงหมายเลขสามค่ะ นั่นก็คือน้องทราย นั่นเองงงง!” ทำไมทีงี้ไม่พูดให้ลุ้นอ่ะ...

ตามมาด้วยเสียงโห่ ของพวกผู้ชายที่ไม่จบไม่สิ้น จนพี่เซฟต้องพูดปราม

“พอครับพอ เดือนคณะก็คือผู้ชายหมายเลขสอง ซึ่งก็คือ น้องข้าวครับ!”

ตามมาด้วยเสียงแสดงความยินดี(ลำเอียงอีกแล้ว) เอาจริงๆผมก็รู้ผลล่วงหน้าอยู่แล้วแหละ เท่าที่ผมดูมีผู้หญิงบางคนอยากจะให้นิลได้เป็นมากกว่า แต่เพราะคำตอบเมื่อกี้ เลยไม่มีใครขัดใจอะไรมาก เพราะมันก็เห็นๆกันอยู่ว่าใครตอบดีกว่า  ผมเชิดหน้าไปหาไอนิลที่ยืนอยู่ข้างหน้า ส่งแววตาท่าทางแสดงถึงคำพูด ‘สมน้ำหน้า’ แต่ก็ตามเคย มันไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย มันมองมาทางผม แล้วก็มองนิ่งๆเท่านั้น เกลียดมัน ตบมุกหน่อยไม่ได้หรือไง!

หลังจากได้ตัวดาวเดือนคณะแล้ว พี่เซฟก็ขึ้นมาพูดเรื่องรายละเอียดของค่าย เป็นค่ายที่ใช้การศึกษาบังหน้า(แค่ก) ความจริงคือก็ให้ไปเที่ยวกันก่อนเปิดเทอมนั่นแหละ ถือเป็นการสานสัมพันธ์เพื่อนใหม่ด้วย

ซึ่งค่ายนั้นเป็นค่ายสามวันสองคืน ไปที่ไหนไม่รู้พี่เขาบอกว่าเป็นเซอร์ไพรส์ แต่มีทะเล(นี่ถ้าจับไปขายก็ไม่รู้ตัวใช่ป่ะ) ไปในอีกสองวันที่จะถึง   ซึ่งมันก็หมายความว่ามีเวลาสิริรวมให้เตรียมตัวคือพรุ่งนี้หนึ่งวัน

ใช่อ่านไม่ผิดหรอก วันเดียวพรุ่งนี้เนี่ยแหละ ตอนผมได้ยินผมอยากจะไปจัดการคนคิดตารางกิจกรรมในทันที บ้าไปแล้ว ยังไม่ได้เตรียมอะไรเลยนะ!
จากนั้นพี่เค้าก็ปล่อยแยกย้ายไป และตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ห้องพักของผม ในห้องมีผม มีนิล แล้วก็ไอข้าว ผมเรียกมันมาเองแหละ สาเหตุก็...

“ข้าว ยินดีด้วยที่ได้เป็นเดือนตามที่มึงหวัง! แต่ตอนนี้เล่ามาให้หมดเปลือก เรื่องเมื่อคืน และโมเม้นตอนไปกินข้าว ไม่งั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ออกจากห้อง อย่าคิดหนี เพราะไอนิลจะจัดการมึง”

ผมยิ้มให้คนที่ตอนนี้กำลังหน้าซีดอยู่ แหม อย่าหาว่าผมนู่นนี่เลย หมั่นไส้เดือนคณะด้วยหนึ่ง แล้วก็อยากเผือกโมเม้นกุ๊กกิ๊กด้วยอีกหนึ่ง

จากนั้นเมื่อข้าวไม่มีทางเลือกมันก็เล่ามาส่วนนึง มันบอกว่าช่วงที่เข้าห้องของพี่เซฟไป เล่าไม่ได้จริงๆ(ขอฮาวทูไม่ให้คิดลึกด้วยครับ) ส่วนเรื่องโมเม้นตอนไปกินข้าวไม่มีเลย มีแต่ความอึดอัด เพราะผู้หญิงที่ได้ดาวคณะ หรือทรายเนี่ย ไปเจ๊าะแจ๊ะกับพี่เซฟตลอด เมื่อมันยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่าเล่าไปหมดแล้ว ผมก็เลยปล่อยมันไป

สรุปที่ได้จากการถาม ไอข้าวโรคจิตพอสมควรคนบ้าอะไรตามสตอร์กเกอร์คนอื่น ไม่กลัวเขารู้แล้วจะโดนเกลียดหรือไง ส่วนพี่เซฟก็ใจดีช่วยเปลี่ยนหัวข้อให้ข้าว มีโอกาสเป็นเดือนมากขึ้น แล้วก็ทราย เท่าที่ฟังมันเล่าเหมือนว่าทรายชอบพี่เซฟมาก แล้วพยายามกำจัดข้าวออกไปด้วย

ผมก็เลยมานั่งคุยกับไอนิลมันว่าจะช่วยไอข้าวยังไงดี เพราะผมก็อยากให้มันแฮปปี้เวดดิ้งกับพี่เซฟ ตามประสาเพื่อน แต่ทว่าดันมีตัวร้ายขัดขวางอยู่คือทราย ซึ่งพอบ่นๆให้ไอนิลฟังแม่งก็หลับไปอย่างไม่สนใจ(ไร้ประโยชน์จริง!)

ตอนนี้เรื่องทรายไว้คุยกับข้าวอีกรอบนึง ส่วนยัยแอปเนี่ยสิ ผมกลัวว่าเธอคนนั้นจะมาป่วนชีวิตผมอีกจัง แต่ถ้าเธอคนนั้นยืนยันว่าอยากจะคืนดีกับนิลจริงๆ ผมก็คงจะยอมใจอ่อนเหมือนเดิมนั่นแหละ

แค่คิดว่ามันจะกลับไปมีแฟนเองนะ ทำไมผมถึงต้องอึดอัดใจด้วย
 

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
วันก่อนไปค่าย

หืม...กี่โมงแล้วเนี่ย ผมที่รู้สึกตัวยังคงหลับตาอยู่ ตอนนี้ผมยังไม่อยากตื่น เมื่อคืนเอาแต่คืนเรื่องนั่นนี่ กว่าจะหลับก็ปาไปเที่ยงคืนกว่าแล้ว
วันนี้เป็นวันหยุด ไม่มีกิจกรรมใดๆของทางมหาลัย มีแค่จัดกระเป๋าไปค่ายแล้วก็ทำงานในช่วงบ่ายเท่านั้น

ผมพยายามยืดตัวเพื่อปลดปล่อยความเมื่อยล้าของร่างกายจากการนอนทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่ เดี๋ยว ทำไมรู้สึกพื้นที่ยืดตัวมันน้อยลงผิดปกติ แถมไอร้อนที่ออกมาจากด้านข้าง อย่าบอกนะว่า..!

ผมลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว หันมองไปทางข้างตัวของผมในทันที

“เชี่ยย!”

ไอนิล มันมานอนอยู่ข้างผมได้ยังไง เตียงมันไม่ได้ไกลก็จริง แต่มันอยู่คนละฟากเลยนะ ถ้ามันบอกว่าละเมอหรือนอนดิ้นนะ ผมจะเลาะฟันมันออกมาโทษฐานโกหกหน้าตาย!

แล้วที่สำคัญนะ นอนข้างกันไม่พอ มันกอดผมซะแน่น ผมพยายามดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด สุดท้ายเมื่อหมดแรงก็ได้แต่นอนนิ่งจนมันตื่น

“มึงเนี่ยนะ ก็อีแค่กูมานอนด้วยมันจะอะไรนักหนา” มันที่ตื่นแล้ว แต่ยังคงหลับตาอยู่พูดขึ้นมา

“เตียงมึงก็มีว้อย!! ตื่นแล้วก็ปล่อยกูสักทีสิ!”

“โวยวายน่า นี่พึ่งจะแปดโมงเอง” โอ้ย ไอหมอนี่ ถ้ารู้ว่าสนิทกันแล้วจะเป็นแบบนี้นะ ฮึ่มมมม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรตั้งแต่เมื่อวานเหมือนว่านิลจะพยายามสนิทกับผมให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งผมก็ไม่ได้อะไรหรอก มีเพื่อนอยากเข้าใกล้ทำไมจะเป็นเรื่องไม่ดีล่ะ

แต่ตอนนี้ผมต้องจัดการกับมันก่อน ไม่งั้นผมคิดว่าผมต้องอยู่ในสภาพโดนกอดยันเที่ยงวันแน่ๆ

หลังจากกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่นาน สุดท้ายผมก็สามารถหลุดจากแขนของไอนิลออกมาได้ แม้ว่าจะทำให้บางคนเจ็บตัวก็เถอะ

“ปล่อยมาดีๆก็จบแล้วไอบ้า!” ผมพูดพร้อมกับจัดเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยจากการต่อสู้ ก่อนจะเดินไปอาบน้ำแต่งตัว


จากนั้นผมก็เริ่มจัดกระเป๋า

“มึงจะเล่นน้ำป่ะ” นิลถาม เพราะมีคนบอกว่าจะมีการปล่อยให้เล่นน้ำทะเล

“ถ้ามึงอยากเล่นก็เตรียมเสื้อไปเผื่อ แต่กูไม่อ่ะ ขี้เกียจเล่น” ผมตอบตรงไปตรงมา ในความคิดผมนะ น้ำทะเลมันไม่เห็นจะน่าเล่นตรงไหนเลย เค็มก็เค็ม ถ้าน้ำสระอ่ะว่าไปอย่าง

ไอนิลทำเสียงอืมในลำคอ แม่งต้องวางแผนอะไรไว้ชัวร์ๆ ทางที่ดีช่วงไปค่ายผมคงต้องระวังไว้หน่อย

เออจริงด้วย ยังไม่มีครีมกันแดดเลยนี่หว่า เซเว่นน่าจะมีขายนะ ไว้เลิกงานค่อยไปแล้วกัน

จากนั้นผมก็จัดการกับสัมภาระเรียบร้อย ซึ่งมันก็ใกล้ๆเวลาไปทำงานพอดี

“จะไปไหน” นิลเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นผมทำท่าทีจะออกไปข้างนอก

“อ่า ไปทำงานน่ะ”

“ไปด้วย” เอาอีกคนแล้ว เฮ้อ ยังไงก็ต้องไปชวนข้าวอยู่แล้ว เพิ่มอีกคนคงไม่เป็นไร ผมพยักหน้าให้มันเบาๆเป็นสัญญาณว่าอนุญาต  มันก็ทำท่าดีใจที่ไม่ได้เข้ากับคนกล้ามเนื้อใบหน้าตายเลยสักนิด ดูแล้วก็น่าขำมากกว่า


หน้าห้อง 403

“ข้าวไปคาเฟ่กับกูเปล่า” ผมเคาะประตูห้องขณะที่ตะโกนถามมันด้วย แต่ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ

“ไม่อยู่เหรอ ไหนบอกให้มาชวน” ผมทำหน้าเพลียใจใส่ประตูห้อง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปโดยไม่อยู่รอต่อ พร้อมกับกวักมือเรียกเจ้าคนที่เดินหน้าตายตามผมอยู่ตอนนี้ ผมคิดว่าข้าวมันอาจจะไปรอก่อน ถ้าเจอมันที่คาเฟ่ล่ะก็นะ จะแซวให้ตายไปข้างนึงเลย!


หลังจากเดินท่ามกลางความเงียบอยู่นานก็ถึงคาเฟ่จนได้ ผมไม่เข้าใจเลยว่าเวลาชวนคุยอะไรไอนิลถึงได้ตอบสั้นห้วนเข้าใจง่าย(?) แล้วก็หยุดไปเลย ผมเปิดประเด็นไปไม่ต่ำกว่าสิบรอบ มันก็ตอบแค่นั้น ไม่มีส่วนไหนให้ผมหาทางคุยต่อได้เลย สุดท้ายผมก็เพลียใจจนยอมเดินเงียบๆมาถึงที่เนี่ยแหละ

“อ้าวมาแล้วเหรอจ๊ะ ลาเต้~” เสียงเจ๊ดีดี้อันเป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นทันทีที่ผมเข้าไปในร้าน และหลังจากที่ทักทายผมแล้ว เมื่อเจ๊ดีดี้เห็นนิลที่ตามผมมา ก็ทำตาเป็นประกายวิบวับ แล้วก็เดินไปแต๊ะอั๋งเหมือนอย่างที่ทำกับไอข้าว

“เจ๊ ทำแบบนี้เดี๋ยวก็ไม่มีลูกค้าหน้าใหม่หรอก” ผมพูดเตือน ซึ่งเจ๊แกก็หันมามองค้อนผมทีนึงก่อนจะกลับไปทำอย่างเดิมต่อ ผมก็ทำได้เพียงถอนหายใจให้กับชะตากรรมของไอนิล อยากหล่อเองช่วยไม่ได้ ก่อนจะเดินเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนชุด
 
เมื่อผมเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วกำลังไปทำงานผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ไม่เห็นพี่เซฟเลย ข้าวที่ตอนแรกนึกว่าจะแอบมาก่อนก็ไม่เห็น

ผมเลยหันไปถามเจ๊ดีดี้ ที่ยังลวนลามไอนิลไม่เลิก

“โอ้ย เจ๊พอเถอะ ไม่เกรงใจเพื่อนผมก็เกรงใจลูกค้าบ้างงง!” หน้าตาไอนิลแม้จะยังตายด้านดังเดิม แต่คิ้วก็เริ่มๆขมวดเป็นปมแล้วเช่นกัน ถ้ามากกว่านี้เกรงว่าเจ๊แกต้องได้ไปถอยหน้าใหม่แน่ๆ

“อ่ะๆ พอแล้วก็ได้ นี่จ่ะคูปองลดเครื่องดื่มครึ่งราคา อ่ะ ว่ามามีเรื่องอยากถามใช่ไหม” เจ๊ดีดี้ยัดคูปองใส่มือของนิล แล้วหันกลับมาถามผม
“อ่า พี่เซฟไปไหนหรอครับ หยุดหรอ?”  ผมถามตอบกลับไป

 “ใช่เห็นบอกไปซื้อของกับรุ่นน้องที่เป็นเดือนคณะน่ะ” ทันทีที่เจ๊แกตอบเสร็จ โทรศัพท์ของคุณเธอก็ดังขึ้น จากนั้นก็ส่งสัญญาณบอกผมว่ามีธุระ แล้วก็เดินจากไป แหม ไอข้าว แป๊ปเดียวมีดงมีเดต เพื่อนเรานี่ไม่ธรรมดา

“ที่นี่มีอะไรน่ากินมั่งอ่ะ” ไอนิลเดินมาถามผม พลางมองขึ้นไปดูเมนูด้านบน

“ก็เยอะนะ มันก็แล้วแต่คนชอบอ่ะ แต่ถ้าเบื่อเมนูเดิมๆก็นี่เมนูใหม่” ผมแนะนำมันเหมือนลูกค้าทั่วๆไป  ก่อนจะหยิบแผ่นเมนูพิเศษให้มันดู

“เออเจอละของน่ากิน”
“ห๊ะ อะไรอ่ะ..?”
“คนขายเนี่ยแหละน่ากินที่สุด” มันพูดพร้อมกับยิ้มบางๆ

ผมใช้แผ่นเมนูที่อยู่ที่ฝ่ามือฟาดไปที่หัวมัน แต่มันเขย่งตัวหลบก็เลยไม่ถึง ผมก็เลยได้แต่ด่ามันในใจ

แล้วทำไมผมต้องเขินล่ะเนี่ย...

หลังจากนั้นผมก็ต้องทำงานพิเศษ พร้อมกับความอึดอัดจากสายตาที่มองผมไม่วางตาจากคนบางคน


[พาร์ทข้าว]

ตอนนี้ผมยืนรอคนบางคนอยู่ที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 

แต่บางทีผมอาจจะมาเร็วไป เอาเถอะยังไงวันนี้ก็ไม่มีอะไรต้องทำอยู่แล้ว สัมภาระผมก็จัดเสร็จตั้งแต่เมื่อคืน

เออใช่ พูดถึงเมื่อวาน ไอลาเต้เห็นมันตัวเล็กๆแบบนั้นอ่ะความคิดน่ากลัวฉิบหาย ทางที่ดีอย่าไปหาเรื่องเจ้านั่นดีกว่า

แต่ถ้าไม่นับเรื่องนั้น มันก็ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนนึงล่ะนะ

ผมมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้บ่ายโมงครึ่ง รุ่นพี่นัดบ่ายสอง อืม สงสัยว่าผมจะมาเร็วไปจริงๆ
 

ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ...

เรื่องของเรื่องก็คือ เมื่อวานที่ผมโดนลาเต้ลากไปล้วงความลับ หลังจากผมกลับมาที่ห้องสักพัก ก็มีคนที่ผมคาดไม่ถึงมาเคาะประตูเรียกผมอยู่หน้าห้อง

“เห้ย รุ่นพี่มาได้ไง!” ผมถามอย่างตกใจเมื่อเห็นคนที่ผมแอบชอบ ทั้งยังเป็นเพื่อนใหม่ที่อายุมากกว่าหนึ่งปี เป็นคนเคาะประตูเรียกผม

“อยู่สองคนเรียกมึงกูก็ได้” รุ่นพี่ตอบผมพร้อมรอยยิ้ม แม้มันจะไม่ใช่รอยยิ้มอบอุ่นแบบที่ยิ้มให้คนอื่นๆ แต่ไม่ว่ารุ่นพี่จะยิ้มแบบไหน ผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ

“อ่า แล้วมึงมีอะไรอ่อ มาหากูกลางค่ำกลางคืนแบบนี้...”

โอ้ย ให้ตายสิ เผลอคิดอะไรบัดสีไปแล้ว ขอโทษครับรุ่นพี่!

“ขอเข้าไปนั่งได้ไหม เดินมาจากหอกูมันไกล เมื่อย”

“ตามสบา--” จู่ๆผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ทั้งภาพโปสเตอร์ขนาดสิบหกคูณยี่สิปแปดนิ้ว แถมยังอัลบั้มรูปทั้งสามเซ็ตบนหัวเตียง

คำว่าโรคจิตคงจะได้มาหาผมเต็มตัวก็วันนี้แหละ

“เดี๋ยวๆ กูพึ่งนึกได้ว่าห้องกูมันรกมาก ขอกูไปจัดแปปนะ” ผมรีบตรงดิ่งไปขวางคนที่ทำท่าจะเข้าห้อง

“ถึงห้องมึงจะรกสกปรกยังไงกูก็ไม่คิดมากหรอก มาคุยแปปเดียวก็กลับแล้ว”

“ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้! มึงไม่คิดมากกูคิดมาก!” ผมตะโกนยื่นคำขาด ไม่อย่างงั้นผมก็ซวยอะดิ ไม่ยอมนะ ถูกคนแอบรักมองว่าโรคจิตนี่ขาดใจเลยนะ คิดภาพก็จะร้องไห้แล้ว!

ผมมองที่อีกฝ่ายอึ้งๆไปนิดหน่อย แต่ก็ทำท่าพยักหน้าราวกับเข้าใจ เฮ้อ แบบนี้ก็ดี อย่างน้อยๆก็เชื่อฟังกันบ้าง ทันใดนั้นตัวผมก็ลอยขึ้น
“เอ๋..?” ภาพที่ผมเห็นกลับหัวกลับหางไปหมด ไอพี่เซฟ มันแบกผมขึ้นหลัง!!!

“พี่ทำเชี่ยไรเนี่ยยยยย ไม่ได้นะ อย่าเดินเข้าปายยยยย” ผมกรีดร้องออกมา หลังจากที่เขาอุ้มผมแล้วเดินเข้าห้องผมในทันที ฮืออออ...จบแล้วอนาคต

“โอ้โห อลังการเหมือนกันนะเนี่ยห้องมึงอ่ะ มิน่าไม่อยากให้เข้ามา” รุ่นพี่พูดเสียงเย็น ขณะที่ผมกำลังปิดหน้าปิดตารอรับชะตากรรมอยู่บนหลังพี่เขา ทั้งกลัวทั้งอาย ไม่ไหวแล้ว

จากนั้นพี่เขาก็จับผมโยนลงไปนั่งที่เตียง ผมได้แต่ทำตัวไม่ถูกเอามือปิดหน้าปิดตา เพราะตอนนี้หน้าผมร้อนราวกับเป็นไข้หวัดใหญ่ ไม่รู้ว่าเพราะอาย หรือเพราะกลัวกันแน่

“ไม่ต้องคิดมากหรอก แม้ว่ากูจะรู้สึกแปลกๆหน่อยๆที่มีคนคลั่งกูได้มากมายขนาดนี้” ช่วยปลอบใจได้ดีมาก แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์จะเถียงแล้ว ต้องรีบไล่กลับไป

“มะ..มึงมีอะไร...” ผมถามเสียงแผ่ว

“พรุ่งนี้ไปซื้อของกับกู”

“ห๊ะ..?”ผมเอามือออกจากหน้าทันที สายตาของพี่แกแลดูเฉยชามาก

“ตามนั้น เจอกันหน้าเซ็นเวิร์ลบ่ายสอง” จากนั้นพอพูดเสร็จ ก็เอามือวางที่หัวของผมทีนึง เจ้าตัวก็เดินออกไปจากห้องทันที เมื่อเห็นอีกฝ่ายออกไปแล้วผมก็หยิกแก้มตัวเองเพื่อทดสอบว่าใช่ความฝันไหม

โอ้ย!เจ็บ...

ไม่ใช่ความฝันด้วย!

ความรู้สึกดีใจค่อยๆเอ่อล้นออกมาจากภายใน

ไม่น่าเชื่อ ผมกำลังจะได้ไปเดตกับพี่เซฟ!!!

ผมที่เก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่รีบตรงดิ่งเข้าไปล้างหน้า หวังจะให้ความร้อนบนใบหน้าลดลงบ้าง ตอนนี้ดีใจมากเลย! ทั้งมีความสุข ทั้งอาย!!
ผมมองหน้าตัวเองในกระจกที่อ่างล้างหน้า มันแดงมาก หน้าผมแดงเสียจนนึกว่าเป็นไข้


กลับมา ณ ปัจจุบัน เพราะตื่นเต้นมากผมก็เลยนอนไม่หลับทั้งคืน ดีนะที่ยังไม่ได้เอาครีมไปคืนเต้ ครีมมันนี่ใช้ดีจริงๆ ขนาดเมื่อวานนอนไม่หลับ ตื่นมาหน้ายังผุดผ่องราวกับนอนเต็มอิ่ม

บ่ายสองแล้ว!

“มึงมาตั้งแต่กี่โมง” เสียงเย็นเยือกดังมาจากข้างหลังผม เขามาตรงเวลามากเลยนะเนี่ย เมื่อผมหันไปมองก็เห็นเขาอยู่ในชุดแบบสบายๆ แต่ทว่ามันกลับทำให้เขานั้นดูดียิ่งกว่าในชุดนักศึกษาประมาณพันเท่า (คนอื่นมองไงไม่รู้ผมเห็นแบบนี้อ่ะ)

“กี่โมงก็ช่างเถอะ มาถึงแล้วก็ป่ะ กูร้อน” ผมพยายามเบี่ยงประเด็น ร้อนเพราะอากาศเมืองไทยด้วย ร้อนเพราะความรู้สึกผมเองด้วย...หล่อมากเลยครับพี่เซฟ


จากนั้นพวกผมก็เดินเข้ามาด้านใน

อืม ว่าไงดีนี่เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมมาที่นี่  ตอนแรกที่มาถึงผมถึงกับอึ้ง ไม่คิดว่ามันจะกว้างใหญ่ไพศาลได้ขนาดนี้ แล้วยิ่งพอเข้ามาด้านในผมถึงกับอดอุทานไม่ไหว

“โห โครตกว้างงง” ผมมองไปรอบๆด้วยสายตาเป็นประกาย มนุษย์สามารถสร้างของยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้เลย สุดยอดจริงๆ!
 
“มึงพึ่งเคยมาสิท่า” รุ่นพี่พูดพร้อมกับมองมาทางผม แต่มันไม่ใช่สายตาเหยียดหยามเหมือนที่ผมเคยได้รับแต่อย่างใด มันเป็นสายตาที่ดูประหลาดใจนิดๆมากกว่า

มันทำให้ผมอบอุ่นใจนิดหน่อย เพราะตัวจริงๆของผมก็คือเด็กบ้านนอก นอกจากทุ่งนา ผมก็ไม่ค่อยได้เห็นอะไรแบบนี้หรอก
เอาเป็นว่าช่างมันก่อน ได้มาเปิดหูเปิดตาทั้งที!

“กูพึ่งเคยมาที่นี่แหละ ถ้ามึงไม่ชวนกูก็คงไม่มีโอกาสมาหรอก” ผมมองหน้าพี่เซฟตอบกลับไป ผมเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่จริงๆ ทั้งได้มาที่ใหม่ๆ แถมมากับคนที่ชอบอีก! มีความสุขโครตๆ!

พี่มองหน้าผมที่ทำสายตาเป็นประกาย ก่อนจะถอนหายใจ แล้วเอามือมา..ลูบหัว!

ผมมองหน้าพี่เขาด้วยความประหลาดใจ ทำไมจู่ๆ...ไม่อายบ้างเหรอ

“ที่นี่มันกว้าง ระวังหลง”พี่เซฟพูดพร้อมกับยิ้มบางๆให้ โครตหล่อ โครตดูดี ผมจะละลายเป็นน้ำแล้ว! ผมรีบปัดมือที่พี่เซฟลูบหัวผม ก่อนที่ผมจะเก็บอาการไม่ไหว

“รีบไปซื้อของดีกว่า...” ผมพูดพลางเดินไปด้านหน้าช้าๆ ตอนนี้ผมมีความสุขจะบ้าแล้ว! ผมตอนนี้จะต้องใช้บุญหมดไปแล้วอย่างแน่นอน สงสัยต้องไปวัดบ่อยๆแล้วหลังจากนี้

จากนั้นพี่เซฟก็พาผมเดินไปนู่นนี่ เพราะเหมือนว่าพี่แกจะมาซื้อของใช้ส่วนตัว ซึ่งมันทำให้ผมรู้อย่างนอกจากที่นี่จะกว้างอย่างสิ้นเปลืองแล้ว ของยังโครตแพง!

ผมเวียนหัวตาลายกับราคาของขายที่อยู่ที่นี่ ที่ผมตกใจมากที่สุดคือราคากระเป๋า ใบเล็กๆแค่นั้นราคาเป็นหมื่น บางใบเกือบเหยียบแสน! ถ้าสมมติว่าผมได้มันมานะ ผมจะไม่มีวันหยิบออกมาใช้อย่างแน่นอน!

หลังจากที่รุ่นพี่ซื้อของเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่ก็พาผมไปนั่งในร้านคอฟฟี่ช็อป

“มึงชวนกูมาทำไมอ่ะ ซื้อแค่นี้จริงๆมาคนเดียวก็ได้หนิ” ผมถามรุ่นพี่ เพราะของที่ซื้อก็ไม่ได้มากมายอะไร ความจริงซื้อในเซเว่นก็ได้ แต่พี่แกบ่นๆว่าในเซเว่นไม่มีแบรนด์ที่ใช้อยู่เป็นประจำ ก็เลยต้องระเห็จมาซื้อที่นี่

“มีเพื่อนแล้วจะมาทำไมคนเดียวอีกล่ะ” รุ่นพี่ตอบหน้านิ่งพลางดูดมอคค่าปั่นในมือ คำตอบของรุ่นพี่มันทำให้ผมถึงกับหน้าร้อนผ่าวเลยทีเดียว ให้ตายสิ แต่จะว่าไปรู้ตัวอีกทีก็เข้าเฟรนด์โซนไปแล้วเหรอเรา...

จากนั้นเมื่อกินเสร็จ รุ่นพี่ก็ชวนผมเดินเล่นก่อนกลับ ซึ่งแน่นอนผมย่อมไม่ปฎิเสธอยู่แล้ว บางทีช่วงนี้อาจจะเป็นช่วงที่ดีสำหรับผมก็ได้ เดือนคณะก็ได้เป็น แถมได้สนิทกับคนที่ชอบอีก เกินความคาดหวังมามากแล้ว แม้ว่าพึ่งจะสนิทกันได้ไม่นานก็จริง แต่ความรู้สึกชอบมันก็เพิ่มขึ้นทุกทีๆ ถ้าขืนผมสนิทกับรุ่นพี่ไปมากกว่านี้ ผมอาจจะทำให้พี่เขารู้สึกอึดอัด นั่นมันไม่ใช่ที่ผมต้องการ

ผมยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนเดินตามหลังร่างใหญ่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เอาเถอะ ไม่ต้องเศร้าไป ไว้ตอนไปค่ายเราจะหาโอกาสบอกชอบรุ่นพี่ ถึงแม้ว่าตอนจบอาจจะไม่งดงาม ถึงแม้ว่าตอนจบเราอาจจะต้องหลบหน้าคนๆนี้ไป เราก็คงไม่เสียใจอีกแล้ว เพราะงั้นอย่างน้อยตอนนี้ขอเก็บความสุขเอาไว้ให้มากที่สุดก่อนแล้วกัน

อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดแล้วล่ะ!

[จบพาร์ทข้าว]


“เห้ย มึงโกรธอะไรกูเนี่ย” เสียงไอนิลไล่หลังผมมา

“เปล่าไม่ได้เป็นไร!” ผมตอบกลับไป แม้ว่าจริงๆแล้วผมจะรู้สึกเจ็บปวดนิดหน่อยก็ตาม นี่ผมเป็นอะไรไปเนี่ย! นี่มันไม่ใช่ตัวผมเองเลยนะ!


เรื่องมันเกิดในช่วงก่อนผมเลิกงานประมาณชั่วโมงนึงได้

ตอนนั้นผมก็ทำงานไปตามปกติ พร้อมกับสายตาของไอนิลที่จ้องมองผมมา ซึ่งตอนแรกๆผมโครตอึดอัด แต่พอผ่านไปได้สักสองชั่วโมงก็เริ่มจะชิน จนผมแทบจะเลิกสนใจไปแล้ว

ต่อจากนั้นคนที่ผมไม่ได้คาดคิดก็ปรากฏตัว แม้มันจะบังเอิญจนน่าเหลือเชื่อ แต่ยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว

‘แอปเปิ้ล’ หล่อนมาที่คาเฟ่แห่งนี้

“อ้าว นั่นนิลนี่นา ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะอยู่ที่นี่บังเอิญจังเลยเนอะ” ทันทีที่เข้ามาในร้าน ผมยังไม่ทันกล่าวต้อนรับ แอปเปิ้ลก็ส่งเสียงทักทายไอนิลก่อน เหมือนรู้ว่านิลมา และนั่งอยู่ตรงไหนของร้าน

ช่างบังเอิญอะไรแบบนี้!! (ไม่ได้ประชดแต่อย่างใดเลยย ฮึ่มมม)

และหลังจากนั้นนอกจากว่าคุณเธอจะไม่ได้สั่งอะไรกินแล้ว ยังไปกระหนุงกระหนิงกับนิลอีก กระหนุงกระหนิงไม่พอ ยังเสียงดังจนลูกค้าหลายท่านมาขอให้ผมไปตักเตือน ซึ่งพอไปเตือนแล้วก็เงียบได้ราวๆสิบนาทีก็ดังอีก!

ซึ่งในที่สุดผู้จัดการก็ต้องลงมือด้วยตัวเอง  สุดท้ายก็นั่งอย่างสงบจนได้ ผมถึงกับต้องปรบมือให้กับผู้จัดการเลยทีเดียว

พอเงียบแล้วผมก็ได้ทำงานอย่างสงบ จนใกล้เวลาจะเลิกงาน ซึ่งผมก็ดันไปเห็นพอดี ภาพที่นิลกับแอปเปิ้ล คุยกันอย่างสนิทสนม แม้ว่านิลจะไม่ได้หัวเราะ แต่ก็มีรอยยิ้มบางๆ แอปเปิ้ลก็ดูมีความสุข ราวกับเป็นภาพของคนรัก

ถ้าเป็นผมตามปกติ ผมคงจะต้องแอบไปเซอร์วิสให้แล้ว เพราะตัวผมเองก็ชอบเห็นคนรักกัน มันทำให้ผมมีความสุข แต่ไม่รู้ทำไม คู่นี้มันถึงทำให้ผมรู้สึกแย่เวลาที่ผมมอง

เพราะผมไม่ชอบขี้หน้าแอปเปิ้ลหรือเปล่า? หรือเพราะว่าผมชอบ...นิล?
 

สุดท้ายจนถึงเวลาเลิกงาน ผมควรจะไปบอกนิลว่า ‘กูเสร็จแล้วกลับได้’ โดยไม่ต้องใส่ใจยัยแอ๊บคนน่าหมั่นไส้ แต่พอเห็นภาพนั้นแล้ว ผมก็รู้สึกว่าไม่ควรไปขัด

นี่สินะ ‘ถ่านไฟเก่า’ ผมยิ้มอย่างอึดอัด ขณะเปลี่ยนเสื้อผ้า เอาจริงๆผมกับมันก็เป็นแค่เพื่อนกัน แถมยังไม่นานด้วย จะไปอะไรกับสองคนนั้นนักหนา!

แต่ตอนนี้ผมไม่กล้าพอที่จะเดินไปหาสองคนนั้น

ท้ายที่สุดผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ แล้วก็แอบย่องๆออกมาเนี่ยแหละ แต่ไอข้าว หมาตัวดีมันดันเห่าเรียกผม นิลเลยรู้ว่าผมกำลังกลับบ้าน ผมก็เลยกะจะแถๆไปว่ากำลังจะกลับเลยนะ อะไรแบบนี้ แต่พอหันกลับมาก็ดันเห็นยัยแอ๊บเดินตามมาติดๆด้วย

เพราะงั้นตอนนี้ผมที่กำลังหงุดหงิดใจกับตัวเองก็เลยเดินหนีมัน โดยที่แอปเปิ้ลเดินเกาะแขนนิลอยู่เนี่ยแหละ

“ทิวา เธอเป็นไรอ่ะ หืมมม” แม้ตอนนี้ผมจะไม่ได้เห็นหน้าคนพูด แต่ผมก็รู้ว่ายัยแอ๊บกำลังทำหน้าเยาะเย้ยผมอยู่อย่างแน่นอน

“เปล่า! อย่าเซ้าซี้น่า อุตส่าห์ไม่เป็นก้างแล้วยังจะอะไรอีกห๊ะ อยากจะหนุงหนิงกันก็ตามสบาย กูจะกลับห้อง!” ผมพูดใส่ไปอย่างหัวเสีย

“นิล เขาพูดแบบนั้นอ่ะ งั้นเธอไปซื้อของเป็นเพื่อนเราหน่อยเร็ว” ฮึ่มม ยัยแอ๊บ อย่าให้มีโอกาสนะ กูจะแก้แค้นให้แสบทรวง!

จากนั้นผมก็ไม่สนใจอะไร รีบวิ่งขึ้นมาชั้นหกอย่างรวดเร็ว

ซึ่งมันก็ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า โครตเหนื่อย กูจะวิ่งทำไม...เดินก็เหนื่อยแทบจะคลานอยู่แล้ว นี่วิ่ง จะบ้าตายแล้วผมก็เข้าไปในห้องนอนพักเหนื่อยอยู่บนเตียง

จากนั้นผมก็คิดได้อีกอย่าง ลืมครีมกันแดด...อย่าบอกนะว่าต้องเดินลงไปซื้ออีกรอบ

เพราะไอเชี่ยนิลตัวเดียว!!!

ซึ่งพอผมเอาชนะความขี้เกียจ กับความรู้สึกแย่ๆได้ ผมก็เปิดประตูออกจากห้องเตรียมตัวไปซื้อครีมกันแดดอีกครั้ง ซึ่งบังเอิญกับที่มีคนวิ่งขึ้นมาพอดี ไอนิลนั่นเอง

ผมเดินผ่านมันไปโดยไม่สนใจ แหม ผมไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยหรอก แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่จะอภัยใครง่ายๆเหมือนกัน ทิ้งเพื่อนไปหาคนอื่นแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน!

แต่ก่อนที่ผมจะเดินลงบันไดไป ตัวผมก็ลอยขึ้น แล้วรู้ตัวอีกทีผมก็กลับมาอยู่ในห้องอีกครั้ง

“นี่อุ้มกูมาไมเนี่ย กูจะไปซื้อของ!” ผมบ่นใส่คนที่ตัวสูงกว่า มันดูละครมากไปป่ะ คุยไม่รู้เรื่องเอะอะเป็นอุ้ม ดีนะแค่อุ้มไม่ใช่จูบ

“คุยให้รู้เรื่องก่อน” มันมองหน้าผมนิ่งๆ สายตามันดูหวั่นไหวชัดเจนมาก หรือมันจะรู้สึกผิดจริงๆ

“ไปซื้อของเสร็จแล้วหรือไง เร็วจังนะ” พอผมเห็นสายตามันจากตอนแรกที่กะจะด่าอีกซักสตอรี่ ก็ใจอ่อนแบบนี้แหละ

“ไม่ได้ไป”
“อ้าว แล้วทำไมขึ้นมาช้า”

“ก็คุยกับแอปเปิ้ลอยู่” โอ้โห ตอบตรงไปอี๊ก ควรโกรธดีไหมวะเนี่ย

“อ่า งั้นก็เอาเถอะ กูไม่ได้โกรธแล้ว ไม่ต้องคิดมาก กูไปซื้อของก่อนนะ” ผมที่หมดอารมณ์ที่จะโกรธหลังจากเห็นสายตาหมาหงอยของมัน แถมไหนๆมันก็บอกว่าไม่ได้ไป ผมก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกรธมันต่อ

“เดี๋ยว ก็บอกว่าไม่ได้โกรธแล้วไง จะจับมือกูทำซากไรเนี่ย!” ผมมองหน้ามันงงๆ

“ที่คุยที่คาเฟ่ แอปเปิ้ลมันบอกว่ารู้ว่ากูชอบมึง ก็เลยแกล้งมึงให้หึงเล่น เพราะอยากรู้ว่ามึงชอบกูเหมือนกันไหม”

อะไรนะ...? ผมที่ได้ยินคำพูดของไอนิลถึงกับไปต่อไม่ถูกเลย

หมายความว่ายังไง...?
 




ออฟไลน์ angelnan

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-5
ทิวาแกล้งโกรธเลย ไอ้นิลจะได้รู้สึก

ออฟไลน์ Kengpnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ออกเดินทาง

‘ที่คุยที่คาเฟ่ แอปเปิ้ลมันบอกว่ารู้ว่ากูชอบมึง ก็เลยแกล้งมึงให้หึงเล่น เพราะอยากรู้ว่ามึงชอบกูเหมือนกันไหม’

‘แอปเปิ้ลมันบอกว่ารู้ว่ากูชอบมึง’

‘กูชอบมึง’

ตั้งแต่ตอนนั้นที่มันพูดให้ผมฟัง ผมก็ไม่ได้คุยกับมันอีกเลย ไม่รู้ว่าผมเขินหรืออะไรกันแน่ 

เพราะหลังจากที่มันพูดเสร็จ ผมกับมันก็อ้ำๆอึ้งๆกันอยู่นานสองนาน ผมเลยตัดสินใจรีบแจ้นออกไปซื้อครีม พอกลับมาถึงห้อง ไอนิลก็เข้านอนไปแล้ว ผมก็เลยตัดสินใจอาบน้ำนอนเลยเหมือนกัน

ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะยังนอนไม่หลับก็ตามเถอะ เพราะมันพึ่งจะสองทุ่มเอง!!

ผมมาลองวิเคราะห์สิ่งที่มันพูดอีกที เหมือนว่าแอปเปิ้ลจะลองใจผมมาตลอด แล้วคือที่คุยกันที่คาเฟ่จนผมคิดไปมากมายมหาศาลขนาดนั้น คือคุยเรื่องของผม ที่แอปเปิ้ลชวนนิลไปซื้อของก็แค่แกล้งผมเหมือนกันงั้นหรอ

ไม่อยากจะเชื่อเลย! นอกจากเรื่องของแอปเปิ้ล ก็มีเรื่องที่มันบอกชอบผมซึ่งๆหน้าเนี่ยแหละ! แถมยังบอกหน้าตายอีก แล้วใครจะเชื่อลงฟะ! ถึงผมไม่คิดว่ามันจะเอาเรื่องพวกนี้มาล้อเล่นก็เถอะ แต่ก็เชื่อยากอยู่ดี

แต่เรื่องที่ผมไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่า

‘ตัวผมก็ชอบไอนิลเหมือนกัน’ นั่นเป็นสิ่งที่บอกเป็นนัยจากที่แอปเปิ้ลฝากนิลบอกผม เพราะถ้าแอปเปิ้ลจะทดสอบให้ผมหึงจริงๆล่ะก็ ผมก็หึงมันไปแล้ว หึงไปเต็มๆด้วย

แล้วทั้งๆที่ทุกอย่างเป็นใจขนาดนี้ ทำไมผมถึงไม่รับรักมันเหรอ เหตุผลน่ะมันมี แต่ถ้าพูดง่ายๆก็ ‘กลัว’

ผมกลัวจะเจ็บปวด ผมไม่อยากจะเชื่อในอำนาจของรักแรกพบ ผมไม่คิดว่าการชอบกันทั้งๆที่รู้จักกันยังไม่นานมันจะทำให้อยู่ได้นานอย่างมีความสุข

เพราะงั้นผมก็เลยเลือกที่พยายามจะไม่สนใจในคำพูดแบบที่มองก็รู้ว่าจีบมาตลอด

แต่ทั้งๆแบบนั้นมันก็ยังไม่ยอมลดละที่จะแสดงความรู้สึกของมัน

ใครจะบ้าเท่ามันอีก...

“นอนดึกเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ตื่นไม่ไหวหรอก”

เฮือกกก!!!

เสียงพูดเนิบๆดังมาจากข้างๆผม มันยังไม่หลับเหรอเนี่ย แล้วมันรู้ได้ไงว่าผมยังไม่ได้หลับ!

“มึงไม่ต้องคิดมากหรอก กูไม่สนใจหรอกว่าจริงๆมึงจะคิดยังไงกับกู  มึงเป็นแบบที่มึงเป็นไปเถอะ กูพอใจในสถานะตอนนี้อยู่แล้ว”

จากนั้นมันก็เงียบไป หวังว่าคราวนี้มันจะหลับจริงๆแล้วนะ ไม่งั้นมันก็คงคิดว่าผมหลับไปแล้วมากกว่า แต่มันพูดมาแบบนั้น...

เพราะงี้ไงกูถึงได้ทั้งชอบทั้งเกลียดมึงไปพร้อมๆกัน พูดแบบนี้จะไม่ให้คิดมากได้ยังไงล่ะ

ช่วยทำตัวเลวๆหน่อยไม่ได้หรือไง อย่างงี้ก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีอ่ะสิ


จากนั้นก็ถึงเวลาไปค่าย

ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้า ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกก็คือผมยังไม่ได้นอนเลยมากกว่า เจอเรื่องแบบนั้นไปเล่นเอาคิดมากทั้งคืน

เฮ้อ...เดี๋ยวไปหลับบนรถแล้วกัน

รถออกหกโมงครึ่ง อยากรู้จริงๆว่าจะไปไหน ให้ตื่นแต่เช้าเลยเนี่ย!

ขณะตอนขนกระเป๋าไปที่นัดรวม บรรยากาศตอนเช้าตรู่ปกติผมก็ไม่ชอบอยู่แล้ว ยิ่งเจอความอึดอัดระหว่างผมกับนิลอีก...อยากชวนคุยแต่พูดไม่ออก

ผมควรจะพูดอะไรดีไหมนะ หรือว่าควรจะปล่อยเลยตามเลย 

“มือสั่นแล้ว ถือไหวไหม” ไอนิลหันมามองผม

ก็สั่นเพราะมึงนั่นแหละ! กดดันกันเกินไปแล้วนะเว้ย!! แล้วทำไมมึงถึงพูดราวกับเมื่อวานไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยวะ!

จากนั้นเมื่อมันเห็นผมที่กำลังทำหน้าเลิกลั่กเพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามมันไปไงดี มันก็คว้ากระเป๋าผมไปถือเลย

คนดีอีกแล้ว...หน้าตาแบดบอย นิสัยโครตเทพบุตร คนอะไรวะหาจุดด่าไม่ได้เลย

อ่อ ยังมีเรื่องหน้าตายนี่หว่า

“ขอบใจนะ” ผมเงยหน้ายิ้มไปให้มัน

ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองไหมนะ แต่เหมือนนิลจะหน้าแดงหน่อยๆ มันเขินผมเหรอ...?

ไม่อ่ะ ไม่มีทางหรอก


แล้วก็ได้เวลาขึ้นรถทัวร์

“เอาค่อยๆขึ้นนะคะน้องๆ อย่าแย่งกัน ใครที่จำไม่ได้ว่าตัวเองขึ้นคันไหนให้มาดูรายชื่อกับพี่เลยนะคะ”

ผมขึ้นคันที่สอง ซึ่งมันช่างบังเอิญว่าไอนิล ไอข้าว ก็ดันมาอยู่คันเดียวกับผม แถมด้วยพี่ประจำรถที่คอยดูแลก็มีพี่เซฟเป็นหนึ่งในนั้น
บางทีผมก็แอบสงสัยว่าช่วงนี้ทำไมผมเจอแต่เรื่องบังเอิญนะ 

เพราะไม่ใช่แค่กลุ่มเพื่อนที่ผมรู้จัก แอปเปิ้ล กับทราย ก็อยู่ในรถคันที่สองด้วย!

เมื่อผมเอาสัมภาระไปเก็บไว้ที่ช่องเก็บสัมภาระของรถแล้ว ผมก็รีบขึ้นรถ เพื่อไปจองที่นั่งที่ดีที่สุดสำหรับผม รถทัวร์คันนี้เป็นรถทัวร์แบบสองชั้น เพราะฉะนั้นที่ๆไม่ต้องเสวนากับใครคนอื่นมากนัก ก็คือชั้นสองด้านหน้าสุดริมหน้าต่าง

“กูนั่งด้วย” ไอนิลที่เดินขึ้นรถตามหลังผมมา ก็นั่งข้างผมทันทีที่พูดเสร็จ

อืม...เอาเถอะ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่ตอนนี้เป้าหมายของผมคือ ‘การนอน’

ผมล้าจะตายอยู่แล้ว โครตง่วง แถมตอนนี้ผมค่อนข้างสบายใจกว่าเมื่อคืนเยอะ เพราะนิลยังคงทำตัวปกติ เพราะงั้นตอนนี้ผมขอนอนก่อนแล้วกัน

ผมเอาหัวพิงกระจก ก่อนจะค่อยๆเริ่มหลับตาลง แต่ว่าคนข้างๆก็เอามือสะกิดผมรัวๆ

“ว่า...?” ผมพูดเสียงเนือยๆเพราะความง่วง

สิ่งที่ผมเห็นก็คือนิลเอามือแตะๆที่ไหล่ของมัน

...? ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจหรอก แต่เพราะนึกๆสักพักผมก็รู้สิ่งที่มันจะสื่อ

“พ่องสิ”

ใครจะเอาหัวไปพิงไหล่มันวะ ไอบ้า!

จากนั้นรถทัวร์ก็ค่อยๆออก บนรถทัวร์ที่สั่นเบาๆ มันทำให้ผมรู้สึกนอนอยู่บนเปลที่กำลังไกว ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะหลับไป

[พาร์ทนิล]

ตอนนี้ผมไม่รู้เหมือนกันว่าจริงๆแล้วตอนนี้ผมรู้สึกยังไงกันแน่ เพราะเมื่อวานผมได้ทำสิ่งที่คล้ายๆการสารภาพรัก

ผมอาจจะแค่ชอบมันข้างเดียวก็ได้ เพราะดูเจ้านั่นจะกระอั่กกระอ่วนมากหลังจากที่ผมพูดออกไป  ผมเลยเกือบจะตัดใจไปแล้ว

แต่ผมก็ลองเสี่ยงชวนมันคุยแบบปกติ เจ้าทิวามันก็คุยกับผมแบบปกติเหมือนกัน ทั้งยังดูดีใจเสียอีก

เพราะงั้นผมก็เลยมีความหวังนิดหน่อย ว่าผมสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปได้

ผมน่ะชอบมันจริงๆ ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็มั่นใจขึ้นเรื่อยๆว่าไม่ใช่แค่ชอบ แต่เป็นรักผมรักในตัวของเจ้านี่จริงๆ มันอาจจะรวดเร็วเกินกว่าจะยืนยัน แต่ผมเชื่อมาเสมอว่ารักไม่ต้องการเหตุผล คนมันจะรักมันก็รักเองนั่นแหละ เพราะงั้นผมถึงไม่อายที่จะแสดงความรู้สึกให้มันรู้

ผมอยากรู้จริงๆว่ามันคิดยังไงกับผมกันแน่ เพราะสิ่งที่เจ้านี่ทำกับผมมันยากที่จะบอกว่ามันคิดยังไงกับผม เพราะแต่ละการกระทำมันทำให้ผมคิดไปเองเสมอเลยว่ามันก็ชอบผมเช่นกัน จนผมเริ่มสับสนว่าเนื้อแท้ของทิวาอาจจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า

แต่อย่างไรก็ตามถ้ามีโอกาส ผมก็จะลองยืนยันความรู้สึกของมันดู และจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าครั้งนี้ผลยังเป็นความอึดอัดอีก ผมก็จะตัดใจ แล้วอยู่แบบนี้ต่อไป

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมีความรัก เพราะงั้นผมก็จะไม่โวยวายถ้าสุดท้ายมันจะจบแบบนั้น

ผมหันไปมองคนตัวเล็กที่นอนหลับโดยเอาหัวพิงกระจกเอาไว้อยู่ ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะนี่มันก็เช้ามาก ทำให้คนส่วนใหญ่บนรถเลือกที่จะนอนพักผ่อนเอาแรงกัน

มีแต่ผมที่เมื่อวานหลับไปตั้งแต่ประมาณสามทุ่ม ทำให้เช้านี้ผมไม่ง่วงเลยแม้แต่น้อย

จะว่าไปแล้วสิ่งที่แอปเปิ้ลพูดกับผมก่อนขึ้นห้องมันก็ทำให้ผมค่อนข้างมีความหวังมากเลยทีเดียว

‘ทิวามันหึงแกอ่ะ ดูดิแค่ฉันไปคุยเล่นกะแกหน่อยเดียว ก็เดินหนีขึ้นห้องไปแล้ว’

ผมที่ได้ยินแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงดีใจทั้งนั้นแหละครับ คนที่เราชอบหึงเราเนี่ย แต่ผมก็พยายามเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี

จากนั้นผมก็นั่งเหม่อมองวิวทิวทัศน์ข้างทางไปสักพัก ไอทิวาก็เอียงคอมาพิงไหล่ผม

ตอนแรกผมตกใจมาก กะว่าจะปลุกแล้วด้วยซ้ำ แต่คิดไปคิดมาผมก็...รู้สึกดีไม่ใช่น้อย

ลมหายใจของมันรดมาที่เนินไหล่ของผม แม้จะมีเสื้อกั้นไว้อยู่ แต่ผมก็รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆอยู่ดี

ผมค่อยๆเหลือบตามองคนตัวเล็กที่ตอนนี้กำลังนอนพิงไหล่ผมด้วยท่าทางสบายสุดขีด

หน้าตามันช่างน่ารักเสียจนผมอยากจะอุ้มขึ้นมานั่งบนตัก แต่ผมก็ต้องอดทนเอาไว้ก่อน ผมค่อยๆเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าของคนที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ข้างๆ

ผมค่อยๆลูบใบหน้าไล้ลงมาจนถึงริมฝีปาก ปากของเจ้าตัวเล็กมันนุ่มและสีชมพูจางๆ

‘อยากจูบ’ ความคิดแปลกๆก็ค่อยๆพรั่งพรูเข้ามาในหัว

ไม่ไหว ผมอดทนไม่ไหวแล้ว

ผมค่อยๆก้มหน้าไปหาคนตัวเล็กๆช้าๆ เพราะกลัวคนข้างๆจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน  แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรไปก็มีเสียงคนขัดขึ้นมา

“ทำแบบนี้บนรถมันไม่ดีนา”

ผมหันกลับไปมองทางต้นเสียงในทันที

คนพูดคือคนที่เป็นเดือนมหา’ลัย คนๆนี้นั่งอยู่เบาะด้านหลังผม และนั่งอยู่ข้างๆเชี่ยข้าวที่กำลังหลับอยู่เหมือนกัน

เขากำลังยืดตัวขึ้นมามองผมและทิวา ดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายแสดงถึงความสนุกอย่างชัดเจน

ถ้าผมจำไม่ผิดคนนี้คือคนที่เชี่ยข้าวชอบใช่ไหมนะ...

“อย่ามองด้วยสีหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิ พี่ก็แค่เตือนเฉยๆ”

ผมเงียบ ผมไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรกับเขา

“น้องชอบเต้มันใช่ม่ะ”

!!!

“จะใช่ไม่ใช่ก็ช่างเถอะ ไปดูแลคนข้างๆดีกว่ามั้ง” ผมพยายามเบี่ยงประเด็น ผมไม่สนใจหรอกว่าเขารู้ได้ไง แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องบอกเขาเช่นกันว่าใช่ไม่ใช่

ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ทำสีหน้าประหลาดใจนิดหน่อยแล้วก็กลับไปนั่งเหมือนเดิม 

สุดท้ายต่อจากนั้นผมก็ไม่ได้ทำอะไรทิวามันอีก ได้แค่มองมันจนมาถึงจุดพักรถ เพราะมันก็จริงที่ว่าถ้าผมทำอะไรมันไป เกิดมันรู้ขึ้นมามันอาจจะโกรธ หรือถ้ามีคนเห็นเข้าทิวาจะเดือดร้อนเพราะข่าวลือ ผมไม่อยากให้เป็นแบบนั้น

เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้อยู่ใกล้วิวที่งดงามที่สุดแล้ว

[จบพาร์ทนิล]

“ทิวา”

“ทิวา”

ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆตามเสียงเรียก ผมส่งเสียงอืออาในคอเบาๆ แล้วค่อยๆยืดตัวช้าๆ

กระจกรถคันนี้นอนสบายดีจัง กลิ่นก็หอมอ่อนๆด้วย ใช้น้ำยาอะไรเช็ดกระจกนะ

เดี๋ยวนะ กระจกมันสัมผัสแบบนี้เหรอ?! ผมนั่งตัวตรงคอตรงในทันทีเมื่อพบความผิดปกติ ก่อนจะค่อยๆหันไปมองคนด้านข้างอย่างช้าๆ

อ๊า...ฉิบหายแล้ววว ผมนอนพิงไหล่มันไปจริงๆเหรอเนี่ย!! แถมมีคราบน้ำลายตูอีก!!

“ถึงจุดพักรถแล้ว จะลงไปซื้ออะไรกินไหม หรือจะไปเข้าห้องน้ำ”

เหมือนว่ามันจะยังไม่เห็นคราบน้ำลายใช่ไหม งั้นเนียนๆไปก่อนแล้วกัน

“กูอยากกินกาแฟ เดี๋ยวลงไปซื้อก่อนนะ” ผมทำท่าจะรีบวิ่งแจ้นลงไปจากรถ แต่มันก็ทักผมขึ้นมาก่อน

“เออนี่ มีทิชชู่ไหม จะเช็ดน้ำลายที่เสื้อน่ะ”

“...”


ตอนนี้ผมอยู่ที่คอฟฟี่ชอปแห่งหนึ่งที่จุดพักรถครับ

ผมเดินมากับข้าว แล้วก็นิล ในร้านตอนนี้เต็มไปด้วยเหล่านักศึกษาของคณะผม ผมสูดกลิ่นกาแฟที่ผมชอบเข้าไปจนเต็มปอด

“มึงไม่ต้องคิดมากเรื่องน้ำลายนะ กูไม่เป็นไร”

“อย่าขยี้ได้ไหม!!!” ผมหันไปด่าไอนิลขณะที่กำลังต่อแถวซื้อกาแฟ อุตส่าเกือบจะลืมแล้วเชียว ความอับอายนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน

“มึงเนี่ยนะ ไปหลับที่ไหล่เขา แล้วก็ยังจะทิ้งร่องรอยไว้อีก กลัวคนมานอนต่อหรือไง”

“เงียบไปเลยไอเชี่ยข้าว” ผมด่าไอข้าวที่ต่อแถวอยู่หน้าผมก่อนจะพูดต่อ

“ใจจริงมึงก็อยากพิงไหล่พี่เซฟเหมือนกันนั่นแหละ แค่มึงไม่กล้า อย่าคิดว่ากูไม่รู้” ผมส่งเสียงหึ ใส่มัน

“เบาๆดิ! เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก” มันหันมาทำหน้าโกรธใส่ผม ซึ่งผมก็ทำทีท่าเมินเฉยตอบกลับไป

“ถึงคิวมึงแล้ว ซื้อดิ” ผมสะกิดไอข้าว

“อ่าขอ ลาเต้ปั่นสองแก้วครับ”

“ซื้อไปทำไรสองแก้ว”

“ให้รุ่นพี่”

“โหย ใส่ใจกันสุดเลยอ่า” ผมแซวมันพร้อมกับหัวเราะเบาๆ มันก็ตบกระโหลกผมไปทีนึงก่อนจะถือลาเต้สองแก้วออกจากร้านไปพร้อมกับหน้าแดงๆ

“ขอมอคค่าปั่นสองแก้วครับ” ผมสั่งพนักงาน

“เอาไปทำไรสองแก้ว” คราวนี้คนข้างหลังเป็นฝ่ายถามผม ไอนิลนั่นเอง

“ซื้อให้มึงนั่นแหละ”


จากนั้นเมื่อผมได้มอคค่าปั่นมา ผมก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมกับบอกให้มันตามมา

“ที่กูนอนพิงมึง” ผมยื่นให้มันแก้วนึง พร้อมกับเก็บอาการเขินเอาไว้ 

“แต่--”

“เออ ไม่ต้องคิดมากหรอก กูไม่อยากติดหนี้ใครแค่นั้น” ผมพูดขัดมัน มันอาจจะดูไร้เยื่อใยก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากทำให้อีกฝ่ายเกรงใจล่ะนะ ยังไงก็ถือเป็นคำขอบคุณ (และขอโทษเรื่องน้ำลาย) แต่จะพูดออกไปตรงๆก็กระดากปาก เลยซื้อของให้ดีกว่า

จากนั้นผมก็เดินดูดมอคค่าปั่นมาถึงรถ แต่ก่อนผมจะขึ้นรถ ผมเห็นไอข้าวกับพี่เซฟกำลังยืนคุยกับคนที่น่าจะเป็นคนขับรถ

ผมก็เลยเดินไปหามันพร้อมกับนิล

“มาทำไรอ่ะ” ผมถามไอข้าว

“รุ่นพี่คุยกับคนขับเรื่องเส้นทางอยู่”

จากนั้นประมาณอีกครึ่งนาทีให้หลัง ก็คุยเสร็จ ผมก็เลยสบโอกาสแซวไอข้าวไปเลย

“พี่เซฟลาเต้ปั่นแก้วนั้นอ่ะ กินดีๆนะมีคนซื้อมาให้ด้วยใจแสนบริสุทธิ์” จากนั้นผมก็ไปมองไอข้าวที่เหมือนกำลังทำความเข้าใจกับคำพูดผมอยู่

แต่เมื่อมันเข้าใจแล้วมันก็เลยมาตบกะโหลกผมอีกทีนึง

“โอ้ย ไอห่า กูเจ็บนะ” ผมหันไปมองค้อนใส่ไอข้าวทีนึง ซึ่งมันก็ส่งสายตามาบอกว่ามึงทำตัวเองก่อน ผมก็เลยยิ้มเยาะให้มันไปทีนึง ก่อนจะหันไปคุยกับพี่เซฟที่กำลังหัวเราะให้ข้าวอยู่

“แล้วนี่ถึงไหนแล้ว บอกผมได้ยังว่าจะไปไหน”

“มาได้ครึ่งทางละ ส่วนที่ที่จะไปก็ใบ้ให้ว่าเป็นประตูของภาคใต้”

ประตูของภาคใต้เหรอ...

“ชุมพร?!”

“ปิ๊งป่องงง เก่งมาก ได้เวลาขึ้นรถแล้วเดี๋ยวค่อยคุยกันต่อ พี่ไปเคลียร์กับรุ่นพี่คนอื่นแป๊ปนึง”

จากนั้นพี่เซฟก็เดินไปคุยกับรุ่นพี่คนอื่นๆ ไอข้าวก็ทำท่าลังเลว่าจะตามไปดีไหมอยู่นาน แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ตามไป ผมล่ะกลุ้มใจแทนเพื่อนผมจริงๆ มันจะสมหวังไหมวะเนี่ย

จากนั้นผมก็ขึ้นมานั่งคิดบนรถ ไปชุมพรเลยเหรอ ไกลมากเลยนะเนี่ย...แต่จะว่าไป จังหวัดมีเยอะแยะ ทำไมต้องชุมพร เดี๋ยวถ้าไม่ลืมค่อยถามพี่เซฟแล้วกัน

ผมนั่งเล่นโทรศัพท์ดื่มมอคค่าปั่นไปจนกระทั่งพี่เซฟขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับสัญญาณออกรถ

“เออ พี่เซฟ ทำไมต้องมาชุมพรอ่ะ” ผมหันไปถามคนข้างหลัง

“ก็จับสลากเอาอ่ะ จับได้จังหวัดชุมพรก็เลยมา”

เป็นคำตอบที่...อืม ไม่รู้จะด่าดีไหม สุดท้ายผมก็ขี้เกียจซักไซ้ต่อเลยไม่สนใจแล้วว่าจะมาทำไม เขาให้มาก็มาแค่นั้นก็พอ

จากนั้นผมก็เลยนั่งมองวิวข้างทางอย่างสงบๆ จากนั้นสักพักผมก็สังเกตได้ว่าไอนิลมันนั่งนิ่งๆมาระยะนึงแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

จนกระทั่ง

ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆมารดต้นคอใกล้ๆ ผมก็เลยหันหน้าไปดู ไอนิลนั่นเอง...มันเอาหน้ามาใกล้ผมเสียจนใกล้จะโดนปากกันอยู่แล้ว จากนั้นมันก็เอาหน้ามาซุกข้างๆคอผม

เห้ย...เล่นอะไรเกินไปไหมเนี่ย คนเยอะแยะ

ทันทีที่ผมกำลังจะด่ามัน ผมก็สังเกตบางอย่างแปลกๆได้

เมื่อกี้ตามันดูลอยๆเหม่อๆกว่าปกตินิดหน่อย...

“มึงเป็นอะไรเปล่า” ผมจับไหล่มัน เพื่อที่จะยกหน้ามันขึ้นมาดูอีกครั้ง

มันยังไม่ทันได้ตอบ ก็มีเสียงเจือยแจ้วของผู้หญิงดังมา

“ว้าย ตายแล้วทิวาจะทำอะไรนิลคะเนี่ย?!” ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ยัยแอ๊ปเดินมาด้านหน้ารถ พร้อมกับมีคนเดินตามหลังมา ถ้าจำไม่ผิดดาวคณะคนใหม่นี่...ชื่อทรายใช่ไหมนะ

“นี่ใช้ตาตุ่มดูหรือไงห๊ะ เห็นๆอยู่ว่าไอนิลมันเป็นคนทำ” ผมหันไปทำตาขวางใส่ยัยแอ๊บ ซึ่งดูหล่อนท่าทางสนุกมาก เห็นแล้วหงุดหงิด

จากนั้นหล่อนก็กวาดสายตามองตัวผมก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยทีท่าจริงจังขึ้น

“นั่นกาแฟใครเหรอ” เธอชี้ไปทางแก้วกาแฟที่อยู่ใกล้ๆไอนิล

“ของไอนิลไง”  แอปเปิ้ลหน้าถอดสีเล็กน้อยเมื่อได้ยิน

"เมื้อกี้นิลได้ทำอะไรแปลกๆกับนายไปหรือเปล่า"

อะไรแปลกๆเหรอ...ก็ที่เอาหน้าซุกคอผมอยู่ตอนนี้นี่ไง

เอ๊ะ เดี๋ยวนะ ผมว่าผมจับสังเกตอะไรแปลกๆได้แล้ว

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองยัยแอ๊บอีกครั้ง ซึ่งเหมือนเธอกำลังจะบอกว่าสิ่งที่ผมคิดน่ะถูกต้องแล้ว

“ไอนิลเมากาแฟเหรอ...”

----------------------------------------------------------------------------

*อาการเมากาแฟ เกิดจากคาเฟอีนไปกระตุ้นประสาท ซึ่งแต่ละบุคคลทนต่อพิษคาเฟอีนได้ต่างกัน หากผู้ที่ทนได้น้อยก็จะมีอาการกระสับกระส่าย ความคิดและคำพูดสับสน คลื่นไส้ หรือใจสั่นเป็นต้น (หากข้อมูลผิดพลาดสามารถแย้งได้นะครับเพราะตัวผู้เขียนไม่ได้มีความรู้ด้านนี้โดยตรง หาข้อมูลจากในเน็ตเนี่ยแหละครับ แล้วเอามาสรุปเอา)

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นที่ผ่านๆมานะครับ คือคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้คอมเม้นขนาดนี้(พูดเหมือนเยอะ)
ผมไม่ได้น้อยใจอะไรหรอก ตกใจด้วยซ้ำที่มีคนมาเม้น(ตลกตัวเองมาก) สารภาพว่าตอนแรกคิดไว้เลยว่านี่แหละจะเป็นตำนาน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเม้นเลย(ฮา)
ขอบคุณทุกกำลังใจจริงๆครับ ‘w’ แล้วก็ขอบคุณที่อ่านกันด้วยครับ *w*


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2017 13:25:17 โดย BetaCosmos »

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Kengpnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :ling1: :ling1: :ling1:  รอๆๆๆๆมาต่อยาวๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ถึงที่พัก

“ไอนิลเมากาแฟเหรอ…”

“นิลมันกินกาแฟไม่ได้ แต่ทั้งๆที่รู้ตัว ก็ยังจะกิน แต่นิลคงไม่กินเองหรอกถ้าไม่มีใครยัดเยียด” แอปเปิ้ลมองมาทางผมด้วยสายตาคาดโทษ

“มาโทษกันงี้ได้ไง ก็มันกินของมันเอ--” เอ๊ะเดี๋ยวนะ...

ผมย้อนนึกไปตอนส่งกาแฟให้มัน

คำพูดของมันตอนนั้น ‘แต่--’ มันไม่ได้จะสื่อว่าเกรงใจ แต่มันจะพูดว่า ‘แต่กูกินไม่ได้’ สินะ

ผมเหลือบตาไปมองคนที่ตอนนี้เอาหน้าซุกอยู่

ไอบ้าเอ้ย แดกไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนสิวะ ไอโง่!

“อืม...อาจจะใช่ก็ได้” ผมส่งสายตาสำนึกเล็กๆไปหาแอปเปิ้ล ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรมากมายหรอก

ก็มันกินเองนี่!

แอปเปิ้ลมองผมด้วยสายตาเอือมระอา ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ แต่ทว่าเธอก็พูดทิ้งท้ายเอาไว้

“ดูแลมันดีๆแล้วกันนะยะ!”

“วางแผนไว้ใช่มะ ร้ายกาจนะมึงเนี่ย” ไอข้าวยืดหน้าขึ้นมาล้อผม

“แผนป้ามึงสิ กูไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันกินกาแฟไม่ได้”

“น้องเต้ระวังโดนข่มขืนนะ มีถุงเตรียมไว้ยัง” พี่เซฟยืดหน้าขึ้นมาผสมโรงด้วย

“ไร้สาระจริงสองตัวเนี่ย ไปนั่งเล่นจ้ำจี้กันไป!” ผมส่งตาขวางไปให้

“นี่พี่ไง ลาเต้” พี่เซฟพูดพร้อมทำปากยื่นปากยาว แต่ก็ยังคงความดูดีเอาไว้ เกลียดนัก!

ผมที่ขี้เกียจจะต่อล้อต่อเถียงด้วย เพราะต้องจัดการกับคนที่เอาหน้าซุกคอผมไม่เลิกเสียก่อน

อืม..สงสัยจะหลับไปแล้ว ถึงจะเมากาแฟ แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้พร่ำพรรณนาอะไรออกมาเหมือนเมาเหล้า

ผมจัดท่าให้ไอนิลมานอนหนุนตักผมแทน เพราะถ้าให้มันนอนพิงไหล่ผม ผมกลัวว่าคอมันจะเคล็ดไปเสียก่อน ส่วนสูงมันใกล้ๆกันซะที่ไหนล่ะ!!




จากนั้นนิสิตคณะสัตวแพทย์ก็เดินทางมาถึงที่พักในเวลาสี่โมงเย็น

ตอนนี้ผมควรเรียกว่านักท่องเที่ยวดีกว่า เพราะมาเที่ยวกันแบบเห็นๆ ไม่ได้มาศึกษากันเลยแม้แต่น้อย

พอถึงที่ผมก็ได้รับอภิสิทธิ์ให้เข้าห้องพักก่อน เพราะต้องดูแลไอ้คนเมา(กาแฟ)นี่

คนบ้าอะไรวะเมากาแฟ เอาจริงๆไม่ใช่ว่าผมแปลกใจอะไร เพราะแม่ผมก็เป็น แต่ผมแค่ไม่คิดว่าไอ้หน้าหล่อเลวนี่มันจะเมาอะไรแบบนี้ หน้าอย่างมันควรจะเมาเหล้าสิ!!

ห้องพักแห่งนี้อยู่ใกล้ๆกับชายหาด และกรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ เห็นว่าน่าจะปล่อยให้เดินเล่นในวันพรุ่งนี้ ส่วนเย็นวันนี้มีกิจกรรมที่รุ่นพี่เป็นคนจัดให้เฟรชชี่

ถามว่าผมเสียดายไหมที่ไม่ได้เข้าไปร่วม ตอบเลยว่าไม่! ผมโครตสุดแสนจะดีใจที่ไม่ต้องไปเต้นแร้งเต้นกา กับกลุ่มเพื่อน และนี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเต็มใจมาดูแลไอนิลอย่างสุดๆ!

แต่ถ้าเกิดว่าพี่เขาปล่อยให้เป็นเวลาว่างนะเหรอ หึ ดูแลตัวเองแล้วกันนะไอ้นิล!

หลังจากที่ผมเอาผ้าชุบน้ำวางแหมะไว้บนหน้าผากของไอนิล ผมก็เริ่มสำรวจห้องพัก

ห้องพักที่นี่ไม่เลวเลย เป็นเตียงใหญ่สองเตียงสำหรับนอนสี่คน ซึ่งมันก็หมายความว่าห้องพักของผมจะมีแต่กลุ่มคนที่ผมรู้จัก
 
ตอนแรกพี่เซฟก็กะจะไปนอนกับกลุ่มเพื่อนเขานั่นแหละ แต่เหมือนว่าข้าวจะทำหน้าหงอยราวกับหมาที่โดนดุและโดนสั่งอดอาหาร พี่เซฟก็เลยยอมใจอ่อนมานอนด้วยแต่โดยดี ซึ่งมันทำให้ผมแอบคิดเหมือนกันว่า สองคนนี้สนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

แต่เอาเป็นว่าช่างมันก่อน ตอนนี้ผมอยากจะอาบน้ำเต็มแก่ แล้วยิ่งตอนนี้ไม่มีคนอยู่ให้อาย เร็วเท่าความคิดผมก็แจ้นเข้าห้องน้ำไปในทันที

แก้ผ้าอาบน้ำเสร็จสรรพ ผมค่อนข้างถูกใจกับห้องน้ำมากๆ เพราะมีอ่างอาบน้ำยังไงล่ะ!! และเหนือจากอ่างขึ้นไปก็มีฝักบัว หมายความว่าจะเลือกอาบแค่ฝักบัว หรือแช่น้ำอุ่นๆพร้อมกับเปิดน้ำจากฝักบัวก็ย่อมได้!

แต่ตอนนี้ผมต้องรีบไปดูแลคนป่วยเสียก่อน ผมก็เลยได้แค่อาบน้ำจากฝักบัวธรรมดาๆ

เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำในสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ผมก็เดินมุ่งหน้าไปทางสัมภาระของตัวเองเพื่อจะหยิบเสื้อผ้าสำหรับใส่

“อือออ” เสียงครางในลำคอดังมาจากคนที่นอนอยู่

ไอนิลรู้สึกตัวแล้วสินะ

“เป็นไงบ้าง หิวน้ำเปล่า มึงหลับมาตั้งหลายชั่วโมงแหนะ” ผมหยิบน้ำที่อยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไปให้คนที่ยังนอนซมอยู่บนเตียง

“เฮ้ย ไหวไหม” ผมจับไหล่ของคนที่นอนอยู่ เพราะสีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่

จากนั้นผมก็โดนคนที่นอนอยู่จับข้อมือ พร้อมกับดึงผมลงไป ตอนนี้ผมนอนอยู่ที่เตียงและมีคนคร่อมผมไว้อยู่ด้านบน

ผ้าชุบน้ำที่วางไว้บนหน้าผากของมันหล่นลงมาที่หน้าอกของผม...เฮ้ย ตอนนี้ผมมีแค่ผ้าเช็ดตัวนี่หว่า ลืมไปเลย!

“ไอนิลมึงจะทำอะไร” ผมมองมันด้วยสายตาหวาดระแวงเล็กๆ ตอนนี้ข้อมือของผมทั้งสองข้างถูกคนตรงหน้าจับขึงเอาไว้

สภาพตอนนี้ถ้ามีคนมาเห็นเข้าล่ะมึงเอ้ย...จบชีวิตแน่ๆ คนนึงก็แทบจะโป๊ อีกคนก็ขั้นคร่อม เออดี!

“เฮ้ย สติอยู่เปล่า” ผมพยายามเรียกเตือนสติมัน มันยังเบลอๆอยู่แน่ๆเลย ผมพยายามมองหน้ามันดีๆอีกครั้ง

เอ๊ะ...

ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นล่ะ...

สีหน้าของมันดูเจ็บปวดมาก แววตาดูเหมือนกับกำลังฝืนอะไรบางอย่างอยู่ มันจ้องมาที่ผม และใบหน้าของมันก็ใกล้ผมเสียจนผมสามารถเห็นหน้าตัวเองในตาของมันได้

ผมพูดกับมันด้วยเสียงแผ่วๆ “มึงเป็นอะไรหรือเปล่า ถ้ามีอะไรก็ปรึกษากูได้นะ” ผมไม่ได้เป็นคนที่ให้คำปรึกษาดีนักหรอก แต่ผมก็สามารถเป็นผู้ฟังที่ดีได้ อย่างน้อยผมก็อยากจะช่วยเพื่อนคนนี้สักหน่อย

“มึงไม่รู้ตัวหรือไงว่ามึงมันน่ากอดขนาดไหน!”

“ห๊ะ...?”

“มึงไม่รู้ตัวหรือไงว่ามึงแทบจะทำให้กูเป็นบ้าอยู่แล้ว!”

“???” ตอนนี้ผมตามไม่ทันกับสิ่งทีเกิดขึ้นอย่างแรง ว๊อทแฮปเพ็น...

“รู้ทั้งรู้ว่ากูคิดยังไงกับมึง ยังจะกล้าเดินมาหากูในสภาพอย่างงี้อีก!”

เอ๋...สาเหตุมาจากตัวผมเองเหรอเนี่ย!!! ผมรีบเอามือมาปิดบังร่างกายตัวเอง...เออ ไม่ได้นี่หว่า ก็มือผมโดนมันจับล็อกไว้อยู่นี่!!
ผมที่ทำอะไรไม่ได้ได้แต่ปล่อยให้ใบหน้าของตัวเองเริ่มร้อนขึ้นอย่างช้าๆ 

“งั้นมึงก็อย่ามองดิ” ผมเถียงมัน

“มึงชอบกูหรือเปล่า”

เอ๋ ทำไมจู่ๆก็...

ตอนนี้หน้าผมร้อนเต็มสูบแล้ว แต่เพราะคำถามของมันใจผมก็เลยรู้สึกสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ผมควรจะตอบมันไปยังไงดี

“อ๋า...” ตอนนี้ผมกดดันจนน้ำตาค่อยๆรื้นออกมา ผมอยากจะพูดออกไปเหลือเกินว่าชอบ แต่ทำไมเวลาจะพูดออกไปผมถึงได้ต้องคิดถึงอนาคตที่มันยังไม่เกิดตลอดเลยนะ

‘กลัว’ มีเพียงแค่คำๆนี้ อยู่ในใจผม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องกลัวขนาดนี้ แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นผลมาจากหนังเรื่องนึงที่ดูในตอนเด็ก

มันก็นานมาแล้วแต่ว่า....

มันเป็นหนังที่เกี่ยวกับผู้หญิงร่ำรวยคนนึง เธอเป็นผู้หญิงที่งดงาม และเป็นนักเปียโนเล่นอยู่ในร้านบาร์แห่งหนึ่ง เธอได้หลงรักผู้ชายคนหนึ่งเพียงแค่สบตา ในตอนแรกเธอนั้นก็ได้เพียงมองอยู่ห่างๆ ในตอนหลังผู้ชายคนนั้นก็เริ่มเข้ามาทำความรู้จักกับเธอ ซึ่งเธอนั้นก็เชื่อว่ามันเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้เธอและเขาได้รู้จักได้พูดคุยกัน จนสุดท้ายเขาและเธอก็ได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน

ซึ่งสุดท้ายแล้วในตอนจบ ผู้ชายคนนั้นก็ปอกลอกทรัพย์สินที่ผู้หญิงคนนั้นมีจนหมด โดยใช้ความเชื่อใจเป็นเครื่องมือ แถมยังทิ้งลูกเอาไว้ให้เธอเลี้ยงอีก และในท้ายที่สุดของที่สุด ผู้หญิงคนนั้นเกิดคลั่งขึ้นมาลงมือสังหารทั้งครอบครัว แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็จบลง

หลายๆอย่างมันก็ไม่สมเหตุสมผลหรอก แต่ว่าสุดท้ายแล้วหนังเรื่องนี้ก็ได้ทิ้งแผลใจไว้ให้แก่เด็กน้อยคนนึง หรือก็คือผมเนี่ยแหละ
ผมกลัวรักแรกพบไปโดยปริยาย ฉากตอนจบของหนังยังคงติดตราตรึงใจผมเสมอ คนเป็นแม่ฆ่าลูกของตัวเองได้ลงคอเพียงเพราะความรัก


“ทิวา”
ผมสะดุ้งจากภวังค์ความคิดของตน เหมือนว่าสิ่งที่นิลพูดเมื่อสักครู่จะทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่องนั้นขึ้นมา

เอ๊ะ...ทำไมผมรู้สึกตามันพร่าๆนะ

นี่ผมกำลังร้องไห้เหรอ

“กูขอโทษ...ขอโทษที่บังคับมึงเกินไป อย่าโกรธกูนะ กูจะไม่ทำอีกแล้ว” มันปล่อยแขนของผมแล้วยกตัวผมขึ้นมากอด
ทำไมผมถึงได้ร้องไห้ล่ะ แค่แผลใจเปิดเองนะ...หรือเพราะว่าบางที...

ผมอาจจะกำลังโกรธตัวเองที่รับรักคนที่ตัวเองรักไม่ได้มากกว่า...



[พาร์ทข้าว]

“ใครแพ้ยืนนน!!” เสียงจากรุ่นพี่สันทนาการดังขึ้น

ตอนนี้ผมกำลังร่วมกิจกรรมที่รุ่นพี่ปีสองปีสามเป็นคนจัดให้อยู่ครับ มันก็เป็นกิจกรรมสันทนาการทั่วๆไป เนี่ยแหละ ซึ่งมันค่อนข้างจะสนุกเลยทีเดียว มันทำให้ผมรู้จักคนอื่นๆมากขึ้น

แต่ที่สำคัญกว่านั้น รุ่นพี่เซฟเป็นพี่สาธิต! การได้เห็นรุ่นพี่เต้นมันช่างทำให้ผมอบอุ่นหัวใจเหลือเกิน คนอะไรก็ไม่รู้ทำอะไรก็ดูดีไปหมดให้ตายสิ

ไม่หลงก็บ้าแล้ว!

“โอเคคราวนี้จับคู่สองคนนะครับ ต้องเป็นคู่ชายหญิงนะ! เดี๋ยวเราจะมาเล่นเกมต่อไปกัน!”

สิ้นเสียงรุ่นสันฯ เหล่าปีหนึ่งก็วุ่นวายกับการหาคู่กันใหญ่ อืม...แล้วผมจะไปหาจากไหนดีล่ะเนี่ย

“เราคู่ด้วยสิ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อผมหันกลับไปดูผมก็ถึงกับอึ้ง

คนที่ไปวอแวกับพี่เซฟบ่อยๆ คนที่พูดขู่ผมในวันที่ผมไปตามสตอร์กเกอร์รุ่นพี่

“อ้าว ทรายนี่เอง อื้ม เอาดิ” ผมยิ้มตอบรับไปแบบฝืนๆ อย่างที่คิด ผมแสร้งยิ้มไม่เป็นจริงๆ

ตอนนี้มีผู้ชายหลายคนในคณะอิจฉาผมอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ เพราะผมก็เป็นเดือนคณะ และทรายก็เป็นดาวคณะ ทำให้ผู้หญิงบางคนพูดออกมาว่าเหมาะกันมาก

ผมไม่ปฎิเสธหรอกนะเรื่องที่ผมหน้าตาดี

มันก็ใช่ แต่ว่ากว่าผมจะมาขนาดนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณพี่เซฟด้วยเหมือนกัน เพราะตอนที่ผมรู้จักพี่เขา(ในเพจมหา’ลัย) ผมยังอยู่ม.6 หัวเกรียนๆแถมอ้วนเตี้ยดำอีกไหนจะหน้าสิว ผมเลยเกิดแรงบันดาลใจเปลี่ยนตัวเอง ให้กลายเป็นขาวหล่อสูงได้ ผมก็ภูมิใจตัวเองเหมือนกันว่าปีเดียวเปลี่ยนตัวเองได้มากขนาดนี้ 

แต่ตอนนี้ผมต้องจัดการกับปัญหาตรงหน้าก่อน ถึงผมจะไม่ได้เจอเธอครั้งแรก แต่ในฐานะข้าวตอนนี้ผมพึ่งเคยคุยกับเธอเป็นครั้งแรก

“คิดไงมาคู่กับเราเหรอ” ผมพยายามตีหน้าซื่อสุดๆ อืม...ไม่ไหวแฮะ ผมไม่ใช่ไอ้เต้ ทำไม่ได้หรอก บางทีผมก็อิจฉาความสามารถในการเล่นละครของมันอยู่เหมือนกัน

“เราก็บอกแล้วไงว่าอย่าให้รู้ว่าเป็นใคร แล้วตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าคนตอนนั้นคือเธอ” ทรายยิ้มแบบซื่อๆ ซึ่งไม่เข้ากับประโยคที่เธอพูดเลยสักนิด

ผมใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มในทันที...เฮ้อ รู้แล้วก็ช่วยไม่ได้ ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะปิดไว้ได้นานหรอก

“แล้วเธอมีอะไรกับผมล่ะ” ยังไม่ทันที่ทรายจะอ้าปากตอบ เสียงรุ่นพี่สันฯผู้เป็นพิธีกรก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“อ้าวว!! จับคู่กันครบแล้วใช่ไหม แต่แหม เหมือนจะมีอยู่คู่นึงที่โดดเด่นเป็นพิเศษนะ คู่ดาวเดือนประจำคณะนั่นเองงงง มาๆออกมาข้างหน้าเร็ว!”

ห๊ะ...ผมกับทรายหันไปมองหน้ารุ่นพี่คนนั้นพร้อมกันอย่างงงๆ

“ชิ...ไว้จบนี่ค่อยคุยกัน ออกไปข้างหน้าก่อน ฉันไม่อยากให้ภาพพจน์ตัวเอกเสียหรอกนะ” อ่า...ผมว่าผมเจอเอกการแสดงอีกคนแล้วล่ะ

เพราะทรายเมื่อออกไปคุณเธอก็ทำทีท่าเป็นเขินอายผม ราวกับหญิงสาวที่ได้พบกับเจ้าชายในฝัน

น่าขนลุกมากมาย...ถ้าไม่ได้เจอเรื่องเมื่อกี้ผมก็คงมองว่ามันน่ารักอยู่หรอก ทำเอาผมหายเกร็งที่ต้องมายืนข้างหน้าเลย




จากนั้นเมื่อถึงเวลาหกโมงเย็น กิจกรรมสันทนาการก็จบลง

การมาอยู่ข้างหน้าเอาจริงๆผมว่าก็ไม่เลวเสียทีเดียว เพราะมันทำให้ผมสังเกตทุกๆอย่างของรุ่นพี่เซฟได้ง่ายขึ้น มันทำให้ผมมีความสุขและปลื้มจนอยากจะถ่ายรูปไปทำเป็นโปสเตอร์อีกซักใบ

แต่ผมก็ต้องอดใจไว้ เฮ้อ..เสียดายจริง

ตอนนี้เวลาหกโมงเย็นแล้ว ผมว่าผมควรไปชวนรุ่นพี่ให้เดินกลับห้องพักด้วยกัน

เมื่อผมตัดสินใจได้แล้ว ผมก็เริ่มเดินไปหารุ่นพี่เซฟที่กำลังคุยกับสาวๆคนอื่นในคณะอยู่ ฮอตจริงๆเลยให้ตายเถอะ
 
แต่ก่อนที่ผมจะได้เดินไป ตามคาด มีมือเรียวเล็กมาดึงแขนเสื้อผมไว้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ทรายนั่นเอง

“ตามฉันมา ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเธอ”

ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกไปเฮือกนึง

“ทำไมผมต้องไปด้วยล่ะ” ผมส่งสายตาหน่ายใจไปให้เธอคนนี้ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องมาหาเรื่องผมด้วย กะอีแค่ตามสตอร์กเกอร์นี่มันหนักหนาสากรรจ์อะไรขนาดนั้น

“งั้นไม่เป็นไรคุยตรงนี้ก็ได้”

“แล้วมีอะไร” ผมไม่ใช่คนใจร้อนหรืออะไรหรอก แต่ผมไม่ชอบการกระทำของเธอเลย เพราะถ้าคนที่จะเดือดร้อนกับการกระทำในวันนั้นของผมจริงๆ มันควรจะเป็นพี่เซฟ ไม่ใช่เธอ!

“นายชอบพี่เซฟใช่ไหม”

!!!

“เธอจะถามทั้งๆที่รู้คำตอบอยู่แล้วทำไม” ผมตอบอย่างใจเย็นที่สุด ตอนนี้ผมค่อนข้างสงสัยว่าการกระทำของตัวเองมันแสดงออกขนาดนั้นเลยหรือว่าผมชอบพี่เซฟ

“อย่าแย่งพี่เซฟของฉัน” ทรายพูดพร้อมทำสีหน้าเฉยชาใส่ผม มันดูเย็นชามาก แต่ผมตอนนี้กำลังเริ่มร้อนเป็นไฟ

“เธอมีสิทธิ์ห้ามคนอื่นได้ด้วยเหรอ”

“ไม่รู้ ฉันเหมาะสมกว่าเกย์แบบนายเป็นไหนๆ พี่เซฟไม่ได้ชอบผู้ชาย!”

ผมเถียงไม่ออกเลย ใช่ พี่เซฟเขาคงไม่ชอบผู้ชายหรอก แม้ว่าความจริงเรื่องนี้มันจะทำให้ผมเจ็บในอกก็ตามที แต่ว่านะผมก็อยากจะลองดู ลองเสี่ยงดูหน่อย อย่างน้อยผมก็อยากบอกความรู้สึกตัวเองให้เขารับรู้

ผมส่งสายตาหนักแน่นไปให้ทราย ราวกับว่าไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ซึ่งทรายก็ดูตกใจนิดหน่อยก่อนจะกลับมาเป็นสีหน้าเย่อหยิ่งแล้วเดินจากไป พร้อมกับคำพูดทิ้งท้าย

“หึ เดี๋ยวก็รู้ เธอเอาชนะใจตัวเองไม่ได้หรอก”


หลังจากนั้นผมก็เดินไปหาพี่เซฟในทันทีที่ทรายเดินจากไป

ผมไม่ใส่ใจเหล่าแฟนคลับที่กำลังกรูเข้าหาพี่เซฟอย่างบ้าคลั่งอีกแล้ว

ต้องเป็นตอนนี้เท่านั้น ตอนนี้ผมจะบอกความรู้สึกตัวเองไปเดี๋ยวนี้แหละ

“พี่เซฟครับ ผมมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย…”

เหมือนว่าอีกฝ่ายเองก็คงตกใจไม่น้อยที่เห็นผมเดินเข้ามาด้วยสีหน้าจริงจัง



ตอนนี้ผมเดินแยกจากฝูงชนมาอยู่ที่ชายหาดใกล้ๆที่พัก

แต่ตอนผมดึงตัวพี่เซฟออกมา สายตาของคนอื่นๆทำเอาผมผวาไม่ใช่น้อย และแน่นอนสุดท้ายผมก็ต้องปล่อยให้พี่เซฟเล่นกับเหล่าแฟนคลับจนเสร็จ

เล่นกินเวลาเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ทำไงได้ผมรู้สึกกลัวสายตาเหล่านั้นด้วย สงสารด้วยแหละ เพราะไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจหัวอกการเป็นแฟนคลับ

เพราะถ้าเป็นผม ผมก็โกรธเหมือนกัน!

“เรียกกูออกมามีไร” พี่เซฟเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวอีกครั้ง เพราะตอนนี้อยู่กันสองคนแล้ว

ผมมองหน้าคนที่ตัวสูงกว่าพร้อมกับความร้อนบนใบหน้าที่ค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ

เอาล่ะ ไอข้าว โอกาสมาแล้วมึงก็ต้องพูดล่ะวะ!

ผมค่อยๆรวบรวมความกล้าค่อยๆพูดออกไป ‘กูชอบมึง’ พูดออกไปเลย!

“กู...” ผมชะงัก ในหัวแทรกขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิดหวังชั่ววูบ

‘พี่เซฟไม่ได้ชอบผู้ชาย’ คำพูดของทรายดังขึ้นมาในหัวอีกครั้ง

“หืม อะไรนะ” พี่เซฟทำสีหน้าสงสัยก่อนจะเอ่ยปากถามผมอีกครั้ง

ผมกำลังกลัว...ผมกำลังกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป แม้ว่าผมจะเตรียมใจมาแล้วบ้างก็จริง แต่คำพูดของทราย มันทำให้ผมหมดหวัง
รู้ทั้งรู้ว่ายังไงเค้าก็ไม่ชอบ แล้วทำไมต้องเสี่ยงอีกล่ะ อยู่แบบนี้ไปก็มีความสุขดีไม่ใช่เหรอ

ตอนนี้มีผมอยากรู้แค่อย่างเดียวเท่านั้น ‘พี่เขามีโอกาสจะหันมามองผมบ้างไหม’ แค่นั้น ถ้ามีผมก็จะพูดออกไป แต่ถ้าไม่ผมก็จะอยู่แบบนี้ต่อไป

เหรอ...?   

ตอนนี้ผมกำลังหลอกตัวเองอยู่ว่าผมพอใจในสถานะแบบนี้ หลอกมาตลอดด้วย

แต่ในเมื่อมันไม่มีหวัง แล้วทำไมถึงต้องพูดออกไปด้วยล่ะ ผมควรจะบอกไปดีไหม ตอนนี้ผมสับสนไปหมด ความกล้าที่จะบอกตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว

“ข้าว?” พี่เซฟพูดพลางโบกมือหยอยๆตรงหน้าผม ตอนนี้ผมได้แต่จ้องหน้าพี่เขา ผมพูดอะไรไม่ออก แต่ในตอนนั้นเสียงผู้หญิงคนนึงก็ดังขึ้นมาราวกับรู้จังหวะ

“พี่เซฟฟฟฟฟ” เสียงเรียกชื่อคนตรงหน้าผมแบบยานคาง ผมจำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ที่ได้อย่างดี ผู้หญิงที่ทำให้ผมหมดความหวังไป ‘ทราย’

หล่อนวิ่งเข้ามานัวเนียกับพี่เซฟในทันที ซึ่งพี่เขาก็ยิ้มแย้มตอบรับไปแบบปกติ อืม...ถ้าบอกว่าไม่อิจฉาก็คงโกหกสินะ

บางทีผมก็เบื่อรอยยิ้มแบบเยือกเย็นของเขาเหมือนกัน ผมอยากได้รอยยิ้มอบอุ่นจากเขาอีกสักครั้ง

ผมไม่สนใจใบหน้าเยาะเย้ยของทรายที่ส่งมาทางผม ผมเดินหลบออกมาจากตรงนั้น ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเรียกถามว่าจะไปไหนของพี่เซฟ ผมเดินออกมาจากตรงนั้นเงียบๆ ราวกับผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก

อ่า...ผมว่าผมอาจจะไม่มีโอกาสจริงๆก็ได้ พี่เซฟเขาคงไม่ได้ชอบผู้ชายจริงๆ

ผมยิ้มให้กับตัวเอง ผมไม่จำเป็นต้องร้องไห้ให้กับเรื่องแค่นี้หรอก

แต่ทำไมกันนะ...ทั้งๆที่เป็นเรื่องแค่นี้แท้ๆ มันถึงได้เจ็บปวดมากมายขนาดนี้


ผมรีบเดินตรงไปอีกฟากนึงของทางชายหาด ไปนั่งอยู่ใต้ต้นมะพร้าวเงียบๆรับลมในเวลาหกโมงเย็น

ผมนั่งเหม่อไปที่ทะเลเงียบๆ ผมไม่ได้คิดอะไรในหัวเลย ผมปล่อยให้ในหัวตัวเองโล่งๆ

อืม...พอมาคิดๆดู นอกจากที่รุ่นพี่เคยปรึกษาเรา กับเป็นกันเอง ก็ไม่ได้ทำอะไรพิเศษไปกว่านั้น

เป็นเราที่คิดไปเองตลอด ว่าสนิทสนมกันมากแล้ว

เอาเถอะอยู่แบบนี้ไปก็คงไม่แย่อะไรหรอก ผมพยายามมองโลกในแง่ดีแบบสุดๆ

เอาล่ะกลับห้องพักดีกว่า เย็นมากแล้วด้วย

ผมลุกขึ้นปัดทรายที่เปรอะที่กางเกง ก่อนจะเดินตรงกลับห้องพักไป มันไม่มีทางมีหรอก โมเม้นที่อีกฝ่ายจะวิ่งมาหาผมพร้อมกับถามว่าเมื้อกี้จะพูดอะไร

ผมหัวเราะให้กับตัวเองเบาๆ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมคิดมากกว่าพูดนะเนี่ย อืม ช่างเถอะ

สุดท้ายผมก็ชนะใจตัวเองไม่ได้จริงๆ 

[จบพาร์ทข้าว]

 

ออฟไลน์ Kengpnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอๆๆๆมาต่อเร็วๆๆๆๆน่ะ   :hao7: :hao7: :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แผนการ


ตอนนี้ผมกำลังถูกชายหน้าหล่อเลวกอดไว้อยู่ครับ ถึงแม้ว่าผมจะหยุดร้องไห้ไปนานมากแล้วก็ตามเถอะ เขาก็ยังกอดผมไว้อยู่ อ่อใช่ ตอนนี้ผมยังคงสภาพเดิมครับผ้าขนหนูคาดเอวไว้ผืนเดียวเปลี่ยวๆ ถ้าจะโดนข่มขืนโดยคนตรงหน้าผมว่าคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ตอนนี้หกโมงจะครึ่งแล้ว โชคดีที่พี่เซฟกับข้าวมันยังไม่กลับมา แต่ว่าคงอีกไม่นานจากนี้หรอก

“ไอนิลกูไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยกูเถอะ” ผมพยายามดันคนตรงหน้าออกไป

อีกฝ่ายยังคงนิ่งเงียบ ก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสบางอย่างที่ไหล่ผม

โอ้ย..!
ผมผลักตัวคนหน้าออกไปพร้อมกับด่าทันที

“ไอเชี่ยย มึงกัดไหล่กูทำซากอะไรห๊ะ!!” ผมหันไปมองไหล่ตัวเอง โธ่ ไหล่ขาวๆของกูแดงหมดเลย
“ก็ไหล่มึงมันน่ากัดมากเลยหนิ มึงผิดที่ไม่ยอมใส่เสื้อผ้า”
“ก็ใครมันกอดกูไว้ล่ะห๊ะ!!!”

อืม...พูดเองก็อายเอง

จากนั้นเมื่อผมใส่เสื้อผ้าเสร็จ ข้าวก็เดินกลับมาพอดีเลย

“เป็นไรหน้าตาไม่เอ็นจอย” ผมถามมันเพราะดูหน้าตาเหมือนคนจะร้องไห้ แต่ถ้ามองดีๆก็ดูเหมือนปลงกับชีวิตมากกว่า

“ก็นิดหน่อย” มันหัวเราะแห้งๆมาให้

“ถ้าให้เดาเพราะไอพี่เซฟใช่มะ”

น่ะถูกเผง เพราะทันทีที่ผมพูดไอข้าวก็ชะงักทันที แล้วก็ทำสีหน้าเหมือนไม่อยากนึกถึง

“มีอะไรมายเฟรนด์ ปรึกษากูได้นะเว้ย” ผมหันไปมองไอนิลที่ทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างแล้ว อืม...ปกติไม่เคยสนใจ ทำไมจู่ๆก็...

ผมพยายามเซ้าซี้ข้าวจนมันยอมเล่าออกมาจนได้

เห...ทรายนี่ไม่ธรรมดานะเนี่ย แอปเปิ้ลดูเบบี๋ไปเลย ถึงตอนนี้หล่อนจะไม่ได้เป็นศัตรูแล้วก็เถอะ

“มึงก็นะ มันก็ใช่ที่เซฟอาจจะไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ชอบมึงนี่”

ทันทีที่ผมพูดประโยคนี้ออกไปข้าวกับนิลก็ทำท่าเหมือนมีความหวังขึ้นมา เดี๋ยวนะ ผมว่าผมกำลังปลอบใจข้าวคนเดียวนะ ทำไมไอนิลได้ผลบุญด้วยอ่ะ

“แต่ถ้าคนมันไม่ได้ชอบผู้ชาย ยังไงเขาก็ไม่ได้ชอบป่ะวะ”

ข้าว กับนิลกลับไปเป็นหน้าหมาหงอยอีกครั้ง

ไอนิลมึงเป็นอะไรมากไหมเนี่ย ยังไม่สร่างเมาเรอะ?!

“เฮ้อ รู้แล้วก็อย่าไปบอกพี่เซฟล่ะว่ากูรู้ กูเคยได้ข่าวจากพวกพี่ๆที่ทำงานที่เดียวกับกูอ่ะ ว่าผู้หญิง ผู้ชาย พี่แกเขาลองมาหมดแล้ว เพราะงั้นไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสหรอก”

พี่เซฟประวัติแกจริงๆอ่ะโครตเสือผู้หญิง เอ๊ะแต่มีผู้ชายด้วย เรียกอะไรดีวะ...

“แล้วก็อีกอย่าง คนมันจะชอบอ่ะ เพศอะไรก็ได้หมดแหละ ต่อให้พี่เขาเป็นชายแท้ แต่บทเขาจะรักมึงชอบมึง เขาก็รักไหมล่ะ”

โอ๊ะ ผมว่าประโยคนี้ดีอยู่นา สองคนนี้นี่หน้ากลับมาดูสดใสอีกครั้ง อื้ม ผมว่าผมพูดได้ไม่เลวเลย

แต่บางทีผมก็คิดนะ ไอสองคนนี้มันเรียนมหาลัยจริงป่ะ แลดูทุกอย่างเหมือนพึ่งเคยมีรักครั้งแรกอะไรงี้อ่ะ ไอข้าวอ่ะพอเข้าใจ แต่ไอนิลมันก็เคยมีแฟนนี่หว่า

“แต่กูทำลายโอกาสบอกชอบไปแล้ว” ไอข้าวพูดพร้อมทำหน้าผิดหวัง

“มึงคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใคร หื้ม ลาเต้คนนี้จะไม่ยอมให้เพื่อนต้องผิดหวังอย่างแน่นอน” ผมยืดตัวอย่างภูมิใจ 

ผมส่งสายตามีลับลมคมนัยไปให้ทั้งสองตัวที่นั่งอยู่กับผมตอนนี้ โชคดีเหลือเกินที่พี่เซฟยังไม่กลับมา เพราะงั้นมันก็เลยทำให้ผมสามารถบอกแผนของผมกับสองคนนี้อย่างสะดวกสบาย



จากนั้นก็เวลาประมาณทุ่มนึง พี่เซฟก็กลับมาในห้อง

“มองอะไรกัน...” ตอนเข้ามาในห้องพวกผมสามคนจ้องไปที่เขาพร้อมๆกัน

“ก็รอพี่เซฟอยู่ไง เล่นไพ่กัน” ผมเอ่ยปากชวนคนที่พึ่งเข้ามาในห้อง ก่อนจะหยิบตลับไพ่มาไว้ในมือ

ตอนแรกผมก็พกมาเผื่อเฉยๆ แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะมีประโยชน์ด้วย

พี่เซฟทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักนึง ก่อนจะเอ่ยปากตกลง

“แต่พี่ขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน”

“โอเค ข้าวมึงไปอาบกับพี่เซฟไหม” ผมพูดหยอกก่อนจะหัวเราะใส่ไอข้าวเบาๆ ซึ่งแน่นอนมันก็ด่าผมมาฉอดๆ



จากนั้นเมื่อพี่เซฟอาบน้ำเสร็จ ยังไม่ทันจะเริ่มเล่นไอนิลก็ไปอาบน้ำต่อ พอนิลอาบน้ำเสร็จข้าวที่เห็นว่าอาบกันทุกคนแล้ว ก็เลยขอไปอาบด้วย
ทำให้ผมต้องมานั่งรอคนอาบน้ำถึงสามคน ให้ตายเถอะ นี่มันจะสามทุ่มแล้วเนี่ย!

จนในที่สุดเมื่อทุกคนอาบน้ำจนครบ ก็ได้ฤกษ์เล่นเสียที

“แล้วจะเล่นอะไร” พี่เซฟเป็นฝ่ายเอ่ยถาม

“อีแก่กินน้ำ” ผมตอบพร้อมกับยิ้ม ผมมั่นใจว่าทุกคนในนี้เล่นเป็น ไม่สิไอนิลมันเล่นไม่เป็น แต่ผมก็ใช้เวลาในช่วงก่อนที่พี่เซฟจะกลับมาสอนมันไปแล้ว มันก็แค่เกมจับคู่ไพ่แค่นั้นเอง ใครเหลือไพ่บนมือก็แพ้

พี่เซฟพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ “มีการลงโทษด้วยใช่ไหม” พี่เซฟถามขึ้นมา

“แน่นอนคนที่เหลือไพ่โจ๊กเกอร์ในมือก็จะโดนประชามติลงทัณฑ์” ผมพูดพลางสับไพ่ในมือ แล้วเริ่มลงมือแจก

เมื่อผมแจกไพ่จนหมดแล้ว ตามแผนการก็คือ ผมจะให้พี่เซฟเป็นคนแพ้ แล้วจะใช้การลงโทษเนี่ยแหละ ทำให้พี่เซฟบอกข้าวไปให้ได้ว่าพี่เซฟรู้สึกยังไงกับไอข้าว

และแน่นอนไม่ว่าพี่เซฟจะรู้สึกยังไงผมก็กะจะใช้โอกาสนั้นให้ข้าวสารภาพรักไปเลย และถึงผลออกมาไม่ดีผมก็เตรียมมาตรการเผื่อไว้แล้ว

แต่ผมคิดว่าคงไม่เกิดกรณีนั้นหรอก เพราะในสายตาของผม พี่เซฟเขาก็ไม่ได้รังเกียจอะไรไอข้าวมัน ออกจะดูสนใจด้วยซ้ำ แค่ไอข้าวมันไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง

ถ้ามันสำเร็จ พี่เซฟก็จะได้มีแฟน ข้าวได้เป็นแฟนกับคนที่ตัวเองชอบ ผมฟินจิกหมอน วินวินทั้งสามฝ่ายแบบนี้ โครตยอดเยี่ยม แม้ว่าไอนิลจะไม่ได้อะไรเลยก็ตามที

ผมนี่เป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ มองทางไหนก็ช่างเป็นคนดี มีใครให้ดีกว่านี้อีกไหมล่ะ

ตอนนี้ผมพยายามสอดส่องไปที่ข้าวกับนิล ตามที่ตกลงกันไว้คือ ถ้าใครมีโจ๊กเกอร์ให้ส่งสัญญาณบอก แล้วจะหยิบๆต่อกันไปให้ไปถึงมือพี่เซฟ
ซึ่งผลที่ได้ก็คือผมนิลข้าว ไม่มีโจ๊กเกอร์เลย ลักกี้! โจ๊กเกอร์อยู่ที่มือพี่เซฟอยู่แล้ว! แค่ต้องระวังไม่ให้เผลอมาหยิบเท่านั้นเอง

โอเค ตอนนี้ทุกคนทิ้งไพ่ที่มีคู่กันหมดแล้ว ถึงเวลาวนหยิบ

“พี่เซฟเริ่มหยิบก่อนเลยก็ได้”

เมื่อพี่เซฟหยิบไพ่จากข้าวเสร็จ ก็ถึงตาผมหยิบไพ่บนมือพี่เซฟ แล้วนิลก็หยิบไพ่จากมือผม แล้วข้าวก็หยิบไพ่จากมือนิล วนไปเรื่อยๆ

จนเมื่อเวลาผ่านไป ไอ้นิลก็ไพ่หมดมือเป็นคนแรก มันเป็นคนที่ดวงดีอย่างไม่น่าเชื่อ หยิบจากมือผมไปกี่ที มันก็มีคู่ให้ทิ้งตลอด

ตอนนี้เหลือผม ข้าว และ พี่เซฟ ถึงตาผมหยิบแล้ว

มีไพ่อยู่สองใบอยู่บนมือพี่เซฟ หนึ่งในนี้เป็นโจ๊กเกอร์ ตอนนี้ไพ่อยู่บนมือผมแค่ใบเดียว ถ้าหยิบถูก ผมก็จบเลย

“อย่าลืมบอกผมนะว่าใบไหนเป็นโจ๊กเกอร์” ผมเริ่มเล่นคำถามจิตวิทยา แหม ใช่ว่าผมอยากจะอวด สมัยมัธยมผมไม่เคยแพ้อีแก่กินน้ำเล่นนะจะบอกให้

พี่เซฟไม่ตอบ เพียงแค่ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งมาให้ผม เอาเถอะ ยังไงก็ตามแต่ผมค่อยๆเลื่อนมือสลับไปมาบนไพ่ทั้งสองใบ ค่อยๆเก็บรายละเอียดบนใบหน้าของพี่เซฟไปด้วย

เมื่อผมเลื่อนไปที่ไพ่ใบที่สองพี่เซฟก็พูดขึ้นมา

“ใบนี้โจ๊กเกอร์ อย่าหยิบนะ”

หึ คิดว่าผมจะเชื่องั้นเหรอ ไม่รอช้าผมหยิบใบที่สองทันที

แหละเมื่อผมหยิบ พี่เซฟก็ส่งสีหน้าหน่ายใจมาให้

ผมค่อยๆหันไพ่ดู เห็นรูปตัวตลกตัวใหญ่ๆอยู่ที่ไพ่

“โจ๊กเกอร์...”

“ก็อุตส่าห์บอกแล้ว”

ผมอ้าปากค้างมองพี่เซฟ ไอนิลที่เล่นจบไปแล้ว และกำลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงหัวเราะเบาๆ ผมมองค้อนส่งไปให้มัน ซึ่งมันก็ไม่ได้รับรู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด

ตาข้าวหยิบไพ่จากผม ตอนนี้ข้าวเหลืออยู่สองใบ ถ้าตามแผนข้าวจะต้องหยิบโจ๊กเกอร์ไปจากผม แล้วหาทางส่งคืนให้พี่เซฟ

ผมพยายามส่งสัญญาณบอกข้าวให้หยิบใบขวาไป แต่ว่ามันหยิบใบซ้าย!

ผมต้องอ้าปากค้างอีกครั้ง มันทรยศผม!

ข้าวสีหน้าราวกับจะบอกว่าขอโทษมาให้ จากนั้นข้าวไพ่ก็หมดมือ แล้วก็ตามมาด้วยพี่เซฟ

สรุปง่ายๆ ผมแพ้

เกียรติประวัติการเล่นไพ่ชนะร้อยเปอร์เซ็นของผมต้องด่างพร้อยก็วันนี้

“ไอข้าวมึงทรยศกู!!!” ผมโวยวายใส่มัน
“แหม ก็พอกูคิดๆไป การโกงมันไม่ใช่เรื่องดีเลย ก็เลยไม่ทำ”
“มึงก็ควรบอกกูก่อนไหมล่ะ!”
“ก็กูพึ่งคิดได้ตอนอาบน้ำ โทษทีน้า” มันยกมือขึ้นมาขอโทษขอโพยผม

มันทันซะที่ไหนเล่า!! ฮืออ อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ

“หืม โกงอะไรเหรอ” พี่เซฟถามขึ้นขณะที่ผมกำลังเขย่าคอไอข้าวไปมา

ผมลืมไปเลยว่าเจ้าตัวมันอยู่นี่

“อ๋อ เปล่าครับพี่ไม่มีอะไร ผมก็พูดไปเรื่อยเปื่อยนี่แหละ” ผมรีบตีหน้าซื่อใส่คนเรียนชั้นปีสูงกว่าทันที ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่เหมือนผมจะแสดงดีไปจนถึงขนาดทำให้ไอคนที่ผมเขย่าคอมันอยู่เบะปากใส่

“งั้นจะลงโทษอะไรดี”

ผมเริ่มเหงื่อตก

“รอบสาธิตไง แหม่ ผมอ่อนให้ไง ไอนิลมันเล่นตาแรกก็งี้แหละ”
“แต่กูจบคนแรก” ไอนิล! มึงไม่ช่วยก็อย่าขัดดิวะ

สุดท้ายท้ายสุด ผมก็ห้ามอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งรอบทลงโทษที่ทั้งสามคนนั้นสุมหัวพิจารณากันอยู่

ไอเพื่อนร่วมแผนการของผมสองคนนี่มันหายไปไหนแล้ววะ อยากจะด่าเหลือเกิน แต่พี่เซฟก็จะรู้อีก

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ชนิดที่ว่าปอดจะหลุดออกมาด้วย

“โอเค ได้บทลงโทษแล้ววว!” พี่เซฟพูดพร้อมมองมาทางผมด้วยสายตาเป็นประกายอย่างยิ่ง

ดีนะที่ผมเขียนพินัยกรรมเผื่อไว้เมื่อนานมาแล้ว

ผมพยายามปลงกับทุกๆอย่างในชีวิต

จากนั้นพี่เซฟก็เข้ามาใกล้ๆผม จับข้อมือของผม แล้วก็เอาอะไรซักอย่างมาคล้องไว้

ผมพยายามจ้องมันดีๆ เอ๋ คุ้นๆอยู่นา...

“จ้องอะไร ก็กุญแจมือไง” พี่เซฟหันมาบอกผม

เดี๋ยว ประเดี๋ยวก่อน ผมเบิกตากว้างเพราะตกใจอย่างยิ่ง ไม่ได้ตกใจกุญแจมือหรอก

“แค่เล่นแพ้นี่จะจับผมส่งตำรวจเลยเหรอ!”

“ไอบ้ามโนอะไรอีกล่ะ คิดหลักความจริงนิดนึง” ไอข้าวพูดขัดผม

“โธ่ รับมุกดีๆกว่านี้ไม่ได้หรือไง แล้วสรุปจะทำไร” ผมยังคงสงสัยจนกระทั่ง พี่เซฟเอาห่วงอีกข้างไปคล้องไว้กับ...

ข้อมือของไอนิล...

“เดี๋ยวๆ นี่จะทำไรเนี่ย!!!”

“ก็บทลงโทษไง” พี่เซฟตอบมาแบบหน้าระรื่นสุดๆ ไอนิลก็ไม่ได้โต้แย้งหรือขัดค้านแต่อย่างใด ราวกับว่าเต็มใจให้ทำ

“อยู่แบบนี้พรุ่งนี้ทั้งวัน” จากนั้นพี่เซฟก็หัวเราะออกมาชุดใหญ่

ผมหันไปถามไอนิลอีกที

“มึงคิดดีแล้วจริงดิ ทั้งๆที่มึงก็เล่นจบคนแรก แต่มาเจอแบบนี้ยอมได้เหรอ”

ต้องใช้การเสี้ยมนิดหน่อยครับ

ไอนิลพยักหน้าว่ะ มันยอมได้ว่ะ แต่เอาจริงๆผมก็ไม่น่าถามมัน ผมก็รู้ๆอยู่ว่ามันคิดไงกับผม ดีไม่ดีเรื่องแบบนี้อาจจะดีกับมันซะด้วยซ้ำ

ผมหลุดหัวเราะให้ไอนิลออกมานิดหน่อย มันก็ทำหน้าประหลาดใจ

เฮ้อ ถือว่าพรุ่งนี้เซอร์วิสให้แล้วกัน นี่ปกติผมคงโวยวายเป็นยายแก่ไปแล้วนะเนี่ย

แต่ใจจริงผมก็แอบดีใจนิดๆ อืม...แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ จริงๆนะ

จากจะช่วยไอข้าวกลายมาเป็นแบบนี้ได้ไงเนี่ย ผมมองไปทางไอข้าวที่หัวเราะคิกคัก

เรื่องตัวเองยังไม่รอดแท้ๆ ยังจะจุ้นเรื่องคนอื่นอีก ไอข้าวนี่มันข้าวจริงๆ



จากนั้นการเล่นไพ่ก็จบลง ตอนแรกผมกะว่าจะต่ออีกซักตา แต่ว่าไอนิลมันบอกว่าง่วงแล้ว (มึงง่วงหรือมึงหวังอย่างอื่น) ก็เลยเข้านอนกัน ตอนนี้ก็เกือบๆสี่ทุ่มแล้ว ถึงจะนอนมาบนรถค่อนข้างนาน แต่การเดินทางก็ทำให้เพลียอยู่ดี สุดท้ายก็เลยตัดสินใจเหมือนกันก็คือเข้านอน

เพราะกุญแจมือก็เลยทำให้ผมต้องนอนกับนิลแบบจำใจ(จริงๆนะ) ส่วนไอข้าวก็ได้นอนกับคนที่ชอบไป

เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ผมพึ่งจับสังเกตอะไรแปลกๆได้

ผมลุกขึ้นมาถามท่ามกลางความมืด

“พี่เซฟนอนยัง”
“ห๊ะ ยังๆ มีไร”
“พี่เอากุญแจมือมาทำไม”
“...”

แต่ผมว่านี่คงเป็นคำถาม ที่ผมไม่น่าจะมีวันได้รับรู้คำตอบ




[พาร์ทนิล]

บางทีผมคงจะเอาแต่ใจมากเกินไป แต่ยังไงก็ตามผมก็มีความสุขเล็กๆอยู่ดีที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ ก็ผมรักเขาจะให้ทำยังไงได้

ตอนแรกผมนึกว่าหัวเด็ดตีนขาดเขาก็คงไม่ยอมให้ตัวเองมาติดอยู่กับผมด้วยซ้ำ บางทีเขาคงเป็นคนรับความจริงได้ดีกว่าที่ผมคิด แต่นี่ก็เป็นส่วนที่ทำให้ผมชอบคนๆนี้มากขึ้นด้วยเหมือนกัน

ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วผมก็ไม่อาจทราบได้ เพราะตอนนี้ผมเอาแต่สนใจคนนอนด้านข้างผมจนไม่รับรู้อะไรอีก แม้ว่าปกติบางวันผมจะแอบไปกอดเขาจนผมหลับไปก็ตาม แล้วก็ให้เขาตื่นมาให้อ้อมกอดของผม

มันช่างแสนมีความสุข

แต่สุดท้ายจนแล้วจนรอดผมก็ยังไม่รู้ความรู้สึกในใจของเจ้าตัวเล็กอยู่ดี เพราะตอนที่ผมถามไป ไอตัวดี มันก็ดันร้องไห้ออกมาซะอย่างนั้น

แม้ว่าจะไม่ได้ร้องไห้แบบฟูมฟาย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกผิดไม่ใช่น้อย ดีแค่ไหนแล้วที่อีกฝ่ายไม่ได้โกรธไม่ได้งอนผม

เพราะงั้นตอนนี้ผมก็เลยตัดสินใจได้แล้วว่า อยู่แบบนี้ผมก็โอเค ผมพอใจในสถานะแบบนี้ไปซะแล้วล่ะ เป็นเพื่อนกันมันก็หาเศษหาเลยกันได้ไม่ต่างจากเป็นแฟนเท่าไหร่ แค่ก หมายถึงก็สนิทกันได้ไม่ต่างเท่าไหร่

ผมหันข้างไปหาเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่

หวังว่าคนข้างๆผมจะหลับไปแล้วนะ

ผมค่อยๆขยับตัวผมให้ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนผมก็รับรู้ถึงลมหายใจตรงหน้า ตอนนี้ดวงตาผมปรับให้เข้ากับความมืดแล้ว คนตรงหน้าผมหลับตาพริ้มอย่างน่าเอ็นดู แม้ว่าจะปิดไฟไปแล้ว แต่แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ทำให้ผมรับรู้บางอย่างได้

ทิวากำลังเขิน แก้มมันของแดงระเรื่อ มันเองก็ยังไม่หลับ แต่ก็ไม่กระโตกกระตากโวยวายอะไร

แบบนี้เขาเรียกว่าอ่อยหรือเปล่าครับ

แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะทนเหรอครับ ถึงผมจะแสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะตายด้านเวลาคนที่ชอบกำลังอ่อยผมอยู่นะ

ผมค่อยๆเอามือข้างที่มีกุญแจมือ กุมมือข้างที่มีกุญแจมือเช่นเดียวกันของอีกฝ่าย มือน้อยๆของมันกำลังสั่นเบาๆ เป็นสิ่งที่บอกว่ากำลังตื่นเต้นและเกร็งอยู่

มันยิ่งทำให้ผมอดใจไม่ไหว ใช้มืออีกข้างที่สามารถขยับได้อย่างอิสระลูบหัวคนนอนข้างๆเบาๆ ผมค่อยๆไล่มาที่แก้ม ทันทีที่ผมสัมผัสที่แก้มคนตรงหน้าก็ยิ่งหน้าแดงมากขึ้น และหลับตาปี๋ราวกับกลัวอะไรบางอย่าง

ผมได้แต่ยิ้มออกมาบางๆ เวลาเจ้านี่โวยวายก็น่ารักดี แต่เวลาแบบนี้น่ารักกว่า

ตัวผมเองก็เริ่มเขินซะแล้วสิ แต่ว่าผมก็หยุดความต้องการของตัวเองไม่ได้อยู่ดี

ผมขยับใบหน้าให้เข้าไปใกล้คนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก ถ้าผมจูบไปเจ้านี่จะว่าอะไรผมไหมนะ

ผมขยับเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของเขา

“ขอจูบได้ไหม”

ปฎิกิริยาของอีกฝ่ายคือสะดุ้งเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้นมามองผม ดวงตากลมโตกำลังสั่นระเรื่อ ใบหน้าที่แดงอยู่แล้ว กลับยิ่งแดงก่ำไปถึงหู ริมฝีปากอมชมพูของอีกฝ่ายยิ่งเม้มแน่นขึ้น

มันยิ่งทำให้ผมหวั่นไหวมากขึ้นไปอีก ผมพยายามจ้องตาของอีกฝ่ายราวกับจะบอกว่าให้ตกลง

ซึ่งสิ่งที่คนตัวเล็กทำต่อมาคือหลุบตาลง แล้วพยักหน้าเบาๆ มันทำให้ผมดีใจมากจนหุบยิ้มไม่ได้ อีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมามองผมอีกครั้ง

และเมื่อเขาเห็นใบหน้าของผม ใบหน้าของเขาก็ยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก พร้อมสีหน้าประหลาดใจ ผมยิ้มแล้วดูประหลาดขนาดนั้นเลยหรือ

ช่างมันก่อน ตอนนี้ผมกำลังได้สิ่งที่ผมค้างมาตั้งแต่อยู่บนรถทัวร์แล้ว

ผมใช้มือของผมเสยผมหน้าของทิวาขึ้น บรรจงริมฝีปากประกบไปที่หน้าผาก ความรู้สึกที่ผมได้รับคือความร้อนจากหน้าผากของอีกฝ่ายและกลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่ที่เขาใช้

ตอนนี้ผมไม่อาจหยุดความต้องการที่ผมอดกลั้นมาตลอดได้ นี่สินะเวลารักใครสักคน เราก็อยากจะสัมผัสเขาในทุกๆส่วนของร่างกาย

ผมขยับริมฝีปากไปที่จมูก ใช้ปากขบเม้มปลายจมูกของอีกฝ่ายเบาๆ ผมสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายที่กำลังหลับตาปี๋อย่างเขินอายอยู่
ไม่ว่าจะมองกี่ที มันก็น่ารักสำหรับผมมากเหลือเกิน

มาถึงจุดสุดท้ายริมฝีปาก ตอนนี้ผมอย่างจะขยี้ริมฝีปากสวยๆให้พังไปเลยด้วยซ้ำ จะได้ไม่มีใครมอง แต่ผมก็ต้องอดกลั้นมันเอาไว้

ผมขยับเข้าไปใกล้ๆริมฝีปาก ค่อยๆประกบริมฝีปากอย่างอ่อนโยน อย่างที่คิดมันนุ่มราวกับสำลี ผมค่อยๆใช้ลิ้นดุนดันให้อีกฝ่ายยอมเปิดปาก แต่ทว่าอีกฝ่ายยังคงเม้มปากแน่น

บางทีนี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาจูบกับคนอื่น

ผมกระซิบที่ข้างหูเขาอีกครั้ง “อย่าเม้มปากสิ” ตอนนี้อีกฝ่ายทำตัวราวกับเด็กน้อย ไม่ใช่เจ้าแผนการเหมือนทุกที ช่างเหมือนกับม้าพยศที่ยอมสงบแก่เจ้าของอย่างไรอย่างนั้น

ผมเริ่มบรรจงประกบปากของเขาอีกครั้ง คราวนี้ผมสามารถแทรกลิ้นผ่านเข้าไปได้ไม่เหมือนกับทีแรก สัมผัสตอนนี้มันร้อนรุ่มเสียยิ่งกว่าอะไร มันช่างเป็นรสจูบที่หอมหวานเหลือเกิน ถ้าเป็นกับเขาคนนี้ ผมจูบกับเขาทั้งวันผมก็ทำได้

ในท้ายที่สุดทิวาก็ใช้มือดันตัวผมออกมา ใบหน้าของเขาตอนนี้แดงพอๆกับตอนเป็นไข้เลยทีเดียว เขาพูดกับผมเบาๆ

“พอ...แล้ว...กู..อาย” ผมยิ้มให้กับความไร้เดียงสาของทิวา

จากนั้นผมก็ดึงตัวเขาเข้ามากอดจนแน่น ก่อนจะลูบผมของเขา จนกระทั่งผมและเขาเข้าสู่ห้วงนิทราไป

มีเพื่อนแบบนี้ ไม่มีแฟนก็ได้

[จบพาร์ทนิล]



ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ Kengpnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อาบน้ำ

ผมพยายามหลอกตัวเองเป็นรอบที่พันแปดแล้วว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ภาพหน้าของนิล กับความรู้สึกในตอนนั้นมันยังคงหลงเหลืออยู่

โอ้ย อยากจะบ้าตาย เมื่อคืนผมคิดอะไรของผมเนี่ย!!

ผมตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของคนข้างๆสักพักนึงแล้ว และแน่นอนผมยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนหรอก ความรู้สึกที่ยังหลงเหลือในปาก ความอบอุ่นนั่น รอยยิ้มนั่น มันจะทำให้ผมคลั่งตายอยู่แล้ว!

ยิ่งตอนที่มันกระซิบข้างหูผม ผมนี่อยากจะตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

แต่สุดท้ายผมก็ยอมมันไปจนได้

ตอนนี้ผมคิดได้อย่างนึง นี่มันต่างอะไรกับเป็นแฟนวะ...

งี้ผมจะกลัวไปทำไม เพราะตั้งแต่เมื่อคืน มันก็เหมือนผมยอมรับไปแล้วว่าผมเป็นแฟนกับมัน

งื้ออ ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน ผมควรจะทำตัวยังไงดีล่ะเนี่ย

แต่มันก็ช่างกล้าเหลือเกิน ที่ถามมาแบบนั้น ผมยังอึ้งกับตอนมันยิ้มไม่หายเลย มันหล่อมาก แล้วตอนที่แสงพระจันทร์ส่องมาพอดีนี่โอ้โห หล่อโครตพ่อโครตแม่หล่อ ผมเป็นผู้ชายผมยังหลงเลย

แต่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดมันนิดหน่อย นอนกอดผู้ชายด้วยกันแท้ๆ แต่หน้าตาดูเป็นสุขเหลือเกินนะ

เฮ้อ...ตอนนี้กี่โมงแล้วนะ เอาเถอะจะกี่โมงก็ช่าง ตามตารางคือช่วงเช้าให้ออกไปสำรวจบริเวณแถวๆนี้ แล้วก็ให้ทำงานจิตอาสาไปด้วย อย่างเก็บขยะอะไรทำนองนี้ ส่วนหากจะเล่นน้ำทะเลให้เล่นได้ตั้งแต่บ่ายสองจนถึงห้าโมงเย็น ช่วงหกโมงครึ่งถึงสองทุ่มจะมีสันทนาการ

ก็ยังดี ผมจะถือว่าผมมาค่ายจิตอาสาแล้วกัน เล่นน้ำผมคงขอบาย ผมไม่ชอบน้ำทะเลเลยแม้แต่นิดเดียว ผมให้ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาว่างไปน่าจะดีกว่า

“ไอนิลตื่นๆ” ผมพยายามใช้มือเขย่าร่างใหญ่ที่นอนอยู่ เอาจริงๆถ้าเมื่อกี้ผมไม่ได้ขยับมือทั้งสองข้างผมคงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าผมยังอยู่ในช่วงโดนลงโทษอยู่

คนตรงหน้าส่งเสียงครางในลำคอ ก่อนจะจับหัวผมกดเข้าไปที่หน้าอกของมันอย่างแรง

โอ้ย! ดั้งผมจะยุบเข้าไปไหมเนี่ย!! ผมใช้มือดันตัวเองออกมา

“มึงจะฆ่ากูหรือไง!”

“เสียงดังคนจะหลับจะนอน” เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นมาจากอีกฝั่งของห้อง เสียงไอข้าวนั่นเอง

“ก็ดูไอนิลดิ! แล้วจะนอนบ้าบออะไรนี่มันจะเก้าโมงแล้ว”


จากนั้นผมก็โวยวายไม่เลิกจนคนในห้องตื่นขึ้นมาจนหมด

ฮึ่ม ตื่นดีๆก็จบแล้ว!

“อ้าว พี่เซฟไปไหนอ่ะ” ผมหันไปถามไอข้าวที่พึ่งลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย

“ออกไปยืนประจำจุดน่ะ”

“แล้วมึงไม่ตามไปหรือไง”

“ก็อยากไปอยู่หรอก แต่กูไม่อยากทำร้ายใจตัวเองเพิ่ม” มันตอบด้วยท่าทางหงอยๆ

ผมถอนหายใจออกมาอย่างสงสาร “งั้นวันนี้อยู่กับพวกกูแล้วกัน”

“แต่มันจะมีบางคนไม่โอเคนะ” ไอข้าวพูดพลางมองไปทางไอนิลที่กำลังงัวเงียอยู่ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“โธ่ คิดมาก มึงก็เพื่อนกูไหมล่ะ ไปอาบน้ำไป” จากนั้นผมก็ไล่คนตาหวานหน้าหล่อไปอาบน้ำก่อน

เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องต้องคิด

ผมเหลือบตาไปทางไอนิล ก่อนจะมองไปที่กุญแจมือ

ผมลืมไปซะสนิทเลย ว่าผมยังต้องใช้ชีวิตประจำวันอยู่...

ผมจะอาบน้ำยังไงเนี่ย!!! ถ้าพี่เซฟอยู่ก็อาจจะขอให้ปลดชั่วคราว แต่นี่พี่แกหายหัวไปซะดื้อๆ โอ้ย! ปวดหัว

ผมเอามือตบหน้าผากตัวเอง ก่อนจะนวดขมับต่อ

วันนี้เป็นวันแห่งความฉิบหายอย่างแท้จริงแน่ๆ เมื่อคืนผมต้องยอมรับเลยว่าผมคิดตื้นๆเกินไปหน่อย บวกกับความรู้สึกดีใจ มันก็เลยทำให้ผมหน้ามืดตามัวไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเลยแม้แต่น้อย

อยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อคืนแล้วใช้มือตบกะโหลกตัวเองตามปีพ.ศ.จริงๆ

เฮ้ออออออ

“เป็นไร” ไอนิลที่น่าจะหายเมาขี้ตาแล้วหันมาถามผม

“หรือว่าเพราะเมื่อคืนกูจู--” ผมไม่รอให้มันพูดจบประโยค รุดตัวเอามือปิดปากมันอย่างรวดเร็วก่อนชี้ไปทางห้องน้ำ

ไอบ้า! ถ้าไอข้าวได้ยินจะทำไงห๊ะ!! กูจะเอาหน้าไปไว้ไหนไม่ทราบ!

จากนั้นมันก็พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ ผมจึงค่อยๆคลายมือที่ปิดปากมันออก

“อยากอาบน้ำด้วยกันเหรอ”

ผมมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า นอกจากมันจะไม่ได้เข้าใจอะไรแล้ว ยังเป็นไอโง่ที่โครตหื่น

เฮ้อ...


จากนั้นข้าวก็ออกมาจากห้องน้ำในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวแบบผมเมื่อวาน

“ไอข้าว หุ่นมึงนี่ดีไม่น้อยนะเนี่ย ตอนใส่เสื้อผ้าดูผอมบางแท้ๆ มีซิกแพคบางๆด้วยว่ะ” ผมใช้สายตาพิจารณาคนตรงหน้า

มันขาวด้วยนะเนี่ย ถึงจะขาวน้อยกว่าผมก็เถอะ

“อย่าจ้องงั้นดิกูก็อายเป็นนะเว้ย ถ้าพูดถึงหุ่นดีคนข้างๆมึง กับพี่เซฟอ่ะ ดีกว่ากูหลายเท่า” ข้าวพูดพร้อมกับใส่เสื้อ

เออมันก็จริง ไอนิลก็เคยอยู่บ่อยๆตอนมันอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาเดินโทงเทงในห้อง ส่วนพี่เซฟผมรู้ไม่เท่าไหร่ ไอข้าวรู้ได้ไงวะ เพราะตัวพี่เซฟไม่ใช่คนที่จะชอบเดินเปลือยอกไปมา

อืม...แต่คนมันรักมันชอบมันก็ต้องมีแอบๆดูบ้างแหละมั้ง ช่างเถอะ

“งั้นเดี๋ยวกูออกไปนั่งรอแถวๆที่พักแล้วกัน ใช้เวลานี้ให้คุ้มค่านะเว้ย”

มันทำหน้าทะเล้นก่อนจะรีบเดินออกจากห้องไป ผมสงสัยมันจริงๆว่ามันออกไปนั่งรอตามที่มันบอก หรือมันแอบไปส่องพี่เซฟกันแน่
เอาล่ะกลับมาที่ปัญหาที่ผมจะต้องเจอต่อจากนี้

ผมหันไปจ้องคนที่นั่งเหม่อนิ่งๆอยู่ เหมือนกับพร้อมจะกลับไปหลับอีกครั้ง

“ไป...อาบน้ำ...!” ผมเริ่มประหม่าขึ้นมาดื้อๆ ผมไม่ได้เตรียมใจมาก่อนนี่ ก็ผมลืมคิดไปเลยว่าผมจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ถ้ายอมไป

อีกฝ่ายสะดุ้งทันทีที่ผมพูดไป

เหมือนว่าอีกฝ่ายก็พึ่งจะรู้สึกตัวเหมือนกันว่ามันกับผมจะต้องไปอาบน้ำด้วยกัน ดูสิครับ หน้ามันแดงขนาดนี้แถมยังจ้องผมเหวอๆอีก
มันน่าด่าไหมเนี่ย

“อย่าบอกนะว่ามึงก็พึ่งรู้”

“อือ กูลืมคิด”

ถ้าผมจะเชือดมันตอนนี้เวลานี้จะเป็นอะไรไหม เฮ้อ ผมหมดอารมณ์จะหาเรื่องด่ามันต่อ

อาบน้ำทั้งกางเกงแล้วกันอย่างน้อยก็มีปัญหาน้อยกว่า ดีนะที่ใส่ขาสั้นไว้

“ไม่ต้องอ่ะ ก็ถอดแค่เสื้อแล้วอาบทั้งกางเกง แล้วค่อยเอากางเกงไปตากก็จบ”

ผมเสนอแนวทางที่แก้ไขปัญหาได้ง่ายและดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ตอนนี้

“แล้วจะเอาไปตากไว้ไหน ห้องพักมันไม่มีระเบียงสักหน่อย” นิลตอบกลับมาด้วยใบหน้านิ่งๆ

“ไม่รู้! แต่กูจะไม่อาบน้ำในสภาพเปลือยแน่ๆ!”

ไม่ได้นะ ผมไม่ยอมเด็ดขาด เกิดมันอยากทำอะไรขึ้นมา ต่อให้ผมขัดขืนคิดว่าคนอย่างผมจะสู้ได้เหรอ

“อ่า ก็แล้วแต่ แต่กูไม่เอานะ มันอาบน้ำไม่สะอาด” มันตอบมาแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว

‘ไอ้บ้า ไอ้หน้าด้าน ไอ้คอนกรีต ไอ้โรคจิต ยางอายมึงอ่ะมีบ้างไหมห๊ะ’

ผมก็ได้แต่คิดในใจเนี่ยแหละครับ มันไม่ใช่คำด่ารุนแรงอะไรหรอก แต่คือพอจะพูดไป ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนใจ ก็เลยเงียบไว้ดีกว่า

 ...แต่เดี๋ยว...

“ไอห่ากูไม่ได้อยากเห็นหนอนมึงนะเว้ย”
“ไม่เห็นหรอกหนอนอ่ะ”

ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก อย่างน้อยมันก็คงใส่กางเกงในเข้าไปสินะ อืม..ก็ยังดีกว่าไม่ใส่อะไรเลย

“เพราะมึงจะเห็นงูแทน”

ทันทีที่มันพูดผมจบก็ใช้หมัดเล็กๆอันหนักหน่วงของผม ต่อยเข้าไปที่ท้องมันอย่างไม่ลังเล

แต่มันคงไม่เจ็บหรอก ซิกแพคแน่นขนาดนี้

“หน้าด้านฉิบหาย!!”


สุดท้ายเวลาต่อมาผมกับมันก็มาอยู่ในห้องน้ำ

ตอนมันทำธุระส่วนตัว ผมก็พยายามหลับตานั่งสมาธิ จนผมแทบจะตรัสรู้ไปแล้ว เมื่อมันเสร็จนั่นแหละผมถึงกลับมาลืมตาอีกครั้ง

และตอนนี้ผมกับมันกำลังจะเริ่มอาบน้ำ ผมเริ่มอยากจะด่าตัวเองเพิ่ม เพราะหาเรื่องให้ตัวเองใช้อ่างอาบน้ำไม่ได้อีกแล้ว!

ไม่รู้แหละ ยังไงๆผมก็ต้องใช้มันสักครั้ง!

“มึงอาบไปก่อนเลย เดี๋ยวกูหลับตารอ เสร็จแล้วสะกิดด้วย”

ผมพูดกับมันในขณะที่ผมนั่งกอดเข่าหันหลังให้ แถมยังเพิ่มความปลอดภัยด้วยการหลับตา บอกแล้วไงว่าผมไม่อยากเห็นหนอน เอ่อ...ไอ้นั่นของมันนั่นแหละ!

มันก็ไม่ได้ลำบากหรอก แต่มันปวดแขนผมเท่านั้นเอง เพราะกุญแจมือมันเลยทำให้ผมปล่อยแขนตามธรรมชาติไม่ได้ ต้องยืดซะปวดไหล่เลย ทำไมมันต้องเกิดมาสูงด้วยวะ!

‘ซ่า’

ผมรู้สึกถึงสายน้ำที่ไหลผ่านตัวผม ราวกับสายฝน

“ก็บอกว่าให้อาบไปก่อนไง จะเอาฝักบัวมาอาบให้กูเพื่อ?!!” ผมตะโกนด่ามันในขณะที่ผมยังอยู่ท่าเดิม...ไม่ดิ ผมไม่ต้องยืดแขนเท่าตอนแรกแล้ว อย่าบอกนะ...

ผมกำลังจะหันไปมองเพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร แต่ก็โดนพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ต้องหันมา เดี๋ยวกูอาบให้”

จากนั้นมันก็เอามือมาขยี้หัวผม ตามมาด้วยกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดมันคือแชมพู

เดี๋ยวนะ นี่มันกะจะอาบพร้อมขัดสีฉวีวรรณให้ผมเลยหรือไง

“มึงอาบน้ำเสร็จแล้วหรือไง” ผมพูดอย่างเก็บอาการ ตอนนี้ผมกำลังสับสนกับสิ่งที่มันทำให้ผมในตอนนี้อยู่มากๆ จนผมคิดคำด่ามันไม่ออก ได้แต่พูดเบี่ยงประเด็นไปมาเท่านั้น

“อาบน้ำให้คนที่จะอาบให้อยู่”

“ห๊ะ...?” ผมนั่งพิจารณาประโยคที่มันพูดช้าๆ

อาบน้ำให้คนที่จะอาบให้เหรอ...

“ใครบอกว่ากูจะอาบให้มึงไม่ทราบ!!!”   
“ไม่มี แต่มึงก็ออกไปไหนไม่ได้เหมือนกัน ถ้ากูไม่ไปด้วย” มันพูดพร้อมเอาแชมพูขยี้กับหัวของผม
ไอนี่มันฉลาด?!
“โครตเกย์”
“แล้วเมื่อคืนมึงจูบกับเกย์ทำไมล่ะ”
“...”

ทำไมจู่ๆมันก็ร้ายกาจขึ้นนะ ผมเอาหน้าซุกกับเข่าตัวเองอย่างเขินอาย

จากนั้นเมื่อมันสระผมให้ผมเสร็จแล้ว มันก็เอาน้ำมาสาดตัวผมอีกรอบนึง

“เอ้า เสร็จแล้ว ตากู”

ตอนแรกผมก็อยากจะทำตัวอิดออดอยู่หรอก แต่พอคิดไปคิดมามันไม่ปลอดภัยเอาซะเลย ก็เลยจำยอมทำ..

แต่เดี๋ยว ตอนนี้มันโป๊อยู่นี่หว่า

“ไอนิลมึงนั่งหันหลังยัง” ผมถามเพื่อความปลอดภัยของดวงตาของตัวเอง

“อ่า”

เมื่อมันตอบรับว่าทุกอย่างโอเคแล้ว ผมก็หันหลังกลับไป

อ้าว..มันหันหลังจริงๆด้วยแฮะ เอ๊ะ นี่ผมหวังอะไรอยู่เนี่ย! ชักจะโรคจิตขึ้นทุกวันๆแล้วนะ!!

ผมก่นด่าตัวเองในใจ ก่อนจะค่อยๆอาบน้ำให้ร่างใหญ่ตรงหน้า

ไม่... ผมจะไม่คิดอะไรแปลกๆอย่างหลังนี้กว้างจัง อยากจะลูบหรือสัมผัสอะไรทั้งนั้น!

เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงเอาสายฝักบัวมาพร้อมกับเปิดน้ำแรงสุด

รีบๆอาบให้มันจบๆไปดีกว่า!





ผมไม่สามารถบรรยายอะไรต่อจากนั้นได้หรอก ไม่ใช่เพราะอายหรือเขิน เพราะผมหลับตาตลอดเวลาไงล่ะ! หลังจากที่ผมเปิดน้ำแรงสุด ไอคนตรงหน้ามันก็เหมือนจะรู้ว่าผมอยากจะทำลวกๆ มันก็เลยจับแขนผม พร้อมกับกดผมลงที่พื้นอ่าง

แหม จะพูดก็พูดเถอะ ถึงจะพูดว่าหลับตา แต่ก่อนหน้านั้นมันก็ต้องมีเห็นนิดนึงใช่ไหม ให้ตรงนั้นเป็นความลับทางสวรรค์ไปแล้วกัน

เอาล่ะกลับมาต่อจากนั้น เมื่อมันหันมาตามสัณชาตญาณของคนดี(?) มันก็ย่อมไม่อยากเห็นอะไรบัดสีใช่ไหมล่ะ ผมก็เลยหลับตาลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับโวยวายออกมาไม่เป็นภาษา

ท่ามกลางความสับสนอลหม่านหลายๆอย่าง

ลืมตาขึ้นมาอีกทีผมก็อยู่นอกห้องน้ำ พร้อมกับมีผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่คลุมไว้แล้ว โดยที่ทุกอย่างเกิดขึ้นทั้งๆที่ผมก็เอาแต่หลับตา และไอนิลไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำเดียว

อย่างกับผมไทม์สคิปมายังงั้นแหละ

“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น...” ผมถามพร้อมจ้องไปทางไอนิลที่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพเปลือยอกและมีผ้าเช็ดตัวคาดเอวไว้

ทันทีที่ผมมองผมก็เผลอคิดไปแล้วแวบนึงว่าอยากจะเข้าไปลูบกล้าหน้าท้องนั่นจริงๆ แต่ดีว่าผมยังสามารถควบคุมสติตัวเองได้ เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อย่าว่างั้นงี้เลยครับ ผมน่ะเป็นผู้ชายนะ ผมก็อยากมีกล้ามเป็นธรรมดา แต่ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้จะให้ไปเพาะกล้ามมันก็ไม่ใช่อ่ะ เตี้ยแต่มีกล้าม มันไม่ใช่จริงๆอ่ะสำหรับผม ก็เลยได้แต่มองคนอื่นเขามีไป พูดแล้วก็เศร้า

“ลองเปิดผ้าเช็ดตัวดูดิ”

หา...? มันตรงคำถามไหมเนี่ย ถึงผมจะยังคงสงสัยแต่ว่าก็ยอมเปิดดูตามที่อีกฝ่ายบอก

....

กางเกงที่ผมใส่เข้าไปตอนอาบน้ำ ‘ไม่มี’

ผมหน้าร้อนขึ้นมาเสียดื้อๆ พร้อมกับการโวยวาย

“มะ มึงทำอะไรกูเนี่ย! แค่แปปเดียวเองแท้ๆนะเว้ย! อะ ไอบ้ากาม! ไอหื่น!”

มันมองผมด้วยท่าทางนิ่งๆดังเดิม ราวกับจะบอกว่าพูดจบหรือยัง ผมที่เห็นมันนิ่งขนาดนั้นก็พูดอะไรต่อไม่ออก

“กูเห็นหนอนอยู่ในกางเกงมึง กลัวมันจะกัดเอา” จากนั้นมันก็หลุดขำออกมาเล็กๆ ปล่อยให้ผมประมวลผลคำพูดของมันต่อ

จนเมื่อผมคิดได้เท่านั้นแหละ โกรธครับโกรธ มันหยามกันชัดๆ!

ผมเปิดปากพร้อมจะโวยมันอีกรอบ

“ไอ—อุ่ก!!!”

อีกฝ่ายประกบปากผมอยากรวดเร็ว ครั้งนี้มันไม่เหมือนเมื่อคืน มันรวดเร็วและรุนแรงกว่านั้นมาก อีกฝ่ายใช้ลิ้นดุนเข้ามาอย่างรุนแรง
 
จากนั้นก็ผละออกไป

“ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มอีกก็มีค่าใช้จ่ายนิดหน่อย แต่ถ้าไม่ก็รีบๆแต่งตัวนะ” มันกลับไปทำหน้าตายราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อกี้

ผมมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงงสุดขีด ก่อนจะกลับมาหงุดหงิดที่ตัวเองโดนแกล้งอีกครั้ง

ทำไมจู่ๆมันก็กลายเป็นงี้เนี่ย! จะฉวยโอกาสบ่อยเกินไปแล้วนะ!


สุดท้ายผมก็ไม่กล้าพูดอะไรเลยแม้กระทั่งบ่น

จนในที่สุดก็แต่งตัวเสร็จจนได้

“ทำไมมันเหนื่อยแบบนี้นะ...” ผมหลุดปากพูดความคิดของตัวเองออกมา แต่โชคดีที่นิลมันไม่ได้ยิน

“มึงจะไปกินข้าวยัง” ผมถามพร้อมกับมองหน้ามันเกรงๆ

มันหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย ก่อนจะตอบ “ก็พึ่งกินไปเมื่อกี้ไง”

“หุบปากไป ไอหื่น” ผมด่ามันพร้อมส่งตาขวางให้มันแทบจะทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะเฉยชากับคำด่าของผมเช่นเคย

ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่าผมกับมันอยู่ในสถานะอะไรเนี่ย

เพื่อน หรือ แฟน ...โอ้ย ช่างแม่ง คิดไปก็ปวดขมับ ไปกินข้าวดีกว่า!

เมื่อผมออกมานอกห้องก็เจอไอข้าวนั่งรออยู่ที่โต๊ะม้าหินใกล้ๆห้องพัก

“นานแท้ ทำไรกัน” มันบ่นอุบอิบพลางจ้องผมสลับไอนิล

“ไปแดกข้าว! จะสิบโมงแล้วเดี๋ยวลงพื้นที่ไม่ทัน” ผมรีบเบี่ยงประเด็น

จากนั้นผมก็รีบเดิน...เอ่อ ผมลืมว่าผมมีกุญแจมือถ่วงชีวิตไว้อยู่ ทำให้ผมที่ตั้งใจว่าจะรีบเดินหนีอาย ก็ต้องมาเดินข้างต้นเหตุที่ทำให้ผมอายจนได้

แค่ตอนเช้าผมก็แทบจะลมจับแล้ว แล้ววันนี้ต้องอยู่กับไอ้ห่านี่ทั้งวัน!
 
ผมเหลือบตามองค้อนไปยังต้นเหตุที่กำลังเดินหน้าระรื่น ไม่สิ มันก็หน้าตายเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่แค่วันนี้มันดูอารมณ์ดีจนน่าหมั่นไส้เท่านั้นเอง

ผมถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด

ผมจะต้องเครียดตายก่อนจบวันแน่ๆ...   







ร้านอาหารแม่จ๋า
ชื่อร้านอาหารเนี่ยผมแอบขัดใจไม่น้อย มันดูแปลกๆจริงๆนะ...ก็พอเข้าใจว่าเจ้าของร้านอาจจะชื่อจ๋า แต่อย่าเอามาไว้กับแม่ได้ไหมอ่ะ
เออ ช่างเถอะ มีร้านข้าวให้กินก็กินๆไป

ผมพยายามเลือกร้านอาหารที่คนเข้าน้อยที่สุด และสะดุดตาน้อยที่สุด

ถ้าจะถามว่าทำไม มีใครกล้าเดินไปเดินมาทั้งๆที่มีกุญแจมือห้อยต่องแต่งไหมล่ะ ห้อยยังไม่เท่าไหร่ นี่ยังถูกล็อกไว้กับผู้ชายอีกคนอีก โดยเฉพาะคนๆนั้นคือไอ้นิล...

เอาเถอะมาถึงขั้นนี้แล้วก็ช่วยไม่ได้ วันๆนึงเร็วจะตาย แค่อย่าพยายามหาเรื่องใส่ตัวเพิ่มก็พอ

“เอาข้าวผัดปูครับ” ผมสั่งอาหารกับแม่ครัวไป มาทะเลก็ต้องข้าวผัดปูสิ!
“เอาเหมือนกัน” ไอนิลกับข้าวพูดขึ้นพร้อมกัน...ใจคอจะไม่คิดเมนูเองเลยใช่ไหม


จากนั้นเมื่อผมกินอาหารเสร็จ

พวกผมก็ตกลงกันว่าจะไปเดินแถวๆศาลกรมหลวงชุมพรก่อน จากนั้นค่อยเดินไปแถวๆนั้น แล้วจบที่ทะเล

ไม่รอช้า พวกผมเดินขึ้นเนินไปที่ศาลกรมหลวงชุมพรในทันที

ที่นี่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างสีขาว มีเสียงประทัดดังออกมาไม่ขาดสาย เดินตรงเข้าไปก็จะร้ายขายดอกไม้ ขายประทัด ขายธูปเทียน

ที่นี่แม้ว่าแดดจะแรง แต่ลมกลับเย็นมาก นอกจากนี้ที่นี่ยังอยู่ใกล้ทะเล เพราะเมื่อมองลงไปจากเนินทางทิศตรงข้ามกับที่พวกผมขึ้นมาก็จะเจอทะเลที่พวกพี่ๆอนุญาตให้เล่นได้
 
เมื่อพวกผมเดินดูรอบๆเสร็จสรรพ ก็ทำท่าจะลงไปเดินบริเวณอื่นต่อ

โชคดีที่ที่นี่คนไม่ค่อยเยอะเท่าที่คาด เพราะผมเดินมาสาย พวกเพื่อนๆในคณะก็คงไปที่อื่นกันหมดแล้ว บวกกับวันนี้ไม่ใช่วันหยุด ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็คงทำงานกันอยู่

และถึงจะมีคนเขาเหล่านั้นก็สนใจแต่ไอนิล กับไอข้าวสองหล่อนี่ ไม่มีใครมองผมกับกุญแจมือเลยสักคน

เพราะงั้นผมก็เลยสามารถเดินได้อย่างสบายใจแบบไม่ต้องกังวลกุญแจมือนี่มากนัก

โชคดีจริงๆ

หืม...เสียงเซียมซี?

“ไอ้นิล ไอ้ข้าว รอกูแปป กูอยากเสี่ยงเซียมซี”

พอพูดกับคนสองคนที่เดินนำหน้าผมเล็กน้อย ผมก็หันซ้ายหันขวามองหาต้นเสียง

เอาจริงๆผมไม่ได้ชอบอะไรแบบนี้หรอก ยกเว้น เซียมซีน่ะ ตอนเขย่ามันโครตสนุกเลยนะรู้ไหม

....อ๊า เจอแล้ววว....

มันอยู่ทางห้องด้านขวาของรูปปั้นสักการะกรมหลวงชุมพร

ผมรีบจูงมือไอ้ข้าว กับไอ้นิล เดินเข้าไป สวนทางกับคนที่พึ่งออกมาพอดี

เอ๊ะ...คนที่เดินออกมาหน้าตาคุ้นๆนะ

‘แอ๊ปเปิ้ล’ กับ ‘ทราย’ ?!

TBC*

------------------------

เปิดเทอมแล้ว อยากจะร้องไห้มาเป็นสายเลือด การบ้านนี่ขนาดเปิดมาแค่อาทิตย์เดียว ยังแทบถมตัวตาย ทำไมขยันสั่งกันเพียงนี้ครับคุณครู!! แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็ใกล้จะเข้าตอนจบแล้วครับ! ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดครับ *w*

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
บานาน่าโบ๊ทและเซียมซี



‘แอปเปิ้ล’ กับ ‘ทราย’ ?!

โอ้ย เจอคนยุ่งยากเข้าแล้วโว้ยยย

“อ้าว หวัดดีจ้า มาเสี่ยงเซียมซีเหมือนกันเหรอ” แอปเปิ้ลทักทายผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปถามนิลเรื่องอาการเมากาแฟเมื่อวาน

ส่วนทรายกับข้าว สองคนนี้มองหน้ากัน อืม...ผมจะอธิบายยังไงดี ถ้ามองเผินๆมันก็ดูเหมือนหนุ่มสาวกำลังเขินอายกัน

แต่ว่าถ้ามองดีๆแล้ว มันเหมือนสงครามเย็นขนาดย่อมๆมากกว่า เอ๊ะ...ถ้ามองอีกทีเหมือนฝ่ายทรายมันโจมตีไอ้ข้าวอยู่ฝ่ายเดียวเลยนี่

ผมพยายามส่งแรงใจเชียร์ไอ้ข้าวอย่างสุดความสามารถ จนกระทั่งมีเสียงทักขึ้นมาอีกครั้ง

“นี่นิล ที่ข้อมือคืออะไรเหรอ...” ยัยแอ๊บทำหน้าตาตกใจนิดหน่อยหลังจากที่เห็นกุญแจมือ

ผมถึงกับหน้าซีด ผมว่าผมพยายามซ่อนแล้วนะ ยัยนี่จะตาดีเกินไปแล้วนะ!

ในหัวผมมีแต่คำว่า ‘ฉิบหาย’ ลอยว่อนอยู่เต็มสมอง

“อะ..เอ่อ” ผมพยายามจะใช้สกิลการแถในการแก้ไขปัญหาไป แต่ว่าไอคนหล่อเลวนี่จะไม่ได้รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ

“กุญแจมือไง” ไอ้นิลมึงตอบได้หน้านิ่งมาก มึงไม่รู้สึกอะไรจริงๆเหรอ?!

เอ๊ะ..แต่สองคนนี้ก็เป็นแฟนเก่ากันมาก่อนนี่นา ถ้าจะพูดตรงๆก็ไม่แปลกอะไรหรอก


...แล้วทำไมผมต้องรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกแล้วล่ะเนี่ย...



เราไม่ได้เป็นอะไรกับมันสักหน่อย สถานะยังไม่ชัดเจนเลย แล้วจะรู้สึกแย่ไปทำไม มันก็ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ใช่ไหมล่ะ...ในเมื่อคนปฎิเสธสถานะที่ชัดเจนก็คือ ‘ตัวผมเอง’

ไม่เข้าใจเลย นี่ผมเป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย

‘หึง’ ไม่รู้สิ ผมว่ามันไร้สาระเกินไปนะ แค่คุยกันเองแท้ๆทำไมต้องรู้สึกขนาดนั้นด้วยล่ะ

“ทิวา”

เฮือก!! ผมสะดุ้งจากความคิดของตัวเอง รู้ตัวอีกทีแอปเปิ้ล กับทรายก็ไม่อยู่แล้ว ไอ้ข้าวด้วย

เดี๋ยวนะ สองคนนั้นพอเข้าใจได้ แต่ไอ้ข้าวไปไหน

“ไอข้าวไปไหนอ่ะ” ผมหันไปถามคนที่ยืนข้างๆผม


“มันบอกว่าจะไปหาพี่เซฟ”

จู่ๆก็ทิ้งเพื่อนไปหาผัวเลยเนี่ยนะ!

เฮ้อ...เอาเถอะ สงสัยว่าที่เจอกับทรายเมื่อกี้เลยทำให้ตัดสินใจเด็ดขาดขึ้นมา

ผมพยายามภาวนาให้ไอ้ข้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี



งั้นเสี่ยงเซียมซีกันดีกว่า!

“กูพึ่งรู้ว่ามึงชอบอะไรแบบนี้” ไอนิลถามผมขึ้นมา

“ไม่อะ กูชอบแค่เซียมซีแค่นั้นแหละ ถ้ามึงลองเขย่าแล้วมึงจะเข้าใจ”

อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เดินตามผมมาเงียบๆเท่านั้น

ผมค่อยๆนั่งลงในห้องเสี่ยงเซียมซี จากนั้นผมก็หยิบกระบอกเสี่ยงขึ้นมาแล้วเริ่มเขย่า

ผมชอบเสียงตอนเขย่าจริงๆนะ สำหรับผมมันน่าฟังอย่างบอกไม่ถูก

‘แกรก’

หล่นมาแล้ว อืม...เบอร์สิบสาม โห ลักกี้นัมเบอร์สุดๆ

“อ่ะ มึงก็เสี่ยงดิ” ผมส่งกระบอกไปให้มันต่อ ซึ่งมันก็เริ่มทำตามแต่โดยดี

ผมสงสัยจังว่ามันไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อนจริงๆเหรอ แต่ก็ว่าอย่างว่า ตระกูลคุณหนูก็เงี้ยแหละ

พูดถึงลูกคุณหนู จะว่าไปถ้ามองมันดีๆ ถ้าไม่นับเรื่องหน้าตาที่ออกนักเลง พฤติกรรมการแสดงออกของมันก็ดูเป็นคุณชายอยู่ไม่ใช่น้อยนะเนี่ย

อย่างบางทีมารยาทการกินข้าวของมันก็ดูปราณีตมากก็จริง แต่ดูๆไปแล้วก็เป็นธรรมชาติ

สรุปแล้วมันคือลูกคุณหนูตัวจริงเสียงจริงเลยสิเนี่ย ผมมองไปหาคนที่กำลังเขย่าเซียมซีอย่างเงอะงะ

ดูๆไปมันก็น่ารักดีนะ แบบแปลกๆน่ะ

ผมยิ้มออกมาเล็กๆ

จนในที่สุดไอ้นิลก็เขย่าเสร็จจนได้

“ได้เลขอะไร”
“เจ็ด”

จากนั้นผมก็บอกให้มันลุกขึ้นยืน แล้วเดินตามผมมาหยิบใบเซียมซี

ผมดูใบเซียมซีของตัวเองอย่างประหลาดใจ

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ...เอาเถอะน่า ของแบบนี้มันก็แค่กุศโลบาย

“ไอนิลของมึงว่าไง” ผมพับใบเซียมซีเข้ากระเป๋ากางเกงของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าหันไปถามคนข้างๆ

“ช่วงนี้คิดอะไรก็จะสมหวัง ใจความมันประมาณนั้น” ไอนิลตอบมาด้วยสีหน้านิ่งๆจนผมเดาไม่ออกว่าสรุปมันดีใจหรือไม่ดีใจกันแน่ที่ได้คำทำนายออกมาแบบนั้น

“แล้วของมึงล่ะ” มันถามผมกลับ

“เอ่อ ช่างของกูเถอะ ป่ะไปเดินรอบๆกัน ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว” ผมเบี่ยงประเด็นคำถามของมัน มันก็ไม่ได้เซ้าซี้ผมต่อ เมื่อเห็นผมไม่อยากตอบ




จากนั้นพวกผมก็เดินไปรอบๆครับ เจอขยะก็เก็บบ้าง เจอคนเดือดร้อนก็เข้าไปช่วยบ้างไรบ้าง

แต่วันนี้มันร้อนจริงๆนะ มีลมก็จริงแหละ แต่แดดมันร้อนมากเกินไปจนเดินไปไม่ถึงชั่วโมง ผมก็ต้องมานั่งพักใต้ต้นมะพร้าวแล้ว เพราะผมร้อนมากจนเดินเซ ไอนิลเห็นก็เลยพาผมมาพัก

“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเอาความเหนื่อยล้าออกมา

“ไหวไหม อ่ะน้ำ” คนที่นั่งข้างๆผมถามขึ้นมา

ผมคว้าน้ำที่ได้มันมาดื่มอย่างรวดเร็ว

เฮ้อ สดชื่นจริงๆ!!

“นั่งพักไปก็แล้วกัน แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วแหละ” ไอนิลพูดพลางจ้องนาฬิกาข้อมือ


“กี่โมงแล้วอ่ะ”
“บ่ายสองกว่าแล้ว”

เย้!! เวลาฟรีไทม์ของผม!

“งั้นกลับห้องพักกันเถอะ!!” ผมพูดอย่างเริงร่า จะได้ไปนอนตากแอร์เย็นๆรอเวลาสันฯอย่างเดียว

แหม ช่วงนี้จะมีโชคของไอนิลสงสัยจะเผื่อแผ่มาทางผมด้วยนะเนี่ย โชคดีจริงๆที่วันนี้ผ่านไปด้วยดี โดยแทบไม่มีคนเห็นกุญแจมือนี่!
มันพยักหน้าแล้วก็เดินกลับห้องพร้อมกับผม




ห้องพัก

เมื่อถึงห้องไอ้นิลก็ดึงตัวผมดุ่ยๆไปที่สัมภาระของมัน

“หืม..มีไร” ผมมองมันที่กำลังค้นของอยู่

“อ่ะนี่ ชุดว่ายน้ำ มึงไม่ได้เอามาใช่ไหม”

มันยื่นชุดว่ายน้ำมาให้ผม มันเป็นกางเกงตัวเล็กๆ เนื้อผ้าเป็นผ้าแบบใส่สบาย ไม่ใช่ชุดว่ายน้ำรัดติ้วแบบใช้ว่ายในสระน้ำ

ผมจ้องหน้ามันอย่างงุนงง

“มึงไม่ได้เอาชุดมาไม่ใช่เหรอ” ไอ้นิลถามผม

“ใช่ ไม่ได้เอามา...แต่มึงจะไปเล่นน้ำเหรอ”

มันพยักหน้าตอบกลับมา   

อืม เอาไงดีหว่า คือผมก็ไม่ได้อยากเล่นด้วยเนี่ยสิ แต่จะพูดไปตรงๆก็กลัวเสียน้ำใจมันอีก อุตส่าเอาชุดว่ายน้ำมาให้ด้วย
แถมหน้าตายังดูตื่นเต้นแบบที่ไม่เคยเป็นสุดๆ!

แต่ถ้าจะให้ไปเล่นทั้งๆที่ไม่เต็มใจมันก็...

ลองปฎิเสธดีๆดูแล้วกัน

“โทษทีว่ะมึง แต่กู--” ผมมองหน้ามันขณะพูด แต่ตอนนี้คนหน้าตาย กำลังทำหน้าผิดหวังแบบสุดๆเลยครับ
ทำไมรู้สึกตัวเองดูเลวขึ้นมาทันที

“กู...กู..กูไปเล่นก็ได้”

มันกลับมาหน้าตาสดใสอีกครั้ง เฮ้อ...มันอายุเท่าผมจริงป่ะเนี่ย





ชายหาด


สุดท้ายผมก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาทะเลจนได้ ช่วงเปลี่ยนเป็นชุดนี้ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ แค่เคลื่อนไหวลำบากนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ขนาดนั้น ผมแค่ต้องหลบตาไม่ได้เผลอไปมองส่วนล่างของมันแค่นั้นแหละ เล่นเอาเกือบแย่เหมือนกัน

ตอนนี้ทุกสายตาจับจ้องมาทางผมและไอ้นิลครับ ซึ่งมันก็ไม่ได้แปลกอะไรหรอก ไอคนที่ยืนข้างผมเนี่ยโครตดูดีอย่างกับนายแบบขนาดนี้ จะมองกันมากมายก็คงไม่แปลกอะไร

แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีคนเห็นว่าเทพบุตร กำลังโดนล็อกตัวอยู่กับผู้ชายที่มองยังไง๊ยังไงก็ไม่แมน

หึ คงไม่มีใครมองไอ้นิลแย่ลงหรอก อย่างดีมันก็แค่มองไอนิลเปลี่ยนไปแบบ เอ้อไอนี่ไม่แมนนะเว้ย

แต่ผมเนี่ยสิ! จะโดนมองยังไงก็ไม่รู้!

แค่เกิดมาหน้าหวาน ผิวขาว ตัวเล็ก ขนตายาวแค่เนี่ย!! ทำม๊ายยยยย(ร้องไห้)

เกลียดมนุษย์ก็ตรงนี้นี่แหละ! แต่จะไปด่าก็ไม่ถูก เพราะใช่ว่าผมจะไม่เคยทำ มองคนจากภายนอกเนี่ย

เพราะงั้นผมก็เลยต้องแก้ปัญหาด้วยการเอามือข้างที่มีกุญแจมือไขว้ไว้ด้านหลัง อาจจะโดนมองว่าเป็นแฟนกันก็จริง แต่ก็ยังดีกว่าโดนนินทา
ไอนิลมองมาทางผมที่จู่ๆกับจับมือมันแล้วเอาไขว้หลังไว้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“มีอะไร” ผมเงยหน้าขึ้นไปมองมัน ไม่ใช่ว่าผมไม่เขินนะที่ทำแบบนี้เนี่ย แต่มันจำเป็น! เข้าใจไหม!!

“เปล่า” มันยิ้มบางๆมาให้ผม

ผมยอมรับเลยว่าทุกครั้งที่มันยิ้มให้ผม ไม่ว่าจะจากสาเหตุอะไรก็ตาม

...ใจผมสั่นทุกทีเลย...

คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ยิ้มโครตดูดี  เกลียดจริงๆ

อืม..เอาจริงๆถ้าให้ผมนั่งเล่นๆอยู่ริมชายหาด ผมก็โอเคนะ แม้มันจะร้อนไปหน่อย แต่ลมจากทะเลมันก็ทำให้ผมลืมเรื่องนั้นได้อย่างสบายๆ

“ไปเล่นน้ำกัน!” ผมหันไปมองไอนิลแบบโครตตกใจ

มันเอ่ยปากชวนคนอื่นเป็นด้วย! น้ำเสียงดูตื่นเต้นสุดๆ แม้ว่าหน้าตาจะไม่ใช่เลยก็ตาม!

แต่เอาเถอะ มันชวนทั้งที ไปก็ได้

ผมยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้มัน นี่ถ้าไม่ติดว่าผมตัวเล็กกว่า ผมคงจะมองว่าไอ้นิลเป็นฝ่ายรับไปแล้วนะเนี่ย ดูแต่ละอย่าง อย่างกับเด็กแหนะ
เอ๊ะ นี่ผมคิดอะไร



จากนั้นเมื่อเล่นน้ำไปสักพัก ไม่สิ มันเล่นอยู่คนเดียวชัดๆ ผมก็แค่เดินตามมันเท่านั้นเอง คนบ้าอะไรไม่รู้เล่นคนเดียวได้ เหมือนเดินไปตีน้ำไปอย่างเดียว จนผมสงสัยว่ามันสนุกจริงๆเหรอ

“ไอนั่นใช่ บานาน่าโบ๊ทป่ะวะ”

ผมมองไปทางตามที่ไอ้นิลชี้ เรือสีเหลืองสดใสกำลังจอดอยู่ใกล้ๆชายหาด

“อ่าใช่”

“อยากลองเล่นดูอ่ะ”

“ไม่” ผมปฎิเสธทันควัน

บานาน่าโบ๊ทเนี่ยผมเคยเล่นมาก่อนครั้งนึงสมัยมัธยมต้น มันจะต้องขับไปช่วงกลางทะเล ซึ่งแถวนั้นผมยืนไม่ถึง! ไม่หรอกยืนถึงแหละ แต่มันเกือบๆจะมิดหัวผมเท่านั้นเอง แม้มันจะมีเสื้อชูชีพให้ แต่ความกลัวอ่ะครับ เคยกลัวแล้ว มันก็ยังกลัวอีกอยู่ดีนั่นแหละ
 
ผมเป็นโรคกลัวน้ำลึก ตราบใดที่ผมรู้ว่าผมยืนไม่ถึง อย่าหวังว่าผมจะเดินไปตรงนั้น ไม่แม้แต่จะเฉียดด้วยซ้ำ เพราะงั้นผมถึงได้เกลียดทะเล ที่ไม่มีบอกว่าตรงไหนลึกเท่าไหร่ ไม่เหมือนน้ำสระ

ไอนิลมองผมด้วยสีหน้าผิดหวัง หึ อย่าหวัง ผมไม่ไปเล่นแน่ๆ! แค่ยอมมาเล่นน้ำด้วยก็บุญเท่าไหร่แล้ว!

ผมพยายามใจแข็งสู้มัน แต่ว่ามันก็เอาแต่จ้องผมเป็นน้องหมาหน้าหงอย และมันเริ่มจะเอาหัวมาไถๆตัวผมแล้ว

“ขนลุกว้อย!! มึงคิดว่าตัวเองทำแล้วจะน่ารักมากหรือไงห๊ะ!” มึงไม่ใช่คนตัวเล็กน่ารักสักหน่อยที่ทำท่าแบบนี้แล้วผมจะใจอ่อน

“ทิวา ไม่ได้หรอ” พอมันเห็นว่าอ้อนด้วยท่าทางไม่ได้ ก็เริ่มใช้เสียงแทน

“ทิวา” อึก ไอ้ลาเต้ มึงต้องใจแข็งไว้นะเว้ย มึงต้องใจแข็ง!





“อ้าว จับแน่นๆนะครับ เรือจะออกแล้ว” เสียงคนขับเรือดังมาจากด้านหน้าผม

ทำไมกัน ทำไม! ทำไมผมถึงเผลอใจอ่อนยอมทำตามมันอีกแล้ว! ฮึก...หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วกู

คุณพ่อคุณแม่ครับ...ทำไมลูกคุณพ่อคุณแม่ถึงเป็นคนแบบนี้นะครับ

จากนั้นเรือก็เริ่มออกจนได้ ในตอนนี้ผมนั่งอยู่ด้านหน้าสุด นิลนั่งต่อจากผม ส่วนอีกสามที่ด้านหลังเป็นเพื่อนร่วมคณะที่ผมไม่รู้จัก มีหญิงแท้สอง หญิงเทียมอีกหนึ่ง

เอาเป็นว่าผมรู้อย่างเดียว สามคนนี้มันเห็นกุญแจมือของผมกับนิล แล้วก็ซุบซิบนินทากันอย่างไม่หยุดปาก ผมก็ไม่รู้จะไปแก้ตัวยังไงดี ก็เลยปล่อยเลยตามเลย บวกกับผมไม่มีอารมณ์จะไปต่อล้อต่อเถียงด้วย

ก็ตอนนี้ผมเครียดกับเรื่องที่ตัวเองจะเจอต่อจากนี้มากกว่าน่ะสิ!

หลังจากที่บานาน่าโบ๊ทเริ่มเคลื่อน ก็จะเปรียบเสมือนกับการนั่งเรือรับลมธรรมดาๆ ซึ่งเมื่อผมหันไปมองคนด้านหลังผมก็เห็นไอ้นิล นั่งหันมองไปทางทะเลที่แผ่กว้างออกไปสุดลูกหูลูกตาด้วยความตื่นเต้น

อืม อย่างน้อยผมก็เห็นแบบนั้นล่ะนะ

ส่วนสายตาสามคนหลัง ถึงแม้ผมจะไม่ได้เห็นตรงๆ ผมก็มั่นใจได้ว่าสามคนนั้นกำลังหลงสเน่ห์ไอนิลอย่างแน่นอน เพราะถ้ามองในมุมมองคนอื่น เหมือนกับไอ้นิลกำลังถ่ายเอ็มวีอยู่มากกว่า

แสงแดดที่กระทบพื้นน้ำแล้วสะท้อนไปที่ตัวนิล สายลมที่พัดเส้นผมของไอนิลให้ปลิวไสว บวกกับรอยยิ้มมุมปากของมัน โครตเท่ โครตคูล โครตงานดี สุดยอดแห่งความหล่อลากกระชากไส้

เพราะงั้นผมจึงรู้สึกภูมิใจอยู่นิดหน่อยที่ไม่หลงสเน่ห์ที่มันปล่อยออกมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เฮ้อ แต่ก็ยอมรับแหละว่าผมก็แอบเขินๆมันอยู่นิดหน่อย เพราะมันก็ดูดีจริงๆ

จากนั้นเรือก็เริ่มแล่นเร็วขึ้น ผมหันหน้ากลับมามองข้างหน้าเช่นเดิม

ผมที่มีประสบการณ์การนั่งบานาน่าโบ๊ทมาก่อนสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ผมจับเรือให้แน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
กำลังจะเทกระจาดแล้ว

พอคิดภาพที่ตัวเองนั่งรอดอยู่บนเรือคนเดียว แล้วที่เหลือตกน้ำ มันก็ทำให้ผมสะใจไม่น้อย

อยากเห็นภาพไอหล่อตกน้ำแล้วเว้ย ผมหัวเราะในใจ

ทันทีทันใด เรือเลี้ยวกลับอย่างกะทันหัน ทำให้คนที่นั่งอยู่บนบานาน่าโบ๊ทถูกแรงเหวี่ยงจนหล่นจากเรือไป

ในจังหวะนั้นผมจับเรือไว้แน่นมากชนิดที่ว่าผมไม่คิดว่าตัวเองจะหล่นไปได้

แต่ผมลืมไปอย่าง

ลืมไอห่า ‘กุญแจมือ’ เนี่ย!!!
เพราะงั้นเมื่อไอ้นิลร่วงลงไปจากเรือ กุญแจมือมันก็กระชากผมลงไปด้วย

‘ตูม’

ผมเกร็งร่างกายอย่างรวดเร็วด้วยความผวา ก่อนจะรีบโผหาที่เกาะอย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่ใกล้ที่สุดก็คือแขนของไอ้นิลเนี่ยแหละ

กูตาย มึงก็ต้องตายแหละวะ! 

“เฮ้ย ใจเย็นๆ” ไอ้นิลพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

ใช่ สถานการณ์แบบนี้ต้องใจเย็นๆ เสื้อชูชีพก็มีอยู่ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกยาว

หือ...ที่เท้าของผมสัมผัสได้ถึงทราย ผมจึงค่อยๆเย่งขาแตะดู

ผมยืนถึงนี่หว่า...

น้ำสูงถึงแค่อกผมเท่านั้นเอง

จริงสิ ก็ที่ผมเล่นเมื่อตอนนั้นมันคือมอต้นนี่นา ตอนนี้อยู่มหาลัยแล้ว มันก็ต้องสูงขึ้นดิ

ผมหันไปหาไอ้นิล ก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนร่วมคณะที่ไม่รู้จักอีกสามคน หรือแม้กระทั่งคนขับเรือ

ทุกคนกำลังกลั้นขำอยู่

...ผมจะไม่ลืมความเจ็บปวดนี้เด็ดขาด...

...อย่าหวังว่าผมจะเล่นไอ้บานาน่าโบ๊ทอีกเป็นครั้งที่สาม...   

ในที่สุดทุกอย่างก็จบลง พร้อมกับบาดแผลแห่งความทรงจำของผม

ฮึก...ทำไมกันนะ ผมโครตอับอายขายขี้หน้าสุดๆ ถึงแม้ว่าคนที่รู้จะมีแค่ห้าคนก็เถอะ

ตอนนี้ผมมานั่งพักอยู่ที่ริมหาด ถ้าผมจำเวลาไม่ผิดตอนนี้ก็น่าจะราวๆสี่โมงเกือบห้าโมงแล้ว ได้เวลากลับไปอาบน้ำกินข้าวเย็นรอเวลาสันฯ อีกรอบนึง

“มึงเป็นอะไรมากไหม” ตอนนี้ไอ้นิลกลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมแล้ว

ผมมองมัน แล้วก็ส่งสายตาสิ้นหวังไปให้มันเท่านั้น

หึ! อย่างที่คิด สุดท้ายวันนี้ผมก็เจอเรื่องอับอายจนได้ และสาเหตุก็มาจากกุญแจมือจริงๆ!

สงสัยเซียมซีที่นี่จะไม่แม่นซะแล้วล่ะมั้ง

ผมค้นกระเป๋ากางเกงเพื่อจะเอาใบเซียมซีมาโยนทิ้งลงน้ำไป

อ๊ะ...จริงสิ มันอยู่ในกางเกงก่อนเปลี่ยนมาเป็นกางเกงว่ายน้ำนี่หว่า

“ป่ะ กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน”

ผมลุกขึ้นก่อนจะชวนมันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ตอนนี้มันดูรู้สึกผิดไม่น้อยที่ชวนผมไปเล่นบานาน่าโบ๊ท

ผมหัวเราะให้มันเล็กๆก่อนจะพูดปลอบใจ

“โอ้ย ไม่ต้องคิดมากหรอก ผ่านไปแล้วก็แล้วไป กูก็คิดมากแป๊ปๆเท่านั้นแหละ เป็นไงสนุกไหมล่ะ”

มันที่เห็นว่าผมไม่ได้คิดอะไรมากก็สีหน้าดีขึ้นมาหน่อย

“อื้ม หนุกดี” 





ที่ห้องพัก

ตอนนี้ผมต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกครั้งครับ....

ผมยังไม่ได้ลืมเรื่องเมื่อเช้าหรอกนะ เพราะงั้นครั้งนี้ต้องมีมาตรการเพิ่มเติม!

“ไอ้นิล ครั้งนี้มึงต้องอาบเองนะว้อย ไม่เอาแบบเมื่อเช้าแล้วนะ!”

ครั้งนี้มันพยักหน้าทำตามแต่โดยดี ไม่แปลกหรอก ก็เล่นก่อเรื่องให้ผมขนาดนั้น มันก็สมควรอยู่ ถ้ามาดื้อๆเดี๋ยวตบหัวทิ่ม

ว่าไปนั่น ถ้าเกิดมันจะดื้อขึ้นมาจริงๆผมก็ห้ามไม่ได้หรอก

ผมกับมันค่อยๆเดินเข้าไปในห้องน้ำ โดยที่ครั้งนี้ไม่ได้ร่างกายเปลือยเปล่า เพราะผมขู่มันไว้ว่าถ้าถอดหมด ผมจะเคือง มันก็เลยยอมๆทำตามไปแต่โดยดี

ผมเอื้อมมือไปเปิดฝักบัวให้น้ำไหลผ่านตัวผม ครั้งนี้ผมขออาบก่อนเพราะผมไม่ชอบกลิ่นน้ำทะเลที่ติดตัวอยู่

“นี่ทิวา มึงคิดยังไงกับกูกันแน่”

ผมหันขวับไปหามัน ทำไมจู่ๆก็มาคำถามเครียดเฉยเลยวะ ผมไม่เข้าใจระบบการคิดของไอนิลเลยจริงๆ

ตอนนี้ผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ถ้าจะไม่ตอบแล้วหนีไปแบบในนางเอกละคร ผมก็ไม่อยากจะทำ แถมมันจะทำให้คนตรงหน้าเสียเซลฟ์ด้วย มีแต่เสียกับเสีย

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกนึง ก่อนจะมองไปที่คนตรงหน้าแบบตรงไปตรงมา

“กูก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองหรอก แต่ตอนนี้กูรู้สึกชอบมึง...อือ ชอบนั่นแหละ”

ผมพยายามเก็บอาการตัวเองไม่ให้ใบหน้าร้อนไปมากกว่านี้ มันมีใครที่ไหนพูดสารภาพรักกันแบบโต้งๆอย่างผมมั่งล่ะ

...เอ๊ะ ก็มีนี่หว่า คนตรงหน้าผมนี่ไง...

“มึงนี่นึกว่าจะมาแนวขี้อายซะอีก กูนึกว่าชาตินี้จะต้องอยู่แบบนี้ไปทั้งชาตินะเนี่ย”

เฮ้ย ไอห่านี่ เอาความโรแมนติกคืนมานะเว้ย หรือมันไม่มีตั้งแต่แรกแล้ว

จากนั้นมันก็ยิ้มออกมา มันเป็นยิ้มที่ดูดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นในชีวิตนี้แล้วจริงๆ ยิ้มที่ออกมาจากใจ ยิ้มที่แสดงถึงความดีใจอย่างแท้จริง

“งั้นเป็นแฟนกันนะ”

ตอนแรกผมว่าจะไม่เขินแล้วนา แต่ประโยคนี้ยังไงๆมันก็ทนไม่ไหวนะเนี่ย ขนาดน้ำที่อาบยังช่วยให้หน้าผมหายร้อนไม่ได้เลย

นี่ร้อนยันหูแล้วนะเนี่ย...

ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเทพบุตรสุดหน้าตาย(แต่รวย) จะมาบอกชอบคนอย่างผมที่แสนจะขี้โวยวายอย่างกับป้าในตลาดนัด
 
...ดีใจ...

ถึงมันจะไม่ได้ผ่านความลำบากอะไรมามากมายก็เถอะ ถึงมันจะราบรื่นจนน่ากังวลก็เถอะ แต่แค่ตอนนี้ผมก็มีความสุข

แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่หรือไง

“อื้ม ดูแลกูดีๆแล้วกัน ถ้านอกใจกูฆ่าทิ้งจริงๆนะ” ผมหัวเราะทั้งๆที่ร่างกายร้อนผ่าวจากการเขินอาย

...ใบเซียมซีตอนแรกที่ว่าจะโยนทิ้ง ท่าทางผมคงต้องถอนคำพูด มันแม่นจริงๆจะเสียด้วย...

คนตรงหน้าผมเอามือดันกำแพงห้องน้ำไว้ ก่อนจะค่อยๆโน้มตัวลงมาหาผม อีกฝ่ายก็หน้าแดงเช่นเดียวกันกับผมนั่นแหละ ผมค่อยๆหลับตาลงช้าๆ รอรับสัมผัสอันแสนอบอุ่นที่อีกฝ่ายจะมอบให้

...ใบเซียมซีของผมน่ะนะ...

ริมฝีปากอันแสนหยาบกร้านของอีกฝ่ายสัมผัสผมอย่างแผ่วเบา และอ่อนโยน

...มันบอกว่า...

ลิ้นของอีกฝ่ายค่อยๆเปิดปากของผมที่เม้มไว้บางๆ

...จงเชื่อมั่นในรักที่เจ้ามี ความรักนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นความสุข...

ความรุนแรงและอบอุ่นมันเกิดขึ้นพร้อมๆกันจนผมแทบจะละลายไปพร้อมกับน้ำที่ผ่านตัวผม

...หากแม้นเมื่อใดเจ้ามีทุกข์ จงเชื่อในความสุขที่เจ้ามี...


ตอนนี้ผมมีความสุขจนแทบบินได้

แต่ผมก็ต้องปรามมือของไอ้คนตรงหน้าที่พยายามลูบไล้ตัวผมไม่เลิก

“อย่ามาเยอะไอ้หื่น อาบน้ำ!”

อีกฝ่ายทำท่าหงอยๆ แต่ก็ไม่ทำอะไรต่อ ยอมอาบน้ำตามที่ผมบอกแต่โดยดี

ในที่สุดผมกับมันก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จจนได้

ครั้งนี้ค่อนข้างรวดเร็ว เพราะผมแทบไม่อายอะไรแล้ว ส่วนไอนิลมันก็ไร้ยางอายของมันอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาอะไร

แหม จะมีอะไรน่าอายไปกว่าเรื่องบานาน่าโบ๊ท กับการสารภาพรักในห้องน้ำอีกล่ะ

จากนั้นผมกับมันก็เตรียมตัวจะออกจากห้องเพื่อไปร่วมกิจกรรมสันทนาการต่อจากนี้

อ๋า จริงสิ...

“ไอนิลแป๊ปนะ เดินตามกูมาก่อน”

ผมรีบมุ่งหน้าไปยังกางเกงตัวเก่า หยิบใบเซียมซีที่พับไว้ออกมา ก่อนจะเก็บไว้ในกระเป๋าสัมภาระอย่างดี

เซียมซีใบนี้คงเป็นใบแรกและใบเดียวที่ผมจะยอมเก็บไว้อีกนานเลยล่ะ

“ป่ะ เสร็จแล้ว” ผมหันไปมองไอนิล ที่ตั้งแต่ออกจากห้องน้ำมาก็ยังยิ้มไม่หุบ ราวกับว่าไอ้นิลหน้าตายไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

เฮ้อ...ถ้าออกไปสภาพนี้ปกติก็เด่นพออยู่แล้ว แถมไอ้นิลยังยิ้มเรียกความเด่นเพิ่มอีกให้ตายสิ

ก่อนที่มันจะเปิดประตูออกจากห้องไป ผมก็รวบรวมความกล้า เขย่งตัวขึ้นไปหอมแก้มมัน

กอดจะลงมามองมันด้วยทีท่าเขินๆ มันเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน แต่เมื่อมันตั้งสติได้มันก็ก้มมาหอมแก้มผมกลับ

ผมลูบแก้มตัวเองเบาๆ...

“เดี๋ยวไปหาพี่เซฟให้ปลดกุญแจมือออกได้แล้วล่ะ เพราะตอนนี้กูได้แฟนแล้ว ไอนี่มันคงไม่จำเป็นอีกต่อไป” มันพูดก่อนจะหัวเราะเล็กๆ ก่อนจะพูดต่ออีกครั้ง

“ใบเซียมซีของกูนี่ก็แม่นเหมือนกันนะ”
 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด