ตอนที่ 7
พาเจ้าชายสู่โลกกว้าง
“เฮ้! นี่เจ้า เอ่อ…นายจะโกรธฉันไปถึงไหนเนี่ย ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ทำอะไรเกินเลยจริงๆ ฉันแค่เห็นเสื้อผ้านายมันชุ่มเหงื่อก็เลยถอดให้เท่านั้นเอง”
ไอ้เจ้าชายยังคงกระเง้ากระงอดไม่เลิกหลังจากที่เมื่อเช้าถูกผมต่อว่าและโวยวายใส่ไปอย่างหนักที่บังอาจมาทำเรื่องบัดสีแบบนั้นในบ้านของผม หน้าต่างห้องกับประตูบ้านก็ไมได้ปิดเหอะ เกิดมีชาวบ้านแถวนี้แวะมาหาแล้วมาเจอภาพนั้นเข้ามันจะเกิดอะไรขึ้น!
มีหวังได้เอาโอ่งมือสองมาครอบหัวเดินกันแน่ๆ
“คุณรออยู่ตรงนี้แล้วกันนะครับ โกศพ่อผมไมได้อยู่ห่างเกินสองร้อยเมตร ไม่ต้องตามเข้าไปก็ได้”
“แต่ฉันอยากไปกับนาย”
“ไม่ต้องครับ”
ยืนยันอีกครั้งก่อนจะเดินทิ้งห่างออกมา
ผมมาที่วัดหลังหมู่บ้านเพื่อมากราบโกศของพ่อ เป็นอย่างที่ลุงกิ่งพูดจริงๆ ที่ข้างโกศพ่อมีโกศของผมอยู่ด้วย ดูเหมือนทุกคนจะคิดว่าเราสองพ่อลูกตายไปแล้วทั้งนั้น
นั่นสินะ ทำไมผมถึงไม่ตายล่ะ ถ้าผมตายไปด้วยอีกคนก็คงจะดี อย่างน้อยพ่อก็จะได้ไม่ต้องจากไปคนเดียว
“ว้าว…อะไรกันเนี่ย มีนายอยู่ข้างในนั้นด้วย!”
ขนาดบอกไม่ให้ตามเข้ามามึงก็ตามมาจนได้นะ!
ผมถอยหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย มองไอ้เจ้าชายที่ยืนลูบคลำรูปของผมที่ติดอยู่ตรงโกศด้วยความใคร่รู้ จะว่าไป เขายังไม่รู้จักอะไรหลายๆอย่างในโลกของผมนี่นา แค่รูปถ่ายก็คงจะไม่รู้จักด้วย
“นั่นเรียกว่ารูปถ่ายครับ บนโลกของผมจะมีอุปกรณ์หนึ่งที่จะใช้ถ่ายรูปออกมาได้ ซึ่งเรามีรูปถ่ายพวกนี้เอาไว้ก็เพื่อเป็นความทรงจำของช่วงเวลานั้นๆที่เราได้ถ่ายรูปเอาไว้ อย่างน้อยมันจะไม่ใช่แค่ช่วงเวลาที่ผ่านเลยไป แต่เรายังมีรูปถ่ายได้เก็บไว้เป็นความทรงจำน่ะครับ”
“จริงเหรอ! ฉันอยากถ่ายรูป อยากถ่ายรูปกับนาย”
“เสียใจนะครับ บ้านผมจนมากอย่างที่เห็น พวกเราไม่มีกล้องหรอก”
ถ้าหวังจะพึ่งกล้องจากมือถือล่ะก็ขอบอกเลยว่าโทรศัพท์ของผมทำได้แค่โทรเข้าโทรออกกับรับส่งข้อความเท่านั้น
รุ่นเก่ากึกมากบอกเลย! เป็นของตกทอดจากพ่อสมัยหนุ่มๆล่ะ
“งะ…งั้นเหรอ”
เจ้าชายก้มหน้าจ๋อยสนิท พลางหันไปลูบรูปผมด้วยใบหน้าเสียดายแบบไม่ปิดบัง
ให้ตายสิ! ลำบากอีกจนได้!
“อันที่จริง ถึงผมจะไม่มีกล้อง แต่ผมก็รู้จักคนๆหนึ่งที่มีกล้องนะ น่าจะขอให้เขาถ่ายรูปให้พวกเราได้”
“จริงเหรอ งั้นพาฉันไปหน่อยสิ พวกเราจะได้ถ่ายรูปคู่กัน นะๆๆๆ”
“แต่…”
ผมไม่ค่อยถูกกับตาลุงนั่นสักเท่าไหร่เลยแฮะ! เขาอายุสามสิบสอง เป็นลูกชายของลุงกิ่ง เปิดร้านถ่ายรูปเล็กๆอยู่ที่หน้าหาด เพียงแต่…
ไอ้บ้านั่นกับผมมีอดีตที่ไม่ค่อยจะดีต่อกันเท่าไหร่นัก!
“นะๆๆ ไปเถอะ ฉันอยากถ่ายรูป”
เจ้าชายทำตาวิ้งๆเป็นประกายออดอ้อน น่าแปลกที่มันทำให้หัวใจผมเต้นแรงและรู้สึกว่ากูไม่สามารถปฏิเสธคำขอของมันได้
อ๊ากกกกก! เป็นอะไรไปแล้ววะไอ้ปูนปั้น! แค่อ้อมกอดเมื่อวานนี้เท่านั้น มึงถึงกับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปเลยเรอะ!
“กะ…ก็ได้ งั้นขอผมไหว้พ่อแป๊บหนึ่งแล้วกันนะ”
สุดท้ายก็ต้องยอม…
ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าบนใบหน้าของเจ้าชายมีรอยยิ้มแห่งความสุขประดับขึ้นมา ตั้งแต่ที่ตัดสินใจให้เจ้าชายลี้ภัยตามมาด้วย ผมก็คิดตลอดว่าลำพังผมจะทำให้เจ้าชายมีความสุขได้ไหม เขาต้องจากชีวิตที่เคยหรูหราในวังมาอยู่ในบ้านที่เรียกได้ว่ายากจนเกินจะบรรยาย ก็เลยกลุ้มใจว่าเขาจะทนอยู่ได้หรือเปล่า แต่ว่า…พอไดมาเห็นรอยยิ้มอย่างมีความสุขจากรเองเล็กๆอย่างจะได้ถ่ายรูปของเขาแล้ว ผมก็…
ดีใจ…
ถ้าสามารถทำให้ยิ้มออกมาได้บ่อยๆแบบนี้ก็คงดีน่ะสิ
ผมยกมือขึ้นไหว้พ่อ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่อยากจะคุยและขอคำปรึกษา ถึงผมจะยังไม่รู้ว่าจากนี้ไปควรจะทำยังไงกับชีวิตดีก็เถอะ แต่อย่างน้อย…ช่วงเวลานี้ ในตอนนี้ ผมมีหน้าที่ที่ต้องทำอยู่คือการดูแลและปกป้องเจ้าชาย ไม่อยากเชื่อเลยว่าหน้าที่นี้จะกลายเป็นที่ยึดเหนี่ยวผมเอาไว้ได้ มาคิดๆดู ถ้าผมไม่ได้พาเจ้าชายมาด้วย ป่านนี้ผมอาจจะตายตามพ่อไปแล้วก็ได้
ก็ผมน่ะ…
ไม่ได้มีจิตใจที่เข้มแข็งอะไรเลย
ผมก็แค่คนอ่อนแอคนหนึ่ง ที่ทั้งชีวิตมีแต่พ่อเป็นที่พึ่ง แต่เมื่อวันที่ไม่มีพ่ออีกต่อไปมาถึง ผมก็ไม่รู้เลยว่าควรจะดำเนินชีวิตของตัวเองไปในทิศทางไหน และอยู่เพื่อใคร?
แต่ตอนนี้…
ผมรู้แล้ว
ผมรู้ว่าตัวเองจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อใคร กับเจ้าชายชีกอที่ดูเหมือนเด็กอนุบาลเวลาอยู่ในโลกมนุษย์คนนี้น่ะ… ถ้าไม่มีผม เขาก็คงอยู่ไม่ได้
หมับ…
“อ๊ะ!”
ร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆคนข้างตัวก็ยกมือขึ้นปิดตาผมเอาไว้
ทำอะไรของมันฟะเนี่ย!
“มะ…มองนานไปแล้วนะ จ้องฉันขนาดนั้นคิดจะอ่อยกันหรือไง”
“ผมปะ…!”
“เดี๋ยวก็กินเสียจริงๆเลยนี่”
รับรู้ได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ เหมือนโลกทั้งใบจะหยุดหมุนกันไปเลยทีเดียว ผมนั่งตัวแข็งทื่อไม่กล้าขยับ ในใจภาวนาขออย่าให้เขาเอามือที่ปิดตาผมอยู่ตอนนี้ออกเลย ไม่งั้น…
เราคงได้สบตากันตรงๆแน่
“เจ้าน่ะ…”
“…”
“อย่าร้องไห้อีกเลยนะ ข้าทำอะไรไม่ถูกจริงๆตอนที่เห็นน้ำตาของเจ้า”
นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อวาน ที่เขาเอาแต่เงียบ ไม่มีคำพูดใดๆปลอบผมนอกจากกอดผมเอาไว้อย่างนั้นเป็นเพราะ…
เขาทำอะไรไม่ถูกล่ะสินะ
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณตกใจ จะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีกแล้วล่ะครับ”
“ว่าง่ายแบบนี้ก็ลำบากข้าแย่น่ะสิ”
“ลำบากยังไง?”
“มันทำให้ข้าอยากเข้าหอกับเจ้าเร็วๆไงล่ะ พิธีอภิเษกของเรายังไม่สมบูรณ์ก็เพราะยังไม่ได้เข้าหอนี่แหละ”
พลั่ก!!!
“ในหัวคุณคิดแต่เรื่องแบบนี้หรือไงเนี่ย!”
ผมยกเท้าถีบไอ้เจ้าชายจนหงายหลังล้มตึงแล้วรีบลุกขึ้นถอยหลังทิ้งระยะห่างจากมัน
เห็นว่าดูไร้เดียงสาเมื่ออยู่บนโลกมนุษย์ แต่ที่ไหน…นิสัยยังชีกอเหมือนเดิม! สุดท้ายแล้วผมก็รู้ว่าไม่ควรไว้ใจผู้ชายหน้าซื่อตาใสอย่างหมอนี่
“เจ้าจะรีบไปไหนน่ะ รอข้าด้วยสิ เดี๋ยวห่างกันเกินสองร้อยเมตรขึ้นมาก็ได้ตายหรอก!”
คำเตือนของเจ้าชายทำผมชะงัก รีบลดกำลังความเร็วที่ฝีเท้าลงอย่างฉับพลัน
บ้าเอ๊ย! แบบนี้เกิดวันดีคืนดีทะเลาะกันจนไม่อยากจะอยู่ใกล้ๆ ผมก็ไม่มีวันไปไหนได้น่ะสิ ลองคิดภาพตามนะ ทะเลาะกัน งอนกันเกือบตาย แต่ก็ยังต้องมานั่งทนมองหน้ากันอยู่น่ะ มันจะอึดอัดแค่ไหน!
“ต้องแบบนี้สิ เดินข้างๆกันอุ่นใจกว่าเยอะ”
“นี่คุณ!”
ผมรั้งเขาไว้ เพราะอีกฝ่ายเอานิ้วก้อยของตัวเองมาคล้องกับนิ้วก้อยของผม ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้ โตป่านนี้แล้วใครเขาจะมาเดินเกี่ยวก้อยกันฟะ!
“ปูนปั้น”
ตู่ๆก็เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมต้องเป็นฝ่ายหยุดพูดไปเสียเอง ทั้งที่เมื่อกี้ตั้งใจจะโวยวายเรื่องเกี่ยวก้อยเสียหน่อย
“ครับ?”
“ทำไม…คนอื่นๆต้องมองข้าด้วยสายตาแปลกๆด้วยล่ะ ข้ามีอะไรแปลกงั้นเหรอ?”
ว่าพลางก้มลงมองสภาพของตัวเองตอนนี้ด้วยใบหน้าฉงน
ส่วนผมถึงกับปิดปากขำพรืด ลืมไปเสียสนิทเลยว่าตอนนี้เจ้าชายอยู่ในสภาพไหน ฮ่าๆๆๆๆ
“เจ้าหัวเราะอะไรน่ะ มีอะไรน่าขันนักหรือไง”
“ปะ…เปล่าหรอกครับ ก็แค่…อุ๊บ!”
โอ๊ยยย! แค่จะอธิบายยังพูดไม่ออกเลยได้แค่ยืนขำอยู่อย่างนั้น
ตอนนี้เจ้าชายไข่โตผู้หล่อเหลาแห่งดินแดนเงือกตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กไม่เต็มเต็ง เพราะชุดที่เขาใส่มาจากวังไม่สามารถใช้ได้ในโลกนี้ ผมเลยต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา โดยให้เขาใส่เสื้อผ้าของผมก่อน แต่หมอนี่ก็ดันตัวใหญ่ล่ำกว่าผมตั้งไม่รู้เท่าไหร่ กางเกงเทียมเข่าที่ผมใส่เป็นประจำกลายเป็นขาสั้นเมื่อเขาใส่ และเสื้อที่เวลาผมใส่จะยาวปิดตูดก็กลาเยป็นเสื้อเอวลอยสำหรับเขา!
บอกได้คำเดียวว่าเจ้าชายในตอนนี้น่ะ…
ทุเรศลูกตาคนมองมาก…
“โทษทีๆ ผมว่าตอนนี้ผมคงต้องพาคุณไปหาเสื้อผ้าที่พอดีกว่านี้ใส่แล้วล่ะ”
ท่าทางเจ้าชายจะตัวใกล้ๆกับตาลุงนั่นแฮะ ยังไงก็ต้องแวะไปที่นั่นอยู่แล้ว ไปขอเสื้อผ้ามาสักสองสามชุดด้วยเลยดีกว่า
“เจ้าหมายความว่ายังไง เสือ้ผ้าที่ข้าใส่อยู่ตอนนี้ไม่ดีเหรอ”
“มันจะไปดีได้ยังไงกันเล่า”
“แต่มันเป็นเสื้อผ้าของเจ้า…”
“เพราะเป็นของผมนี่แหละถึงได้ไม่ดี เอาล่ะ ผมกำลังจะพาคุณไปพบมนุษย์คนอื่นนอกจากผม เพราะฉะนั้น…เลิกใช้คำว่าข้ากับเจ้าได้แล้วนะครับ ถ้ามีคนจับได้ว่าคุณไม่ใช่มนุษย์ล่ะก็…คุณถูกจับไปออกงานวัดแน่!”
“งานวัดคืออะไร?”
ถามกลับหน้าซื่อ
เอาเถอะ ถ้าต้องมาตอบคำถามกันทุกข้อผมคงบ้าตายแน่ๆ ค่อยๆให้ได้สัมผัสและเรียนรู้ไปเงอทีละนิดดีกว่า ผมเองก็ไม่รู้ด้วยว่าเขาจะลี้ภัยอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน ไม่แน่ว่าตอนนี้องค์ราชาอาจจะกำลังกวาดล้างกบฏอยู่ก็เป็นได้ วันนี้พรุ่งนี้เจ้าชายอาจจะได้กลับดินแดนเงือก…
กลับ…
งั้นเหรอ…
เท่ากับว่าผมก็จะต้องอยู่คนเดียวงั้นสิ แบบนั้น…ไม่เอาหรอกนะ
หมับ…
“หืม?”
“จะ…จับแบบนี้ดีกว่านะครับ”
ผมตอบอ้อมแอ้มไม่มองหน้าเจ้าชาย ขณะที่เจ้าชายเองก็ค่อยๆสอดนิ้วมือเข้ามาประสานกับนิ้วมือของผมจนแนบแน่น…
ตะ…ตอนแรกผมแค่จะจับมือเขาฝ่ายเดียวเท่านั้นเองนะ ไม่ได้คิดว่า…
“มือของเจ้านี่…ทำให้ข้าคิดถึงวันนั้นเลยแฮะ”
“วันไหน?!”
“ก็วันที่เจ้า…”
เจ้าชายพูดค้างไว้พลางก้มมองน้องชายขนาดยักษ์ของตัวเอง
ตู้มมม!
รู้สึกเหมือนมีระเบิดในร่างกายถูกปลดชนวน…
“เรื่องแบบนั้นน่ะ…ลืมมันไปได้แล้วไอ้เจ้าชายบ้า!”
แถ่ดๆ! แถ่ดๆ!
เสียงเครื่องยนต์ที่ฟังดูทรมานมากๆดังระงมไปทั้งหมู่บ้าน หลังจากผ่านมาร่วมครึ่งชั่วโมงที่ผมพยายามจะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์คู่ชีพของที่บ้านเพื่อใช้เป็นยานพาหนะขับไปไหนมาไหน แต่ดูท่าว่าเพราะไม่ได้ใช้งานมาหลายวัน มันก็เลยไม่ยอมติดสักที
ให้ตายสิ ถ้าต้องเดินเท้าไปบ้านตาลุงนั่นมีหวังขาหลุดก่อนแน่ๆ
“เจ้า เอ่อ นายทำอะไรเหรอปูนปั้น”
“สตาร์ทมอเตอร์ไซค์น่ะครับ”
“มอเตอร์ไซค์?”
“มันคือยานพาหนะที่จะช่วยให้เราไปไหนมาไหนได้เร็วขึ้นโดยไม่ต้องใช้แรงของตัวเองมากนักน่ะครับ”
“แต่ที่นายทำอยู่ฉันคิดว่ามันใช้แรงไปเยอะมากเลยนะ…”
“กรณีนี้เป็นข้อยกเว้นน่ะครับ”
เพราะรถคันนี้เก่ามาก อยู่มาตั้งแต่สมัยพ่อเพิ่งจะจีบแม่ใหม่ๆ รอบคันเต็มไปด้วยสนิมที่ถึงผมกับพ่อจะดูแลอย่างดีแค่ไหนมันก็ไม่ช่วยอะไร ด้วยเราสองคนไม่มีเงินที่จะซื้อคันใหม่นั่นแหละนะ ก็เลยต้องดูแลคันนี้เป็นอย่างดี
“ให้ฉันลองดูได้ไหม”
“ทำเป็นเหรอครับ”
“ฉันดูนายทำมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ แค่เอาเท้าเหยียบเจ้านี้ลงไปแรงๆก็พอใช้ไหมล่ะ”
“ครับ”
ว่าแล้วก็หลีกทางให้เจ้าชายได้โชว์ออฟ เขาจับมอเตอร์ไซค์เอาไว้แบบที่ผมจับเมื่อกี้เป๊ะๆ ก่อนจะง้างเท้าแล้วกดลงไปเพื่อสตาร์ทเครื่อง
แถ่ดๆๆๆๆๆๆ!
อ่า…อนิจจังมอเตอร์ไซค์คู่ชีพ ช่วยติดหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ!
“ว้าว มอเตอร์ไซค์ของนายปลูกต้นไม้ได้ด้วยเหรอ”
เจ้าชายดึงบรรดาเห็ดและสาระแหน่มากมายที่บังอาจมางอกเงยอย่างงดงามบนมอเตอร์ไซค์ของผมขึ้นมาให้ดูอย่างตื่นเต้น
ของแบบนั้นช่วยทิ้งๆมันไปเหอะ! น่าอายจะตายไป ฮืออออ
บรืน! บรืน!
“ติดแล้ว!”
เจ้าชายร้องบอกอย่างดีใจ ส่วนผมนี่แทบทรุดร่วงไปกับพื้น เป็นการสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เวลานานที่สุดในโลกเลยทีเดียว
“เศษเหล็กแบบนี้ เอาไปทุบทิ้งขายดีกว่ามั้ง อ้อ ลืมไป อย่างมึงคงไม่มีเงินซื้อสินะ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
‘ไอ้จ้าว” หัวโจกของกลุ่มวัยรุ่นปากหมาที่ชอบแขวะผมมาตลอดตั้งแต่เด็กเอ่ยขึ้น พวกมันนั่งมองผมจากในศาลาเล็กๆสำหรับไว้นั่งพักผ่อนมาตั้งแต่ต้นแล้วล่ะ
อุตส่าห์ทำเป็นมองไม่เห็นพวกมันแล้วเชียวนะ ยังจะแขวะกันไม่เลิกอีก!
“คนพวกนั้นพูดอะไรน่ะ ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่จากน้ำเสียงและสีหน้าของพวกมันต้องไมได้พูดเรื่องดีๆแน่”
“ช่างมันเถอะครับ เรารีบไปกันดีกว่า”
ผมดันตัวเจ้าชายไปที่ด้านหลังแล้วขึ้นคร่อมทำหน้าที่คนขับเอง พวกมันมีกันตั้งเยอะ ถ้าไปมีเรื่องด้วยก็มีแต่เราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อีกอย่าง ผมจะให้เจ้าชายตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ ถ้าองค์รัชทายาทเพียงคนเดียวของดินแดนเงือกต้องมาเจ็บตัวที่นี่…
ผมอาจจะถูกจับประหารชีวิตก็ได้นะ
“ขาดหัวเรือหลักอย่างพ่อมึงไปแล้วแบบนี้ ต่อไปมึงคงอดตายไม่ต่างจากหมาข้างถนน!”
คำดูถูกสุดท้ายถูกตะโกนไล่หลังมา ผมกัดฟันแน่น เจ็บใจที่ทำได้แค่ทนฟังพวกมันด่าทอและดูถูกด้วยถ้อยคำเหี้ยแสนเหี้ย
แต่คนอ่อนแอแบบผม
มันก็เป็นได้แค่คนอ่อนแอวันยันค่ำนั่นแหละ
“พวกมันพูดไม่ดีใช่ไหม ฉันสัมผัสได้”
“ช่างมันเถอะครับ คุณไม่ต้องสนใจหรอก”
“แต่…”
“ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ตราบใดที่ยังมีคุณอยู่ด้วยแบบนี้”
ตอบเสียงแผ่ว ใช่แล้ว ถึงพ่อจะไม่อยู่ แต่ผมก็ยังมีเจ้าชายจอมป่วนคนนี้อยู่เป็นเพื่อน ยังมีเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับผม
ยังไงก็ไม่เป็นไรแน่นอน
“ว่าแต่…ฉันสงสัยมาพักหนึ่งแล้วล่ะ มอเตอร์ไซค์นี่ยอดไปเลยนะ พาฉันไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องออกแรงเดินเองให้เมื่อย”
“ใช่ไหมล่ะ”
“แต่…ฉันอยากให้ปลูกสาหร่ายทะเลด้วยได้ไหม”
“ปลูกสาหร่าย?”
“ทีเมื่อกี้ยังมีพืชอื่นๆงอกขึ้นมาได้เลย แค่ปลูกสาหร่ายเพิ่มไปคงจะได้สินะ”
น้ำตาไหลพราก…
ไอ้เห็ดกับสาระแหน่เมื่อกี้กูไม่ได้เป็นคนปลูกโว้ยยย มันงอกขึ้นมาเองโดยที่กูไม่ได้สั่งเหอะ!
มึงเห็นมอเตอร์ไซค์คู่ชีพของกูเป็นอะไรกันกันแน่ฮะ!
ผมไม่ตอบอะไรกลับไป ขณะที่สองมือของเจ้าชายกอดเอวผมไว้แน่น ไม่รู้ว่ากลัวตกหรือหาเรื่องลามกมาแต๊ะอั๋งกันแน่ แต่ตราบใดที่ไม่ได้เลื่อนลงต่ำกว่านั้นก็คงไม่เป็นไร
แถ่ดๆๆๆๆๆๆๆ
เสียงเครื่องยนต์ยังคงดังต่อไป พร้อมกับพืชผักสวนครัวนานาชนิดที่งอกออกมาซอกรถกำลังปลิวว่อนไปตามแรงลม…
เอี๊ยด!!!
ขนาดเสียงเบรกยังดังสนั่นอ่ะคิดดู
ผมเบรกรถที่หน้าร้านของตาลุงพอดี เจ้าชายรีบกระโดดลงมองทุกอย่างด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะส่วนนี้เป็นชายหาดสำหรับให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวพักผ่อน เลยค่อนข้างมีสิ่งดึงดูดเยอะ ท่าทางผมจะต้องเหนื่อยนั่งอธิบายนู่นนี่นั่นอีกหลายอย่างแน่เลย
ตุ้บ….!
เสียงเหมือนมีของหล่นดังขึ้นที่ด้านข้าง พอหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นตาลุงที่ผมเกลียดขี้หน้ามากที่สุดกำลังยกมือขึ้นปิดปากมองผมด้วยความตกใจ รอบดวงตารื้นขึ้นด้วยน้ำใสๆ ส่วนเสียงของตกก็คือถุงใส่ของบางอย่าง ท่าทางคงเพิ่งกลับจากตลาดแน่ๆ
“ระ…รูปปั้น! รูปปั้นจริงๆด้วย!”
ร่างสูงพุ่งเข้ามากอดผมด้วยความดีใจ กระโปรงยาวพลิ้วไหวของเขาทำเอาแทบจะอ้วกออกมาด้วยความสยอง
“ปะ…ปล่อยนะเว้ย ไอ้ตาลุงโรคจิตชอบแต่งหญิง!”
ใช่แล้ว…
อ่านไม่ผิดหรอกครับ
ตาลุงที่ผมพูดถึงเป็นผู้ชายก็จริง แต่เขา…
…ชอบแต่งหญิง
บับเบิ้ลบิวชวนคุย :
สวัสดีค่า มาอัพอีกตอนแล้วน้า ตอนนี้เปิดตัวอีกสองตัวละครแสนน่ารัก รับประกันว่าจะเป็นคู่ที่ทุกคนอ่านแล้วต้องแอบเชียร์ให้ได้คู่กันแน่ๆ นั่นก็คือ…จ้าวกับตาลุงโรคจิตค่า 5555+ บอกแบบไม่ต้องใบ้เลยว่าเป็นคู่รองและตาลุงชอบแต่งหญิงคนนี้เป็นรุกนะจ๊ะ =..= ตอนนี้เปิดรับบริจาคเงินซื้อมอเตอร์ไซค์ให้เจ้าชายและน้องปูนปั้นใหม่ด้วยการสั่งจองนิยายนิยายนะคะ ใครอยากช่วยทั้งสองคนคลิกที่ลิงก์ด้านล่างเล้ยยยยย
เรื่องนี้เปิดพรีแล้วนะคะ สามารถสั่งซื้อได้ที่ลิงก์
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLScSk5ZhmYYWSL9uITHmFI3nuw5sKsScBIfm8xxQBPAYAEUM4A/viewform?usp=sf_link
ภาพปกจ้า
