คู่มือในการเลี้ยงผีข้อที่ ๑ : ผีคือบ่าว...คนคือนาย วันนี้พี่กลอนสุดหล่ออู้งานมานั่งหายใจทิ้งเล่นที่ห้องนั่งเล่น เนื่องจากคำพูดของไอ้โรมที่วิ่งวุ่นอยู่ในหัว ยิ่งใกล้กำหนดเวลาที่พี่ภพมันจะกลับมายิ่งกลุ้มหนัก
ถึงพี่ภพสัญญิงสัญญาว่าจะไม่อ่านใจผมตามใจชอบอีกแล้วแต่ก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ เพราะมันบอกเองเลยว่าเรื่องอ่านใจนี้มันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างมากก็แค่ปิดใจตัวเองไม่ให้รับรู้ความคิดผม แต่ถ้าไอ้กลอนดันอยู่ใกล้ๆและเสือกคิดเรื่องที่เกี่ยวกับมันอยู่พอดีพอดีมันก็รู้อยู่ดี
แล้วสภาพหัวไอ้กลอนตอนนี้คือมีแต่เรื่องของมันเต็มไปหมด ถ้ามันกลับมาแล้วตามติดไอ้กลอนเป็นขี้ปลาทอง ความคิดเรื่องนี้ก็วิ่งปรู๊ดปร๊าดไปหาเร็วยิ่งกว่าจรวดนะสิ
"....กลอน....พี่กลอน!!!"
"เหวอ! ทำไมมาเงียบๆวะไอ้ตัวแสบ กูตกใจหมด"
ผมยกมือลูบอกเบาๆพลางเอ็ดเสียงดัง แต่ไอ้เด็กร่างผอมที่มีใบหน้าราบเรียบอ่านอารมณ์ได้ยากดันส่ายหน้าเอือมระอาจัดใส่ไอ้กลอนเสียนี่
"ผมเรียกหลายครั้งแล้วต่างหาก พี่นั่นแหละที่เหม่อ"
"เออๆ หลวงปู่มีเรื่องอะไรวะ?"
"ท่านบอกให้พี่ไปหาเย็นนี้"
"โอเค ได้"
ผมพยักหน้ารับพอเดาได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องการสร้างเรือนนอนหลังใหม่ของเด็กวัดที่ท่านอุปการะอยู่ เรือนนอนหลังเก่ามันทรุดโทรมเต็มทนซ้ำเด็กๆก็มากขึ้นทุกวัน ท่านเลยอยากสร้างหลังใหม่ที่ใหญ่ขึ้นและแข็งแรงทนทานกว่าเดิม แต่คณะกรรมการวัดชุดนี้มันมีปัญหามากนัก ท่านเลยขอให้ผมช่วยดูแลงานนี้ให้
ตอนแรกท่านจะให้ถือเงินซะด้วยซ้ำแต่ไอ้กลอนขี้เกียจรบรากับพวกตาแก่โลภมากจึงให้ท่านถือเงินไว้เหมือนเดิม เวลาผมจะเบิกเอาไปจ่ายโน่นนี่ค่อยไปเบิกกับท่านเป็นคราวๆไป แต่เสียงนกเสียงกาใช่ว่าจะหมดไปนะครับ แม่งก็ยังเหลืออยู่ดีสงสัยกลัวไม่ได้เกิดเป็นเปรต
"เดี๋ยวๆ ชีวิตมึงอย่าเพิ่งกลับ" ผมดึงตัวลูกศิษย์ของหลวงปู่เอาไว้ เอาไว้ลองปรึกษามันดูจะเป็นไรไป
เด็กนี่ชื่อชีวิตชื่อโคตรแปลกใช่ไหมล่ะ มันมาขออยู่กับหลวงปู่ตั้งแต่อายุเจ็ดแปดขวบ ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นพี่ใหญ่ในหมู่เด็กวัดคนหนึ่งนิสัยมันทั้งเงียบทั้งฉลาดเกินวัยไปมากโขเลยกลายเป็นเด็กวัดของคนโปรดของหลวงปู่ได้ไม่ยากเย็น
กับผมเองก็ถือว่าสนิทกันพอควรครับเพราะเจอกันบ่อยเวลาไปวัด ที่ทำให้ไอ้กลอนชอบมันเป็นพิเศษคือเรื่องปากหนัก ด้วยความเป็นเด็กวัดคนโปรดที่คอยรับใช้หลวงปู่เลยรู้อะไรมากพอสมควรแต่ มันก็ไม่เคยปล่อยให้ความลับหลุดออกมาแม้แต่ครั้งเดียว ไอ้กลอนเลยวางใจมันพอสมควร
"กูมีเรื่องจะถามมึงหน่อย แต่ห้ามหัวเราะนะเว้ย"
จากนั้นไอ้กลอนก็เล่ากึ่งระบายทุกอย่างให้มันฟัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการบ่นมากกว่า ต้องขอบคุณเหลือหลายที่มันใจเย็นและอดทนมากพอที่จะฟังจนจบ ผมเน้นย้ำเป็นพิเศษถึงปัญหาหนักอกที่ไอ้โรมทิ้งไว้ให้กลุ้ม ผมนึกว่ามันจะหัวเราะด้วยซ้ำหลังเล่าจบ...แต่ที่ผิดคาดก็คือมันไม่ขำแถมยังทำท่าคิดแบบจริงจังอีกด้วย ทำเอาไอ้กลอนเอ๋อไปเลย
"มึงเชื่อกูใช่ป่ะ?"
"ผมเคยเห็นเขา"
สรุปมีแต่ไอ้กลอนใช่ไหมเนี่ยที่ไม่รู้ว่ากล้วยตานีสวนตัวเองมีผี! "ก่อนจะหาเรื่องเลิก ผมถามก่อนว่าพี่รู้สึกกับเขายังไง"
น่าแปลกที่ผมไม่สามารถตอบออกไปได้ทันที ถ้าเป็นตอนแรกแรกไอ้กลอนพูดได้อย่างไม่ลังเลว่า 'กลัว'
แต่เมื่ออยู่กันไปสักพัก ไอ้พี่ภพมันก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นนี่นะ...พูดตามตรง อยู่กับมันก็ไม่ได้แย่อะไร ออกจะสบายเกินควรด้วยซ้ำเพราะมันปรนนิบัติพัดวีผมดีทุกอย่าง ถึงจะใช้งานผมบนเตียงหนักไปบ้างแต่มันก็เสียวดีอ่ะ ไม่รู้ว่าฝึกมาจากไหนถึงได้เก่งชิบหาย มันต้องไปแอบถ้ำมองมนุษย์เดินดินอย่างพวกผมตอนโซเดมาคอมบ่อยๆแน่ เป็นผีก็มีข้อดีตรงที่ไม่มีคนเห็นนี่แหละ แอบมองโน่นนี่นั่นได้สบาย
"โอ๊ย!"
"ให้คิด...ไม่ให้ใช่ให้รั่ว"
แม่ง- -ตบกบาลกูแบบไม่เกรงใจอายุสักนิด
"ไม่ต้องทำหน้างง พี่อ่านง่ายจะตายคิดอะไรออกมาทางหน้าหมด"
"เออๆ อยู่กับมันก็โอเคนะ สบายโคตรๆ ดูแลกูดีทุกอย่าง ตัดเรื่องที่มันเป็นตัวผู้ออกไปก็เหลือเหตุผลอยู่สองข้อคือมันเป็นผีกับกูไม่รักมัน"
"ปัญหาอยู่ที่ว่าเป็นผีเลยทำให้รู้สึกไม่มั่นคงสินะ" "อะไรนะ?" ผมขมวดคิ้วถามเพราะมันพูดเบาจนแทบไม่ได้ยิน
"ผมบอกว่าคิดอะไรมีสาระก็เป็นนี่"
แต่เมื่อกี้มันเหมือนจะพูดยาวกว่านี้นี่ เดี๋ยว! ไอ้เด็กบ้านี่มันหลอกด่า ไม่สิ- -มันด่าผมตรงๆเลยนี่หว่า!!! ทว่าไม่ทันจะอ้าปากด่ากลับมันก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
"งั้นก็คุยกับเขาตรงๆนี่แหละจะคิดอะไรมาก ถึงยังไงพี่ก็ไม่มีปัญญาบังคับอะไรเขาได้อยู่แล้วนี่"
จริงครับ....จะให้ไอ้กลอนเอาอะไรไปสู้กับสุดยอดผีอย่างไอ้พี่ภพวะ
"ความจริงเพื่อนพี่ก็พูดถูกแล้วที่ให้พี่ไปคุยกับเขา ไม่รู้จะมาถามผมอีกทำไม"
"อย่าบ่นน่า กูเครียด กูอยากระบาย!"
ไอ้ชีวิตส่ายหน้าเบาๆแบบโคตรเท่ ชิ! เป็นแค่เด็กอายุสิบสองสิบสามแต่แอ็คท่าอย่างกับตาแก่อายุหกสิบ!
"มีอะไรอีกเหรอ?"
"กูถามจริงๆนะ ซีเรียสด้วย" ผมทำท่าจริงจังกว่าเดิม
ถึงชีวิตมันจะเด็กกว่าผมมาก แต่ขอบอกว่าวีรกรรมของมันที่ไอ้กลอนไปเผือกรู้มาแม่งไม่ได้เด็กสักนิด ถึงมันจะแนะนำให้คุยกับพี่ภพตรงๆเป็นเพราะทางนี้มันง่ายที่สุดแล้วมากกว่า แต่เชื่อเถอะมันมีทางอื่นให้เลือกอยู่ด้วยชัวร์
"ถ้ากูจะเลิกจริงๆแต่ไอ้ที่ภพมันไม่ยอม พอจะมีวิธีตัดขาดจากมันไหมวะ?"
"........"
มีจริงๆด้วย.... "ไปคุยกันให้แน่นอนก่อนค่อยมาถามผมใหม่ล่ะกัน" ไอ้ตัวแสบบอกแบบไม่ใยดีแล้วเดินลงเรือนหนีไปทันที ผมเลยได้แต่บ่นหงุงหงิงอยู่คนเดียว
หลวงลุงบอกให้พูดจากันให้เรียบร้อย....
ไอ้โรมบอกให้ตกลงกันให้ชัดเจน....
กระทั่งไอ้ตัวแสบชีวิตก็ยังไล่ไปคุยกันให้ชัวร์....
เอาวะ....คุยก็คุย
แต่ต้องคุยเรื่องอะไรอ่ะ!? ++++++++++++++++
แน่นอนว่าจะให้ไปถามพระถามเจ้าอย่างหลวงลุงก็ไม่ได้ ส่วนชีวิตก็สะบัดตูดหนีไปแล้ว ก็เหลือแต่ไอ้โรมเพื่อนเลิฟเพื่อนยากคนเดียวที่ไอ้กลอนลูกแม่อังกาบพ่อราชสามารถพึ่งพาได้
".....กูผิดเองที่คาดหวังในหัวสมองขี้เลื่อยของมึงมากเกินไป" พอมันฟังคำถามจบมันก็อึ้งไปพักหนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยประโยคดูถูกเหยียดหยามไอ้กลอนคนนี้ ทำเอาผมฉุนกึกขึ้นมาทันที ถ้าไอ้กลอนโง่ว่าที่เมียของมันอย่างไอ้หมาตินก็ต้องโง่กว่า!
"ไอ้- -"
"ถ้ามึงยังอยากได้คำแนะนำจากกูก็หุบปาก" ผมงับปากลงทันที....ไม่ได้กลัวมันนะครับ แค่อยากรู้เท่านั้นเอง!
"ตอนนี้กูยุ่งอยู่ไม่มีเวลาสาธยายอธิบายให้มึงเข้าใจ เพราะงั้นกูจะพูดสั้นๆนะ- -มึงไสหัวไปถามที่ตานีของมึงให้กูแค่ประโยคเดียวพอว่า ความเป็นผัวเมียของมึงกับพี่ตานีจะอยู่ได้นานแค่ไหน" เพราะประโยคคำถามสั้นๆจากไอ้โรมทำให้ผมต้องมานั่งหน้าเครียดคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม คือ....มันก็ดูเป็นคำถามง่ายๆอ่ะนะ แต่ถ้ามาจากปากไอ้โรมมันต้องสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากกว่านั้นแน่
ไอ้โรมมันแทบจะจับผมใส่พานประเคนให้พี่ภพอยู่แล้ว แต่ดันตั้งคำถามราวกับว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้พี่ภพมันเป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีควรถอนตัวแยกย้ายกันแต่เนิ่นๆเถอะ
ดูย้อนแย้งกันชิบหาย....
อีกอย่างผมก็เป็นเมียไอ้พี่ภพไปเรียบร้อยแล้วยังจะถามอะไรอีก?
"คิดอะไรอยู่หรือ?"
ผมสะดุ้งเมื่อผีที่กำลังคิดถึงอยู่โผล่มาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว มันทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลัง สองแขนก็โอบหลวมๆแถมยังวางคางไว้บนไหล่อย่างฉวยโอกาสตามประสาผีหื่น ไอ้กลอนล่ะเปลืองเนื้อเปลืองตัวชิบหาย...แต่โวยวายไปก็โดนหนักกว่าเดิม อีกอย่างผมก็ชักเริ่มชินแล้วจึงปล่อยให้มันลวนลามไปตามสบาย
"งานเสร็จแล้วเหรอ?"
"อืม คิดถึงกลอนมาก"
ไม่พูดเปล่า....แต่มันยังซุกไซร้ไปตามลำคอ มือไม้เริ่มลูบขึ้นลูบลงไอ้กลอนเห็นแววจะเสียตัวเลยรีบตะครุบมือหนาของไอ้ผีหื่นเอาไว้ก่อน
"หยุดเลยพี่ภพ ไอ้โรมมันฝากกลอนให้ถามอะไรพี่นิดหน่อยอ่ะ"
"ว่ามาสิ"
มึงก็หยุดไซร้ก่อนสิวะ!
"มันอยากรู้ว่าความเป็นผัวเมียของเราจะอยู่ได้นานแค่ไหน"
ไอ้กลอนใช้คำว่าผัวเมียตามไอ้โรมอย่างเต็มปากเต็มคำ...ก็มันจริงนี่หว่า แถมทั้งบ้านก็มีแค่หนึ่งคนกับหนึ่งผีจะอายอะไรใครหน้าไหนอีก ไอ้พี่ภพหยุดลวนลามผมทันที มันกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนถามเสียงเบา
"แล้วกลอนคิดว่าอย่างไร?"
"พูดตรงตรงๆคือกลอนงงว่ะ" ผมสารภาพพลางยกมือเกาหัว "กลอนกับพี่ก็เป็นผัวเมียกันไปแล้วอ่ะ แถมเรื่องนี้มันก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรแต่ดันมาตั้งคำถามแปลกๆเหมือนบอกให้เราเลิกกันซะงั้น การกระทำกับคำพูดมันสวนทางกันโคตรๆ หรือว่ามันจะทำงานหนักจนเพี้ยนวะพี่ภพ?"
"ฮ่าๆๆๆ สมแล้วที่เป็นกลอน"
กูพูดอะไรผิดวะ?
"เอาอย่างนี้ดีกว่า กลอนเชิญเพื่อนมากินข้าวเย็นที่เรือนเถอะจะได้พูดเพียงครั้งเดียวจบ"
"ไอ้โรมกับไอ้ตินคงมาอยู่แต่ไอ้หมูอบไม่ยอมมาแน่ มันกลัวพี่จะตายชัก" บอกตามตรงว่าไอ้กลอนไม่มีปัญญาลากคนที่กลัวผีขั้นร้ายแรงอย่างมันมาได้จริงๆ ส่วนไอ้โรมกับไอ้หมาตีนนะไม่น่าเป็นกังวลสักนิด
"บอกเพื่อนกลอนว่าถ้าไม่มาพี่จะส่งลูกน้องไป
'เชิญ' ถึงเรือน"
อืม...ถ้าอย่างนั้นต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายมันก็คงตะกายมาได้แน่ๆ
"บอกกลอนก่อนไม่ได้เหรอ กลอนอยากรู้"
"บอกไปน้องกลอนก็ไม่เข้าใจนี่สิ"
มันว่าด้วยสีหน้าปลงๆพลางขยี้หัวผมเบาๆ แล้วเดินเข้าครัวไปทำกับข้าวบำรุงกระเพาะให้ผม ทิ้งไอ้กลอนนั่งมึนอยู่นานสองนานกว่าจะรู้ตัวว่าประโยคเมื่อครู่มันไม่ใช่เป็นประโยคบอกเล่า....ไม่ใช่คำชมด้วย
ไอ้ผีหื่นมันด่าว่ากูโง่!!! +++++++++++++++++++
"งอนอะไรวะหน้าบูดเป็นตูดเชียว"
ลูกๆในปากไอ้ตินถูกปล่อยออกมาทักทายทันทีที่มันโผล่หน้าขึ้นเรือน ตามด้วยไอ้โรมที่หอบของพะรุงพะรังเต็มมือ ผมเลิกคิ้วสูง แปลกใจโคตรๆที่ไม่เห็นหุ่นอวบอั๋นทรมานใจสาวของไอ้หมูอบเกาะตามหลังสองคนผัวเมีย
ผมกับไอ้ตินว่าตาขาวแล้วไอ้หมูอบยิ่งอาการหนักกว่า ไม่น่าเป็นไปได้ที่มันจะกล้าขับรถมาบ้านสวนคนเดียวแบบไร้เพื่อนให้เกาะ
"ไอ้หมูอบโดนเตี่ยมันเรียกให้ไปทำธุระด้วย แล้วจะตามมาทีหลัง" ไอ้โรมบอกทันทีอยากรู้ใจ
"ว่าไงงอนอะไรอยู่?" ไอ้ตินยังไม่เลิกเซ้าซี้มันทิ้งตัวทรุดลงนั่งข้างๆผม ส่วนไอ้โรมก็เดินเข้าครัวเอาของกินที่หอบมาใส่จาน
พูดถึงเรื่องนี้แล้วไอ้กลอนก็หน้าบูดกว่าเดิม....เปล่า- -ผมไม่ได้งอนเรื่องที่มันไม่ยอมบอกผมอะไร จนกว่าเพื่อนซี้ทั้งสามจะมาถึงหรือเรื่องที่มันว่าผมโง่ แต่งอนเพราะมันไม่ยอมให้ผมดื่มเหล้า!!!
ชีวิตไอ้กลอนบัดซบชิบหาย....ไม่ได้จิ้มสาวๆยังไม่เท่าไหร่ถึงยังไงไอ้พี่ภพก็ทำให้เต็มอิ่มอยู่แล้ว อะแฮ่ม- -ให้ช่วยลืมประโยคเมื่อกี้ไปซะนะ!
เอาเป็นว่าเพื่อนฝูงอุตส่าห์มาเยือนถึงบ้าน แถมเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาพี่ภพก็แทบไม่ปล่อยให้ไอ้กลอนออกบ้านสวน ร่างกายเลยขาดแอลกอฮอล์อย่างแรง ขอสังสรรค์นิดๆหน่อยๆแค่นี้ดันไม่ให้!
"กูอยากดื่มแต่พี่ภพมันห้าม!"
"อ้าว? งั้นพี่แบล็คที่กูหิ้วมาก็เป็นหมันอ่ะดิ?"
อุ๊! พี่แบล็คของกลอน!
"อยู่ไหน?"
"อะไรวะ?" ไอ้ตินทำหน้าเอ๋ออย่างตั้งตัวไม่ทัน
"ก็พี่แบล็คของกูไง!"
"ในครัว"
ได้ยินแค่นั้นไอ้กลอนก็ถลาเข้าครัวสอดสายตาหาน้ำเมาที่คิดถึงอย่างรวดเร็ว พอเห็นขวดแบล็คพร้อมมิกเซอร์ที่วางเด่นเป็นสง่าอยู่โต๊ะเตรียมอาหารผมก็คว้าแก้วจัดการชงเองแบบเข้มจัด แล้วอยากยกซดอย่างไม่รอรี ก็ต้องรีบทำเวลาล่ะครับ...เดี๋ยวพี่ภพกลับมาผมก็อดกันพอดี
"มึงจะรีบเมาไปไหนวะ?" ไอ้โรมถามอึ้งๆ มือยังถือธงส้มตำค้างผมไม่ตอบแต่รีบชงแล้วแก้วใหม่ทันทีที่แก้วเดิมหมด
"มันโดนผัวห้ามแดกเหล้าอ่ะดิ"
ยอดชายนายตินที่ถูกเพื่อนทิ้งเพราะเหล้าหนึ่งขวดตามมาเฉลยอย่างหมั่นไส้ ผิดกับไอ้โรมที่ขมวดคิ้วหน้าเป็นกังวลจนไอ้กลอนยอมเสียเวลาหยุดกระดกเหล้าเพื่อเอ่ยปากถาม
"ทำไมทำหน้างั้นวะ? มันห้ามกูไม่ให้ซื้อเหล้ามาแดก กูก็ไม่ได้ซื้อนี่ขวดนี้มึงซื้อกันเองนะ!"
"เฮ้ย! อย่าโยนขี้ให้กันสิวะ!!!" ไอ้ตินโวยวายทันทีแต่มีเหรอที่ผมจะสน ยักคิ้วยั่วมันครั้งหนึ่งแล้วดื่มต่ออย่างอารมณ์ดี
"ประเด็นมันอยู่ที่พี่เขาไม่ให้มึงแดกไอ้กลอน หัวหมอแบบนี้ไม่กลัวถูกทำโทษหรือไง"
"เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังเหอะ กูไม่ได้แดกเหล้าเป็นเดือนแล้วเลือดกูขาดแอลกอฮอล์!"
ไอ้โรมส่ายหน้าก่อนริบเหล้าไปเก็บ ผมก็โวยวายสิครับแต่มันยื่นคำขาดว่ามีโควต้าแค่ขวดเดียว ถ้าดื่มหมดตอนนี้ก็คือหมดเลยไอ้ตินเลยรีบช่วยเบรคเพราะว่ากลัวจะไม่มีเหล้าแดกตอนโจ้หมูกระทะ
"ทำไมงวดนี้มึงเสือกงกซื้อมาแค่ขวดเดียววะ?" ผมบ่นกับหมาตินเมื่อแน่ใจว่าไอ้โรมที่ลงเรือนไปเก็บผักสำหรับทำสุกี้เดินห่างไปไกลแล้ว พอผมพูดปุ๊บมันก็ทำหน้าบูดทันที
"มันว่าช่วงนี้กูแดกเหล้าเยอะเลยสั่งงด"
ไอ้กลอนโคตรเหี่ยวเลยครับเหล้าขวดเดียวต่อสี่คนมันพอยาไส้ที่ไหน แต่เราสองคนดันเป็นประชากรชั้นสองของกลุ่มนี่สิ จะไปเถียงไปคัดค้านอะไรพ่อเทพบุตรผู้ปราดเปรื่องผู้เป็นประชากรชั้นหนึ่งเขาได้
"เป็นไรวะ ทำไมหดหู่กันแบบนี้"
โอ้...สหายประชากรชั้นสองคนสุดท้ายโผล่มาได้เสียที
"ยุ่งน่า อะ- -"
ผมทักไอ้หมูอบได้คำเดียวก็อึ้งแดก เพราะร่างอวบอ้วนของมันตอนนี้ขยายออกมากกว่าเดิมด้วยสารพัดเครื่องรางของขลังกันผีหลากหลายชนิดทั้งประคำ ไม้กางเขน กระเทียม พระ เทวรูป...หลากหลายเชื้อชาติพอกอยู่เต็มตัว เยอะยิ่งกว่าไอ้ตินตอนที่มากับหมอผีทมอีก!
"ฮ่าๆ ไอ้เหี้ยกระเทียมบนคอมึงเขาเอาไว้ไล่แดรกคิวล่าป่ะวะ!"
ผมกับไอ้ตินหัวเราะไม่มีกั๊กกับสภาพของไอ้หมูอบ มันค้อนประหลับประเหลือกก่อนตะกายมานั่งซุกติดกับเราสองคนแล้วเหลียวซ้ายเหลียวขวา
"พี่ตานีไม่อยู่" ไอ้ตินที่รู้ดีว่ามันมองหาอะไรบอกทั้งที่ยังหัวเราะอยู่ ไอ้หมูอบยิ้มออกทันทีพร้อมจะหดแฟบอย่างรวดเร็วกับประโยคต่อมา "แต่เดี๋ยวก็กลับ"
"พอเลยไอ้ติน มึงก็อย่าแกล้งมันมาก" ผมรีบห้าม ไม่ได้ห่วงนะ...แต่ทนให้มันเกาะแบบนี้ไม่ไหว! หนักชิบหาย!!!
"มึงน่าจะทำใจได้แล้วนะ พี่ภพเรียกพวกมึงมาก็ต้องอยู่ด้วยอยู่แล้ว อีกอย่างเรื่องรางมึงอ่ะถอดออกเลยมันไม่ได้ผลหรอกกูเอาหัวเป็นประกัน"
"พวกมึงไม่กลัวกันแล้ว? ชินกันเร็วดีนะ!" ไอ้หมูอบตอบประชดๆ แต่ก็ยอมถอดสารพัดเครื่องรางออกเหลือแต่พระองค์ใหญ่บนคอ และคำทักทายของมันทำให้ไอ้กลอนเอะใจอะไรอะไรขึ้นมา
ลำพังตัวผมที่อยู่กับพี่ภพจนชินจะหายกลัวมันก็ไม่แปลก แต่ไอ้ตินนี่สิจะหายกลัวเร็วไปไหม เพราะงั้นผมเลยแอบมองมันแบบจริงจังกว่าเดิม และพบว่าถึงแม้มันจะหัวเราะเฮฮากับไอ้หมูอบเหมือนปกติทว่านัยน์ตามันกลับดูเครียดอย่างไรพิกล
ไอ้ตินมันเสือกเรื่องของคนอื่นไปทั่วก็จริง...แต่พอเป็นเรื่องของตัวเองกลับไม่ค่อยจะยอมให้ใครมายุ่ง
ต้องเป็นเรื่องสำคัญน่าดู...ถึงทำให้มันลืมกลัวพี่ภพได้แบบนี้
++++++++++++++++++
พอได้ฤกษ์งามยามดีทุกคนก็ตั้งวงล้อมหมูกะทะ หม้อสุกี้พร้อมด้วยส้มตำไก่ย่างแล้วซดกันแหลก แน่นอนว่าต้องอัญเชิญพี่แบล็คของน้องกลอนมาเป็นศรีสง่าแก่วงดินเนอร์ของพวกเราด้วย
พี่ภพด่าไหม?
ก็ไม่นะ....ไม่เห็นมันจะว่าอะไรนะครับ คงเห็นว่าด่าไปก็เท่านั้นเพราะเหล้าลงท้องไอ้กลอนไปหลายแก้วแล้ว หลังจากซัดกันจนพุงกางและไอ้หมูอบก็ได้รับอาการเยียวยาอาการกลัวผีด้วยของกินแล้ว ให้โรมก็เปิดฉากเอ่ยถึงสาเหตุที่ทำให้พวกมันมาสุมหัวกันในวันนี้ขึ้นมาเป็นคนแรก
"ได้ยินว่าพี่ภพมีเรื่องจะคุยกับพวกผมเหรอครับ?"
"เธอต่างหากที่มีคำถาม" ไอ้พี่ภพย้อนกลับด้วยรอยยิ้ม
ไอ้ตินเหลียวมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะถอนหายใจแล้วเอ่ยขัด ส่วนผมกับไอ้หมูอบก็คีบหมูแดกรอฟังอย่างเดียว
"ก่อนจะถามไถ่อะไรพี่เค้ามึงอธิบายสาเหตุให้ชัดเจนดีกว่า ไม่งั้นไอ้กลอนได้บื้ออยู่อย่างนี้ไปทั้งชาติแน่"
"เกี่ยวอะไรกับกูวะ?"
ทุกคนหันมามองไอ้กลอนด้วยสายตาหยามเหยียดทันที
"มึงโง่หรือมึงโง่กันแน่วะ?"
โห~~โดนไอ้หมูอบด่านี่เจ็บสุดล่ะ "พวกมึงคงสงสัยใช่ป่ะว่ากูถึงได้ตั้งคำถามว่าพี่ภพกับมึงจะไปกันรอดไหมทั้งที่ตอนแรกกูก็ไม่ได้ขวางอะไร"
ไอ้โรมรีบเข้าเรื่องก่อนที่พวกเราจะพากันไถลออกทะเลไปไกล พวกเราสามคนพยักหน้ารับทันทีไม่ใช่แค่ไอ้กลอนหรอกที่สงสัยกระทั่งไอ้ตินกับไอ้หมูอบยังงง
"ก็มึงโดนแดกไปตั้งแต่หัวจดตีนแล้วนี่ จะให้กูหักดิบจับแยกก็ไม่น่ารอด กูไม่ได้โง่จนดูไม่ออกว่าพี่ภพไม่ใช่ธรรมดาจะได้เอาหมอผีมาปราบแล้วจบเรื่อง"
ไอ้ตินหน้าบูดทันทีที่โดนแขวะพลางสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ท่าทางแปลกๆของไอ้ตินกับคำพูดจิกกัดที่ออกจากปากไอ้โรมทำให้ผมกับหมูอบต้องหันหน้ามองกัน
"เพราะงั้นกูคิดว่ากับพี่ภพแล้วการคุยเจรจาแบบตรงไปตรงมาน่าจะได้ผลกว่า"
"ฉลาด" พี่ภพชมด้วยรอยยิ้มร้าย "ถือว่าตัดสินใจได้ดี"
"แล้วมึงกังวลเรื่องอะไรวะ?" ไอ้หมูอบถามทางคีบกุ้งเข้าปาก "กูก็เห็นมึงชอบใจจะตายที่พี่เขาดูแลไอ้กลอนให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นตั้งเยอะ"
ทำไมใครๆก็ดูถูกกู...ไอ้กลอนมีอะไรดีในสายตาผองเพื่อนบ้างครับเนี่ย!? "เออ พี่ภพดูแลไอ้กลอนดีมาก เรื่องนี้กูยอมรับ แต่ก็อย่างที่พวกมึงเคยท้วงพี่ภพเป็นผีอยู่คนละโลกคนละภูมิกับเรา มันไม่ใช่เรื่องปกติ...ภพภูมิโน้นเขาก็ต้องมีกฎเกณฑ์ของเขาอยู่ แล้วจู่ๆพี่ภพก็แหกกฎมาอยู่กับไอ้กลอน จะทำให้พวกเราแน่ใจได้ยังไงว่าจะไม่มีเรื่องวุ่นวายตามหลังมา"
"วุ่นวายยังไงวะ?" ผมถามงงๆ
"ต่อไปนี้กูจะซื้อปลามาให้มึงแดกทุกวันไอ้กลอน" ไอ้หมูอบร้องคราง
"พี่ไม่ต้องสนใจมันอธิบายให้พวกผมฟังก็พอ" ไอ้ตินพูดก่อนยกเหล้าซด แล้วไอ้สองตัวก็ดันพยักหน้ารับ
"สรุปก็คือพวกเพื่อนๆเป็นห่วงกลอนนั่นแหละ" ไอ้พี่ภพหัวเราะขำๆ "ถ้าอธิบายง่ายๆพี่กับกลอนก็เหมือนอยู่คนละประเทศจะข้ามไปมาหาสู่กันก็ต้องมีกฎมีข้อห้ามอะไรมากมาย ยิ่งเป็นการข้ามมาอยู่ด้วยกันแบบถาวรยิ่งยุ่งยาก"
"ยุ่งยากตรงไหนกลอนเชิญมาแบบมั่วๆพี่ก็ตามมาล่ะ"
"เรื่องนี้เอาไว้เถียงกันทีหลังเถอะ วันนี้จะคุยกันจบไหมเนี่ย แล้วก็ไอ้กลอนมึงฟังอย่างเดียวอย่าเพิ่งชักใบให้เรือเสียเสียกูขอร้อง" ไอ้ตินขัดอย่างหงุดหงิด ผมเลยยอมถอยเพราะดูแล้วมันไม่มีอารมณ์ล้อเล่นบ้าบอเหมือนเคย
"เอาเป็นว่าเรื่องของพี่กับกลอนเป็นไปตามเหตุและผลอันสมควร เหล่าเทพยดาอื่นไม่อาจว่ากล่าวได้ จับเราแยกก็ไม่ได้ด้วย" พี่ภพมันมายิ้มให้ไอ้กลอนอย่างรู้ทัน สงสัยมันรู้เรื่องที่ผมถามชีวิตแล้วแหง....
"ส่วนเรื่องผลกระทบก็มีแค่กลอนอาจจะรับรู้ 'อะไรๆ' ได้เยอะกว่าเดิมเท่านั้นแหละ แน่นอนว่าไอ้เรื่องที่จะดูดพลังชีวิตจนตายเหมือนในหนังสือผีที่พวกเธออ่านก็ไม่เกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน"
ทั้งสามคนสะดุ้งพากันยิ้มเจื่อน ไอ้หมูอบเลยบอกอ้อมแอ้ม
"ก็แค่หาข้อมูลนิดหน่อยนะครับ"
"มึงก็อ่านด้วยเหรอวะ?" ผมหันไปถามไอ้โรมอย่างตกตะลึง
ไอ้สองตัวนั่นน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้กลอนตีลังกาคิดยังไงก็นึกไม่ถึงว่านักธุรกิจมาดขรึมอย่างไอ้โรมจะอ่านเรื่องแบบนี้ด้วย!
"ก็มันมีแต่หนังผีหนังสือผีป่ะวะที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนางตานี"
"ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม?" ไอ้ตินยกมือถามอย่างอยากรู้อยากเห็นอารมณ์บูดๆของมันลดลงสวนทางกับอารมณ์เสือกที่พุ่งสูงและไอ้พี่ภพก็พยักหน้าอนุญาตอย่างใจดี
"ในหนังสือบอกว่าผีตานีเป็นรุกขเทวดาขั้นต่ำสุด ฤทธิ์เดชอะไรก็ไม่ได้มากมายเท่ากับนางไม้ที่สิงอยู่ในต้นไม้ที่มีแก่นและรากแก้วอย่างต้นตะเคียนหรือต้นไม้ใหญ่ๆ แต่ผมดูแล้วพี่เก่งจะตายชัก น่าจะเก่งกว่านางไม้รุกขเทวดาทั่วไปด้วยซ้ำ"
"อ้อ พอดีโชคดีมีวาสนาได้รับการสั่งสอนอบรมสมาธิจากพระอริยะท่านหนึ่ง ระดับจิตจึงเลื่อนขึ้นสูงกว่านางตานีทั่วไป ที่ไม่จำเป็นต้องดูดพลังชีวิตกลอนมาหล่อเลี้ยงตัวเองก็เป็นเพราะสาเหตุนี้แหละ"
"ถ้าพี่ว่าอย่างนั้นผมก็โล่งใจว่าไอ้กลอนจะปลอดภัย แต่พี่ก็รวบรัดมัดมือชกมันไปหน่อยมันยังไม่ชิน ยังไงพี่ก็อย่าถือสาอะไรมันมากค่อยๆจีบมันก็แล้วกัน"
ไอ้พี่ภพหัวเราะกับคำฝากฝังของไอ้โรมส่วนผมก็ยกนิ้วกลางสรรเสริญมันไปทีหนึ่ง หลังไขข้อข้องใจของพวกมันเรียบร้อยแล้วทุกคน (ยกเว้นไอ้พี่ภพ) ก็หันมาซดเหล้าเป็นหลักจนพี่แบล็คลงไปนอนกองในกระเพาะจนเกลี้ยงแล้วจึงแยกย้ายกันกลับ
ผมเลิกคิ้วมองไอ้หมูอบที่รีๆรอๆจนรถไอ้โรมพ้นบ้านไปแล้วอย่างแปลกใจ ไม่นึกว่ามันจะเลิกกลัวผีเร็วขนาดนี้ แต่พี่ภพก็ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาซะเท่าไหร่วิชาเนียนก็ขั้นเทพ ไอ้หมูอบจะหลงลืมไปบ้างก็ไม่แปลก
"ไอ้โรมกับไอ้ตินทะเลาะกันเหรอวะ? วันนี้มันตึงๆใส่กันตลอดเลย"
"กูอยู่แต่ในสวนจะรู้ไหมวะนี่?"
"เออๆ กูต้องไปคุมงานให้เตี่ยที่เชียงรายเป็นเดือน ยังไงมึงก็ดูๆพวกมันด้วยล่ะ มึงก็รู้ว่าปกติไอ้ตินมันโกรธอะไรจริงจังที่ไหน เรื่องคราวนี้ท่าจะหนักน่าดูอย่าให้มันฆ่ากันตายก่อนล่ะกัน" ไอ้หมูอบสั่งเสียยาวเหยียดก่อนจะจากไป
"เอาล่ะ....แขกกลับกันหมดแล้วเราก็มาสะสางปัญหาในครอบครัวก่อนดีกว่านะจ๊ะน้องกลอน"
ชิบหายตายโหง!
ไอ้กลอนทำอะไรผิดวะเนี่ย!? "พี่บอกแล้วใช่ไหมจ๊ะว่าห้ามดื่มเหล้า?"
"ตอนที่เห็นกลอนดื่มพี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่!" ไอ้กลอนรีบประท้วงก่อนความซวยจะมาเยือน
"ว่าทันด้วยหรือ? ดื่มไปแล้วตั้งหลายแก้ว" ไอ้พี่ภพจับแขนของผมไว้แน่นพลางส่งยิ้มมรณะมาให้ "ด่าว่าไปก็ไม่มีประโยชน์ พี่รอทำโทษดีกว่าจ้ะ!"
ฮือออ~~~~กรวดน้ำทำบุญให้ไอ้กลอนด้วยนะครับ!!! +++++++++++++++++++++
ฮ่าๆๆ สรุปว่าน้องกลอนหนีไม่พ้นเงื้อมมือพี่ภพแล้วแน่ๆค่ะ
นับแต่นี้ไปเกรย์จะทิ้งช่วงในการลงมากขึ้นกว่าเดิมนะคะ เพราะงานเริ่มเยอะแล้ว แต่จะพยายามลงให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งตอนค่ะ
วันหยุดสงกรานต์นี้ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆนะคะ....เที่ยวเผื่อเกรย์ด้วยค่า ส่วนเกรย์นอกจากจะไม่ได้หยุดแล้วยังป่วยอีกต่างหาก ช่วงนี้เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนตกทุกคนก็ระวังสุขภาพ รวมทั้งระวังอุบัติเหตุด้วยนะคะ