Sorry,โทษทีครับผมรักเพื่อนใหม่ l ☻Update☻ [บทที่ 14] !!(end)♣
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Sorry,โทษทีครับผมรักเพื่อนใหม่ l ☻Update☻ [บทที่ 14] !!(end)♣  (อ่าน 12404 ครั้ง)

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ BetaCosmos

  • 'w' ดีจ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
แฟนคลับ

[พาร์ทเซฟ]


“พี่เซฟปลดได้แล้ว” เสียงใสๆ ดังมาจากหนุ่มน้อยหน้าตาน่ารักตรงหน้าผม น้องชายในที่ทำงาน ลาเต้นั่นเอง

“ยังไม่จบวันเลยนี่นา” ผมยิ้มตอบกลับไปด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเบี่ยงไปมองชายอีกคนที่สูงพอๆกับผม
หืม...สองคนนี้ดูแปลกๆไปนะ

“พวกผมเป็นแฟนกันแล้วครับ”
“ไอบ้า มึงเคยอายบ้างไหมเนี่ย!”

หืม งั้นเหรอ ผมแอบประหลาดใจไม่น้อยที่อยู่ๆสองคนนี้ก็มาเปิดตัวกับผมเฉยเลย แต่ถามว่าผมตกใจมากไหม ก็ไม่ขนาดนั้น เพราะผมก็กะอยู่แล้วว่าไม่เร็วก็ช้า ยังไงสองคนนี้ก็ต้องลงเอยเช่นนี้

ทั้งสองคนต่างก็ชอบพอกัน มันอาจจะดูสวยหรูก็จริง แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว ราวกับสองคนนี้เกิดมาเพื่อกันและกันอย่างไรอย่างนั้น

“งั้นเหรอ ยินดีด้วยนะ แต่บทลงโทษก็คือบทลงโทษ จบวันก็คือจบวัน เข้าใจไหม” จากนั้นผมก็หัวเราะออกมาเล็กๆ

ลาเต้ทำหน้ามุ่ย ส่วนนิลก็ยังปกติ ออกจะดีใจเล็กๆด้วยซ้ำ

จากนั้นทั้งสองคนก็เดินจากไป

วันนี้ผมยังไม่เห็นข้าวเลย

ไม่สิเห็นแล้วแหละ แต่อีกฝ่ายเอาแต่เดินสตอร์กเกอร์ผม ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้ตัว ผมรู้ แต่ผมแสร้งเป็นไม่รู้เท่านั้นเอง

ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เดินมาหาแบบทุกที

จะว่าไป...ตอนนั้นไอ้ข้าวมันตั้งใจจะบอกอะไรผมกันนะ

ถ้าให้ผมเดามันก็คงเป็นการบอกชอบนั่นแหละ

ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำตัวอ้ำๆอึ้งๆ ไม่พูดออกมาเลย

แต่โชคร้ายจังหวะนั้นทรายเข้ามาพอดี รู้ตัวอีกทีข้าวก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน

ตอนนี้ผมอยู่บริเวณที่ทางที่พักจัดไว้ให้สำหรับจัดกิจกรรม มันเป็นที่คล้ายๆศาลาใหญ่ๆ เปิดโล่งสี่ด้าน
 
มันไม่ค่อยเก็บเสียงก็จริง แต่นี่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว เพราะงั้นจึงไม่ค่อยมีคน ใช้งานได้อย่างสบายๆไม่ต้องกังวลเรื่องเสียงไปรบกวนคนอื่น

“น้องเซฟไปเอาไมค์จากห้องเก็บของด้านหลังห้องพักฝั่งนั้นที” รุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา
“อ่าได้ครับ”

จากนั้นผมก็เดินไปที่ห้องเก็บของตามคำสั่ง





ห้องเก็บของ

ผมใช้เวลาสักพักในการหาไมค์ เพราะที่นี่แม้ของจะจัดไว้อย่างเป็นสัดส่วน แต่มันก็ค่อนข้างระเกะระกะอยู่

เมื่อผมหาเจอแล้วกำลังจะออกมมาจากห้อง ผมก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหน้าห้องเก็บของ

“นี่รู้ตัวบ้างไหมว่าตัวเองอ่ะโรคจิต!” เสียงแหลมใสดังขึ้น ผมจำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้ดี ผู้หญิงที่เข้ามาป้วนเปี้ยนกับผมบ่อยๆ

‘ทราย’

แม้เธอจะหน้าตาสะสวยขนาดไหน แต่นิสัยของเธอน่ะร้ายกาจ ผมรู้มาตลอดนั่นแหละ แต่ทำไงได้ผมไม่ได้สนใจการมีอยู่ของเธออยู่แล้ว เธอเข้ามาผมก็คุยแบบที่ทำกับคนอื่นๆเท่านั้นเอง

ความจริงถ้าข้าวไม่ไปตามสตอร์กเกอร์ผมเมื่อตอนนั้นผมอาจจะได้เสียกับเธอคนนี้ไปแล้วก็ได้

แล้วเธอกำลังพูดกับใครนะ

ตอนแรกผมว่ากะจะเดินไม่สนใจไม่แคร์โลกออกไปให้รุ่นน้องคนนี้รู้ตัว แต่เมื่อผมแอบแง้มประตูห้องเก็บของส่อง ผมก็ตัดสินใจที่จะดูทีท่าต่อไป

เพราะคนที่ทรายกำลังคุยด้วยคือ ‘ข้าว’


“ตอนนั้นนายก็ยังเอาชนะใจตัวเองไม่ได้เลย เพราะงั้นก็เลิกยุ่งกับเขาได้แล้ว!” ทรายพูดต่อ

ข้าวก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป เพียงแต่มองตรงไปทางทรายด้วยสายตาเศร้าๆ

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง แล้วเริ่มพูดต่อ

“ผมชอบพี่เขา ชอบมาก เพราะงั้นแล้ว ให้ผมได้อยู่ข้างๆพี่เขาเถอะ ถึงผมจะพูดไปตรงๆไม่ได้ เพราะงั้นขอแค่นี้ก็ได้ ผมอยากจะอยู่ข้างๆพี่เขา”

แม้มันจะดูเป็นเหมือนประโยคขอร้อง แต่สายตาที่แสดงออกมากลับไม่ได้มีวี่แววการขอความเห็นใจเลย

อืม ข้าวชอบผมจริงๆสินะ ผมไม่ได้ตกใจเลย ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความประหลาดใจ เพราะมันก็เห็นๆกันอยู่แล้ว

แต่พอได้ยินก็แอบดีใจนิดหน่อยเหมือนกัน ผมไม่เข้าใจตัวเองเลย

“ไม่ได้!!” เสียงแหลมสูงดังขึ้นอีกครั้งด้วยความเกรี้ยวกราด จากมุมตรงนี้ผมมองไม่เห็นว่าทรายทำหน้ายังไง แต่สังเกตจากสีหน้าของข้าวแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกำลังโกรธอย่างจริงจังสินะ

“นายไม่รู้หรือไงว่าพี่เซฟคิดยังไงกับนาย! เพราะงั้นถ้าให้นายอยู่ข้างๆพี่เซฟต่อ ฉันก็ไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆพี่เขาอีกน่ะสิ!!”

ข้าวทำหน้าประหลาดใจอย่างมาก เมื่อได้ยินสิ่งที่ทรายพูด ผมเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน

...นั่นสิ ผมคิดยังไงกับข้าวกันนะ...

ขนาดเจ้าตัวยังไม่รู้แล้วเธอจะมารู้ได้ยังไง

ผมเดินออกมาจากห้องเก็บของ ทำให้ทั้งสองคนหันมามองผมเป็นตาเดียว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเดินออกมาจังหวะนี้ แต่ว่าบางอย่างมันบอกว่าให้ผมเดินออกมาน่ะ

แล้วผมก็รู้สึกสนุกนิดหน่อยที่ได้เห็นรุ่นน้องผู้หญิงสุดสวยดีกรีดาวคณะ ทำหน้าตาบิดเบี้ยวอย่างกับเห็นผี

ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครพูดอะไร จนผมจะลากไอข้าวให้เดินไปกับผมนั่นล่ะ ทรายถึงเริ่มปริปาก

“ทำไมพี่ถึงต้องชอบคนอย่างมันล่ะคะ!!! มันเป็นผู้ชายนะ!! หนูสิทั้งสวยขนาดนี้ แถมเป็นผู้หญิงอีก ทำไมพี่ถึงไม่ชอบหนูล่ะ!!”
“ไม่เอาสิทราย อย่าเหยียดเพศ อีกอย่างพี่ไม่เคยพูดซักหน่อยว่าพี่ชอบข้าว”

ผมพูดพร้อมกับแอบเหลือบมองไปทางข้าว เมื่อจบประโยคผมก็เห็นข้าวหน้าตาหมองลงในทันที

อย่าแสดงอาการชัดเจนขนาดนี้สิ

“งั้น...” ทรายทำสีหน้าดีใจขึ้นมา

“แต่พี่ก็ไม่เคยพูดว่าพี่ไม่ชอบผู้ชาย”

คราวนี้ข้าวเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสีหน้ายากจะอธิบาย มันดูๆเหมือนดีใจ ประหลาดใจ และซึ้งใจรวมๆกัน

กลับกันทรายทำหน้าบูดบึ้งในทันที

ผมว่าผมเลวไปหน่อยล่ะมั้งเนี่ย พูดให้เขาหวัง แล้วก็หักหลังกันดื้อๆ

แต่ทำไงได้ ก็นี่มันตัวผมนี่นา

“ฉันเกลียดแก ข้าว” ทรายพูดออกมาพร้อมน้ำตา มันช่างดูน่าสงสารจนถ้าเป็นคนปกติ คงเดินเข้าไปปลอบแล้ว แต่คงยากหน่อย เพราะผมก็คือผม ผมไม่เห็นใจคนอื่นหรอก

“ขอโทษนะ...” เสียงออกมาจากคนข้างๆผม มันจะขอโทษไปทำไมวะ มันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ผมมองมันอย่างไม่เข้าใจ
 
จากนั้นทรายก็วิ่งแทรกผมกับข้าวไป

เฮ้อ แย่จริง ถ้ารู้ว่าเป็นแบบนี้อยู่ฟังจนจบก็ดีหรอก ไม่น่าออกมาเลย

“ทำไมมึงต้องไปพูดยังงั้นอ่ะ ยังไงทรายก็เป็นผู้หญิงนะ พูดน่าจะดีๆกว่านี้หน่อย...”

คนตัวเล็กหน้าหล่อ หันหน้ามาพูดตำหนิผม

“มึงนี่แมนกว่ารูปร่างหน้าตาเยอะเลยนะเนี่ย”

“อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”

“เฮ้อๆ ได้ๆเดี๋ยวไว้จะตามไปขอโทษที่หลังแล้วกัน” ผมเอามือลูบท้ายทอยแก้เก้อ ให้ตายสิ ผมคงโดนคุณธรรมกลืนกินจากคนตรงหน้านี้แน่ๆ

“สัญญานะ” ข้าวพูดพร้อมพร้อมทำหน้าจริงจัง

“คร้าบๆ” ผมพูดพลางลูบหัวมันอย่างขอไปที

ทรายบอกว่าผมชอบข้าวงั้นเหรอ ไม่รู้สิ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม แต่เวลาผมอยู่กับเจ้าเด็กนี่ ผมสบายใจมากกว่าเวลาอยู่กับคนอื่นอีก
นี่จะเรียกว่าชอบได้ไหมนะ

“มึงชอบกูหรือเปล่า”
“ห๊ะ..”

จู่ๆก็ถามเรื่องนี้เนี่ยนะ ผมมองไปหาคนที่เตี้ยกว่าผมที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงเล็กๆอยู่ แต่ทั้งแบบนั้นอีกฝ่ายก็คงจ้องผมเขม็ง

“ก็เห็นทรายมันพูด กูอยากยืนยัน”

“อืมมม...” ผมลูบท้ายทอยแก้เก้ออีกครั้ง

“แล้วมึงคิดยังไงกับกูล่ะ” ผมยังคงไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่ว่าเปลี่ยนไปเป็นถามกลับแทน

“ยังต้องถามอีกเหรอ แล้วเปลี่ยนประเด็นทำไมเนี่ย!”

“เอาน่า ตอบมาก่อน”

“ก็ชอบอ่ะดิ” ข้าวพูดพร้อมกับหลบตาผมด้วยความเขินอาย ตอนนี้อีกฝ่ายแก้มแดง หูแดงไปหมด ดูๆไปมันก็น่ารักดี แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้ากับหน้าหล่อๆของมันก็ตาม

“เอ้า รู้แล้วก็ตอบกูมา” ข้าวหันมาถามผมต่ออีกครั้ง

“อืม...เดี๋ยวอีกสักพักก็รู้เอง ป่ะได้เวลาสันฯแล้ว” จากนั้นผมก็ดึงแขนข้าวให้กลับไปที่ศาลากิจกรรมอีกครั้ง

แม้ว่าอีกฝ่ายจะบ่นอุบไม่ยอมเลิก แต่สุดท้ายก็ยอมไปแต่โดยดี

ผมอมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะขึ้นไปเป็นพิธีกรสำหรับกิจกรรมสันทนาการ

เอาล่ะ ผมว่าผมรู้แล้วว่าผมควรจะทำไงดีกับเรื่องนี้

[จบพาร์ทเซฟ]




[พาร์ทข้าว]


ฮึ่ม! มันน่าหงุดหงิดจริงๆ ทั้งแอบฟัง ทั้งทำให้ผู้หญิงร้องไห้ แถมยังไม่ตอบคำถามผมอีก ให้ตายสิ ทำไมผมถึงต้องไปชอบคนพรรค์นี้ด้วยนะ!!

อ่า แต่ถ้าผมไม่ได้ชอบพี่เซฟ ผมก็ไม่คิดว่าผมจะสามารถชอบคนอื่นได้อีกแล้วล่ะ

“ไอ้นิล อย่าพึ่งดิมันใช่เวลาไหมเนี่ย!”

“หยุดมองกูแบบนั้นสักที!!”

เสียงโวยวายดังขึ้นมาจากคนนั่งข้างๆผม ไม่ใช่ใครอื่นก็เพื่อนผมนี่ไง ไอ้ลาเต้ ตอนผมเจอมัน ลาเต้ยังไม่ทันทักทายผม ไอ้นิลก็ชิงบอกผมขึ้นก่อนว่าพวกมันสองคนเป็นแฟนกันโดยสมบูรณ์แล้ว

ผมก็ได้แต่อึ้งสิครับ รู้อยู่ว่านิลมันชอบลาเต้ แต่คิดไม่ถึงว่าลาเต้จะยอมเป็นแฟนไอ้นิล

เอ๊ะ...ผมควรพูดกลับกันหรือเปล่า ไอ้นิลนี่ก็แปลกคน คนดีๆมีเยอะแยะ มาชอบคนขี้โวยวาย

ผมก็ได้แต่พูดแสดงความยินดี พร้อมกับแซวไอ้ลาเต้ไปพลางๆ

มันอ่ะชอบเอาแต่แซวผม แต่ดูสิไปๆมามีแฟนก่อนผมซะงั้น นี่คือการแก้แค้น!!

“โอ้ย เหม็นความรักแถวนี้ว่ะ” ผมพูดพร้อมกับเหลือบตาไปมองลาเต้เล็กๆ มันก็พูดอะไรไม่ออก เอาแต่ทำหน้าดำหน้าแดงจ้องผมอยู่นั่น
ก็ตลกดี

เฮ้อ แต่พอพูดเรื่องความรักทีไร ผมก็รู้สึกหน่ายใจกับความรักของตัวเองทุกที ท่าทางคงต้องอยู่แบบนี้ไปทั้งชาติซะแล้วล่ะมั้ง

“อ้าว ปรบมือต้อนรับพี่เซฟหน่อยเร้วววว” เสียงพี่แก้วดังขึ้น เป็นสัญญาณของการเริ่มกิจกรรมสันทนาการ

อืม..ช่างหัวไอ้ห่านั่นไปก่อนแล้วกัน



จากนั้นเมื่อผ่านเหล่ากิจกรรมไปมากมาย ก็มาถึงเวลาปิดค่าย ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของกิจกรรมสันทนาการแล้ว

จะว่าไปป่านนี้คนแถวนี้คงรู้กันหมดแล้วล่ะว่าไอ้นิลกับไอ้เต้ มันเป็นอะไรกัน ก็ตอนสันฯ พี่เซฟแกชอบแซวใหญ่จนสุดท้ายไอ้เต้ทนไม่ไหว พูดออกไมค์ไปจนได้ว่าเป็นแฟนกัน

เพราะงั้นตอนนี้เพื่อนผมคนนั้นก็เลยกำลังรู้สึกอับอายสุดๆที่ควบคุมสติตัวเองไม่อยู่

“เอาน่า ไม่ต้องคิดมาก ขนาดไอ้นิลยังไม่คิดมากเลย” ผมพยายามพูดปลอบใจ

“ไอ้นิลมันเคยมียางอายเหมือนคนอื่นซะที่ไหนเล่า!!” เต้พูดพร้อมเอามือสองข้างปิดหน้าที่แดงก่ำเอาไว้ แต่ปิดยังไงก็ยังเห็นหูที่แดงเถือกอยู่ดีนั่นแหละ

ช่วยไม่ได้ทำตัวเองนี่นา ผมส่งสีหน้าเห็นใจพลางลูบหลังเพื่อนของผม

“เอาล่ะค่ะน้องๆ เดี๋ยวรุ่นพี่จะมาพูดถึงชีวิตในช่วงเปิดเรียนจริงๆนะคะ มันจะไม่สบายแบบนี้แล้วนา ขอเตือนไว้ก่อน เอาล่ะเริ่มที่คนแรก” เสียงพี่แก้วดาวคณะคนก่อนพูดขึ้นอย่างสดใส ขัดกับสภาพคนข้างผมอย่างสุดขั้ว

 จากนั้นเมื่อพูดผ่านไปประมาณสี่ห้าคน ก็มาถึงตาพี่แก้ว แล้วก็พี่เซฟ

“...ขอฝากไว้เท่านี้นะคะ เอาล่ะถึงตาของพ่อหนุ่มสุดฮอตประจำคณะแล้ว เชิญเลยค่ะ”

ถ้าว่ากันตามตรงนะ ในบรรดาคนที่ผ่านๆมา ผมสังเกตว่าไม่มีใครตั้งอกตั้งใจฟังเท่ากับของพี่เซฟเลย และที่สังเกตง่ายสุดก็คือผมเนี่ยแหละ

ผมยอมรับเลยว่าแม้จะหงุดหงิดกับเรื่องก่อนหน้านี้ แต่ผมก็ยังอยากที่จะฟังพี่เซฟพูดอยู่ดี

“อ่า ฮัลโหล โอเคครับ เอาล่ะ เรื่องชีวิตในมหาลัยอย่างพวกเรื่องเรียน แนวทางหลังจากเรียนจบ หรือว่าพวกการเลคเชอร์อะไรพี่ๆก่อนหน้านี้ก็ได้พูดกันไปหมดแล้ว เพราะงั้นพี่จะมาพูดเรื่องอื่นแทนแล้วกัน”

ทุกคนยังคงเงียบ ตั้งหน้าตั้งรอฟังพี่เซฟพูดต่อ


“น้องทุกคนที่นี่มีเป้าหมายพี่เชื่อ ไม่ว่าจะเข้ามาที่นี่เพราะความฝัน ความรัก ความชอบ หรือแม้กระทั่งถูกบังคับเข้ามาก็ตาม แต่ในเมื่อเราเข้ามาแล้ว เราก็ต้องทำให้เต็มที่ การยอมแพ้มันไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ เพราะงั้นสิ่งที่มีอยากจะบอกคือ ไม่ว่าน้องจะเข้ามาที่นี่ด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่เมื่อเข้ามาอยู่แล้ว พี่ก็อยากให้น้องๆเนี่ย พึ่งพากันและกัน เพราะยังไงเราก็เป็นเพื่อนร่วมคณะร่วมรุ่นกันแล้ว มันต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีเพื่อนก็ต้องพึ่งเพื่อน มีคนรักก็พึ่งพาคนรัก แต่ไม่ใช่ว่าจะไปพึ่งเขาหมดนะ เราเองก็ต้องพึ่งพาตัวเองบ้าง พี่เชื่อว่าน้องๆทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่าอะไรที่เรียกว่าการพึ่งพามากเกินไป อะไรที่หัวแข็งไม่ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเลย ตั้งหน้าตั้งตาจะทำเองอยู่คนเดียว”

“นี่เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งเดียวในชีวิต เมื่อผ่านไปแล้วน้องจะกลับมาช่วงเวลานี้ไม่ได้อีก อย่าสร้างความมาดหมางกับใคร และหากมีเรื่องอะไรผิดใจกันก็เคลียร์ๆกันไปเลย เฟรชชี่มีได้แค่ครั้งเดียวในชีวิตนะ เว้นแต่น้องจะซิ่วแค่นั้นแหละ สิ่งที่พี่จะสื่อก็คือเก็บเกี่ยวความทรงจำดีๆเอาไว้มากๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงผลักดันให้น้องประสบความสำเร็จในชีวิต สู้ๆครับ!”

สิ้นการกล่าวของพี่เซฟก็ตามมาด้วยเสียงปรบมือดังสนั่นลั่นไปทั่วบริเวณ มันไม่ใช่คำพูดที่ดีมากมาย แต่มันก็ทำให้ผมปลื้มใจได้
ถือว่าที่ผมด่าเขาไปก่อนหน้านี้ ไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน

“อ่ออีกอย่าง อย่างสุดท้ายครับ เรื่องสำคัญมาก”

หืม...ยังไม่จบงั้นเหรอ

“น้องทรายดาวคณะครับ เรื่องในวันนี้พี่ขอโทษด้วยที่ทำให้น้องต้องเสียใจนะครับ พี่รู้สึกผิดจริงๆที่ทำให้น้องซึ่งเป็นผู้หญิงต้องเสียน้ำตา”

พี่เซฟก้มหัวโค้งคำนับหลังจากพูดจบ อืม..ขอโทษมันก็ดี แต่ต้องเล่นใหญ่ปานนี้ไหม

“พี่เซฟมีเรื่องอะไรกับทรายเหรอ” ไอ้คนขี้เผือกมาแล้วครับ ลาเต้เพื่อนแสนดีของผม

“เดี๋ยวไว้ค่อยเล่า” ผมรู้ว่ายังไงผมคงปิดเรื่องนี้กับมันไม่ได้หรอก สู้พูดไปแบบนี้ยังจะทำให้ผมรู้สึกปลอดภัยมากกว่า

“โอเค!” จากนั้นลาเต้ก็หันไปด่าไอ้นิลที่กำลังออเซาะมันเหมือนเดิม

ตอนนี้ทุกสายตาหันไปมองทรายที่กำลังทำหน้าตาประหลาดใจอย่างมาก ตอนแรกเธอก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ขึ้นมา แต่พอเธอหันมาสบตากับผม เธอก็ทำหน้าโกรธขึ้นมาแทน จนผมหน้าตาเริ่มซีดนั่นแหละ เธอจึงเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าปล่อยวาง แล้วส่งยิ้มบางๆที่ดูเจ็บปวดเล็กๆมาให้ ก่อนจะหันไปตอบพี่เซฟ

ทำไมผมดูกลายเป็นตัวร้ายไปซะงั้นล่ะ...

“ไม่เป็นไรค่ะ ผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะเนอะ”

จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากบริเวณกิจกรรมในทันที จากนั้นก็มีผู้หญิงอีกคนที่หน้าตาน่ารักพอๆกันวิ่งตามออกไป

“ยัยแอ๊บมันเป็นเพื่อนกับทรายจริงๆด้วยสิเนี่ย มิน่าเห็นอยู่ด้วยกันบ่อยๆ” ลาเต้พูดขึ้นมาข้างๆผม

ผู้หญิงคนที่วิ่งตามออกไปคือแอปเปิ้ลงั้นเหรอ แบบนี้นี่เอง

ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ทำให้ทรายต้องส่งสีหน้าแบบนั้นมาให้ มันเป็นสีหน้าที่ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง ผมไม่ชอบเธอนักหรอก แต่ผมก็ต้องยอมรับว่ารักที่เธอมีให้พี่เซฟมันมีมาก บางทีอาจจะมากกว่าผมด้วยซ้ำไป

ในศาลาปกคลุมไปด้วยความเงียบจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ จนพี่เซฟพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“น้องคนที่เป็นเดือนคณะ ช่วยออกมายืนด้านหน้าทีครับ”

ห๊ะ...???

ทำไมจู่ๆผมก็โดนเฉยเลยล่ะเนี่ย

ผมอึนอยู่สักพักก่อนที่จะค่อยๆขยับตัวเองออกไปยืนด้านหน้าข้างๆพี่เซฟ

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพี่เขา ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากถามว่าเรียกออกมาทำไมก็โดนสวนด้วยสัมผัสหยุ่นๆที่แก้ม

ตามมาด้วยเสียงกรี๊ดอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง

ผมเอามือลูบแก้มตัวเองช้าๆหลังจากอีกฝ่ายถอยออกไปแล้ว

...ผมโดนหอมแก้มเหรอ...

ไม่หรอก มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ พี่แกเขาจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

ผมพยายามตั้งสติตัวเอง ก่อนจะกระซิบถามไป

[มึงเล่นอะไร นี่เป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมหรือเปล่า กูต้องทำอะไรไหม]

ทำไมผมถึงต้องถามแบบนั้นน่ะเหรอครับ

มันจะมีอยู่สักกี่อย่างกันเชียวที่จะเป็นไปได้ แล้วที่เป็นไปได้มากที่สุดก็น่าจะเป็นการเซอร์ไพรส์ใครสักคน หรือไม่ก็เป็นกิจกรรมอะไรสักอย่างนั่นแหละ

ผมไม่โกรธหรอกที่โดนหอมแก้มแบบที่อีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอะไร มันก็ช่วยไม่ได้ คนมีหน้าตามีตำแหน่ง การจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ผมก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจเสียทีเดียว

แม้ผมจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ก็ตาม

[นี่คิดไปถึงไหนเนี่ย เอาเถอะต่อไปพอกูพูดเสร็จให้มึงตอบ’ตกลง’เลยนะ]

พี่เซฟกระซิบตอบผมกลับมา เหมือนจะรู้ว่าผมคิดเองเออเองไปหมดแล้ว

ผมถอยตัวออกมารอฟังสิ่งที่พี่เขาจะพูดต่อ

แล้วหมายความว่ายังไงนะให้พูดตกลง เอาเถอะ แค่พูดตกลงก็พอใช่ไหม

“เป็นแฟนกันนะ”

“ตกลง”

ผมพูดสวนไปทันควันตามคำสั่ง จนกระทั่งผมพึ่งตั้งสติได้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร

“ห๊ะ...?”  ผมแสดงอาการเอ๋อออกไปอย่างชัดเจน

เสียงกรี๊ดดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง

หน้าของผมค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆ ความร้อนของร่างกายเองก็เพิ่มเรื่อยๆเช่นกัน สาเหตุมาจากสิ่งที่คนตรงหน้าพูด การจ้องมองของคนรอบๆ และความวุ่นวาย

ทำให้ผมสติเลอะเลือนจากสภาวะรอบๆตัว จนไม่รู้ว่าใครพูดอะไรบ้าง

รู้ตัวอีกทีผมก็อยู่กับพี่เซฟที่ศาลาแห่งนี้แค่สองคนแล้ว

“ข้าว!” เสียงตะโกนดังขึ้นจากคนตรงหน้า

“คะ..ครับ!?”

“โธ่ นึกว่าเป็นไรไปแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นก็ยืนเอ๋อมาสักพักแล้วนะ” พี่เซฟพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ

...นี่ผมฝันไปหรือเปล่าเนี่ย...
...ขนลุกอีกต่างหาก....

“มึงพูดกับกูแบบทุกทีก็ได้นะ พอมาเป็นโหมดคนดีอีกครั้งจู่ๆกูก็ไม่ค่อยชิน...”

ผมพูดไปตามตรง มันก็ใช่ที่บางทีผมก็ชอบตัวตนแบบเก่าของเขา แต่ว่าไงดี ผมชินกับตัวตนที่ออกเย็นชานิดๆไปเสียแล้ว
 
“แล้วเมื่อกี้หมายความว่าไง”

ผมเปลี่ยนเรื่องแล้วกลับมาสงสัยในหนุ่มลูกครึ่งตรงหน้าต่อ ผมไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะมาชอบคนอย่างผมได้ แม้ว่าใจจริงผมจะโครตดีใจก็ตาม

อย่างน้อยๆตอนนี้ผมก็พยายามจะไม่เชื่อ

“นี่มึงคิดว่าเมื่อกี้ล้อเล่นงั้นเหรอ” อีกฝ่ายกลับมาเป็นเจ้าชายมาดขรึมอีกครั้ง นี่ถ้าผมไม่รู้มาก่อนว่าที่ผ่านๆมาพี่แกแค่แสดง ผมคงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นโรคสองบุคลิกไปจริงๆนะเนี่ย

“อ่า..ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก แค่กูไม่อยากจะเชื่อ”

“ทำไม”
“หือ...?” ผมส่งเสียงตอบกลับไปด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงไม่อยากเชื่อล่ะ”

ใบหน้าของผมเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง อีกฝ่ายจะสื่อว่าอะไรกันแน่นะ แล้วทั้งๆที่ไม่รู้แท้ๆ  ผมเขินทำไมเนี่ย!!

“ก็...มึงทั้งหล่อ เท่ หุ่นดีอีก แถมมีคนที่ชอบก็เยอะ แล้วมึงก็ไม่น่าจะเป็นเกย์ด้วย”

“รู้จักคำพูดที่ว่า ‘ไม่ได้เป็นเกย์ กูชอบผู้หญิง แต่มึงเป็นผู้ชายคนเดียวที่กูชอบ’ ไหม”

ผมหน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง

ผมจะโชคดีถึงขนาดเป็นคนที่อีกฝ่ายชอบเชียวหรือ ยังไงมันก็เชื่อยากอยู่ดีนั่นแหละ

แต่จะว่าไงดีในเมื่อเป็นแบบนี้แล้ว...

“กูชอบมึง เป็นแฟนกับกูนะ”

...ผมจะขอพูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูดมาตลอดแล้วกัน...

อีกฝ่ายคลี่ยิ้มออกมาบางๆ มันไม่ใช่รอยยิ้มที่อบอุ่น แต่มันก็ไม่ใช่รอยยิ้มที่เย็นชาด้วยเช่นกัน ผมไม่เคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ของเขามาก่อนเลย

...รอยยิ้มจากหัวใจ...

ผมพูดแบบนี้ได้สินะ

ไม่สิไม่ใช่แค่อีกฝ่าย

...ผมเองก็ยิ้มเหมือนกันนี่นา...

พี่เซฟขยับหน้าเข้ามาใกล้ๆผมก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมแทบละลายไปกับพื้น

“ตกลงครับ ที่รัก”

[จบพาร์ทข้าว]

ออฟไลน์ Kengpnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Kengpnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0

ออฟไลน์ Sohso

  • You are my precious thing And I will always love you.
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1373
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-3
น่ารักจริงๆ แต่จบไวไปหน่อย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด