ลมหายใจแห่งผืนทราย
บทที่ 18
คาลีลลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าทั้งห้องมืดมิด มีเพียงแสงจากจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานเท่านั้นที่ส่องแสงสว่าง เขา
กะพริบตาขับไล่ความมึนงงและย้อนคิดได้ว่าช่างภาพจากสำนักข่าวชื่อดังที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คนนั้นล่วงรู้ความลับสำคัญของ
เขาเสียแล้ว เขาโทษตัวเองที่เผอเรอรีบร้อนออกจากห้องโดยที่ไม่ได้ปิดล็อกประตูเพราะเป็นห่วงเหตุการณ์การประท้วงจนปล่อยให้วิก
เตอร์เข้ามาในห้องและรู้ความลับเหล่านั้น
ชายหนุ่มมองนาฬิกาข้อมือจึงได้รู้ว่าเขาหลับจนถึงเกือบรุ่งเช้าแล้ว เขานึกเป็นกังวลกับสถานการณ์บ้านเมืองในช่วงที่หลับ
ไปว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ในตอนนี้เพียงแค่นาทีเดียวอะไรก็เกิดขึ้นได้ คาลีลรีบขยับกายขึ้นลุกนั่ง เขานิ่วหน้าเมื่อยังมีอาการ
ปวดศีรษะแล่นมาเป็นริ้ว
เสียงอุทานเบา ๆ ทำให้วิกเตอร์หันขวับมามอง เมื่อเห็นเจ้าของห้องตื่นและลุกนั่งด้วยสีหน้าไม่ดีนักวิกเตอร์จึงลุกจากเก้าอี้
ก้าวมานั่งที่ขอบเตียงและมองคาลีลอย่างพิจารณา
“คุณเป็นยังไงบ้าง ยังมีอาการหายใจลำบากอยู่อีกไหมคาลีล”
ไม่รู้ว่าคาลีลคิดไปเองหรือเปล่าที่เขามองเห็นสายตาห่วงใยจากชาวต่างชาติคนนี้ เขาส่ายหน้าและรีบกล่าวปฏิเสธทันที
“ผมหายดีแล้ว และคุณก็ไม่ควรมายุ่งกับผม”
แม้น้ำเสียงจะยังอ่อนระโหยแต่คาลีลก็พยายามปั้นเสียงให้แข็งขึ้น เขาหย่อนปลายเท้าลงไปกับพื้นห้องและลุกขึ้นยืน แต่
อาการวิงเวียนกลับมาเยือนจนแทบล้มทั้งยืน ดีที่ได้วิกเตอร์ใช้ท่อนแขนช่วยรับไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะล้มหน้าคว่ำไปกับพื้น
“คุณยังไม่หายดีหรอกคาลีล สภาพแบบนี้นอนพักต่ออีกนิดเถอะ”
“อย่ามายุ่งกับผม ผมบอกแล้วไง”
คาลีลหงุดหงิดกับร่างกายที่ไม่เป็นใจเอาเสียเลย เขารู้สึกแปลก ๆ กับความใกล้ชิดในตอนนี้ที่วิกเตอร์มีต่อเขา ท่อนแขนที่
โอบรัดอยู่ตรงเอวทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะไปบ้าง คาลีลรีบโยนความรู้สึกเหลวไหลนั้นทิ้งทันที
วิกเตอร์มองผู้ชายที่เขาช่วยไว้ด้วยสายตาเคืองขุ่น หมั่นไส้เต็มกำลังกับความดื้อรั้นจนต้องปล่อยท่อนแขนออกและปล่อยให้
คาลีลทรุดร่วงลงไปนั่งอยู่บนขอบเตียงอีกครั้ง สีหน้าของคาลีลยังซีดแม้ว่าจะอยู่ในความมืดเมื่อเขาปิดไฟและปล่อยให้คาลีลนอนหลับ
ไปหลายชั่วโมง คาลีลนิ่วหน้าพร้อมกับยกปลายนิ้วขึ้นนวดขมับ ยอมรับว่าเขายังไม่หายดีอย่างที่ตัวเองพูดออกไปจริง ๆ
“ผมรู้ว่าคุณเป็นคนเข้มแข็ง” วิกเตอร์เท้าเอวแล้วพูดเสียงแข็ง
“แต่คนเรามันก็ต้องมีช่วงอ่อนแอด้วยกันทั้งนั้นแหละ อย่างคุณตอนนี้ไง ช่วยทำตัวให้สมกับความอ่อนแอของคุณหน่อย
อย่าฝืนทำเป็นเข้มแข็งหน่อยเลย”
ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดของคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานถึงกระแทกเข้ากลางใจของคาลีล ราวกับคำพูดนั้นจะผลักภาระที่คาลีลแบก
รับไว้บนบ่าร่วงไปอยู่กับพื้น ขอบตาของคาลีลร้อนผ่าวเขาหงายหลังลงไปบนเตียงแล้วหลับตาลงเพราะไม่อยากให้วิกเตอร์มองเห็น
ความอ่อนแอในหัวใจ
วิกเตอร์มองสภาพคนหมดแรงของคาลีลด้วยความเห็นใจ เขาไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายที่นอนแผ่ตรงหน้าซึ่งมีหน้าที่เป็นถึง
เลขานุการของกษัตริย์จะต้องมารับผิดชอบงานเสี่ยงต่อชีวิตด้วยการลอบติดต่อกับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล หากฝ่ายกษัตริย์ราชิดมีชัยในการ
ปราบปรามและสืบหาความจริงได้ คาลีลต้องได้รับโทษถึงชีวิตแน่นอน
“ผมจะส่งคุณกลับอังกฤษ” คาลีลกล่าวเสียงแผ่วทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“เที่ยวบินแรกของสายการบินแรกในวันนี้ เท่าที่ผมจะหาบัตรโดยสารให้คุณได้โดยเร็วที่สุด”
“ไม่” วิกเตอร์นึกไม่ถึงว่าตัวเขาจะปฏิเสธได้ทันควันขนาดนั้น
“นี่คุณจะกำจัดคนที่รู้ความลับของคุณด้วยการเนรเทศออกนอกประเทศงั้นหรือคาลีล คุณไม่กลัวว่าผมกลับอังกฤษไป
แล้วผมจะไปทำข่าวสายลับของขบวนการโค่นล้มกษัตริย์แห่งฮาลียันเหรอ”
คาลีลลืมตาขึ้นมา เขามองวิกเตอร์ที่นั่งอยู่บนขอบเตียงใกล้กันกับเขาอย่างแปลกใจ
“คุณเรียกร้องให้ผมปล่อยคุณเป็นอิสระ พอถึงเวลาที่ผมจะปล่อยจริงคุณกลับไม่ยอมไป”
วิกเตอร์ยักไหล่ เขาส่งยิ้มกวนให้คนที่นอนอยู่
“เรื่องอะไรจะกลับล่ะ ในเมื่อตอนนี้ผมได้อยู่ใกล้กับแหล่งข่าวสำคัญระดับโลก ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะตามติดชีวิตของ
คุณ ผมจะเกาะคุณแน่นเป็นเหาฉลามเลยล่ะ”
คาลีลขมวดคิ้ว เขามองสบตาวิกเตอร์ด้วยความสับสน
“ทั้งที่คุณรู้ว่าชีวิตของผมไม่เคยแน่นอน จะตายเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ คุณบ้าหรือเปล่า”
“จะว่าบ้าก็ได้” วิกเตอร์พยักหน้าหงึกหงัก
“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก เป็นห่วงตัวเองก่อนเถิดน่า รับรองว่าผมจะไม่ไปยุ่งกับงานของคุณเด็ดขาด ถือว่าผมเป็นนัก
สังเกตการณ์ในชีวิตของคุณก็แล้วกัน”
ยังไม่ทันที่คาลีลจะตอบตกลงหรือปฏิเสธเขาก็ต้องรีบเด้งตัวขึ้นจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณอะไรบางอย่างดังขึ้น ชาย
หนุ่มรีบตรงไปที่ชั้นหนังสือและเปิดทางลับเข้าไปทันที สัญญาณบางอย่างจากเครื่องส่งวิทยุดังเป็นจังหวะเมื่อคาลีลพุ่งตัวไปหามัน
วิกเตอร์ไม่รู้ว่าคาลีลตอบโต้กับอีกฝ่ายว่าอะไรเพราะทั้งสองฝ่ายพูดเป็นภาษาพื้นเมือง แต่วิกเตอร์รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่
เพราะเขาเห็นแผ่นหลังของคาลีลสั่นสะท้าน
“เกิดอะไรขึ้นคาลีล!”
วิกเตอร์ตรงเข้าไปวางมือที่ไหล่ทั้งสองข้างของคาลีลแล้วเขย่าเรียกสติ คาลีลสะดุ้งสุดตัวก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับวิก
เตอร์ด้วยสีหน้าตระหนก
“กษัตริย์ราชิดสั่งให้ใช้อาวุธจริงกับผู้ชุมนุมประท้วง และสั่งให้โจมตีที่ตั้งของชารุกข์!”
“เมื่อไหร่ เขาสั่งโจมตีเมื่อไหร่”
วิกเตอร์ตกใจไม่น้อยไปกว่ากันเพราะนั่นหมายถึงอันตรายของกวินท์เพื่อนสนิทที่ตกอยู่ในการดูแลของชารุกข์ หัวหน้ากอง
โจรแห่งดาฟาร์ ริมฝีปากของคาลีลสั่นระริกขณะที่เขาตอบด้วยเสียงเบาหวิว
“ตอนนี้ ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษเข้ารับคำสั่งแล้ว”
รู้สึกตัวตื่นเพราะอากาศเหน็บหนาวในยามใกล้รุ่งแตะไล้ไปตามผิวกาย เขาขยับกายเบา ๆ ก่อนจะรับรู้ว่าตนเองยังอยู่ใน
อ้อมกอดของวงแขนแกร่งที่โอบรัดเขาไว้ตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ ผิวแก้มของเขาร้อนซู่เมื่อต้องยอมรับว่าเขากลายเป็นทาสของชารุกข์จอมโจร
แห่งดาฟาร์ไปแล้วทั้งตัวและหัวใจ
มันเป็นความเต็มใจของเขาเองกับสัมพันธภาพลึกซึ้งนี้ ชารุกข์มอบความสุขให้เขาอย่างทะนุถนอมและหอมหวาน กวินท์
ไม่คาดคิดว่าการเดินทางมาทำงานครานี้จะทำให้เขาได้พบกับเรื่องตื่นเต้นและได้พบกับคนที่ครอบครองหัวใจของเขาจนไม่เหลือเผื่อใจ
ไว้ให้ใครอีกต่อไป
“ทำไมรีบตื่นล่ะฮาบิบี ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลย”
จุมพิตอ่อนหวานแตะอยู่ตรงหน้าผาก กวินท์เงยหน้าและเกยคางอยู่กับไหล่กว้างที่เขาซบนอนตลอดคืน
“วันนี้อากาศหนาวจังครับชารุกข์ หนาวกว่าทุกวันที่ผ่านมา”
“อ้อมกอดของผมไม่ทำให้คุณหายหนาวหรือ สงสัยว่าผมจะต้องกอดคุณให้แน่นมากกว่านี้กระมังกวินท์”
เมื่อได้เปิดใจซึ่งกันแล้วชารุกข์กลับกลายเป็นช่างเจรจาด้วยคารมคมคาย ดวงตาของเขาก็ยิ่งมองอย่างดื่มด่ำจนกวินท์ต้องหลบสายตา
ด้วยความขัดเขิน
“โอ๊ย ท่านเชคฮ อย่าหวานกว่านี้เลยครับ แค่นี้ผมก็ทำอะไรไม่ถูกแล้ว”
ชารุกข์หัวเราะในลำคอ เขาจ้องมองใบหน้าของกวินท์ด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ก่อนหน้านี้เขาอยู่โดยปราศจากความสดชื่น แต่
เมื่อได้พบกับกวินท์ ชายหนุ่มในอ้อมกอดเหมือนสายฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าเพื่อต่อชีวิตให้กับกระบองเพชรขาดน้ำในทะเลทรายเช่น
เขา
“ผมหวานกับคุณคนเดียว คุณคือชีวิตของผมนะฮาบิบี”
อ้อมกอดยิ่งกระชับ ชารุกข์โน้มใบหน้าเข้าหาปากอิ่มเย้ายวนแล้วประทับแนบลงไปด้วยปากของเขา กวินท์เปิดทางรับเมื่อ
ชารุกข์ค่อย ๆ ใช้ปลายลิ้นส่งผ่านเข้าไปแตะชิมอยู่ภายใน เขาตวัดเบา ๆ เพื่อเกี่ยวพันลิ้นเล็กของกวินท์ให้ตกอยู่ใต้อาณัติของเขา
“อื้อ...ชารุกข์”
นานจนแทบขาดใจกว่าชารุกข์จะพอใจกับจูบนี้ ชารุกข์ผ่อนจูบช้า ๆ และถอนคืนลิ้นอุ่นออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เขามองกรอบ
หน้าหวานที่ดวงตากำลังเลื่อนลอยอย่างเอ็นดู
“เป็นอะไรไปครับกวินท์”
กวินท์ถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง เขามองชารุกข์ด้วยความทึ่ง
“คุณจะทำให้ผมขาดใจทุกครั้งที่คุณจูบผมนะ ถามจริงไปฝึกที่ไหนมา”
ชารุกข์หลุดขำ กวินท์ทำให้เขาลืมเรื่องเคร่งเครียดจนหมดสิ้น ชารุกข์ใช้ปลายนิ้วเชยคางกวินท์แล้วพูดกลั้วหัวเราะ
“ที่ผ่านมาช่างมันเถอะ ต่อจากนี้ผมจะฝึกกับคุณและสอนให้คุณจูบเก่งเหมือนผมด้วยดีไหม แต่ว่าตอนนี้เราสองคนควรจะ
ไปอาบน้ำให้สดชื่นและหาอะไรเบา ๆ กินกันก่อนที่ผมจะไปมัสยิดดีกว่า”
ชารุกข์หลิ่วตาหยอกล้อกวินท์
“ผมหิวเพราะหมดแรงไปกับคุณทั้งคืน ถ้าเรายังนอนกอดกันแบบนี้ผมเกรงว่าผมจะอดใจไม่อยู่แล้วกินคุณแทนอาหารเช้า”
“โอ๊ย เกลียดจริงเชียว”
กวินท์หัวเราะตาม ร่างของเขาถูกช้อนอุ้มขึ้นอยู่ในวงแขนอย่างง่ายดายเมื่อชารุกข์พาเขาไปยังห้องน้ำ หัวใจของกวินท์
มีแต่ความสดชื่นเบิกบานเมื่อได้รู้จักความรักจนเขาลืมเรื่องอื่นไปแล้วหมดสิ้น
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเรียบร้อยทั้งคู่จึงไปที่ห้องครัวและช่วยกันอุ่นนมแพะเป็นอาหารเช้า กลิ่นหอมฉุนวางอยู่ตรง
หน้าเมื่อชารุกข์และกวินท์นั่งอิงแอบกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ประเทศไทยร้อนมากไหม” ชารุกข์เอ่ยถาม
“ผมยังไม่เคยไปประเทศไทยเลย”
“เมืองไทยร้อนชื้นเพราะอยู่ในเขตมรสุม แต่มันไม่ร้อนรุนแรงเหมือนในทะเลทรายหรอกครับ”
“แล้วคุณอยู่กับใครถ้าไปที่ไทย”
ชารุกข์ถามต่ออย่างใส่ใจ เขาชอบฟังเสียงเจื้อยแจ้วของกวินท์ เจ้าตัวยิ้มสดใสเมื่อคิดถึงญาติที่ประเทศไทย
“ผมอยู่กับคุณยาย ที่โน่นเป็นครอบครัวขยาย ผมมีลุงป้าน้าอากับญาติรุ่นราวคราวเดียวกันเยอะจนจำแทบไม่หมด มันเป็น
ความสัมพันธ์ที่ดีนะ นี่ผมยังคิดเลยว่าถ้าเลิกเป็นนักข่าวผมจะไปหางานทำที่เมืองไทย”
“คุณอยากทำงานอะไรล่ะ”
กวินท์กรอกตาไปมาเพื่อหาคำตอบให้ชารุกข์
“ไม่รู้สิ ผมอาจจะไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ไปเป็นนักเขียนบทความฟรีแลนซ์ หรืออาจจะไปเกาะคุณยายกินก็ได้ แล้ว
คุณล่ะ ถ้าไม่มาเป็นโจรกลางทะเลทรายคุณทำอะไรอยู่”
เอ่ยถามบ้างด้วยความอยากรู้ ชารุกข์เผยรอยยิ้มพร้อมกับเลิกคิ้วถามกลับ
“คุณคิดว่าหน้าตาอย่างผมจะเป็นอะไรได้บ้างล่ะถ้าไม่ใช่โจร”
กวินท์นิ่งคิด เขาจ้องมองใบหน้าคมหล่อเหลาที่เริ่มมีหนวดเคราขึ้นหนาตาและนิ่งคิด
“เป็นนายแบบหรือเปล่า คุณหล่อมากเลยนะ แวบแรกที่เห็นคุณผมนี่พูดไม่ออกเลย”
ชารุกข์ส่ายหน้าปฏิเสธ กวินท์ยังเดาต่อไป
“คุณต้องคุมบ่อน้ำมันสิ ประเทศของคุณร่ำรวยเพราะน้ำมันนี่นา”
“เดาไปก็ไม่ถูกหรอก” ชารุกข์ยังคงปฏิเสธ
“ผมตอบเลยดีกว่าว่าผมน่ะเป็นเชฟ”
กวินท์ตาเหลือก เขาจ้องมองชารุกข์อย่างไม่เชื่อในคำตอบ
“เดี๋ยวนะ คุณเป็นเจ้าชาย และผันตัวเองมาเป็นโจร ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคุณเป็นเชฟ”
“งั้นเดี๋ยวมื้อเย็นอยากดินเนอร์ด้วยอาหารฝรั่งเศสไหม ผมจะทำให้คุณชิม”
ชารุกข์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“แต่ว่าตอนนี้ผมต้องไปมัสยิดแล้ว คุณจะไปกับผมไหม”
กวินท์พยักหน้า เขาลุกขึ้นยืนและเตรียมพร้อมจะไปกับชารุกข์ แต่ยังไม่ทันก้าวข้ามประตูเสียงสัญญาณบางอย่างก็ดังขึ้น
ชารุกข์ชะงักฝีเท้าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อรีบไปที่เครื่องรับสัญญานที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะรับแขก กวินท์ตื่นตัวเพราะสัญชาตญาณ
นักข่าว เขาจ้องมองชารุกข์ที่มีใบหน้าเคร่งเครียดและดูตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับชารุกข์”
รีบถามทันควันเมื่อชารุกข์พลันวิ่งออกไปจากบ้านด้วยความเร่งรีบ และคำตอบของชารุกข์ทำให้กวินท์เองหวาดหวั่นเหลือเกิน
“ผมต้องรีบไปที่มัสยิดเพื่อเตือนทุกคน ราชิดสั่งบุกแล้ว”
ระยะทางระหว่างบ้านกับมัสยิดไม่ได้ไกลกันนักแต่วันนี้มันช่างแสนไกลในความรู้สึกของชารุกข์เมื่อเขาต้องเร่งฝีเท้าวิ่ง
เต็มกำลัง ทุกวินาทีมีค่ากับข่าวด่วนที่เพิ่งได้รับจากเพื่อนของเขา ชารุกข์วิ่งไปจนมองเห็นมัสยิดกลางหมู่บ้านที่มีชาวยาคีนมารอ
ละหมาดกันในยามเช้าหนาแน่น ชารุกข์กำลังจะตะโกนบอกข่าวออกไปเพื่อให้ทุกคนระวัง
มีต่ออีกนิด...