หลังจากรายงานพ่อคุณทูนหัวของไอ้ตินไปแล้วผมก็เดินไปร่วมวงกับสองศิษย์อาจารย์ พ่อหมอหันมาพยักหน้ากับผมแล้วควักเอาเชือกถักสีคล้ำมีตะกรุดทองเหลืองติดอยู่ยื่นให้ทันที
"เอ้า! เอ็งใส่ไว้คุ้มตัวซะพ่อหนุ่ม แล้วก็ขอขึ้นไปดูบนเรือนหน่อยนะ"
"เชิญครับอาจารย์ไม่ต้องเกรงใจ"
ไอ้ตินเชื้อเชิญพ่อหมอยิ่งกว่าเจ้าของบ้านอย่างผมอีก ซึ่งพ่อหมอก็ไม่ได้สนใจคำตอบจากผมมากนะ นอกจากพยักหน้าให้อีกหงึกแล้วเดินตรงไปที่เรือน ไอ้ตินหันมองผมตาเขียวทำท่าบอกใบ้ให้ใส่ตะกรุดที่ข้อมือ ผมเลยยอมๆใส่ให้มันหมดเรื่องหมดราว
อาจารย์ทมหยุดชะงักตรงหน้าบันไดเรือน พลอยทำให้เราสองคนที่ตามติดเป็นขี้ปลาทองหยุดไปด้วย แกมองขึ้นไปบนเรือนตาแข็งกร้าวก่อนจะบ่นงึมงำในคอแล้วกระทืบเท้าแรงๆทีหนึ่ง เล่นเอาไอ้ตินสะดุ้งผวาเข้ามาเกาะแขนผมทันที
กูก็สะดุ้งเหมือนกันแหละเหี้ยเอ๊ยยยยย!!!
"ขึ้นไปได้แล้ว"
เอ่อ- -ได้ข่าวว่านี่บ้านกูนะครับ....
ไอ้ตินแทบจะเกาะชายเสื้ออาจารย์ทมเดิน แต่ยังสำแดงความรักเพื่อนด้วยการลากข้อมือไอ้กลอนไปด้วย...ก็ไม่แน่ใจนะครับว่ามันหวงหรือกลัวหัวหดอยากจะมีเพื่อนให้อุ่นใจกันแน่!
อาจารย์ทมกวาดตามองไปทั่วบ้านพลางจ้องเขม็งเป็นจุดๆอย่างกับว่าตรงที่แกมองจะมีอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ อาการของแกเล่นเอาไอ้กลอนชักผวาเริ่มมโนไปกับแกเรียบร้อยแล้ว อยู่กับผีตัวเป็นๆอย่างไอ้พี่ภพยังไม่รู้สึกว่าบ้านตัวเองน่ากลัวเท่าตอนนี้เลยพับผ่าสิ!
ไอ้โรม! มึงรีบๆมาลากลูกมึงกับพ่อหมอกลับทีเถอะ!!!!
+++++++++++++++++
ไอ้กลอนแอบเหลือบมองนาฬิกาเป็นรอบที่ห้าสิบสองพลางด่าถึงไอ้โรมอยู่ในใจค่าที่มันโผล่หัวมาช้าเหลือเกิน แต่ก็พอรู้แหละว่ากว่ามันจะฝ่าวิกฤติจราจรจราจลจากบริษัทแม่ใจกลางเมืองมาถึงบ้านสวนได้ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมง ยิ่งตอนที่ผมโทรไปใกล้เวลาจะเลิกงานเต็มทน คุณๆก็น่าจะรู้ว่ารถบนถนนในช่วงเวลาเลิกงานมันมหาศาลแค่ไหน ดังนั้นมันคงต้องติดแหง็กอยู่บนถนนนานกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ตอนนี้พ่อหมอแกเดินพล่านไปทั่วบ้านพร้อมกับสาดน้ำมนต์ข้าวสารเสกอะไรของแกโดยมีไอ้หมาตีนเดินตามหลังต้อยๆ และโรคมโนของไอ้กลอนก็อาการหนักขึ้นจนเริ่มมองเห็นหน้าเงาดำรางๆตรงนั้นตรงนี้ทั่วบ้าน สร้างความหวาดผวาจนต้องเผ่นไปเกาะเสื้อไอ้ตินอีกคนเป็นงูกินหาง
"อาจารย์เสร็จแล้วใช่ไหมครับ!" ผมลองถามเสียงดังกว่าปกติอย่างโล่งอกก่อนจะหมดซีดลงอย่างรวดเร็วกับคำตอบของพ่อหมอ
"ยัง" อาจารย์ทมวางบาตรใส่น้ำมนต์ลงบนโต๊ะก่อนตอบเสียงหนัก "เอ็งโดนของแรงแล้วล่ะพ่อหนุ่ม รอบบ้านมีแต่ของไม่ดีเต็มไปหมด มันคิดจะครอบงำเอ็งปกติเลยไม่สำแดงอะไรให้เอ็งเห็น แต่ตอนนี้มันโดนทั้งน้ำมนต์กับข้าวสารเสกไปเติมรัก รับรองคืนนี้มันจะออกมาให้พล่าน!"
"ดีครับอาจารย์ รีบจัดการมันให้หมอบ จะได้เลิกยุ่งกับเพื่อนผมสักที"
"เออ เอ็งไม่ต้องกลัวอาจารย์จัดการให้แน่ แต่เอ็งไปหาข้าวปลามากินกันก่อน คืนนี้เราต้องเจอศึกหนักเดี๋ยวจะไม่มีแรงเอา ข้าจะนั่งสมาธิเรียกพลังคืนอย่าเพิ่งมากวนล่ะ ถ้าเตรียมข้าวปลาอาหารเสร็จก็จุดธูปบอก เดี๋ยวข้าจะตื่นเอง"
อาจารย์เป็นผีหรือครับถึงจะต้องจุดธูปเชิญมากินข้าว....
ไอ้กลอนได้แต่สงสัยอยู่ในใจโดยไม่กล้าพูดออกไปให้ไอ้ตินที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวอาจารย์ทมอย่างแรงเสียน้ำใจ ดังนั้นเลยยอมหุบปากเงียบไม่ปล่อยหมาออกมาจากปากมากัดไอ้เพื่อนเหมือนเคย
"เฮ้ย ไอ้กลอนบ้านมึงมีของสดอะไรหรือเปล่าวะ กูก็ลืมแวะซื้อมาด้วยสิ"
ไอ้ตินถามพลางลากแขนผมเข้าไปในครัว....เห็นมันเถื่อนถึกมึงมาพาโวยแบบนี้แต่ทำอาหารเก่งนะครับ เพราะบ้านมันเน้นสอนให้ลูกทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองมันเลยมีสกิลงานบ้านเหมือนๆกับน้องสาวมันมีสกิลในงานช่าง
"ซื้อทำไมวะ ผักหญ้าบ้านกูมีเยอะแยะ"
"กูหมายถึงกุ้งหอยปูปลาเนื้อนมไข่ที่มีส่วนประกอบของโปรตีนเป็นหลักโว้ย!"
"มีดิวะ โปรตีนสองแถมด้วยโปรมืออีกสอง"
ผมตอบกลับกวนๆระบายอารมณ์ที่มันพาหมอผีเข้าบ้านให้ผวาเล่น มันเลยด่ากลับก่อนจะตัดสินใจมุดหัวเข้าตู้เย็นสำรวจหาของสดทำกับข้าวด้วยตัวเองโดยไม่ถามไถ่อะไรอีก สักพักก็หยิบหยิบหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ไอ้พี่ภพซื้อที่ซื้อตุนไว้สำหรับทำอาหารบำรุงกระเพาะผมออกมาวางเรียงให้พรึ่บ แล้วก็ลงมือจับหั่นจับล้างเตรียมทำต้มยำทำแกงตามที่กะเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว
"พี่กลอน พี่กลอนจ๋า~~"
"เด็กที่ไหนมาเรียกมึงวะไอ้กลอน รีบไปดูซิเดี๋ยวจะรบกวนอาจารย์ทม"
ไอ้ตินรีบไล่ผมไปดูลืมกลัวผีไปชั่วขณะ ผมเดินเหลียวซ้ายเหลียวขวาจนมาถึงประตูเรือนก็ชะโงกหน้าออกไปดู อื้อหือ- -เด็กที่ไหนวะนั่น แต่งตัวได้เจ็บมากขอบอก
เจ้าของเสียงเป็นเด็กหญิงวัยประมาณสิบขวบ หน้าตาน่ารักน่าชังไม่น้อยผมย้อมสีน้ำตาลอมเขียวมัดรวบเป็นจุกเล็กๆกลางกระหม่อม สวมเสื้อแขนกุดสีเหลืองสดตัดฉับกับกางเกงเลกกิ้งสีเขียวนีออนแสบตา เสียแต่มือข้างหนึ่งหิ้วปิ่นโตเถาใหญ่สีเงินเป็นพร็อบประดับที่ไม่เข้ากับเสื้อผ้าและท่าทางมาดมั่นของสาวน้อยสักเท่าไหร่
"มีธุระอะไรเหรอน้อง?" ผมถามพลางเดินลงบันไดไปหา สมองก็พยายามนึกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกหลานใครในสวน แต่นึกเท่าไหร่ก็ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
"น้ำว้าเอากับข้าวกับปลามาส่งจ้ะ พี่กลอนมีแขกมาบ้านหรือ? ขอน้ำว้าขึ้นไปดูหน่อยได้ไหมจ๊ะ?"
ปิ่นโตถูกยัดใส่มือพร้อมกับคำถามรัวเป็นชุดชวนมึนจนเผลอพยักหน้าตอบรับไป พอสาวเจ้าได้รับอนุญาตก็วิ่งปราดขึ้นเรือนไปแบบไม่เหลียวหลังทิ้งให้ผมเกาหัวแกรกๆอยู่เชิงบันได
"เอ๊~~~~เด็กที่ไหนวะ?"
ไม่ใช่แค่นั้นนะครับผมว่าบรรยายบรรยากาศรอบๆตัวน้องน้ำว้าอะไรนี่มันแปลกๆคุ้นๆยังไงพิกล แถมคำพูดคำจายังดูโบราณๆสุภาพผิดกับการแต่งตัวสุดเปรี้ยวอีก แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกไอ้กลอนเลยยักไหล่เลิกสนใจแล้วหิ้วปิ่นโตขึ้นเรือนไปหาไอ้ตินในครัว
"ไอ้ติน ไม่ต้องทำเยอะนะมึงไม่รู้บ้านไหนแบ่งของกินใส่ปิ่นโตมาให้เยอะแยะ ทำเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างก็พอแล้ว"
เรื่องที่มีคนเอากับข้าวมาแบ่งมาให้นะไอ้กลอนไม่แปลกใจเท่าไหร่หรอก ยังไงผมก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เล็กรู้จักมักคุ้นกับสวนรอบๆมาแต่อ้อนแต่ออก ลุงๆป้าๆแถวนี้เองก็รู้ว่าฝีมือเรื่องทำครัวของไอ้กลอนลูกแม่อังกาบมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน ฉะนั้นจึงแบ่งข้าวปลาอาหารมาให้บ่อยๆ
แต่เด็กผู้หญิงแปลกหน้าที่จำได้ว่าไม่ใช่ลูกหลานเหลนของใครในละแวกนี้ต่างหากที่ทำให้งง แถมชื่อก็ยังไม่คุ้นอีก
"น้ำว้า....ชื่อแปลกชิบหาย ชื่อโคตรแปลกแบบนี้ไม่น่าลืมเลยแฮะว่าเป็นลูกหลานบ้านไหน"
"บ่นอะไรวะ?" ไอ้ตินที่ทุบกระเทียมปังๆถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
"เปล่าบ่นซักหน่อย แค่นึกไม่ออกว่าเด็กที่เอาปิ่นโตมาให้เป็นลูกหลานใครเท่านั้นเอง"
"มึงมัวแต่กินเหล้าเคล้านารีไม่ได้สังสรรค์กับเพื่อนบ้านนะสิเลยจำไม่ได้"
"เหี้ย ใครๆก็รู้จักไอ้กลอนลูกแม่อังกาบจากพ่อราชโว้ย!"
"ใครๆก็รู้จักตัวเหี้ยอย่างมึง แต่มึง- -" ไอ้หมาตินว่าสวนอย่างไม่ยอมแพ้ "ไม่ได้รู้จักเขานะสิวะ ไอ้ตัวอันตรายต่อเด็กและสุภาพสตรี!"
"กูเหี้ยมึงก็เหี้ยแหละ ไม่เคยได้ยินหรือไงคนแบบเดียวกันมักจะดึงดูดกัน มึงมันเหี้ยพอกันกับกูแหละถึงมารวมกลุ่มอยู่ด้วยกันได้"
ผมลอยหน้าลอยตาเถียงมันขำๆ ไม่ต้องแปลกใจในความสุภาพระหว่างผมกับมันนะครับ...พวกเราคุยกันอย่างนี้ประจำแหละ โดยเฉพาะผมกับไอ้หมาตินเจอกันทีไรต้องบอกรักกันแบบนี้ทุกครั้งแหละ ฮ่าๆๆๆ
"อ๊ากกก!!! นังหนู หยุดนะ! หยู๊ดดดด!!!!"
ทั้งผมและไอ้ติมที่กำลังจะอ้าปากพูดพากันสะดุ้งกับเสียงตะโกนของพ่อหมอทมที่ดังลั่นเรือน พวกเราสองคนสบตากันอยู่สองวินาทีก็รีบวิ่งไปดูทันที แล้วพวกผมก็เห็นอาจารย์ทมเต้นเหย็งๆหน้าดำหน้าแดงอย่างโมโหจัด ส่วนต้นเหตุก็คงเป็นแม่น้ำว้าที่ถือหัวกะโหลกสีตุ่นพลิกไปพลิกมาอย่างไร้ซึ่งความกลัว
"อุ๊ย! ฟันหลอด้วยแหนะ แสดงว่าต้องไม่ชอบแปรงฟันแน่ๆเลย แย่กว่าน้ำว้าอีก- - น้ำว้ายังแปรงฟันทุกวันเลยรู้หรือเปล่า?"
"นังหนู เอาคืนมานะ! นั่นไม่ใช่ของเล่นนะโว้ย!"
"คืนก็ได้"
"อ๊ากกกก"
ผมกับไอ้ตินร้องเสียงหลงกระโดดแยกออกจากกันทันที ก็แม่เด็กน้ำว้าตัวแสบนั่นเล่นโยนหัวกระโหลกที่ถืออยู่มาทางพวกเราน่ะสิ แต่เผอิญว่าผมกับมันเป็นโรคตาขาวขั้นร้ายแรง เราสองคนจึงพากันหลบวูบปล่อยให้มันกลิ้งหลุนๆก็ข้ามห้องกระเด็นออกประตูลงเรือนไปซะงั้น
แม่สาวน้อยตัวแสบพอหมดความสนใจกับกะโหลกผีก็หันไปรื้อย่ามพลางวิ่งหลบอาจารย์ทมที่ไล่จับเด็กน้อยให้วุ่นไม่ได้สนใจพวกเราสองคนที่ยืนหัวโด่สักนิด
"ฮิๆๆๆ แน่จริงก็จับให้ได้สิ"
เหี้ยยยยย~~แล้ววววววว!!! ไอ้กลอนร้องโหยหวนในใจทันทีที่ได้ยินแม่เด็กน้ำว้าหัวเราะ ขนอ่อนขนแข็งทั่วทั้งตัวพากันพรึ่บแสตนด์อัพโดยไม่ต้องรอให้สั่ง ไอ้ตินเองก็ชะงักเท้าที่จะพุ่งเข้าไปช่วยพ่อหมอทมแล้วกระดืบกลับมาหาผมอย่างไวว่อง
ผมรีบลากคอมันกลับไปนั่งซุกอยู่ในครัวโดยไม่ยอมพูดอะไรอีก เสียงอาจารย์ทมตะโกนโล้งเล้งทะเลาะกับแม่เด็กน้ำว้าดังมาให้ได้ยินได้เรื่อยๆ แต่ดูเหมือนอาจารย์แกจะไม่รู้ตัวเอาเสียเลยว่าเสียงเด็กนั่นมันทั้งเย็นเยือกขึ้น ยาวขึ้น สยองขึ้นแบบทวีคูณ
"พ่อหมอมึงมือโปรมากไอ้หมาตีน ขนาดผีกับคนยังแยกไม่ออก!"
"ผีบ้านมึงเสือกเหมือนคนเองนี่! ตั้งแต่ไอ้คุณพี่ภพแล้ว!"
"อ๊ากกกกกกก!!!!!!"
พวกเราที่เถียงกันเพลินๆต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่ออาจารย์ทมร้องโหยหวนลากยาวก่อนจะมีเสียงวิ่งตึงตังหายลงจากเรือนไป เพราะไม่เห็นภาพสมองที่เต็มไปด้วยจินตนาการอันบรรเจิดของผมกับไอ้ติยเลยฟุ้งซ่านพลุ่งพล่านมากกว่าปกติ เหงื่อเราสองคนแข่งกันแต่พลั่กๆตัวงี้สิงกันแนบสนิทเป็นแฝดอินจัน
"กอดกันกลมแบบนั้นระวังพี่ภพหึงนะ"
"เหวอออออ!!!"
"ร้องทำไมหา!"
น้ำว้ายกมืออุดหูพลางตะโกนกลับเสียงดังไม่แพ้กัน แต่ที่ทำให้เราสองคนหุบปากฉับไม่กล้าหลุดเสียงอะไรอีกสักแอะเดียวก็คือนัยน์ตากลมที่เริ่มเรืองแสงเขียว
"นาย!" นิ้วเล็กๆชี้ไปที่ไอ้ติน มันสะดุ้งเฮือก "ตาถั่วที่สุด! จะเชิญหมอผีอ่อนหัดกระจอกงอกง่อยมาน่ะไม่มีใครว่าหรอก อย่างน้อยพวกฉันก็จะได้มีอะไรสนุกๆทำ แต่ดันเอาหมอผีเจ้าเล่ห์จอมลวงโลกมานี่สินายคิดจะมาปราบผีหรือหาผีเข้าบ้านเพิ่มกันแน่ หา!"
ไม่ว่าปากเปล่า....มือเล็กทำท่าทำทางลากอะไรสักอย่างให้เข้ามาใกล้ๆไอ้กลอนผู้น่าสงสารเลยสะดุ้งเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้กับเงาดำๆที่เห็นเต็มบ้านระหว่างที่อาจารย์ทมทำพิธีอยู่ถูกลากมากองที่ประตูครัว ไอ้ตินที่เหมือนจะมองไม่เห็นก็หันซ้ายหันขวาเลิ่กๆลั่กๆ
ผัวะ!
"เห็นหรือยัง?"
มันโดนแม่ผีเด็กตบหลังไปผัวะหนึ่งก่อนที่มันจะเบิกตาโตเท่าไข่ห่านมองเงาดำตรงหน้าอึ้งๆเหมือนจะช็อคไปแล้ว พอผมรับรู้ว่าแม่เด็กตัวแสบนี่เป็นคน เอ๊ย! ผีที่พี่ภพมันส่งมาก็หายกลัวนิดนึง ยังไงไอ้พี่ภพก็ไม่ได้คิดร้ายอะไรกับผมนี่นะ เพราะงั้นคงไม่ส่งผีตัวอื่นมาทำร้ายหรอกมั้ง
"เห็นหรือยัง?"
"คะ- -ครับ หะ- -เห็นแล้วครับ"
"เนี่ย- -ผีตายโหงตายห่าทั้งนั้น" เด็กสาวตัวแสบเอ่ยเสียงดังฟังชัดเน้นคำเสียจนคนฟังน้ำลายฝืดคอ "ไอ้หมอผีลวงโลกนั่นปล่อยเอาไว้ในบ้าน แล้วก็แกล้งมาปราบผีหลัง ปราบแล้วเก็บไปหมดยังพอว่า นี่มันจะทิ้งไว้นิดๆหน่อยๆให้เดือดร้อนจนไปจ้างมันเรื่อยๆนะสิ เลี้ยงไข้น่ะ- -เลี้ยงไข้รู้จักไหม!"
"ครับ! รู้จักครับ!" คราวนี้ไอ้ตินรีบตอบทันที
"วันหลังจะหาหมอผีก็หาที่มันดีๆหน่อย ไม่รู้จริงๆก็มาถามฉันก็ได้"
ผมแทบสำลักน้ำลายกับประโยคนี้ของแม่เด็กน้ำว้า เจ้าหล่อนสำนึกรู้ตัวบ้างไหมเนี่ยว่าตัวเองเป็นผี!
"เอ่อ- -น้ำว้าครับ น้ำว้าเป็นผีนะครับ"
สันดานไอ้ตินยังไงมันก็อดคันปากไม่ได้เลยแย้งไปอย่างกล้าๆกลัวๆด้วยครับถ้อยคำที่สุภาพกว่าที่ควรเป็นยกกำลังสิบ
"ก็ใช่ไง" น้ำว้าเอ่ยเสียงดังฟังชัดใช้หลังมือปัดเงาดำให้ลอยละลิ่วออกไปทางหน้าต่างอย่างไม่สนใจ และเริ่มเทกับข้าวจากปิ่นโตที่หิ้วมาลงชาม
"เพราะเป็นผีถึงได้รู้ว่าคนไหนเป็นหมอผีจริงหมอผีปลอม เป็นหมอผีเกรดเอเกรดบีหรือเกรดซี"
สุดยอดดดด!!! ผีบ้านกูนี่โคตรทันสมัยเลยวุ้ยดูคำพูดคำจาเจ้าหล่อนสิ...นึกว่าจะเป็นแต่คำพูดโบราณๆซะอีก แต่พอนึกว่าเด็กที่เป็นสมุนไอ้พี่ภพแล้วก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกร ายนั้นขนาดมือถือกับคอมยังใช้เป็นเลย!
+++++++++++++++++
"มึงนี่หาเรื่องชิบหาย!"
ไอ้โรมถลึงตาใส่ไอ้ตินที่นั่งหน้างออย่างสำนึกผิด กว่ามันจะโผล่มาถึงบ้านสวนได้แม่เด็กน้ำว้าก็กลับไปนานแล้ว เจ้าหล่อนบอกว่ามันเป็นมือขวาของไอ้พี่ภพคอยดูแลแถวๆนี้ระหว่างที่มันไม่อยู่ และพี่ภพที่รับรู้สกิลเรื่องครัวของผมดีก็เลยมอบหมายส่งเจ้าหล่อนให้ส่งข้าวส่งน้ำเพราะกลัวไอ้กลอนอด
"แล้วเด็กคนนั้นเป็นผีที่พี่ภพส่งมาดูแลมึงนั้นเหรอ?"
"ดูแลพวกจับตาดูกูนะสิ!"
ผมตอบอย่างหงุดหงิดหงุดหงิดหน่อยๆ อันนี้แม่คุณน้ำว้าบอกเองเลยแหละครับ....แม่นางสั่งเสียงเฉียบขาดว่าอย่าดื้ออย่าซนไปแอบเที่ยวเกาะหนุ่มและสาวที่ไหนเพราะเจ้าหล่อนจะต้องรายงานให้พี่ภพทุกช็อตไม่มีหมกเม็ด ดังนั้นเพื่อสวัสดิภาพของร่างกายผมเองอยู่ทำงานที่สวนเงียบๆและเรียบร้อยเป็นผ้าพับรีดอัดกลีบจะดีที่สุด
เซ็งเลยวุ้ย...ไหนๆไอ้โรมก็มาแล้วกะว่าจะติดรถมันไปเที่ยวสักหน่อยนะเนี่ย
"นี่มึงคิดจะหนีเที่ยว?" ไอ้โรมเลิกคิ้วถามส่วนไอ้ตินตาวาวทันทีที่ได้ยิน
"หนีเหนออะไรล่ะ กูต้องขออนุญาตมันตั้งแต่เมื่อไหร่!?"
"ยังไม่เข็ดอีกนะมึง เดี๋ยวโดนพี่เค้าตามล่าถึงผับแล้วจะพูดไม่ออก"
ผมแบะปากอย่างเถียงไม่ขึ้น ไอ้พี่ภพตอนโมโหดุน่ากลัวจริงๆครับ ต่อให้ตัดประเด็นที่มันเป็นผีทิ้ง ทว่าหน้าดุๆของมันก็ยังหลอกหลอนไอ้กลอนให้เสียวสันหลังได้อยู่ดี เพราะเห็นผมเงียบไปไม่รู้มันก็หันไปจัดการไอ้ตินที่นั่งคุกเข่ารอชำระความต่อ
"แล้วมึงคิดอะไรอยู่วะ ถึงไปสรรหาหมอผีมาปราบพี่เขา?"
"ก็กูเป็นห่วงไอ้กลอนนี่"
ไอ้ตินตอบอ่อยๆ ผมแอบส่ายหน้าถึงจะดูเหมือนว่ามันกลัวไอ้โรมหัวหด แต่เอาเข้าจริงไอ้โรมต่างหากที่โคตรจะเอาอกเอาใจมันจนแทบจะวางไว้บนหิ้งอยู่แล้ว เพียงแต่มันปากแข็งเสียงแข็ง ส่วนไอ้ตินก็ซื่อบื้อคิดว่านี่เป็นเรื่องปกติที่เพื่อนจะดูแลเพื่อนด้วยกัน เพราะงั้นฟันธงได้เลยว่าไอ้โรมด่าสุดที่รักของมันได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็อ่อนยวบยาบแล้ว
"ห่วงอะไรวะมันถึกจะตายห่า กลับกันกูสงสารพี่ตานีชิบหายที่ต้องมาดูแลไอ้เด็กโข่งอย่างมัน"
เห็นป่ะล่ะ....เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน
"เฮ้ย มึงจะอบรมไอ้ตินก็อบรมไปสิวะ จะแว้งหัวมากัดกูทำแป๊ะอะไร!"
"ก็มันจริงนี่ เรื่องอื่นน่ะมึงฉลาดเป็นกรดแต่พอเป็นเรื่องตัวเองเสือกเหลือไอคิวเท่ากับเด็กสิบขวบ ความคิดแต่ละอย่างปัญญาอ่อนจนกูอยากจะซัดให้น่วม"
แล้วหลังจากนั้นผมกับไอ้ตินก็ต้องหูชากันไปเป็นชั่วโมงเพราะไอ้โรมที่เดือดปุดๆซ้ำยังเก็บกดจากรถที่ติดบรรลัยอีกนานกว่าจะมาถึงบ้านสวนสวดยาวระบายอารมณ์จนหมดแม็ก ขนาดที่หน้าหงอยๆของไอ้ตินก็ไม่สามารถทำให้มันใจอ่อนได้เหมือนที่ผ่านๆมา จนท้องของเราสองคนร้องลั่นประท้วงดังโครกนั้นแหละมันถึงได้ยอมหยุดแล้วอนุญาตให้กินข้าวด้วยใบหน้าบึ้งตึง
"โรม กินนี่ดิ อร่อยนะ"
ไอ้ตินตักผัดผักบุ้งไฟแดงของโปรดว่าที่ผัวมันให้เป็นการง้อ แถมน้ำเสียงยังอ้อนซะจนไอ้กลอนขนลุกพรึ่บ ตัวมันก็ควายพอๆกันไง ควายอ้อนควายผมก็สยองดิ!
ไอ้โรมถึงหน้าจะบึ้งแต่ก็ยอมตักผัดผักบุ้งเข้าปาก คนบริการเลยยิ้มแฉ่งทยอยตักโน่นตักนี่ให้จนแทบจะล้นจาน.....หุหุ กูเห็นนะเว้ยว่ามึงแอบยิ้มตอนว่าที่เมียของมึงไม่เห็น
"แล้วตกลงมึงจะเอายังไงวะ ไอ้กลอน"
พออิ่มและจัดการสร้างสมรภูมิรบบนโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็พากันมานอนกองอยู่หน้าทีวี ไอ้โรมก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผมงง
"อะไรวะ?"
"ก็เรื่องพี่ภพของมึงนี่ไง จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆเหรอวะ ยังไงเขาก็เป็นผี"
"อ้าว!?" ไอ้ตินร้องเสียงหลง "มึงก็ไม่เห็นด้วยนี่ที่จะให้ไอ้กลอนคบกับผีแล้วมาห้ามกูทำไมวะ!"
"กูแค่อยากให้มึงคุยกับพี่ภพจริงๆจังๆสักครั้ง"
ไอ้ตินหยุดโวยเมื่อเห็นว่าไอ้โรมมันซีเรียสจริงจังไม่ได้พูดเล่นแต่ทว่าหน้าก็ยังงอเป็นจวักอยู่ ส่วนผมก็เกาหัวถามมึนๆ
"คุยอะไรวะ?"
"ก็ถามให้ชัดเจนว่าเรื่องของมึงกับเขามันจะไปต่อได้แค่ไหนสิวะ แล้วก็จะมีปัญหาอะไรตามมาหรือเปล่า นี่ไม่ใช่เรื่องในนิยายรักเพ้อฝันที่คนกับผีจะอยู่ด้วยกันได้ง่ายๆแล้วจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง ถ้ามันจะต้องมีเรื่องแย่ๆตามมาละก็กูก็อยากให้มึงคุยกับพี่เขาดีๆ แล้วจบความสัมพันธ์ระหว่างมึงกับพี่เขาตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า- -จบก่อนที่มึงจะทำถลำลึกไปจนไม่อยากจะย้อนกลับ"
ผมนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบเสียงอ่อย
"กูกลัว ไอ้พี่ภพมันโมโหร้ายจะตาย"
"กูรู้...แต่ตอนที่ไปตามมึงถึงวัดเขาก็โอเคคุมอารมณ์ได้นี่ กูว่าถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมึงเขาพร้อมที่จะใจเย็นนะ"
"จะทำให้มันยุ่งยากทำไมวะ? หาหมอผีมาปราบอย่างกูทำก็สิ้นเรื่อง" ไอ้จอมหาเรื่องที่ทนเงียบมาได้พักหนึ่งโพล่งขัดอย่างรำคาญเลยได้รับสายตาดุๆของไอ้โรมเป็นรางวัลพร้อมมะเหงกหนึ่งลูกให้ร้องโอดโอย
"แล้วมันได้ผลไหมล่ะมึง แหกตาดูหน่อย....พี่ภพเขาเหมือนผีทั่วไปที่มึงเคยได้ยินได้อ่านมาหรือไง กูว่ากับเขาคุยกันด้วยเหตุผลนี่แหละดีที่สุด"
"มึงคิดว่าถ้ากูคุยกับไอ้พี่ภพดีๆด้วยเหตุผลมันจะยอมเลิกยุ่งกับกูงั้นเหรอวะ?"
ไอ้โรมทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดแค่นั้น
"ยังไงก็ควรลองดูก่อนล่ะวะ"
อืม.....ช่วยให้กูมั่นใจขึ้นเยอะเลยมึง!!!! ++++++++++++++++
ติดพวกคำผิดอะไรไว้ก่อนนะคะเดี๋ยวจะมาไล่แก้ทีหลัง.....ตอนนี้ง่วงมากค่า
