‘เพราะคุณมธุวัน เป็นคนแรกที่มาถึงโรงพยาบาลในวันที่คุณประสบอุบัติเหตุครับ’
เมฆานอนคิดถึงประโยคนั้นซ้ำไปซ้ำมา หลังจากที่ระพีพัฒน์พูดแบบนั้น เขาก็ตัดบทอีกฝ่ายโดยบอกว่าเขาปวดศีรษะและอยากพักผ่อน รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถรับรู้อะไรได้มากกว่านี้ในค่ำคืนนี้
ร่างสูงนอนมองเพดาน เขารู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องมาโรงพยาบาลตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่เขาต้องไปโรงพยาบาล หมายความถึงอาการของมารดาที่ทรุดหนักลง หลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ เขายิ่งเข็ดขยาดโรงพยาบาลจนรู้สึกกระสับกระส่ายไปหมด
เขาไม่ได้ป่วยอะไรแล้วนี่ ขอออกจากโรงพยาบาลคืนนี้เลยจะได้มั้ยนะ
เมฆาจะเอื้อมมือไปกดปุ่มเรียกพยาบาล แต่เขารู้สึกว่าแค่ลุกออกไปเองไม่ได้เปลืองแรงอะไรมาก แถมเขายังไม่ได้เสียบสายอะไรอยู่จึงเปลี่ยนใจลุกจากเตียง แล้วเดินตรงไปยังประตูห้องพักของเขา
“มีอะไรที่พี่ยังไม่บอกผมอีกมั้ยครับ”
ทันทีที่เปิดประตูแง้มออกมา เสียงของคเชนทร์ก็ดังขึ้น เมฆาชะงัก ตัดสินใจเปิดประตูแง้มไว้อย่างนั้นเพื่อแอบฟังบทสนทนาของหมอทั้งสองคน
“เฮ้อ...พี่ก็ไม่อยากบอกความลับของคนไข้หรอกนะ มันเป็นจรรยาบรรณ”ระพีพัฒน์ถอนหายใจ “เท่าที่จำได้ เหมือนพยาบาลจะบอกว่าคุณมธุวันกรอกเอกสารทุกอย่างของคุณเมฆา รู้ทั้งกรุ๊ปเลือด ยาที่แพ้ เลขบัตรประชาชน มีบัตรประกันของเมฆาอยู่กับตัวด้วย แต่พอขออให้เซ็นชื่อยินยอมผ่าตัด เจ้าตัวกลับบอกว่าตัวเองเซ็นไม่ได้เพราะเป็นแค่คนรู้จัก”
“คนรู้จักทำไมถึงได้รู้ละเอียดขนาดนั้น?” คเชนทร์อดดพูดไม่ได้
“นั่นสิ พวกพยาบาลเขาเลยงงๆกันไง แล้วทีนี้เขาก็บอกให้โทรหาน้องชายของคุณเมฆามาเซ็น แล้วเลือดของคุณเมฆากำลังขาดในคลังพอดี พี่ก็เลยออกมาถามญาติ แต่คนน้องเป็นโลหิตจางบริจาคไม่ได้”
เมฆาฟังเรื่องทั้งหมดด้วยความรู้สึกสับสน ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนบริจาคเลือดให้เขา?
“จู่ๆคุณมธุวันก็พูดว่าตัวเองเลือดกรุ๊ปเดียวกัน พี่เลยให้เขาทดสอบความเข้ากัน แล้วได้พอดี แต่เขาขอให้พี่ไม่บอกคุณเมฆา
ว่าเป็นคนบริจาค พี่ก็เลยไม่ได้พูดอะไร”
สิ่งที่ได้ยินทำให้เมฆารู้สึกพูดไม่ออก ร่างสูงผละออกจากประตู กลับไปที่เตียงของตัวเองอย่างเงียบเชียบ เขาในตอนนี้ไม่มีแรงมากพอจะออกจากที่นี่ไปไหนทั้งนั้น
มธุวัน...นายเป็นใครกันแน่
“พี่เมฆมาหาผมแบบนี้ มีอะไรรึเปล่าครับ”
ธารธารายกกาแฟขึ้นดื่ม ร่างโปร่งยังคงอยู่ในชุดกาวน์สีขาวตัวยาวของตน เช่นเดียวกับลูกค้าหลายคนในร้านกาแฟของโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยนี้ ถึงแม้น้องชายของเขาจะตัดผมที่เคยยาวระเอวของตัวเองทิ้งมาหลายปี แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ชินตาเสียที
“พี่มาหาต้องมีธุระด้วยเหรอ?”
เมฆาถามย้อน ถึงแม้เขาจะมีธุระจริงๆ ก็ตาม
“ไม่ต้องมาเล่นลิ้นเลยครับ ก็ปกติขนาดวันเกิดผมพี่เมฆยังไม่โทรมาหาเลยนี่นา”
ร่างโปร่งหัวเราะคิก ใบหน้าสวยหวานหยดที่แทบจะเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับมารดาในวัยสาวทำให้เขาอดรู้สึกใจหายด้วยความคิดถึงหญิงสาวที่จากโลกนี้ไปหลายปีไม่ได้
“ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”
เมฆาถาม เขาห่างเหินกับน้องชายคนกลางไปมากจริงๆ ยิ่งช่วงที่เขาไปทำงานที่ต่างประเทศ เขารู้สึกว่าตัวเองยุ่งเสียจนไม่ได้คิดที่จะติดต่อกับใครเลย
“ก็ดีครับ มีความสุขดี เรียนไม่เหนื่อย แฟนก็หล่อ เพื่อนก็ดี”
ร่างโปร่งยิ้ม เพราะรอยยิ้มที่ดูเหมือนว่าตัวเองสบายดีอยู่ตลอดเวลานี่แหละที่ทำให้เขามักจะละเลยการทำหน้าที่พี่ที่ดีเสมอ...
เดี๋ยว
“อะไรนะ?” เมฆาถาม ไม่มั่นใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรือไม่
“ผมบอกว่า ผมมีความสุขดี...”
“ไม่ๆ ท้ายๆ”
“เพื่อนก็ดี...”
“ไม่ๆ ก่อนหน้านั้น”
“แฟนก็หล่อ?”
“เป็นเด็กเป็นเล็กมีแฟนได้ยังไง?!”
เมฆาขึ้นเสียงสูงอย่างลืมตัว คนรอบข้างหันมามองที่โต๊ะของพวกเขาอย่างตกใจ แต่น้องชายคนรองของเขายังคงรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ภายใต้รอยยิ้มบางๆ นั้น
“พี่เมฆ ผมยี่สิบเอ็ดแล้วนะครับ”
“สามสิบเอ็ดก็ไม่ให้มี! มันเป็นใคร มาล่อลวงน้องพี่ให้เสียคนแบบนี้ พี่จะไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง”
เมฆาลุกขึ้นจากที่นั่ง ลืมวัตถุประสงค์ที่มาที่นี่จนหมดสิ้น
“เอ้าๆ นั่งก่อนครับ น้องเขายังเด็กอยู่อย่าไปหาเรื่องเขาเลย ก็แค่ดูๆ กันอยู่ ยังไม่ได้คบเป็นแฟนซะหน่อย”
ธารธาราเอื้อมมือมาดึงชายเสื้อของเมฆาให้นั่งลง ตอนนี้ในสมองของเขาไม่มีเรื่องมธุวันอยู่ด้วยซ้ำ มีเพียงความคิดที่จะตั๊นหน้าไอ้เด็กเหลือขอที่กล้าทำให้น้องชายที่แสนใสซื่อไร้เดียงสาของเขาต้องมีความคิดแปดเปื้อน
“อีกอย่าง...” ดวงตาสีน้ำตาลเรียววาววับอย่างมีเลศนัย “ผมต่างหากที่น่าจะเป็นฝ่ายล่อลวงน้องเขาให้เสียคน"
“น้ำอุ่น!”
เมฆาอ้าปากค้าง เจ้าของชื่ออมยิ้ม เมฆาคิดว่าสีหน้าของน้องชายดูมีความสุขที่สุดที่เขาเคยเห็นในรอบหลายปี ถ้านั่นทำให้อุ่นมีความสุข เขาก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจาก...รอกระทืบแฟนของน้องตอนที่อีกฝ่ายเผลอเพื่อประกาศสักดาความเป็นพี่ใหญ่เท่านั้น
“สรุป พี่เมฆมาหาผมทำไมครับ คงไม่ได้แค่มาเลี้ยงกาแฟแล้วถามเรื่องบนเตียงของน้องแค่นั้นหรอกใช่มั้ย?” ร่างโปร่งยิ้มอย่างรู้ทัน
เมฆาชักจะจำได้แล้วว่าทำไมตัวเองถึงไม่ค่อยได้คุยกับน้องชายคนรอง
“ว่าไงครับ?”
“เรารู้จักผู้ชายคนนี้มั้ย?”
เมฆาเปิดรูปถ่ายของมธุวันที่เขาแอบถ่ายมาจากบอร์ดพนักงานดีเด่น ธารธารารับรูปมาขยายดู ก่อนจะเงยหน้าตอบอย่างไม่ลังเล
“พี่หมอกไงครับ”
“แล้ว...เรารู้จักเขาได้ยังไง?”
คราวนี้ดวงตาเรียวเล็กที่นิ่งสงบอยู่ตลอดเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ธารธาราถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
“พี่เมฆ ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะครับ?”
“เถอะน่า พี่ถามก็ตอบสิ”
เมฆาเบือนหน้าหนี ไม่กล้าที่จะบอกความจริงให้อีกฝ่ายรู้ในตอนนี้ ธารธารามีสีหน้าเคลือบแคลงใจ แต่ก็ยอมตอบ
“สมัยตอนอยู่ปีหนึ่งผมเคยขอติดรถพี่เมฆไปทำงานพิเศษกระทันหันครั้งนึง แล้วพอพี่มาถึง พี่หมอกก็นั่งอยู่ที่เบาะข้างๆในรถคันโปรดของพี่” ร่างโปร่งนึกย้อนไปถึงความทรงจำในตอนนั้น “พี่เมฆบอกว่าพี่หมอกเป็นเพื่อนพี่ แต่ใครๆที่รู้จักพี่ก็รู้ทั้งนั้นว่าขนาดพี่วินที่เป็นเพื่อนสนิทพี่เมฆยังไม่ยอมให้นั่ง ผมเลยคิดว่าพี่หมอกน่าจะเป็น...คนพิเศษ”
คำว่าคนพิเศษพุ่งเข้าปักกลางอกของเขาเต็มๆ เมฆารู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออกขึ้นมาดื้อๆ
“พี่หมอกอยู่กับผมตลอดเวลาที่พี่เมฆอยู่ในห้องผ่าตัด เขาเป็นคนบริจาคเลือดให้พี่เมฆด้วย แต่หลังจากที่พี่เมฆประสบอุบัติเหตุ ผมก็ไม่เห็นพี่เขาอีก ล่าสุดจำได้ว่าเขาไปเป็นเลขาของ..ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เหรอครับ?”
ธารธารายังคงไม่เคยยกโทษให้ธีรเชษฐ์ตั้งแต่วันที่บิดาไม่ยอมรับโทรศัพท์ตอนที่เมฆารถคว่ำ เมฆเคยเกลี่ยกล่อมน้องให้
กลับมาอยู่ที่บ้าน แต่น้องชายคนรองของเขาได้รับพันธุกรรมความดื้อแพ่งมาจากพ่อมากกว่าใครทั้งหมดในบรรดาสามพี่น้อง จนปัจจุบันทั้งสองก็ยังไม่พูดกันด้วยซ้ำ
“อือ..ประมาณนั้นแหละ”
“เสียดายนะครับ ไม่น่าไปทำงานให้คนแบบนั้นเลย” ธารธาราถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งของตน “ผมต้องไปเรียนต่อ ไว้เจอกันนะครับพี่เมฆ”
“อือ เจอกัน”
เมฆาตอบรับทั้งที่ในหัวอื้ออึงไปด้วยคำพูดของคนเป็นน้อง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาไม่เข้าใจตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกับผู้ชายที่ชื่อมธุวันเริ่มลงล็อคกันเมื่อได้ชิ้นส่วนที่ขาดหายมาเพิ่มทีละนิด
แต่ชิ้นส่วนสำคัญที่สุด เขารู้ว่ามีเพียงมธุวันคนเดียวที่สามารถให้คำตอบได้
แต่เขาจะสามารถเอาข้อมูลมาจากอีกฝ่ายได้อย่างไร ในเมื่อเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่ามธุวันตั้งใจจะเก็บความลับนั้นไว้กับตัวเอง
------
มาเป็นติ่งๆอีกละ ชอบกะผิดแฮะเดี๋ยวนี้

อย่าเพิ่งเกลียดตอนThenเลยฮะ

นางมาดีนะ55555
ปล แก้ไขเนื้อหาจ้า