Chapter 17:[Now] ง้อ
มธุวันมองตัวเองในกระจก เขาอยู่ในเสื้อสูทสีครีมเนื้อดีราคาแพงที่สัดส่วนพอดีกับร่างกายของเขาราวกับสั่งตัด ซึ่งนั่นเป็นเพราะสูทนี้ถูกสั่งตัดให้มธุวันเป็นของขวัญวันจบการศึกษา
ที่เขารู้เพราะเมฆาเป็นคนพาเขาไปวัดตัวไม่นานก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ โดยใช้ชื่อของน้องชายคนรองของบ้านเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้ว่าคุณชายใหญ่ของบ้านสั่งตัดสูทราคาแพงนี้ให้กับใคร โชคดีของมธุวันที่ขนาดตัวของเขาใกล้เคียงกับธารธารามาก อีกทั้งชื่อของคุณชายรองยังเป็นเหมือนคำต้องห้ามในบ้านทรัพย์ดำรง ดังนั้นการจะมีคนสงสัยจึงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เคยมีโอกาสได้รับชุดสูทตัวนี้ เสื้อสูททำงานตัวแรกของเขาคือชุดที่ธีรเชษฐ์ซื้อให้เป็นของขวัญ
“มันไม่ได้มากับไทค์สินะ ใช้นี่ไปก่อนแล้วกัน”
เมฆายื่นเนคไทค์เส้นหนึ่งให้ ซึ่งมธุวันจำได้ว่าเป็นเส้นที่ชายหนุ่มมักจะใช้บ่อยๆ
“คุณไม่มีเส้นที่ไม่ค่อยได้ใช้เหรอครับ?”
“อย่าเรื่องมากน่า มีให้ใช้ก็ใช้ไป”
นั่นคือคำตอบของร่างสูง มธุวันรู้ว่าต่อล้อต่อเถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ ร่างโปร่งจึงคว้ากุญแจรถของตัวเองจากโต๊ะ เตรียมตัวสำหรับหน้าที่สารถีจำเป็นอีกวัน
“จอดร้านข้างหน้า”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเมื่อมธุวันขับรถออกมาได้สักพัก ถึงแม้จะไม่รู้เหตุผล แต่ร่างโปร่งก็ตีไฟเลี้ยวเข้าจอดข้างทางแต่โดยดี เมฆาเปิดประตูลงจากรถ แล้วเปิดประตูด้านคนขับให้กับร่างโปร่งที่นั่งอยู่ด้านใน
“ลงมา”
“จะพาผมไปไหน?”
มธุวันไม่ยอมก้าวลงจากรถ เมฆาเดาะลิ้นอย่างเริ่มหมดความอดทนตามประสาคนใจร้อน
“ข้าวเช้า”
“ผมไม่หิวครับ”
มธุวันเอ่ยขึ้นทันที พวกเขาออกมาจากคอนโดของเมฆาค่อนข้างเช้า ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายอยากจะแวะทานอาหารเช้าก่อนการประชุมเขาที่เป็นแค่ลูกน้องจะทำอะไรได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเมฆาจะสามารถลากเขาไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบเสียหน่อย
โครก...
“ปรึกษากระเพาะก่อนมั้ย?”
มธวันนึกอยากลบรอยยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าของร่างสูงที่ยืนเท้าแขนกับหลังคารถของเขา ร่างโปร่งอยากจะเถียงอะไรกลับไปบ้าง แต่ทั้งพิษไข้ที่ยังไม่หายดีและกระเพาะที่ส่งเสียงครางประท้วงขึ้นมาอีกครั้งทำให้เขาตัดสินใจทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายก่อนที่ร่างกายของเขาจะทรยศเขาไปมากกว่านี้
เมฆาขยับหลบให้อีกฝ่ายก้าวลงมาจากรถ รอยยิ้มมุมปากยังคงประดับบนใบหน้าให้มธุวันรู้สึกรำคาญลูกตาตลอดทางเดินสั้นๆไปยังร้านขายอาหารเช้าข้างทางที่มีคนนั่งทานอยู่บ้างแต่ไม่ได้มากจนจอแจ เมฆานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติก สั่งอาหารอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ต้องดูเมนู
“โจ๊กหมูใส่ไข่หนึ่งไม่ใส่ไข่หนึ่ง กาแฟโบราณร้อนหนึ่งเย็นหนึ่ง ปาท่องโก๋หนึ่งชุดครับ”
“ผมสั่งอาหารเองได้”
มธุวันขัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงแม้สิ่งที่ร่างสูงสั่งจะเป็นของที่เขากำลังจะสั่งทั้งหมดก็ตาม
มธุวันได้แต่ปลอบตัวเองว่าการที่อีกฝ่ายสั่งอาหารแทนเขาได้อย่างคล่องแคล่วไม่ได้มีความหมายอะไรแอบแฝง เพราะเมฆาเป็นคนที่เดาเรืื่องแบบนี้เก่งมากอยู่แล้ว สมัยที่คบกันใหม่ๆอีกฝ่ายก็สามารถเดาได้ว่ามธุวันชอบอาหารอะไรทั้งที่เขาไม่เคยบอก ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจอะไรอยู่แล้ว
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะสั่งให้นี่”เมฆาไหวไหล่ “อยากสั่งอะไรก็สั่งสิ”
“….”
มธุวันลืมไปแล้วว่าบางครั้งเมฆาทานเยอะขนาดไหน
คนปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มก้มก้มมองหน้ากระดาษอย่างไม่รู้จะสั่งอะไร ก่อนจะตัดสินใจจบที่กาแฟโบราณเย็นกับโจ๊กหมูสับไม่ใส่ไข่
อาหารของพวกเขามาเสิร์ฟในที่สุด เมฆาหยิบปาท่องโก๋ขึ้นมาฉีกใส่โจ๊กของตัวเองครึ่งนึง ส่วนขาปาท่องโก๋อีกข้างก็จิ้มลงในกาแฟโบราณร้อนๆแล้วนำมาจ่อใกล้ริมฝีปากของเลขาหนุ่ม
“….”มธุวันขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นสิ ลองกินก่อน”
เมฆาขายของเต็มที่ ซึ่งมธุวันรู้ดีอยู่แล้วว่ามันอร่อย เพราะเขาเป็นคนสอนเมฆาให้กินแบบนี้เอง
ร่างโปร่งไม่รู้ว่าหัวใจของเขาโดนกระทืบซ้ำๆจนชาชิน หรือเป็นเพียงอาการป่วยที่ทำให้เขาเหนื่อยล้าเต็มทน ร่างโปร่งเอื้อมมือมาดึงเอาปากท่องโก๋จากมือของชายหนุ่มมากัดแล้วเคี้ยว รสชาติหวานๆมันๆพร้อมความอุ่นของกาแฟทำให้มธุวันนึกย้อนไปถึงสมัยก่อนที่อีกฝ่ายมักจะพาเขามานั่งทานอาหารเช้าที่ร้านแบบนี้ก่อนฟ้าสางเสมอ เมฆของเขาไม่ใช่คนตื่นเช้า แต่เด็กหนุ่มมักจะดีดตัวขึ้นมาจากเตียงทุกครั้งที่รู้ว่าพวกเขาจะออกไปทานโจ๊กที่ร้านข้างทางนั้น
‘บรรยากาศแบบนี้โรแมนติกดีออก’
คุณชายหน้าตายมักจะพูดแบบนั้นเสมอ
“คิดอะไรอยู่?”
เมฆาถามขึ้นเมื่อเห็นคนตรงหน้าเหม่อใจลอยไปเรื่อย
“แค่คิดว่าคนอย่างคุณชายเมฆาทานร้านแบบนี้เป็นด้วยน่ะครับ”
ร่างโปร่งตอบ ถึงแม้จะรู้ว่าเมฆาไม่ชอบให้ใครพูดถึงตนแบบนั้น ผิดคาด นอกจากเมฆาจะไม่โกรธ ชายหนุ่มยังยิ้มให้เขาเสียด้วย
“ของอร่อยก็กินได้หมดนั่นแหละ ว่าแต่นายเถอะ...” ชายหนุ่มยกกาแฟขึ้นดื่มอึกใหญ่ “แน่ใจเหรอว่าเมื่อกี้ไม่ได้กำลังนึกถึงคนอื่นอยู่?”
“จะให้ผมคิดถึงใครครับ?” มธุวันเลิกคิ้วถามสวน
“ก็…เจ้าของสร้อยที่นายถูจนเลขจะขึ้นแล้วนั่นไง”
มธุวันรีบปล่อยมือจากจี้สร้อยราวกับถูของร้อน เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าดึงมันออกมาตอนไหน
“คบกันมานานแล้วเหรอ?”
เมฆาถามต่อ คำถามที่บ่งบอกว่าไม่ได้เคลือบแคลงสงสัยเลยว่าคนที่ตนพูดถึงคือตัวเองทำให้มธุวันรู้สึกโล่งใจและหงุดหงิดใจในเวลาเดียวกัน
“เลิกกันนานแล้วครับ”
ร่างโปร่งตัดสินใจตอบตามความจริง คำโกหกที่ดีสุดคือคำโกหกที่สร้างจากเรื่องจริงเสมอ
“ทำไมถึงเลิก?”
เมฆาถามต่อ ความสนใจต่อความสัมพันธ์ในอดีตของร่างสูงทำให้มธุวันรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา
“เรื่องส่วนตัวของผม”
เลขาหนุ่มตัดสินใจตอบแค่นั้น ซึ่งดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร
“คนที่ปราบพยศคนอย่างนายได้เนี่ย เป็นคนประเภทไหนกัน?”
เมฆาท้าวคางถามด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ แววตาของมธุวันเข้มขึ้นด้วยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอก ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเย็นชา
“ก็เลวพอตัวเลยล่ะครับ”
คำด่าของร่างตรงหน้าทำเอาเมฆาสะอึก แต่ร่างสูงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่แสดงมันออกมา
“ไม่ได้จากกันด้วยดีเท่าไหร่ล่ะสิ?”
“ไม่หรอกครับ แต่ผมไม่ถือโทษคนตายหรอก เดี๋ยวเขาจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด”
ร่างโปร่งทิ้งท้ายอย่างเจ็บแสบ ลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อไปจ่ายค่าอาหารในส่วนของตัวเอง
“ผมจะไปรอที่รถ”
เมฆามองตามอดีตคนรักที่เดินกลับไปที่รถ ดูท่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาที่ทำให้พวกเขาเลิกกัน เมฆาคงจะสร้างแผลใจให้กับมธุวันในตอนนั้นมากพอที่จะทำให้ร่างโปร่งพูดถึงเขาราวกับเขาจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆแบบนี้
ก็ได้....ถ้ามธุวันถือว่าแฟนเก่าของตัวเองตายไปแล้ว
ถ้าเมฆาจะเป็นแฟนคนต่อไปของเลขาคนเก่ง...เขาก็มีสิทธิ์เช่นเดียวกับคนอื่นๆบนโลก จริงไหม?
ทันทีที่มธุวันเดินเข้ามาในออฟฟิศ สายตาของเขาก็ไปสะดุดลงที่ร่างเล็กของขวัญข้าวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา เลขารุ่นน้องเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของมธุวัน ดวงหน้ากลมน่ารักสว่างไสวขึ้นทันทีที่เห็นเจ้าของโต๊ะที่แท้จริงกลับเข้ามาทำงานในวันนี้
เหอะ...ถ้าธีรเชษฐ์คิดว่าจะเอาคนที่เขาเทรนด์มาทำงานแทนเขาได้ก็แล้วแต่
เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านประธานของเขาจะทนอยู่โดยไม่มีเขาได้สักกี่น้ำ
ร่างโปร่งเดินเข้าไปในห้องทำงานของเมฆาที่ข้าวของของเขาถูกย้ายมาไว้ในนั้นเรียบร้อยแล้วอย่างไม่สนใจสายตาวิงวอนของขวัญข้าวที่แทบจะพุ่งมากอดขาขอร้องให้เขากลับมาทำงาน เขาไม่ใช่คนผิด ทำไมเขาจะต้องกลับไปหาผู้ชายพรรค์นั้นด้วย
เฮงซวยทั้งพ่อทั้งลูก
“แก…เนคไทค์คุณเมฆาแน่ๆ ฉันส่องเขาทุกวันทำไมจะจำไม่ได้”
“บ้าแล้วแก นั่นเมียพ่อนะเว้ย”
“เหอะ ดีไม่ดีจะเป็นเมียของทั้งพ่อทั้งลูก แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ไงแก”
“ตายแล้ว บัดสี”
มธุวันนึกอยากจะสาดน้ำร้อนในมือข้ามแผงกั้นห้องเบรกที่เขาเดินมาชงกาแฟนี้ใส่พนักงานที่จับกลุ่มนินทาเขาอยู่ที่คอกทำงานโดยไม่ได้รู้เลยว่าคนที่พวกเขากำลังว่าร้ายอยู่นั้นกำลังยืนชงกาแฟอยู่อีกฟากของผนัง
หากเป็นเมื่อก่อน มธุวันคงจะอับอาย เสียความรู้สึก และไม่กล้าสู้หน้าใครหากมีข่าวลือแบบนี้เกี่ยวกับตัวเขาออกมา แต่ตอนนี้ร่างโปร่งเข้าใจดีว่านั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมุมมองที่คนภายนอกมองมาที่เขา สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ คือไม่ต้องสนใจคำพูดของคนพวกนั้น
“แต่ไม่คิดเลยนะว่าคุณเมฆาจะเป็นคนแบบนั้น”
“แหม พ่อเขาเจ้าชู้ประตูดินซะขนาดนั้น คิดว่าลูกชายจะรอดเหรอ”
“เออ ก็จริง ได้ข่าวว่าเจ้าชู้จนเมียตรอมใจตายยังไม่สำนึกเลยแก”
“ฉันได้ข่าวนะว่าคุณเมฆาน่ะยิ่งกว่าพ่ออีก ตอนอยู่เมืองนอกนะ ดารงดารา นักร้องสาวๆสวยๆสอยเรียบไม่มีเหลือ”
“เออ เคยเห็นในนิตยาสารเหมือนกัน ที่บอกว่าทำนางป่องด้วยป่ะ ที่ชื่อษาๆอะไรซักอย่าง”
“ผู้ชายแบบนี้ใครเอาก็โง่เต็มที่แล้ว”
“ก็มีคุณเลขาหน้าสวยของเราไง ยอมให้เขาเอาทั้งพ่อทั้งลูก ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ปัง!!
เสียงกำปั้นทุบกับผนังดังลั่นไปทั่วชั้นทำให้เหล่าพนักงานที่นั่งเม้าท์กันอย่างออกรสเงียบกริบลงทันที มธุวันเงยหน้าขึ้นจากแก้วกาแฟของตัวเอง ถึงแม้เขานึกอยากทำแบบนั้น แต่ร่างโปร่งค่อนข้างมันใจว่าเสียงกำปั้นเมื่อครู่ไม่ใช่ของเขา
“ไม่มีงานทำกันรึไง?”
เสียงของเมฆาดังขึ้นตัดความเงียยบ บรรยากาศเย็นยะเยือกจากอีกฟากของผนังแม้แต่มธุวันยังรู้สึกได้ ร่างโปร่งเอนตัวพิงเคาท์เตอร์ ยกกาแฟร้อนแก้วที่สองของวันในเวลาไม่ถึงเก้าโมงขึ้นดื่ม รอฟังสถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็น
“คุณ…คุณเมฆา....”
“เรื่องส่วนตัวของผมไปหนักส่วนไหนของพวกคุณ?”
“พวก…พวกหนูไม่ได้ตั้งใจ...”
“ไม่ได้ตั้งใจ? พวกคุณปล่อยข้อมูลเท็จที่สร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของเพื่อนร่วมงาน ผู้บริหาร และชื่อเสียงของบริษัทในเวลางาน จะบอกว่าพวกคุณไม่ได้ตั้งใจ?”
“ขอ…ขอโท...”
“คนที่พวกคุณควรขอโทษไม่ใช่ผม” เสียงทุ้มตัดบทก่อนที่กลุ่มหญิงสาวจะได้เอ่ยขออภัยในการกระทำของพวกตน “ภายในหนึ่งทุ่มผมต้องการรายงานแสดงความสำนึกผิดในการกระทำของพวกคุณส่งไปที่คุณมธุวัน...”
ร่างโปร่งรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองขึ้นสีเล็กน้อยกับคำพูดของร่างสูง
เพราะป่วยต่างหากล่ะ...
“…แต่ถ้าพวกคุณอยากลองดีกับผมก็เชิญตามสบาย”
ใช่...เพราะพิษไข้แน่ๆ
“จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”
เสียงของเมฆาดังขึ้นจากทางเข้าห้องเบรก มธุวันวางกาแฟของตัวเองลง แล้วส่งแก้วกาแฟร้อนหอมกรุ่นอีกแก้วให้กับพระเอกขี่ม้าขาวที่เขาไม่ไดร้องขอให้ช่วย
“รู้ใช่มั้ยครับว่ายิ่งพูดไปแบบนั้นคนพวกนั้นจะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่”
“อะไรกัน นายเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ?”
เมฆายิ้มยียวน รับแก้วกาแฟมาถือไว้ในมือ คิ้วเข้มเลิกขึ้นสูง
“รางวัล?”
“ก็แค่ชงเผื่อน่ะครับ” มธุวันเบือนหน้าหนี ยกกาแฟของตนขึ้นดื่มอีกอึกก่อนจะเหยียดกายยืนขึ้นเต็มความสูง เดินผ่านคนที่ยืนพิงประตูทางเข้าไปยังห้องทำงานใหม่ของตัวเอง
เมฆาก้มมองกาแฟร้อนในมือก่อนจะยกขึ้นดื่มอึกใหญ่ รอยยิ้มจริงใจที่หาได้ยากยิ่งแต่งแต้มใบหน้าหล่อเหลาให้ดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก
กาแฟหนึ่งช้อนครึ่งน้ำตาลหนึ่งช้อนชงกับนมสดอุ่นๆครึ่งแก้ว
‘หมอก ทำไมเมฆชงกาแฟเหมือนที่หมอกชงแล้วมันไม่อร่อยเลยล่ะ’
‘คิก...ความลับ’
‘บอกเมฆหน่อยไม่ได้เหรอครับ?’
‘รู้แค่ว่ากาแฟที่หมอกชงอร่อยที่สุดในโลกก็พอ’
ก็นะ...กาแฟของหมอกอร่อยที่สุดในโลกจริงๆนั่นแหละครับ
-------------
ถึงจะไม่หวานเท่าคู่คุณจอมทัพ แต่ขุ่นเมฆก็...มีบทนะ
