[ เรื่องสั้น ] สันหลังยาว l Mr. Lazy l (ส่งท้าย by คุณสันหลังยาว) : 23/03/2560
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ เรื่องสั้น ] สันหลังยาว l Mr. Lazy l (ส่งท้าย by คุณสันหลังยาว) : 23/03/2560  (อ่าน 11225 ครั้ง)

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


-------------------------------------------------------------------------
- สันหลังยาว -
( Mr. Lazy )


ผลงานเรื่องสั้นอื่นๆ The Scarlet Thread (ยังไม่จบ)

ฝากด้วยนะคะ ^^

-- Timeless_O --
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2017 04:58:29 โดย Timeless_O »

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
- สันหลังยาว -

ชานเป็นคนแปลก...

ผมว่าเข้าขั้นประหลาดเลยล่ะ

มีคนบอกว่าเขาเป็นคนติสท์ ด้วยความที่เรียนคณะออกแบบลักษณะภายนอกเป็นคนผมหยักศกยาวประบ่า ดูยุ่งๆ เซอร์ๆ เขาเป็นคนชอบทำอะไรตามใจ แถมยังแผ่ออร่าเข้าถึงยากออกมาตลอดเวลา เลยทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้เท่าไหร่

แต่ผมไม่คิดว่าเขาเป็นคนแบบนั้น

ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก ครั้งแรกที่ได้คุยกันก็ตอนที่คณะพวกเรามีแข่งฟุตบอลกระชับมิตร ด้วยความที่เล่นกีฬาเป็นกิจวัตรอยู่แล้วก็เลยถูกเรียกตัวไปเล่นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ที่ข้องใจคือผู้ชายรูปร่างผอมบางหน้าตาเกลี้ยงเกลาที่เดินโดดเด่นเข้าสนามมาด้วยหน้าตาที่เหมือนยังไม่ตื่นดีคนนั้น

ดูท่าจะเลี้ยงบอลไม่เป็นด้วยซ้ำ

และก็จริงอย่างที่คิด อย่าว่าแต่เลี้ยงบอลเลย แม้แต่การขยับตัววิ่งก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา

“ไอ้ชาน!” แต่ไม่รู้ทำไมเด็กคณะนั้นถึงได้ขยันส่งบอลมาให้เขานัก

ตุบ!

ทั้งที่น่าจะเรียนรู้ได้แล้วว่ามันจะถูกผมที่วิ่งอยู่ไลน์เดียวกันตัดหน้ามาอย่างง่ายดาย

“ไอ้เหี้ยชาน!”

เสียงตะโกนด่ามากกว่ารอบที่สิบดังขึ้นไล่หลัง ผมส่งบอลให้เพื่อนที่วิ่งมารอรับก่อนจะวิ่งเหยาะๆ พลางเหลียวหลังกลับไปมองเจ้าของใบหน้าเกียจคร้านอย่างแปลกใจ

แม่ง ใครบังคับให้คุณเขาลงมาเล่นวะ

“ไอ้ที!” วิ่งไปวิ่งมาไม่ทันไรลูกบอลก็ถูกเตะลอยกลับมาทางที่ผมอยู่อีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ขยับออกไปสกัดลูกหนัง
กลมๆ นั่นไว้ ปล่อยให้มันตกลงมา กลิ้งไปตามพื้นหญ้าในทิศทางที่มีใครอีกคนยืนขาตายอยู่

เท้าที่สวมสตั๊ดราคาแพงถูกยกขึ้นมาสกัดลูกบอลที่เริ่มกลิ้งช้าลงไว้

โห ผมนี่อยากจะปรบมือ 

มองไปรอบๆ ก็พบว่าคนอื่นๆ ยังอยู่ในระยะไกล มีเพียงผมเท่านั้นที่อยู่ใกล้พอจะเข้าไปแย่งบอลจากเขาได้

เดี๋ยวจะแกล้งวิ่งเหยาะๆ ถ่วงเวลาให้แล้วกัน

“...” เพราะงั้นช่วยเลี้ยงหรือทำอะไรสักอย่างกับลูกบอลนั่นนอกจากวางเท้าไว้นิ่งๆ ทีเถอะครับ

ตุบ!

แล้วเขาก็ทำจริงๆ

“อ่ะ” ด้วยการเตะบอลส่งมา...ให้ผม

“...!”

เชี่ย ได้เหรอวะ

ผมมองลูกบอลกับคนที่ส่งมาให้สลับกันอย่างงงๆ ก่อนจะเตะทิ้งส่งให้เพื่อนฝั่งตัวเองที่วิ่งเข้ามาใกล้พอดี

“ไอ้เหี้ยชานนน!!” แน่นอนว่าเสียงก่นด่าตามมาอีกยกใหญ่

คราวนี้ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าเพื่อนเกือบทั้งทีมวิ่งเข้ามารุมตบกบาลเขาอย่างเกรี้ยวกราดจนผมหยักศกนั่นเสียทรงไปกันใหญ่ แต่คนทำผิดก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร แถมยังหาวหวอดใหญ่ด้วยสีหน้าเหมือนจะถามว่าเมื่อไหร่จะหมดเวลาสักที

ปรี๊ดดด

เสียงนกหวีดหมดเวลาดังขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่นาที คณะผมชนะด้วยสกอร์ขาดลอยแบบไม่ต้องสงสัย แต่อีกคณะก็ดูไม่ได้ซีเรียสอะไร ที่เคยได้ยินว่าแค่มาแข่งให้มันจบๆ ไปนี่ท่าจะจริง

“ผู้เล่นทั้งสองทีมมาจับมือกันครับ” เสียงกรรมการเรียกให้พวกผมที่ยืนอยู่ทั่วสนามล้างหน้าดื่มเดินกลับมาเรียงแถวจับมือกับฝั่งตรงข้าม กอดบ้าง ขอโทษขอโพยกันพอเป็นพิธี จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าตัวปัญหาพอดี

พอได้เจอใกล้ๆ ถึงได้รู้ว่าไอ้หน้าใสๆ ที่เห็นจากไอจีเพื่อนเขานี่เทียบไม่ได้กับตัวจริงเลย...

“ขอบใจที่ส่งบอลให้นะ” ผมเอ่ยแซวยิ้มๆ

ถ้าไม่ได้เขา ทีมผมคงไม่ทำสกอร์ได้เยอะขนาดนี้

“?” แต่คนตรงหน้ากลับทำหน้าไม่เข้าใจ นั่นยิ่งทำให้ผมยิ่งขำ

ประหลาดคนจริงๆ ว่ะ

คนอื่นๆ เริ่มแยกย้ายกันเข้าที่พัก กินน้ำกินท่าเตรียมตัวกลับ เหลือแต่เรายืนมองหน้ากันนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าใครจะขยับ เหมือนเล่นสงครามประสาท

แล้วก็เป็นผมที่ทนความเงียบไม่ไหวจนต้องเอ่ยออกไป

“ทำไมไม่เลี้ยงบอลอ่ะ”

“...” แต่ก็ได้กลับมาแค่แววตาเปื้อนความเกียจคร้าน ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมานานเกือบนาที

“...” ไม่เป็นไรผมไม่ใช่พวกยอมแพ้อะไรง่ายๆ อยู่แล้ว

ยืนจ้องตากันอยู่นานจนสังเกตเห็นว่าดวงตากลมๆ ของเขามันเป็นสีน้ำตาลอมเทา สุกใสปนเศร้า ดูซุกซนทว่าเกียจคร้าน
เป็นประกายประหลาดเหมือนดวงตาของสัตว์บางชนิด...

มันเหมือน... ดวงตาของลูกแมว

เออว่ะ เหมือนแมวที่ผมเคยเลี้ยงเลย

“ขี้เกียจ”

“ฮะ?” ผมคิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินเสียงทุ้มติดจะแหบดังมาจากคนตรงหน้า

“...” แต่เมื่อเห็นใบหน้ามู่ทู่ คิ้วขมวดนิดๆ เหมือนขัดใจที่ผมทำเหมือนไม่ได้ยิน ก็รู้ว่าเขาพูดมันออกมาจริงๆ

“ไม่ทันฟังอ่ะ ขออีกที” ผมบอก ไม่ใช่ไม่ได้ยินจริงๆ หรอก ก็แค่อยากได้ยินอีกที

คนตรงหน้าถอนหายใจออกมาเบาๆ ทำหน้าสีเหมือนกำลังรวบรวมพลังก่อนจะเอ่ยคำเดิมออกมาอีกครั้ง

“ขี้เกียจ...” ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็เปลี่ยนเป็นถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ไหล่ตกลงมาเหมือนมันเสียพลังงานมากมายเหลือเกินในการเอ่ยประโยคนั้น จนผมอดไม่ได้ที่จะขำ

“โอเค เกต” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ไม่รู้ทำไมถึงหัวเราะเหมือนกัน

คงเพราะได้ยินมาว่าคุยยาก ก็เลยตกใจมั้งที่มันไม่ได้ยากอย่างที่คิด

ผมมองคนตรงหน้านิ่งๆ อีกพักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจยื่นมือออกไปหาเขา “ยังไม่ได้จับมือเลย”

“...” เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอมเทามองมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายยิ่งขึ้น

“จะบอกว่าขี้เกียจจับใช่ป่ะ”

“...” ไม่ตอบ แปลว่าใช่

“ไม่เป็นไร งั้นเดี๋ยวจับเอง” ผมหัวเราะก่อนจะเป็นฝ่ายเอื้อมมือออกไปจับมือของเขามาเขย่าเบาๆ

“...” คนถูกมัดมือชกไม่เอ่ยอะไร มองมือตัวเองที่ถูกเขย่าด้วยแววตาที่ยากจะอธิบายแล้ว ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายพูดคนเดียวต่อไป

“เราชื่อที... นที” 

แม้แต่ตอนได้ยินผมแนะนำตัว เขาก็เพียงเลิกคิ้ว ยักไหล่ และยกมุมปากขึ้นนิดๆ ใช้เวลารวมกันไม่ถึงวินาที บ่งบอกว่าขี้เกียจจะขยับกล้ามเนื้อนานกว่านี้แล้วจริงๆ

แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมา

...ยิ้มให้ผมด้วยว่ะ

“ไอ้ชาน! มึงจะอยู่เป็นผีเฝ้าสนามเหรอ กลับดิวะ!”

ผมหัวเราะกับคำเรียกแบบฮาร์ดคอร์ แล้วปล่อยมือบางที่เนียนจับมานานให้เป็นอิสระ เอ่ยลาเบาๆ แม้จะได้เพียงเสียงครางอย่างเกียจคร้านตอบกลับมา ลากสายตามองตามจนเจ้าของแผ่นหลังใบชุดบอลที่แทบไม่มีเหงื่อค่อยๆ เดินจากไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกลัวเสียพลังงาน

ในหัวนึกไปถึงคำพูดของใครหลายๆ คนที่ได้ยินผ่านหูว่าคุณชานอดีตเดือนสถาปัตย์ฯ เป็นคนติสท์จนยากจะเข้าใจ
แต่เท่าที่ผมเห็นก็แค่... แมวขี้เกียจตัวหนึ่ง
   
ติสท์หรือเปล่าไม่แน่ใจ
   
...แต่น่ารักชะมัดเลยไง


**********

   
หลังจากแข่งบอลวันนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีก อันที่จริงก็ไม่มีเหตุให้เจอ

ฟุตบอลกระชับมิตรแม่งไม่เห็นจะทำให้ใกล้ชิดขึ้นเลย

แต่ผมยังคงเห็นใบหน้าง่วงงุนปนเกียจคร้านอันเป็นเอกลักษณ์ของชานอยู่บ่อยๆ จากเพจคิ้วท์บอย กับไอจีเพื่อนเขาที่จะอัพรูปนานๆ ที

นี่ข้องใจมาสักพักละ ว่าทำไมคุณเขาไม่มีไอจีเป็นของตัวเอง ดีกรีเดือนคณะไม่ได้ทำให้เห่อกล้องขึ้นมาหน่อยหรือไง ผมเห็นคนดังของมหาลัยคนไหนก็มี ไอ้ผมไม่ดังแม่งยังมีเลย

“เจอกันมึง” เพื่อนตัวดีโบกมือลาก่อนจะเดินแยกย้ายไปหลังจากมารวมตัวกินมื้อดึกกันที่ร้านดังหน้ามอ

ผมต้องเดินแยกจากเพื่อนคนอื่นๆ เพราะจอดรถไว้อีกที่หนึ่ง ลานจอดรถตอนเกือบห้าทุ่มที่แทบร้างผู้คน แต่เดินออกมาได้กี่ก้าวก็ต้องชะงักไป เมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง... ไม่สิ ใครบางคนที่ป้ายรอรถไฟฟ้ามืดๆ อีกฝั่งถนน

เจ้าแมวสันหลังยาวตัวนั้นไง

พูดถึงก็เจอเลย

เขากำลังนั่งพิงป้ายในสภาพเหมือนจะหลับไม่หลับแหล่ ข้างตัวมีข้าวของพะรุงพะรังตามแบบฉบับเด็กคณะนี้ที่ผมเห็นผ่านตามาบ้าง พอเห็นแบบนั้นขาทั้งสองข้างมันก็เบนเข็มจากลานจอดรถที่อยู่อีกทางเดินข้ามถนนเล็กๆ ไปทันที

“...”

“...” ผมไม่ได้ทักทาย ส่วนเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร นอกจากเบิกตากว้างเล็กๆ แล้วก็ปล่อยปรือลงเหมือนเดิมคล้ายว่ามันหนักจนพยุงไว้ไม่ไหว

มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?

“...”
   
อยากจะถาม แต่ป๊อดไง

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเสล่อเดินมานั่งกับเขาขนาดนี้แล้วยังจะมาป็อดอะไรอีก

จำเราได้ป่ะ?

“...”

ไม่เอา ไม่ถาม กลัวเขาตอบว่าจำไม่ได้แล้วหน้าแหก

“...”

โอเค ขอคิดใหม่แป๊บนึง

“มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้?”

เออ สุดท้ายแม่งก็วนมาประโยคแรกว่ะ 

“...” ผมหันไปมองคนข้างตัว เขาหันกลับมาเบิกตานิดๆ อย่างงงๆ

“เรานที ที่เคยแข่งบอลด้วยไง จำได้ป่ะ” ประโยคที่สองตามมา

รู้ว่าเขาไม่ได้ถาม แต่อยากบอกย้ำเผื่อเขาจะจำได้ไง

“...” แต่คนตรงหน้าก็ไม่ตอบอะไร แววตาแสนขี้เกียจมองมาเหมือนไม่อยากจะคุย

ผมหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากหัวเราะ คงเพราะเกิดนึกถึงเจ้าแมวที่เคยเลี้ยงขึ้นมา เวลาผมไปวอแวพยายามจะเล่นกับมันก็ถูกส่งสายตากลับมาประมาณนี้เลย

น่าเอ็นดู...

โอเค รู้แล้วว่าขี้เกียจตอบ แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องตอบก็ได้ผมมีความสามารถพิเศษเรื่องการพูดคนเดียวเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว

“ตรงนี้แม่งโคตรเปลี่ยวเลย เดี๋ยวนั่งเป็นเพื่อนละกัน”

เป็นการขอนั่งด้วยที่โคตรไม่เนียน รู้ตัว

“...” ไม่ตอบ ก็น่าจะหมายความว่าไม่ปฏิเสธล่ะวะ

“...”

ผมปล่อยให้เรานั่งกันเงียบๆ อยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ไม่ได้พยายามคิดเรื่องอะไรมาชวนคุย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจ อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ได้รังเกียจ เขาเพียงนั่งทำหน้าง่วงเหมือนเดิม ท่าทางเหมือนจะสัปหงกเต็มทีทำให้ผมหลุดขำ ไม่เข้าใจว่าคนตรงหน้าจะมานั่งหน้าง่วงอยู่ตรงนี้ทำไม

แต่ไม่นานก็ได้คำตอบในสิ่งที่สงสัย

“นี่...”

“ครับ?” ผมเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นมา

“...” สีหน้าที่เหมือนขี้เกียจจะพูดเต็มประดานั่นทำผมลุ้นจนเผลอกลั้นหายใจ

“ถ้ารถมา... ปลุกด้วย”

“?”

รถ? รถหมายถึงรถไฟฟ้า?

ผมกระพริบตาปริบๆ อย่างไม่แน่ใจ

“เฮ้ย” แต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรก็มีเรื่องให้ตกใจไปกันใหญ่ เมื่อเจ้าของร่างที่เหมือนจะประคองตัวเองไม่ไหวเต็มทีเอนตัวลงมาหาผม วางหัวลงบนตักทิ้งน้ำหนักตัวลงมาโดยไม่ถามกันสักคำว่านอนได้มั้ย

“...” เสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอภายในไม่กี่วินาทีบ่งบอกว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ

“...” 

เชี่ย... ได้เหรอวะ

อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักทีให้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป แต่ก็ทำได้แต่นั่งนิ่งๆ พยายามไม่ขยับตัวให้คนบนตักตื่นขึ้นมา ก้มมองเจ้าของใบหน้าใสที่นอนหลับตาอย่างสบายใจ นึกถึงคำพูดที่เขาทิ้งไว้พลางมองไปที่ตัวเลขเวลาที่เขียนอยู่ตรงป้ายข้างตัว แล้วก็ได้แต่ยิ้มขำออกมา


เวลารถวิ่ง

08.00 น. – 21.00 น.


“...”

เอาเป็นว่ารอให้เจ้าแมวขี้เกียจตัวนี้ตื่นมาก่อนแล้วกัน... ค่อยบอกว่าความจริงรถไฟฟ้ามันหยุดวิ่งไปตั้งนานแล้วครับคุณ


**********

   
“ไอ้เชี่ยชานแม่งหลับอีกแล้ว อาจารย์ยังไม่ทันจะเริ่มสอนเลย” เสียงโวยวายของคนมาใหม่ทำให้ผมต้องเงยหน้ามอง
   
รู้สึกไม่พอใจนิดๆ ที่พวกเขาทำเสียงดังจนเจ้าแมวสันหลังยาวที่นั่งอยู่ข้างผมอาจจะตื่น
   
“...” แต่ฟังจากเสียงหายใจก็โล่งอกที่พบว่าเขายังคงหลับลึกอยู่
   
นั่งข้างกันทุกคาบผมแทบไม่เห็นเขาลืมตาเลย แต่แบบนี้ก็ดี ถือโอกาสมองใบหน้าของเจ้าแมวขี้เกียจนี่ตอนกำลังหลับฝันหวานเพลินๆ แพขนตายาวที่ทาบลงบนผิวใต้ตาทำให้รู้ว่านอกจากความกลมโตของลูกตาแล้ว ขนตายาวๆ ก็มีผลให้ดวงตาคู่สวยน่ามองไม่แพ้กัน จมูกรั้นๆ และริมฝีปากสีซีดที่เผยอนิดๆ ยิ่งดูเกียจคร้านไปกันใหญ่ตอนที่อยู่ในห้วงนิทรา
   
ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองเป็นพันครั้งที่เลือกลงเรียนวิชานี้ แม้ว่าอาจารย์จะสอนได้น่าเบื่อจับใจ แต่มันก็เป็นวิชาเดียวที่ผมจะมีโอกาสได้เจอเขาที่บังเอิญลงเรียนเซคเดียวกัน แถมยังบังเอิญที่ในคาบแรกกลุ่มของเราเลือกที่นั่งในแถวเดียวกัน  เรานั่งข้างกันที่กลางแถวพอดี แม้ไม่ได้เอ่ยทักทาย แต่ผมรู้ว่าเขาจำผมได้จากดวงตาสีน้ำตาลอมเทาที่เบิกกว้างนิดๆ ตอนเจอกัน หลังจากนั้นมาพวกเราก็เลือกนั่งที่เดิมในทุกคาบ ทั้งที่ในห้องยังมีที่นั่งว่างตั้งมากมาย
ถ้าถามว่าทำไม ก็ตอบได้แค่ว่าเพราะผมกับเขามาถึงห้องเรียนก่อนใคร 
   
แต่ที่สำคัญกว่านั้น...
   
“อืม... นวดต่อสิ” 

ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาพึมพำทำน้ำเสียงงัวเงียอย่างขัดใจเมื่อผมเผลอคิดอะไรเพลินจนหยุดมือที่กำลังนวดฝ่ามือบางข้างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะเลคเชอร์ไว้ เรียกให้ผมกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองอีกครั้ง พลางกระซิบขอโทษเบาๆ
สารภาพว่าตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นวิธีที่ได้ผลเหมือนกัน แค่ตอนนั้นเห็นเขาหยิบปากกาขึ้นมาจดเลคเชอร์ไม่กี่คำก็ทิ้งแขนลงใต้โต๊ะทำท่าเหมือนเมื่อยมือเสียเต็มประดาก็เลยถือวิสาสะนวดให้

ใครจะไปคิดว่าเขาจะเสพติดฝีมือการนวดกากๆ ของผมเข้าอย่างจัง
   
“เมื่อกี้ไอ้เชี่ยชานพูดไรป่ะวะ”
   
“สงสัยมันละเมอมั้ง”
   
เป็นการละเมอที่น่ารักซะจนอยากจะจับยีหัวให้หายหมั่นไส้สักที


**********

   
พักกลางวันผมเลือกไปกินข้าวที่โรงอาหารรวมเพราะมันอยู่ใกล้ที่สุด แถมยังราคาถูกเหมือนได้ฟรีอีกต่างหาก เพื่อนคนอื่นแยกย้ายกันไปตั้งแต่เรียนเสร็จเพราะมีงานที่พวกมันยังทำไม่เสร็จ ผมซื้อข้าวนานกว่าชาวบ้านเพราะข้าวมันไก่ร้านโปรดต้องต่อคิวยาวมหาประลัยเหมือนทุกที ก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะที่ว่างอยู่ตัวสุดท้ายพอดี แต่ยังไม่ทันจะได้กินสักคำ สายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่ถือจานข้าวเดินมาทางนี้พอดี
   
ท่าทางง่วงซึมกับสีหน้าเกียจคร้านอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ผมยิ้มออกมาเหมือนทุกครั้งที่ได้เห็น การขยับร่างกายที่ไม่มากเกินจำเป็นทำให้เขาเหมือนเป็นภาพสโลวโมชั่นท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมา
   
ร่างโปร่งบางหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่สักพักก่อนจะหยุดสายตาลงที่ผมซึ่งกำลังลุ้นให้เขากันมามองอยู่พอดี ริมฝีปากบางเผยอขึ้นนิดๆ เหมือนประหลาดใจ ก่อนจะขยับร่างกายเดินมาทางนี้เมื่อผมยกมือเป็นเชิงให้สัญญาณว่าเขาสามารถนั่งตรงนี้ได้
   
พอนั่งลงเขาก็เริ่มกินข้าวไม่พูดไม่จาอะไร ผมมองแก้มตอบที่พองขึ้นมาตอนเคี้ยวข้าวอยู่สักพักก็ตัดสินใจตักข้าวมันไก่ของตัวเองกิน ไม่อยากรบกวนคนที่กินข้าวด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยอยู่ตรงหน้าก็เลยหุบปากไว้ รอให้เขากินจนเสร็จถึงได้เอ่ยถามออกมา
   
“ปกติไม่เห็นเจอเลย”
   
รออยู่พักใหญ่กว่าริมฝีปากสีซีดจะตัดสินใจเอ่ยคำตอบออกมาเบาๆ “ไม่ได้มา”
   
แค่นี้ก็ยากแล้วมั้งสำหรับจอมขี้เกียจอย่างเขา
   
“แล้วทำไมวันนี้ถึงมา”
   
“...” สายตาคู่สวยมองแรงบ่งบอกว่าวันนี้หมดโควตาแล้วสำหรับการสนทนา
   
ผมหัวเราะ ยักไหล่เป็นเชิงบอกว่าจะไม่ถามอะไรต่อ ก่อนจะเปิดขวดน้ำยื่นไปให้เขา ซึ่งรับไปดื่มโดยไม่พูดอะไร
   
พอกินเสร็จเขาก็ส่งคืน หยิบจานแล้วลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไป แต่เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ถึงได้หยุดแล้วหันกลับมา
   
“ขอบใจ...”
   
“...”
   
“นที” เสียงทุ้มแหบยานคางเหมือนเสียงครางของแมวและสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจนั่นเรียกเสียงหัวเราะของผมได้อีกครั้ง พร้อมกับเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ

ว่าเจ้าแมวสันหลังยาวตัวนี้ต้องสูญเสียพลังงานเท่าไหร่ในการเค้นความจำเรื่องชื่อของผมที่ไม่คิดว่าจะจำได้

...แถมยังเอ่ยมันออกมาจนครบสองพยางค์

**********

- มีต่อ -

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
- ต่อ -


ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าแมวจอมขี้เกียจตัวหนึ่งจะส่งผลต่อชีวิตผมมากมาย ถึงขั้นทำให้วุ่นวายใจได้ขนาดนี้

“ขอโทษนะ” ผมเดินเข้าไปหาคนกลุ่มเดิมที่นั่งอยู่ข้างกันมานานแต่ไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยปากคุย

“?” ทุกคนในกลุ่มหันมามองอย่างประหลาดใจ และเชื่อได้ว่าแม้แต่เพื่อนผมเองก็แปลกใจที่อยู่ๆ ก็เดินเข้าไปหาคนที่ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรเหมือนจะหาเรื่องกัน

“ชานไปไหน” ยิ่งงงไปกันใหญ่เมื่อผมเอ่ยถามถึงคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวัน

หลังจากที่กินข้าวด้วยกันวันนั้นผมก็ไม่ได้เจอชานอีกเลย เขาไม่ได้มาเรียน อาทิตย์แรกไม่เท่าไหร่เข้าใจว่าคณะเขางานหนักอาจจะเทตัวนอกที่ไม่ต้องเช็กชื่อ แต่พอเข้าอาทิตย์ถัดมาก็ทนไม่ไหวเนียนไปกินข้าวที่โรงอาหารถาปัตย์ก็ไม่เจอ เลยตัดสินใจเข้ามาถามเพื่อนเขาดีกว่า

หายไปไหนของเขาวะ

“มึงชื่อนทีป่ะ” ผมเกือบจะตัดใจแล้ว แต่ใครคนหนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นมา

จำได้ว่าเป็นคนที่ผมเห็นว่าคุยกับเขาบ่อยที่สุดในกลุ่มแล้วมั้ง

“อืม” ผมพยักหน้า ไม่รู้หรอกว่าเขารู้จักชื่อผมได้ยังไง

ผู้ชายคนเดิมมองหน้าผมแปลกๆ ก่อนจะหยิบกระดาษออกมาเขียนอะไรสักอย่างลงไปแล้วยื่นมาให้ผมที่รับมาอย่างงงๆ

“นี่ที่อยู่... ถ้ามึงลากคอมันกลับมาเรียนได้นะ กูไหว้เลย”

“ฮะ?”
   
เชี่ยแม่ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่วะ


**********


‘มันมีปัญหากับอาจารย์ แล้วหลังจากนั้นมันก็หายไปเลย’

‘…’

‘พวกกูก็เพิ่งตามหามันเจอ แต่ตื๊อยังไงก็ไม่กลับมาเรียน บอกว่าขี้เกียจ แม่ง เอาแต่ใจชิบหายเลย’

‘…’

‘พวกกูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ฝากมึงหน่อยแล้วกัน’


ฝากน่ะได้ แต่ไม่รับปากจริงๆ ว่ะว่าจะทำได้มั้ย

ยอมรับว่าผมโคตรงงเลยตอนได้ยินแบบนั้น ก่อนจะรู้สึกโกรธจนต้องยืมคำด่าของเพื่อนเขามาใช้

คนอะไร แม่งเอาแต่ใจชิบหายเลย

ผมถอนหายใจเสียงดังระบายความหงุดหงิดใจก่อนจะเดินเข้าไปในสถานที่ตามที่อยู่ที่ได้มา โรงหนังอินดี้เล็กๆ สภาพดูเก่าแต่ไม่ทรุดโทรมถูกตกแต่งในโทนสีอบอุ่นไม่ได้ทำให้ผมสนใจในสาระของมัน

สิ่งที่อยู่ในสายตามีเพียงพนักงานขายตั๋วหน้าตาดีที่ยืนบิดขี้เกียจหน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วที่ไม่มีลูกค้าสักคน ผมอาจเป็นคนแรกของวันก็ได้ที่เดินเข้าไปยืนตรงหน้าเขา

“...” ไม่มีเสียงต้อนรับ ไร้ประโยคสนทนา มีแค่ดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แต่แวบเดียวก็กลับมาฉายแวว
เกียจคร้านเหมือนเคย

ผมเองเพิ่งรู้ตัวตอนนี้แหละ ว่าแม่งคิดถึงใบหน้านี้ชิบหายเลย

“ทำไมไม่ไปเรียน” ผมยิงคำถามหลังจากสบตาเขานิ่งนาน

“...”

“ชาน” คราวนี้ผมไม่ปล่อยให้เจ้าแมวสันหลังยาวได้เงียบตามใจ เร่งเร้าเอาคำตอบจากริมฝีปากบาง “คนอื่นเขาเป็นห่วงนะ รู้ป่ะ”

“...”

“คุณชานครับ” ผมกวน

ได้ผล เมื่อเขาถอนหายใจ ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

“ดูหนังป่ะ”

คำพูดที่ทำเอาผมอยากจะฟาดคนเอาแต่ใจตรงหน้าสักที

แต่ก็ทนลูกดื้อของเขาไม่ไหวตามใจด้วยการเดินตามเขาเข้าโรงหนังมา ฉายเรื่องอะไรยังไม่รู้เลย

ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงกับการนั่งมองเสี้ยวหน้าของคนที่เอาแต่วางสายตาไปบนจอหนัง ไม่สนใจสักนิดว่าผมกำลังร้อนใจแค่ไหน จนสุดท้ายต้องเป็นคนเอ่ยถามขึ้นมา

“จะไม่กลับไปเรียนจริงๆ ใช่ป่ะ”

“...” เขาหันมา แต่ไม่ได้ตอบอะไรเหมือนเคย

อย่าเพิ่งขี้เกียจขยับกล้ามเนื้อที่ริมฝีปากตอนนี้สิครับ

“ทำไม” โชคดีที่ทั้งโรงมีกันอยู่แค่สองคนต่อให้ตะโกนคุยก็ไม่รบกวนใคร

“...”

“ได้ยินว่ามีปัญหากับอาจารย์”

“...” เขาหันมาขมวดคิ้วเหมือนจะถามว่ารู้ได้ยังไง ผมจึงถอนหายใจ

“เพื่อนบอกมา... ฝากมาตามด้วย”

“...” คราวนี้เขาเบือนหน้าหนีกลับไปจ้องที่จอหนังอีกครั้ง

“บอกได้มั้ยว่ามีปัญหาอะไร”

“ไม่มี” ตื๊ออยู่นานทีเดียวกว่าจะได้คำตอบออกมาสักที 

“แล้วทำไมหนีมา” ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ

ไม่มีปัญหาแต่หนีมาเป็นพนักงานขายตั๋วหนังเนี่ยนะ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่ะ

“ไม่ได้หนี” แต่คนตรงหน้าก็ยังคงดื้อตาใส
 
“ชาน” ผมเรียกชื่อเขา กึ่งจะขอร้องให้เขาอธิบายอะไรสักอย่างออกมา เพราะตอนนี้ผมไม่รู้เลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ดูเกียจคร้านตลอดเวลานี่กำลังคิดอะไร

“พูดมากว่ะ” เขาถอนหายใจ หันมาขมวดคิ้วใส่เหมือนรำคาญ

ผมไม่ได้ว่าอะไร แค่มองหน้าเขานิ่ง รออย่างใจเย็นแต่กดดันให้เขาอธิบาย มาถึงขั้นนี้แล้วผมไม่ยอมกลับไปมือเปล่าหรอก ต่อให้เขาออกปากไล่ก็ตาม

“ไม่ได้หนี” เอ่ยย้ำคำเดิม หลังจากถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง

“แล้วที่ทำอยู่นี่เรียกว่าอะไร” ผมดุอย่างอดไม่ได้จริงๆ

เขาหันกลับมาสบตา ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาสะท้อนแววว้าวุ้นนิดๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “หาแรงบันดาลใจ”

“เอาแต่ใจน่ะสิ” ผมด่าซ้ำอีกที

คราวนี้เขาหันมาขมวดคิ้วใส่กันอย่างไม่พอใจ จนผมต้องเป็นฝ่ายถอนหายใจใส่เขาบ้าง “รู้หรอกว่าไม่มีสิทธิ์อะไร แต่เป็นห่วงอ่ะ อย่าดื้อนักได้มั้ย”

“...” สีหน้าเขาดูไม่ประหลาดใจเลย ตอนที่ผมลั่นคำว่าเป็นห่วงออกมาทั้งที่เราก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรถึงขั้นจะมาเป็นห่วงกัน

อันที่จริงก็พอจะรู้แหละว่าคงระแคะระคายในสิ่งที่ผมไม่เคยพูด ได้แต่แสดงออกผ่านสายตามานาน

ความรู้สึกแท้จริงที่ผมมีต่อเขาเสมอมา

“กลับไปเรียนเหอะ คิดถึงว่ะ” พอเห็นว่าเขาไม่ว่าอะไร ผมเลยโยนหินลูกใหม่ออกไปถามทาง

คนตรงหน้าเลิกคิ้วมองมานิดๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ

“รู้แล้ว” ผมคลี่ยิ้มเมื่อได้ยินประโยคนั้น
   
ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเมื่อพบว่าเขาไม่ได้มีทีท่าว่าจะรังเกียจคำว่าคิดถึงของผม แสงจากจอหนังที่สว่างไม่มาก แต่ก็มากพอจะทำให้เห็นว่าใบหน้าใสติดจะเกียจคร้านนั่นขึ้นสีจัดขึ้นมา
   
แบบนี้แสดงว่ามีหวังใช่ป่ะ

“อาจารย์เขาพูดอะไร ถึงได้นอยด์ขนาดนี้” พอทุกอย่างทำท่าจะคลี่คลาย ผมเลยเอ่ยถามถึงสาเหตุขึ้นมา
คิ้วเข้มขมวดมุ่นอีกครั้งอย่างยุ่งยากใจ แล้วพูดอ้อมแอ้มเสียงเบา “ไล่ไปดร็อป”

ผมหัวเราะลั่น “แล้วก็จะไปดร็อปจริงๆ อ่ะนะ”

“ขี้เกียจพอดี”

ทำไมไม่แปลกใจเลยวะว่าจะได้ยินคำนี้

“ใจเสาะว่ะ” ผมด่าอย่างไม่จริงจังพลางยื่นมือออกไปขยี้หัวเขาด้วยความหมั่นไส้แรงๆ

แล้วก็ได้คำตอบเดี๋ยวนี้เองว่าผมหยักศกฟูๆ นี่นุ่มเหมือนขนแมวอย่างที่เคยจินตนาการไว้จริงๆ

“รู้ตัวป่ะว่าโดนจีบอยู่” ในที่สุดผมก็ถามออกมาตรงๆ หลังจากทิ้งระยะความเงียบไว้สักพักอย่างชั่งใจ

ไม่มีใครสนใจหนังรักที่ฉายอยู่แม้กระทั่งคนที่แกล้งทำเป็นตั้งใจดู แต่แววตาไม่ได้โฟกัสกับมันเลย

ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดออกไปเลยก็คงชัดเจนกว่าการหลอกแต๊ะอั๋งนั่งนวดมือให้เขาอาทิตย์ละสองครั้งล่ะวะ

“...” เขาไม่ตอบ สีหน้าเหมือนจะบอกว่าหมดโควตาอ้าปากพูดสำหรับวันนี้

แต่ผมตีความว่าเขารู้แล้วละกัน เลยเริ่มพูดขยายความ

“แอบชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่งอ่ะ ตอนที่เล่นเป็นเจ้าชายนิทรา”

ไม่ได้โกหกนะครับ ตอนประกวดเดือนมหาลัยเขาเล่นเป็นเจ้าชายนิทราจริงๆ ผมโคตรประทับใจตอนที่เขานอนนิ่งประกอบฉากเหมือนถูกสาปได้อย่างแนบเนียน

แถมตอนถูกปลุกขึ้นมาสีหน้าง่วงงุนดูงุ่นง่านก็ยิ่งน่ารักใจละลาย

ไม่ได้ตำแหน่งเดือนมหาลัยแต่ก็ได้รางวัลขวัญใจผมไปเต็มๆ

ตั้งแต่นั้นก็แอบมองแอบส่องเรื่อยมาถึงได้รู้ว่าไอ้หน้าง่วงๆ ผสมความเกียจคร้านนั่นไม่ใช่การแสดง แล้วไอ้ที่หลับเหมือนตายนั่นก็คงไม่ใช่การแสดงเหมือนกัน แล้วหน้าของจอมขี้เกียจก็เป็นเหมือนกับดัก ที่ทำให้ผมยิ่งอยากรู้จัก อยากค้นหาว่าคุณชานจอมติสท์เป็นอย่างที่เขาว่ากันจริงหรือเปล่า

แต่พอได้มารู้จักก็ยังไม่แน่ใจ

บอกแล้วไงว่าติสท์หรือเปล่าไม่รู้... รู้แต่น่ารัก

“ชอบจริงๆ นะ”

“...”
   
“จีบได้ใช่ป่ะ?”
   
“...” เขายังคงนิ่ง ทำสีหน้าเหมือนขี้เกียจตอบคำถามผมเสียเต็มประดา
   
แต่วินาทีต่อมาเขาก็ทำให้ผมหัวเราะออกมาด้วยการหลับตาพลางเอียงตัวเข้ามาหา ซบหน้าลงบนไหล่แล้วถูไปมาเหมือนหาองศาในการทิ้งร่างให้พอดี
   
“อืม” ก่อนจะส่งเสียงครางตอบเบาๆ   

อืม... เป็นวิธีอนุญาตที่เหมาะกับเจ้าแมวสันหลังยาวอย่างเขาดี

**********

   
“เชี่ยชาน เพื่อนไปตามทำเป็นเล่นตัว พอผู้ชายไปหาแป๊บเดียวระริกระรี้ตามเขากลับมาเชียวนะมึง”
   
“แร้ดแรด เพื่อนกู”
   
“ขอให้อาจารย์ไล่มึงไปดร็อปอีกที”
   
“...”   

ผมมองคนข้างตัวอย่างขบขันเมื่อเห็นว่าเขาเมินเฉยต่อคำแซวของเพื่อนทั้งกลุ่มอย่างสิ้นเชิง ฟุบหน้าลงกับโต๊ะญี่ปุ่นที่ใช้ตัดโมเดลด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายพลางทิ้งมือลงมาบนตักให้ผมนวดเหมือนเคย
   
“คิดค่านวดนะ” พูดทีเล่นทีจริงแต่ก็ชิงเอากำไรด้วยการจรดเริมฝีปากลงไปบนมือบางเบาๆ จนถูกมองแรงใส่แต่ก็ไม่สนใจ ใช้มือทั้งสองข้างนวดฝ่ามือให้เขาต่อไป

วันนี้เป็นวันเสาร์ ผมว่างจัดเลยตามเขามาทำงานที่คณะ รับผิดชอบที่เป็นคนลากเขากลับมาด้วยการเป็นลูกมือตัดโมเดลให้จนกว่าจะจบโปรเจ็กต์ด้วยความยิ่งกว่าเต็มใจ

แต่ก่อนหน้านั้นขอฟ้องอะไรหน่อยเหอะ…

ผมเพิ่งรู้ตอนถูกลากมาช่วยงานด้วยนี่เองว่าที่จริงตอนที่เขาขาดไปมันเป็นช่วงที่อาจารย์ประจำกลุ่มไปธุระต่างประเทศพอดี วิชาที่เหลือก็ไม่ได้หนักหนาอะไร ส่วนใหญ่เป็นวิชาที่สั่งงานชิ้นใหญ่ๆ ทิ้งไว้แล้วให้ส่งปลายเทอม ส่วนวิชานอกตัวที่เราเรียนด้วยกันก็ไม่มีเช็คชื่อแถมเป็นวิชาที่ถ้าอ่านชีทก็สอบได้โดยไม่ต้องเข้าเรียน เพราะงั้นเจ้าตัวถึงได้หนีไปหาแรงบันดาลใจทำโปรเจ็กต์ต่อได้อย่างสบายใจแบบนั้น
   
โดนเจ้าแมวขี้เกียจต้มซะเปื่อยเลยเป็นไง
   
แต่จะเรียกว่าต้มก็ไม่ถูกหรอก เพราะถึงจะขาดเรียนได้แต่เพื่อนของเขาบอกว่าหมอนี่เคยหายไปหาแรงบันดาลใจจนเกือบจะต้องดร็อปมาแล้วทุกคนก็เลยระแวง กลัวว่าคราวนี้จะไม่กลับมาจริงๆ ถึงได้ให้ผมไปช่วยตาม
   
ตัวแสบนี่ ขยันทำให้ชาวบ้านเขาเป็นห่วงชะมัด
   
แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่มีโอกาสได้เอ่ยความในใจ ดีไม่ดี อาจต้องนวดมือให้เขาไปจนหมดเทอมเลยก็ได้กว่าจะรวบรวมความกล้าพูดออกมา
   
“ทำไมเพื่อนถึงรู้จัก” ผมถาม เอะใจมาตั้งแต่ตอนที่เพื่อนเขารู้จักชื่อผมแล้ว แต่ไม่ได้ถามสักที
   
คนที่ฟุบหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมามองนิ่งๆ พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ ขยับปากพึมพำเหมือนขี้เกียจจะอธิบาย
   
“เคยบอก”
   
“หือ?”

บอกอะไร?
   
ผมเลิกคิ้วมองใบหน้าแสนเกียจคร้านตรงหน้า ก่อนจะผงะไปนิดหน่อยเมื่อเขาดึงมือที่ผมกำลังนวดอยู่ออกไป เพื่อยกขึ้นมาจิ้มจมูกกันเบาๆ
   
คราวนี้เขาขยับปากมุมปากนิดๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะเบากว่าเดิม แต่ไม่ยากเกินจะได้ยิน
   
“คนนี้... สเปคเลย”
   
“...”
   
ที่เคยได้ยินมาว่าที่แท้แมวเป็นฝ่ายเลือกเจ้าของตัวเองนี่ ท่าจะจริง


--------------------------------------------------------------------------

เรื่องสั้นมึนๆ ที่อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ช่วงที่ง่วงๆ ค่ะ 5555
เขียนไปงงไป ไม่รู้ว่าคนอ่านจะงงมั้ย
ยังไงก็ฝากด้วนะคะ
 :katai5:

-- Timeless_O --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2017 04:59:38 โดย Timeless_O »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ไม่งงค่าไรต์ น่ารักมากมาย ชอบจังอยากอ่านต่ออีก ขอตอนพิเศษได้ป่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ชานในมุมมองของนทีนี่ช่างน่ารักเสียจริงเชียว มันเขี้ยว

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ชานน่าร๊ากกกกกกกกก

 :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4
น่ารักมากกกกกกกกกกกกก   :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Raccoooon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +185/-2
น่าร้ากกกกก

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 o13 Good Job. ขอตอนพิเศษ.  :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Minoru88

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
น่ารักมากก
ให้บรรยากาศฟิวกู๊ดสุดๆ
ชอบคาเรกเตอรพระนางแบบนี้
ชอบมากกกก
มีสเปนะคะ

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ตอนพิเศษ

   
ความยากของการจีบคุณแมวสันหลังยาวก็คงเป็นเรื่องการสื่อสาร
   
เวลาอยู่ด้วยกันผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาพฤติกรรมของเขาจนแทบจะเขียนเป็นตำราได้
   
ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เข้าใจยากอะไร เป็นภาษากายทั่วไปที่เป็นสากล อย่างผงกหัวหรือส่ายหน้า แต่มันจะยากก็ไอ้ตอนที่เขาขี้เกียจขยับและเลือกจะถ่ายทอดอารมณ์ผ่านสายตาแทนนี่แหละ บางทีก็เล่นเอาสับสนไปเหมือนกันว่าเขาต้องการจะสื่อสารอะไร
   
“ดูเรื่องไหนดี” ผมหันไปถามคนที่ยืนอมหลอดน้ำอัดลมอยู่ข้างกัน เห็นอมไว้เฉยๆ มาสักพักละคงกะว่าถ้าหิวน้ำก็จะได้ดูดขึ้นมาง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลายกแขนขึ้นลง
   
ตอนนี้พวกเรายืนอยู่ในโรงหนังอินดี้เก่าๆ โรงเดิม เพิ่มเติมคือเขาไม่ต้องยืนขายตั๋วแล้ว
   
ทั้งโปรแกรมมีหนังให้เลือกอยู่สองเรื่อง บอกตามตรง... ไม่รู้จักทั้งสองเรื่องเลยครับ
   
“...” ไม่ได้ยินเสียงตอบรับเหมือนเคย
   
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลอมเทายังคงจ้องโปรแกรมนิ่งด้วยสีหน้าเกียจคร้านเหมือนเคย ก่อนจะหันหน้ากลับมาสบตาผมเป็นเชิงโบ้ยให้ผมเลือกแทน
   
ชิบหาย เวลาแห่งการทายใจมาถึงอีกแล้ว
   
“เรื่องนี้โปสเตอร์สวยดี” ผมชี้ไปที่หนังเรื่องแรกแล้วหันกลับมาสบตาอีกคน
   
“...” นิ่ง
   
“ส่วนเรื่องนี้... นางเอกน่ารัก”
   
“...” นิ่งกว่าเดิม
   
“โห่ ยากอ่ะ อยากดูเรื่องไหน  ใบ้หน่อยดิ” ผมย่นหน้าหันไปขอความเห็นใจ
   
ซู้ด~
   
แต่เขากลับดูดน้ำสบายใจไม่ยอมตอบอะไรกลับมา
   
ตัวแสบเอ๊ย
   
“ใจร้ายว่ะ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ยื่นมือออกไปขยี้ผมหยักศกเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาพิจารณาโปรแกรมหนังตรงหน้าอย่างชั่งใจ 

“อืม...”
   
แกล้งทำเป็นคิดไปงั้นอ่ะ ความจริงรู้แล้วล่ะว่าเขาอยากดูเรื่องอะไร
   
“...” ไต๋ก็คือถ้าเห็นว่าผมเผลอเมื่อไหร่ ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาคู่นั้นจะจ้องไปที่โปสเตอร์หนังที่อยากดูเหมือนอดใจไม่ไหว ทุกครั้งที่เขาให้ผมทายใจก็เลยแอบโกงข้อสอบเหลือบมองคนข้างๆ ทุกครั้ง ไม่ให้เขารู้ตัว
   
“เอาเรื่องนี้” ชี้ไปที่โปสเตอร์เรื่องแรก พยายามไม่ยิ้มออกนอกหน้าเมื่อเห็นว่าเขาเบิกตากว้างนิดๆ อย่างประหลาดใจ
   
“ดีป่ะ” ผมแกล้งถาม มองหน้าเขาที่กระพริบตาถี่สบตากัน

“...” จนกระทั่งเห็นมุมปากบางยกขึ้นประมาณหนึ่งมิล ดวงตาเหมือนจะมีประกายวิ้งๆ ออกมา
   
นั่นแหละ แปลว่าเลือกได้ดี

   
ผมไม่ใช่คอหนัง ปกติไม่ค่อยได้ดูหนังเท่าไหร่ หนังที่ดูส่วนใหญ่ก็เป็นหนังตลาดทั่วไปที่ถูกเพื่อนในกลุ่มลากให้ไปดูแบบมัดมือชก ตรงกันข้ามสิ้นเชิงกับคนข้างตัว ชานดูท่าจะชอบดูหนังมาก เรียกได้ว่าต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ต้องหาเวลาว่างมาอาทิตย์ละครั้ง ต้องมาดูที่นี่เท่านั้นด้วย ถ้าไปโรงใหญ่ๆ ในห้างนี่อย่าหวังจะได้เจอเขาเลย
   
ชานชอบดูหนังอินดี้ ยิ่งหนังต่างชาติพล็อตเรื่องแปลกๆ ยิ่งชอบ ไม่จำกัดแนวแอคชั่น ตลก ดราม่า ดูได้หมด แต่ไม่ใช่คนช่างวิจารณ์ ผมเคยลองถามว่าชอบไหมเขาก็พยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้อธิบายอะไร
   
แต่ถ้าชอบมากดวงตาของเขาจะเป็นประกายระยิบระยับเหมือนลูกแมวที่เจออาหารแสนโปรดปราน
   
ส่วนผมยิ่งแล้วใหญ่ แค่มาถามว่าผมไปดูหนังเรื่องอะไร ก็อาจจะให้คำตอบไม่ได้ด้วยซ้ำ
บอกแล้วว่าไม่ใช่คอหนัง ไม่ได้ชอบดูหนัง... แค่ชอบดูคนข้างๆเวลาดูหนังก็เท่านั้น
   
ได้เห็นดวงตาเกียจคร้านที่จ้องไปยังหน้าจออย่างตั้งใจ ลุ้นว่าคราวนี้เขาจะแสดงสีหน้าแบบไหนตามอารมณ์ของหนังที่ถูกส่งมา แค่นั้นก็คุ้มค่ากับเวลากว่าสองชั่วโมง

“เฮ้ย ชอบเรื่องนี้อ่ะ” แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกอินตามบทหนังจนแทบไม่ละสายตาจากจอเลยตลอดการดู “...”

“ตอนสุดท้ายโคตรพีค โคตรดี คิดได้ไงวะ ผู้กำกับนี่เทพชัดๆ เลย” ผมฝอยรัวๆ ด้วยความตื่นเต้น ไม่ทันสังเกตว่า
คนที่เดินออกจากโรงมาพร้อมกันกำลังทำสีหน้ายังไง
   
“เชี่ย สุดยอดว่ะ” อุทานคำเดิมซ้ำไปซ้ำมาอย่างไม่หายอิน ก่อนจะหันไปถามอีกคนอย่างขออนุญาต
   
“คราวหน้าดูซ้ำเรื่องเดิมได้ป่ะ อยากดูอีกอ่ะ” แค่นึกถึงตอนจบแบบที่ชาตินี้ไม่คิดว่าจะได้เห็น หัวใจมันก็เต้นตุบตับเหมือนกับจะหลุดมานอกอกแล้ว
   
“หึ...”
   
แต่มาหยุดเต้นกะทันหันเอาตอนนี้แหละ
   
“เชี่ย...”
   
แปะ!
   
ถึงกับต้องยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองเพราะกลัวว่าจะฝันไป...

ในหัวขุดสมุดบันทึกพฤติกรรมคนตรงหน้าด้วยความตกใจ ก่อนจะพบว่าเสียงหัวเราะเบาๆ นั่นคือของใหม่ แถมยังไม่เคยเห็นคุณเขายิ้มกว้างขนาดนี้มาก่อนเลย

หัวใจกลับมาเต้นตุบตบอีกครั้ง... แรงกว่าตอนดูหนังอย่างน่าตกใจ

แค่มุมปากขยับมากกว่าหนึ่งมิลยังทำให้หัวใจผมทำงานหนักขนาดนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนที่เขาขยับเข้ามาใกล้ เอียงหน้าเข้ามาหากันพร้อมกับกระซิบประโยคที่ยาวที่สุดของวันด้วยแววตาแพรวพราวแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผลมันจะเป็นยังไง

“เจอเรื่องโปรดเหมือนกันสักทีเนอะ”

“...”
   
โห... ตายดิ... ช็อตนี้กูตาย...


**********
      
   
ผมไม่เคยคิดเลยว่าติดต่อสื่อสารผ่านออนไลน์มันจะเป็นเรื่องยาก จนกระทั่งได้มาเจอกับเขา
   
เจ้าแมวสันหลังยาวที่แม้แต่อยู่ต่อหน้าก็ยังขี้เกียจขยับปากพูด นับประสาอะไรกับเวลาอยู่ห่างกัน
หลังจากงมโข่งใช้ความพยายามในการโทรหาเพื่อฟังเสียงถอนใจ จนเปลี่ยนมาส่งข้อความผ่านไลน์เพื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอ่านแล้วไม่ตอบอยู่พักใหญ่ ก็พบช่องทางสื่อสารใหม่ที่น่าจะเหมาะกับเขามากที่สุด
   
วิดีโอคอล
   
เพราะคิดว่าแค่เริ่มคุยๆ กันวิดีโอคอลมันดูจะข้ามขั้นเกินไป ก็เลยไม่กล้าจะขอเท่าไหร่ แต่แม่ง ไม่ไหวจริงๆ ว่ะ ไม่เห็นหน้านี่ไม่รู้เลยว่าฝ่ายนั้นกำลังรู้สึกอะไร อึดอัดจนอยากจะวิ่งไปหาให้รู้แล้วรู้รอดเลย
   
“ไอ้ที ยืมดูเลคเชอร์บทสุดท้ายมึงหน่อยดิ” เสียงเปิดประตูพร้อมกับเสียงของเพื่อนรักที่เดินเข้ามาในห้องนอนทำให้ผมละสายตาจากชีทสรุปบทเรียนพยักหน้าไปทางกองชีทบนเตียงที่เพิ่งอ่านจบไป
   
“นี่มึงดูสารคดีหมีแพนด้าอยู่เหรอ”
   
“ชู่ว!” ผมหันไปจุปากใส่ไอ้เพื่อนตัวดีที่พอได้ชีทแล้วก็ยังไม่ออกไป แถมเสือกชะโงกหน้ามามองหน้าจอโน้ตบุ๊คผมที่เปิดเฟซไทม์ทิ้งไว้
   
อย่างที่มันว่า สิ่งที่อยู่ในหน้าจอของผมตอนนี้ไม่ต่างจากสารคดีตามติดชีวิตหลินปิงเลย แค่เปลี่ยนจากหมีแพนด้ามาเป็นแมวสันหลังยาวที่นั่งฟุบหลับอยู่บนโต๊ะให้ผมมองเพลินๆ
   
เพราะตอนนี้เป็นช่วงสอบต่างฝ่ายต่างยุ่งๆ เลยทำให้เรายังไม่ว่างเจอกัน หลายวันที่ผ่านมาก็ได้แต่เฟซไทม์หากันระหว่างอ่านหนังสือไปพลาง
   
ยิ่งเห็นแบบนี้ก็ยิ่งคิดถึง อยากเจอ อยากจะลูบผมนุ่มๆ ฟูๆ นั่นใจจะขาด ถึงจะเคยสัมผัสมาแบบนับครั้งได้ก็เถอะ
   
“เอาจริงๆ เขาแค่คุยกับมึงเล่นๆ ป่ะวะ” เพ้อได้ไม่นานไอ้เพื่อนเวรก็กระชากสติผมกลับมาด้วยปากหมาๆ ของมัน
   
“เชี่ยไรมึง”
   
“คุยกันทีไรก็เห็นมึงพูดคนเดียวทุกที ไม่เห็นเขาจะตอบอะไรมึงเท่าไหร่ เหมือนฟังผ่านๆ แถมทำหน้าเหมือนรำคาญมึงตลอดอ่ะ”
   
ก็จริง...
   
เฮ้ย! ไม่ใช่ เขาไม่ได้รำคาญโว้ย แค่หน้าเขาเป็นงั้น ที่สำคัญ ทุกครั้งที่ผมพูดอะไรเขาจะเบิกตาขึ้นนิดหน่อยกระพริบตาสม่ำเสมอบ่งบอกว่ากำลังตั้งใจฟังด้วย
   
“มึงไม่รู้อะไร อย่ามาพูดว่ะ” ผมหยิบยางลบปาใส่หัวมัน แต่ไอ้เพื่อนตัวดีกลับยักไหล่ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านอะไร
   
“มึงว่ามึงจีบติดยัง” ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ทำเอาผมสะอึกไปอีกที
   
ไอ้ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แม่งวัดไม่ได้เลยว่าจีบติดหรือยัง ไปรับไปส่ง ไปช่วยงาน ชวนกินข้าวดูหนังอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เต๊าะนิดเต๊าะหน่อยไปตามประสา แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะจริงจังอะไรขึ้นมา อย่างที่รู้ว่าเขาเป็นคนประหยัดถ้อยประหยัดคำ ก็เลยไม่พูดพล่ามความรู้สึกออกมาเหมือนที่ผมทำ
   
“ไม่รู้ว่ะ” เกิดความห่อเหี่ยวขึ้นมาในใจทันทีเมื่อคิดได้แบบนั้น
   
แต่เอาจริงๆ ทุกวันนี้ก็ดีมากแล้วนะ สำหรับไอ้คนที่ได้แต่อาศัยส่องเขาจากไอจีชาวบ้านอย่างผม
   
“ที...”
   
“ครับๆ?” ผมได้สติหันกลับมาตอบอย่างตกใจ เผลอคิดว่าตัวเองทำเสียงดังจนอีกฝ่ายตื่นขึ้นมา
แต่เจ้าของดวงตาคู่สวยที่หลับอยู่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะลืมขึ้นมา มีแต่ริมฝีปากบางที่เผยอขึ้นมา เรียกชื่อผมเบาๆ อีกครั้ง
   
“ที...”
   
อ้าว ละเมอ
   
แต่เหมือนได้ยินแว่วๆ ว่ามีบางคำก่อนหน้านั้นจึงส่งสายตาให้ไอ้เพื่อนเวรเงียบ แล้วตั้งใจฟังอ่านปากที่เริ่มขยับอีกครั้ง ถึงได้รู้ว่าความจริงแล้วคำที่เขาเอ่ยมันมีสองพยางค์
   
“ชอบที...”
   
เป็นสองพยางค์ที่ทำเอาผมอ้าปากค้างหัวใจเต้นแรงขึ้นมาไม่ทันตั้งตัว
   
“โห... ละเมอได้ถูกเวลาชิบหาย ฟินไปเลยดิมึง”

เออ ฟินไปดิ... 

“อี๋ รำคาญความอมยิ้มหน้าแดง”
   
ผมหัวเราะ แล้วยักไหล่พยายามทำตัวปกติปกปิดความเขินเอาไว้สุดพลัง

ชอบทีนี่หมายถึงผมใช่มั้ย ไม่ใช่ชอบกินกรีนทีอะไรงี้ใช่ป่ะวะ
   
“ทีนี้ก็ขอเป็นแฟนได้แล้วมั้ง เส้นชัยมารออยู่ตรงหน้ามึงซะขนาดนี้”
   
“เออ” ไม่เถียง เพราะเห็นด้วยกับแม่งทุกประการ ถึงขั้นเริ่มวางแผนในหัวแล้วว่าเจอกันคราวหน้าจะพูดอะไร
   
“ได้ทีมั่นหน้าใหญ่เลยเพื่อนกู”
   
“แล้วจะทำไม ไปไหนก็ไปเลยมึงอ่ะ เสือกอยู่นั่น” ผมขมุบขมิบปากไล่ หันไปเตะส่งไอ้เพื่อนเวรที่หัวเราะชอบใจก่อนจะยอมไสหัวออกจากห้องผมไปโดยไม่วายส่งเสียงแซว
   
พอเห็นว่าปลอดคนแล้ว ผมก็หันกลับมามองใบหน้ายามหลับของตัวแสบที่แกล้งทำให้หัวใจเต้นแรงเมื่อครู่ด้วยรอยยิ้มกว้าง ยกนิ้วขึ้นมาเกลี่ยผมหยักศกบนหน้าจอทั้งที่รู้ว่าสัมผัสไม่ได้ ก่อนจะกระซิบตอบออกไปเบาๆ   

“ชอบชานเหมือนกันครับ”
   
“...” 

“ชอบมากด้วย”
   
“...” 

ไม่รู้ว่าละเมออีกหรือเปล่า แต่ผมว่าผมเห็นมุมปากของเจ้าแมวสันหลังยาวยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้มบางๆ เหมือนกำลังพอใจ



----------------------------------------------------------------
เรื่องนี้มันอึนๆ จนตอนพิเศษเลยเนอะ 5555
ขอบคุณทุกคอมเมนต์มากเลยค่ะ ดีใจที่มีคนเข้ามาอ่านขนาดนี้
ฝากเอ็นดูคุณชานกับนทีเยอะๆ นะคะ
ขอบคุณค่า

 :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-03-2017 22:05:02 โดย Timeless_O »

ออฟไลน์ drasil

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1690
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-1
น่ารักดีค่ะ อ่านไปยิ้มไป

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
นทีช่างเป็นคนรักที่น่ารัก...

ออฟไลน์ LadyYuly

  • สวัสดีค่าา เลดี้ยูลี่นะคะ LadyYuly เรียกยูก็ได้จ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
    • www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44045.0
เฮ้ยยย น่ารักมากกก ฮือออ ขอตอนพิเศษอีกได้มั้ยแง อยากอ่านน. ปกติเราเขียนอย่างเดียว ไม่ค่อยได้อ่าน นานๆจะเจอเรื่องถูกใจแบบนี้ โอยย ชอบมากกกกกก

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น่ารักๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เอาอี๊ก..กกกกก อ่านเพลินเกินห้ามใจ นทีแลเอ็นดูชานสุดติ่ง  :mew1:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ชานเนียนหลับแล้วบอกชอบทีใช่ม๊ะ

 :-[ :-[

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ส่งท้าย ( by คุณสันหลังยาว )

   
คนอะไรจีบไม่เนียน
   
“มึงงง ไลค์แรกมาอีกแล้วค่ะ”
   
หรืออาจจะเนียน แต่คนแถวนี้มันจมูกดีเกินไป
   
ขี้เสือกไง เพื่อนใคร
   
“เขาไลค์แต่รูปมึงจริงนะ คิ้วท์บอยคนอื่นแม่งไม่เห็นจะสนใจเลย”
   
“...”
   
“เนี่ย อุตส่าห์ฟินว่าเขามาฟอลอินสตราแกรมกู ก็ดันไลค์แต่รูปมึง แบบนี้ไม่ให้จิ้นได้ไง”
   
“...”
   
“อีคุณชานนน~ มึงหันมาตื่นเต้นกับกูก่อนนน” แขนข้างหนึ่งถูกเขย่าจากผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าสาววาย เชียร์ให้ผมได้กับผู้ชายคนหนึ่ง
   
นที...นิติ
   
“...” หันไปมองอย่างรำคาญ ไม่รู้ว่าต้องตื่นเต้นอะไร
   
รู้แล้วไง ได้ยินมาหลายรอบแล้ว

“กูว่าเขาชอบมึงชัวร์ ถึงขั้นต้องมาส่องมึงในไอจีกูเนี่ย” หลังจากสังเกตการณ์มาเป็นปีๆ ก็เริ่มสันนิษฐานเอาเองเป็นตุเป็นตะ

“กูไปเช็คกับอีพวกผู้ชายแล้วเขาก็ไลค์รูปมึงในไอจีพวกมันเหมือนกัน ดูท่าจะเครซี่มึงสัสๆ”

“...”

“ไม่เชื่อมึงลองตั้งไอจีดิ กูว่าเขาเป็นคนแรกที่ฟอลมึงชัวร์!”

อะไรจะมั่นใจขนาดนั้น

“มา เดี๋ยวกูสมัครแอคให้เลย”

“ไม่เอา” ปฏิเสธเร็วเท่าความคิด

“ทำไมมม ใครๆ เขาก็มี มึงเชื่อกูดิ สมัครเลยเพื่อความแน่ใจ”

“ไม่เอา”

“คุณชานนน แค่นี้ทำให้เพื่อนไม่ได้เหรอ เพื่อนอุตส่าห์ลงเรือผีลำนี้แล้วนะ ติดเครื่องยนต์ให้เพื่อนหน่อยยยย”

“...” ไม่เข้าใจ แต่ยังไงก็ไม่เอา

“ไอ้ชาน! เตะบอล” ตรงนี้ยังไม่ทันเคลียร์ เสียงตะโกนเรียกจากคนกลุ่มใหญ่ก็ดังมาจากหน้าสตู

อยากนอน...

“มึงไม่ต้องมางอแงเลย วันนี้คนไม่ครบเหี้ยๆ ยังไงมึงก็ต้องไป ลุกเร็ว กูต้องไปตามรุ่นน้องอีก”

“วันนี้เตะกับใคร” เพื่อนผู้หญิงข้างกายหันไปตะโกนถาม

“นิติ”

“เฮ้ย! งั้นก็เจอนทีอ่ะดิ” ว่าแล้วก็หันกลับมาทำตุกวาวใส่ “นี่ไง มึงก็ถือโอกาสนี้ลองถามเขาดิว่าได้ตามส่องมึงอยู่หรือเปล่า”

“...” ใครจะไปกล้าถาม

“ไม่เชื่อกูดีนัก ถ้าเขาจีบมึงขึ้นมาจริงๆ นี่จะสกรีมให้หูบอดไปเลย” ว่าจบก็กระเง้ากระงอดบึนปากเดินจากไป

ก็ไม่ได้ไม่เชื่อไง...

แค่ไม่อยากให้ความหวังตัวเอง

   
นทีนิตินี่เจอกันตอนประกวดเดือนมหาลัยตอนปีหนึ่ง...
   
เปล่า ไม่ได้ประกวดเหมือนกัน แต่เห็นวิ่งวุ่นอยู่หลังเวที
   
“ไอ้ที! ทางนี้” เสียงโวยวายทำให้ผมที่กำลังงีบอยู่รู้สึกตัวขึ้นมา มองผ่านรุ่นพี่ที่นั่งรายล้อมตัวเอกออกไปก็เห็นว่าเป็นเดือนคณะหนึ่งกับใครอีกคนที่ตัวสูงกว่า หน้าตาดีไม่แพ้กัน
   
“อันนี้ของที่มึงสั่ง กูขับรถวนหาตั้งนาน ไม่รู้ใช้ได้มั้ยมึงลองเอาไปดู” โยนอะไรบางอย่างให้คนที่มีสายสะพายเขียนไว้ว่าเป็นเดือน
   
“ได้ๆ ขอบใจมาก ไม่มีมึงนี่แย่เลย”
   
“ไม่เป็นไร เออ แล้วพี่หาคนตีกลองแทนได้ยัง”
   
“ยัง พี่ๆ เขากลุ้มกันอยู่เนี่ยไอ้สัส! รอบโชว์ความสามารถกูต้องตาย”
   
“เฮ้ย ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูลองถามคนอื่นให้ รอแป๊บนึง” หยิบโทรศัพท์พลางหลบฉากออกมาคุยอย่างใจเย็น
   
“...” พอเห็นหน้าชัดๆ แล้วก็ได้แต่ข้องใจ ว่าทำไมไม่ได้เป็นเดือนคณะ
   
...สนใจเป็นเดือนถาปัตย์ฯ มั้ย? ยกให้เลย
   
“มึงๆ ได้แล้ว เดี๋ยวมันมา มึงไปบอกพี่ๆ เขาเลย” หันกลับมาพร้อมข่าวดี
   
กับรอยยิ้มที่... เห็นแล้วสบายใจ
   
“เชี่ยที ขอบใจว่ะ”
   
“เออ ไม่เป็นไร มีไรให้ช่วยอีกมั้ย” ถามยังไม่ทันขาดคำ คนกลุ่มใหม่ก็โผล่เข้ามา
   
“ไอ้ที! มาช่วยพวกกูยกพร็อพเร็ว หนักชิบหาย!”
   
“เออๆ” ไม่มีท่าทีอิดออดเลยตอนที่หันไปตอบตกลง
   
ไม่รู้ทำไมปากมันถึงอมยิ้มมองแผ่นหลังโชกเหงื่อที่วิ่งไปวิ่งมาอยู่หลายรอบ เสียงตะโกนขอความช่วยเหลือจากทุกสารทิศไม่เคยได้รับคำปฏิเสธเลยสักครั้งจนนึกในใจ

“ไอ้ที! ช่วยตรงนี้หน่อย” 

“เออๆ”
   
นี่มัน... ทาสผู้ภักดี
   
“พวกมึง กูตื่นเต้นว่ะ” เสียงงอแงดังจากคนที่ต้องเตรียมตัวขึ้นเวทีก่อนหน้าดังขึ้นมาเรียกเสียงโห่แซวปนซ้ำเติมให้ตื่นเต้นไปกันใหญ่ ผิดก็แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังขึ้นมาตอนท้าย
   
“ตื่นเต้นทำเชี่ยไร” กับเสียงทุ้มที่ทำให้คนได้ยินรู้สึกสบายใจ

“มึงทำได้อยู่แล้ว”
   
“...”
   
อิจฉาว่ะ... เพื่อนดีแบบนี้ รักตายเลย

**********

   
แล้วก็ต้องโดนเพื่อนสกรีมใส่หูเข้าจริงๆ

สิ่งที่ระแคะระคายมานาน ถูกไขกระจ่างจนได้ด้วยประโยคคำถามง่ายๆ แต่ตรงไปตรงมา

   
‘ชอบจริงๆ นะ’
   
‘จีบได้ใช่ป่ะ’

   
นี่ก็หลายเดือนแล้วตั้งแต่อนุญาตไปวันนั้น... แต่ยังขยันทำตัวน่ารักให้ใจสั่นเล่นเสมอต้นเสมอปลาย
   
“วันนี้เลี้ยงนะ”

“...” เงยหน้ามองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม ส่งสายตาไม่พอใจ
   
“ฉลองสอบเสร็จไง ทำได้ทุกตัวด้วย เพราะมีคนให้กำลังใจตอนอ่านหนังสือเลยนะเนี่ย” แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มกว้าง ไม่ยอมรับการปฏิเสธ
   
“...” ปกติไม่ชอบให้เลี้ยง ไม่อยากรบกวน
   
“น่า นะ นานๆ ที” 
   
“อือ” แต่เล่นอ้อนอย่างนี้แล้วจะให้ปฏิเสธยังไง    

“ขอบคุณครับ” พอเห็นยิ้มกว้างแบบนั้นก็นึกหมั่นไส้ขึ้นมา
   
ขอบคุณอะไร ตัวเองเป็นคนจ่ายตังค์
   
เสียงทุ้มหันไปสั่งอาหารกับพนักงาน ไม่ลืมสั่งของโปรดให้กันอย่างรู้ทัน ก่อนจะหันกลับมา

“เออ ชาน...” ทำสีหน้าแปลกๆ จนต้องเลิกคิ้วถาม “ที่ได้ยินตอนเฟซไทม์กันวันนั้น...”
   
“?”
   
“ไม่มีอะไร” แต่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นยิ้ม ไม่พูดอะไร
   
“...” รู้สึกข้องใจ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
   
โกหกอ่ะ เห็นชัดๆ ว่ามีอะไร

   
นานมากแล้วที่ไม่ได้เจอคนที่รู้ใจโดยไม่ต้องพูดอะไร ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนที่คบกันมานาน
   
โดยเฉพาะกับเรื่องหนัง บางทีเพื่อนที่สนิทกันยังเดาใจไม่ได้เลย

“โห คราวนี้หนังเยอรมันหมดเลยอ่ะ” อันที่จริงก็ไม่ได้เรื่องมากอะไร ดูเรื่องอะไรก็ได้ ยังไงก็ตามเก็บจนครบอยู่แล้ว

“...”

แต่วันนี้อยากดูเรื่องนี้อ่ะ...

“อยากดูเรื่องไหน” คำถามเดิมดังขึ้นอีกครั้งแต่ไม่เคยให้คำตอบ

ไม่ได้แกล้ง แค่อยากรู้... ว่าจะชอบเหมือนกันมั้ย

“หึ... เรื่องนี้ละกัน” หันไปมองคนที่ยิ้มขบขันอย่างประหลาดใจ

โห อย่างกับมานั่งอยู่ในใจกันเลย

“เลือกเก่งอ่ะดิ” ได้ทีทำเป็นยิ้มกว้าง แถมยังเอามือมาวางบนหัวกันแล้วขยี้เบาๆ

อุตส่าห์มัดผมมา ยุ่งหมดพอดี

“ชาน...” เสียงทุ้มเรียกขึ้นมาหลังจากหนังจบ แต่ยังนั่งแช่อย่างขี้เกียจลุก รอให้เครดิตจบเหมือนทุกที

“...” ไม่ได้ตอบ แต่อีกฝ่ายคงรู้ว่ารอฟังอยู่เหมือนทุกครั้ง

“...” แต่คราวนี้กลับไม่ยอมพูดอะไรออกมา จนต้องหันกลับไปมองถึงสังเกตว่าแววตานั้นกำลังฉายแววประหลาด
ดูจริงจังกว่าปกติอย่างน่าตกใจ

“เฮ้อ...” แต่สุดท้ายก็ไม่ยอมพูดอะไร แล้วเอื้อมมือมาจับหัวผมโยกเหมือนหมั่นไส้กัน
   
ทำไมไม่พูดอ่ะ ลุ้นเก้อเลย

   
เพิ่งสังเกตว่าวันนี้เขาแปลกไปจริงๆ
   
ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ยอมพูดมาหลายทีแล้ว... อึดอัดแทน
   
“ชาน...” คราวนี้ก็เหมือนกัน
   
ถ้าไม่พูดอีกจะไม่ฟังแล้วนะ
   
“...” มือที่กำลังจะเปิดประตูรถลงไปหยุดชะงัก แล้วกลับมานั่งมองคนที่ขับมาส่งอีกครั้งอย่างตั้งใจ
   
เห็นสีหน้าเหมือนกำลังว้าวุ่นใจก็ได้แต่ขมวดคิ้วสงสัย
   
“ปกติไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรซ์ใช่ป่ะ?”
   
“...” ไม่เข้าใจ
   
“อย่างแบบซ่อนแหวนในอาหาร หรือมีคำขอแต่งงานหลังเครดิตหนังอะไรงี้”
   
“...”
   
“เวอร์ไปเนอะ”
   
“...”
   
“ดีนะไม่ได้ทำ” ว่าพลางถอนหายใจ แล้วกลับมาสบตากันอีกครั้งท่าทางตั้งใจ “โอเค จะจริงจังละ”
   
“...” ตั้งใจฟังอยู่เหมือนกัน
   
“...”
   
“...”
   
“เชี่ย แป๊บนะ” แต่อยู่ๆ ก็ถอยหลังไปชิดประตู ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้ ใบหน้ากลายเป็นสีแดงจัด “เชี่ย คิดเองแล้วเขินเองอ่ะทำไงดี” มองหน้ากันเหมือต้องการความช่วยเหลือจริงๆ
   
“...” แต่จะช่วยได้ยังไง ตอนนี้หน้าตัวเองก็ร้อนแล้วเหมือนกัน
   
“น่าจะกลับไปโรงหนังว่ะ เห็นหน้าแล้วไม่กล้าเลย” เสียงทุ้มบ่นพึมพำ มือที่ปิดปากถูกยกขึ้นเกาท้ายทอยเหมือนไม่รู้จะทำตัวยังไง ก่อนจะตัดสินใจสบตากันอีกครั้งแล้วถอนใจ
   
“ตอนขอจีบไม่เห็นพูดยากงี้”
   
“...”
   
“พอจะขอเป็นแฟนนี่ ป๊อดชิบหายเลย”
   
“...” อ่อ... รู้ละว่าจะพูดอะไร
   
“เป็นแฟนกันป่ะ”
   
“...” ลีลามาตั้งนานเพื่อจะพูดแค่นี้?
   
“เฮ้ย อย่าเงียบดิ” เขาย่นหน้าเมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งไม่ตอบอะไร หน้าแดงๆ นั่นยิ่งแดงไปกันใหญ่หลังจากพูดออกมา
“คราวนี้ไม่เดานะ”
   
“...”
   
“ช่วยตอบที อยากได้ยิน”
   
ผมอมยิ้ม มองสีหน้าคาดคั้นปนออดอ้อนของคนตรงหน้าแล้วเริ่มขยับปาก
   
อ่า... แต่ขี้เกียจพูดจัง
   
ตอบวิธีอื่นก็ได้มั้ง
   
“หือ?”
   
จุ๊บ

“...!!” ถอนริมฝีปากออกมา ก็เห็นว่าคนตรงหน้าเบิกตากว้างท่าทางตกตะลึง

อะไรกัน จุ๊บที่ปากเอง ทำไมหน้าแดงขนาดนั้น

“ขี้โกงว่ะ” พอได้สติเสียงทุ้มก็บ่นพึมพำคาดโทษกัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างพลางใช้มือข้างหนึ่งประคองใบหน้าผมไว้ แล้วถือวิสาสะกดจูบที่หน้าผากหนึ่งที   

“แต่อยากให้ขี้โกงงี้บ่อยๆ จัง” ก่อนจะเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากอีกครั้งอย่างแผ่วเบา

“...”

ว่าแต่เขา...

ใครกันแน่ที่ขี้โกง


---------------------The end -------------------

จบแล้วค่ะ คราวนี้จบแล้วจริงๆ
สัญญากับตัวเองว่าจะไม่เปิดไฟล์ขึ้นมาเขียนอีก เดี๋ยวไม่จบเนอะ 55555555
จริงๆ คุณชานนอกจากสันหลังยาวแล้วยังเจ้าเล่ห์ด้วย น่าตีมาก
สงสารนทีเบาๆ คุณเขาเห็นแววทาสตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลย...

ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกคอมเมนต์นะคะ
ชอบจัง รู้สึกมีกำลังใจ  :mew1:
ขอบคุณมากเลยค่า ^^

-- Timeless_O --
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2017 05:08:38 โดย Timeless_O »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โห เพราะเป็นทาสผู้ภักดีสินะ... เลยเข้าตาแมวง่วง (หัวเราะ)

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แง..ไม่อยากให้จบ น่ารักมาก  :hao5:

ออฟไลน์ hibatsumoe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 211
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ชอบความแมวชานและทาสนที
อ่านไปก็นึกถึงแมวที่บ้าน ชานนี่มันแมวจริงๆ 555

ออฟไลน์ Pittabird

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 796
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
ยอมแล้วทูนหัว มีผัวเป็นนที (ชานได้กล่าวไว้)

ดีต่อใจ  อยากให้มาต่ออีก  น่ารักสุด ๆ  :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-03-2017 10:35:56 โดย Pittabird »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
น้องชานน่ารักจริงๆ

 :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ Legpptk

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
โห้ยยย น่ารักน่าหยิก

ออฟไลน์ แทงกูดอทสิก

  • ชาเขียวปั่น
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตามมาจากคนแนะนำในทวิต ดีใจมากที่เปิดอ่าน ประทับใจมากกกกก ชอบมากๆเลย ถึงจะเป็นเรื่องสั้นแต่รู้สึกอิ่มเอมในหัวใจมากค่ะ55555555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด