ลมหายใจแห่งผืนทราย
บทที่ 22
หมู่บ้านยาคีนเต็มไปด้วยร่องรอยของการต่อสู้ ชารุกข์ใช้บ้านเรือนที่ผู้คนอพยพไปแล้วเป็นฐานที่มั่น เมื่อถึงคราวคับขัน
เหล่าบุรุษในหมู่บ้านจึงกลายเป็นกองกำลังของชารุกข์ เซรีมแห่งดาฟาร์รวมถึงพวกที่อยู่ในกลุ่มกองโจรอยู่แล้ว ทุกคนลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า
สีดำรัดกุมและปิดคลุมใบหน้าด้วยผืนผ้าสีดำไม่ต่างจากผู้นำของเขาพร้อมทั้งจับอาวุธสงครามต่อสู้กับกองกำลังทหารที่รัฐบาลส่งมา
อย่างแข็งขัน
ภายใต้ความเป็นผู้นำของชารุกข์ เพราะจำนวนคนที่มีน้อยกว่าชารุกข์จำเป็นต้องอาศัยยุทธวิธีแบบกองโจรเข้าช่วย และด้วย
ฝีมือการต่อสู้ของลูกน้องที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเพียงไม่กี่วันกองกำลังทหารของรัฐบาลจึงเริ่มเพลี่ยงพล้ำ อาจจะเพราะพวกเขา
ประมาทไม่คาดคิดว่าชาวบ้านในดินแดนห่างไกลความเจริญจะมีความสามารถในการต่อสู้ และประกอบกับความไม่ชำนาญในพื้นที่ แต่
ชารุกข์ก็มิได้ประมาทเขาวางแผนการต่อสู้อย่างรัดกุมเสมอ
ชารุกข์ใช้ห้องลับของบิดาที่เจาะลึกอยู่ใต้เนินหินสูงภายในบ้านของเชคฮอาลีเป็นสถานที่อำพรางตัวในค่ำคืนนี้ หลังจาก
เขาเสี่ยงขี่บาฮาไปยังกลางทะเลทรายโดยมีอับบาสเป็นเสมือนเข็มทิศนำทางไปหาคนที่เขารักจนสุดหัวใจ และกลับมาถึงหมู่บ้านยา
คีนยามดึกสงัดปราศจากเสียงปืน ถึงอย่างไรการรบก็ต้องมีหยุดพักตามหลักการต่อสู้ของทหารสากล
ความอบอุ่นของร่างที่เพิ่งจะได้กอดให้คลายความหนาวยังอบอวลอยู่ในหัวใจ ชารุกข์คลี่ยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าคมของลูก
ครึ่งอังกฤษไทยยามสบตา ชารุกข์รักกวินท์ รักด้วยหัวใจอย่างแท้จริง
“รอผมนะกวินท์ ผมจะรีบจบเรื่องทุกอย่างโดยเร็วที่สุด และเมื่อถึงวันนั้น เราจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน”
เขากล่าวกับกวินท์ก่อนจะจูบอำลาและปล่อยให้กวินท์จากไปพร้อมกับบาฮาและอับบาส ชีวิตของชารุกข์มีความหวังใหม่
รออยู่นั่นคือชีวิตที่มีกวินท์เคียงข้าง
เสียงกุกกักดังอยู่มุมหนึ่งของห้องแคบ ชารุกข์หันไปมองเครื่องมือสื่อสารสำคัญที่เขาหอบหิ้วจากบ้านของเขามาเก็บ
ซ่อนไว้ที่นี่ เขาปรี่เข้าไปและเปิดเครื่องมือนั้นทันที
“บีวันเรียกเอวัน ได้ยินแล้วตอบด้วย ย้ำ บีวันเรียกเอวัน”
“เอวันตอบกลับบีวัน รับสัญญาณแล้ว”
ชารุกข์รีบตอบกลับไป เขาได้ยินเสียงสบถเบา ๆ จากเพื่อนของเขา
“ปลอดภัยใช่ไหม เกสต์ล่ะ”
บีวันหมายถึงกวินท์ พวกเขาใช้รหัสแทนกวินท์ว่าเกสต์
“ปลอดภัย ตอนนี้อยู่กับพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าเรื่อง” บีวันพูดน้ำเสียงร้อนรน
“ที่คิงหาที่ตั้งเจอเพราะมีสายนะ”
ชารุกข์ขบกรามจนเป็นสัน เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ไม่มีผิด หากจะดูกันจากภายนอกหมู่บ้านยาคีนไม่มีสิ่งไหนสะดุดตาว่าจะ
เป็นที่ตั้งกองกำลังของเขาได้เลย ชารุกข์ยังสงสัยว่าเพราะเหตุใดกษัตริย์ราชิดถึงได้ส่งกำลังทหารมาโจมตีได้ถูกจุด
“ใคร”
ชารุกข์เอ่ยถามด้วยความสุขุม เขาจะให้ความขุ่นเคืองมาเป็นตัวนำการกระทำไม่ได้ เขาตั้งใจฟังคำตอบจากอีกฝ่าย และคำ
ตอบนั้นทำให้เขาหลุดคำสบถออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
ดาวฤกษ์ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าแล้วเมื่อชารุกข์ออกคำสั่งให้ลูกน้องของเขาตั้งแถวหมู่ม้าเรียงหน้ากระดานอยู่ด้านหน้าของ
หมู่บ้าน ชายหนุ่มผู้สง่างามนั่งอยู่บนหลังม้าคู่ใจโดยมีดาบยาวแนบอยู่ที่เอวพร้อมทั้งถือปืนกลเบาในมือ สายตาคมมีแววมุ่งมั่นขณะกวาด
สายตาไปยังลูกน้องทีละคนที่ต่างก็อยู่บนหลังม้าเช่นกัน พวกเขาทั้งหมดอยู่ในชุดสีดำปิดบังใบหน้า
“เราจะไม่เสียเวลาอีกต่อไป” ชารุกข์พูดเสียงเด็ดขาด
“ตอนนี้ภายในเมืองหลวงกำลังมีการปะทะกันอย่างรุนแรง พวกเราจะจัดการพวกมันให้หมดและมุ่งหน้าไปเมืองหลวงเพื่อ
จบเรื่องทุกอย่างลงเสียที”
“ชัยชนะจงเป็นของอามิร”
ลูกน้องของเขาต่างกล่าวอวยพร ทุกคนจ้องมองชารุกข์เป็นจุดเดียว สายตาเหล่านั้นบอกถึงความภักดีเทิดทูนให้กับนาย
เหนือหัวไม่เว้นแม้แต่เชคฮอาลีที่เป็นผู้นำของหมู่บ้านและมีศักดิ์เป็นลุงของชารุกข์
ชารุกข์บังคับบาฮาให้มุ่งหน้าไปยังแคมป์ที่พักของเหล่าทหาร หมู่อาชาค่อย ๆ เหยาะย่างอย่างชำนาญพื้นที่ และเมื่อ
ชารุกข์เห็นว่าระยะเหมาะสมแล้วเขาจึงยกปืนกลเบาขึ้นประทับบ่าเล็งไปที่เป้าหมาย ปลายนิ้วสอดไกแล้วลั่นกระสุนออกไปเป็นนัดแรก
เมื่อกระสุนนัดแรกจากชารุกข์ เซรีมดังขึ้น การต่อสู้ก็เริ่มต้นทันที กองกำลังของปีศาจร้ายแห่งทะเลทรายดาฟาร์บังคับม้าให้
ควบตรงมุ่งหน้าไปยังเหล่าทหารที่มีจำนวนเหลืออยู่ไม่มากนักและประจัญบานกันด้วยปืนจากระยะไกล เมื่อสามารถบุกเข้าไปในแคมป์
ทหารได้พวกเขาจึงใช้ทั้งดาบและปืนเข้าต่อสู้
“ใครยอมแพ้จับมัดไว้ ส่วนใครขัดขืนจงกำจัด”
เสียงดุดันดังขึ้นจากชารุกข์ เซรีม เหล่าหทารจ้องมองตาเหลือกราวกับเขาเป็นมัจจุราชปลิดวิญญาณ บ้างก็วางปืนยอมแพ้
ให้จับมัด มีส่วนน้อยที่ยอมเสี่ยงต่อสู้หากแต่ถูกกำจัดโดยง่าย ใช้เวลาเพียงไม่นานแคมป์ทหารรัฐบาลก็ถูกทำลายราบคาบ
ชารุกข์ควบบาฮาสำรวจโดยรอบ เมื่อเห็นว่าสามารถยึดพื้นที่ได้หมดแล้วเขาก็ชูดาบขึ้นแสดงชัยชนะ เสียงโห่ร้องดังขึ้น
กึกก้องก่อนที่ชารุกข์จะยกมือให้ทุกคนหยุด
“เราได้ชัยชนะแล้วถือว่าเป็นก้าวแรกอันดีงาม แต่ที่น่าเสียใจคือหมู่บ้านของเราถูกทำลายจนเสียหาย บรรดาญาติพี่น้อง
ของเราก็ต้องระหกระเหินหนีภัยทั้งที่หมู่บ้านของเรามีความปลอดภัยอย่างที่สุด น่าแปลกว่าพวกมันรู้ที่ตั้งของเราได้อย่างไร”
เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อลูกน้องของชารุกข์หันไปพูดคุยกันด้วยความสงสัยตามที่ชารุกข์กล่าวนำ ชารุกข์สบตาลูกน้องของ
เขาทีละคน
“รวมไปถึงที่ตั้งของอาคารพยาบาลของพวกเราที่ถูกพวกมันถล่มไปก่อนหน้านี้ ทำไมพวกมันถึงรู้”
ลูกน้องของเขามองหน้ากันเลิ่กลั่ก มันเป็นข้อสงสัยที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อน น้ำเสียงของชารุกข์เข้มขึ้นทันที
“พวกของเราบาดเจ็บหลายคน ตายหลายชีวิตเพราะความลับที่ตั้งของเราถูกเปิดเผย ทำไมความลับมันถึงเปิดเผยได้
หรือเพราะใครจงใจเปิดเผยมันออกไป”
“ชารุกข์อามิรหมายถึงมีใครเอาความลับของเราไปบอกพวกโน้นเช่นนั้นหรือ ใคร มันเป็นใคร”
เชคฮอาลีถามอย่างตกใจ พวกเขาทุกคนตั้งสัตย์กันแล้วว่าจะไม่มีใครทรยศเปลี่ยนข้าง ทุกคนมองทางชารุกข์อย่าง
ต้องการคำตอบ
“คำตอบเหล่านี้คงต้องให้ฮะซีนเป็นคนตอบพวกเราแล้วกระมัง”
ทุกคนหันขวับมามองฮะซีนเป็นตาเดียว คนถูกจ้องมองสะดุ้งเฮือกหน้าซีดปากสั่น
“เชคฮ คือว่า...”
“บอกทุกคนสิว่า ในวันที่พวกทหารถล่มอาคารพยาบาล ทำไมแกถึงรอดชีวิตมาเพียงผู้เดียวทั้งที่ทุกคนเสียสละชีวิต แต่แก
มาบอกกับฉันว่าเพราะแกหนีออกมาได้ทัน”
สายตาดุจ้องคาดคั้น ชายวัยกลางคนที่เป็นลูกน้องคนสนิทอีกคนหนึ่งของชารุกข์สบตาตัวสั่นงันงก ในที่สุดฮะซีนก็คุกเข่า
ลงไปกับพื้น เขาคำนับหน้าผากจรดพื้น เขาตัวสั่นด้วยความเกรงกลัว
“อามิรครับ ผมไม่อยากทำเลย แต่ลูกสาวของผมอยู่ในวังกับกษัตริย์ราชิด เขาขู่จะฆ่าลูกผม ขู่ฆ่าเมียของผมและคนใน
ครอบครัว ผมไม่มีทางเลือก”
ฮะซีนร้องไห้โฮ เขาใช้มือกุมข้อเท้าของชารุกข์เพื่อขอเมตตาท่ามกลางสายตาโกรธแค้นของเพื่อนในกลุ่ม แต่ทุกคนก็
ไม่กล้าพูดอะไรออกไปได้แต่รอการตัดสินจากชารุกข์
“ฉันตรวจสอบพบเงินในบัญชีของแกงอกเงยกว่าที่ควรจะเป็น นี่หรือคือความจำเป็นที่แกใช้เป็นเหตุผล หากเหตุมีเพียงแค่
นี้ ฉันจะตอบคำถามคนที่ตายไปแล้วเพราะการกระทำของแกว่าอย่างไร พวกเขามีทางเลือกที่จะไม่ตายงั้นหรือ”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยอำนาจที่ใคร ๆ ก็ต้องศิโรราบ ฮะซีนได้แต่ตัวสั่นอยู่กับพื้น แม้จะไม่อยากทำแต่ชารุกข์จำเป็น
ต้องเด็ดขาดในฐานะของผู้นำเมื่อมีคนทรยศ
ดาบที่เอวถูกดึงออกมาจนสะท้อนแสงแดดแรงกล้าในยามบ่ายจัด จนคนที่ยืนรายล้อมต้องเบือนหน้าหลบแสงของมัน
ชารุกข์จับดับมั่นและตวัดเพียงครั้งเดียวศีรษะของฮะซีนก็กระเด็นกระดอนไปตามพื้น เลือดแดงฉานพุ่งเป็นน้ำพุจากลำคอที่ไม่มีศีรษะอีก
ต่อไป
ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมา ทุกคนยอมรับผลของการลงโทษครั้งนี้เพื่อจะเป็นเยี่ยงอย่างมิให้ใครกระทำผิดซ้ำอีก ชารุกข์
เก็บดาบคืนฝักและออกคำสั่ง
“เตรียมอาวุธให้พร้อม เราจะเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อต่อสู้ครั้งสุดท้าย”
“ผมต้องกลับไปแล้ว” คาลีลเอ่ยกับวิกเตอร์ในค่ำวันนั้น ช่างภาพหนุ่มถึงกับใจหาย
“แต่การปะทะยังมีอยู่ ผมห่วงว่าคุณจะ...”
“มันเป็นหน้าที่ของผม ถึงแม้ว่าคุณจะห่วงผมก็ตาม”
ทั้งสองยืนอยู่ข้างรถยนต์ของคาลีลที่ลานจอดรถของสถานทูต แสงแดดของวันกำลังจางหายไปแล้ว วิกเตอร์คิดว่ามัน
ช่างคล้ายกับความรู้สึกของเขาที่ใกล้กับคำว่ามืดมนเข้าไปทุกที
“เหตุการณ์นี้มันต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง ผมยังทำงานให้กับคณะรัฐบาลของฮาลียันอยู่”
“แต่กษัตริย์ราชิดไล่คุณออกแล้วนะคาลีล แถมยังจะกักบริเวณคุณด้วยอย่าลืมสิ”
วิกเตอร์แย้ง คาลีลฝืนยิ้ม
“ในเมื่อยังไม่มีคำสั่งออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ถือว่างานของผมยังอยู่”
คาลีลมองสบตา หัวใจของเขากวัดแกว่งเมื่อเห็นเยื่อใยจากวิกเตอร์ มันเป็นเยื่อใยบางเบาซึ่งเขาเองก็อดที่จะใจหายไม่ได้
“คุณต้องกลับอังกฤษพรุ่งนี้แล้ว ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะ”
คาลีลหรุบตาลงต่ำ เขาไม่อาจสบตาวิกเตอร์ได้อีกต่อไป คาลีลเกรงเยื่อใยของวิกเตอร์จะถักทอหัวใจของเขาจนดิ้นไม่หลุด
วิกเตอร์รั้งต้นแขนของคาลีลไว้
“คุณจะไปส่งผมที่สนามบินไหม”
“ผมคงไปไม่ได้ เราคงต้องเอ่ยคำอำลากันตรงนี้ ขอบคุณที่คุณทำอะไรหลาย ๆ สิ่งเพื่อผม ยินดีที่ได้รู้จักคุณนะ วิกเตอร์
คอสเนอร์”
คาลีลสูดลมหายใจเข้าปอด เขาเบี่ยงแขนหนีและรีบเปิดประตูรถยนต์ก้าวเข้าไปนั่ง คาลีลสตาร์ทรถก่อนจะเหยียบคันเร่ง
ขับออกไปจากสถานทูตอย่างรวดเร็ว เขาแอบมองกระจกมองหลัง ภาพวิกเตอร์ยืนคอตกทำให้คาลีลขอบตาร้อนผ่าว
จบเพียงเท่านี้คงดีที่สุดแล้วสำหรับเยื่อใยระหว่างเขากับชาวต่างชาติคนนั้น
แอนนิสเผยแพร่ข่าวการกลับมาของกวินท์ แอนเดอร์สัน จากการปล่อยตัวของกองโจรแห่งดาฟาร์ กวินท์ปฏิเสธการให้
สัมภาษณ์กับทุกช่อง เขาแถลงข่าวเพียงแค่ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด
“พวกเขาไม่ได้ลักพาตัวผมไป มิหนำซ้ำเขายังช่วยผมไว้อีกต่างหาก อันที่จริงผมควรจะตั้งคำถามกับรัฐบาลฮาลียัน
มากกว่าว่าทำไมถึงปล่อยให้มีโจรมาทำร้ายผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้ทั้งที่อยู่ในระหว่างปฏิบัติงานตามที่ได้รับเชิญมา”
กวินท์ตั้งคำถามปลายเปิดเพื่อให้มีการขยายผลหาคำตอบต่อไป กองโจรแห่งดาฟาร์ควรจะได้รับความยุติธรรมจากคนทั่ว
โลก
เรื่องทุกอย่างสำหรับเขาจบลงแล้ว กวินท์และวิกเตอร์ได้รับคำสั่งจากต้นสังกัดให้พักจากงานได้ สำนักข่าวส่งช่างภาพ
อีกคนมาทำงานคู่กับแอนนิส สมิธและรำไพพรรณจองตั๋วเครื่องบินกลับอังกฤษทันทีในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่กวินท์ส่งมอบงานให้แอนนิส
เรียบร้อย
“ยังตกใจอยู่เหรอลูก”
รำไพพรรณลูบผมบุตรชาย ครอบครัวแอนเดอร์สันอยู่รวมกันในห้องเล็ก ๆ ของสถานทูตเป็นคืนสุดท้าย สีหน้าของกวินท์
ราวกับคนอกหักมากกว่าคนที่เพิ่งผ่านช่วงอันตรายมา
“เปล่าหรอกครับแม่ แค่รู้สึกว่าเวลาแค่ไม่ถึงเดือนแต่ผมผ่านอะไรมาเยอะมาก”
กวินท์นอนหนุนตักแม่ เขาปล่อยให้มือนุ่มลูบผมของเขาราวกับเป็นเด็กน้อย กวินท์หลับตาลงแต่กลับปรากฏภาพของใครคนหนึ่งอยู่หลัง
เปลือกตานั้น
ชารุกข์ ผมจะไม่มีวันลืมคุณได้ใช่ไหม
น้ำตาไหลจากหางตาเงียบ ๆ โดยไม่ให้มารดารู้ รำไพพรรณถอนหายใจ
“อะไรร้าย ๆ ก็ลืมมันเสียเถอะกวินท์ ทิ้งมันไว้ที่นี่ พรุ่งนี้เราก็จะกลับบ้านกันแล้ว”
กวินท์เกรงว่าเขาจะไม่มีวันลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่เลยต่างหาก
มีต่ออีกนิด...