- สันหลังยาว -
ชานเป็นคนแปลก...
ผมว่าเข้าขั้นประหลาดเลยล่ะ
มีคนบอกว่าเขาเป็นคนติสท์ ด้วยความที่เรียนคณะออกแบบลักษณะภายนอกเป็นคนผมหยักศกยาวประบ่า ดูยุ่งๆ เซอร์ๆ เขาเป็นคนชอบทำอะไรตามใจ แถมยังแผ่ออร่าเข้าถึงยากออกมาตลอดเวลา เลยทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้เท่าไหร่
แต่ผมไม่คิดว่าเขาเป็นคนแบบนั้น
ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก ครั้งแรกที่ได้คุยกันก็ตอนที่คณะพวกเรามีแข่งฟุตบอลกระชับมิตร ด้วยความที่เล่นกีฬาเป็นกิจวัตรอยู่แล้วก็เลยถูกเรียกตัวไปเล่นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ข้องใจคือผู้ชายรูปร่างผอมบางหน้าตาเกลี้ยงเกลาที่เดินโดดเด่นเข้าสนามมาด้วยหน้าตาที่เหมือนยังไม่ตื่นดีคนนั้น
ดูท่าจะเลี้ยงบอลไม่เป็นด้วยซ้ำ
และก็จริงอย่างที่คิด อย่าว่าแต่เลี้ยงบอลเลย แม้แต่การขยับตัววิ่งก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา
“ไอ้ชาน!” แต่ไม่รู้ทำไมเด็กคณะนั้นถึงได้ขยันส่งบอลมาให้เขานัก
ตุบ!
ทั้งที่น่าจะเรียนรู้ได้แล้วว่ามันจะถูกผมที่วิ่งอยู่ไลน์เดียวกันตัดหน้ามาอย่างง่ายดาย
“ไอ้เหี้ยชาน!”
เสียงตะโกนด่ามากกว่ารอบที่สิบดังขึ้นไล่หลัง ผมส่งบอลให้เพื่อนที่วิ่งมารอรับก่อนจะวิ่งเหยาะๆ พลางเหลียวหลังกลับไปมองเจ้าของใบหน้าเกียจคร้านอย่างแปลกใจ
แม่ง ใครบังคับให้คุณเขาลงมาเล่นวะ
“ไอ้ที!” วิ่งไปวิ่งมาไม่ทันไรลูกบอลก็ถูกเตะลอยกลับมาทางที่ผมอยู่อีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ขยับออกไปสกัดลูกหนัง
กลมๆ นั่นไว้ ปล่อยให้มันตกลงมา กลิ้งไปตามพื้นหญ้าในทิศทางที่มีใครอีกคนยืนขาตายอยู่
เท้าที่สวมสตั๊ดราคาแพงถูกยกขึ้นมาสกัดลูกบอลที่เริ่มกลิ้งช้าลงไว้
โห ผมนี่อยากจะปรบมือ
มองไปรอบๆ ก็พบว่าคนอื่นๆ ยังอยู่ในระยะไกล มีเพียงผมเท่านั้นที่อยู่ใกล้พอจะเข้าไปแย่งบอลจากเขาได้
เดี๋ยวจะแกล้งวิ่งเหยาะๆ ถ่วงเวลาให้แล้วกัน
“...” เพราะงั้นช่วยเลี้ยงหรือทำอะไรสักอย่างกับลูกบอลนั่นนอกจากวางเท้าไว้นิ่งๆ ทีเถอะครับ
ตุบ!
แล้วเขาก็ทำจริงๆ
“อ่ะ” ด้วยการเตะบอลส่งมา...ให้ผม
“...!”
เชี่ย ได้เหรอวะ
ผมมองลูกบอลกับคนที่ส่งมาให้สลับกันอย่างงงๆ ก่อนจะเตะทิ้งส่งให้เพื่อนฝั่งตัวเองที่วิ่งเข้ามาใกล้พอดี
“ไอ้เหี้ยชานนน!!” แน่นอนว่าเสียงก่นด่าตามมาอีกยกใหญ่
คราวนี้ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าเพื่อนเกือบทั้งทีมวิ่งเข้ามารุมตบกบาลเขาอย่างเกรี้ยวกราดจนผมหยักศกนั่นเสียทรงไปกันใหญ่ แต่คนทำผิดก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร แถมยังหาวหวอดใหญ่ด้วยสีหน้าเหมือนจะถามว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลาสักที
ปรี๊ดดด
เสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่นาที คณะผมชนะด้วยสกอร์ขาดลอยแบบไม่ต้องสงสัย แต่อีกคณะก็ดูไม่ได้ซีเรียสอะไร ที่เคยได้ยินว่าแค่มาแข่งให้มันจบๆ ไปนี่ท่าจะจริง
“ผู้เล่นทั้งสองทีมมาจับมือกันครับ” เสียงกรรมการเรียกให้พวกผมที่ยืนอยู่ทั่วสนามล้างหน้าดื่มเดินกลับมาเรียงแถวจับมือกับฝั่งตรงข้าม กอดบ้าง ขอโทษขอโพยกันพอเป็นพิธี จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าตัวปัญหาพอดี
พอได้เจอใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าไอ้หน้าใสๆ ที่เห็นจากไอจีเพื่อนเขานี่เทียบไม่ได้กับตัวจริงเลย...
“ขอบใจที่ส่งบอลให้นะ” ผมเอ่ยแซวยิ้มๆ
ถ้าไม่ได้เขา ทีมผมคงไม่ทำสกอร์ได้เยอะขนาดนี้
“?” แต่คนตรงหน้ากลับทำหน้าไม่เข้าใจ นั่นยิ่งทำให้ผมยิ่งขำ
ประหลาดคนจริงๆ ว่ะ
คนอื่นๆ เริ่มแยกย้ายกันเข้าที่พัก กินน้ำกินท่าเตรียมตัวกลับ เหลือแต่เรายืนมองหน้ากันนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าใครจะขยับ เหมือนเล่นสงครามประสาท
แล้วก็เป็นผมที่ทนความเงียบไม่ไหวจนต้องเอ่ยออกไป
“ทำไมไม่เลี้ยงบอลอ่ะ”
“...” แต่ก็ได้กลับมาแค่แววตาเปื้อนความเกียจคร้าน ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมานานเกือบนาที
“...” ไม่เป็นไรผมไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว
ยืนจ้องตากันอยู่นานจนสังเกตเห็นว่าดวงตากลมๆ ของเขามันเป็นสีน้ำตาลอมเทา สุกใสปนเศร้า ดูซุกซนทว่าเกียจคร้าน
เป็นประกายประหลาดเหมือนดวงตาของสัตว์บางชนิด...
มันเหมือน... ดวงตาของลูกแมว
เออว่ะ เหมือนแมวที่ผมเคยเลี้ยงเลย
“ขี้เกียจ”
“ฮะ?” ผมคิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินเสียงทุ้มติดจะแหบดังมาจากคนตรงหน้า
“...” แต่เมื่อเห็นใบหน้ามู่ทู่ คิ้วขมวดนิดๆ เหมือนขัดใจที่ผมทำเหมือนไม่ได้ยิน ก็รู้ว่าเขาพูดมันออกมาจริงๆ
“ไม่ทันฟังอ่ะ ขออีกที” ผมบอก ไม่ใช่ไม่ได้ยินจริงๆ หรอก ก็แค่อยากได้ยินอีกที
คนตรงหน้าถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำหน้าสีเหมือนกำลังรวบรวมพลังก่อนจะเอ่ยคำเดิมออกมาอีกครั้ง
“ขี้เกียจ...” ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็เปลี่ยนเป็นถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ไหล่ตกลงมาเหมือนมันเสียพลังงานมากมายเหลือเกินในการเอ่ยประโยคนั้น จนผมอดไม่ได้ที่จะขำ
“โอเค เกต” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ไม่รู้ทำไมถึงหัวเราะเหมือนกัน
คงเพราะได้ยินมาว่าคุยยาก ก็เลยตกใจมั้งที่มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ผมมองคนตรงหน้านิ่งๆ อีกพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจยื่นมือออกไปหาเขา “ยังไม่ได้จับมือเลย”
“...” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอมเทามองมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายยิ่งขึ้น
“จะบอกว่าขี้เกียจจับใช่ป่ะ”
“...” ไม่ตอบ แปลว่าใช่
“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวจับเอง” ผมหัวเราะก่อนจะเป็นฝ่ายเอื้อมมือออกไปจับมือของเขามาเขย่าเบาๆ
“...” คนถูกมัดมือชกไม่เอ่ยอะไร มองมือตัวเองที่ถูกเขย่าด้วยแววตาที่ยากจะอธิบายแล้ว ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายพูดคนเดียวต่อไป
“เราชื่อที... นที”
แม้แต่ตอนได้ยินผมแนะนำตัว เขาก็เพียงเลิกคิ้ว ยักไหล่ และยกมุมปากขึ้นนิดๆ ใช้เวลารวมกันไม่ถึงวินาที บ่งบอกว่าขี้เกียจจะขยับกล้ามเนื้อนานกว่านี้แล้วจริงๆ
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมา
...ยิ้มให้ผมด้วยว่ะ
“ไอ้ชาน! มึงจะอยู่เป็นผีเฝ้าสนามเหรอ กลับดิวะ!”
ผมหัวเราะกับคำเรียกแบบฮาร์ดคอร์ แล้วปล่อยมือบางที่เนียนจับมานานให้เป็นอิสระ เอ่ยลาเบาๆ แม้จะได้เพียงเสียงครางอย่างเกียจคร้านตอบกลับมา ลากสายตามองตามจนเจ้าของแผ่นหลังใบชุดบอลที่แทบไม่มีเหงื่อค่อยๆ เดินจากไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกลัวเสียพลังงาน
ในหัวนึกไปถึงคำพูดของใครหลายๆ คนที่ได้ยินผ่านหูว่าคุณชานอดีตเดือนสถาปัตย์ฯ เป็นคนติสท์จนยากจะเข้าใจ
แต่เท่าที่ผมเห็นก็แค่... แมวขี้เกียจตัวหนึ่ง
ติสท์หรือเปล่าไม่แน่ใจ
...แต่น่ารักชะมัดเลยไง
**********
หลังจากแข่งบอลวันนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก อันที่จริงก็ไม่มีเหตุให้เจอ
ฟุตบอลกระชับมิตรแม่งไม่เห็นจะทำให้ใกล้ชิดขึ้นเลย
แต่ผมยังคงเห็นใบหน้าง่วงงุนปนเกียจคร้านอันเป็นเอกลักษณ์ของชานอยู่บ่อยๆ จากเพจคิ้วท์บอย กับไอจีเพื่อนเขาที่จะอัพรูปนานๆ ที
นี่ข้องใจมาสักพักละ ว่าทำไมคุณเขาไม่มีไอจีเป็นของตัวเอง ดีกรีเดือนคณะไม่ได้ทำให้เห่อกล้องขึ้นมาหน่อยหรือไง ผมเห็นคนดังของมหาลัยคนไหนก็มี ไอ้ผมไม่ดังแม่งยังมีเลย
“เจอกันมึง” เพื่อนตัวดีโบกมือลาก่อนจะเดินแยกย้ายไปหลังจากมารวมตัวกินมื้อดึกกันที่ร้านดังหน้ามอ
ผมต้องเดินแยกจากเพื่อนคนอื่นๆ เพราะจอดรถไว้อีกที่หนึ่ง ลานจอดรถตอนเกือบห้าทุ่มที่แทบร้างผู้คน แต่เดินออกมาได้กี่ก้าวก็ต้องชะงักไป เมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง... ไม่สิ ใครบางคนที่ป้ายรอรถไฟฟ้ามืดๆ อีกฝั่งถนน
เจ้าแมวสันหลังยาวตัวนั้นไง
พูดถึงก็เจอเลย
เขากำลังนั่งพิงป้ายในสภาพเหมือนจะหลับไม่หลับแหล่ ข้างตัวมีข้าวของพะรุงพะรังตามแบบฉบับเด็กคณะนี้ที่ผมเห็นผ่านตามาบ้าง พอเห็นแบบนั้นขาทั้งสองข้างมันก็เบนเข็มจากลานจอดรถที่อยู่อีกทางเดินข้ามถนนเล็กๆ ไปทันที
“...”
“...” ผมไม่ได้ทักทาย ส่วนเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร นอกจากเบิกตากว้างเล็กๆ แล้วก็ปล่อยปรือลงเหมือนเดิมคล้ายว่ามันหนักจนพยุงไว้ไม่ไหว
มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?
“...”
อยากจะถาม แต่ป๊อดไง
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสล่อเดินมานั่งกับเขาขนาดนี้แล้วยังจะมาป็อดอะไรอีก
จำเราได้ป่ะ?
“...”
ไม่เอา ไม่ถาม กลัวเขาตอบว่าจำไม่ได้แล้วหน้าแหก
“...”
โอเค ขอคิดใหม่แป๊บนึง
“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?”
เออ สุดท้ายแม่งก็วนมาประโยคแรกว่ะ
“...” ผมหันไปมองคนข้างตัว เขาหันกลับมาเบิกตานิดๆ อย่างงงๆ
“เรานที ที่เคยแข่งบอลด้วยไง จำได้ป่ะ” ประโยคที่สองตามมา
รู้ว่าเขาไม่ได้ถาม แต่อยากบอกย้ำเผื่อเขาจะจำได้ไง
“...” แต่คนตรงหน้าก็ไม่ตอบอะไร แววตาแสนขี้เกียจมองมาเหมือนไม่อยากจะคุย
ผมหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากหัวเราะ คงเพราะเกิดนึกถึงเจ้าแมวที่เคยเลี้ยงขึ้นมา เวลาผมไปวอแวพยายามจะเล่นกับมันก็ถูกส่งสายตากลับมาประมาณนี้เลย
น่าเอ็นดู...
โอเค รู้แล้วว่าขี้เกียจตอบ แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องตอบก็ได้ผมมีความสามารถพิเศษเรื่องการพูดคนเดียวเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว
“ตรงนี้แม่งโคตรเปลี่ยวเลย เดี๋ยวนั่งเป็นเพื่อนละกัน”
เป็นการขอนั่งด้วยที่โคตรไม่เนียน รู้ตัว
“...” ไม่ตอบ ก็น่าจะหมายความว่าไม่ปฏิเสธล่ะวะ
“...”
ผมปล่อยให้เรานั่งกันเงียบๆ อยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ไม่ได้พยายามคิดเรื่องอะไรมาชวนคุย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้รังเกียจ เขาเพียงนั่งทำหน้าง่วงเหมือนเดิม ท่าทางเหมือนจะสัปหงกเต็มทีทำให้ผมหลุดขำ ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าจะมานั่งหน้าง่วงอยู่ตรงนี้ทำไม
แต่ไม่นานก็ได้คำตอบในสิ่งที่สงสัย
“นี่...”
“ครับ?” ผมเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นมา
“...” สีหน้าที่เหมือนขี้เกียจจะพูดเต็มประดานั่นทำผมลุ้นจนเผลอกลั้นหายใจ
“ถ้ารถมา... ปลุกด้วย”
“?”
รถ? รถหมายถึงรถไฟฟ้า?
ผมกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่แน่ใจ
“เฮ้ย” แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรก็มีเรื่องให้ตกใจไปกันใหญ่ เมื่อเจ้าของร่างที่เหมือนจะประคองตัวเองไม่ไหวเต็มทีเอนตัวลงมาหาผม วางหัวลงบนตักทิ้งน้ำหนักตัวลงมาโดยไม่ถามกันสักคำว่านอนได้มั้ย
“...” เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอภายในไม่กี่วินาทีบ่งบอกว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ
“...”
เชี่ย... ได้เหรอวะ
อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักทีให้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป แต่ก็ทำได้แต่นั่งนิ่งๆ พยายามไม่ขยับตัวให้คนบนตักตื่นขึ้นมา ก้มมองเจ้าของใบหน้าใสที่นอนหลับตาอย่างสบายใจ นึกถึงคำพูดที่เขาทิ้งไว้พลางมองไปที่ตัวเลขเวลาที่เขียนอยู่ตรงป้ายข้างตัว แล้วก็ได้แต่ยิ้มขำออกมา
เวลารถวิ่ง
08.00 น. – 21.00 น.
“...”
เอาเป็นว่ารอให้เจ้าแมวขี้เกียจตัวนี้ตื่นมาก่อนแล้วกัน... ค่อยบอกว่าความจริงรถไฟฟ้ามันหยุดวิ่งไปตั้งนานแล้วครับคุณ
**********
“ไอ้เชี่ยชานแม่งหลับอีกแล้ว อาจารย์ยังไม่ทันจะเริ่มสอนเลย” เสียงโวยวายของคนมาใหม่ทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง
รู้สึกไม่พอใจนิดๆ ที่พวกเขาทำเสียงดังจนเจ้าแมวสันหลังยาวที่นั่งอยู่ข้างผมอาจจะตื่น
“...” แต่ฟังจากเสียงหายใจก็โล่งอกที่พบว่าเขายังคงหลับลึกอยู่
นั่งข้างกันทุกคาบผมแทบไม่เห็นเขาลืมตาเลย แต่แบบนี้ก็ดี ถือโอกาสมองใบหน้าของเจ้าแมวขี้เกียจนี่ตอนกำลังหลับฝันหวานเพลินๆ แพขนตายาวที่ทาบลงบนผิวใต้ตาทำให้รู้ว่านอกจากความกลมโตของลูกตาแล้ว ขนตายาวๆ ก็มีผลให้ดวงตาคู่สวยน่ามองไม่แพ้กัน จมูกรั้นๆ และริมฝีปากสีซีดที่เผยอนิดๆ ยิ่งดูเกียจคร้านไปกันใหญ่ตอนที่อยู่ในห้วงนิทรา
ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองเป็นพันครั้งที่เลือกลงเรียนวิชานี้ แม้ว่าอาจารย์จะสอนได้น่าเบื่อจับใจ แต่มันก็เป็นวิชาเดียวที่ผมจะมีโอกาสได้เจอเขาที่บังเอิญลงเรียนเซคเดียวกัน แถมยังบังเอิญที่ในคาบแรกกลุ่มของเราเลือกที่นั่งในแถวเดียวกัน เรานั่งข้างกันที่กลางแถวพอดี แม้ไม่ได้เอ่ยทักทาย แต่ผมรู้ว่าเขาจำผมได้จากดวงตาสีน้ำตาลอมเทาที่เบิกกว้างนิดๆ ตอนเจอกัน หลังจากนั้นมาพวกเราก็เลือกนั่งที่เดิมในทุกคาบ ทั้งที่ในห้องยังมีที่นั่งว่างตั้งมากมาย
ถ้าถามว่าทำไม ก็ตอบได้แค่ว่าเพราะผมกับเขามาถึงห้องเรียนก่อนใคร
แต่ที่สำคัญกว่านั้น...
“อืม... นวดต่อสิ”
ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาพึมพำทำน้ำเสียงงัวเงียอย่างขัดใจเมื่อผมเผลอคิดอะไรเพลินจนหยุดมือที่กำลังนวดฝ่ามือบางข้างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะเลคเชอร์ไว้ เรียกให้ผมกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง พลางกระซิบขอโทษเบาๆ
สารภาพว่าตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นวิธีที่ได้ผลเหมือนกัน แค่ตอนนั้นเห็นเขาหยิบปากกาขึ้นมาจดเลคเชอร์ไม่กี่คำก็ทิ้งแขนลงใต้โต๊ะทำท่าเหมือนเมื่อยมือเสียเต็มประดาก็เลยถือวิสาสะนวดให้
ใครจะไปคิดว่าเขาจะเสพติดฝีมือการนวดกากๆ ของผมเข้าอย่างจัง
“เมื่อกี้ไอ้เชี่ยชานพูดไรป่ะวะ”
“สงสัยมันละเมอมั้ง”
เป็นการละเมอที่น่ารักซะจนอยากจะจับยีหัวให้หายหมั่นไส้สักที
**********
พักกลางวันผมเลือกไปกินข้าวที่โรงอาหารรวมเพราะมันอยู่ใกล้ที่สุด แถมยังราคาถูกเหมือนได้ฟรีอีกต่างหาก เพื่อนคนอื่นแยกย้ายกันไปตั้งแต่เรียนเสร็จเพราะมีงานที่พวกมันยังทำไม่เสร็จ ผมซื้อข้าวนานกว่าชาวบ้านเพราะข้าวมันไก่ร้านโปรดต้องต่อคิวยาวมหาประลัยเหมือนทุกที ก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่ตัวสุดท้ายพอดี แต่ยังไม่ทันจะได้กินสักคำ สายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ถือจานข้าวเดินมาทางนี้พอดี
ท่าทางง่วงซึมกับสีหน้าเกียจคร้านอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ผมยิ้มออกมาเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็น การขยับร่างกายที่ไม่มากเกินจำเป็นทำให้เขาเหมือนเป็นภาพสโลวโมชั่นท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ร่างโปร่งบางหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่สักพักก่อนจะหยุดสายตาลงที่ผมซึ่งกำลังลุ้นให้เขากันมามองอยู่พอดี ริมฝีปากบางเผยอขึ้นนิดๆ เหมือนประหลาดใจ ก่อนจะขยับร่างกายเดินมาทางนี้เมื่อผมยกมือเป็นเชิงให้สัญญาณว่าเขาสามารถนั่งตรงนี้ได้
พอนั่งลงเขาก็เริ่มกินข้าวไม่พูดไม่จาอะไร ผมมองแก้มตอบที่พองขึ้นมาตอนเคี้ยวข้าวอยู่สักพักก็ตัดสินใจตักข้าวมันไก่ของตัวเองกิน ไม่อยากรบกวนคนที่กินข้าวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยอยู่ตรงหน้าก็เลยหุบปากไว้ รอให้เขากินจนเสร็จถึงได้เอ่ยถามออกมา
“ปกติไม่เห็นเจอเลย”
รออยู่พักใหญ่กว่าริมฝีปากสีซีดจะตัดสินใจเอ่ยคำตอบออกมาเบาๆ “ไม่ได้มา”
แค่นี้ก็ยากแล้วมั้งสำหรับจอมขี้เกียจอย่างเขา
“แล้วทำไมวันนี้ถึงมา”
“...” สายตาคู่สวยมองแรงบ่งบอกว่าวันนี้หมดโควตาแล้วสำหรับการสนทนา
ผมหัวเราะ ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าจะไม่ถามอะไรต่อ ก่อนจะเปิดขวดน้ำยื่นไปให้เขา ซึ่งรับไปดื่มโดยไม่พูดอะไร
พอกินเสร็จเขาก็ส่งคืน หยิบจานแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ถึงได้หยุดแล้วหันกลับมา
“ขอบใจ...”
“...”
“นที” เสียงทุ้มแหบยานคางเหมือนเสียงครางของแมวและสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจนั่นเรียกเสียงหัวเราะของผมได้อีกครั้ง พร้อมกับเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ
ว่าเจ้าแมวสันหลังยาวตัวนี้ต้องสูญเสียพลังงานเท่าไหร่ในการเค้นความจำเรื่องชื่อของผมที่ไม่คิดว่าจะจำได้
...แถมยังเอ่ยมันออกมาจนครบสองพยางค์
**********
- มีต่อ -