[ เรื่องสั้น ] The scarlet thread : ตอนที่ 5 P.1 [28/03/2560]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ เรื่องสั้น ] The scarlet thread : ตอนที่ 5 P.1 [28/03/2560]  (อ่าน 3882 ครั้ง)

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


------------------------------------------------------------------------------------------------


-The scarlet thread-

   ในโลกที่มนุษย์หวาดกลัวความรักและส่วนมากเลือกที่จะครองโสดตลอดชีวิต
ประชากรบนโลกเริ่มลดลงเข้าขั้นวิกฤต
จนกระทั่งพระเจ้าต้องยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างปรากฏการณ์ ‘ด้ายแดง’
วิธีการอันชาญฉลาดที่จะกระตุ้นให้มนุษย์กลับมาเชื่อมั่นในความรักอีกครั้ง
ผ่านหลักประกันที่เรียกว่า ‘คู่แท้’...
[/size]







Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2017 23:33:24 โดย Timeless_O »

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
-The scarlet thread-

   -1-

   ในโลกที่มนุษย์หวาดกลัวความรักและส่วนมากเลือกที่จะครองโสดตลอดชีวิต ประชากรบนโลกเริ่มลดลงเข้าขั้นวิกฤต จนกระทั่งพระเจ้าต้องยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างปรากฏการณ์ ‘ด้ายแดง’ ...วิธีการอันชาญฉลาดที่จะกระตุ้นให้มนุษย์กลับมาเชื่อมั่นในความรักอีกครั้ง ผ่านหลักประกันที่เรียกว่า ‘คู่แท้’

   ไม่มีใครรู้ว่าด้ายกำมะหยี่สีแดงที่เรืองแสงได้จะปรากฏขึ้นมาที่ข้อมือข้างซ้ายของตัวเองเมื่อไหร่ หรือที่ไหน ทฤษฎีเดียวที่สามารถพิสูจน์ได้นับตั้งแต่มีปรากฏการณ์นี้ก็คือ มันจะปรากฏขึ้นมาเมื่อเนื้อคู่ของเราอยู่ห่างไม่เกินห้าร้อยไมล์ ในเวลาที่เหมาะสม

   โลกเราแม่ง... เพี้ยนขึ้นทุกวัน

   แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ ว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในมนุษย์เพ้อฝันที่เฝ้ารอวันให้ด้ายแดงไร้สาระนั่นปรากฏขึ้นมาที่ข้อมือข้างซ้ายของตัวเองสักที

   แต่อยู่มาจนอายุย่างเข้ายี่สิบสี่ปีแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีวี่แววของไอ้ด้ายกำมะหยี่เรืองแสงนั่นเลยสักวัน

   ในขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกัน สมหวังไปกับความรักที่พระเจ้ามอบให้ทีละคนสองคน

   ไม่เว้นแม้แต่คนกากที่สุดในกลุ่มที่ผมอุตส่าห์คิดว่ามันจะอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิตเหมือนกัน

   “กูกำลังจะแต่งงาน” ไอ้กันต์เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศเหงาๆ ในร้านเหล้าที่กลุ่มเรามักจะมากันเป็นประจำสมัยมหาวิทยาลัย

   แต่หลังจากแยกย้ายกันไปทำงานตามสายที่ร่ำเรียนมา ก็แทบไม่ได้กลับมาครบแก๊ง แถมพอคนอื่นแต่งงานมีครอบครัวจากทั้งหมดหกคน ก็เลยเหลือแค่ผมกับไอ้กันต์สองคนอย่างที่เห็น

   แล้วนี่อะไรวะ อยู่ๆ ก็จะมาทั้งกูไปอีกคนเฉย

   “นี่มึง... มีด้ายแดงแล้วเหรอวะ” ผมถาม ยกแก้วเหล้าค้างอยู่กลางอากาศอยู่อย่างนั้น

“เออ” ไอ้เพื่อนตัวดีคลี่ยิ้ม ยืนยันด้วยการยกมือข้างซ้ายของมันที่ล้วงอยู่ในกระเป๋าออกมาโชว์ให้เห็นด้ายกำหยี่สีแดงที่ส่องประกายเรืองแสงออกมาในความสลัว เส้นด้ายบางเบาเกี่ยวพันอยู่รอบข้อมือของเพื่อนรักทิ้งชายทอดยาวออกไปที่ไหนสักแห่งที่สายตาของผมไม่อาจไปถึง

“กูเจอน้องเขาอยู่บ่อยๆ ในที่ทำงาน เห็นมาตั้งนานแล้วว่าน่ารักดี ไม่คิดว่าคนนี้จะเป็นเนื้อคู่กูจริงๆ” แววตาแฝงความสุขล้นใจ เมื่อเอ่ยถึงใครอีกคนที่เป็นปลายทางเส้นด้ายแห่งโชคชะตา

“จริงอย่างที่เขาว่าด้ายแดงมันจะปรากฏออกมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม เชื่อมั้ย ตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ ว่ะ มันอุ่นวาบไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรง... มันล้นไปหมด กูไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนในชีวิต”

“...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร จินตนาการไม่ออกด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่มันบอกเป็นยังไง ทุกคำในความคิดเหมือนจะมลายหายไปหมด เหลือเพียงคำว่าหมาหัวเน่าลอยวนเวียนอยู่ในกบาลอย่างยากที่จะกำจัด

เชี่ย... หรือพระเจ้าลืมส่งเนื้อคู่มาให้ผมจริงๆ วะ

“น้องเค้าโทรมาตามแล้ว กูต้องไปแล้วว่ะ ขอโทษนะที่ต้องทิ้งมึงไว้คนเดียว” ว่าพลางหยิบสมาร์ทโฟนที่กำลังสั่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง กล่าวขอโทษขอโพยก่อนจะลุกขึ้นทำท่าเหมือนจะเดินจากไป

แต่ก็ไม่วายหันกลับมาเหมือนลืมบางอย่าง

“เออไอ้ธาม” มันเรียกชื่อผมที่ยังคงนั่งนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น “พวกไอ้นัทฝากกูมาบอกว่าเรื่องที่พวกเราเคยพนันกันไว้อ่ะ หวังว่ามึงจะไม่ลืมนะ”

“ฮะ?” ผมกดหัวคิ้วเข้าหากัน

พนันอะไรวะ

ไอ้กันต์ไม่ตอบ เพียงแต่คลี่ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย และเพียงไม่นานผมก็ระลึกได้ว่าไอ้พนันที่ว่านั่นมันคืออะไร

“กูจะตั้งตาคอยมึงที่งานแต่งงานนะ” ว่าจบมันก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งผมไว้กับความทรงจำเกี่ยวกับสัญญาโง่ๆ ที่เลยลั่นวาจาเอาไว้เมื่อสมัยมหาลัย


‘พวกมึงจำไว้เลยนะ ในแก๊งเราอ่ะ ใครเจอด้ายแดงเป็นคนสุดท้าย จะต้องแต่งตัวเป็นหมาคลานเข้างานแต่งของคนก่อนหน้านะโว้ย!’


   ไอ้สัสกันต์ กลับมาบอกกูก่อนดิ๊ว่าพวกมึงยกเลิกพนันเวรๆ นี่แล้วอ่ะ!
.
.
.

การที่พระเจ้าสร้างปรากฏการณ์ด้ายแดงขึ้นมา นอกจากจะทำให้คนเชื่อมั่นในความรักมากขึ้นแล้ว ในทางกลับกันความแน่นอนเกินไปของมัน ก็ทำให้มนุษย์คาดหวังความรักในรูปแบบที่ต่างออกไปจากที่เคยเป็น

เมื่อตัดความเสี่ยงได้ มนุษย์ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการลิ้มลองอะไรที่มันนอกลู่นอกทาง ไม่มีใครอยากจะเผชิญความรักที่รู้ว่าสุดท้ายจะต้องผิดหวัง ทุกคนเอาแต่เฝ้ารอพรหมลิขิตจากพระเจ้า เพราะเชื่อว่ามันเป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่สุด และเผชิญความเจ็บปวดน้อยที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็มีบางคนที่ต้องรอไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย... เพราะพระเจ้าไม่สามารถหาเนื้อคู่ที่เหมาะสมให้ได้ จึงต้องครองโสดไปตลอดกาล

หรือผมจะเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นวะ

ผมเดินโซซัดโซเซเข้ามาในคอนโดฯ ความผิดหวังและหดหู่เริ่มทวีคูณเมื่อคิดว่าต่อจากนี้ตัวเองอาจจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิตจริงๆ

คิดว่าผมจะง้อเหรอวะ โสดก็โสดดิ อย่างมากก็แค่คลานเป็นหมาเข้างานแต่งงานเพื่อนสนิทแค่นั้น จะเป็นไรไป

โครม!

พยายามจะพยุงตัวเองเดินไปตามระเบียงทางเดินที่คดเคี้ยวกว่าที่เคย แต่ปริมาณแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในตัวก็ทรยศผมด้วยการเล่นงานเข้าที่หัว สร้างความวิงเวียนจนล้มตัวกระแทกพื้นอย่างหมดท่า เดิมทีคิดเอาไว้ว่านานๆ ทีได้เจอเพื่อน คงจะได้สังสรรค์กันจนเมาหัวราน้ำนึกถึงวันคืนเก่าๆ แต่พอเอาเข้าจริงดันเมาหัวทิ่มอยู่คนเดียว
หมาหัวเน่าจริงๆ

   “ไหวมั้ยน่ะ” เกือบจะนึกว่าตัวเองหูแว่วที่ดันได้ยินน้ำเสียงเรียบนิ่งดังขึ้นมาทั้งที่มั่นใจว่าบนระเบียงทางเดินตอนนี้มีแค่ตัวเองคนเดียว

   ถ้าหากไม่เหลียวหน้าขึ้นมาเห็นใครบางคนที่ยืนห่างออกไป หน้าบานประตูของห้องห้องหนึ่ง

   “ใครวะ” ผมพึมพำ พยายามจะพยุงตัวเองขึ้นมา ทว่าแข้งขามันอ่อนเปลี้ยไปหมดจนต้องล้มพับลงไปอีกครั้ง

   ความมึนและง่วงเริ่มเล่นงานจนอยากจะหลับมันไปซะตรงนี้ ไหนๆ ก็ถึงคอนโดฯ แล้วนี่หว่า นอนสักงีบแล้วค่อยตื่นเข้าห้องตอนที่มีสติก็คงไม่เป็นไร

   “เฮ้ย จะนอนเหรอ” น้ำเสียงทุ้มเจือความประหลาดใจดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อผมตัดสินใจเอนตัวนอนแผ่หลา มองเพดานที่กำลังหมุนติ้วอย่างน่าเวียนหัว ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตามมาก่อนที่เงาของร่างสูงจะทาบทับมาบนตัว

“เอาจริงดิ?” เสียงเดิมเอ่ยถามหลังจากย่อตัวลงตรงหน้าผม ใบหน้าคมเข้มคุ้นตายื่นมาอยู่ตรงหน้ากันในระยะใกล้เกินจำเป็น

   “เสือกไรวะ” ผมสบถพึมพำ เบือนหน้าหนียกแขนขึ้นมาก่ายหน้าผากที่เหมือนมีคลื่นยักษ์ซัดเข้ามาไม่หยุด พยายามจะข่มตาหลับแต่ก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของอีกคน

   “โหดจังครับ”

   แต่เสือกไม่หัวเราะเปล่า มือแม่งยังถือวิสาสะจับลงที่แขนทั้งสองข้างของผม ก่อนจะออกแรงกระชากจนร่างที่เตรียมตัวจะหลับใหลลอยหวือขึ้นมาในอากาศ

   “อึก! ไอ้เชี่ยย!!” ผมสบถเสียงดัง กลืนก้อนพะอืดพะอมลงไปในคออีกครั้ง พยายามตั้งสติมองหน้าไอ้คนที่บังอาจมาเล่นงานผมทีเผลออย่างไม่สบอารมณ์

“มึง...” แต่เอ่ยยังไม่ถึงคำ ก็ต้องชะงักเมื่อรู้ตัวว่าก้อนอะไรบางอย่างที่พยายามจะกลืนลงคอซ้ำๆ แม่งกำลังจะทะลักออกมา รวดเร็วชนิดที่ว่าผมไม่สามารถระงับมันได้ทันอีกต่อไป “อ้วกกก...”

“เฮ้ย!” ร่างของผมถูกปล่อยให้ร่วงลงกับพื้นอีกรอบทันที พร้อมกับที่ร่างสูงกว่ากระโดดถอยหลังออกไปอย่างตกใจ
ผมหัวเราะสะใจ เอนหลังพิงกับผนังด้านหลังเอาไว้ไม่ให้หัวทิ่มไปกับพื้น เงยหน้ามองเจ้าของใบหน้าคมที่เริ่มจะเลือนรางลงทุกที

วิ้ง~

แต่แล้วอยู่ๆ ภายใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำเอามึนงงจนหัวแทบจะระเบิด สายตาของผมกลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด... สติอันน้อยนิดของผมไม่อาจประมวลภาพประกายแสงสีแดงสว่างที่ปรากฏชัดขึ้นมาในสายตาได้ว่ามันคืออะไร รู้แต่เพียงว่ามันมาพร้อมกับความรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจจนยกมือขึ้นมาลูบที่หน้าอกข้างซ้ายเบาๆ

ตอนนั้นเองที่ผมพบว่าข้อมือข้างซ้ายที่เคยว่างเปล่า กลับมีเส้นด้ายบางๆ ถูกร้อยเรียงขึ้นมาต่อหน้าต่อตาราวกับฉากมหัศจรรย์ในนิทาน

“นี่มัน...” ผมได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ร่างสูงจะเดินกลับมานั่งยองๆ ลงตรงหน้ากัน เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นไปสบตา

ดวงตาสีนิลคู่นั้นไม่ฉายแววความโกรธขึ้งใดๆ ที่ผมทิ้งเศษอ้วกน่ารังเกียจเอาไว้บนร่างกาย

ทว่ากลับมีแต่ความสงสัยปนความประหลาดใจตอนที่เอ่ยคำสั้นๆ เกือบจะไร้ความหมายออกมาเบาๆ “ด้าย?”

คำพูดที่ทำให้ผมเพิ่งสังเกตว่าที่ข้อมือข้างซ้ายของคนตรงหน้าเอง ก็มีด้ายกำมะหยี่สีแดงส่องประกายแสงประหลาดออกมาเช่นกัน...

และเพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้น ผมก็เข้าใจในสิ่งที่ไอ้กันต์พยายามจะอธิบาย... ได้รู้คำตอบของสิ่งที่ไม่เคยตั้งคำถามตัวเองมาก่อนเลยสักครั้ง

ว่าหัวใจของผมสามารถเต้นได้เร็วที่สุดกี่ครั้งต่อวินาที
.
.
.






-----------------------------------------------------------
เป็นเรื่อง (คาดว่าจะ) สั้น ที่ออกจะเรื่อยๆ มึนๆ ที่พล็อตเหมือนจะแฟนตาซี แต่เอาจริงๆ ก็ไม่ได้แฟนตาซีเท่าไหร่
แอบมีความหวังว่าจะมีคนเข้ามาอ่านบ้าง ยังไงก็สวัสดีล่วงหน้าค่ะ 5555
ฝากติชมด้วยนะคะ :-)

-- Timeless_O --




ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
พล็อตน่าสนใจค่า โรแมนติกด้วย เป็นกำลังใจให้น๊า   :katai2-1:

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
The Scarlet Thread
-2-

ผมลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย คล้ายกับกำลังยืนอยู่บนเรือที่โคลงเคลงไปตามคลื่นลมของทะเลในวันที่มีพายุ

“อ้วกกก” ตั้งตัวตรงไม่ทันครบนาทีก็ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำเอาหัวจ่อชักโครกขับสารพิษออกจากร่างกาย

เวียนหัวชิบหาย...

ผมหอบหายใจฟุบหน้าลงกับฝาชักโครงที่เพิ่งกดน้ำลงไปอย่างหมดท่า อยากจะหลับตาแล้วตื่นมาใหม่ทั้งๆ อย่างนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ตอนที่กำลังจะลดเปลือกตาลง หางตาของผมดันเหลือบไปเห็นสิ่งแปลกปลอมบางอย่างบนร่างกายตัวเอง

“เชี่ยยยย” เบิกตากว้างสุดชีวิต ลุกขึ้นมานั่งตั้งสติแทบไม่ทัน

นะ...นี่มัน ดะ... ด้าย... ด้ายแดง!?

อาการเมาค้างที่เล่นงานอยู่เหมือนจะหายไปจนหมด เส้นขนทุกเส้นบนตัวพร้อมใจกันตั้งชันขึ้นมาเมื่อเห็นชัดว่ามีเส้นด้ายกำมะหยี่สีแดงผูกอยู่ที่ข้อมือของผมจริงๆ

เชี่ย... นี่มัน... นี่มัน... เชี่ยยยย

ได้แต่อุทานคำเดิมซ้ำๆ อย่างหมดคำอธิบาย ในหัวมันโล่งไปหมด กว่าจะได้สติว่าควรทำอะไร ก็กินเวลาไปเกือบนาที
ผมใช้มืออีกข้างหนึ่งจับเส้นด้ายอ่อนนุ่มราวกับไม่มีอยู่จริงนั่นขึ้นมา มองตามเส้นสายที่ทอดยาวออกจากปมบนข้อมือออกไปด้วยหัวใจที่เต้นรัว

เชี่ยๆๆๆ

ฝ่ามือทั้งสองข้างเริ่มสาวเส้นด้ายอย่างช้าๆ พร้อมกับขาที่เริ่มขยับอย่างมึนงง ผ่านกรอบประตูห้องน้ำ... ทอดตัวบนพื้นไม้เทียมสีน้ำตาลอ่อนลอดช่องว่างด้านล่างของประตูห้องนอนออกไป ผมเร่งจังหวะการไล่ตามเส้นด้ายแห่งโชคชะตาเมื่อตระหนักได้ว่าปลายทางมันคงจะไม่ได้อยู่ภายในห้องของผมแน่นอน ฝีเท้าเร็วขึ้นจนแทบจะกลายเป็นวิ่งไปคว้าลูกบิดบนบานประตูสีขาว ออกแรงหมุนให้เปิดออก...

ใจสั่นระรัวด้วยความรู้สึกมากมายที่ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก ขณะที่เริ่มก้าวเท้าตามเส้นด้ายที่เชื่อมต่อกับข้อมือของตัวเองไปอีกครั้ง

...ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่บานประตูสีขาวของห้องข้างๆ

ได้แต่นิ่งค้าง... ตามไม่ทันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงแม้เส้นด้ายบางเบาจะทอดยาวลอดผ่านประตูบานนี้ไปจริงๆ แต่ว่า...
ล้อเล่นแล้ว ปลายทางของเส้นด้ายมันจะไปอยู่ที่ห้องนี้ได้ยังไง ในเมื่อ...

แกรก!

ยังไม่ทันจะประมวลผลอะไรได้ เสียงลูกบิดก็ดังขึ้นมาพร้อมกับประตูที่เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเจ้าของใบหน้าคมติดจะงัวเงียในสภาพเปลือยท่อนบนมีเพียงกางเกงยางยืดขายาวที่เกาะเอวไว้หลวมๆ อวดเรือนร่างสมส่วนแสนน่าอิจฉา ใบหน้าแสนคุ้นตาที่เรียกความทรงจำอันเลือนรางของเมื่อคืนกลับมา

“ทำอะไรอ่ะ”

“...” ว่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันคือเรื่องจริง

“ไอ้นี่มันกระตุกไม่หยุดเลย”

หลักฐานก็คือ ‘ไอ้นี่’ ที่กระตุกยิกๆ อยู่บนข้อมือข้างซ้ายของเขา ...คือด้ายเส้นเดียวกันกับที่ผูกอยู่บนข้อมือข้างซ้ายของผม

ชัด... ชัดเลย...

เชี่ยเอ๊ย! เนื้อคู่กูเป็นผู้ชาย!
 

เขาชื่อคิน... อายุมากกว่าผมสองปี มีอาชีพเป็นเชฟในภัตาคารอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง และห้องของเราอยู่ห่างกันแค่กำแพงคั่นนี่เอง

หล่อ แสนดี สุภาพ อบอุ่น คือนิยามของพี่คินที่ป้าศรี แม่บ้านวัยสี่สิบปลายๆ ท่องให้ผมฟังทุกครั้งที่เข้ามาทำความสะอาดห้องผมถัดจากห้องพี่เขา เราเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน เพราะตอนที่พี่คินย้ายมาใหม่ๆ เขามาเคาะห้องผมเพื่อแนะนำตัวและผูกมิตรด้วยซูชิทะเลรสเลิศที่ทำผมคิดถึงรสชาติไปอีกหลายวัน หลังจากนั้นเวลาเจอกันเราก็ทักทายกัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น...

ผมเจอพี่เขาไม่เกินอาทิตย์ละครั้งด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ได้ข่าวคราวของพี่คินผ่านป้าศรีอยู่เสมอ คำพูดอวยสรรพคุณเกินมนุษย์ที่ถูกกรอกเข้าหูอาทิตย์ละสองวัน บวกกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ไม่มีอะไรขัดแย้ง ทำเอาผมเชื่อสนิทใจแล้วว่าพี่เขาเพอร์เฟ็กต์ซะขนาดนั้นจริงๆ

แต่ผมก็ไม่ได้อยากได้พี่คินมาเป็นเนื้อคู่ผมมั้ยวะ

“เชี่ยเอ๊ยยย!” ผมสบถคำเดิมซ้ำๆ มากว่าชั่วโมง เดินวนไปวนมาอยู่ที่เดิมพลางยกมือขึ้นมากัดเล็บตัวเองจนแทบหลุดก่อนจะสบถเสียงดังอีกรอบ

พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรวะเนี่ย

ผมก้มลงมองด้ายแดงที่ข้อมือตัวเองอย่างหงุดหงิด ก่อนจะใช้มืออีกข้างพยายามแกะปมที่ผูกเอาไว้ออก แต่ดึงก็แล้ว กระชากก็แล้ว เส้นด้ายแสนเหนียวแน่นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุด แถมผมยังลืมไปว่า การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นกับเส้นด้ายฝั่งนี้ มันจะกระทบไปถึงปลายเส้นด้ายอีกฝั่งที่มองไม่เห็นด้วย

ก๊อกๆ

ผมสะดุ้ง มองไปที่ประตูห้องตัวเองอย่างหวาดกลัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครรออยู่หลังประตู ก่อนหน้านี้หลังจากรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมก็รวบรวมสติอย่างไวก่อนจะวิ่งกลับห้องตัวเองมาโดยไม่ได้เอ่ยอะไรกับอีกคน หวังให้นี่เป็นความฝันเพี้ยนๆ ที่พอตื่นมามันก็จะหายไป กลายเป็นเช้าวันใหม่ที่ผมนั่งแฮงค์เหล้าโดยไม่มีไอ้ด้ายเวรนี่มากวนใจ

ตื่นสิวะไอ้ธาม ตื่นๆๆ

ก๊อกๆ

“อยู่มั้ย?” เสียงทุ้มที่เอ่ยลอดประตูมาทำให้ผมชะงักไปอีกครั้ง รู้ว่าเขาถามไปอย่างนั้นในเมื่อด้ายแดงที่ข้อมือน่าจะให้คำตอบได้ดี

เอาไงดีวะ

“ธาม” แต่ขณะที่ผมกำลังทึ้งหัวตัวเองอย่างหนักใจ เสียงทุ้มที่อีกฝั่งของประตูกลับดังขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังไม่เบา ทว่ากลับทำให้ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งไป

ทำไมอยู่ๆ มันถึงได้รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมา...

กว่าจะรู้ตัว ผมก็เดินมาหยุดอยู่หน้าประตู ฝ่ามือเอื้อมไปจับลูกบิด สูดหายใจลึกครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดประตู

เชื่อเถอะว่าผมไม่ได้เตี้ยเท่าไหร่ แต่คนตรงหน้ากลับสูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย คราวนี้เขาใส่เสื้อแล้วเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัวถูกพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก ท่อนล่างที่เคยเป็นกางเกงนอนถูกเปลี่ยนเป็นกางแกงสแล็คห้าส่วนดูเกือบจะเป็นทางการ

เป็นชุดแบบเดียวกับที่ผมเห็นเขาใส่ทุกครั้งตอนออกไปทำงาน

“ซุปมิโซะ” หลังจากยืนสำรวจร่างสูงกว่าอยู่นาน เขาก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง พลางยื่นกระปุกเก็บความร้อนมาตรงหน้า
ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองควรจะอยู่ในอาการเมาค้างจากการกินเหล้าเมื่อคืน

“ขอบคุณครับ” รับมาง่ายๆ เพราะยังไงก็เป็นรสชาติอาหารที่คุ้นเคย

ด้วยความที่มีอาชีพเป็นฟรีแลนซ์ รับงานกราฟฟิคดีไซน์จากบริษัทใหญ่ที่จะติดต่อมาทางอีเมลอีกที ชีวิตส่วนใหญ่ของผมจึงอยู่หน้าจอคอมพ์ฯ ไม่ค่อยได้ออกจากห้องเท่าไหร่นัก เรื่องอาหารการกินจึงถูกจัดการโดยแม่บ้านที่เข้ามาทำงานอาทิตย์ละสองครั้ง ป้าศรีจะเอาอาหารสำเร็จรูปหรืออะไรก็ตามที่พอให้ผมประทังชีวิตอยู่ได้ทิ้งไว้ให้ในตู้เย็น

รวมทั้งอาหารฝีมือพี่คินที่ถูกฝากมาเป็นประจำ

ก็เหมือนกับที่เล่าเรื่องพี่คินให้ผมฟัง ป้าแกก็คงเล่าเรื่องผมให้พี่ชายข้างห้องฟังเหมือนกัน ถึงได้แสดงความปรารถนาดีด้วยการเนียนส่งอาหารมาตุนให้ไม่ขาด และฝากมากำชับให้ผมกินอาหารตรงเวลา

เขาเป็นเชฟ และอาหารก็ถูกปาก ที่ผ่านมาก็ไม่คิดอะไร คิดว่าเป็นความจากเพื่อนบ้านธรรมดาๆ แต่ว่าตอนนี้... ไม่คิดไม่ได้แล้วล่ะ

ว่าบางทีพี่เขาอาจจะคิดอะไรกับผม

ผมเคยรู้มาว่าเปอร์เซ็นต์ของการตกหลุมรักก่อนด้ายแดงปรากฏ กับการที่ด้ายแดงปรากฏขึ้นมาก่อนแล้วค่อยรักกันมันมีแบบครึ่งต่อครึ่ง แต่ก็ไม่กล้าเดาว่าในกรณีของพี่เขามันเป็นครึ่งไหน

“สีหน้าไม่ค่อยดีนะ” เขาว่า “กินซุปแล้วนอนพักซะ” ฝ่ามือหนาถือวิสาสะขยี้ลงมาบนหัวผมเบาๆ

เฮ้ยคุณ... ใช่ว่าพอรู้ว่าเป็นเนื้อคู่กันแล้วจะทำอะไรกับหัวผมก็ได้นะครับ...

แล้วทำไมหัวใจผมต้องเต้นแรงด้วยวะ

นี่เหรอผลข้างเคียงของปรากฏการณ์ด้ายแดง...

“พี่คิน” ผมเรียกชื่อเขาเมื่อคนตัวสูงทำท่าเหมือนจะตัดใจจากการพูดอะไรบางอย่างและกำลังจะหันหลังกลับไป “ผมอยากคุย”

คิ้วเข้มขยับด้วยสีหน้าตั้งคำถาม ก่อนจะยกมือข้างเดียวกับที่มีด้ายแดงผูกไว้คู่กับนาฬิกาขึ้นมาดู แล้วพยักหน้า

“เอาซุปมา เดี๋ยวใส่ถ้วยให้”

แล้วผมก็ยื่นกระปุกซุปกลับไปให้เขาอีกครั้งพลางถอยหลังให้ร่างสูงเดินเข้ามาในห้องตัวเองอย่างง่ายดาย
 

พี่คินไม่เคยเข้ามาในห้องผมเลยสักครั้ง...

แหงล่ะ มีเหตุผลอะไรให้ต้องมากัน แต่เขาคงประหลาดใจน่าดูที่เขาเห็นสารพัดข้าวของเครื่องใช้ตัวเองในครัวห้องผม ถึงจะเตือนตัวเองอยู่บ่อยๆ ว่าควรเอาไปคืน แต่ก็ลืมทุกที ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นกระติกใส่ซุป กล่องพลาสติกเก็บอาหาร จานชามเซรามิคอย่างดี หรือแม้กระทั่งตะเกียบที่ถูกใช้อยู่เป็นประจำล้วนเป็นของที่ผมริบอ้อมๆ มาจากพี่คินทั้งนั้น

ด้วยความที่แปลนห้องถูกออกแบบมาให้เหมือนกันแต่กลับด้าน ร่างสูงจึงรู้ว่าควรเดินไปทางไหนโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องชี้นำ เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์หยิบชามเซรามิคสีเข้มออกมาเทน้ำซุปร้อนๆ ใส่ลงไป ผมไล่สายตามองตามด้ายแดงที่ทอดยาวจากข้อมือตัวเองออกไปยังเจ้าของแผ่นหลังตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ท่วงท่าคล่องแคล่วทว่าพลิ้วไหวทำเอาหัวใจที่เพิ่งสงบกลับมาเต้นแรงอีกครั้ง

เอาอีกแล้ว ผลข้างเคียงของด้ายแดง

“อ่ะ” ไม่นานพี่คินก็หันกลับมา เขาเลื่อนชามน้ำซุปมาตรงหน้าผม ก่อนจะเท้ามือลงที่ขอบโต๊ะฝั่งตรงข้าม มองมานิ่งๆ เหมือนรอให้ผมเริ่มกิน

ผมก้มลงมองน้ำซุปธรรมดาๆ แต่กลับดูพิถีพิถัน เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มหยิบช้อนขึ้นมาตักน้ำซุปเข้าปาก
ส่งเสียงครางในลำคอเมื่อพบว่ารสชาติที่ผ่านปลายลิ้นมันละมุนละไมไม่เสียทีที่เป็นน้ำซุปฝีมือเชฟภัตตาคาร
รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองโชคดี ที่มีเนื้อคู่ที่มีเสน่ห์ปลายจวักขนาดนี้

เอ่อ... ไม่ใช่ดิวะ

ผมชะงักมือที่กำลังตักน้ำซุปคำถัดไป เงยหน้าขึ้นมาทันเห็นว่าเขากำลังยิ้ม... รอยยิ้มอ่อนโยนเสียงยิ่งกว่าคำโฆษณาที่ได้ยินมาหลายเท่า

“จำได้ป่ะว่าเมื่อคืนทำไรไว้” หย่อนสะโพกลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม กอดอกถามทีเล่นทีจริง

ผมชะงัก พยายามคิดว่าตอนเมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่นอกจากเรื่องที่ผมเดินโซเซจนล้มและเรื่องที่มีด้ายแดงปรากฏขึ้นมา ผมก็จำอะไรไม่ได้

เอ๊ะเดี๋ยวนะ... เหมือนจะมีอีกเรื่องนี่หว่า...

เชี่ยย นึกออกละ

“เฮ้ยพี่ ผมขอโทษ” ผมวางช้อน แทบจะยกมือไหว้ ซุปมิโซะแสนอร่อยไม่น่ากินอีกต่อไป

เมื่อคืนผมแม่ง อ้วกใส่พี่เขา

ทำไมเมาแล้วเรื้อนขนาดนั้นวะ

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร” พี่คินหัวเราะน้อยๆ เอื้อมมือมาดันชามซุปเป็นเชิงบอกว่าให้ผมกินเถอะ ไม่แกล้งแล้วอะไรทำนองนั้น

ผมเริ่มกินอีกครั้งอย่างรักษามารยาท และรสชาติของซุปก็ดีเลิศซะจนเสียดายถ้าปล่อยให้มันเหลือ ดังนั้นผมจึงซดมันจนเรียบในเวลาเพียงไม่กี่นาที

“เอาอีกมั้ย” เขาถาม ผมส่ายหน้า

ถึงจะอยากกินอีก แต่ผมไม่อยากเสียเวลาแล้วล่ะ

พี่คินก็เหมือนจะอ่านสายตาผมออก พี่เขาจึงกอดอกสีหน้าเหมือนจะบอกว่าให้ผมเปิดประเด็นได้เลย

“ผมว่ามันอาจมีอะไรผิดพลาด” ผมยกแขนข้างซ้ายที่มีด้ายแดงเชื่อมระหว่างเราสองคน “ผมไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน ดังนั้นมันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

ผมโกหก... อันที่จริงผมไม่เคยชอบใครมาก่อนเลยต่างหาก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกชอบมันเป็นยังไง หวังแต่จะให้ด้ายแดงช่วยส่งเนื้อคู่สวยๆ มาให้สักคนทั้งๆ ที่ตัวเองนั่งทำงานงกๆ อยู่ในห้องเนี่ยแหละ

แต่ใครจะไปรู้ว่าพระเจ้าจะส่งผู้ชายหล่อสัสๆ มาแทน

“แต่พี่ชอบผู้ชาย” พี่คินกอดอกนิ่ง มองมาอย่างสงบ แต่ผมไม่รู้เลยว่าพี่เขากำลังคิดอะไร “และไม่คิดว่าเรื่องของเรามันผิดพลาด”

“...”

“พี่ชอบเรา... ตั้งแต่ก่อนมีด้ายแดงนี่เสียอีก”

ชิบ... หาย...

ว่าแล้วไง

“ดะ...เดี๋ยวนะ” ผมยกมือห้ามไม่ให้เขาพูดต่อ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน รู้แต่ว่าหัวใจมันกำลังจะระเบิด ผมเบือนหน้าหนีจากสายตาสงบนิ่งทว่าจริงจังของพี่คิน แล้วยกมือขึ้นมานวดหน้าอกของตัวเองเบาๆ กระพริบตาปริบๆ อย่างตั้งตัวไม่ทัน คำพูดที่เตรียมไว้แม่งวิ่งหายออกไปจากหัวหมดเลย “ชอบ... ได้ไง”

บอกแล้วไงว่าเราคุยกันนับครั้งได้ด้วยซ้ำ

พี่คินยักไหล่ “จะชอบใครต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”

ได้เหรอวะ ตอบแบบนี้ได้ด้วยเหรอ

พี่คินหัวเราะขำกับหน้าเหวอๆ ของผม ก่อนจะถอนหายใจ “มันออกจะแปลกๆ นิดหน่อย” นิ้วเรียวสวยถูกยกขึ้นมาเกา
ปลายจมูกโด่งที่ขึ้นสีระเรื่อนิดๆ หลบสายตาเหมือนกำลังเขินอาย

ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกอายไปด้วย แม่งไม่ใช่เรื่องเลย

“พอฟังจากป้าศรีว่าธามใช้ชีวิตยังไง ก็เกิดเป็นห่วงขึ้นมา” พี่คินเงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้ว สายตาแสดงออกว่าเป็นห่วงผมจริงๆ “จำได้มั้ยตอนที่ธามป่วยอยู่ในห้อง ไม่มีรู้จนป้าศรีแกมาเจอ แล้วให้พี่ช่วยพาส่งโรงพยาบาล”

ผมขมวดคิ้ว จำได้รางๆ ตอนนั้นป่วยหนักมากจนไม่มีสติรับรู้ว่าใครมาช่วยบ้าง รู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว ป้าศรีเอ็ดผมยกใหญ่ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำไม่ดูแลสุขภาพ จำได้ว่าป้าศรีพูดถึงพี่คินด้วย ยังคิดอยู่เลยว่าควรตอบแทน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ทำสักที

“ตอนนั้นพี่เป็นห่วงมากนะ อยู่ข้างห้องกันแท้ๆ แต่ธามเป็นอะไรพี่ไม่เห็นรู้เลย ถ้าตายคาคอนโดขึ้นมาทำไง”
ผมได้แต่ยิ้มเจื่อน เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระให้ชาวบ้านก็วันนี้

“หลังจากนั้นพี่ก็เลยอยากรู้เรื่องธามตลอด ให้ป้าศรีอัพเดตให้ฟัง วันไหนไม่กินข้าว ทำงานไม่หลับไม่นอน พยายามเงี่ยหูฟังเผื่อเป็นอะไร... รู้ตัวอีกทีก็มีแต่เรื่องเราเข้ามาให้คิด ให้วุ่นวายใจอยู่ตลอด”

“พี่คิน...” ผมอึกอัก ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร หัวใจมันเต้นแรงจนต้องยกมือปรามให้อีกฝ่ายหยุดพูดก่อนหัวใจจะหลุดออกมา
บอกตามตรงว่าไม่ชิน... โคตรไม่ชินกับการที่ต้องมาฟังอะไรแบบนี้ จากผู้ชายอีกต่างหาก

แล้วใครจะไปคิด ว่ากามเทพตัวจริงจะเป็นป้าศรีนี่เอง เห็นทีต้องโวยวายบ้างที่เอาเรื่องของผมไปพูดมาก... แต่พอคิดอีกที ผมก็รู้เรื่องมากมายของพี่คินผ่านป้าศีเหมือนกัน

ถือว่าหายกันละกัน

“พี่ชอบธามจริงๆ” ผมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีนิลที่มองตรงมาอย่างแน่วแน่จริงใจ “แต่ถ้าธามไม่โอเคก็ไม่เป็นไร” เขาพูดน้ำเสียงยังคงฟังสบาย ทว่าพอผมหันกลับไปเห็นว่าคิ้วเข้มกำลังขมวดน้อยๆ ก็รู้ว่าพี่เขาไม่ได้กำลังรู้สึกสบายใจ

“มันมีนะ วิธีตัดด้ายแดง”

“จริงเหรอพี่!” ผมเบิกตากว้าง แทบจะกระโดดไปนั่งตักเขาเขย่าให้รีบบอกว่ามันคือวิธีอะไร

“หึ” พี่คินหัวเราะอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นเสียงหัวเราะในลำคอที่ฟังดูขืนกว่าปกติ เขาหลบสายตาลงแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาสบตาผม

“เมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่ปรากฏการณ์ด้ายแดงเริ่มเกิดขึ้นใหม่ๆ มีชายหญิงคู่หนึ่งที่ไม่พอใจในคู่แท้ของตัวเอง ก็เลยหาวิธีตัดด้ายแดงออก...”

เขาวรรค ผมลุ้นตาม

“แล้วทำได้มั้ย?”

“อืม” พี่คินพยักหน้า “เหมือนกับพิธีผูกวิญญาณในการแต่งงาน แต่ตรงข้ามกัน การทำให้ด้ายแดงหายไป ทำได้ด้วยวิธีตัดวิญญาณ แต่...”

“แต่?”

“มันมีผลข้างเคียงนิดหน่อย”

ว่าแล้วเชียว แค่คำว่าตัดวิญญาณก็ฟังดูน่ากลัวแล้ว จะทำได้โดยไม่เกิดอะไรขึ้นเลยได้ยังไง

“คู่ที่ตัดวิญญาณ จะไม่สามารถมีความรักได้อีกเลย” เขามองหน้าผมเหมือนกำลังอ่านอะไรบางอย่างจากสายตา

“...”

“มันไม่เหมือนการครองโสดตลอดชีวิตที่พระเจ้ามอบให้ เพราะไม่ใช่แค่ต้องตัดขาดจากคนรัก... แม้แต่เพื่อน หรือครอบครัว ความสัมพันธ์ที่มีความรักเป็นสื่อกลางจะถูกทำลายลงทั้งหมด กลายเป็นคนไร้หัวใจ... ไร้ความหวัง ร่างกายเหี่ยวเฉาและโรยรา แต่ว่ายังหายใจ”

นั่นมัน... ไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็นเลยไม่ใช่หรือไง

ถ้าไม่มีความรัก ชีวิตจะมีความหมายอะไร

“มันเป็นแค่เรื่องที่พี่เคยได้ยินคนในครัวเขาเม้าท์กันล่ะนะ ไม่รู้หรอกว่าจริงมั้ย” พี่คินคงอ่านสีหน้าหวาดกลัวของผมได้ ถึงเอ่ยเหมือนปลอบใจขึ้นมา “แต่ถ้าเราอยากลอง พี่ก็จะตามใจ”

“เฮ้ย ไม่เอา!” ผมโวย ดึงมื้อซ้ายมาแนบอกพลางใช้มืออีกข้างกุมด้ายไว้อย่างหวงแหน
พี่คินยิ้มอีกแล้ว

เขาจะรู้มั้ยนะว่ารอยยิ้มบางๆ ของตัวเองมันเป็นผลข้างเคียงอันร้ายกาจของปรากฏการณ์ด้ายแดงที่ส่งผลต่อผมอย่างจัง...
ไม่ชอบเลยว่ะ ที่ร่องรอยการขยับมุมปากแค่ไม่กี่เซนต์ทำให้ผมใจเต้นแรงขนาดนี้

“ถะ...ถ้างั้นเอาไงดี” ผมเบือนหน้าหนี เสียงตะกุกตะกักอย่างคุมไม่ได้

พี่คินเงียบไปพักใหญ่ เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นกลับไปสบตาเขาอีกครั้ง ดวงตาสีนิลคู่นั้นฉายแววแน่วแน่ปนรอยยิ้ม

“ก็ถ้าธามไม่ว่าอะไร...”

“...”

“พี่อยากรู้จักเราให้มากกว่านี้”



-- Timeless_O --

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
The Scarlet Thread
-3-

ไม่บ่อยนักที่ผมจะมานั่งจินตนาการว่าใครกำลังทำอะไร ยิ่งตอนที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์โดยมีเดดไลน์ไล่หลังมายิ่งแล้วใหญ่ มันไม่ใช่เวลาจะมาทำอะไรไร้สาระแบบนี้เลย

แต่ผมหยุดความคิดไม่ได้นี่หว่า

รู้ตัวอีกทีก็เผลอนั่งเหม่อเข้าอีกแล้ว

ป่านนี้พี่คินจะกำลังทำอะไรอยู่... เขาเป็นเชฟในภัตคารงานคงยุ่งน่าดู นึกภาพเขาสวมชุดพ่อครัวแบบญี่ปุ่นเท่ๆ เหมือนในการ์ตูน ทำนู่นทำนี่อย่างคล่องแคล่วทว่าพิถีพิถัน เอาใจใส่ในทุกกระบวนการ... มันคงเป็นภาพที่น่ามอง...
มองเชี่ยไรล่ะ! ทำงานสิโว้ย

ผมยีหัวตัวเองแรงๆ หันกลับมาโฟกัสกับหน้าจออีกครั้ง แต่ก็ทำได้แค่เลื่อนเม้าส์ไปมา ไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่จุดเดียว คำพูดของพี่คินเมื่อเช้ายังคงวนเวียนอยู่ในหัว จนสุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ คิดว่าพักให้สมองโล่งๆ สักหน่อยก็คงจะดี
ผมวางเม้าส์ลง ทิ้งหน้าจอเปิดค้างไว้อย่างนั้น ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟสำเร็จรูปยังไม่หมดดีขึ้นมากระดกจนเกลี้ยงพลางเดินออกจากห้องนอน แวะเอาแก้วกาแฟไปวางไว้ที่ซิ้งค์ล้างจานในครัวแล้วเดินออกมาบิดขี้เกียจที่ระเบียง

ชั้นที่ผมอยู่ค่อนข้างสูงพอสมควร ทำให้เห็นวิวของเมืองยามค่ำคืนชัดเจน แถมลมกลางคืนก็พัดมาชวนให้เย็นสบาย มันเป็นเหตุผลที่ผมไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกเวลาคิดงานไม่ออก หรือมีอะไรไม่สบายใจ แค่เดินออกมาสูดอากาศนอกระเบียง มองวิวสวยๆ แสงไฟของเมืองก็เพียงพอให้ร่างกายได้ชาร์ตพลังแล้ว แต่ก็มีอีกอย่างที่ผมคิดว่าเป็นตัวช่วยหนึ่งในการชาร์ตพลัง

ผมหยิบสมาร์ทโฟนที่แบตเหลือเพียงขีดเล็กๆ สีแดงขึ้นมาดูนาฬิกา นี่ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว ถ้าเป็นปกติก็คง...
ผมชะงักความคิดตัวเองลง เมื่อได้กลิ่นฉุน และควันสีจางลอยมาตามลม

ออกมาสูดอากาศเวลานี้ทีไร ผมมักจะได้กลิ่นบุหรี่จากระเบียงห้องข้างๆ ลอยมาทุกที ตอนแรกก็หงุดหงิด แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ ไม่คิดว่าพี่คินคนดีของป้าศรี จะมีมุมขบถแบบนี้กับเขาเหมือนกัน

ผมเก็บงำความลับนั้นไว้คนเดียว และอนุญาตให้เขายืนหลังกำแพงที่กั้นอยู่อย่างเงียบงันตลอดมา คิดซะว่ามีคนอยู่เป็นเพื่อนเวลาไม่สบายใจ แม้ว่าจะไม่เคยมีบทสนทนา

“อยู่ตรงนี้เหรอ”

แต่คราวนี้มันแตกต่าง...

เราไม่ได้ปล่อยให้สายลมผ่านร่างจนสบายใจแล้วแยกย้ายกันเข้าห้องไปเหมือนทุกครั้ง เกือบจะสงสัยแล้วว่าทำไม ถ้าสายตาไม่เหลือบไปเห็นด้ายแดงที่หดสั้นลงบอกระยะห่างระหว่างสองคน ผมถอนใจ ยกมือขึ้นมาตบหน้าผากตัวเองเบาๆ
ลืมไปเลย...

“ครับ” เอ่ยตอบรับอย่างยอมจำนน

ผมก้าวเท้าไปข้างหน้า เท้าแขนลงกับระเบียงในท่าเดียวกับอีกคนอย่างเปิดเผยตัวตน พี่คินไม่ได้ชะโงกหน้ามาทักทาย เขายังคงยืนอยู่ท่าเดิม ไร้เสียงการขยับตัว

ไม่นานกลิ่นเผาไหม้ของสารเสพติดตัวร้ายก็ค่อยๆ หายไปพร้อมกับร่องรอยของควัน

“มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ” ผมใช้โอกาสนี้เอ่ยถามสิ่งที่สงสัยมานาน

มีเหตุผลอะไรให้คนอย่างเขาต้องสูบบุหรี่กัน

“เมื่อกี้มี แต่ตอนนี้หายแล้ว”

คำตอบนั้นทำเอาเผลอยิ้มออกมา แปลกดีที่พอมีกำเพงคั่น ผมกลับปล่อยให้ริมฝีปากตัวเองคลี่ยิ้มได้ง่ายกว่าตอนอยู่ต่อหน้า

“...”

“...”

บทสนทนาเหมือนจะจบลงแค่นั้น เรากลับมาปล่อยให้ความเงียบปกคลุมบรรยากาศอีกครั้งอยู่นาน ก่อนที่เสียงทุ้มอีกฝั่งจะดังขึ้นมา

“ไปหาได้มั้ย?” คำถามที่ทำเอาผมร้องออกมาอย่างประหลาดใจ

“ฮะ? มาทำไม”

เขาหัวเราะเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่คิดอะไร “ก็ที่บอกไปเมื่อเช้าไง”

“...”

“อยากทำความรู้จักเราให้มากกว่านี้” ผมชะงัก ไม่รู้จะตอบโต้คำพูดตรงไปตรงมานั้นยังไง ขณะที่อีกคนเอ่ยอีกจุดประสงค์ที่ทำให้สบายใจกว่าออกมาในประโยคถัดไป

“แล้วก็ วันนี้ได้แซลม่อนมา... อยากกินซาชิมิมั้ย?”

ผมหัวเราะเบาๆ นึกแปลกใจที่เขาเอาอาหารมาล่อเหมือนรู้ว่าผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่กลางวัน ตัดสินใจไม่นานก็คล้อยตามคำเชิญชวน

“ก็ดีครับ”

เดาได้ไม่ยากว่าพี่คินเองก็กำลังยิ้มกับคำตอบนั้น

ร่างสูงเริ่มขยับตัว ได้ยินฝีเท้าของเขากำลังจะเดินเข้าห้องจึงรีบเรียกเอาไว้

“เออพี่คิน” ไหนๆ ก็มีโอกาสได้คุยกันตรงนี้ทั้งที หลังจากเอาแต่ยืนฟังความเคลื่อนไหวจากอีกฝั่งเงียบๆ ไม่ต้องการก้าวก่าย

ทั้งที่อยากจะเตือนมานาน

“สูบบุหรี่มันไม่ดีนะ”

พี่คินเงียบไปสักพัก ทำเอาผมเกือบหลงคิดว่าเขาจะไม่พอใจ แต่เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ทำให้ความคิดนั้นหายไป พร้อมกับทดแทนด้วยความคิดใหม่จากประโยคบอกเล่าของคนหลังกำแพง

“เสียดาย...”

“...”

“ถ้าพูดต่อหน้า คงเลิกได้ตั้งแต่วินาทีนี้เลย”

“...”

ให้ตายเถอะ ดูเหมือนผลข้างเคียงจากด้ายแดงมันจะรุนแรงขึ้นทุกที
 

ระยะห่างระหว่างด้ายแดงหดสั้นกว่าเดิม เมื่อปลายทางทั้งสองฝั่งอยู่ใกล้กันในระยะไม่กี่ก้าว

ภาพที่ผมจินตนาการไว้เมื่อครู่ ไม่ต่างจากที่คาดหวังเท่าไหร่นัก ถึงแม้จะอยู่ในเสื้อยืดคอกลมสีเทากับกางเกงนอนตัวเก่า แต่สีหน้าเคร่งขรึมดูตั้งใจ จังหวะการใช้มีด ความพิถีพิถันในการแร่เนื้อปลา หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ และจัดเรียงลงจานเซรามิคตรงหน้าผมก็ดูงดงามจนอยากจะลุกขึ้นมาปรบมือให้ดังๆ

มื้อดึกของผมวันนี้ดูดีซะยิ่งกว่าอาหารที่ผมเคยกินมาตลอดชีวิตซะอีก

“โห...” แถมยังรสเลิศหาเปรียบไม่ได้อีกต่างหาก “โคตรอร่อย”

ผมทำตาลุกวาวพลางตักแซลม่อนคำต่อไปเข้าปาก

พี่คินยิ้มน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงมองผมคีบแซลม่อนกินอย่างตะกละตะกาม เชื่อว่าในฐานะเชฟคนหนึ่งเขาคงพอใจที่มีคนกินอาหารที่เขาทำอย่างเอร็ดอร่อยแบบนี้

ไม่นานผมก็ซัดแซลม่อนซาชิมีในจานจนเกลี้ยง อยากจะเลียจานให้สาสมกับความอร่อยของมันแต่ก็เกรงใจคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม เลยได้แต่วางตะเกียบผงกหัวขอบคุณ

“กินจุเหมือนกันนะเรา” พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
               
“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นไง” ผมเถียง พี่คินเลยเลิกคิ้วประหลาดใจ
               
“เคยฝากป้าศรีมาบอกแล้วไงว่าให้กินข้าวให้เป็นเวลา” เขาย้ำคำพูดที่ผมเคยรู้จากบุคคลที่สาม และไม่เคยคิดว่ามันเป็นความจริง
               
จนกระทั่งมาได้ยินเองกับหูนี่แหละ
               
“ก็... มันไม่ค่อยมีเวลา” ผมตอบอึกอัก ก้มหน้ามองเส้นด้ายที่ข้อมืออย่างไม่รู้จะเอาสายตาไปไว้ไหน
               
มันกำลังสั่นระริก... เหมือนหัวใจของผม ทำให้นึกสงสัยขึ้นมาว่าปลายเส้นด้ายอีกฝั่งจะรับรู้มันได้ไหม
               
“แย่ล่ะสิ” เขาบ่นพึมพำ แต่แน่นอนว่าผมได้ยิน
               
ดวงตาคมหรี่ตามองผมเหมือนกำลังคาดโทษกัน ก่อนจะเอ่ยคำที่ทำให้ผมใจสั่นได้อีกครั้งด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย
               
“เห็นทีต่อไปนี้คงต้องมาเฝ้าทุกมื้อซะแล้ว”
 

ผมไม่คิดหรอกว่าเขาจะทำจริงๆ ...จนกระทั่งเขาทำมันจริงๆ นี่แหละ

“พี่คิน อย่าจ้อง ผมไม่มีสมาธิทำงาน” ผมถอนหายใจ มองใบหน้าหล่อเหลาที่จ้องผมนิ่งอยู่อย่างนั้นมานานกว่าห้านาที
               
“โทษที” บอกว่าขอโทษแต่ดันหัวเราะไปด้วยซะงั้น
               
เสียงหัวเราะที่ทำให้ด้ายสีแดงบนข้อมือสั่น กระทบมาถึงหัวใจ
               
นี่ก็ปาเข้าไปสองอาทิตย์แล้ว นับตั้งแต่มีด้ายแดงแห่งโชคชะตาโผล่ขึ้นมาที่ข้อมือ... และนับตั้งแต่ที่พี่คินพูดว่าอยากทำความรู้จักผม
               
ไม่รู้อะไรดลใจให้วันนั้นผมตอบตกลงอย่างว่าง่าย มันเลยลงเอยด้วยการที่พี่เขาแวะมาที่ห้องทุกวัน มาทำข้าวเช้าให้กินก่อนไปเตรียมของที่ภัตาคาร แวะมาหาตอนกลางวัน และปิดท้ายด้วยมื้อเย็นที่บังคับให้ผมกินได้อย่างง่ายดายเพียงเพราะขู่ว่าถ้าไม่กินเขาจะเฝ้าอยู่อย่างนั้น และคงไปทำงานสาย
               
เขาทำอย่างนั้นอยู่หลายวันจนผมลำบากใจ กลัวทำให้เขาเดือดร้อนก็เลยยืนยันว่าจะกินข้าวให้ตรงเวลา ถึงขึ้นเฟสไทม์ไปรายงานว่ากินตรงเวลาแล้วจริงๆ พี่คินถึงยอม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแวะมาหาผมหลังเลิกงาน มานั่งเงียบๆ แสร้งทำเป็นคิดสูตรอาหารพยายามไม่ส่งเสียงรบกวนอะไร
แต่เชื่อเถอะว่าสายตาของคุณพี่มันทำผมเสียสมาธิสัสๆ เลย
               
“จ้องผมแบบนี้มันทำให้รู้จักดีขึ้นตรงไหน” ผมหันมาถามอย่างจริงจัง
               
ถึงชีวิตฟรีแลนซ์บ้างานอย่างผมจะไม่ได้ทำความรู้จักยากนัก แต่มันก็ไม่น่าง่ายขนาดมานั่งจ้องไม่กี่ชั่วโมงก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งได้หรอกนะครับ
               
“รู้สิ”
               
 อ้าว... ได้เหรอ
               
“รู้ว่าเราเป็นคนบ้างาน กินจุ แล้วก็ขี้หงุดหงิดนิดหน่อย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
               
คงหมายถึงตอนผมทำงานไม่ได้ดั่งใจแล้วชอบโวยวายออกมาสินะ ก็มันหงุดหงิดนี่หว่า บางทีทำมาตั้งนานแต่ดันเซฟทับซะงั้น ทำเอาผมสบถคำหยาบออกมาไม่ยั้ง
               
แต่ถึงอย่างนั้นพี่คินกลับไม่ตกใจ หรือมองว่ามันน่ารำคาญ กลับกัน เขายังมองผมขำๆ พยายามพูดให้ใจเย็นลง หลายครั้งที่มันเป็นปัญหาที่เจออยู่ซ้ำๆ และสิ่งที่ผมมักจะทำก็คือการหงุดหงิดฟาดงวงฟาดงา บางทีถึงขั้นต้องสงบสติอารมณ์เป็นวันกว่าจะทำใจกลับมาทำงานได้เหมือนเดิม พอมีพี่คินอยู่ด้วย ความสงบนิ่งมีสติของเขาเหมือนจะแผ่ขยายมาถึงผมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ปัญหาที่ยากกลับง่ายเสียจนบางทียังตกใจ 

จะว่าไปมันก็แปลกดีที่ได้เห็นเขาอยู่ตรงนี้ แทนที่จะออกไปที่ระเบียง ให้ควันบุหรี่บ่งบอกตัวตน และใช้ความเงียบหลังกำแพงช่วยปลอบโยนเหมือนที่ผ่านมา

“หิวมั้ย” ที่สำคัญ... การมีอยู่ของเขายังมาพร้อมกับอาหารอร่อยๆ ที่สามารถดับอารมณ์คุกรุ่นยามทำงานของผมได้ตลอด
               
ถ้าผมหงุดหงิดบ่อยๆ แล้วพี่เขาเอาอาหารมาดับอารมณ์แบบนี้ทุกครั้งผมคงกลายเป็นหมูเข้าสักวัน

“มีแอปเปิ้ลอยู่ในตู้เย็น” 
               
ตู้เย็นผมแท้ๆ ไม่เห็นจะรู้เลยว่ามีแอปเปิ้ลอยู่
               
“ก็ดีครับ” ผมไม่ปฏิเสธ เพราะรู้ว่ายังไงพี่เขาก็ดื้อแพ่งหั่นแอปเปิ้ลมาวางไว้ตรงหน้าล่อตาล่อใจให้ผมจิ้มกินอยู่ดี
               
เป็นอย่างนี้อยู่ตลอดแหละ
               
ไม่นานพี่คินก็เดินกลับเข้ามาพร้อมแอปเปิ้ลจานหนึ่ง ผมวางมือจากงานยืดเส้นยืดสายพอเป็นพิธีก่อนจะหยิบกินโดยไม่พูดอะไร พี่คินได้แต่นั่งมองแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ทำงานหน้าคอมพ์แบบนี้มาตลอดเลยเหรอ” เขาเปลี่ยนคำถาม พอเห็นผมละมือจากงานก็เริ่มชวนคุย
ที่ผมไม่ไล่เขาไปตั้งแต่วันเรกก็เพราะแบบนี้แหละ นอกจากมองผมสลับกับอ่านหนังสือหรือเขียนอะไรยุกยิกกับตัวเองเงียบๆ พี่คินก็ไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้ผมรู้สึกรำคาญใจ เขาพูดในเวลาที่ควรพูด และน้ำเสียงทุ้มต่ำฟังสบายนั่นก็ทำให้ผมผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด

นึกถึงสมัยมหาลัย ตอนทำโปรเจ็กต์อยู่ที่สตูมีเพื่อนอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจกัน ไม่เหงาดี

“ครับ” ผมตอบรับ “แต่ผมไม่เบื่อนะ” ออกตัวไว้ทั้งที่เขายังไม่ทันว่าอะไร

ใครๆ ก็ชอบตัดสินว่างานผมมันน่าเบื่อนี่ นั่งหน้าคอมพ์คลิกเม้าส์จนมือแทบหงิก กว่างานจะเสร็จแต่ละชิ้นหน้านี่แทบจะฝังเข้าไปในจอ แต่ผมพอใจในงานตัวเอง พอใจมากด้วย ดังนั้นอย่าเอาความคิดคุณมาตัดสินงานผมเลย

“พี่ก็ไม่เบื่อเหมือนกัน”

ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงงานตัวเอง หรือว่าอะไร เพราะไม่กล้าถาม

“พี่ไม่ง่วงเหรอ” ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่องแทน

“จะไล่กัน ว่างั้น?” เขาหัวเราะน้อยๆ เหมือนทุกที

“เปล่า” แต่ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้นนะ แค่สงสัยขึ้นมา เขาต้องตื่นเช้าทุกวัน กว่าจะทำงานเสร็จก็เที่ยงคืน ถ้าไม่เอาเวลามานั่งเฝ้าผมก็คงได้นอนเอาแรงไปแล้ว

รู้สึกเหมือนกำลังทำให้เดือดร้อนเลย

“ขอนั่งจ้องอีกสักพักแล้วกัน” เขาพูดขำๆ มองนาฬิกาที่ตอนนี้เข็มสั้นกำลังจะชี้ไปที่เลขสาม

“ถามจริงเถอะพี่” ผมถอนใจ ตัดสินใจเอ่ยถามออกมา “คิดว่าแบบนี้มันดีแล้วจริงๆ เหรอ”

“หมายความว่าไง?”

“ก็... เรื่องด้าย...”

ถ้าผมหรือพี่คินไม่ได้เป็นผู้ชาย เราคงเข้าพิธีแต่งงานลงหลักปักฐานกันไปเหมือนคู่อื่นๆ แล้ว แต่นี่มันไม่ใช่ ไม่รู้พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไร เหมือนท่านกำลังจะฆ่าผมให้ตายด้วยความสับสน มันเป็นเรื่องผิดธรรมชาติแค่ไหน คนอื่นๆ จะมองพวกเรายังไง ผมคิดไม่ตกเลย

“รู้มั้ย มีคู่รักมากมายที่พระเจ้าเลือกให้เขารักกัน ทั้งที่เป็นเพศเดียวกัน... มันไม่ใช่เรื่องผิดสักหน่อย”

รู้สิ ผมรู้เพราะหาข้อมูลตอนที่ด้ายแดงปรากฏขึ้นมานี่แหละ แต่มันน้อยมากจนน่าหวั่นใจ

“แล้วพี่... รับได้เหรอ” ผมอึกอัก สบตาเขาด้วยความไม่มั่นใจ

“รับได้สิ” เขาหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะสบตากันอย่างจริงจัง “บอกแล้วไงว่าพี่ชอบเรา”
               
พูดตรงชิบ...

“แล้วครอบครัวพี่ล่ะ?”

ต่อให้เป็นลิขิตของพระเจ้า แต่ความสัมพันธ์หนึ่งมันก็ยังเชื่อมโยงไปอีกหลายความสัมพันธ์อยู่ดี ผมเองก็ไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับครอบครัวยังไง ในเมื่อพวกเขาคาดหวังให้ผมได้พบเจอเนื้อคู่เป็นผู้หญิงดีๆ มาทำหน้าที่สืบทอดตระกูล

“พี่ไม่มีครอบครัว” ผมชะงักความคิดตัวเองลงเมื่อได้ยินคำตอบเขา มองมุมปากบางที่เจือรอยยิ้มเศร้ายังไงชอบกล “ตอนที่ยังเด็กบ้านพี่ไฟไหม้... ไม่เหลืออะไรเลย”

หมายถึง... คนในครอบครัวด้วยงั้นเหรอ

“พี่คิน” มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นความหม่นหมองในแววตาอบอุ่นคู่นั้น มันเรียกให้ผมเอื้อมมือออกไปแตะฝ่ามือเขา

ด้ายแดงที่ข้อมือหดสั้นลงจนแทบจะไม่เหลือระยะห่าง พร้อมๆ กับหัวใจที่เต้นเบาลงอย่างรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้ารู้สึกยังไง มันทำให้ผมได้คำตอบของคำถามก่อนหน้า ว่าความรู้สึกของผมคงสามารถส่งไปถึงปลายด้ายของพี่คิน เหมือนที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้สินะ

การได้แชร์ความรู้สึกกับใครสักคนนี่มันประหลาดดี

“พี่ไม่เป็นไร” เขาหัวเราะอีกครั้งพลางยกมือขึ้นมาขยี้หัวผม

แต่หัวใจผมยังคงโหวงอยู่แบบนั้น มันทำให้รู้ว่าเขาไม่ได้ดีขึ้นอย่างที่แสดงออก

“ละ... แล้วพี่จะมานั่งเฝ้าผมอีกนานแค่ไหน” ผมพยายามหาเรื่องอื่นมาคุยทดแทนความเศร้า แต่ดันลืมไปว่ามันอาจทำให้เขาตีความไปว่าผมกำลังไล่เขาอีกหรือเปล่า

“แล้วอนุญาตให้เฝ้าได้นานแค่ไหนล่ะ” โชคดีที่เขายังยิ้มเหมือนไม่ได้คิดอะไร

“กะ...ก็แล้วแต่พี่สิ”

คราวนี้หัวใจผมเต้นรัว รู้ว่ามันจะส่งไปถึงอีกฝั่งของเส้นด้าย แต่ก็ห้ามมันไม่ได้อยู่ดี

“ถ้างั้นขอเฝ้าตลอดไปก็ได้ใช่มั้ย?”

“...” ยังดีที่ผมได้สติยั้งปากตัวเองไว้ทัน

ไม่อย่างนั้นคงเผลอตอบว่าครับออกมาซะแล้ว

ผมเบือนหน้าหนีด้วยความรู้สึกประหม่า ไม่กล้าเอ่ยอะไร ปล่อยให้ความเงียบคั่นกลางระหว่างเราอีกครั้ง จนกระทั่งเสียงทุ้มเอ่ยคำถาม

“แล้วเราล่ะ อยากลองไปเฝ้าพี่บ้างมั้ย”

“ฮะ?” เรียกให้ผมกลับไปสบตาอีกครั้ง

และรู้ว่าตัวเองกำลังพลาดท่าให้สายตาคู่นั้น

“ธาม...” สายตาที่มีความหมายบางอย่างซ่อนไว้ “อยากรู้จักพี่มากขึ้นบ้างหรือเปล่า?”

สายตาที่คราวนี้ดึงคำว่า ‘ครับ’ ออกจากปากผมไปอย่างไม่ลังเล



----------------------------------------------------------------------------------------
ปกติมันควรเว้นช่วงสักพักก่อนอัพตอนต่อไปหรือเปล่า แต่ไม่ไหวแล้วค่ะ จะลงแดง
เป็นคนใจร้อนน่าดู เขียนได้เท่าไหร่ก็อยากจะอัพเท่านั้น 55555
เดิมทีไม่คิดว่าเรื่องมันเอื่อยๆ เฉื่อยๆ แบบนี้ เอาพล็อตเนื้อคู่มาเล่นทั้งที จะพยายามให้เรื่องมันน่าสนใจกว่านี้เนอะ T^T

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
ขอบคุณมากๆ ถ้ามีคนคอมเม้นต์ 5555

 :mew1:
-- Timeless_O --

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ยิ่งอ่าน พี่คินก้อยิ่งน่ารัก ธามอย่าปล่อยให้หลุดมือน๊า
ปล.ใส่วันที่อัพห้อยท้ายไว้จะขอบคุณมากค่า ตามอ่านง่ายกว่า  :pig4:

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
The Scarlet Thread
-4-

การทำความรู้จักเชฟภัตาคารดัง มันจำเป็นต้องยากขนาดนี้เลยเหรอครับ...

ตอนที่พี่คินนัดวันเวลา และผมรู้ว่าตัวเองต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตอนตีสี่มันทำเอาผมเกือบจะกลับลำถอนคำพูดตัวเองซะเดี๋ยวนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ทำ

รู้ตัวอีกทีก็แหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตอนตีสี่และยืนอยู่ในตลาดสดตอนตีห้าเข้าไปแล้ว

มันเป็นตลาดขายของนำเข้าขนาดใหญ่ที่มีอาหารสดจากต่างประเทศเรียงรายจนดูละลานตาไปหมด...

ความที่ไม่ค่อยได้ออกมาพบเจอโลกภายนอกนัก ทำให้ผมประหม่าจนทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งเบิกตากว้างกวาดมองความจอแจรอบตัวอย่างตกตะลึง...ไม่อยากเชื่อว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ด้วย

รู้งี้น่าจะพกกล้องถ่ายรูปมา

“พร้อมผจญภัยหรือยัง” พี่คินหันมาพูดยิ้มๆ พลางถือวิสาสะเอื้อมมือมาจับแจนผมให้เดินตาม

ปมของด้ายทั้งสองฝั่งเคลื่อนมาติดกันอีกครั้ง

ถ้าเป็นเวลาอื่นผมคงถือตัวดึงมือตัวเองหนี แต่ว่าท่ามกลางความวุ่นวายแบบนี้ เชื่อฟังผู้มีประสบการณ์คงดีกว่าเป็นไหนๆ
พี่คินพาผมเดินผ่านโซนผักผลไม้ เนื้อหมู เนื้อไก่ที่ส่งมาจากนานาประเทศไปยังโซนสุดท้ายของตลาดที่เต็มไปด้วยอาหารทะเลละลานตา แวะเข้าล็อกหนึ่งที่เต็มไปด้วยเนื้อปลาสีส้มสดใสที่เล่นเอาหัวใจผมเต้นแรง

“โหหห แซลม่อน” ตาลุกวาวผละเข้าไปหาแซลม่อนตัวโตที่ถูกวางโชว์เอาไว้

“หึ” เสียงหัวเราะดังเบาๆ ก่อนที่เจ้าของเสียงทุ้มจะเดินมายืนซ้อนหลังกัน

“ยินดีต้อนรับครับ” เสียงทุ้มของคุณลุงคนหนึ่งเอ่ยต้อนรับ

แต่เมื่อมองมาที่ข้อมือของพวกเรา สายตาคู่นั้นก็เปลี่ยนไป

รอยยิ้มของผมคลายลงพร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่แล่นเข้ามาในหัวใจ

ความรู้สึกไม่ต่างจากที่เคยคิดไว้

“อยากชิมสดๆ มั้ย” แต่ไม่นานก็กลับมายิ้มกว้างอีกครั้งพร้อมกับพยักหน้ารัว

พี่คินหันไปสั่งกับคุณลุงคนนั้น ขณะที่ผมผละออกมาเดินดูรอบๆ อย่างสนอกสนใจ ไม่นานเนื้อปลาสีส้มที่ถูกแร่ใส่จานเล็กๆ ก็ถูกส่งมาให้ ก่อนจะยิ้มน้อยๆ เมื่อผมทำตาลุกวาวหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อปลาสดๆ กิน หลับตาพริ้มค่อยๆ ละเลียดลิ้มรสชาติ

“สุดยอดดด” อยากจะลากเสียงยาวไปอีกสักสามกิโล แต่แค่นี้ก็ดูเวอร์เวอร์แอคติ้งจนคนข้างๆ หลุดขำแล้ว คนตัวสูงกว่าเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ ก่อนจะปล่อยให้ผมระริกระรี้กับเนื้อแซลม่อนในขณะที่ตัวเองหันไปเลือกเนื้อปลาแทน

ไม่ยุติธรรมเลย ผมกำลังตื่นเต้นแทบตาย แต่เขากลับทำเฉยเต๊ะท่าเท่ๆ เลือกปลาอยู่ได้ยังไง เป็นเชฟแท้ๆ ไม่เข้าใจเลยเหรอว่าความฟินของเนื้อแซลม่อนสดๆ มันสุดยอดขนาดไหน

“พี่คิน”

“ครับ...!” คนที่หันมาขานรับชะงักไปเมื่อผมอาศัยจังหวะนั้นยัดแซลม่อนเข้าปากเขาไม่ทันให้ตั้งตัว เห็นหน้าเหวอๆ ของเขาแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังจนคนตรงหน้าขมวดคิ้วคาดโทษแต่ไม่ว่าอะไร เคี้ยวแซลม่อนที่ผมยัดใส่ปากให้แล้วยิ้มบางๆ

“อร่อยเนอะ” ผมเลิกคิ้วกวน

“อืม” พยักหน้าตอบน้อยๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไป

สาเหตุคงเพราะความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ต้องรับรู้ผ่านเส้นด้ายก็แสดงออกชัดเจนผ่านใบหูที่เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดจนผมอดขำไม่ได้

พี่คินพาผมเดินเข้าล็อกนู้นออกล็อกนี้เลือกวัตถุดิบอยู่พักใหญ่ ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองนักหรอกแต่ดูจากสิ่งที่เขาซื้อแล้วก็หวังอยู่ไม่น้อยว่าผมอาจจะได้กินซูชิทะเลเป็นมื้อเช้า ผมเดินตามพี่คินที่เลือกวัตถุดิบด้วยท่าทางอย่างผู้ชำนาญการ มีหน้าที่แค่ทำหน้าเหลอหลาถามเขาว่ามันคืออะไร ถูกหลอกให้จับ ให้ชิมอะไรประหลาดๆ จนเผลอโวยวายไปบ้าง แต่สุดท้ายพี่คินก็ทำให้ผมหลุดหัวเราะออกมาได้อยู่ดี

“แวะตรงนี้แป๊บนึงนะ” เขาว่า และพาผมเดินเข้ามาในโซนขายผักซึ่งน่าจะซื้อเป็นอย่างสุดท้าย

ผมเดินตามเขายิ้มๆ มองเจ้าของแผ่นหลังกว้างที่ก้มๆ เงยๆ เลือกผักที่ถูกจัดเรียงไว้ ไม่รู้เลยว่าตัวเองเอาแต่จ้องมองสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังของคนตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เกิดนึกเสียดายที่ไม่ได้พกกล้องถ่ายรูปมา ก่อนหน้านี้ผมลองแอบหยิบสมาร์ทโฟนออกมาลองถ่ายแล้วแต่มันก็ไม่ได้ภาพที่พอใจเท่าไหร่

ที่เขาว่าดวงตาคือเลนส์ที่ดีที่สุดนี่ท่าจะจริง เพราะต่อให้มุมกล้องและองค์ประกอบภายในรูปจะดียังไง ก็ไม่สามารถ
ถ่ายทอดความงดงามที่เห็นด้วยดวงตาได้หมดจดจริงๆ
สุดท้ายผมจึงเก็บสมาร์ทโฟนไว้ ไม่คิดจะหยิบมันขึ้นมาถ่ายรูปอะไรอีกตลอดการสำรวจตลาดในเวลานับชั่วโมง

“อ้าว คิน” ความคิดทุกอย่างหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยทัก

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาจากแผงผัก เลิกคิ้วมองคนมาใหม่แล้วทักกลับ

“เนย” ถึงริมฝีปากจะยิ้ม แต่ดวงตาสีนิลไม่ได้ยิ้มไปด้วยเลย

ผมละสายตาจากพี่คินไปยังผู้หญิงตัวเล็กหน้าตาน่ารักที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรา ข้างกายเธอมีผู้ชายร่างสูงหน้าตาดีอีกคนที่ส่งยิ้มสุภาพมาให้พี่คิน บุคลิกบางอย่างของสองคนนี้บอกผมว่าพวกเขาก็คงเป็นเชฟเหมือนกัน ที่สำคัญด้ายแดงที่ข้อมือและแหวนหมั้นที่นิ้วนางข้างซ้ายของทั้งคู่ก็บ่งบอกสถานะเป็นอย่างดี

“ไม่เจอกันนานเลยเนอะ”

“อืม”

แต่คงมีสถานะแอบแฝงบางอย่างระหว่างเธอกับพี่คินที่ผมไม่แน่ใจ

“เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย ยังทำงานที่ภัตาคารอยู่หรือเปล่า” เธอถามคล้ายจะสนใจสารทุกข์สุขดิบทั่วไป

“ไม่ได้ทำแล้ว” ผมหันกลับไปมองร่างสูงข้างกายด้วยความประหลาดใจ และเขาคงรับรู้ได้จึงหันกลับมาสบตากัน “ผมเพิ่งลาออกมา กำลังจะทำร้านของตัวเอง”

อยู่ด้วยกันมาทุกวัน ทำไมผมไม่เห็นรู้เลยวะ

“อ๋อ ความฝันคินนี่เนอะ” เธอเอ่ยยิ้มๆ ผมเบือนหน้าหนีจากดวงตาสีนิที่กำลังสื่อบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจ

ไอ้ความรู้สึกบ้าๆ ที่ส่งผ่านมายังเส้นด้ายนี่ผมก็ไม่เข้าใจ

“แล้วนี่...” เสียงหวานเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เป้าหมายมาอยู่ที่ผมอย่างไม่ต้องสงสัย

“เขาชื่อธาม” พี่คินยังคงแนะนำผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย... ผิดกับหัวใจ

ดวงตากลมโตมองเส้นด้ายที่เชื่อมข้อมือพวกเราด้วยกัน แวบหนึ่งดวงตานั้นฉายแววประหลาดออกมา แต่ก็เปลี่ยนเป็นยิ้มบาง

“ยินดีด้วยนะ” ไม่ใช่รอยยิ้มจริงใจ ใครๆ ก็ดูออก
               
“ขอบคุณครับ” แน่นอนว่าพี่คินเป็นคนตอบรับ ในขณะที่ผมเบือนหน้าออกจากบทสนทนาเพราะไม่รู้ว่าควรจะทำหน้ายังไง
               
อันที่จริงสายตาที่สองคนนี้มองเรามันไม่ต่างจากสายตาที่ผมได้รับจากคนรอบข้างตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา
               
แปลกแยก และน่าสงสาร...
               
สายตาแบบที่ผมกลัว
               
ก่อนหน้านี้ได้พี่คินชวนคุยเรียกควมสนใจให้ผมหันเหไปที่เขาจึงพอจะเมินเฉยได้ แต่พอมาเจอสายตาแบบนี้จังๆ จากคนที่ดูท่าว่าคงจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับพี่คิน บอกตามตรง... มันทำให้ผมรู้สึก...สะอิดสะเอียน
               
ก่อนหน้านี้เผลอคิดไปได้ไงวะ ว่าทุกอย่างคงจะเป็นไปด้วยดี
               
ไม่เห็นแม่งจะดีตรงไหนเลย
               
“ผมไปเข้าห้องน้ำนะ” ผมไม่รอคำตอบ สาวเท้ายาวๆ ออกมาในทิศทางที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นทางไปห้องน้ำจริงๆ หรือเปล่า ก่อนที่สุดท้ายจะหลบเข้ามาในมุมหนึ่ง หลังกำแพงห่างไกลจากผู้คนที่ยังคงมองมาด้วยความสนใจ
               
“เฮ้อ” ถอนหายใจเสียงดังพลางกุมหัวใจตัวเองที่เต้นในจังหวะแปลกไป มืออีกข้างยกขึ้นมากำเส้นด้ายที่กำลังถ่ายทอดความรู้สึกจากอีกฝั่งที่ผมไม่อยากจะรับรู้มันในตอนนี้
               
ผมไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร แต่อยากให้เขาหยุดส่งมันมาสักที... แต่ออกมาไกลขนาดนี้ ก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะจากลงเลยแม้แต่นิดเดียว
               
ให้ตาย!
               
เมื่อทำอะไรไม่ได้ ผมจึงได้แต่หลับตา ข่มใจรับมันเอาไว้ ถูเส้นด้ายที่ข้อมือเบาๆ พร้อมกับถามตัวเองด้วยคำถามเดิมที่วนซ้ำ
               
พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรกัน?
               
ทำไมถึงส่งพี่คินมาเป็นเนื้อคู่ของผม... ไม่เข้าใจเลย
               
แต่เพียงไม่นาน ผมก็ได้คำตอบจากชายหญิงคู่เดิมที่กำลังเดินผ่านมา
               
“คนนี้หรือเปล่าที่บอกว่าเคยลองคบกันก่อนจะเจอด้ายแดง”
               
แถมผมยังได้คำตอบว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่คินกับผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
               
“อืม ไม่คิดเหมือนกันว่าพอแยกกันจะกลายเป็นพวกผิดเพศแบบนี้ ต้องโทษพระเจ้าล่ะมั้ง”
               
“ชาติก่อนเขาเคยทำผิดร้ายแรงไว้หรือเปล่า ชาตินี้ถึงได้โดนลงโทษไง”
               
โดนลงโทษเหรอ? เป็นข้อสันนิษฐานที่โหดร้ายชะมัด
               
“น่าสงสารเนอะ ถ้าเนื้อคู่เป็นผู้หญิงก็คงมีครอบครัวที่มั่นคงไปแล้วแท้ๆ ไม่น่าเลย”
               
นั่นสินะ...
               
น่าสมเพช ที่ผมกำลังคิดว่ามันคงเป็นความจริง... ผมกับพี่คินอาจเคยทำผิดอะไรเอาไว้ จนถูกพระเจ้าลงโทษจริงๆ ก็ได้ ว่ามั้ย
               
ผมใช้เวลาอยู่พักใหญ่ทำให้จิตใจกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้วจะเดินออกจากที่ซ่อน ตอนแรกคิดว่าจะกลับไปที่ร้านผัก แต่ทิศทางของปลายด้ายที่เปลี่ยนไปทำให้รู้ว่าพี่คินไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เดินตามมาเรื่อยๆ จนระยะห่างหดสั้นลงก็เห็นร่างสูงยืนพิงรถสูบบุหรี่อยู่ด้วยท่าทางเคร่งเครียดจนไม่ทันรู้ว่าผมมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว
               
“พี่คิน” ต้องเอ่ยปากเรียกถึงจะเงยหน้าขึ้นมาสบตา ดับบุหรี่แล้วยิ้มบางๆ ส่งมา
               
“ไปห้องน้ำนานจัง” โกหกกันชัดๆ เขาก็รู้ว่าทางที่ผมเดินไป ไม่ใช่ทางไปห้องน้ำอย่างปากว่าเลย
               
“พี่คิน” ผมเรียกชื่อเขาอีกครั้ง และคราวนี้เขาคงรู้ว่าผมกำลังต้องการจะสื่ออะไร ถึงได้เงียบไป รอยยิ้มบางหายไปจากใบหน้าแทบจะทันที
               
ไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียนะ ที่ความรู้สึกของเรามีตัวกลางส่งผ่านไปยังอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“พี่ว่าเรื่องของเรา... เป็นบทลงโทษจากพระเจ้าหรือเปล่า”

แต่ถ้าไม่มีมัน ผมคงไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดออกมาแบบนี้
               
“ธาม...”
               
“ผมว่าเป็น”
               
ถ้าไม่มีมัน... ผมคงไม่ได้รู้ว่าตัวเองใจร้ายแค่ไหน

ที่ทำให้ปลายด้ายสั่นไหว ด้วยความรู้สึกเสียใจอย่างร้ายแรง



-------------------------------------------------------------------
ปกติเป็นคนจับความรู้สึกคนไม่เก่งค่ะ เลยคิดว่าถ้ามีอะไรที่ช่วยสื่อความรู้สึกของอีกคนมาถึงเราได้นี่น่าจะสะดวกดี
แต่การแชร์ความรู้สึกมันก็มีจุดที่ยากอยู่ตรงที่พอเป็นความรู้สึกแย่ๆ เราก็ยังต้องรับเอาไว้
เขียนไปเขียนมามันไม่ให้ฟีลเรื่องสั้นเท่าไหร่เลยเว้ย แถมเป็นเรื่องยาวก็ไม่ได้ด้วยเพราะพล็อตกลวง 5555
สถาปนาให้เป็นเรื่องกึ่งสั้นกึ่งยาวได้มั้ยนะ

ปล. ขอบคุณคุณ niyataan มากเลยค่ะสำหรับคำแนะนำ ใส่วันที่อัพไว้ด้านหลังแล้วนะ 5555

ฝากติชมด้วยนะคะ
-- Timeless_O --

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ดรามา...มาแบบไม่ทันตั้งตัว เอาใจช่วยคู่นี้
#ขอบคุณค่า    :L2:

ออฟไลน์ ♠DekDoy♠

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4512
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +421/-8
ธามใจร้าย

ออฟไลน์ pigarea

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
มันเป็นความสับสนของหัวใจ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ณัฐฐา

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 17
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เข้าใจความรู้สึกธามนะเวลาที่คนอื่นมองเราแปลกแยกจากคนอื่นแบบนี้ ส่วนพี่คินเฟอร์เฟ็คแมนอย่างแท้จริง  :hao5:

ออฟไลน์ LadyYuly

  • สวัสดีค่าา เลดี้ยูลี่นะคะ LadyYuly เรียกยูก็ได้จ้า
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-1
    • www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44045.0

พล็อตเรื่องดีมาก ๆ เลยค่ะ ชอบอะ  :กอด1:

ชอบความบรรยายที่ลื่นไหลด้วย

ภาษาที่ใช้ก็โอเค ไม่รกตาไม่น่าเบื่อและน่าอ่าน อ่านสบายดี

ทำไมเราพึ่งเคยเห็นนิยายเรื่องนี้นะะะ  รอตอนต่อไปนะคะ น่าติดตามมากๆ เราชอบบ

ปล.นิดนึงว่า แล่ปลา ใช้ลอลิงน้าาา

ตอนต่อไปมาไวๆ สู้สู้ เรารออออออ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เรื่องนี้ของไรท์  แปลกดี น่าสนใจ  เนื้อคู่อยู่ใกล้
พี่คิน ธาม  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ธาม ไปสนใจความคิดของคนที่ไม่รู้จัก คนอื่นๆ ทำไม
เขาไม่ได้มาทุกข์ สุข กับเรา ไม่ต้องแคร์เขา
แคร์คนที่เอาใจใส่เรา รักเราดีกว่า
พระเจ้าประทานคนเพอเฟ็กซ์มาให้ทั้งที
อยู่กับพี่คิน วันนี้และวันต่อๆไปอย่างมีความสุขเถอะ
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Timeless_O

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
The Scarlet Thread
-5-
               
               
ผมไม่ได้เจอพี่คินอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
               
ก็สมควรแล้วป่ะวะ
               
สรุปแล้ววันนั้นเราก็ไม่ได้ทำอะไรกันต่อเพราะผมอ้างว่าเพลียและอยากกลับมานอน พี่คินเป็นคนดีเกินกว่าจะปฏิเสธ และเห็นชัดว่าเขายังรู้สึกแย่กับคำพูดของผมอยู่ ถึงได้ไม่พูดอะไร ขณะที่ขับรถกลับมาส่งผมที่คอนโด
               
ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำมันจะดีต่อเรา... แต่เอาเข้าจริงเหมือนจะไม่เลย แต่ละวันที่ผ่านมามีเรื่องให้วุ่นวายใจเต็มไปหมด ขณะที่เส้นด้ายที่ข้อมือก็ยังคาราคาซังอยู่แบบนี้
               
แต่จะให้ผมทำยังไง... ผมไม่อยากทำลายอนาคตเขา
               
อย่างที่ผู้หญิงคนนั้นพูด ถ้าพระเจ้าไม่ลงโทษให้เขามาเจอกับผม ป่านนี้เขาอาจเจอผู้หญิงดีๆ มีครอบครัวที่ดีพร้อมไปแล้ว
               
ถึงเขาจะเคยพูดว่าชอบผม และยอมรับความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนได้... แต่อนาคตจะเป็นยังไง ผู้ชายสองคนจะมีชีวิตคู่ตลอดรอดฝั่งได้ยังไง ผมนึกภาพไม่ออกเลย
               
“ตายแล้ว คุณธาม ทำไมโทรมขนาดนี้ล่ะคะ” ป้าศรีโวยวายขึ้นมาทันทีที่เปิดประตูเข้ามาเห็นหน้าผมที่อยู่ในสภาพซอมบี้หน้าคอมพ์
               
“สวัสดีครับป้า” เอ่ยทักทายโดยไม่ละสายตาจากหน้าจอ
               
“คุณธามไม่ได้นอนอีกแล้วเหรอคะ พักผ่อนน้อยขนาดนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายเอา”
               
ได้แต่หันไปยิ้มแห้งๆ ให้คนสูงวัยที่เดินเข้ามาใกล้ ก็เดดไลน์มันไล่บี้มาแล้วนี่ครับ อย่าว่าแต่นอนเลย เวลาลุกไปเข้าห้องน้ำยังจะไม่มี
               
“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วครับป้า แต่ตอนนี้ขอกาแฟหน่อยนะ” ทำสีหน้าออดอ้อนเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ
               
ถึงจะเป็นแม่บ้าน แต่ป้าศรีก็ไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของผมเลย ยิ่งมาอยู่ในที่ห่างไกลภูมิลำเนาแบบนี้ ว่าตามตรงผมผูกพันกับป้าศรีมากกว่าครอบครัวจริงๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ
               
“เฮ้อ... ป้าล่ะหนักใจจัง มิน่าคุณคินถึงได้ย้ำนักย้ำหนาให้ป้าดูแลคุณธามให้ดี”
               
“...” มือที่กำลังคลิกเม้าส์อยู่หยุดชะงักทันทีที่ได้ยินชื่อของคนที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน
               
“เล่นโหมงานหนักไม่หลับไม่นอน บ่นเท่าไหร่ก็ไม่ฟังแบบนี้ ป้าไม่รู้เลยว่าจะไปรายงานคุณคินเขายังไง”
               
“ป้ายังเอาเรื่องผมไปบอกพี่คินอยู่เหรอครับ” ผมหันมาถาม
               
ไม่ได้จะว่าอะไรหรอก เพียงแต่...ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยังสนใจเรื่องของผมอยู่ หลังจากที่ทำตัวแบบนั้น
               
ป้าศรีถอนหายใจเบาๆ “ป้ารู้นะคะว่าไม่ควร แต่คุณคินเขาเป็นห่วงจริงๆ”

“...”

“มีด้ายแดงที่ข้อมือ คุณธามก็น่าจะรู้นะคะว่าคุณคินเขารู้สึกยังไง”

“...” จริงอย่างที่ป้าศรีบอก หลายวันมานี้ด้ายอีกฝั่งส่งมาแต่ความรู้สึกไม่สบายใจ

ความเป็นห่วง กระวนกระวายแบบที่ผมไม่เคยรับรู้จากที่ไหนมาก่อน

“ป้าครับ” ผมเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง รับรู้ได้ว่าคิ้วของตัวเองกำลังขมวดแน่นด้วยความไม่แน่ใจในสิ่งที่กำลังจะถาม “ป้ารังเกียจพวกเราหรือเปล่า”

“หือ? พูดอะไรแบบนั้นคะ”

“ไม่รู้สึกว่าพวกเราผิดแปลกจากธรรมชาติ หรือกำลังถูกพระเจ้าลงโทษเหมือนที่คนอื่นเขาคิดกันเหรอ”

“คุณธาม” คงเพราะเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนของผม ป้าศรีจึงเดินเข้ามาหาอย่างตกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆ “ไม่รังเกียจค่ะ บนโลกนี้ไม่มีใครน่ารังเกียจ”

“...”

“ไม่มีใครถูกพระเจ้าลงโทษด้วย เรื่องของคุณทั้งคู่คือสิ่งที่ท่านเลือกแล้วว่ามันดีที่สุดจริงๆ ป้าไม่ใช่พระเจ้า ป้ายังรู้เลย”

“หมายความว่ายังไงครับ” ผมขมวดคิ้วมองป้าศรีอย่างไม่เข้าใจ จนคนสูงวัยหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างเอ็นดู

“อย่ามาทำไขสือเลยค่ะ ป้ารู้ว่าคุณธามก็รู้ว่าคุณคินเขาเอาใจใส่คุณธามแค่ไหน ถึงได้กำชับให้ป้าหาข้าวหาปลา แล้วก็ขยันถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของคุณ”

“...”

“คุณเองก็เหมือนกัน อย่าคิดว่าป้ารู้ไม่ทันนะว่าคุณคิดยังไง” ป้าศรียิ้มกรุ้มกริ่มสีหน้าเหมือนรู้อะไรจริงๆ “ที่ไม่โกรธที่ป้าเอาเรื่องของคุณไปรายงาน และสีหน้าตอนที่ป้าเล่าเรื่องคุณคินให้ฟัง คิดว่าป้าดูไม่ออกเหรอคะว่าคุณเองก็ใส่ใจไม่แพ้กัน”

“...”

“ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าวันไหนพวกคุณลงเอยกันขึ้นมาจริงๆ น่าจะขอเพิ่มเงินเดือนฐานะแม่สื่อสักที”

“ป้า...” ผมเบ้ปาก ทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่

ป้าศรีหัวเราะออกมาเบาๆ ฝ่ามือหยาบกร้านจากการทำงานลูบหัวเบาๆ

“ว่าจะพูดตั้งแต่รู้เรื่องแล้ว แต่เห็นพวกคุณยุ่งๆ กัน เลยไม่ได้บอกสักที”

“...”

“ยินดีด้วยนะคะ”

“...” แปลกดีที่พอได้ยินคำนั้นจากป้าศรี หัวใจของผมมันเหมือนได้รับคำปลอบใจ คำยินดีแบบเดียวกัน แต่กลับให้ความ
รู้สึกแตกต่าง... ไม่มีความเคลือบแคลงแฝงอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย

อยู่ๆ ความรู้สึกกังวลในใจก็คลายลงอย่างง่ายดาย ราวกับว่าก้อนภูเขาในอกถูกยกออกไป กลับมาได้สติว่าความจริงแล้ว
ผมไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจคำพูดของใคร

แค่ต้องถามหัวใจตัวเองมากกว่าว่าพอใจกับสิ่งที่พระเจ้าเลือกให้ครั้งนี้ไหม

ผมยิ้มบางๆ และโผเข้ากอดป้าศรีไว้ ในหัวยังคงเต็มไปด้วยความสับสน ขณะที่ก้มหน้าลงมองเส้นด้ายที่ข้อมือ ปล่อยให้ความรู้สึกบางอย่างไหลผ่านเข้าไป

หวังว่ามันจะส่งไปถึงอีกฝ่ายที่อยู่ปลายทาง
 

กว่าจะกดส่งงานได้ ก็ปาเข้าไปตีสี่แล้ว ผมถอนหายใจเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง ความอ่อนล้าที่กักเก็บไว้
เหมือนถูกปลดปล่อยออกมาจนแม้แต่แรงจะยกแขนยังไม่มี สี่สิบแปดชั่วโมงเต็มที่ได้แต่นั่งอยู่หน้าจอ มีขอเวลานอกแค่ตอนเข้าห้องน้ำ กับออกไปชงกาแฟเพื่อเติมพลัง แล้วก็ต้องกลับมานั่งหน้าจออีก อยากจะสลบไปตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่กระเพาะอาหารก็ส่งเสียงโครกครากออกมาเตือนว่ายังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน
ผมลุกจากเก้าอี้ทำงานหวังจะเดินไปที่ครัว แต่สงสัยลุกเร็วเกินไปก็เลยเกิดเวียนหัวขึ้นมาจนต้องทรุดตัวนั่งลงไปอีกรอบ

อา... สงสัยการพักผ่อนน้อยจะทำพิษอีกแล้ว

จะว่าไปก็รู้สึกตั้งแต่ตอนหัวค่ำแล้วว่าหัวมันหนักๆ จนแทบจะประคองไว้ไม่ไหว ได้แต่กินยาแก้ปวดระงับไว้ แต่ดูท่าว่าจะต้านไม่ไหวจริงๆ

เอาน่า ทนหน่อย อีกแป๊บก็ได้พักแล้ว

ผมตัดสินใจลุกจากเก้าอี้อีกครั้ง ลากสังขารไปที่ห้องครัว เปิดตู้เย็นหาอะไรประทังความหิว แล้วก็เผลอยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่ามีความห่วงใยจากพี่ชายข้างห้องฝากเอาไว้เต็มไปหมด แต่คงจะเก็บไว้นาน ท่าทางจะชืดหมดแล้ว
อยากกินสดๆ จังแฮะ

ผมหัวเราะกับตัวเองแล้วหยิบกระปุกซุปหน้าตาคุ้นเคยออกมา แต่จังหวะที่หมุนตัวจะไปหาชาม ความรู้สึกเวียนหัวก็เล่นงานอีกครั้ง

เวร ทนหน่อยไม่ได้หรือไง

เคร้ง!

แต่ดูท่าว่าร่างกายจะมาถึงขีดจำกัดเข้าแล้วจริงๆ อยู่ๆ ก็เหมือนมีพายุลูกใหญ่พัดมาวูบหนึ่งจนทำเอาพยุงร่างกายเอาไว้
ไม่ไหว ปล่อยให้กระปุกซุปหลุดมือโดยไม่ตั้งใจ พร้อมกับความเวียนหัวรุนแรงประดังเข้ามา

เฮ้ย อย่าเพิ่งตาย
               
ผมพยายามกระพริบตาปรับภาพที่กำลังหมุนติ้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยิ่งพยายามบอกให้ตัวเองประคองสติไว้ ร่างกายมันยิ่งทรยศความคิดตัวเองเท่านั้น

ตุบ!

ในที่สุดขาทั้งสองข้างทรุดลงกับพื้นอย่างหมดท่า ดวงตาเริ่มพร่าเลือนและหนักอึ้ง หัวใจของผมเต้นแรงอย่างน่ากลัว รู้ตัวแล้วว่าคงจะประคองสติเอาไว้ได้ไม่นาน
               
สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือด้ายแดงที่ข้อมือค่อยๆ กลายเป็นสีซีดจาง
               
จนกระทั่งทุกอย่างดับวูบลง





---------------------------------------------------------------
ตอนนี้แอบสั้นจัง งือออ ขอโทษค่ะ อยากตัดจบตรงนี้แต่ไม่คิดว่าจะสั้นขนาดนี้ ;_;
จริงๆป้าศรีเป็นคิวปิดล่ะ ถ้าสองคนนี้ลงเอยกันเมื่อไหร่คงต้องขึ้นเงินเดือนให้ป้าจริงๆ 5555
ตอนหน้าพี่คินจะกลับมาแล้ววว
ฝากติชมด้วนะคะ ^^

-- Timeless_O --

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แอบเอาใจช่วยมาตั้งแต่ต้น ไม่เอาดราม่าเน๊อะ เก๊าขอร้อง..งงงงงงงง   :m15:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :m15: :katai1: :serius2:

ชอบเรื่องนี้มากๆ
ลุ้นนนนน

ออฟไลน์ mi22

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ชอบจังเลยค่ะ
อยากให้คนแต่งมาต่อให้จบ  :monkeysad:
มาต่อเถอะนะ

ออฟไลน์ คุณบี๋

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 119
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ชอบมากเลยค่ะ คิดถึงเชพคินกับพี่ธามมาก รออยู่นะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด