JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]  (อ่าน 50441 ครั้ง)

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0







║█║▌║█║▌│║▌║▌█║


เซ ♥ ไปป์






“พี่ไปป์ เซเหมือนเด็กขายตัวเหรอ”
“ไม่รู้สิ”
“ถ้าเซบอกว่าเซเป็นนักศึกษา พี่ไปป์จะเชื่อเซมั้ย”
“หาเงินค่าเทอมเหรอ”






Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-02-2018 16:20:37 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
บทนำของสิทธา


ผมชื่อสิทธา แต่ใครๆ ชอบเรียกว่า ‘เซ’ แน่นอนสิ เพราะนั่นคือชื่อเล่นของเดือนนิเทศคนนี้ไง ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยไม่ชอบชื่อเล่นตัวเองสักครั้ง กระทั่งตอนนี้ ตอนที่ชีวิตของผมเซเหมือนชื่อ

“เซ มึงโอเคป่ะวะ” มองหน้ากูสิ คำตอบอยู่ในดวงตากูนี่

ถึงแม้ในใจจะกำลังร้อนเป็นไฟแต่ผมก็จำต้องพยักหน้าแล้วบอกคนตรงหน้าด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า “กูโอเค” โอเคก็บ้าแล้ว

“กูว่าจะบอกมึงตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว แต่กูไม่กล้าว่ะ ขอโทษนะมึง” ไอ้โจมันตบไหล่ผมเบาๆ เพื่อปลอบใจ

ไอ้เหี้ย! ในใจผมนี่อยากจะปัดมือมันออกแทบขาดใจแต่สถานะผมตอนนี้จะหือจะอืออะไรได้วะ ไอ้เซมันก็แค่คนอาศัยนี่หว่า เจ้าของห้องเขาจะพาแฟนมาอยู่ด้วยแล้วเฉดหัวผมออกไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้อยู่แล้ว

“แล้วมึงจะไปนอนไหนวะ”

เก็บของเสร็จแล้วค่อยถาม มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอวะ บอกเลยนะว่ากูไม่มีที่ไปหรอก แต่ก็บอกเขาไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวเพื่อนผู้มีพระคุณจะไม่สบายใจเปล่าๆ

“กูว่าจะไปนอนห้องพี่เอฟว่ะ” อ้างชื่อพี่รหัสไปอย่างนั้นกันเสียหน้าทั้งที่พี่เขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยเลย

“เดี๋ยวกูแวะส่งมึงก่อนได้นะแล้วค่อยไปรับเขาที่สนามบิน” เขาที่ว่าก็แฟนมันแหละครับ แหมมึง กูควรซึ้งใจใช่มั้ย ไล่กูออกจากห้องแบบไม่ให้ตั้งตัวแล้วยังมีน้ำใจให้ติดรถไปด้วยอีก ควรกราบแทบเท้าหรือแนบอกดีล่ะ

“ไม่เป็นไรมึง เดี๋ยวกูนั่งแท็กซี่ไปเองได้”

“เอางั้นเหรอวะ ตามใจมึงนะ” ก็ต้องตามใจกูแหละ เพราะถ้าตามใจมึงเรื่องที่กูโกหกว่าจะไปพักกับพี่เอฟคงแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี







ผมโบกแท็กซี่หลังจากแยกกับไอ้โจที่หน้าคอนโด บอกให้พี่เขาขับไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ขณะที่กดมือถือไล่ดูรายชื่อเพื่อนไปเรื่อยๆ เอาจริงๆ นะ เพื่อนผมส่วนใหญ่มันก็มีแฟนกันหมดแล้ว ดึกดื่นป่านนี้เขาก็คงอยู่ด้วยกันจะให้ผมโทรไปขัดจังหวะก็กระไรอยู่ ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนเป็นค้นหาห้องพักรายวันจากกูเกิ้ล ไม่นานก็เจอที่ที่พอจะให้ซุกหัวนอนได้

ทว่า...

กึก! กึก!

ขณะที่กำลังจะบอกจุดหมายแก่พี่แท็กซี่นั้นรถก็กระตุกแล้วหยุดลงที่กลางถนน

ฉิบหาย! อะไรมึงจะซวยขนาดนั้นวะไอ้เซ

“ขอโทษนะน้อง พี่คงส่งน้องได้แค่นี้” พี่คนขับหันมายิ้มแหย ผมมองมิเตอร์แล้วจึงควักตังค์จ่ายทว่าพี่เขากลับปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรน้อง พี่ส่งน้องไม่ถึงจุดหมาย ไม่กล้ารับเงินหรอก”

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง มองค่ารถบนมิเตอร์อย่างครุ่นคิด “ผมจะลงแถวนี้พอดีเลยพี่”

“แถวนี้อะนะ” พี่แกถามย้ำด้วยสีหน้าสงสัยผมจึงพยักหน้าย้ำให้พี่คนขับแน่ใจ ยัดเงินจำนวน 200 ใส่มือแล้วจึงชิ่งลงจากรถมาเลย

ใจจริงก็อยากอยู่เป็นเพื่อนพี่แกหรอก แต่ตอนนี้ผมโคตรง่วงเลยว่ะ

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าทางเดินเท้าค่อนข้างมืด สงสัย กทม. ประหยัดไฟ ผมกระชับกระเป๋าเป้บนไหล่ คลำดูกระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงเพื่อความชัวร์ ก็นะ ถึงจะแมนๆ แต่เดินในที่มืดคนเดียวมันก็ค่อนข้างที่จะระแวงอยู่สักหน่อย

เดินมาสักพักก็เจอใครสักคนซึ่งยืนอยู่ข้างต้นไม้บนทางเดินเท้า ไม่สิ ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน และแต่ละคนก็จับจองเป็นเจ้าของเสาไฟฟ้าและต้นไม้คนละต้น

“ตรงนี้ไม่ว่าง” เด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าจะถึง 20 ว่าเสียงแข็งจ้องกันตาขวางเหมือนหมาห่วงถิ่นเมื่อผมหยุดมองเขา

พอจะเข้าใจแล้วว่าที่นี่มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน มิน่าล่ะพี่แท็กซี่ถึงถามกันแบบนั้น

“กูไม่ได้ขาย” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งทะนงตน

เด็กนั่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเบ้ปากเหยียดเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก บริบทตอนนี้มันชวนให้คิดว่ามาขายเหมือนๆ กัน

คิดดูแล้วก็... ขอสบถคำหยาบหน่อยเถอะ

แม่งเอ้ย! แล้วแท็กซี่ก็มาเสียถูกที่ซะด้วยนะ อะไรมึงจะซวยซ้ำซากแบบนี้วะเซ

เอาล่ะไอ้เซ มึงต้องตั้งสติ ยังไงซะมึงก็ต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ผมรีบจ้ำอ้าว แต่ใครจะไปรู้ว่าความซวยของผมมันยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่ออยู่ๆ ก็มีไอ้บ้าหัวเกรียนโผล่พรวดออกมาจากข้างเสาแล้วชนผมเข้าอย่างจังจนล้มลง

ผมลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามเนื้อตัวขณะมองไปยังคนที่กำลังต่อรองราคากับเจ้าของรถหรูแล้วก็ได้แต่กำมือแน่น ผมโกรธมากเลยนะ อยากเอาเรื่องแต่ก็ไม่อยากแลกเพราะไม่รู้ว่าแถวนี้แม่งเถื่อนแค่ไหน

ไอ้คนนั้นขึ้นรถหรูไปแล้ว ผมมองตามมันแล้วส่ายหน้า ได้แต่สงสัยว่าอาชีพอื่นมีตั้งมากมายทำไมต้องมาขายร่างกายแลกเงินด้วย

“น้อง!!!”

เสียงเรียกทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง มองเข้าไปในรถแล้วก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเพื่อถามว่าเรียกผมเหรอ

“เออ น้องนั่นแหละ มานี่ดิ๊” ผู้ชายในรถไขข้อสงสัยให้ ผมยืนนิ่งงุนงงในสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาตามเสียงเรียก “เท่าไหร่”

อะไรเท่าไหร่ เดี๋ยวนะ ไอ้พี่นี่คิดว่าผมขายเหรอ จะบ้าตาย นี่เซครับ เดือนนิเทศมหา’ลัยชื่อดังเชียวนะโว้ย

“ผมไม่ได้ขาย” ผมตะคอกตอบด้วยอารมณ์โกรธจัด หัวไอ้เซร้อนมากตอนนี้ ร้อนสุดๆ

“ครั้งแรกล่ะสิ ทำอะไรได้บ้าง” ไม่ได้ฟังที่ผมบอกเลยใช่มั้ย ต้องให้ย้ำอีกทีสินะ

“ผมแค่ผ่านมาไม่ได้ขาย” เนี่ยกูตะคอกพี่มันเสียงดังมากเลย โปรดสัมผัสถึงความโกรธของผมด้วย

“ขึ้นรถสิ” เขาว่าแล้วเอื้อมมือมาปลดล็อคประตูด้านข้างคนขับ

เอากับมันสิ ไม่ได้ฟังผมเลยจริงๆ แต่แทนที่ผมจะผละออกมาแต่ไอ้เซกลับยืนลังเลครุ่นคิด

เอาไงดีวะ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าถ้าติดรถเขาออกไปแล้วค่อยบอกตอนที่พ้นจากตรงนี้ว่าไม่ได้ขายจะดีหรือเปล่า เขาจะโกรธไหม แต่เอาเถอะ ประเมินจากรูปลักษณ์แล้วถ้าจะวัดก็คงสูสี คิดดังนั้นผมจึงเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งข้างเขา

“ว่าไง พี่ต้องจ่ายเราเท่าไหร่” เขาถามอีกเมื่อออกรถ

ผมไม่ได้ตอบเขาทันที เลี่ยงไม่มองหน้าคนข้างๆ ด้วยการหยิบมือถือขึ้นมากด

“ขายมานานแล้วล่ะสิถึงได้มีเงินซื้อมือถือราคาแพงใช้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าคิดพี่แพงมากนะ” มือถือนี่พ่อไอ้เซซื้อให้นะ บ้านรวยมาก แต่ตอนนี้ไม่มีที่ซุกหัวนอนเพราะดันไปทำหัวแข็งใส่เจ้าของนามสกุล สภาพก็เลยเป็นเงี้ย

“บอกแล้วไงว่าผมไม่ขาย” ผมละสายตาจากมือถือเพื่อเหลือบมองคนที่กำลังยิ้มหยัน

“โรงแรมข้างหน้านั่นก็คงโอเคเนอะ” ไอ้พี่นี่ไม่ได้เอาหูมาด้วยถูกมั้ย

“พี่ครับผมบอกว่าผมไม่ขาย” ผมย้ำแต่เขาก็หาได้สนใจไม่ เขาตบไฟเลี้ยวแล้วจึงหักพวงมาลัยพารถเข้ามาในโรงแรมที่ว่า มันคือโรงแรมม่านรูดล่ะ เมื่อม่านปิดลงเขาก็ดับเครื่องยนต์

“สรุปว่าน้องคิดเท่าไหร่นะ น้องนี่หน้าตาคุ้นๆ นะ”

ถามแล้วก็จ้องหน้าผมเขม็งเหมือนกำลังใช้ความคิดแต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เปิดประตูก้าวลงจากรถเพื่อไปเปิดประตูข้างหลัง ผมมองตามและก็เพิ่งรู้ตอนนี้นี่เองว่ามีใครอีกคนนอนหลับอยู่ที่เบาะหลังด้วย

“มาช่วยกันหน่อยสิ”

ผมควรจะปฏิเสธ แต่ขากลับขยับไปเอง เป็นคนมีน้ำใจไงเห็นใครลำบากก็สั่นระริกอยากช่วยเขาไปหมด เราช่วยกันพยุงคนที่เพียงยืนใกล้ๆ ก็สามารถมึนเมาได้ด้วยกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งอยู่บนร่างกายของเขา

ร่างนั้นถูกทิ้งลงบนเตียง เขาขยับตัวนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้สติ

“พันนึงพอมั้ย”

เขาถามผมอีกครั้งพร้อมกับยัดแบ็งค์พันที่เพิ่งควักออกมากจากกระเป๋าสตางค์ที่เขาล้วงออกมากจากกระเป๋ากางเกงคนเมาใส่มือผม

“ฝากด้วยนะ” ตบไหล่ผมป๊าบๆ แล้วก็ออกจากห้องไป

เฮ้ย! อะไรวะ แบบนี้ก็ได้เหรอ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่คนเมานี่เป็นอะไรกับคนเมื่อกี้แต่ว่าทิ้งเขาไว้กับคนแปลกหน้าแบบนี้ก็ได้เหรอวะ







ผมมองประตูที่ปิดลงด้วยความมึนงง ว่าแต่...ผมมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกันวะ จุดที่เข้าโรงแรมม่านรูดพร้อมกับเงินหนึ่งพันและคนเมาหนึ่งคนเนี่ย ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

ที่จริงผมจะออกไปตอนนี้เลยก็ได้แต่ผมทิ้งเขาไม่ได้ ถึงจะไม่รู้จักกันแต่ผมก็ทิ้งเขาไม่ลงหรอก เมื่อกี้แอบเห็นอยู่นะว่าพี่คนนั้นเอาของมีค่ากลับไปด้วยหมดเลย

ว่าแต่พวกเขาเป็นอะไรกัน ไม่ใช่ว่าไอ้พี่นั่นมอมเหล้าพี่คนนี้เพื่อปลดทรัพย์แล้วเอามาทิ้งไว้กับผมหรอกนะ ไอ้ห่า ถ้าเป็นอย่างนั้นไอ้เซก็แพะดิวะ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เสือกเอากระดูกมาแขวนคออีก

คิดแล้วก็เสียวสันหลังวาบ มองคนหลับแล้วก็คิดหนัก

เอาไงดีวะไอ้เซ ทิ้งเขาไว้แล้วชิ่งเหรอ เขาเป็นผู้ชายเขาเอาตัวรอดได้ใช่ไหมวะ แต่เขาเมานะมึง เมาไม่ได้สติเลยที่สำคัญพอหลับแล้วน่าขย้ำฉิบหาย ถ้ามีคนเข้ามาเห็นแล้วทำมิดีมิร้ายเขาล่ะ มึงจะไม่รู้สึกผิดเหรอวะเซ

เอาเข้าไป ทะเลาะกันเข้าไป ไอ้เซกับไอ้สิทธาเนี่ยทะเลาะกันเข้าไป ผมว่าผมใกล้จะเป็นบ้าแล้วว่ะ เถียงกับตัวเองเป็นตุเป็นตะเลย แต่ช่างแม่งละนอนเลยแล้วกัน พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน พ่อใหญ่จะกลัวอะไรวะ

อีกอย่างนะเปลี่ยนบรรยากาศมานอนม่านรูดบ้างจะเป็นไรไป

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงข้างเขาเมื่อถอดเสื้อนอกออกพาดไว้บนเก้าอี้ มองคนหลับที่ยังอยู่ในเสื้อผ้าครบชุด เสื้อสูทนั่นคงทำให้อึดอัดน่าดู เสื้อเชิ้ตตัวข้างในนั้นอีก ผมขยับตัวนอนตะแคงมองคนหลับตรงๆ เต็มตาครั้งแรก เป็นผู้ชายที่ดูสะอาดสะอ้านมากทีเดียว บนใบหน้าหล่อเหลาปราศจากไฝฝ้าแม้แต่สิวเม็ดเล็กๆ ยังไม่มี ผมขยับเข้าไปใกล้เขาอีก มองใกล้ขนาดนี้ยังไม่เห็นรูขุมขนอะคิดดู ถ้าปิดจมูกแล้วดูเขาด้วยตาเฉยๆ คงมโนได้ว่าตัวเขาหอม แต่นี่จมูกไอ้เซยังทำงานอยู่ไงแต่ก็คงจะดับในไม่ช้านี้หรอก กลิ่นเหล้าหึ่งมาก ไอ้เซเวียนหัวสุด ถึงกระนั้นผมก็ยังมองเขาไม่วางตา แพขนตาที่ไม่ได้ยาวมากแต่น่ารักฉิบหายอะครับ จมูกที่ไม่ได้โด่งเป็นสันเข้ากับริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อ รวมๆ แล้วเขาโคตรดูดี

สงสัยนะครับว่าอะไรที่ทำให้เขาดื่มจนเมาไร้สติขนาดนี้ และอะไรดลใจให้ผู้ชายคนนั้นพาเขามาทิ้งไว้กับผมซึ่งคิดว่าเป็นเด็กขายบริการกันล่ะ

“ฮือ” เสียงครางเบาๆ ที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่อ้าเผยอน้อยๆ ทำให้ผมผงะออก มองมือเรียวที่ปัดป่ายเนคไทเหมือนกำลังพยายามคลายมันออกแล้วเผลอยื่นมือออกไปช่วย

ผมจับมือเขาออกแล้วช่วยคลายเนคไท ช่วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดเผยผิวบริเวณลำคอที่น่ามองไม่ต่างจากใบหน้าของเขาเลย

ให้ตายเถอะ ทำไมถึงเป็นผู้ชายที่น่ามองขนาดนี้วะ แล้วนี่มึงจะเลียริมฝีปากทำไมไอ้เซ อยากชิมเขาเหรอ

เสื้อสูทถูกถอดออกเป็นลำดับถัดไป กว่าจะปล้ำถอดเสื้อเขาออกได้ก็หมดพลังงานไปเยอะเหมือนกัน ก็คนเมาอะครับตัวอ่อนปวกเปียกขนาดนั้นคงให้ความร่วมมือเราได้อยู่หรอก

เมื่อโยนสูทที่คาดว่าราคาน่าจะแพงพอตัวลงบนพื้นอย่างไร้ค่าแล้วก็ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าควรปลดท่อนล่างออกด้วยมั้ย ถึงแม้เขาจะน่ามองมากแต่ผมไม่ได้คิดอกุศลหรอกนะ ตรงๆ อย่างมากก็แค่อยากชิมอะว่าเนื้อจะหวานหรือเปล่า ด้วยความสัตย์จริงที่ชั่งใจเรื่องถอดท่อนล่างนี้แค่อยากให้เขานอนสบายๆ เฉยๆ นะ เปล่าคิดอกุศลเลย

“เอ่อ...” ผมยกมือขึ้นลูบท้ายทอยขณะมองหน้าคนที่ยังคงหลับพริ้มไม่รู้เรื่อง “ขอโทษนะครับ” บอกเขาทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่รับรู้อะไรหรอกแล้วจึงยื่นมือไปปลดเข็มขัดแล้วรูดออกก่อนจะโยนลงบนพื้นก่อนจะช่วยถอดถุงเท้า มองเจ้าตัวที่เอาเท้าขาวๆ ถูกันแล้วจึงช่วยห่มผ้าให้

แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ง ถ้าขืนถอดเยอะกว่านี้ ถ้าเจ้าตัวตื่นขึ้นมาตอนเช้าต้องเข้าใจว่าเราทำกันแน่ๆ

ผมทิ้งตัวลงข้างเขา กอดอกเพราะอากาศในห้องเย็นมาก คงเพราะตอนทำกิจกรรมในร่มมันจะร้อนล่ะมั้งถึงได้ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เย็นขนาดนี้ เพราะหนาวมากจนร่างกายรับไม่ไหวผมจึงลุกขึ้นหารีโมทเพื่อปรับอุณหภูมิแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนต้องถอดใจแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนข้างเขาอีกครั้ง

ผ้าห่มก็มีแค่ผืนเดียวอีก เพราะงั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันแม้จะเป็นคนแปลกหน้าแต่ห่มผ้าผืนเดียวกันคงไม่เป็นไรหรอก

คิดว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันแล้วก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย

ผมขยับเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเขาย่นระยะห่างระหว่างเราให้น้อยลง

อุ่นจัง และความอุ่นที่โอบกอดร่างกายก็ทำให้ผมที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันเข้าสู่ห้วงฝันอย่างง่ายดาย

กระทั่งในฝันผมก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงซึ่งต่างกับความจริงตรงที่... ในฝันผมถูกใครบางคนโอบกอดจากด้านหลัง เขาคนนั้นซุกหน้าลงบนแผ่นหลังของผมจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ลอดผ่านเนื้อผ้าเข้ามาถึงผิวกาย สักพักมือที่สอดประสานกันที่อกของผมก็คลายออก

เดี๋ยวนะ อยู่ๆ มือข้างหนึ่งก็สอดเข้ามาสัมผัสผิวกายตรงหน้าท้องของผมจนขนอ่อนพร้อมใจกันลุกขึ้นมา

ความฝันนี้มันเหมือนจริงเสียจนผมต้องลืมตาตื่นขึ้นมา

“เฮ้ย!!” และก็ต้องร้องลั่นเมื่อผมไม่ได้ฝันไป

ผมถูกกอดจริงๆ และคนที่กอดผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้กระทั่งชื่ออย่างไรล่ะ

“คุณ” ผมจับมือซุกซนเอาไว้แล้วพลิกตัวเพื่อมองหน้ากันตรงๆ ทว่าคำห้ามปรามทั้งหมดก็เป็นอันต้องกลืนลงคอไปเมื่อได้มองหน้าเขาเต็มๆ ตา

เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมโตที่กวาดมองใบหน้าผมอย่างพิจารณา เหมือนกำลังคิดว่าเคยเจอหรือรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า

“ซะ...” เสียงเครือดังออกมาจากริมฝีปากอิ่ม เหมือนจะเรียกชื่อกันแต่ก็ไม่เรียก “ไม่น่าใช่”

เขาบ่นกับตัวเองแล้วยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของผม กุมเอาไว้แล้วโน้มใบหน้าเข้ามามองกันใกล้ๆ

ราวกับตกอยู่ในภวังค์เมื่อมองเข้าไปในดงตาของอีกฝ่าย ระหว่างเราเหมือนกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างเกิดขึ้น ระยะห่างค่อยๆ ลดน้อยลงเมื่อเขาเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ยังคงเจือจางอยู่ในลมหายใจของเขาทำให้ผมมึนงง ดวงตาพร่าเบลอมองหน้าเขาไม่ชัดเจนนักกระทั่งความนุ่มหยุ่นราวกับเจลลี่ทาบทับลงมาบนเรียวปากของผม

ผมนิ่งไปเมื่อนึกได้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่คือการจูบ ตั้งใจจะผละออกแล้วแต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยสัมผัสหวามไหวที่สอดแทรกเข้ามาภายใน

เอาวะ  ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มก่อนนะผมก็แค่ปล่อยตามน้ำเท่านั้นเอง จูบมา จูบตอบไม่โกงแน่นอน

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เราแลกจูบกันราวกับโหยหา กระทั่งเขาเป็นฝ่ายผละออก ดวงตาของเรายังประสานกันแม้ว่าต่างฝ่ายต่างกำลังกอบโกยอากาศเข้าปอด

“คุณ…” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคคนตรงหน้าก็เริ่มต้นจูบอีกครั้ง สัมผัสซึ่งร้อนแรงตั้งแต่เริ่มต้นอย่างที่ผมเองก็ไม่คิดจะหยุดแล้วเหมือนกัน

ผมลูบไล้แผ่นหลังของเขาผ่านเนื้อผ้า ก่อนจะเคลื่อนต่ำลงมาที่สะโพก กอดเขาแน่นให้ร่างกายที่ตื่นตัวจากจูบร้อนแรงสัมผัสกันแนบแน่น เขาแทรกนิ้วมือเข้ามาในกลุ่มเส้นผมบนศีรษะของผม เราแลกจูบกัน เอียงหน้าให้ได้องศาที่ต้องการ เมื่อเขาหยุดผมก็เป็นรุก สลับกันราวกับคนที่หลงมัวเมา

ก็น่าจะใช่ ผมกำลังมัวเมากับรสจูบแสนหวานของเขาเข้าแล้วจริงๆ และก่อนที่เราจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้เขาก็ผละจูบออก

เสียดายแต่ก็คิดว่าดีแล้ว

ผมใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากทั้งที่สายตาของเรายังประสานกันและผมก็ต้องนิ่งสนิทอีกครั้งเมื่อคนที่ก่อนนี้ทำเพียงจ้องผมเฉยๆ โน้มใบหน้าเข้ามาแล้วใช้ปลายลิ้นแตะที่ริมฝีปากของผมเหมือนกับอยากจะช่วยเช็ด แต่ไม่ใช่อะครับนี่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ ยิ่งเลียยิ่งเลอะไปกันใหญ่

ผมดันตัวเขาออกในตอนที่รู้สึกว่าระหว่างเรามันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้วทว่าเขากลับทำหน้าง้ำงอเหมือนเด็กถูกแย่งของเล่น น่ารักเสียจนคาดไม่ถึง

“ไม่ชอบเหรอ” ดวงตาฉ่ำๆ นั้นทำหัวใจของผมสั่นไหว

และก่อนที่ผมจะได้ตั้งตัวเขาก็โน้มใบหน้าเข้ามาอีก คราวนี้เขาใช้ปลายจมูกมนคลอเคลียกับปลายจมูกของผมไม่ห่าง การกระทำเหมือนกำลังออดอ้อนทำให้ผมแทบหยุดหายใจ

ร่างกายที่แนบชิดอยู่แล้วก็ยิ่งเบียดชิดอีกเมื่อคนที่คลอเคลียผมไม่ห่างเบียดร่างเข้ามา

มาถึงขั้นนี้แล้วถ้าผมหยุดกลางครันได้ล่ะก็อย่าเรียกผมว่าชายหนุ่มวัยกลัดมันเลย

ผมหลับตาลงเมื่อเขาผละห่างเพียงเสี้ยววินาทีก่อนลำคอของผมจะถูกรุกไล้ซุกซบและขบกัดด้วยริมฝีปากนุ่มๆ ฟันคมและปลายจมูกมน

เสื้อของผมถูกโยนออกไปจากร่างก่อนที่ร่างกายท่อนบนจะถูกสัมผัส

“ฮือ” ผมเผลอส่งเสียงเมื่อลิ้นชื้นและริมฝีปากนุ่มสร้างความสุขให้ทั่วทุกอณูผิว เขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

เราสบตากันอีกครั้งในตอนที่เขาซบหน้าลงบนหน้าท้องของผม ผมแทบหยุดหายใจในตอนที่มือเรียวปลดหัวเข็มขัด พอเขาตั้งท่าจะดึงมันออกผมจึงคว้ามือซุกซนข้างนั้นเอาไว้

นัยน์ตาคู่สวยสะท้อนคำถาม พอผมส่ายหน้าเขาก็ชักสีหน้าขัดใจใส่กัน

“ให้ผมทำ” ผมกระซิบตอนที่ช้อนใต้แขนเขาแล้วดึงให้ขึ้นมาทาบทับอยู่บนตัว

ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งเห็นว่าเขาหน้าแดงมาก ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือเพราะเมากันแน่ แต่จะเพราะอะไรก็ตามตอนนี้ผมไม่อยากรออะไรอีกแล้ว

“ถอดได้มั้ยครับ” เจ้าของเสื้อเชิ้ตที่หลุดลุ่ยก้มมองนิ้วของผมที่ลูบไล้กระดุม เขาไม่ได้ว่าอะไรแต่อนุญาตผมด้วยการส่งมือมาช่วยปลดมันออกเสียเอง

ผมหัวเราะในลำคออย่างพออกพอในใจท่าทางน่ารักนั้นและก็อดที่จะกดจูบลงบนหน้าผากของเขาไม่ได้เลย

คนบนร่างของผมนิ่งไปชั่วขณะกับสัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับและผมก็อาศัยจังหวะนั้นกดปลายจมูกลงบนผิวเนื้อขาวๆ ของเขา คลอเคลียไม่ยอมผละห่าง

ร่างกายของคนในอ้อมกอดนุ่มนิ่มเหมือนหมอนข้าง

ไม่สิ เขาดีกว่าหมอนข้างมากเพราะเขามีชีวิต เขาตอบรับสัมผัสของผมได้ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เราคลอเคลียกันอยู่บนเตียง

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอุณหภูมิในห้องไม่ได้ต่ำเกินไปเมื่อกิจกรรมบนเตียงร้อนแรงราวกับเรากำลังเต้นรำอยู่บนกองเพลิง





[T B C]


เปิดเรื่องใหม่ค่ะ
เป็นเรื่องราวของคุณชายของคนซวยอย่างเจ้าเซ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ซึ่งถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน
กับพี่ปกรณ์ หนุ่มออฟฟิศสุดหล่อ ที่การเจอกันครั้งแรกไม่ค่อยจะน่าจดจำนัก
เจอกันในม่านรูดไงล่ะ

ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
แจ๊ส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2017 20:51:08 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที
«ตอบ #2 เมื่อ12-03-2017 21:09:07 »

ค้างอย่างแรงงงงงงงงง
ติดตามจ้า

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที
«ตอบ #3 เมื่อ12-03-2017 21:54:43 »

 :katai2-1:  รอลุ้นค่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที
«ตอบ #4 เมื่อ12-03-2017 22:08:24 »

ตอนแรกนึกว่าเซอาจจะเคะ (หัวเราะ)

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
 บทนำของพี่ปกรณ์



ผมชื่อปกรณ์ ที่จริงผมก็มีชื่อเล่นนะ แต่ที่ออฟฟิศชอบเรียกปกรณ์ ผมก็ปล่อยเลยตามเลย แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องชื่อหรอก จำได้ว่าเมื่อคืนผมดื่มหนักมาก แน่นอนว่าดื่มไปเยอะขนาดนั้นผมต้องเมาแน่ และพอเมา ไอ้กริชเพื่อนรักก็ควรจะพาผมไปส่งที่คอนโดสิ แต่บรรยากาศโดยรอบในตอนที่ผมลืมตาขึ้นมามันไม่ใช่เลย มองอย่างไรก็ไม่ใช่คอนโดของผมแน่ๆ

แอ๊ด!

ประตูห้องน้ำที่คอนโดผมไม่มีเสียงแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เรื่องที่ควรสนใจคือ ใครเป็นคนเปิดประตู

มองตามเสียงและก็ต้องตกใจเมื่อพบกับเขา ชายหนุ่มที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้งในสถานการณ์ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีเพียงผ้าขนหนูพันท่อนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรือนร่างของเขาดูดีจนผมเผลอมองอยู่นานกระทั่งเจ้าตัวเคลื่อนไหวนั่นแหละผมจึงเบือนหน้าหนี

“ตื่นแล้วเหรอครับ” มองที่ใบหน้าก็พบกับรอยยิ้มที่เหมือนกับเจ้าของมันตั้งใจโปรยเสน่ห์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามี

ว่าแต่ผมมาอยู่ที่นี่กับเขาได้ยังไง ใครหิ้วใครมากันแน่

“คุณจะนอนต่ออีกซักหน่อยก็ได้นะ เมื่อคืนกว่าเราจะได้นอนก็ดึกเลย ร่างกายคุณคงอยากพักผ่อน”

ดูจากสภาพเตียงและร่องรอยบนร่างกายเขาก็พอรู้อยู่หรอกว่าเมื่อคืนเราทำอะไรกัน ถึงแม้จะรู้ว่าเรามีความสัมพันธ์ทางร่างกายแต่ผมกลับจำเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย

“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“เอ๋” เขามุ่นคิ้ว “จำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ”

“ไม่ได้” ปวดหัวมากจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร

“เมื่อคืนคุณเมาหนักมาก ตอนนี้ปวดหัวใช่มั้ยครับ” ที่นั่งกุมขมับอยู่นี้คงเป็นอาการของคนปวดท้องมั้ง

เขามองผมแล้วอยู่ๆ ก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มเหมือนเอ็นดูก่อนจะรินน้ำในเหยือกใส่แก้วมาให้

“ดื่มก่อนครับ มันอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากแต่คงดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” เขานั่งลงข้างๆ มองผมที่กำลังจิบน้ำจากแก้วขณะไม่ละสายตาจากเขาสักวินาที

นี่ไม่ใช่ฝัน มันคือเรื่องจริงใช่หรือเปล่า

“พี่ชื่ออะไรครับ”

“ไปป์” บอกแล้วก็จิบน้ำในมือ

“พี่ไปป์ ผมเซนะ เสียใจจังครับทั้งที่เมื่อคืนเราเข้ากันได้ดีแท้ๆ แต่พี่กลับจำไม่ได้ ให้เซช่วยทวนความจำให้ดีมั้ย” เขาเรียกผมอย่างสนิทสนมพลางยื่นมือมาสัมผัสที่ไหล่

“ไม่ต้อง ไม่อยากจำ” ผมตีมือเขาดังเพี๊ยะให้เจ้าตัวรีบชักมือออก

“พี่ไปป์ใจร้ายจังครับ ทั้งที่เมื่อคืนเซออกจะใจดีกับพี่” เขาว่าเสียงอ้อน ยื่นมือมาหาผมอีกแต่ก็ถูกผมตีแรงๆ จนต้องชักกลับไป

“เลิกพูดถึงเรื่องเมื่อคืนซักที แล้วของของผมอยู่ไหน”

“เสื้อผ้า…” เขาปรายตามองพื้นให้ผมมองตาม

เสื้อผ้าของเรากองรวมกันอยู่บนพื้นที่ปลายเตียง เมื่อคืนเมาแค่ไหนกันวะไปป์ ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย

“แล้วกระเป๋าตังค์”

“เพื่อนพี่เอาไปหมด”

“อย่ามาโกหก” ผมบอกแล้วลุกขึ้นแต่ก็ต้องล้มลงเพราะแข้งขาอ่อนแรง คนตัวสูงกว่าเข้ามาประครองผมเอาไว้กลายเป็นว่าตอนนี้ร่างกายเปลือยเปล่าที่มีผ้าห่มคลุมอย่างหมิ่นเหม่ถูกกอดเอาไว้เต็มอ้อมแขน

“ก็บอกแล้วว่าให้พัก ร่างกายพี่น่ะ…”

“หยุดพูด!” พอถูกผมตะคอกเขาก็หุบปาก “ปล่อยด้วย”

“อะไรกันครับ เมื่อคืนพี่ไปป์ยังอ้อนให้เซกอดอยู่เลย ตอนนี้ไม่ต้องการแล้วเหรอครับ” ดูความเจ้าเล่ห์ของเขา อ้อนไม่พอแล้วยังมากระชับกอดอีก บอกให้ปล่อยไง ฟังภาษาคนไม่เข้าใจเหรอวะ

“ก็บอกแล้วไงว่าจำไม่ได้”

“ถึงได้บอกไงว่าเซจะช่วยทวนความจำให้”

“ไม่ต้อง” ผมดุพลางดันแผ่นอกแกร่งของเขาออกแต่ก็เหมือนเอาไม้ซี่ไปงัดไม้ซุง ปกติผมไม่ใช่คนอ่อนแอแต่เพราะเมื่อคืนใช้ร่างกายหักโหมไปหน่อยตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่

“แล้วจะเอายังไงต่อครับ นอนต่อหรือจะกลับ”

“กลับไงอะไม่มีตังค์ ถ้าอยากให้กลับก็เอาเงินมาดิ” ผมแบมือไปตรงหน้าเขา

“พี่ไปป์คงไม่ได้คิดว่าเซเอาเงินพี่ไปหรอกนะ”

“ไม่รู้สิ”

“เสียใจอะ ถ้าเซคิดจะขโมยของของพี่ไปป์ เซไม่มานอนกอดพี่อยู่อย่างนี้หรอก ป่านนี้หนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” น้ำเสียงเขาเหมือนเด็กขี้งอน

“กี่โมงแล้ว” ผมไม่ได้ต่อปากต่อคำต่อเพราะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองไม่ไหว ดวงตามันหนักๆ เหมือนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ทั้งที่เพิ่งตื่นขึ้นมาแท้ๆ

“10 โมงกว่าครับ”

“ขอนอนต่ออีกหน่อยได้มั้ย แล้วก็ปล่อยซักที มันอึดอัด” ผมหลับตาลงแล้วผลักอกแกร่งอีกทว่าแทนที่จะผละห่างเจ้าเด็กนี่กลับกระชับกอดแล้วแนบแก้มลงบนหน้าผากของผม

“ไม่กลัวเซหนีเหรอ ให้เซนอนกอดนะ เซก็ง่วงเหมือนกัน” อ้อนกันอีก เอาเถอะอยากทำอะไรก็ทำ ที่ยอมไม่ใช่ว่าผมใจอ่อน เพียงแต่ร่างกายไม่พร้อมสู้รบกับใครจริงๆ

ผมหลับไปทั้งอย่างนั้น อ้อมกอดของเขาก็อุ่นดี อุ่นเหมือนอ้อมกอดของใครบางคน คนที่ทำให้ผมถูกตราหน้าว่าเป็นคนใจร้าย







“พี่ไปป์ต้องเช็คเอาท์แล้วนะตื่นได้แล้วครับ”

สัมผัสแผ่วเบาไล้ที่กรอบหน้าแต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ลืมตาจนเสียงนั้นดังขึ้นอีก ใกล้อีก ชิดๆ ใบหู

“พี่ไปป์ถ้าไม่ตื่นตอนนี้จะเช็คเอาท์ไม่ทันนะครับ” คราวนี้สัมผัสไล้ลงมาที่ไหล่เปลือยเปล่า ท่อนแขน ลูบอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ตอนแรกก็รู้สึกดีแต่พอถูกกวนมากๆ ก็ชักจะรำคาญจนต้องปัดมันออก หากอีกฝ่ายกลับไม่ยอมแพ้

ยอมเถอะ คนจะหลับจะนอน

“พี่ไปป์ ถ้าไม่เช็คเอาท์เซจะเช่าห้องต่อนะ และถ้าเช่าต่อเซก็จะกอดพี่ไปป์ต่อนะ” แก้มของผมถูกรุกรานด้วยปลายจมูกก่อนริมฝีปากจะแนบลงมา และถ้าขืนนอนต่อระหว่างเราต้องไม่จบแค่จูบแน่

“พอ!” ผมจำต้องลืมตาเมื่อถูกจูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก มองไอ้เด็กเจ้าเล่ห์เต็มตาแล้วจึงผลักอกแกร่งแรงๆ

“ไม่นอนต่อแล้วเหรอครับ”

“แล้วทำไมไม่ปลุกให้เร็วกว่านี้”

“ตอนพี่ไปป์หลับน่ารักมากครับ” ชมแล้วก็ยิ้มโปรยเสน่ห์

“ไม่ต้องมาหยอด ไม่เคลิ้ม”

“แต่เมื่อคืนพี่ไปป์ก็เคลิ้มไปกับเซทั้งคืนนะครับ”

“เซ!!” ผมดุแต่เขากลับยิ้มหน้าระรื่น

“ดีจัง พี่ไปป์จำชื่อเซได้ด้วย”

“ก็คุณแทนตัวเองว่าเซ เซ เซ อยู่นั่น ใครก็รู้หมดแหละว่าชื่ออะไร”

“สนใจเซใช่มั้ยครับ”

“หลงตัวเองเข้าไป แล้วนี่เลิกชวนคุยได้ยัง จะเช็คเอาท์ไม่ใช่เหรอรีบไปสิ”

“ไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเหรอครับ ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงนะ” เหลือบมองนาฬิกาติดผนังในระดับสายตาที่ปลายเตียงก็พบว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเที่ยง ยังมีเวลาอย่างที่เขาว่าจริง แต่...

“จะหาทางหนีล่ะสิ”

“พี่ไปป์ก็มองเซในแง่ร้ายเกินไป”

“แล้วทำไมผมต้องมองเด็กขายตัวอย่างคุณในแง่ดีด้วยล่ะ” คนถูกหาว่าเป็นเด็กขายตัวชักสีหน้าไม่พอใจ

ผมน่ะถึงแม้จะจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่แต่ก็พอนึกออกอยู่ว่าก่อนเมาไอ้กริชบอกว่าจะพาไปหาเด็กมาช่วยคลายเหงา และพอตื่นขึ้นมาก็เจอเซ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา ทั้งยังไม่ค่อยอยากเชื่อว่าเขาขาย

“ถ้าพี่กังวลนักให้เซเข้าไปเฝ้าพี่ในห้องน้ำด้วยมั้ยล่ะ”

“เอาสิ” กล้าท้า คนอย่างปกรณ์ก็กล้าตอบรับอยู่แล้วไม่มีอะไรต้องกลัวเลย

ท้าทายกันด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่งผมจึงเลิกผ้าห่มออกแล้วพาตัวเองในสภาพไม่สู้ดีนักลุกจากเตียง เด็กหนุ่มตั้งท่าจะเข้ามาช่วยพยุงแต่ผมก็ยกมือห้ามไว้

ช่วยเหลือตัวเองได้น่าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซักหน่อย

และเมื่อถูกผมห้ามไม่ให้โดนตัวเขาจึงถือผ้าขนหนูตามเข้ามา

ระหว่างที่ปล่อยให้น้ำอุ่นจากฝักบัวไหล่ผ่านกาย คนที่ยืนกอดอกพิงกำแพงก็มองผมไม่วางตา สายตาของเซทำให้รู้สึกแปลก อยากไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้แต่พอนึกได้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเชิญชวนเขาเองก็ได้แต่ทำเป็นไม่สนใจแล้วตั้งหน้าตั้งหน้าอาบน้ำต่อ

“พี่ไปป์” ผมปิดฝักบัวเมื่อได้ยินเสียงเรียก หันไปมองก็พบว่าดวงตาที่เคยมองผมราวกับจะกลืนกินเปลี่ยนเป็นจริงจังแล้ว “เซเหมือนเด็กขายตัวเหรอ”

“ไม่รู้สิ” ไม่เหมือนหรอก

“ถ้าเซบอกว่าเซเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาๆ พี่ไปป์จะเชื่อเซมั้ย”

“หาเงินค่าเทอมเหรอ” ผมถามกลับขณะยื่นมือไปรับผ้าขนหนูมาเช็ดตัว แล้วค่อยใช้ผ้าผืนเดียวกันนั้นพันกาย

“คิดว่าเซขายตัวจริงๆ งั้นสิ” เขาถอนหายใจ ทำหน้าซังกะตายแล้วเดินออกจากห้องน้ำไปก่อน

ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างสิทธาจะต้องมาทำงานไร้เกียรติแบบนี้ ไม่มีความเป็นไปได้เลย แล้วทำไมเราถึงมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์ประหลาดๆ แบบนี้ล่ะ







เพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าที่เคยกองอยู่ที่พื้นบัดนี้ถูกแขวนด้วยไม้แขวนไว้ที่ราวแล้ว แม้สภาพมันจะไม่ดีนักแต่ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่

“ขอบใจนะ” ผมหันไปบอกคนที่กำลังกดมือถืออยู่บนเตียง เพิ่งสังเกตอีกเหมือนกันว่าเสื้อผ้าเขาไม่เห็นจะสภาพแย่เหมือนเสื้อผ้าผมเลย

“เซช่วยมั้ยครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังก่อนตัวผมจะถูกหมุนให้หันไปเผชิญหน้ากัน

มือของผมที่กำลังง่วนอยู่กับการติดกระดุมถูกแทนที่ด้วยมือแกร่ง เซบรรจงติดกระดุมให้ทั้งแถวจนมิดคอ

“ที่คอมีรอยนะ”

“ตอนทำผมห้ามคุณหรือเปล่า”

“ห้ามครับ”

“แล้วทำไมไม่ฟัง”

“ก็พี่ไปป์น่ารัก” ถูกชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้แม้ไม่คิดอะไรแต่ก็อดที่จะรู้สึกเก้อเขินไม่ได้

“ปฏิบัติแบบนี้กับลูกค้าทุกคนเลยเหรอ” ที่จริงเท่าที่ฟังไอ้กริชเล่ามา พอเสร็จก็แค่แยกย้ายไม่มีใครเขาอ้อยอิ่งดูแลกันแบบนี้หรอก

“เปล่าครับ”

“แล้วทำให้ผมทำไม เพราะผมน่ารักเหรอ” พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็มองหน้าผมตรงๆ แล้วยิ้ม พอได้รับรอยยิ้มแบบนั้นหัวใจก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาซะอย่างนั้น

“คงงั้นมั้งครับ” กางเกงที่วางอยู่ใกล้ๆ ถูกยื่นมา “อันนี้ให้เซช่วยมั้ย”

“ไม่ต้อง” กางเกงถูกกระชากแรงๆ จากมือเขาให้เซหัวเราะหึๆ แล้วมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะก้มลงมากระซิบ

“ที่จริงเซก็ไม่ถนัดใส่หรอกครับ ถนัดถอดมากกว่า” ไอ้เด็กเวร!

ผมผลักอกคนที่กำลังใช้มือป้วนเปี้ยนที่ปมผ้าขนหนูแรงๆ จนเจ้าของชื่อเซสมชื่อ เงยหน้ามองนาฬิกาอีกครั้งก็พบว่าอีก 10 นาทีจะเที่ยงแล้ว ผมจึงรีบใส่กางเกง พอเห็นว่าผมแต่งตัวเสร็จแล้วเขาก็ก้าวเข้ามาใกล้อีก พอเห็นว่าผมตั้งท่าจะเดินหนีเขาก็หัวเราะกวนประสาท

“กลัวอะไรครับ เซแค่…” ช่วยฉีดน้ำหอม “เสร็จแล้วเนอะ เช็คเอาท์เลยมั้ยครับ”

เขาเดินนำออกไปก่อน

เพิ่งรู้ความจริงตอนที่เดินพ้นประตูว่าผมอยู่ในโรงแรมม่านรูด ไอ้กริชนะไอ้กริช โรงแรมดีๆ มีไม่พาไปกลับมาทิ้งกันไว้ในโรงแรมม่านรูดกับเด็กค้าบริการเนี่ยนะ







ผมยินพิงกำแพงรออยู่ข้างนอกปล่อยให้เซเข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ ไม่นานนักเขาก็โผล่ออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“เพื่อนพี่ไปป์เคลียร์ค่าห้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนนี่...” กระเป๋าสตางค์ใบเรียบแต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของแบรนด์เนมถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนเซจะส่งแบ็งค์พันมาให้ผม

มองเผินๆ เหมือนเขากำลังจ่ายค่าตัวให้ผมเลยอะ เช็คอิน โรงแรมม่านรูด

“เพื่อนพี่ให้เซเมื่อคืน แต่เซไม่ได้ขายเพราะงั้นเซไม่รับไว้ดีกว่า และก็...” ค้างประโยคเอาไว้แล้วก็หยิบเงินออกมายัดใส่มือผมอีก 500 บาท “ส่วนนี่ค่าเช่าห้อง ยังไงก็ใช้ห้องด้วยกันเซก็ควรหารด้วย”

ผมมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง มือหนึ่งถือเงินไว้ สมองกำลังคิดไปต่างๆ นานาแต่ก็หาข้อสรุปไม่ได้ซักที

“เราออกไปจากที่นี่ก่อนดีมั้ย” เซจับข้อมือผมอย่างถือวิสาสะ

เราเดินไปตามฟุตบาธท่ามกลางแดดตอนเที่ยง บอกเลยว่าร้อนฉิบหาย ร้อนจนต้องปลดกระดุมสองเม็ดบนออก ร่องรอยอะไรก็ช่างมัน ผมไม่สนแล้ว เดินมาสักพักก็เจอสวรรค์ สวรรค์ที่ว่าคือร้านกาแฟ เพียงเปิดประตูเข้าไปกลิ่นกาแฟก็เตะจมูกทันที หอมมาก ร่างกายต้องการกาแฟสุดๆ ไปเลย

“พี่ไปป์ดื่มอะไรมั้ย”

“ลาเต้” เซหมุนพัดลมเพียงตัวเดียวในห้องแอร์มาที่ผมแล้วค่อยเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ ระหว่างนี้ผมก็ใช้เวลาพิจารณากระเป๋าเป้ของเขาที่วางอยู่บนเก้าอี้ตรงข้าม

“ชอบกระเป๋าเซเหรอครับ”

“รุ่นลิมิเต็ทนี่”

“พี่ไปป์เจ๋งอะ เพื่อนที่มหา’ลัยเซยังดูไม่ออกเลยว่าเป็นลิมิเต็ท” เด็กหนุ่มตรงหน้าว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พอทำท่าทางแบบนี้แล้วค่อยเหมือนคนอายุน้อยกว่าหน่อย

“แฟนเคยใช้”

คนตรงหน้าผมเงียบกริบ สีหน้าที่เคยตื่นเต้นกลับมาเงียบสงบตามเคย ปล่อยให้เขากวาดสายตามองนั่นนี่อยู่ครู่หนึ่งผมจึงแบมือไปตรงหน้าให้เด็กนั่นทำหน้างงหน่อยๆ

“ยืมมือถือหน่อยได้มั้ย”

“ได้ครับ” เขาปลดล็อคแล้วส่งไอโฟนให้ผมอย่างไม่ลังเล

เมื่อผมรับมาก็รีบกดโทรออกหาให้กริชทันที ไอ้เพื่อนสารเลวถ้ารับสายเมื่อไหร่จะด่าให้ขี้หูแม่งระเบิดเลย

“สวัสดีครับ เพื่อนปกรณ์ แต่ตอนนี้...” รอสายไม่นานไอ้ตัวก่อเรื่องก็รับสายด้วยเสียงสองที่โคตรเก็กหล่อ

“กูเนี่ยเพื่อนมึง ไอ้ห่ามึงคิดไงทิ้งกูไว้ม่านรูดวะ”

“เชี่ยไปป์ มึงเอาเบอร์ใครโทรมาวะ”

“ไม่เสือกนะกริช รถกูอยู่ไหน” เพิ่งถอยมายังผ่อนไม่หมดเลยครับ ก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา

“ของมีค่ามึงอยู่ที่กูหมด แล้วนี่มึงออกจากโรงแรมแล้วเหรอ” ดูมัน ยังมีหน้ามาถามอีก แหกตาดูนาฬิกมั้ยมันเลยเวลาเช็คเอาท์มาหลายนาทีแล้วครับ

“มารับกูที่ร้านกาแฟใกล้ๆ โรงแรมเนี่ย”

“กูขอเวลาครึ่งชั่วโมง”

“มึงรีบมาเลยสัดอย่าโอ้เอ้” ผมรีบตัดสายก่อนที่มันจะต่อรองแล้วส่งมือถือคืนเจ้าของ หากแต่คนเป็นเจ้าของกลับลุกขึ้นไปรับเครื่องดื่มซะก่อนที่ผมจะได้คืน

อย่าหาไร้มารยาทเลย ขอดูอะไรในเครื่องซักหน่อยเถอะ

ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอกว่าใช่เขา แต่เมื่อเห็นภาพหน้าจอซึ่งเป็นตึกเรียนที่ผมคุ้นเคยก็ยิ่งมั่นใจว่าใช่

“เรียนที่นี่เหรอ” ผมวางมือถือลงในจังหวะที่เจ้าของมันกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่ม

“ครับ?” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูงงหน่อยๆ แต่พอวางแก้วลงแล้วมองภาพหน้าจอเต็มตาถึงได้พยักหน้าแรงๆ “นิเทศปี 4 ครับ”

“ที่มหา’ลัยรู้รึเปล่าว่าขาย”

“เซบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่าไม่ได้ขาย ถามจริง เซเหมือนเหรอพี่”

“ไม่ค่อยแต่ก็ไม่แน่ แล้วถ้าไม่ขายขึ้นรถมาด้วยทำไม”

“ก็เซไม่มีที่ไป อีกอย่างใครอยากจะยืนในที่แบบนั้นนานๆ วะ” เริ่มขึ้นเสียงจนผมที่เป็นรุ่นพี่มหา’ลัยอยากจะโบกสักที แต่ไม่ทำหรอก ต้องคีฟลุคถึงแม้จะไม่มีให้คีฟแล้วแต่ก็ไม่ควรหลุดอีก

“แล้วเมื่อคืนทำทำไม” ผมถลกคอเสื้อลงให้เห็นร่องรอยที่เจ้าตัวฝากเอาไว้เพื่อย้ำความหมายของคำว่า ‘ทำ’

“ก็...” ไม่ต้องมาอ้ำอึ้งเดี๋ยวก็ฟาดด้วยก้นแก้วกาแฟ “พี่ไปป์น่ารักอะ โคตรขี้อ้อนเลย ใครจะอดใจไหววะ”

ผมแทบสำลักลาเต้ตอนที่ถูกชมว่าน่ารัก ตั้งแต่เลิกกับแฟนเมื่อไม่นานมานี้ก็ไม่ค่อยมีใครชมว่าน่ารักเลย ถูกพูดใส่หน้าว่าหยิ่งบ่อยกว่าอีก

“ที่บอกว่าไม่มีที่ไปหมายความว่ายังไง เป็นเด็กมีปัญหาหนีออกจากบ้านเหรอ”

“แม่นมาก แต่เซไม่ใช่เด็กมีปัญหา”

“กลับบ้านไปซะ อย่ามาทำตัวเหลวไหลแบบนี้”

“เป็นเมียเหรอ มาสั่ง”

“เซ ผมเป็นพี่คุณนะ”

“พี่อะไร นอนด้วยกันก็ต้องเป็นเมียดิ ไม่คุยกับพี่ไปป์แล้ว ไปดีกว่า”

เซจบบทสนทนาของเราด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เก็บของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไป โดยไม่มองกลับมาอีก

ทั้งที่ดูเหมือนเป็นเด็กดีแท้ๆ แต่กลับบอกลากันอย่างหยาบคาย อย่าให้เจออีกละกัน จะดัดนิสัยให้เข็ด





[T B C]


ให้โอกาสพี่ปกรณ์ได้เล่าบ้าง เพราะหลังจากนี้น้องเซจะโซโล่เอง
แล้วก็จะบอกว่าเซแมนนะครับ ถึงจะดูง้องแง้งในบางทีแต่ก็แมนนาจา
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-11-2017 21:39:01 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ไม่ทวนความจำถือว่าพลาดแล้วนะคะพี่ ร่างพังขนาดนี้ อิอิ

ออฟไลน์ Bk borz.

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบมากอ่ะ5555555

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Bk borz.

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จะไม่มาต่อจริงๆเหยออ

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 01


 “สิทธาเมื่อคืนมึงไปนอนไหนมาวะ” ผมโคตรอยากจะฟาดไอ้ยอดด้วยกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ทอิดิชั่น เป็นคนเฉดหัวผมออกจากห้องเองยังมีหน้ามาเสแสร้งทำเป็นห่วงใย ขอโทษนะไอ้เซกินข้าวครับไม่ได้กินหญ้า

“ห่ายอด มึงไม่ต้องเลย” ไอ้เซงอนอะ งอนมากเลย

ตั้งแต่ออกจากห้องไอ้โจมาก็เดือนกว่าแล้ว ไม่อยากเชื่อก็จงเชื่อเถอะว่าไอ้เซลูกคนรวยเปลี่ยนที่นอนมาแล้ว 3-4 ที่ ขอเขานอนไปทั่วแหละ เงินไม่มีไง

มานี่มาจะเล่าให้ฟัง

ความบัดซบของชีวิตไอ้สิทธาเริ่มขึ้นตอนขึ้นชั้นปีที่ 4 ในวันเกิดของคุณพ่อซึ่งเป็นเจ้าของ Plus Channel สถานีโทรทัศน์ที่ผมกำลังฝึกงานอยู่นี้

ต้องเกริ่นก่อนว่าผมออกจากบ้านมาอยู่คอนโดใกล้ๆ มหา’ลัยตอนขึ้นปี 1 ตอนนั้นอยู่กับพี่สองซึ่งอายุมากกว่าผม 3 ปีและพอพี่มันจบเรียนจบห้องนั้นก็กลายเป็นของไอ้เซไปโดยปริยาย นั่นแหละครับ ทุกอย่างมันควรจะดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนผมเรียนจบ แต่ดันมาสะดุดเอาตอนจะขึ้นปี 4 เนี่ย

ในวันเกิดคุณพ่อที่จัดอย่างใหญ่โตอลังการสมฐานะ ผมที่เป็นลูกชายคนเล็กก็เตรียมของขวัญไว้อย่างสมฐานะแหละครับ แต่คืนก่อนวันเกิดไอ้เพื่อนโจดันทะเลาะกับแฟนชวนผมออกไปแดกเหล้า แดกแล้วไงครับ ไอ้เซเมาสิครับ เมาเหมือนหมาเลย อย่าว่าแต่ตื่นสาย วันนั้นจะบอกว่าหลับยันพระอาทิตย์ตกอะ ตื่นอีกทีก็ตอนที่ไอโฟนแผดเสียงให้รู้ว่ามีคนโทรเข้านั่นแหละ

สายจากแม่ครับ ด่าผมไฟแลบหูแทบไหม้เลย ด้วยความเร่งรีบ แฮงค์นะจริงๆ อะ แต่ก็ต้องรีบแต่งตัวไปงานไง พอไปถึงก็มึนครับแต่ก็ต้องยิ้ม ถ่ายรูป ทำตัวเป็นลูกชายคนเล็กที่ดี ยิ้มถ่ายรูปวนไปจนปากจะฉีกยันหู กว่าจะได้พักผมนี่กลืนอ้วกตัวเองลงท้องไปจนอิ่ม พอจะนั่งพักพ่อก็เรียกให้ไปคุยกับสาวสวยในชุดเดรสสั้น ผมดัดลอนเข้ากับใบหน้ารูปไข่ ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ได้ตั้งใจฟังตอนแนะนำตัวว่าชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรเพราะตอนนั้นมึนหัวมาก กลั้นอ้วกจนหน้าเขียว และความบัดซบก็บังเกิดตอนนั้นแหละ

ไอ้ฉิบหาย อยู่ๆ ตอนที่ผมกลั้นอ้วกจนหน้าเขียวเยี่ยวแทบเล็ดไอ้พี่สองเสือกมาตบไหล่ เท่านั้นแหละครับ อ้วกพุ่งเต็มชุดคนสวยเลย ผมมองหน้าเธอแวบหนึ่งไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอโทษคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกผิดนะ รู้สึกผิดมาก แต่ไม่รู้เลยว่าพ่อจะโกรธผมมากถึงขั้นริบบัตรเครดิตแถมยังยึดห้องคืนอีก เงินที่ใช้อยู่นี่ก็ขอจากแม่มาทั้งนั้นแต่ก็ได้ไม่เยอะเท่าไหร่ มีแค่พอยาไส้ไปวันๆ เท่านั้นเอง

พอไม่มีห้องอยู่ ผมก็ควรจะกลับมาอยู่ที่บ้านใช่มั้ย แต่ขอโทษนะ มีศักดิ์ศรีไง งอนพ่ออยู่อะ ถ้าพ่อไม่ง้อไอ้เซก็ไม่กลับบ้านหรอก แต่ก็ยังมาฝึกงานบริษัทเขา เออไง ไม่มีตังค์ คืนนี้ก็ตั้งใจจะนอนออฟฟิศนี่แหละ ใครจะทำไมล่ะ ถึงวันนี้ตึกนี้จะเป็นของพ่อผม เดี๋ยวสักวันนึงในอนาคตมันก็เป็นของผมอยู่ดีแหละ

“เซ พี่เลี้ยงมึงอะกูได้ข่าวว่าเขากลับมาจากจีนแล้วนะ”

“อ้อเหรอ” ผมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนักต่างกับในหัวใจที่กำลังเต้นระส่ำ

เรื่องพี่เลี้ยงนี่ก็อีก ผมฝึกงานมาเกือบเดือนแล้วยังไม่เจอหน้าพี่แกเลย เห็นบอกว่าไปศึกษาดูงานที่จีน ก็เข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอะ ถ้าไม่ว่างจะมาเป็นพี่เลี้ยงให้ผมทำไม เลี้ยงทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ก็น้อยใจเป็นนะ เห็นคนอื่นเขามีพี่เลี้ยงดูแลแล้วเด็กฝึกงานกำพร้าอย่าไอ้เซท้อแท้

“น้องเซ พี่ปกรณ์ฝากขนมมาให้จ๊ะ” ขนมถูกยื่นมาตรงหน้าจากพี่คนเดิม เห็นแนะนำตัวว่าเป็นผู้ช่วยพี่ปกรณ์ มีหน้าที่ส่งขนมผมทุกวัน

“ขอบคุณครับ” ที่จริงก็ไม่ค่อยอยากรับหรอก แต่เพื่อรักษาน้ำใจและไม่อยากมีปัญหาผมจึงรับมาอย่างเสียไม่ได้

คุ้กกี้กล่องนั้นถูกส่งต่อให้ไอ้ยอดที่ยืนมองตาละห้อยอยู่ข้างๆ

อย่างที่ได้ยิน พี่เลี้ยงผมชื่อปกรณ์ เป็นคนของแผนกรายการต่างประเทศ ได้ยินมาว่าจบโทเกียรตินิยมจากนอก โปรไฟล์ดีมากจนอยากเจอตัวจริง อยากถามว่าทิ้งขว้างผมแบบนี้รู้สึกยังไง ส่วนผม โคตรเศร้าเลย






“น้องเซช่วยไปยกฉากตรงนั้นให้พี่หน่อยค่ะ” นี่แหละชีวิตฝึกงาน นี่แหละชีวิตนายน้อยของสถานีโทรทัศน์ ใช้งานไอ้เซเยี่ยงทาส เหตุผลเดียวเพราะผมไม่มีพี่เลี้ยง

พี่เลี้ยงครับมารับผมที ร้องหาพี่เขาไปยกฉากไป ชีวิตแม่งดราม่าจริงๆ เลย

พอจัดฉากเสร็จก็เสิร์ฟน้ำ ไม่ใช่เสิร์ฟน้ำเปล่าธรรมดานะ ต้องวิ่งไปซื้อกาแฟยี่ห้อแพงมาให้แขกรับเชิญด้วย เอาเข้าไป ถ้าได้เป็นใหญ่เมื่อไหร่จะมาเอาคืนเรียงตัวเลย

“น้องเซอย่าลืมกาแฟพี่นะคะ”

“คร้าบบบบ~” ค้อมตัวตอบอย่างสุภาพไปอีก ที่บอกว่าจะเอาคืนอะไรนั่นล้อเล่นนะครับ ไอ้เซเป็นคนใสๆ ไม่โกรธแค้นใครอยู่แล้ว

“น้องเซเร็วเข้าสิคะ กาแฟดื่มวันนี้นะคะไม่ใช่ชาติหน้า”

ปากคอเราะร้อยเดี๋ยวปั๊ดฟ้องพ่อ เอ่อ... ฟ้องแม่ก็ได้ ลืมไปว่างอนพ่ออยู่

นั่นแหละ พอรับบัตรเครดิตสำหรับพนักงานมาผมก็ต้องรีบวิ่งลงไปซื้อกาแฟแพงๆ จากโซนคอมมูนิตี้มอลล์ที่อยู่ในตึกเดียวกัน

กว่าจะผ่านไปแต่ละวันเหนื่อยมากครับ ไม่รู้ว่าคนอื่นถูกใช้งานเยี่ยงทาสอย่างผมบ้างไหม หรือว่ามีผมคนเดียวที่ถูกใช้งานอย่างกับกรรมกร ฝึกงานจบนี่ไปแบกข้าวสารได้สบายเลยนะ

พี่เลี้ยงเอ้ย กลับจากจีนแล้วก็มารับน้องเซไปทีเถอะ เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว







“ไงครับมึง หน้าตาโคตรอ่อนเพลีย”

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในฟู้ดคอร์ดกับไอ้ยอดคนเดิม เพิ่มเติมคืนข้าว 2 จานที่วางอยู่ตรงหน้า แค่ครึ่งวันแรกก็เล่นเอาเพลียเลย ทั้งวิ่งซื้อกาแฟ ทั้งเสิร์ฟน้ำ สงสัยจริงๆ ว่ารับมาฝึกงานหรือรับมาเป็นขี้ข้า

“เหนื่อยว่ะ”

“วันนี้เขาให้มึงทำอะไรบ้างวะ”

“เสิร์ฟน้ำ” ผมเท้าคางมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยด้วยดวงตาที่จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ “แล้วมึงล่ะ”

“พี่เขาให้กูช่วยดูบทว่ะ”

“ไรวะ ทีกูให้เสิร์ฟแต่น้ำ” ของขึ้นเลยเนี่ย สองมาตรฐาน

“เพราะมึงไม่มีพี่เลี้ยงไง ใครจะจิกหัวใช้มึงยังไงก็ได้”

“พี่เลี้ยงกูแม่ง อย่าให้เจอนะมึง” ผมกำช้อนแน่นหวังระบายความโกรธ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรครับ เจ็บมือไปอีก

“เจอแล้วจะทำไม”

จึก! ทั้งผมและไอ้ยอดต่างก็พร้อมใจกับหุบปากอย่างไม่ได้นัดหมาย มองหน้าคนตรงข้ามที่ทำหน้าตกใจแล้วก็ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับไปมองข้างหลัง จะว่าไปเสียงเมื่อครู่ก็คุ้นๆ อยู่นะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน แต่จำไม่ได้เลย แต่ถึงแม้จะไม่อยากเอี้ยวแต่ความอยากรู้ก็ทั้งผลักทั้งดันให้ต้องหันไปมอง และก็ต้องอ้าปากค้างทำหน้าเหมือนเจอผีเมื่อได้เห็นหน้าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเต็มๆ ตา

“สิทธาใช่มั้ย ตอบผมสิว่าถ้าเจอผมแล้วคุณจะทำไม” เขาว่าด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ดุดันอยู่ในที

“กูขอตัวนะมึง” อ้าวไอ้ยอด เรื่องทิ้งเพื่อนนี่ถนัดเลยนะมึง จะร้องตามก็ไม่ทันเพราะมันวิ่งจู้ดหางจุกตูดไปโน่นแล้วปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพัง

“สิทธาจะไม่ตอบผมเหรอ” เจ้าของร่างเพรียวในชุดสูทก้าวไปนั่งแทนที่ไอ้ยอดให้ผมจำต้องนั่งตามด้วยสติอันเลื่อนลอย

จริงเหรอวะ พี่ปกรณ์คือพี่ไปป์จริงๆ เหรอวะ

“พะ พี่ไปป์ เอ่อ พี่เป็นพี่เลี้ยงเซ”

“ปกรณ์ไม่ใช่ไปป์ ตอนนี้ฝึกงานอยู่ฝ่ายวาไรตี้ใช่มั้ย” ขอบคุณที่ยังรู้เรื่องเกี่ยวกับผมบ้าง

“ครับ”

“ต้องฝึกที่นี่อีกซักพัก แล้วเค้าให้ทำอะไรบ้าง”

“เสิร์ฟน้ำ ซื้อกาแฟ”

“แค่นี้” สีหน้าเขาตอนได้ฟังคำตอบจากผมดูไม่สบอารมณ์นัก จะโทษใครล่ะ โทษพี่แหละที่ไม่ดูแลผม

“ครับ” แม้อยากจะตำหนิเขาแต่ก็ทำได้เพียงตอบด้วยคำสั้นๆ

“มีความสามารถแค่นี้เหรอ”

“เปล่าครับ แต่พี่เค้าให้ทำแค่นี้”

“กินข้าวเสร็จรึยัง” ถามแล้วก็ลุกขึ้น ไม่ต้องถามก็ได้มั้งถึงจะกินยังไม่เสร็จพี่แกก็คงไม่รอ

“ครับ”

“งั้นไปกัน” ไป? ไปไหน แม้สงสัยแต่ก็ต้องรีบก้าวตามคนที่ก้าวฉับๆ นำไปแล้ว

ในลิฟต์ตอนบ่าย 2 เงียบมากเพราะไม่ค่อยมีคน ไม่ผิดหรอกครับ ผมไม่ได้พักเที่ยงตอนเที่ยงแต่พักตอนบ่าย ที่จริงเขาให้พักตอนงานเสร็จด้วยซ้ำแต่ผมหิวมากก็เลยขอลงมากินข้าวก่อน

อาจเพราะผมเอาแต่มองพี่ไปป์ในภาพสะท้อนตรงประตูลิฟต์พี่เขาจึงหันมามองด้วยสายตาที่อ่านอย่างไรก็อ่านไม่ออก พี่ไปป์ในคราบคุณปกรณ์ไม่เห็นจะเหมือนพี่ไปป์ที่ผมเจอวันนั้นเลย คนนั้นน่ะน่ารักจะตาย

“มีปัญหาอะไรกับหน้าผมรึเปล่า”

“เปล่าครับ แค่คิดว่าพี่ไปป์ เอ่อ พี่ปกรณ์ดูดีจัง” เขาดูดีมากในชุดสูทสุดเนี๊ยบ

“ไม่ต้องมาชม ผมไม่เคลิ้ม และก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ดูแลแต่ต้น คุณคงลำบากน่าดู”

“ก็ลำบากครับ พอไม่มีพี่เลี้ยงพี่เขาก็ไม่ให้เซโชว์ความสามารถเลย ใช้แต่แรงงานอย่างกับฝึกงานจบจะให้ไปเป็นกรรมกร”

“แล้วเป็นกรรมกรไม่ดีตรงไหน”

“โหพี่ไปป์ ถ้าเซจะไปเป็นกรรมกรก็ไม่จำเป็นต้องเรียนมหา’ลัยป่ะวะ”

“ไม่สนิทอย่าเรียกชื่อเล่น ไม่ชอบ”

“เคยนอนด้วยกันแล้วยังสนิทไม่พออีกเหรอ”

“สิทธา!!” เสียงเข้มมากอะ กลัวแล้วครับกลัวแล้ว

พี่ปกรณ์เดินนำออกไปเมื่อลิฟต์เปิดที่ชั้น 7 ซึ่งเป็นส่วนของแผนกวาไรตี้ซึ่งผมฝึกงานอยู่ ที่จริงการฝึกงานที่พลัสชาแนลจะเป็นระบบเวียนครับ เวียนไปเรื่อยๆ จนครบ 3 เดือน อาจจะไม่ครบทุกแผนกแต่ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เช่นผมเนี่ย เสิร์ฟน้ำให้พนักงานเกือบจะครบทุกคนแล้วมั้ง

“คุณอัครเดช!” เจ้าของชื่อที่นั่งสัปหงกเอาเท้าวางไว้บนโต๊ะงัวเงียตื่นขึ้นมา ดวงตาปรือปรอยเปลี่ยนเป็นเบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างโต๊ะ

คุณอัครเดชนี่เป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในแผนกวาไรตี้เลยก็ว่าได้แต่แปลกที่เขาดูตื่นกลัวพี่ปกรณ์เสียเหลือเกิน

“คุณปกรณ์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“ผมไม่ได้มาคุยกับคุณเรื่องนั้น แต่ผมมาคุยในฐานะพี่เลี้ยงของสิทธา” ลากไอ้เซเข้าไปเอี่ยวซะงั้น นั่นแหละ พอได้ยินชื่อผมสายตาของพี่อัครเดชก็ตวัดมามอง ผมนี่ตัวลีบเลย

ไอ้เซไม่ได้ฟ้องนะครับแค่เล่าให้พี่แกฟังเฉยๆ

“ทำไมเหรอครับคุณปกรณ์ น้องสิทธามีปัญหาอะไร”

“น้องอยู่ในความดูแลของผม แต่ผมได้ข่าวว่าที่แผนกให้น้องเสิร์ฟน้ำอย่างเดียวเลย ทำไมครับ เด็กเสิร์ฟน้ำขาดเหรอ”

“เปล่าครับ”

“งั้นเหรอครับถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเลิกให้น้องผมเสิร์ฟน้ำได้แล้ว มันมีสมอง เป็นเด็กใหม่ไฟแรงด้วย ฝากคุณอัครเดชดึงศักยภาพน้องมันออกมาที นะครับ” ท้ายประโยคควรจะเป็นคำขอร้อง ทว่าน้ำเสียงพี่ไปป์กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขู่บังคับพี่อัครเดชซะอย่างนั้น

“เอ่อ...”

“คุณอัครเดชเก่งอยู่แล้วนี่ ยังไงก็ฝากดูแลน้องผมด้วยนะครับ” มัดมือชกเสร็จสรรพก็ก้าวฉับๆ ออกไป แล้วผมล่ะ เอาไงดี ตามไปหรืออยู่นี่ งงไปหมดแล้วอะ เซงงเด้







เมื่อพี่เลี้ยงผมปรากฏตัว ไอ้เซคนนี้ก็กลับมาเป็นนักศึกษาฝึกงานธรรมดาคนหนึ่งอีกครั้ง กูไม่ต้องเสิร์ฟน้ำแล้วโว้ย ไม่ต้องวิ่งไปซื้อกาแฟกับขนมแล้วด้วย ที่จริงผมก็ไม่เกี่ยงงานหรอก แต่บางทีก็อยากโชว์ความสามารถจากสิ่งที่ร่ำเรียนมาเหมือนกัน เดี๋ยวพ่อจะหาว่าผมไม่มีน้ำยา

ก่อนเข้ามาฝึกงานที่พลัสชาแนล ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่มีระบบพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงาน มิน่าล่ะ ถึงรับนักศึกษาฝึกงานน้อย เน้นแต่คนคุณภาพอะครับ เกรดสูงๆ มีสิทธิได้เกียรตินิยมอะไรแบบนี้ แต่ผมไม่ใช่หรอก ไม่เข้าข่ายเลย ที่เข้ามาฝึกงานได้นี่ก็เส้นล้วนๆ

“น้องเซถ้าดูสคริปเสร็จแล้วก็กลับบ้านได้เลยนะ”

ตอนเงยหน้าจากกระดาษสคริปของรายการที่จะถ่ายพรุ่งนี้พี่คนพูดก็เดินออกจากห้องไปแล้ว ห้องทั้งห้องเหลือเพียงผม แน่สิ นี่มันเกือบ 4 ทุ่มแล้วไง ที่อยู่ดึกนี่ไม่ใช่ขยันหรอกแต่ไม่มีที่ซุกหัวนอน คืนนี้ก็เลยกะว่าจะนอนที่นี่เลย

เมื่อลองกวาดสายตาสำรวจทั้งห้องอีกครั้งแล้วแน่ใจว่าไม่มีใครผมก็สะพายเป้เพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ อ้อลืมไป ที่ตึกมีฟิตเนสสำหรับพนักงาน ถ้าผมไปอาบน้ำที่นั่นน่าจะสะดวกกว่า

คิดดังนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ รอไม่นานลิฟต์ก็มา

สี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่ฟิตเนสก็ยังคงคึกคักอยู่ ผมก้าวฉับๆ ไปที่ประตูหากแต่กลับถูกพี่คนดูแลร้องเรียกซะก่อน

“นักศึกษาฝึกงานไม่มีสิทธิใช้ฟิตเนสนะครับ” หน็อยๆ ไม่รู้ซะแล้วว่าผมเป็นใคร นี่นายน้อยของที่นี่นะครับ พูดอะไรเกรงใจกันบ้าง

ถึงแม้ข้างในใจจะฮึกเหิมมาก แต่สุดท้ายผมก็ทำได้เพียงหันไปยิ้มแหยแล้วเดินคอตกกลับมาที่ลิฟต์เหมือนเดิม

เห็นทีคืนนี้คงต้องอาบน้ำในส้วมแล้วมั้งไอ้เซ

ชีวิตนายน้อยของสถานีโทรทัศน์อย่างผมทำไมถึงได้ตกอับขนาดนี้วะ

แล้วนี่ไอ้เซต้องขึ้นๆ ลงๆ ลิฟต์อีกกี่ครั้งถึงจะพ้นคืนนี้

ติ๊ง!

นั่นไง ลิฟต์มาแล้วแต่ครั้งนี้มาพร้อมกับพี่เลี้ยงผมว่ะ

พี่ปกรณ์...

“ทำไมยังไม่กลับบ้าน” ในร้านกาแฟครั้งก่อนผมเคยบอกเขาไปแล้วว่าไม่มีที่ไป บางทีพี่แกอาจจะลืมเพราะเรื่องมันก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว

“เอ่อ...ไม่มีที่ไปครับ”

พอได้ฟังคำตอบพี่ไปป์ก็มุ่นคิ้วเลย ใจเย็นครับพี่คิ้วพี่จะผูกกันเป็นเลขแปดแล้ว

“หมายความว่ายังไง ไม่มีบ้านเหรอ”

“มีครับแต่กลับไม่ได้” บอกพี่ไปป์ด้วยเสียงแผ่วเบาอ้อมแอ้ม

“ถูกไล่ออกจากบ้าน?”

“ก็ประมาณนั้น”

“เกเรล่ะสิ”

“เปล่า เซออกจะเป็นเด็กดี” มองผมอย่างพิจารณานี่หมายความว่าไงครับพี่ แต่จะว่าไป...ขอไปนอนบ้านพี่ไปป์สักคืนพี่เขาจะอนุญาตมั้ยนะ

“แล้วนี่กินอะไรรึยัง”

“ยังครับ” พูดถึงเรื่องกินท้องก็ร้องโครกครากเลย

“ไปกินข้าวเย็นกัน เดี๋ยวผมเลี้ยง ไถ่โทษที่ไม่ได้ดูแล”

“พี่ไปป์ เฮ้ย! พี่ปกรณ์ คืนนี้เซไปนอนบ้านพี่ได้มั้ย” จะถูกมองว่าหน้าด้านก็ไม่แคร์แล้ว ดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอน ถามว่าทำไมไม่ไปนอนบ้านเพื่อน จะบอกอะไรให้ผมเวียนนอนบ้านเพื่อนสนิทมาจนครบทุกคนแล้ว ก็เกรงใจเขาว่ะ บางคนก็อยู่กับครอบครัว บางคนก็อยู่กับแฟน เขาจะทำอะไรก็ไม่สะดวกเพราะมีผมเป็นปลิงเกาะอยู่ ครั้นจะเช่าห้องเงินก็ไม่พอนี่สิ พ่อนะพ่อ ก็แค่อ้วกใส่ชุดลูกสาวเพื่อนสนิทท่านเท่านั้นเอง ทำไมต้องโกรธกันขนาดนี้ก็ไม่รู้

ว่าแต่พี่ปกรณ์เถอะ ไอ้เซอุตส่าห์กระพริบตาปริบๆ อ้อนวอนขนาดนี้จะใจอ่อนมั้ยนะ คนน่ารักจะใจอ่อนไหมเอ่ย

“นั่นอยู่นอกเหนือการดูแลของผม คุณต้องช่วยเหลือตัวเองแล้วล่ะ”

“โหพี่ไปป์ นี่เซไง ขอนอนด้วยคืนเดียว นะครับ” เนี่ยแทบจะก้มลงไปกราบแล้ว ถึงจะบอกว่านอนที่ออฟฟิศก็ได้แต่ใจจริงก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน กลัวผีน่ะ

“เซแล้วไง ทำตัวเองแท้ๆ ใครขอร้องให้คุณหนีออกจากบ้านเหรอ”

“พี่ไปป์แม่งไม่มีน้ำใจว่ะ คนไทยป่ะเนี่ย”

“ต่างด้าวมั้งน้อง จะกินมั้ยข้าวเย็น ถ้าจะกินก็ตามมา” ประตูลิฟต์เปิดพอดี ก็อยากจะงอนอยู่หรอกแต่ท้องเสือกร้อง เอาวะ ไม่ให้ที่ซุกหัวนอนอย่างน้อยก็เลี้ยงข้าว

ครั้งที่สองแล้วที่มีโอกาสได้นั่งรถพี่ไปป์ ต่างกันก็แค่วันนี้เขาขับเอง

“อยากกินอะไร”

“...”

“หมดเวลา”

“อะไร” ยังคาดเบลท์ไม่เสร็จเลย หมดเวลาเฉย

“บุพเฟต์มั้ย”

“ก็ดีพี่จะได้กินตุนไว้เผื่อพรุ่งนี้ไม่มีกิน” สงสารผมสิ มองตาผม เนี่ยยอมเป็นหมาเลย หมาไร้บ้าน หมาจรจัด พี่ไปป์ไม่สงสารหมาน้อยตาดำๆ เหรอครับ

“เลิกขายหรือยัง”

เอ้า! วกเข้ามาคุยเรื่องนี้เฉย นี่ปักใจเชื่อว่าผมเป็นเด็กขายน้ำไปแล้วเรอะ

“ทำไมครับ ติดใจเหรอ แต่กับพี่ไปป์ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แค่ให้เซพักที่ห้องด้วยจะบริการให้ถึงใจ”

“ไอ้ทุเรศ เก็บปากไว้กินข้าวมั้ย” อารมณ์เสียเฉย ทำไมอะ ก็เห็นถามนึกว่าจะซื้อ

ขนาดสี่ทุ่มกว่าแล้วรถยังติดอยู่เลย ป่านนี้แล้วร้านอาหารเขาไม่ปิดหมดแล้วเรอะ

“พี่ไปป์ หรือต้องให้เรียกพี่ปกรณ์”

“บอกแล้วไงว่าไม่สนิทอย่าคิดเรียกชื่อเล่น” หวงชื่อเล่นอีกต่างหาก แต่ยิ่งหวงผมก็ยิ่งอยากได้ อยากแกล้ง เจ้าตัวรู้หรือเปล่าว่าตอนตัวเองโกรธน่ะโคตรน่ามอง

“ป่านนี้แล้วร้านอาหารปิดหมดแล้วมั้งพี่”

“รู้จักร้านบุพเฟ่ต์เปิด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้กิน” ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเลย

“หาอะไรง่ายๆ ไปทำกินที่บ้านพี่ไปป์ก็ได้นะ เซเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย”

“เลยแยกนั้นไปก็ถึงแล้ว ฟังเพลงมั้ย” เจ้าของรถหันมองผมเต็มตาตอนที่รถติดไฟแดง เออเนอะ ร้านดันมาอยู่ใกล้ออฟฟิศอีก ไม่เปิดโอกาสเลยอะ

เมื่อกล่อมพี่ไปป์ไม่ได้ผลผมจึงล้วงมือถือออกมา โทรไปขอตังค์พี่สองก็ได้แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้พี่ชายจะให้หรือเปล่า

“ไงไอ้เซ โทรมาขอตังค์อะดิ” รอสายไม่นานก็รับ แถมยังรู้ใจผมสมเป็นพี่น้องคลานตามกันออกมา

“ไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้วสอง”

“ก็ไปขอนอนกับเพื่อนสิครับน้อง” พูดง่ายอะ คิดว่าน้องมันหน้าหนาขนาดนั้นเชียว ก็หนาแหละ หนามานานจนเริ่มบางแล้วเนี่ย

“โหสองนี่เซเวียนนอนกับเพื่อนมาครบทั้งแก็งค์แล้ว เกรงใจเค้า โอนตังค์มาจะได้ไปหาเช่าโรงแรมนอน”

“เสียใจด้วยน้อง พ่อสั่งห้ามว่ะ ถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ ก็กลับไปนอนบ้านสิครับ”

“พ่อโกรธยังไม่หายเลยจะกลับไง”

“มึงก็ไปขอโทษเค้าสิ เรื่องง่ายๆ แค่นี้คิดไม่ได้เฉย” ไอ้เซคิดได้ครับแต่ทำไม่ได้ ถ้าจะหาคนผิดก็ไอ้พี่สองนี่แหละ ถ้ามันไม่ตบไหล่ผมจนอ้วกแตกราดชุดราคาแพงของลูกสาวเพื่อนสนิทพ่อ ผมก็คงไม่ต้องเผชิญชะตากรรมหมาข้างถนนแบบนี้ เนี่ย พูดแล้วจะร้องไห้

“สอง มึงฟังน้องนะ ไม่ขอโทษเว้ย เซไม่ผิด ทำไมต้องขอโทษ เสียศักดิ์ศรี”

“งั้นก็เชิญมึงนอนบนศักดิ์ศรีมึงไปก็แล้วกัน”

“ไอ้...” สัด ยังพูดไม่ทันจบประโยคไอ้พี่ชายก็ชิงตัดสายไปซะก่อน กวนตีนนักเดี๋ยวคืนนี้ก็แวะไปนอนด้วยที่คอนโดซะเลย

ไอ้พี่สองน่ะ มันอยู่กับแฟนครับ ยังไม่แต่งงานหรอก มันบอกว่าอยู่กันแบบพรีเวดดิ้งไปก่อน ง่ายๆ เข้าใจตรงกันก็คืออยู่ก่อนแต่งน่ะแหละ เพิ่งคบกันไม่นานครับชีวิตคู่ก็เลยยังหวาน ลองคิดดูว่าถ้าผมไปเป็นก้างขวางคอมันคงจะอกแตกตาย แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วอะ ยอมให้พี่มันบ่นนิดหน่อยแลกกับที่ซุกหัวนอนก็โอเค

ทะเลาะกับไอ้พี่สองเสร็จพอดีกับรถคันหรูของพี่ไปป์จอดเทียบฟุตบาธหน้าร้านบุพเฟต์ที่พี่แกว่า ร้านใหญ่โตมากครับ ติดป้ายอันเบ้อเร่อว่าหัวละ 299 เนี่ย เลี้ยงน้องทั้งทีเลี้ยง 299 บาท โคตรป๋าเลยครับ

“ทำหน้าแบบนั้นไม่พอใจเหรอ ก็ได้นะ ไม่กินก็ได้ไม่ว่า” ผมแสดงออกทางสีหน้าเกินไปเหรอ เอาล่ะ งั้นปั้นหน้าใหม่

“กินได้พี่ โห ชอบเลยอะ โอเพ่นแอร์ได้บรรยากาศสุดๆ”

“งั้นก็ตามมาอย่าโอ้เอ้”







โคตรชอบเลยโอเพ่นแอร์เนี่ย

เบิร์น เบบี้เบิร์น เหงื่อจะหมดตัวแล้ว โหทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกโชกอย่างกับเพิ่งอาบน้ำมา

“พี่ไปป์อิ่มยังอะ” นี่พามากินข้าวหรือพามาทัวร์นรก ร้อนฉิบหาย ร้อนตับแลบ แล้วพี่ไปป์ก็ไม่มีท่าทีจะหยุดกินเลย กะจะเอาให้คุมเหรอวะ

“อิ่มแล้วเหรอเรา” ผมปาดเหงื่อพลางพยักหน้ารับ “แกะกุ้งให้หน่อยดิ”

หา!! ผมโคตรอยากจะคว่ำโต๊ะปิ้งย่าง อะไร นี่เซแกะกุ้งจนเล็บเหี้ยนแล้วยังไม่พออีกเหรอ จะกินให้หมดทั้งกระบะเลยเหรอครับ

แต่ก็เท่านั้นแหละ เงินยังไม่จ่าย ตัวผมก็ทำได้เพียงบ่นเงียบๆ ในใจลำพังขณะยื่นมือไปรับกุ้งมาแกะ

เซก็คิดนะว่าที่บอกว่าจะเลี้ยงเนี่ยแค่ข้ออ้างหาคนมาแกะกุ้งให้กินใช่มั้ย

“พี่ไปป์”

“อะไร” ขานรับกันดีๆ หน่อยก็ไม่ได้นะคนเรา เสียงห้วนขนาดนี้เดี๋ยวก็ไม่แกะกุ้งให้กินซะหรอก

“เหงื่อจะไหลเข้าตาแล้วอะครับ”

“ก็เช็ดดิ” แหกตาดูมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยการแกะกุ้งสิครับแล้วพี่จะรู้ว่าตอนนี้ไอ้เซโคตรไร้ความสามารถในการเช็ดหน้าตัวเองเลย

“เช็ดให้หน่อย”

ได้ยินเสียงคนตรงข้ามถอนหายใจแต่ถึงกระนั้นเขาก็หยิบทิชชู่แล้วช่วยเช็ดเหงื่อบนหน้า ย้ำนะครับว่าเช็ด เช็ดแบบเช็ดแรงๆ เหมือนคนเช็ดกระจกกลางสี่แยก ทำอะไรเกรงใจหน้าหล่อๆ ใสๆ ของเดือนนิเทศนิดนึง

“เบาหน่อยได้มั้ยอะ เซต้องใช้หน้าทำมาหากินนะ”

“เรื่องมาก” ปากก็บ่นแต่น้ำหนักมือก็เบาลงด้วยเช่นกัน

พี่ไปป์เนี่ยเนื้อในแแท้ๆ น่าจะเป็นคนดีอยู่ไม่น้อยเลย ถ้าเกิดลองอ้อนอีกที…

“พี่ไปป์…”

“อะไร!” เสียงห้วนเลเวลสิบ

“ยังไม่ได้พูดอะไรเลยครับ”

“แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วน้อง”

“แล้วจะไม่ใจอ่อนเหรอครับ”

“ไม่อ่ะ รีบแกะสิ กินวันนี้นะไม่ใช่พรุ่งนี้” น้ำเสียงพี่ไปป์โคตรเผด็จการจนผมต้องเงียบปากแล้วก้มหน้าแกะกุ้งในมือต่อ

ที่บอกว่าเนื้อในพี่ไปป์เป็นคนดีนี่เอาคืนได้มั้ย เรื่องนั้นน่ะไอ้เซอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไป

เชื่อมั้ยว่าพี่ไปป์กินกุ้งโคตรเก่ง กินแบบแกะจนเล็บหลุดก็แกะไม่ทัน







“แกะกุ้งเก่งนะเรา” พี่ไปป์ชมตอนที่เรานั่งอยู่ในรถเตรียมตัวออกจากร้าน

“สนใจรับคนแกะกุ้งไว้เลี้ยงซักคนมั้ยล่ะครับ”

“จะให้ไปส่งไหน” เปลี่ยนเรื่องแล้วก็หันไปคาดเบลท์ พอผมไม่ยอมตอบก็หันมาทวงคำตอบยิกๆ “ว่าไง จะให้ผมไปส่งที่ไหน”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเซนั่งแท๊กซี่ไปเอง”

“ตามใจนะ” ดูสิ นอกจากไม่รั้งแล้วยังสตาร์ทรถเหมือนไล่ให้ผมรีบลงไปซักทีอีก

คนใจร้าย

พอก้าวลงมาก็เคว้งเลย ได้แต่มองตามไฟท้ายที่ห่างออกไปเรื่อยๆ คิดแล้วก็นึกโกรธไอ้เซคนเมื่อนาทีก่อน แม่ง! โคตรปากดี

ผมแม่งเหมือนหมาจรจัดจริงๆ นะ ตั้งใจจะโบกแท็กซี่ก็เกรงใจเงินในกระเป๋าตัวเอง เศร้าว่ะ

ผมเดินก้มหน้าไปเรื่อยๆ ตามทางเดินเท้าที่ยังพอมีไฟส่องสว่าง จริงๆ ผมชอบกรุงเทพตอนดึกๆ มันสงบเหมือนอยู่คนละโลกกับกลางวัน แต่ตอนนี้ผมไม่คิดอย่างนั้นแล้ว รอบกายเงียบจนน่ากลัว ผมสะบัดเป้จากข้างหลังมากอดไว้ มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง และหัวใจที่ห่อเหี่ยวก็พลันพองโตขึ้นมาเมื่อเห็นรถยนต์คุ้นตาจอดอยู่ข้างหน้านั้น

ผมรีบสาวเท้าเข้าไป พอเข้าไปใกล้จวนเจียนจะเอื้อมถึงประตูฝั่งคนขับก็เปิดออก

พี่ไปป์ก้าวออกมา เมื่อสบตากันเขาก็ยกยิ้มกวนประสาท

“ไงน้องจะเดินไปไหนอะ”

“พี่ไปป์แกล้งเซ”

“ไหนบอกจะกลับแท็กซี่ไง”

“ก็…ไม่รู้อะ เซไม่มีที่ไป ถ้าพี่ไปป์ไม่ให้นอนในห้องก็ขอนอนในรถแล้วกัน” ไม่สนแล้วว่าเขาจะให้นั่งรถไปด้วยหรือเปล่า เปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับแล้วคาดเบลท์รอเลย อยากไล่ก็ไล่ไป แต่ไอ้เซไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ

“แล้วจะให้ไปส่งไหน ดึกแล้ว อยากกลับบ้านนอนแล้วเหมือนกัน” พอเข้ามานั่งข้างกันก็หาที่ให้ผมลง

ไม่เข้าใจคำว่าไม่มีที่ไปเหรอครับพี่

“ยังไง นั่งเงียบ นี่ไม่ใช่ริวจิตสัมผัสนะ”

“พี่ไปป์เป็นคนตลกเนอะ แต่พี่จะเพอร์เฟคมากเลยถ้ามีน้ำใจให้เซไปนอนที่ห้องด้วย”

“ฝันเถอะน้อง สนิทกันเหรอ ก็ไม่นะ” ถามเองตอบเองก็ได้ว่ะคนเรา

“ใจร้าย ก็เซไม่มีที่ไปอะ อีกอย่างพรุ่งนี้ก็ต้องออกไปทำงานพร้อมกันอยู่แล้ว นอนด้วยซักคืนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ตะล่อมวนไปครับเผื่อพี่ไปป์จะเคลิ้มไปยิ้มหวานๆ หน้าหล่อๆ ของไอ้เซบ้าง

“เมื่อกี้คุยกับพี่ชายไม่ใช่เหรอ ให้ไปส่งที่คอนโดเค้ามั้ย” นอกจากไม่คล้อยตามแล้วยังรู้ทันอีกครับ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะพูดถึงแล้วทำไมจู่ๆ ถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ

นึกถึงไอ้พี่สองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ

“ไปถึงก็ใช่ว่าเค้าจะเต็มใจให้นอนด้วย”

“ก็ลองไปดู พอเห็นหน้าเดี๋ยวก็ใจอ่อนเองแหละ”

“พี่ไปป์ก็เห็นหน้าเซ ไม่เห็นพี่ไปป์จะใจอ่อนเลย”

“ไม่เหมือนกันป่ะวะ” กลอกตาใส่กันเฉย

จนแล้วจนรอดพี่ไปป์ก็ไม่ยอมใจอ่อน และเป็นผมเองที่ต้องอ่อนใจยอมบอกพิกัดคอนโดไอ้พี่สองให้เขาทราบ พอรถมาจอดที่หน้าคอนโดหรูใจกลางเมือง คนข้างๆ ก็หันมาหรี่ตามองกัน

รู้นะว่ากำลังคิดอะไร

“หยุดคิดแบบนั้นเลยนะพี่ไปป์”

“ยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ปฏิเสธไม่ทันแล้วพี่ สายตามันฟ้องว่าพี่กำลังคิดว่าเซมาค้างกับลูกค้า

“เหอะ! คิดก็บอกว่าคิดดิ”

“แล้วแต่จะคิด”

“คอนโดพี่ชายเซจริงๆ ไม่เชื่อจะลองขึ้นไปดูด้วยกันมั้ยล่ะ”

“ไม่ใช่เรื่อง”

ว่าจบแค่นั้นก็ผลักไสผมที่ทำท่าอิดออดลงจากรถอย่างไม่ใยดี แถมยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าพรุ่งนี้อย่าไปทำงานสายล่ะ

รับทราบครับพี่ จะรีบไปแต่เช้าเลยครับผม





[T B C]

พี่ไปป์กับน้องเซมาแล้ว
ชีวิตเจ้าเซนี่มันเซสมชื่อจริงๆ เลยเนอะ 5555  น่าสงสาร แต่พี่ไปป์ไม่สงสารหรอก
อยากอยู่บ้านพี่ไปป์เหรอ มารยาแค่นี้ใช้ไม่ได้ร้อก
รอดูกันค่ะว่าเจ้าเด็กนี่จะเข้าบ้านพี่ปกรณ์ได้มั้ย
ขอบคุณทุกการติดตาม
รัก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2017 20:16:46 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ถ้าบอกว่าขายให้พี่ไปป์คนเดียวแล้วจะซื้อไหมอะคะ
สงสารน้องมัน อิอิ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3593
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
สมชื่อเลย เซ ฮ่าๆๆๆๆ
อ้อนเข้าไว้เดี่ยวพี่ก็ใจอ่อนเอง อิอิ

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 02


“ไงครับมึงตัวแดงเป็นจ้ำๆ นี่โดนใครดูดมาวะ”

เมื่อคืนไปนอนห้องไอ้พี่สองแล้วผมก็โดนดูดมาทั้งตัว ฟังดูอีโรติกเวอร์ๆ แต่ลึกๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอก สิ่งที่ผมเจอมามันยิ่งกว่าหนังฆาตกรรมสยองขวัญเสียอีก

“ยอดเลี้ยงข้าวเช้ากูหน่อยดิ” ขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้แหละ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง รู้ตัวตื่นอีกทีก็สายแล้ว พาสารร่างในชุดนักศึกษายับๆ ออกจากห้องมาทำงานได้นี่ก็ถือว่าเก่ง

“คนที่ไปนอนด้วยเมื่อคืนเด็ดเหรอ”

“เลี้ยงข้าวกูดิ เดี๋ยวเล่าให้ฟังแบบละเอียดยิบ”

“กูต้องไปทำงานแล้ว” ชิ่งกันเฉยแล้วแบบนี้ใครจะเลี้ยงข้าวเช้าไอ้เซวะ โคตรหิวอ่ะ แต่ดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ห้องไอ้พี่สองอีก เออ ความซวย

จ๊อกกก~~

แล้วท้องก็เสือกร้องในลิฟต์ที่บรรทุกพนักงานเต็มความจุ อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีเลย

พอลิฟต์จอดที่ชั้นวาไรตี้ผมนี่รีบก้มหน้าก้มตาเดินออกมาเลย อายไง ทว่าเมื่อเดินห่างลิฟต์ออกมาราว 3 ก้าวก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยเสียงๆ หนึ่งเสียก่อน

“น้องเซ”

เมื่อเอี้ยวตัวกลับไปมองก็พบพี่สาวผู้ช่วยพี่ปกรณ์

“แซนวิชทูน่าค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” เซก็หิวนะแต่เซก็มีความเกรงใจอยู่บ้างเหมือนกัน แม้จะปฏิเสธแต่พี่สาวก็ไม่ละความพยายาม คงเวทนาท้องที่ร้องดังลั่นในลิฟต์ล่ะมั้ง

“รับไปเถอะค่ะ คุณปกรณ์…”

พอได้ยินชื่อพี่ไปป์ผมก็รับแซนวิชมาอย่างไม่ลังเล ถ้าบอกว่าพี่เลี้ยงผมฝากมาแต่แรกป่านนี้แซนวิชลงไปนอนรอย่อยอยู่ในกระเพาะแล้ว

“มาสาย ทั้งคู่!!!” เสียงพี่ไปป์ดังจากข้างหลัง ชั่วขณะหนึ่งผมก็คิดนะว่าไหนๆ ก็ต้องเจอกันอยู่แล้วจะฝากของมากับพี่ผู้ช่วยทำไม

สงสัยพี่ไปป์จะเป็นพวกขี้อาย

ไม่นานเจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแล๊กสีดำซึ่งถูกรีดจนกริบก็เข้ามายืนร่วมวงกับเรา

“เป็นนักศึกษาฝึกงานก็หัดทำตัวให้มันดีๆ หน่อย” น้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ทำให้ผมที่กำลังเคี้ยวแซนวิชแทบสำลัก

มองผมที่อยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วก็ส่ายหน้าหน่ายก่อนหันไปตำหนิพี่ผู้ช่วยซึ่งยืนตัวลีบอยู่ใกล้ๆ กัน

พอพี่ไปป์อ้าปากผมก็อยากชิ่งนะแต่พอจะก้าวขาก็ถูกสายตาดุหันมารั้งเอาไว้ มองพี่สุดเนี้ยบที่กำลังพูดไม่หยุดแล้วก็ได้แต่คิดว่า คนอะไรบ่นเก่งชะมัด บ่นจนพี่ผู้ช่วยสำนึกผิดไม่ทันแล้วมั้งนั่น

เราเสียเวลาที่หน้าลิฟต์ราว 10 นาที พอบ่นจนพอใจพี่ไปป์จึงไล่พี่ผู้ช่วยให้ขึ้นไปทำงาน

เมื่อเหลือแค่เรา 2 คนไอ้เซก็มั่นใจแล้วว่ากูคงโดนยับไม่ต่างจากคนหน้าเศร้าที่เพิ่งขึ้นลิฟต์ไปเมื่อครู่หรอก

“รู้มั้ย…” รู้อะไรครับพี่ ก่อนจะถามเนี่ยพี่ช่วยเกริ่นอะไรสักหน่อยมั้ย “การไม่ตรงต่อเวลาเป็นคุณสมบัติไม่พึงประสงค์อันดับต้นๆ ของคนทำงาน”

“เซ…”

“ไม่ต้องแก้ตัว มาสายแล้วยังจะมายืนอ้อยอิ่งอยู่อีก”

ได้ข่าวว่าพี่เป็นคนรั้งผมไว้ ถ้าไม่ต้องยืนฟังพี่บ่นป่านนี้ทำงานได้ร้อยอย่างแล้ว โด่

“อ้อ…” อะไร? คิดจะหยุดเดินก็หยุด ถ้ารองเท้าไม่ดีผมพุ่งชนพี่แล้วนะ “เช็ดปากซะด้วยนะ”

“ปาก” ผมทวนคำแล้วใช้หลังมือเช็ดปาก เศษอาหารอะ สงสัยเมื่อกี้รีบไปหน่อย หากขณะที่กำลังใช้หลังมือเช็ดร่องรอยบนใบหน้าลวกๆ ก็ถูกคนตรงหน้ากวาดสายตามองนิ่งๆ จนต้องเอ่ยถามว่าสงสัยอะไรในตัวผม

“บนตัวนั่นน่ะรอยอะไร” เมื่อถูกถามก็รู้สึกคันขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นมาลูบที่ต้นคอ

“ยุงกัดครับ”

“ไปห้องพยาบาลซะ”

“ไปไม่ถูก”

“ชั้น 11 ขึ้นลิฟต์ไปแล้วเลี้ยวซ้าย”

“ไม่ได้อยากให้พี่ไปป์… พี่ปกรณ์บอกทางแต่อยากให้พาไปต่างหาก”

“ไม่ว่าง”

“ยุงกัดทั้งตัวเลย ที่หลังก็มีทายาไม่ถึงหรอก” เห็นใจผมสิ แสดงความห่วงใยสิครับ นี่น้องนะ เป็นพี่เลี้ยงต้องดูแลน้องสิ

เรายืนมองหน้ากันเงียบๆ ราวกับกำลังหยั่งเชิง แต่ก็ยืนเท่ได้ไม่นานผมก็เริ่มขยับตัวยุกยิก โธ่ กำลังจะเท่เลยดันมาคันซะนี่

“ไปห้องพยาบาลซะ” ออกคำสั่งแล้วก็ช่วยกดลิฟต์ให้ ขอบคุณครับ ซึ้งใจอย่างแรง

แต่ว่า… “พี่ปกรณ์ครับ” เสียงเรียกของผมรั้งคนที่ตั้งท่าจะเดินจากไปเอาไว้ ท่าทางตอนที่พี่ไปป์เอี้ยวตัวมาแล้วทำหน้างงโคตรน่ารักจนหัวใจไอ้เซสั่นร้อยแปดริกเตอร์

“อะไร” แต่น้ำเสียงห้วนมาก

“เซ ผมลืมกระเป๋าตังค์อะ ขอยืม…” โคตรเสียศักดิ์ศรีเลย

“เอาเท่าไหร่ 500 พอมั้ย” พี่ไปป์ก็ใจดีควักเงินจากกระเป๋าให้ผม

“เดี๋ยวเซคืนนะ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมแล้วค่อยรับแบ็งค์สีม่วงมา ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัส พี่ไปป์ก็ดึงแบ็งค์กลับแล้วว่าด้วยน้ำเสียงกวนประสาท

“แน่นอนสิ ขึ้นชื่อว่ายืมก็ต้องคืนอยู่แล้วป่ะ”

อาการคันเริ่มกำเริบถึงกระนั้นผมก็ยังคงจับจ้องพี่ไปป์ซึ่งกำลังก้มหน้าพิมพ์บางอย่างบนสมาร์ทโฟน จริงจังมากจนต้องชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เซ็นซะ”

สมาร์ทโฟนเครื่องแพงถูกยื่นมา พอกวาดสายตามองข้อความบนโน้ตแล้วก็ถึงกับหลุดขำ

บางทีพี่ไปป์ก็มีมุมเด็กๆ กับเขาเหมือนกัน น่ารักว่ะ





‘ผม นายสิทธา ได้ยืมเงินจำนวนห้าร้อยบาทถ้วนจากนายปกรณ์
และจะคืนให้ครบตามจำนวนก่อนฝึกงานเสร็จ
ขอรับรองว่าเป็นความจริง หากไม่คืนอนุญาตให้ตบหัวได้เท่าจำนวนเงิน’




โหดสัดรัสเซียแต่ไม่ยอมก็ไม่มีเงินกินข้าว แล้วไอ้เซจะเลือกอะไรได้ไหม





ยาที่เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลทาให้เมื่อตอนสายช่วยบรรเทาอาคารคันจากร่องรอยยุงกัดได้จริง มันช่วยให้ผมมีสมาธิทำงานแต่ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

“มึงจะคันอะไรนักหนาวะเซ” ผมหยุดมือแต่ก็แค่แป๊บเดียว ไอ้อาการคันคะเยอเนี่ยทำให้เสียบุคลิกโคตรๆ หมดกันความหล่อดีไร้ราคีที่สั่งสมมา

“มึงลองถูกยุงรุมกัดบ้างมั้ยล่ะ”

“ใครจะบ้าออกไปนอนระเบียงอย่างมึง” ก็จริงของไอ้ยอด แต่ก็นะ ถ้าไม่นอนระเบียงก็ไม่มีที่จะซุกหัวอะ

คืองี้ เมื่อคืนน่ะ หลังจากแยกกับพี่ไปป์ ผมก็โทรหาพี่สอง ขอร้องกราบกรานให้มันลงมารับและพี่ชายผมก็ช่างเป็นคนใจดีของโลกใบนี้ พอผมอาบน้ำเสร็จก็โยนผ้าห่มกับหมอนมาให้พร้อมทั้งบุ้ยปากไปทางระเบียง ตอนแรกผมก็คิดว่ามันล้อเล่นแต่ที่ไหนได้เอาจริงสุดๆ เพราะคำสั่งพ่อ

คำสั่งที่ว่าก็ไม่ได้น่ากลัวซักเท่าไหร่หรอก ก็แค่ห้ามใครช่วยเหลือผม หากฝ่าฝืนจะโดนลงโทษเหมือนกัน พ่อโคตรใจร้าย แต่ก็ช่างเหอะ คิดว่าไอ้เซจะยอมแพ้เหรอ ฝันไปเถอะ อายุ 20 กว่าแล้วครับ ไม่ใช่เด็ก 5 ขวบ เซจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเซอยู่ได้

“แล้วคืนนี้มึงจะเอาไงต่อ นอนห้องกูมั้ย แฟนกูกลับบ้านต่างจังหวัดพอดี”

ได้ฟังข้อเสนอแล้วก็ตาโตแอบลิงโลดอยู่ในใจ แต่จะกระโตกกระตากไม่ได้ครับขอเล่นตัวนิดนึง

“ได้แน่เหรอวะ กูเกรงใจ”

“มึงอย่ามาตอแหลทั้งที่สายตามึงเป็นประกายวิบวับ” โห อุตส่าห์เก็บอาการ ถูกจับได้ซะแล้ว

เอาวะ ช่างเถอะ อย่างน้อยคืนนี้ก็มีที่ซุกหัวนอนแล้ว

ปุบ!

ขณะที่กำลังกรุ้มกริ่มหัวใจพองโตที่คืนนี้มีที่ให้ซุกหัวนอน เผลอๆ อาจจะมีข้าวเย็นให้กินฟรีๆ อยู่ๆ ถุงพลาสติกซึ่งมีตราร้านยาก็ถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนเจ้าของมันจะนั่งลงข้างๆ กัน

‘พี่ไปป์’

“พี่ปกรณ์สวัสดีครับ ผมชื่อยอดเป็นเพื่อนสนิทไอ้เซ” ไอ้ยอดยกมือไว้ขณะที่ผมคว้าถุงยามารื้อดู

“เคยได้ยินเรื่องคุณจากพี่เลี้ยงเหมือนกัน”

“พี่เขาชมผมเหรอครับ”

“อือ ชมว่าห่วย” ใบ้แดกไปเลยครับเพื่อน

“พี่ไปป์ เอ้ย พี่ปกรณ์ นี่มันกระเป๋าตังค์เซนี่ อยู่ที่พี่ได้ไง”

“มีคนมาฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์”

“แล้วยานี่…”

“บรรเทาอาการคันจากแมลงสัตว์กัดต่อย อ่อ เป็นยาใช้ทาภายนอก อย่าเผลอกินเข้าไปล่ะ” โห ไอ้เซก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นป่ะวะ ฉลากก็มี ภาษาไทยตัวใหญ่เท่าฝาบ้าน มองเห็นแล้วก็อ่านออกหรอกน่า

“คันอะพี่ปกรณ์ ช่วยทายาให้เซหน่อย”

“มีเพื่อนไว้ทำไม”

“ต้องไปทำงานแล้ว ขอตัวนะครับพี่ปกรณ์” แสนรู้กว่าหมาก็ไอ้ยอดนี่ล่ะครับ

“ไม่มีเพื่อนแล้วอะครับพี่ปกรณ์”

“ไปห้องพยาบาล” บอกอย่างเฉยชาแล้วก็ลุกขึ้น โห ไรวะ นี่น้องไง ไม่เห็นใจน้องเลย ไอ้เซโซแซด

ทว่าขณะที่กำลังบีบน้ำตา พี่ไปป์ที่เพิ่งจะก้าวห่างออกไปก้าวนึงก็หยุดขาแล้วเอี้ยวตัวมามอง ผมนี่ใจชื้นเลย เปลี่ยนใจแล้วใช่มั้ย จะกลับมาช่วยไอ้เซทายาแล้วใช่รึเปล่า

“อย่าลืมเขียนรายงานการฝึกงานส่งผมด้วยนะ”

โพล๊ะ!!

ได้ยินเสียงความคาดหวังของผมแหลกสลายไหมครับ

รายงงรายงานอะไร ไม่ทำหรอกโว้ย!!!







“ยอด รายงานนี่มันต้องเริ่มยังไงวะ”

ถึงไม่อยากทำแต่ถ้าไม่ทำก็ฝึกงานไม่ผ่าน เพราะงั้นผมจึงต้องมานั่งหลักขดหลังแข็งพิมพ์รายงานแล้วลบ ลบแล้วพิมพ์ ทำซ้ำๆ จนนิ้วแทบล็อค

“มึงชอบพี่ปกรณ์เหรอวะ” ผมสะดุ้งเลยตอนที่ถูกถามอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงโคตรเรียบ

ผมมองตามนิ้วมือของมันที่กำลังพิมพ์ในส่วนแรกของรายงานให้พลางคิดถึงใบหน้าที่พยายามปั้นนิ่งของพี่ไปป์

ถามว่าชอบเหรอ ก็คงตอบไม่ได้ตอนนี้ แต่ถามว่าถูกใจไหม อืมมม~ ถูกใจโคตรๆ เลย

“อะ เนี่ยกูเริ่มให้แล้ว ที่เหลือมึงก็พิมพ์ลงไปว่าวันๆ ทำเหี้ยไรบ้างแล้วผลที่ออกมาเป็นยังไง และถ้าไม่เข้าใจตรงไหน เปิดไฟล์กูดู แล้วอย่าเสือกลอกล่ะมึง”

“เห็นกูเป็นคนยังไง”

“จนและกาก” เจ็บอะ ทำไมเพื่อนยอดพูดจาทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ เรื่องกากนี่ค่อนข้างจะยอมรับแต่เรื่องจน กูเพิ่งจนเองนะ จนตอนขึ้นปี 4 เนี่ย

เอาจริงๆ นะ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ก็อย่างที่บอกไปตอนก่อนโน้นไง ไม่เสิร์ฟน้ำ ซื้อกาแฟ ก็จัดฉาก

“มึงว่ากูเขียนแบบนี้พี่ไปป์จะด่ากูมั้ยวะ” ไอ้ยอดละสายตาจากหน้าจอมือถือของมันแล้วชะโงกหน้ามามองจอคอมพ์ตรงหน้าผม

มองแล้วส่ายหน้าหมายความว่าไงครับเพื่อนรัก

“กูเนี่ยจะด่ามึงก่อนพี่ปกรณ์ ห่า เสิร์ฟน้ำอะไรทุกวัน”

“ไม่ทุกวันนะมึง บางวันกูก็จัดฉาก เอ้อ มีครั้งนึงช่วยฝ่ายคอสตูมด้วย” ผมเลื่อนหน้าเวิร์ดให้มันดูพร้อมคำบรรยาย แต่กระนั้นไอ้ยอดเพื่อนรักก็ยังคงไม่เลิกทำหน้าหน่ายใจ

“เอาที่มึงสบายใจละกัน แต่ก็โทษมึงไม่ได้ว่ะ พี่เลี้ยงมึงไม่ใส่ใจ”

“อย่าว่าพี่ไปป์”

“ทำไม ชอบพี่เขาจริงๆ ล่ะสิมึง”

“ไม่รู้เว้ย รู้แต่ว่ากูไม่ชอบให้ใครว่าเขา กูว่าเขาได้คนเดียว”

พอเถียงกันเสร็จต่างคนก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาจัดการเรื่องของตัวเอง จนเวลาผ่านไปถึงช่วงดึกสงัดอยู่ๆ ท้องของเราสองคนก็ร้องประสานเสียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“มึงหิวป่ะ” ไอ้ยอดวางมือถือลงแล้วถามก่อน

“ห้องมึงมีอะไรกินป่ะ” มันส่ายหน้า เออดี งี้ก็ต้องไปเซเว่นแล้วดิ

“แฟนกูเขาไม่ให้ซื้อขนมติดห้องว่ะ บอกว่ากลัวอ้วน” กลัวอ้วนก็แค่ไม่ต้องกินรึเปล่าวะ เกี่ยวอะไรกับซื้อขนมติดห้อง ตรรกะป่วยคนหิวว่ามันไม่โอเค

“งั้นไปเซเว่นกัน” ใต้หอไอ้ยอดก็มีร้านขายของชำแต่ป่านนี้คงปิดไปแล้ว

“ฝนตกนะมึง”

มองออกไปยังระเบียงแล้วก็ต้องร้องเหี้ยหนักมาก นี่คือหนึ่งในความซวยของไอ้เซถูกมั้ย

“แต่กูมีร่มนะ” มีอันเดียวทำเป็นคุย

“งั้นกูไปเอง”

“ซื้อสปาเก็ตตี้ให้กูด้วย”

“อย่างแพง เอาตังค์มา” ไอ้ยอดพยักเพยิดไปยังกระเป๋าเก่าๆ เหี่ยวๆ ของมัน มองด้วยตาก็คิดนะว่าถ้าผมจับแล้วเชื้อโรคจะติดมือหรือเปล่า แต่ช่างเชื้อโรคมันก่อน ตอนนี้ของกินคือเป้าหมาย ไปหาของกินกัน

บรรยากาศตรงทางเดินหอพักไอ้ยอดน่ากลัวมาก โคตรเหมือนบุปผาราตรี ผมรีบก้าวขายาวๆ ไปที่ลิฟต์ กดย้ำๆ แม้รู้ว่ามันไม่ช่วยอะไรแต่ก็ทำ

พอลงมาถึงชั้นหนึ่งก็ต้องร้องเหี้ยหนักมากอีกครั้งเมื่อที่เทลงมาจากฟ้าตอนนี้มีทั้งลมทั้งฝน ซัดกระหน่ำจนหน้าแข้งผมเปียกอะคิดดู นาทีนี้ร่มก็คงไม่ช่วยอะไร

ถึงกระนั้นผมก็ฝ่าฝนออกไป เพราะว่าหิวหนักมาก เอาเถอะไหนๆ ก็ซวยแล้ว เอาให้มันสุดๆ ไปเลย

กว่าจะไปถึงเซเว่นก็เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ เสื้อยืดตัวบางแนบไปกับลำตัวในยามที่แอร์ในร้านสะดวกซื้อสัมผัสกาย ไอ้เซก็ได้แต่กอดตัวเองที่กำลังสั่นระริก

อเนจอนาถเหลือเกินชีวิตกู







“เซ”

ใบหน้าของผมถูกตบเบาๆ

“ไอ้เซ”

ตบหน้าอีกแล้ว หน้ากูดีกว่ามึงใช่มั้ยถึงได้ตบรัวขนาดนี้

“เหี้ยเซถ้าไม่ตื่นตอนนี้มึงไปฝึกงานไม่ทันแล้วนะ”

ฝึกงาน คำนี้แม่งโคตรต้องสาป ผมเด้งกายขึ้นนั่งบนเตียง สะบัดหัวไล่ความมึนงงก่อนจะพาร่างสะโหลสะเหลเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มไปอาบน้ำ

ใช้เวลาจัดการตัวเองประมาณ 10 นาทีก็มายืนโหนเสาทำหน้าสลอนอยู่บนรถเมล์

ทั้งชีวิตเคยนั่งแต่รถส่วนตัว ตอนนี้ตกอับกระทั่งต้องมานั่งรถเมล์ฟรีที่จอดไม่เคยตรงป้ายอะคิดดู

ยืนโยกไปโยกมาให้ถุงแกงร้อนๆ นาบแข้งนาบขาไม่นานก็มาถึงตึก โคตรทรหดอะเช้านี้ คงเพราะเบียดคนเยอะแยะบนรถผมถึงรู้สึกมึนหัวมาก

“ไหวมั้ยไอ้คุณหนู”

“คุณหนูเหี้ยไร”

“คุณหนูตกอับ”

ฮือออ~ ถ้าจะพูดแบบนี้ เอาปากกามาเขียนหน้ากูเลยดีกว่า อยากจะบอกให้เอาปืนมายิงแต่ก็กลัวเจ็บ

“นักศึกษาฝึกงานมานั่งอู้อะไรตรงนี้ครับ”

ไอ้เหี้ยพี่สอง เพราะเอาแต่ทำปากพะงาบๆ ด้วยความตกใจที่อยู่ๆ มันก็โผล่มา กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ไอ้พี่ชายตัวดีก็เดินตัวปลิวเข้าลิฟต์ผู้บริหารไปแล้ว

สัดอย่าให้ถึงทีกูบ้างนะมึง จะเดินให้เท่กว่ามึงพันเท่าเลย

“พี่สองโคตรเท่อะมึง”

“เท่เหี้ยไร อย่าเพ้อ ไปทำงาน”

เราแยกกันที่หน้าตึกเพราะวันนี้ไอ้ยอดต้องไปดูการถ่ายทำที่สตูดิโอ ส่วนผม แก้บทยังไม่เสร็จเลยคร้าบบบ~

มวลมหาประชาชนบนรถเมล์ฟรีว่าเบียดแล้ว เจอมวลมหาชาวประชาบริษัทเข้าไป รถเมล์ฟรีน่ะเบๆ เลย

“น้องเซหน้าซีดมากเลยค่ะ”

พี่ผู้ช่วยพี่ไปป์อีกแล้ว ช่วงนี้เจอเธอบ่อยมาก บ่อยจนแอบสงสัยว่าเธอตามผมอยู่รึเปล่า

“กินข้าวเช้ามารึยัง เอาแซนวิชไปกินนะคะ” คนเยอะมากแต่ก็ยังแทรกๆ เบียดๆ หยิบแซนวิชในถุงผ้าส่งมาให้ผม

จะไม่รับไว้ก็กะไรอยู่อะเนอะ ดังนั้นผมจึงรับมาแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะถูกคลื่นมนุษย์ซัดสาดให้ไหลออกจากลิฟต์มา มองดูตัวเลขบอกชั้นก็ต้องถอนหายใจครับ อีกตั้ง 3 ชั้นกว่าจะถึงชั้น 7 จะรอลิฟต์ก็คิดว่าสายแน่นอน ถ้าพี่ปกรณ์ทราบเรื่องล่ะก็ไอ้เซถูกด่ายับแน่นอนไม่ต้องรอให้หมอดูคอนเฟิร์ม

รู้สึกว่าวันนี้ร่างกายตัวเองอ่อนแอแปลกๆ มันรู้สึกมึนเหมือนตอนเพิ่งตื่น กระนั้นผมก็ยังคงพยายามสาวราวแล้วก้าวขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า สวัสดีหอยทาก ช้าแบบถ้าเดินข้างหอยทาก พี่หอยก็คงแซง เดินได้แค่ชั้นเดียวก็นั่งทรุดตัวลงนั่งพัก หรือผมจะหิว ไม่ใช่หรอก ท้องไม่ร้อง ไม่รู้สึกหิวด้วย มีแต่อาการมึนหัวที่เพิ่มขึ้น

แม้จะขึ้นบันไดหนีไฟมาแต่ผมก็ยังสายอยู่ดี แต่ก็ยังโชคดีอยู่ที่ไม่เจอพี่ไปป์ที่แผนกวาไรตี้

“พี่ดูบทที่มึงแก้แล้ว ใช้ได้อยู่นะ” กระดาษเอสี่ยับๆ ถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเมื่อผมนั่งลง

ผมนี่ก็เก่งใช้ได้เหมือนกันแฮะ

“แก้บทเสร็จแล้วก็ลงไปช่วยที่สตูนะ รู้ใช่มั้ยว่าเขาถ่ายกันที่สตูไหน”

“ทราบครับ” ผมรับคำพี่โปรดิวเซอร์ด้วยเสียงอันแหบแห้ง

จำได้ว่ารายการเริ่มถ่ายทำตอน 10 โมง ระหว่างนี้ของีบก่อนก็แล้วกัน มึนหัวฉิบหายเลย

หลับไปแค่งีบเดียวผมก็ถูกกวนให้ตื่นด้วยมือของใครสักคนที่แตะบ่าเบาๆ งัวเงียลุกขึ้นมาก็พบหน้าดุๆ ของพี่ไปป์

ฉิบหายแล้วไอ้เซ โดนด่าหูชาแน่มึง

“คนที่สตูฯ บอกว่าเธอไม่สบาย”

“เอ่อ…” ไม่ด่าว่ะ

“ถ้าไม่สบายก็ไปหาหมอสิ มานอนอยู่แบบนี้มันจะหายได้ยังไง”

“ไม่เป็นไรมากหรอกพี่ แค่นอนน้อยครับ”

“แน่ใจนะว่าไหว” เก้าอี้ข้างๆ ถูกเลื่อนออกก่อนเจ้าของร่างโปร่งจะนั่งลงข้างๆ สายตาพี่ไปป์อ่อนโยนจนผมแอบเคลิ้ม แต่ก็เคลิ้มได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขาวางหลังมือลงบนหน้าผากของผม

ความอ่อนโยนที่ได้รับทำให้ภายในอกของผมวูบโหวง ตั้งใจละสายตาไปมองที่อื่นแต่สุดท้ายก็กลับมามองหน้าพี่แกเหมือนเดิม

ใบหน้าพี่ไปป์มีแรงดึงดูด ไม่สิ สายตาอ่อนโยนคู่นั้นต่างหากที่มีแรงดึงดูด

“ตัวร้อนมาก ไปนอนห้องพยาบาลเถอะ”

อาจเพราะกลัวว่าผมจะไม่ทำตาม พี่ไปป์จงคว้าต้นแขนของผมแล้วดึงให้ลุกขึ้น เดินนำไปยังลิฟต์ทั้งที่ไม่ยอมละมือจากผมเลย

“ดื้อเหมือนกันนะเรา”

“ครับ?” ผมสบตากับพี่ไปป์ผ่านภาพสะท้อนที่ประตูลิฟต์

“ดื้อไง ถ้าไม่ไหวก็ไม่จำเป็นต้องฝืนนะ”

“ผมไหวจริงๆ”

“ดื้อ!!” พี่ไปป์เอ็ดผมเสียงดุ ทว่ากลับไม่ทำให้ผมกลัวสักนิด มิหนำซ้ำยังรู้สึกดีจนต้องยกยิ้มขึ้นมา “ยิ้มอะไร”

“รู้สึกดีที่พี่ไปป์เป็นห่วงครับ”

“ในฐานะพี่เลี้ยง”

“ทราบครับ แต่ถึงจะห่วงในฐานะพี่เลี้ยง เซก็รู้สึกดีครับ”

ติ๊ง!

ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้น 11

พี่ไปป์พาผมมาส่งที่ห้องพยาบาลโดยปราศจากคำพูดใด เจ้าหน้าที่จัดยาบังคับให้กินแล้วกำชับให้พักผ่อน และเมื่อถูกปล่อยให้อยู่ลำพังผมก็หลับไปเลย







ตื่นขึ้นมาอีกทีตอน 11 โมง

เลยเวลาถ่ายรายการมาแล้วกว่าชั่วโมง ผมงัวเงียลุกขึ้นมา รู้สึกมึนอยู่หน่อยๆ ลองจับหน้าผากตัวเองก็พบว่ามันไม่ได้ร้อนนัก ผมคิดว่าตัวเองยังไหวนะ

“คุณปกรณ์บอกว่าไม่สบาย” ผู้กำกับหันมาถามเมื่อผมยกมือไหว้

“ดีขึ้นแล้วครับ”

“แน่นะ”

“ครับ”

“งั้นก็นั่งนี่ อย่าทำตัวมีปัญหา” ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และไม่มีเงินด้วยเช่นกัน

การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อยๆ แบบที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก นอกจากนั่งศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติงานจริงของพวกพี่มืออาชีพเขา

กว่าจะได้รายการดีๆ ออกมาให้ทุกคนดูกันที่หน้าจอโทรทัศน์นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“พัก 15 นาที” เสียงผู้กำกับดังให้ทีมงานเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

พักในที่นี้หมายถึงให้พิธีกรพัก ส่วนทีมงานน่ะเหรอต้องพร้อมทำงานอยู่เสมอ

“ไงเรา ชอบแผนกวาไรตี้มั้ย”

“ก็สนุกดีครับ”

“ไงก็ฝากให้ท่านประธานพิจารณาโบนัสพวกเราด้วยนะ” พี่ผู้กำกับว่าทีเล่นทีจริง

ไอ้เซก็อยากช่วยอยู่หรอกแต่ตอนนี้ตัวผมเองยังเอาไม่รอดเลย

ความจริงเรื่องที่ผมเป็นลูกชายคนเล็กของท่านประธานก็ไม่ใช่ความลับอะไร แต่ก็มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ทราบ ก็ผมน่ะไม่ค่อยออกสื่อกับพ่อซักเท่าไหร่ ไม่รู้สิ ไม่อยากดัง และก็คิดว่าพี่ไปป์เองก็คงไม่รู้ว่าผมเป็นใคร รายนั้นน่ะยังคิดว่าผมเป็นเด็กขายน้ำอยู่เลยมั้ง

ต้องอธิบายยังไงถึงจะเลิกเข้าใจผิดก็ไม่รู้

พอนึกถึงก็โทรมาเลย

“อยู่ไหน” รับสายปุ๊บก็ดุกันเลย จะโหดไปไหนครับ รู้มั้ยว่ามันไม่เข้ากับใบหน้าหล่อน่ารักของพี่เลย

“อยู่สตูฯ ครับ”

“บอกให้พักไง”

“ผมโอเคแล้วครับพี่ปกรณ์”

“โอเคอะไร จิตใจหรือร่างกาย ถ้าเป็นอะไรขึ้นมานะ…” จากนั้นก็บ่นยาวจนผมต้องปลีกตัวออกมาที่บันไดหนีไฟเพื่อฟังเสียงบ่นโดยเฉพาะ

บ่นแปลว่าห่วง พี่ไปป์ห่วงผมว่ะ โคตรรู้สึกดี

“ผมสัญญาว่าคืนนี้จะกินยาแล้วรีบนอนแต่หัววันเลยครับ”

“แล้วแต่!!” กระชากเสียงใส่แล้วก็วางสายไปเลยอ่ะ ขี้งอนชะมัด

เมื่อกลับเข้ามาในสตูดิโออีกครั้งการถ่ายทำก็เริ่มขึ้นแล้ว และผมก็ไม่อาจนั่งเฉยๆ ได้อีกต่อไป

“ให้ผมช่วยนะพี่”

ถึงจะบอกว่าไม่ชอบทำงานใช้แรงแต่คนดีอย่างไอ้เซก็เข้าไปช่วยพี่เขาแบกน้ำเหมือนเดิม บางทีผมอาจจะติดใจงานใช้แรงพวกนี้แล้วก็ได้

หลังจากงานแบกน้ำ ผมก็ทำนู่นทำนี่ไม่หยุดเลย แม้บางครั้งอาการปวดหัวจะกำเริบแต่เมื่อได้นั่งพักสักหน่อยอาการก็ทุเลาลง

“โอเค ขอบคุณทุกคนมาก” เสียงของผู้กำกับไม่ต่างจากนาฬิกาบอกเวลาเลิกงาน ทุกคนดูโล่งใจมาก ผมเองก็ด้วย

“น้องสิทธาโอเคมั้ยเนี่ย หน้าซีดมากเลย”

“สบายพี่” ผมทรุดนั่งยองๆ กับพื้น ยกหลังมือขึ้นปากเหงื่อ ทั้งที่แอร์ในห้องนี้ก็ออกจะเย็นแต่ผมกลับรู้สึกร้อนมาก เหงื่อไหลโทรมกายเหมือนเพิ่งวิ่งแข่งมา

ปวดหัวอีกแล้วว่ะ คราวนี้ปวดมากกว่าทุกครั้งเลย

ผมนั่งอยู่บนพื้นมองพี่ทีมงานเก็บของแล้วค่อยๆ ทยอยออกจากห้องไปทีละคนสองคน ไฟในสตูดิโอก็ถูกปิดลงจนเกือบหมด

“ไอ้น้องนั่งทำอะไรตรงนั้น กลับบ้านได้แล้ว” พีทีมงานคนสุดท้ายกวักมือเรียกให้ผมพยุงตัวที่ปราศจากเรี่ยวแรงลุกขึ้น

การจะพาตัวเองไปยังประตูมันช่างยากลำบากเหลือเกิน

“เจอกันพรุ่งนี้ไอ้น้อง วันนี้ทำดีมาก เดี๋ยวพี่ให้คะแนนประเมินเต็มสิบเลย”

“ขอบ…” ไม่ทันที่คำซึ่งเค้นออกมาจากลำคออันแหบแห้งจะหลุดออกมาจากริมฝีปาก พี่เขาก็เข้าลิฟต์ไปแล้ว

ผมทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอีกครั้ง กอดตัวเองเมื่อรู้สึกว่าอากาศโคตรหนาว ใบหน้าและร่างกายร้อนผ่าว พละกำลังที่มีอย่างมหาศาลบัดนี้ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด กระทั่งดวงตาก็ไม่สามารถบังคับให้มันเปิดอยู่ได้ ดังนั้นผมจึงหลับไป

ติ๊ง!

ได้ยินเสียงลิฟต์

“เซ!!”

ได้ยินเสียงพี่ไปป์ และทุกอย่างก็มืดดับไป







สิ่งแรกที่ผมรับรู้ตอนได้สติคือกลิ่นโรงพยาบาล ปวดหัวว่ะ ผมพยายามจะพลิกตัวทว่ากลับรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนซึ่งถูกเข็มตรึงเอาไว้

น้ำเกลือเหรอ?

“ไอ้เซมึงฟื้นแล้ว” เสียงไอ้ยอด เมื่อลืมตาขึ้นมอง ปรับสายตาให้เข้ากับความสว่างแล้วก็พบกับใบหน้าตื่นตกใจของเพื่อนผม

ปวดหัว ผมยกมือขึ้นกุมขมับแล้วขยับตัวเพื่อนั่งทว่ากลับถูกกดไหล่เอาไว้

“นอนไปเลยมึง อย่าฝืน”

“กูหลับไปนานเท่าไหร่วะ”

“ครึ่งวันกับหนึ่งคืน” มันหาวปากกว้างกว่าอุโมงค์ที่แยกมไหศวรรย์ซะอีก

“พี่ไปป์ล่ะ”

“มึงรู้ได้ไงว่าเขาพามึงมาส่ง”

“กูได้ยินเสียงเขาก่อนหมดสติว่ะ”

“พี่ไปป์ของมึงเพิ่งกลับไปเมื่อเช้า”

“พี่เขาไม่ใช่ของกูซักหน่อย”

“แล้วมึงจะเขินทำซากอะไร อย่าบอกนะว่ามึงคิดกับเขาเกินพี่เลี้ยงจริงๆ”

“กูปวดหัว มึงจะไปไหนก็ไปกูจะนอน”

“ถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นพี่ไปป์มึงคงไม่ไล่อย่างหมาแบบนี้” ประชดครับ มันประชด

“ไปไกลๆ เลยหมา ชิ่วๆ” สะบัดมือไล่มันแล้วผมจึงหลับตาลง

ถามว่ายังปวดหัวอยู่จริงๆ เหรอ ก็ไม่เท่าไหร่นะ ดีขึ้นกว่าตอนก่อนจะหมดสติเยอะเลย อาจเพราะได้พักผ่อนด้วยล่ะมั้ง

“หลับไปอีกแล้วเหรอ” ผมแค่หลับตาแต่ไม่ได้หลับจริง และเมื่อได้ยินเสียงพี่ไปป์ ผมก็หรี่ตามอง เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความกังวล มันก็น่ามองดี แต่ก็ไม่เท่าชุดลำลองที่ประกอบด้วยเสื้อคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนส์ทรงกระบอกเผยข้อเท้าขาวๆ นั่นหรอก

“หลับไปสักพักแล้วพี่ ผมฝากพี่ปกรณ์ดูมันต่อได้มั้ยครับ ผมต้องไปรับแฟนอะ”

“ก็ไปสิ ขอบใจมากยอด”

เสียงฝีเท้าไอ้ยอดห่างออกไปเป็นจังหวะเดียวกับที่เก้าอี้ข้างเตียงถูกลากออกแล้วพี่ไปป์ก็นั่งลง

หน้าผากของผมถูกสัมผัสด้วยมืออุ่นๆ ที่แนบลงมาเพื่อวัดอุณหภูมิ

“ตัวก็ไม่ร้อนแล้ว ที่หลับนี่ไม่สบายหรือขี้เกียจ” พี่ปกรณ์ก็มองผมในแง่ร้ายเกินไป อาการของไข้หวัดก็ยังมีอยู่แต่ความขี้เกียจมีมากกว่า แต่ที่มากกว่าความขี้เกียจคือความสำออย

“น้ำ” ผมขยับริมฝีปากหน่อยๆ แล้วร้องขอน้ำ เมื่อหรี่ตาขึ้นก็ประสานสายตากับคนข้างงเตียงพอดี “พี่ไปป์”

แทนที่จะเหวี่ยงที่ผมเรียกชื่อเล่นพี่แกกลับทำแค่มองเฉยๆ ก่อนช่วยปรับเตียงให้ผมนั่งแล้วค่อยหันไปรินน้ำมาให้

“ถือเองได้มั้ย” ผมส่ายหน้าพี่แกก็จิ๊ปาก แม้จะแสดงความไม่พอใจแต่ก็ยอมป้อนน้ำผมแต่โดยดี “รู้สึกดีขึ้นรึยัง”

“ก็ดีครับ แต่ยังปวดหัวนิดหน่อย”

“ทำไมเป็นคนรั้นแบบนี้ฮะสิทธา”

“ครับ? ผม เอ่อ…” ก่อนอาการจะทรุดจนต้องนอนโรงพยาบาล พี่ไปป์บอกให้ผมพัก เขาบอกว่าอย่าฝืนแต่ผมก็ไม่เชื่อ สมควรแล้วที่โดนดุ

“ผมบอกให้คุณนอนพักไม่ใช่เหรอ แล้วไปทำงานทำไม ใครใช้ให้ไป”

“ไม่มีใครใช้ครับ”

“คุณรู้มั้ยว่าที่บรษัทมีระบบพี่เลี้ยงไว้ทำไม”

“เอ่อ…”

“มีไว้เพื่อให้คุณเชื่อฟังไง แต่ถ้าคุณไม่เชื่อฟังผมก็ไม่ต้องมาเป็นน้องผม”

“เซขอโทษครับพี่ปกรณ์ เซจะไม่ดื้ออีกแล้ว” จะโทษใครได้ ที่ต้องมานอนซมในโรงพยาบาลแบบนี้แถมยังสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไปทั่ว ทั้งหมดนั้นเกิดจากความดื้อรั้นของผมจริงๆ

แม้ผมจะขอโทษด้วยเสียงอ่อยๆ ช้อนตามองพี่ไปป์เหมือนหมาอ้อนเจ้านาย ถึงกระนั้นคนถูกอ้อนก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย สายตาก็ทอดมองไปนอกหน้าต่างโน่น

“พี่ไปป์ เซขอโทษครับ” ผมยื่นมือไปแตะที่ต้นแขนแต่เจ้าของมันกลับสะบัดออก มองผมเขม็งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน งอนแรงมากอะคนเรา

“หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นี่เสื้อผ้า” กระเป๋าใบเล็กถูกวางลงบนเตียงข้างตัว เมื่อลองรื้อดูก็พบว่าเป็นเสื้อผ้าซึ่งไม่ใช่ของผมซักชิ้น

“เซไม่มีที่ไป”

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านกัน”

“บ้าน?”

“บ้านผม พอใจรึยัง”

บร๊ะ!! ได้ไปอยู่บ้านพี่ไปป์แล้วโว้ย ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วจะมีที่ซุกหัวนอนโดยไม่ต้องร้องขอ ไอ้เซยอมป่วยตั้งนานแล้วครับ







[T B C]

ได้เข้าบ้านพี่ไปป์สมใจไอ้เซแล้ว
เนี่ย ป่วยตั้งแต่แรกก็จบแล้วเนอะ
ไม่ต้องอ้อนต่องอ่อยเลย 555
เจอกันอีกทีวันที่ 15 นะคะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ
รัก
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-11-2017 18:29:51 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เย้ ได้นอนบ้านพี่/ปป์แล้ว จะบ้านหมารึห้องนอนน้อ

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 03


พี่ไปป์พักอยู่ลำพังในคอนโดห้องขนาดกลาง 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มันน่าแปลกใจตรงที่คอนโดเขาเป็นโครงการเดียวกับห้องของผมต่างกันก็แค่ขนาดห้องเท่านั้น

“เข้ามาสิ” เจ้าของห้องหันมาบอกตอนที่เปิดประตูออก

ผมมองพี่ไปป์ถอดรองเท้าเก็บเข้าชั้นแล้วทำตามบ้าง

“เซอยู่ได้นานแค่ไหน”

“จนกว่าจะหายดี”

“เซปวดหัวจังเลยพี่ไปป์” นาทีนี้ตอแหลได้ ทำตัวสบายอดครับ คติอะไรก็ช่างหัวไอ้เซเถอะ ขอแค่มีที่ซุกหัวนอนก็พอ

อย่าคิดว่าพี่ไปป์จะถามไถ่เมื่อผมคร่ำครวญว่าปวดหัวพลางกุมขมับ มองออกมั้งว่าผมเล่นใหญ่ แต่ช่างปะไรตราบใดที่พี่แกไม่ว่าอะไร ต่อให้ต้องเล่นใหญ่แค่ไหนผมก็ยอม

“พี่ไปป์อยู่คนเดียวเหรอครับ”

“เปล่า”

“อ้าว” แปลกใจครับ อนุญาตให้ผมมาอยู่ด้วยทั้งที่ตัวเองไม่ใช่ตัวคนเดียว ระหว่างมองพี่ไปป์เปิดทีวีก็สำรวจรอบห้อง พลางเดามั่วว่าพี่แกอยู่ที่นี่กับใคร ซุกเมียกับลูกไว้หรือเปล่าวะ

“นั่งสิ แต่ถ้าจะยืนก็ไม่ว่ากันนะ” พี่ไปป์ว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ เมื่อทิ้งตัวลงบนโซฟาหน้าทีวี เห็นดังนั้นผมก็นั่งลงข้างๆ

“เซอยู่ที่นี่ได้จริงเหรอ”

“ไม่อยากอยู่ก็ออกไป”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่มีที่ให้นอนเซก็ดีใจแล้วแต่เมื่อกี้พี่บอกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวอ่ะ เซเกรงใจ”

พี่ไปป์ทำหน้าประหลาดใจแล้วกระตุกยิ้มราวกับขบขันคำพูดของผม ตลกตรงไหน ที่บอกว่าเกรงใจน่ะจริงจังนะครับ

“เกรงใจคนอื่นก็เป็นด้วย”

“เซก็คนนะครับ”

“ก็ไม่ได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดซักหน่อย”

“พี่ไปป์กวนอะ” พอผมว่าอย่างนั้นพี่แกก็แค่ไหวไหล่แล้วเอื้อมหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องทีวี

เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากวาไรตี้เป็นสารคดี หนังแล้วจบที่ซีรีส์ต่างประเทศ

“เซชอบเรื่องนี้” ผมขยับนั่งตัวตรง กอดหมอนอิงแล้วจ้องหน้าจอทีวีตาไม่กระพริบ “โห ไปถึงโน่นแล้วเหรอ พลาดไปหลายตอนเลยอะ”

“มีไวไฟนะ ดูย้อนหลังได้”

“พี่ไปป์”

“อะไร”

“สรุปว่าเซอยู่ที่นี่ได้แน่นะ”

“ผมจะพูดเล่นทำไม สนิทกันถึงขั้นล้อกันเล่นได้แล้วเหรอ”

เชื่อเถอะว่าคำพูดจริงจังของพี่ไปป์ทำผมกอดหมอนนั่งยิ้มไม่หุบเลย

ฮือออ~ จุดพลุฉลองสิ ไอ้เซมีที่ซุกหัวนอนแล้วโว้ย







“ยังปวดหัวอยู่มั้ย”

ที่จริงแล้วพี่ไปป์โคตรใจดี

“ตัวก็ไม่ร้อนแล้วนี่”

หน้าผากของผมถูกสัมผัสด้วยหลังมือของเจ้าของห้อง การถูกดูแลเอาใจใส่ทำให้ผมปลื้มปริ่มจนน้ำตาจะไหล

“แล้วนี่จะนอนไปถึงเมื่อไหร่”

นอนไปเรื่อยๆ อะ กลัวพี่ไปป์เข้าใจถูกว่าผมหายดีแล้วจะเฉดหัวออกจากห้อง

“ลุกมากินข้าวมั้ยหรือต้องให้ผมป้อน” ก็ดีครับ ป้อนสิ ผมโคตรต้องการ

แต่นอนหลับตารออยู่นานทีเดียวกับเสียงพี่ไปป์ที่เงียบลง ท้องก็หิวจนต้องลืมตาขึ้น ลุกแล้วมองเข้าไปในครัวก็พบว่าพี่เจ้าของห้องกำลังนั่งกินข้าวสบายใจเฉิบ

ปลุกกันต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้นะคนเรา

“ตื่นแล้วก็มากินข้าวสิ” เรียกผมด้วยน้ำเสียงที่โคตรจะเฉยชาตอนที่บังเอิญสบตา อยากเล่นตัวสักหน่อยแต่ไม่ไหวว่ะตอนนี้ท้องหิวเกินจะทำเรื่องไร้สาระพวกนั้นแล้ว

“นี่พี่ไปป์ทำเองหมดเลยเหรอครับ” ผมเกือบจะร้องว้าวเมื่อพบอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ หน้าตาน่ากินทั้งนั้น

“คิดว่าตัวเองเป็นใคร”

“เซไง”

“ก็แค่คนรู้จักไงจำเป็นต้องทำอาหารมากมายให้กินด้วยเหรอ”

“จะยังไงก็ช่างเถอะ กินแล้วนะครับโคตรหิวเลย”

“มียาก่อนอาหารมั้ย” มือที่กำลังจะจ้วงตักอาหารจำต้องชะงัก เหลือบมองคนตรงข้ามแล้วก็กลอกตาคิด

อืมมม จำได้ว่ามี แต่ถ้ากินยาก็หายไข้เร็วน่ะสิ

“ไม่มีครับ”

“โกหก” พูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะคอกทำเอาตกอกตกใจหมด และถ้าพี่รู้อยู่แล้วก็ไม่น่าถามให้ผมโกหกนะ

ยอมรับเลยว่าทุกท่าทางการจัดยาทำให้ผมโคตรที่จะทำตัวไม่ถูก ก็เพิ่งโกหกแล้วถูกจับได้ไปหยกๆ นี่หว่า

“กินยาแล้วก็นั่งรอไป 30 นาที”

“หิวอะ ไม่กินยาไม่ได้เหรอครับ กินข้าวเลยได้มั้ย”

“กิน!!”

“ข้าว โอเค” ผมยิ้มแฉ่งแล้วดึงจานข้าวสวยมาใกล้ตัวหากก็ถูกคนตรงข้ามฉวยข้อมือเอาไว้

“อย่ามาเนียน ถ้าไม่กินยาแล้วเมื่อไหร่จะหายดี ผมไม่มีเวลาดูแลคุณตลอดหรอกนะ”

“ลืมไปว่าพี่ไปป์มีลูกมีเมียที่ต้องดูแล”

เขานิ่งไปเมื่อผมพูดคำนั้น ดูจากสภาพการณ์แล้ว ความสัมพันธ์ในครอบครัวพี่ไปป์คงไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่

“กินยา”

ผมรับยาก่อนอาหารมาโยนเข้าปากแล้วกระดกน้ำตาม มองหน้าพี่ไปป์ที่ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรสักเท่าไหร่

หิวอ่ะ ยิ่งมองพี่ไปป์เคี้ยวอาหารก็ยิ่งหิ๊วหิว

“เขียวหวานอร่อยมั้ยอะครับ” นั่งมองเขาเฉยๆ แล้วมันเหงาปาก หากพอถามพี่ไปป์ก็ตวัดสายตาดุๆ มอง จ้า กลัวแล้วจ้า

“อย่าชวนคุยเวลากินข้าว”

“พ่อผมก็ชอบพูดแบบนี้ แต่ผมคิดต่างนะ” คนที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงักมือ สายตาดุๆ อ่อนลง “ในแต่ละวันครอบครัวจะพร้อมหน้ากันเฉพาะตอนกินข้าวเย็นไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่คุยกันตอนนี้แล้วจะให้คุยกันตอนไหน”

“คิดถึงบ้านเหรอ”

“เปล่าครับ”

“สายตาไม่ได้บอกแบบนั้นนะ กับครอบครัวน่ะไม่จำเป็นต้องมีฟอร์มมากหรอก”

“เซ…” พี่ไปป์พูดเหมือนรู้ทุกอย่างจนผมเริ่มสงสัยว่าที่จริงเขาอาจจะรู้ว่าผมเป็นใคร

“รายงานคุณเสร็จรึยัง” ขอบคุณที่ช่วยเปลี่ยนเรื่อง แต่ไม่เอาเรื่องรายงานได้ไหม ได้ยินแล้วเพลียใจ

“เอ่อ…ไหนพี่ไปป์บอกไม่ชอบให้คุยตอนกินข้าว”

“ถ้าไม่คุยตอนกินข้าวก็ไม่มีเวลาให้คุยกันแล้ว อย่าเฉไฉ ตอบมา”

“ยังไม่เสร็จครับ”

“กินข้าวเสร็จแล้วผมขอดูหน่อย”

ก็บอกว่ายังไม่เสร็จไงเล่า จะเอาที่ไหนให้ดูวะ

ถึงจะบอกว่าไม่มีให้ดูสุดท้ายก็ต้องมาเปิดรายงานเว้าๆ แหว่งๆ ในสมาร์ทโฟนสารพัดประโยชน์ให้คุณพี่เลี้ยงดูอยู่ดี

พี่ไปป์อาบน้ำเสร็จแล้ว ตัวเขาหอมมาก กลิ่นเหมือนคุณชายสะอาด ผิวที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อนอนตัวโคร่งคอโคตรกว้างก็ข๊าวขาวเสียจนผมเผลอยืดตัวแอบส่องอยู่หลายครั้งหลายหน

“มองพอรึยัง ให้ถอดเสื้อเลยมั้ย”

“พี่ไปป์ก็…เซแค่มองเรื่อยเปื่อยเอง”

“เหรอ” คำสั้นๆ ของพี่ไปป์รวมกับสายตาจับผิดที่มองมาให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายโรคจิตเลยว่ะ

“ก็พี่ไปป์น่ามอง”

“น่ามองตรงไหน” พอผมบอกตรงๆ ก็หน้าแดง ให้ตายเถอะโคตรน่ารักอะ พี่ไปป์น่าจะเป็นพวกไม่ค่อยชินกับคำชมแน่เลย

“ก็น่ามองทั้งตัวอะครับ ไม่รู้ตัวเลยเหรอ”

“ก็ผู้ชายเหมือนกัน”

“ไม่เหมือนนะ พี่ไปป์อะ…”

“นี่เขาเรียกรายงานเหรอ” ยังไม่ทันได้บอกสรรพคุณความน่ามองของเจ้าตัว สมาร์ทโฟนก็ถูกส่งคืน ในขณะที่สีหน้าพี่ไปป์กลับมาจริงจังอีกครั้ง

“มันแย่มากใช่มั้ยพี่”

“จะให้พูดตรงๆ หรือรักษาน้ำใจ”

“พี่เคยรักษาน้ำใจเซด้วยเหรอ”

“โคตรห่วย ถ้าจะเขียนรายงานแบบนี้อย่าทำเลยดีกว่า เสียเวลาอ่าน” เออ ตรงจริง ตรงมาก ตรงจนคนอดตาหลับขับตานอนนั่งพิมพ์ทั้งคืนจุกไปทั้งอก

แม้จะเคยชินกับความปากร้ายของพี่ไปป์แต่พอได้ยินอย่างนั้นผมก็หงอยไปเหมือนกัน

“แล้วอยากรู้มั้ยว่าแบบไหนเขาเรียกว่าดี”

“อยากครับ”

“เอาไว้วันหลังจะสอนให้ แต่วันนี้กินยาแล้วพักผ่อนซะ” เพิ่งจะสามทุ่มเอง ไอ้เซผู้คุ้นชินกับการนอนหลับหลังเที่ยงคืนไม่มีทางหลับลงแน่ และอีกอย่าง…

“เซยังไม่อาบน้ำเลย”

“ยังไม่หายดีแค่เช็ดตัวก็พอ”

มองตามเจ้าของห้องที่เดินหายเข้าในห้องนอน นานสองนานก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าชุดนึง

“ขอบคุณครับ”

พอผมรับของมาพี่เจ้าของห้องก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ คราวนี้เข้าไปไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังใบเล็กๆ ที่บรรจุน้ำไว้ในปริมาณพอดี

“เช็ดตัวซะ” เพิ่งเห็นตอนที่กะละมังถูกวางลงตรงหน้าว่าข้างในมีผ้าขนหนูสีขาวแช่อยู่ด้วย

“พี่ไปป์จะเช็ดให้…”

“เป็นง่อยเหรอ”

“เช็ดข้างหลังไม่ถึงหรอกครับ” ผมว่าพลางถอดเสื้อพี่ไปป์ที่อยู่บนตัวผมออก

“รอยยุงกัด? ไม่ได้ทายาเหรอ” ถึงแม้รอยยุงกัดตามร่างกายจะหายไปบ้างแล้วแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ทิ้งรอยแดงจางๆ เอาไว้

“ใกล้จะหายแล้วครับ”

“ใกล้จะหายก็แปลว่ายังไม่หาย” ปากก็บ่นมือก็ยื่นไปบิดผ้าในกะละมังจนหมาดแล้วยื่นมาให้

โธ่ เราก็นึกว่าจะช่วยเช็ดที่แท้ก็หลอกให้อยากแล้วให้ช่วย(เหลือ)ตัวเอง

“หนาวอะครับพี่ไปป์”

พี่เจ้าของห้องไม่ได้ตอบโต้แต่เขาเอื้อมมือไปหยิบรีโมทแล้วปรับแอร์ให้

โคตรดี โคตรอ่อนโยน โคตรอยากได้

“พี่ไปป์ เซเช็ดหลังไม่ถึง” อันนี้ไม่ได้ตอแหล ถึงแม้แขนขาจะยาวแต่ก็ไม่สามารถถูหลังตัวเองได้จริงๆ


‘รู้ไหมทำไมธรรมชาติถึงสร้างให้มนุษย์เกาหลังไม่ถึง เพราะธรรมชาติไม่ต้องการให้เราอยู่คนเดียว ธรรมชาติต้องการให้หาใครสักคนเพื่อช่วยเกาหลัง’


เคยได้ยินโยคนี้ในภาพยนตร์บุญชู 10 กันไหม ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยเลยล่ะ แต่ขอเปลี่ยนจากเกาหลังเป็นเช็ดหลังเพื่อเข้ากับสถานการณ์

พอผมร้องขอก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ แต่ถึงจะแสดงออกเหมือนไม่พอใจแต่สุดท้ายแล้วพี่ไปป์ก็ช่วยผมอยู่ดี

“หันหลังมา” ผมทำตามเขาอย่างไม่อิดออด

สัมผัสของพี่ไปป์นุ่มนวลมาก แตกต่างจากตอนเช็ดเหงื่อให้ผมที่ร้านหมูกระทะ ฮือ รู้สึกดีอะ

“รอยที่หลังก็ยังไม่หายดี” เสียงพี่ไปป์บ่นพึมพัม แต่นั่นก็ไม่น่าสนใจเท่ากับนิ้วเรียวที่สัมผัสผิวเนื้อผมตรงๆ

อยู่ๆ ภาพในคืนเร่าร้อนของเราก็ผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ

“เป็นอะไร” เพราะอยู่ๆ ผมก็ตบหน้าตัวเองรัวๆ ให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยถาม ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบว่าเปล่า

ใครจะกล้าบอกล่ะว่ากำลังคิดเรื่องลามก

“ยาที่ซื้อให้ เอามาด้วยรึเปล่า” คงหมายถึงยาทาแก้แมลงกัดต่อย อย่าว่าแต่ยาเลย เสื้อผ้าซักชุดยังไม่ได้ติดตัวมา และเมื่อผมส่ายหน้าก็ถูกตบเข้าที่กลางหลังดังปั๊ก โคตรจุก

“เจ็บนะพี่ไปป์”

“ไม่มีความรับผิดชอบ”

“เซอยากรับผิดชอบพี่ไปป์นะ”

“อะไร”

“เรื่องคืนนั้น…”

“หุบปากแล้วก็นอนไปเลย”

“นอนไหน โซฟาเนี่ยนะ”

“เออ”

“ไรอะ เซไม่สบายอยู่นะ”

“เลือกเอาว่าจะนอนนี่หรือข้างถนน”

เลือกข้างถนน…ก็บ้าแล้ว







การใช้เวลาช่วงวันหยุดอยู่กับพี่ไปป์ก็ไม่ได้เลวร้ายนักแต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่

พี่ไปป์เป็นคนจริงจังมากแถมยังขี้หงุดหงิดอีกต่างหาก เห็นเขายิ้มเฉพาะตอนคุยโทรศัพท์กับใครซักคนที่ผมไม่รู้จักเท่านั้น

ลูกหรือเปล่าวะ

แต่เอาจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าคนอย่างพี่ไปป์ คนที่เคยนอนส่งเสียงหวานๆ อยู่ใต้ร่างผมจะทำผู้หญิงท้องได้ ลักษณะของพี่ไปป์ ถึงจะเป็นผู้ชายตัวสูง แต่เขาก็เหมาะกับการเป็นฝ่ายถูกดูแลปกป้องมากกว่า

“ลงสิ”

“ครับ” ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งนิดนึงก่อนจะหันไปตามเสียง

“บอกให้ลง”

“ยังไม่ถึงตึกเลยนะพี่”

“ผมต้องไปประชุมที่อื่น” ผมพยักหน้ารับแล้วก้าวลงจากรถมา มองตามไฟท้ายจนลับตาไป

พี่ไปป์ทำงานหนักมาก ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาเขาก็เอาแต่นั่งทำหน้าเครียดหน้าโน้ตบุ๊ค ทำงานหนักขนาดนี้ได้เงินเดือนสักเท่าไหร่กัน ถ้าผมได้รับตำแหน่งต่อจากพ่อผมจะขึ้นเงินเดือนให้พี่ไปป์คนแรกเลย

ผมเดินเตร็ดเตร่ดมกลิ่นหมูปิ้งมาเรื่อยเปื่อย เพราะพี่ไปป์ออกจากบ้านแต่เช้าผมถึงได้มีเวลาเหหลือเฟือขนาดนี้

จะบอกว่าเป็นความบังเอิญได้ไหม เมื่อระหว่างทางอยู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าใครสักคนวิ่งตามมา พร้อมเสียงทักทายที่คุ้นเคย

“น้องเซ บังเอิญจังค่ะ” บังเอิญก็บังเอิญ

ผมยิ้มทักทายพี่ผู้ช่วยพี่ไปป์ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบชื่อเธอ

“ทำไมวันนี้มาเช้าจังคะ ปกติ…”

“มาสาย” ผมต่อประโยคให้จบเมื่อเธอมีสีหน้าลังเล “พอดีวันนี้ตื่นเช้าน่ะครับ”

เธอพยักหน้ารับ “แล้วนี่ทานอะไรมารึยังคะ พี่มีอาหารเช้าอร่อยๆ แนะนำด้วยนะ”

“เรียบร้อยแล้วครับ” อยู่กับพี่ไปป์นอกจากต้องตื่นเช้าแล้วยังมีอาหารเช้าเป็นขนมปังปิ้งกับโกโก้ร้อนๆ ให้กินตอนเช้าด้วย

เมื่อเช้าพี่ไปป์ทำขนมปังไหม้ไปตั้ง 2 แผ่น

“แล้วนี่พี่ผู้ช่วยไม่ออกไปประชุมข้างนอกกับพี่ปกรณ์เหรอครับ”

“ปกติคุณปกรณ์ออกไปประชุมคนเดียวตลอดแหละค่ะ พี่มีหน้าที่ช่วยงานทางนี้”

ผมพยักหน้ารับแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ย่ำเท้าตรงไปข้างหน้าพลางคิดเรื่อยเปื่อย

“ฝึกงานที่นี่เป็นยังไงบ้างคะ น้องเซชอบรึเปล่า”

“ก็สนุกดีนะครับ”

“ได้ข่าวว่าน้องเซไม่สบาย ตอนนี้หายดีแล้วรึยังคะ”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ” ถ้าขืนบอกว่าหายดีมีหวังถูกพี่ไปป์เฉดหัวออกจากบ้านพอดี

“พี่เป็นห่วงน้องเซมากเลยนะคะ”

ผมขอบคุณเธอด้วยรอยยิ้ม แต่แปลกจัง ในความรู้สึกผมตอนนี้ ทางเดินหน้าตึกทำไมมันย๊าวยาววะ

“เหี้ยเซทำไมมาเช้า” ขอบคุณไอ้ยอดที่โผล่มาให้บรรยากาศรอบตัวไม่อึดอัดเกินไป

“พี่ไปป์ตื่นเช้าอ่ะมึง”

“แล้วมึงก็ตื่นเช้าตามเขา”

“เออสิ ก็ต้องติดรถเขามา”

“แล้วอยู่กับพี่ไปป์เป็นไงบ้างวะ พี่แกเด็ดป่ะ” ไอ้ยอดเข้ามากอดคอผมแล้วป้องปากถาม

“เด็ดเหี้ยไรล่ะ ต่างคนก็ต่างอยู่แหละ ไม่ค่อยได้คุย”

“ไม่ค่อยได้คุยหรือเขาไม่คุยกับมึง” แทงใจดำเสียจนเลือดสาดเลย

“อย่างหลังครับไอ้สัด”

“กระจอกฉิบหายเพื่อนกู” คนโดนดูถูกมันเจ็บกระดองใจ

“แล้วนั่นกระเป๋าเสื้อผ้ากูป่ะ”

“เออ ลืม สัดหนักฉิบหาย” กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ภายในบรรจุของใช้บางส่วนของผมถูกยื่นมา แค่นั้นคงยังไม่สาแก่ใจไอ้ยอด แม่งยื่นถุงสีรุ้งบาเลนซิก้ามาให้ผมอีกใบ เมื่อทำหน้างงมันจึงไขข้อสงสัย

“ของๆ มึงที่ทิ้งไว้ห้องกูอะ แฟนกูบอกให้เก็บออกมาให้หมด”

“กลัวกูกลับไปขอนอนกับมึงอีกว่างั้น”

“คงใช่”

“ขี้งก”

“มึงหักอกเพื่อนเขา”

ก็คนมันไม่ชอบให้ดีประหนึ่งนางฟ้าไอ้เซก็ไม่เอา







การฝึกงานวันนี้ผ่านไปอย่างรุ่งริ่ง ไม่สิ ผมยังคงฝึกงานที่แผนกวาไรตี้เหมือนเดิม แต่เดี๋ยวอาทิตย์หน้าต้องย้ายไปฝึกที่แผนกละครแล้ว

ได้ยินไอ้ยอดบอกว่าแผนกละครโคตรโหด ก็แอบตื่นเต้นเล็กๆ ครับ แม่ผมชอบที่นั่นเป็นพิเศษ ได้ยินว่าเข้ามาดูละครเวอร์ชั่นก่อนตัดต่อบ่อยเลย

เจอแม่ก็ดีจะได้ขอตังค์

‘เจอกันที่ห้องเลย’

พี่ไปป์ไลน์มาว่าอย่างนี้ ผมจึงสะพายกระเป๋าแล้วแบกบาเรนออริจินัลขึ้นรถสองแถวกลับ ถามว่าทำไมผมเก่งจัง เปล่าหรอก แอบถามเส้นทางพี่ยามเมื่อกี้นี้

ค่ารถ 10 บาท ใช้เวลารวมรถติดราว 20 นาทีผมที่สภาพเหมือนเพิ่งกลับจากประตูน้ำก็มาถึงคอนโดพี่ไปป์ เห็นเจ้าของเขานั่งรออยู่บนโซฟาสบายใจเฉิบ

“จะมาอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยรึไง” พี่ไปป์ในสภาพที่เพิ่งกลับมาถึงมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า คนที่เอาเสื้อเชิ้ตออกนอกกางเกง ปลดกระดุมเม็ดบน 2 เม็ด สวมสลิปเปอร์ยื่นมือมาช่วยถือผมจึงส่งกระเป๋าเป้ที่เบากว่าให้

“เสื้อผ้ายังไม่ได้ซักเลยครับ”

“ไม่ซักให้หรอกนะ” ก็ไม่คิดว่าพี่จะช่วยหรอกทำมาเป็นพูดดักคอ

“ไม่กล้าใช้พี่ไปป์หรอก”

“พรุ่งนี้ย้ายไปแผนกละครนะ”

“อ้าว ไม่ใช่อาทิตย์หน้าเหรอครับ”

“นั่นมันกำหนดการเดิม”

“ไม่เห็นมีใครแจ้ง”

“ผมนี่ไง แจ้งเมื่อกี้”

“พี่ไปป์ตลกนะ”

“คุณคนแรกที่บอกว่าผมตลก” นี่พี่เก็ทมุกผมป่ะ สีหน้าพี่ไปป์โคตรเรียบเฉย ไม่เคยเดาออกเลยว่าตอนพูดรู้สึกอย่างไร

“พี่ไปป์กินข้าวรึยังครับ”

“ไม่ค่อยกินข้าวเย็นหรอก”

“แต่เมื่อวาน…”

“เพราะคุณต้องกิน” เฮ้ย โคตรซึ้งอะ ที่เตรียมอาหารเย็นเมื่อวานก็เพื่อผม อ่านพร้อมกันอีกครั้งนะครับ พี่ไปป์ทำเพื่อผมเว้ย โคตรปลื้มปริ่ม

“วันนี้เซก็ต้องกินนะ ยังปวดหัวอยู่เลยอะ” มองสีหน้าพี่ไปป์ผ่านภาพสะท้อนที่ประตูลิฟต์แต่อย่าหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย คนอะไร๊หน้าโคตรนิ่ง “ไม่เชื่อเหรอครับ ลองจับดูก็ได้ ตัวยังร้อนอยู่เลย”

ถึงแม้จะยื่นหน้าเข้าไปหาแต่ก็ไม่ต้องคิดว่าพี่เขาจะสัมผัสตัวผม เราเพียงสบตากันผ่านภาพสะท้อนก่อนผมจะยอมแพ้ขยับยืนในท่าปกติ

พี่ไปป์ก็คือพี่ไปป์ เขาคงใจดีที่สุดได้เท่านี้

พอถึงห้องเจ้าตัวก็วางกระเป๋าเป้ของผมลงบนโซฟาแล้วหายเข้าห้องนอนไป ระหว่างที่ผมกำลังเคว้งคว้างด้วยความหิว ข้อความก็ดังขึ้น

เป็นข้อความจากพี่ไปป์

‘อาหารสำเร็จรูปในตู้เย็น ใช้ไมโครเวฟเป็นใช่มั้ย’

ส่งข้อความมาเหมือนรู้ว่ากำลังถูกผมตัดพ้อ

‘ใช้ไม่เป็นหรอกครับ’

ส่งสติกเกอร์หน้าอ้อนไปด้วยตัวนึงเผื่อพี่ไปป์จะใจอ่อนลงบ้าง

‘งั้นก็ไม่ต้องกิน’ เออเนอะคนเรา ใจดีได้เท่านั้นจริงๆ แหละ

ผมส่งสติกเกอร์ร้องไห้ไปแต่ก็ไร้ซึ่งการอ่าน ดังนั้นผมจึงยอมวางความตอแหลลงแล้วเข้าครัวหาของกิน

รอไม่นานข้าวผัดหน้าตาจืดๆ ก็อุ่นพร้อมทาน ถ่ายรูปแล้วส่งไปชวนพี่ไปป์ดีกว่าเผื่ออยากกินด้วยกัน

‘ข้าวผัดน่ากินมาก พี่ไปป์มากินด้วยกัน’ พร้อมแนบรูป

ผ่านไปราว 5 นาทีเลยครับ จนผมกินข้าวไปกว่าครึ่งพี่ไปป์จึงตอบ

‘ไหนบอกใช้ไมโครเวฟไม่เป็น’

ไม่มีข้อแก้ตัวอ่ะ ข้ามเรื่องนี้ไปละกัน

‘ถ้าพี่ไปป์ไม่ออกมาตอนนี้เซกินหมดไม่รู้ด้วย’

‘คุณกินเถอะ อย่าลืมกินยาด้วย’ ใจดีอีกแล้ว สรุปพี่จะใจดีหรือใจร้ายกันแน่ครับ อย่างไรก็ตาม ความห่วงใยของพี่ไปป์ก็ทำให้ผมยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ลำพัง

‘ไม่กินข้าว งั้นกินเซแทนมั้ย อร่อยนะ’

พิมพ์เองก็เขินเองว่ะ ถ้าเกิดว่าพี่ไปป์อยากกินจริงๆ ผมต้องทำอะไรก่อน อาบน้ำก่อนหรือจับพี่แกโยนขึ้นเตียงเลยดี

ข้อความถูกอ่านแล้ว แต่พี่ไปป์ไม่ตอบ

ผมเงยหน้าจากมือถือเมื่อเสียงประตูห้องนอนเพียงห้องเดียวเปิดออก เฮ้ย! ฟลุ๊คว่ะ พี่ไปป์ในชุดกางเกงขาสั้นอวดขาขาวๆ กับเสื้อยืดสีขาวแบบบางจนเห็ผมคิดหื่น อะไรดลใจให้คนที่อยู่ในชุดพร้อมนอนออกจากห้องมา นอกเสียจากข้อความของผม

หัวใจไอ้เซจะกระดอนออกมานอกอกแล้ว ยิ่งเขาก้าวเข้ามาใกล้แม่งก็ยิ่งเต้นแรง ตึก ตึก ตึก เสียงหัวใจผมชัดมากอะ

“ขอเซกินข้าวอิ่มก่อนนะครับ”

“เอาสิ” เจ้าของความขาวนั่งลงตรงข้าม ผมนี่มือไม้สั่นไปหมดเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้อง

หรือพี่ไปป์จะหงุดหงิดที่ผมชักช้า

“ไอ้นั่นน่ะ อร่อยเหรอ”

“ครับ?” ไอ้นั่นคืออะไร ผมคิดลึกไปถึงแกนโลกแล้วนะ

“ขอชิมหน่อย”

“เอ่อ ไม่ดีมั้งพี่” ผมละล่ำละลักตอบ วันนี้วิ่งวุ่นทั้งวัน ตัวเหม็นด้วยขออาบน้ำก่อนได้มั้ยอะ

“คุณมีสิทธิปฏิเสธผมด้วยเหรอ” ก็รู้แหละว่าผมเป็นแค่ผู้อาศัยแต่ที่ไม่ให้กินตอนนี้ก็เพราะห่วงนะเว้ย

“งั้นเซขออาบน้ำก่อน”

“ทำไมต้องอาบน้ำ”

“ก็ตัวเซสกปรก”

“สิทธาคุณกำลังคิดอะไร”

“ก็…” ผมที่ผุดลุกขึ้นเต็มความสูงก้มมองร่างกายตัวเองแทนคำตอบให้คนตรงข้ามผมถึงกับหลุดขำ

เฮ้ย! งานดี เวลาพี่ไปป์ยิ้มโคตรสดใสดอกไม้บาน

“มาใกล้ๆ นี่มา” พอควบคุมสีหน้าได้แล้วก็กวักมือเรียกให้ผมเข้าไปนั่งใกล้ๆ

ผั๊วะ!!!

และโบกหัวผมเต็มแรง เชี่ย มือพี่ไปป์โคตรหนัก โลกของไอ้เซหมุนติ้วๆ เลย

“สมองคิดแต่เรื่องใต้สะดือเหรอ”

“อ้าว ก็พี่ไปป์บอกจะกิน”

“หมายถึงข้าวผัด”

“แล้วไม่กินเซเหรอ”

หมับ!

ว้าย จะโบกหัวกันอีกแล้ว แต่ขอโทษนะครับพี่ไปป์ ไม่ได้แอ้มไอ้เซเป็นครั้งที่ 2 หรอก

“ปล่อย” พอถูกคว้าข้อมือไว้ได้ก็ร้องเสียงหลงเลย

ที่จริงพี่ไปป์ไม่ได้ตัวเล็กกว่าผมมาก แต่ข้อมือเขาจับถนัดมือเหมือนเกิดมาเพื่อกัน อันนั้นผมมโน ที่จริง ที่ไม่ยอมปล่อยแม้พี่แกจะว่าเสียงดุทั้งยังพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมก็เพราะสีหน้าเหมือนเด็กถูกขัดใจที่ไม่เคยเห็น

ผิดมั้ย ถ้าผมจะบอกว่าพี่ไปป์โคตรน่าเอ็นดู

“ขอร้องเซดีๆ แล้วเซจะปล่อย”

“คุณอยู่ในสถานะที่ต่อรองกับผมได้เหรอ”

ก่อนหน้านี้อาจจะไม่ แต่ตอนนี้ตอนที่ข้อมือของพี่ไปป์ถูกผมล็อคเอาไว้ ผมมั่นใจว่าผมเหนือกว่าเขามาก

“เลิกได้มั้ยอะ คุณกับผมอะไรเนี่ย ฟังแล้วห่างเหินเกิ้น เซไม่ชอบ”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะสิทธา”

“ไม่ชอบให้พี่ไปป์เรียกสิทธา อยากให้เรียกเซมากกว่า หรือถ้าไม่ถนัดจะเรียกที่รักก็ได้นะครับ” ผมยกยิ้มมุมปากแบบที่เคยใช้โปรยเสน่ห์กับคนที่ผมถูกใจและอยากจีบ

“ลามปาม”

“ไม่ลามปามก็ได้ ขอลามเลียได้มั้ยครับ”

“สิทธา”

“เซ”

“สิทธา”

“เซ”

“สิท…” พอผมโฉบใบหน้าเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นครีมอาบน้ำอ่อนๆ จากตัวเขา พี่ไปป์ก็เม้มริมฝีปากแน่น ถลึงตามองจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า

“สิทอะไรครับ สิทธารึเปล่า”

“เออ สิทธา” ผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้อีก คราวนี้จงใจให้ปลายจมูกสัมผัสแก้มเขาเบาๆ

หัวใจไอ้เซจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกแล้วครับ ตื่นเต้นโคตร

“ปล่อย” น้ำเสียงแผ่วเบาดังออกมาจากริมฝีปากที่ขยับเพียงเล็กน้อย ใบหน้าพี่ไปป์อยู่ใกล้จนมองไม่ชัดแต่ถึงกระนั้นก็เห็นว่าเขาหน้าแดง

พี่ไปป์เขินนี่หว่า แบบนี้แปลว่ามีใจถูกมั้ย

“เรียกเซก่อน”

“จริงจังมั้ย”

“มาก”

“แล้วถ้าไม่เรียก”

“จูบ”

“มีสิทธิอะไร”

“ไม่มีแต่อยากจูบ เร็วสิครับ ช้ากว่านี้เซจูบนะ” คราวนี้คนตรงหน้าเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาที่เคยมองมาอย่างท้าทายหลุบลงเหมือนกำลังชั่งใจ

ถ้าพี่ไปป์ฉลาดพอ เขาคงยอมเรียกชื่อเล่นผมง่ายๆ แต่ผมน่ะไม่อยากให้พี่ไปป์ฉลาดหรอก แกล้งโง่บ้างก็ได้นะบางที พูดไปนี่ยังจำสัมผัสวันนั้นได้อยู่เลย ผมว่าเราเข้ากันได้ดีมากเลยนะ

“ยังไงครับพี่ไปป์ หืม” ช้าว่ะ เดี๋ยวก็จับจูบเสียหรอก

คนตรงหน้าผมสะดุ้งเลยตอนที่ผมเลื่อนมือไปจับที่ท้ายทอยเขา พี่ไปป์เงยหน้าขึ้นมาแล้วทำหน้าดุใส่

“ปล่อย เป็นแค่คนอาศัยไม่มีสิทธิทำแบบนี้” น้ำเสียงพี่เจ้าของห้องจริงจังมากจนภายในของผมกระตุกวูบ อยากหยอกพี่แกต่อแต่ก็กลัวจะถูกเฉดหัวออกจากห้องเหมือนกัน

“เซต้องกินยาหลังอาหารละ”

ผั้วะ!!

พอถูกปล่vยให้เป็นอิสระ มือข้างที่ผมเคยกอบกุมก็ฟาดลงกลางกบาลผมอย่างแรง

โอ้ย เจ็บกว่าครั้งที่แล้วอีก

“ลามปาม”

“ขอโทษครับ” ผมบอกอย่างสำนึกผิดแต่ที่จริงไม่รู้สึกหรอก ที่ยอมขอโทษนี่เพราะกลัวจะไม่มีที่ซุกหัวนอน กลัวจะไม่ได้อยู่ใกล้พี่ไปป์อีก

“กินยาแล้วก็เอาผ้าไปซัก”

พี่เจ้าของห้องใช้เท้าเขี่ยตระกร้ามาใกล้แล้วยื่นคีย์การ์ดมาตรงหน้า ผมนี่คว้าหมับเลย ต้องรีบคว้าครับ คิดว่าจะเก็บไว้ตลอดไป ยังไงก็ไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ แน่นอน

“ชั้น 7 แล้วอย่าไปเถลไถลที่ไหน คีย์การ์ดนั่นให้ยืมไม่ได้ให้เลย”

ผมพยักหน้ารับ เก็บคีย์การ์ดใส่กระเป๋าเสื้อที่อกซ้าย พี่ไปป์ครับขอโทษด้วยที่คีย์การ์ดนี้จะไม่ได้กลับไปอยู่กับพี่อีกแล้ว

“ถ้าไม่คืน รู้ใช่มั้ยว่าจะโดนอะไร” มีขู่ด้วยเว้ย ผมนี่เสียวหัวแปล้บ ต้องโดนตบอีกแน่ แต่…ยอมให้ตบนะ ไม่ยอมนอนข้างถนนนะ







กว่าจะซักผ้าเสร็จก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง อย่าดูถูกไอ้เซนะครับ ถึงแม้ว่าจะเกิดมาในตระกูลผู้รากมากดีมหาเศรษฐีเงินถุงเงินถังแต่ก็ซักผ้าเป็นนะเว้ย ถึงจะเพิ่งมาทำได้ตอนตกอับก็เถอะ งานหยาบขอให้บอก แต่รีดผ้านี่ไม่ไหวจริงๆ เคยลองทีนึง เสื้อนักศึกษาขาดเป็นรูปเตารีดเลย หลังจากนั้นถ้าไม่มีคนใจดีช่วยรีด ผมก็ใส่เสื้อผ้าทั้งยับๆ อย่างนั้นแหละ

ก็ไม่รู้นะว่าคนใจดีที่ชื่อพี่ไปป์จะช่วยอนุเคราะห์ผมรึเปล่า





[T B C]

เราหมั่นไส้เจ้าเซมาก ตอนเขียนไม่เท่าไหร่ ตอนกลับมาอ่านซ้ำนี่เบะปาก
แกแน่ใจนะว่าแกเป็นพระเอก ตอแหลมาก สำออยอีก พี่ไปป์ต้องทนนะคะ อย่าเพิ่งใจอ่อน
สำหรับท่านผู้อ่านอันน้อยนิดของเรา ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ กำลังใจมา ฮึบ!
หากไม่สะดวกเมนต์ ติดแท๊กในทวิตก็ได้ เราสิงอยู่ในนั้นแหละ
แท๊กนี้ #พี่ไปป์ครับ เพราะแท๊กชื่อเรื่องมีคนใช้ไปแล้วเด้อ
รออ่าน รักคุณ
แจ๊ส
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-11-2017 19:58:01 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ datytime

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อยากอ่านต่อแล้วครับ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
อื้อหือสงสารน้องเซเค้านะคะ
พี่ใจแข็งมากๆๆๆๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 04


พี่ไปป์ก็คือพี่ไปป์ว่ะ ใจดีเป็นบ้างครั้ง ใจร้ายเป็นบางที นิ่งฉิบหายตลอดเวลา คนอย่างนั้นไม่มีทางรีดเสื้อผ้าให้ผม นั่นแหละครับ ตลอดสัปดาห์ที่อยู่กับพี่แก ผมก็มาฝึกงานแม่งทั้งยับๆ นั่นแหละ

ส่วนคีย์การ์ด ทวงกันเข้าไปสิ ผมก็ทำเป็นหูทวนลมให้พี่แกตบกะโหลกเล่นไป บอกแล้วไงว่าไม่คืนนะ เดี๋ยวไม่มีที่ซุกหัวนอนนะ

แน่นอนว่าเวลาผ่านมาก็เป็นอาทิตย์ อาการไข้หวัดของผมก็หายเป็นปลิดทิ้ง แปลกครับ พี่ไปป์ไม่เห็นจะไล่ผมออกจากห้อง บางทีพี่แกอาจจะปลง ไล่เท่าไหร่ปลิงอย่างไอ้เซก็ยิ่งเกาะหนึบ

เอาเถอะ จะด่าผมยังไงก็ได้ขอแค่มีที่ให้ซุกหัวนอนพอ

ส่วนเรื่องฝึกงานที่แผนกละคร สงสัยช่วงนี้แม่ไม่ติดละคร นี่ฝึกมาหลายวันแล้วยังไม่เห็นคุณนายเธอโผล่หน้ามาเลย

“พี่ไปป์ กาแฟไม่หวาน ไม่ขม ไม่แดกได้แล้วครับ”

“กวนตีน” ชมกันแต่เช้า ไอ้เซก็แค่ยิ้มรับมองคนในชุดสุดเนี้ยบแล้วก็อนาถใจกับสภาพตัวเอง

ไอ้เซก็หล่อนะ แต่เสื้อผ้ายับไปหน่อย

“ไม่คิดจะรีดเสื้อบ้างเหรอ”

“รีดไม่เป็น” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ไม่ฝึกแล้วจะทำได้ไหมชาตินี้”

“เคยลองแล้ว เสื้อโบ๋เลย” คนที่กำลังจิบกาแฟสบายใจยกยิ้มขำ เขาก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะลุกขึ้น

“ถอดเสื้อมา”

“ตอนนี้เลยเหรอครับ”

“อือ เดี๋ยวสาย”

“เอาไว้ค่อยทำตอนเย็นไม่ดีกว่าเหรอพี่ไปป์”

“ไอ้เด็กนี่ ถอดเสื้อมา” ชี้หน้าผมอย่างคาดโทษแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง

สักพักก็โผล่มาพร้อมกับเตารีดและโต๊ะรีดผ้า

“ยังไม่ถอดอีก หรือจะให้ใช้ตัวคุณแทนโต๊ะรีดผ้า”

“มะ ไม่ไหวมั้งพี่ เนื้อไหม้พอดีสิ” ผมว่าเสียงสั่น มือไม้สั่นไปหมดเมื่อแกะกระดุมแล้วถอดเสื้อส่งให้คนใจดี

เหมือนพี่ไปป์จะชินกับผมที่เปลือยท่อนบนเดินร่อนไปมาในห้องแล้ว มีแต่ผมที่ไม่คุ้นชินกับพี่เขาสักที มองแล้วก็อยากจะมองอีก และภาพพี่ไปป์ในคราบแม่บ้านที่กำลังรีดผ้าอย่างคล่องแคล่วตรงหน้าผมก็โคตรน่าทึ่ง

คิดดูสิผู้ชายสมาร์ทในชุดสุดเนี้ยบกำลังยืนรีดผ้า คุณครับมันกร๊าวใจ

“พี่ไปป์รีดผ้าเก่งจุง”

“จุงอะไร ใช้ภาษาไทยให้มันถูกต้องหน่อย” หาเรื่องดุกันได้ตลอดแหละคนเรา

“ซงจุงกิไง กัปตันสามีแห่งชาติ” ผมไม่ใช่คอซีรีส์แต่ผมก็แอบปลื้มซงเฮเคียวอยู่ห่างๆ

แต่เหมือนคนที่กำลังรีดผ้าจะไม่รู้จักดาราเกาหลีซักคน อย่าว่างั้นงี้ บางทีแม้แต่ดาราไทยพี่แกก็อาจจะไม่รู้จัก

“พี่ไปป์รู้จักฌอห์ณ จินดาโชติป่ะ”

ถามก็ไม่ตอบ นอกจากไม่สนใจผมแล้วยังวางเตารีดแล้วล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกง กดอยู่สักพักก็เอาแนบหู ผมมุ่นคิ้วมองเขา สงสัยว่า…เสื้อผมล่ะ รีดเสร็จยัง

“ว่าไงฌอห์ณ”

จ๊ะ ที่กดมือถือเมื่อกี้คือโทรหาคุณสามีแห่งชาติงี้เหรอ มุกป่ะครับพี่

“พี่ไปป์ เสื้อเซ”

“รีบแต่งตัวสิ สายแล้ว” มีการเอามือปิดสปีคเกอร์ตอนหันมาคุยกับผมด้วย

ตกลงพี่สนิทกับฌอห์ณจริงดิ







ผมขึ้นมาที่แผนกละครอย่างเคย ช่วงนี้กำลังสนุกกับการตัดต่อละคร ระหว่างช่วยพี่เขาดูก็นึกถึงแม่นะ เมื่อไหร่จะมาให้ไอ้เซขอตังค์สักที

“สิทธา” คิดถึงแม่ แม่ก็มา หันขวับไปที่ประตูก็เห็นคุณนายยืนคล้องกระเป๋าคอเลคชั่นใหม่ไว้ที่แขน ไฮโซสุดชีวิตไปอีก

“แม่” ผมนี่แทบจะโผเข้าไปกอด แต่ก็ยั้งตัวเองไว้เพราะไม่ได้อยู่กันลำพัง

“วันนี้แต่งตังเนี้ยบจังเจ้าลูกชาย รีดผ้าเองเหรอ” แม่ก็ประเมินเซสูงไป

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เลี่ยงคุยเรื่องรีดผ้าไปเพราะไม่ใช่สาระสำคัญ

เมื่อบทสนทนาระหว่างแม่ลูกเริ่มขึ้นคนเป็นส่วนเกินจึงขอตัวออกจากห้องไป

“ตัดต่อเสร็จรึยัง” เก้าอี้ที่เคยเป็นของพี่เจ้าหน้าที่ตัดต่อถูกคุณนายนั่งแทนที่

“อีกนิดหน่อยครับ”

คุณแม่พยักหน้าน้อยๆ ตามประสาคนหยิ่ง บุคลิกภายนอกคุณนายชมนาศโคตรหยิ่ง โคตรไฮโซนะครับจะบอก แต่เนื้อในน่ะหยิ่งกว่าที่แสดงออกเยอะ

“ไงเรา ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่อง” ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้าง “เปิดให้ดูหน่อย”

“พ่อโกรธเซ” พูดถึงพ่อแล้วก็เครียด มือก็เอื้อมไปคลิกเมาส์เปิดละครที่ยังตัดต่อไม่เสร็จให้คุณนายดู

“เขาหายโกรธตั้งนานแล้วย่ะ รอแต่เธอเข้าไปคุย”

“ไม่อะ เซจะพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเซใช้ชีวิตได้”

“ใช้ได้ยังไง ใช้ได้ด้วยการไปอาศัยนอนบ้านคนนั้นทีคนนี้ทีเนี่ยนะ เกรงใจคนอื่นบ้างเถอะสิทธา”

“คนที่เซอยู่ด้วยเขายังไม่ว่าอะไรเลย”

“ไม่ว่าก็ไม่ได้แปลว่าไม่คิด”

“เอาไว้เขาไล่ก่อนละกัน”

“เซทำไมดื้อแบบนี้” คุณนายชมนาศจิ๊ปากมองบนอย่างเพลียใจ

“เอาน่าแม่ เซกำลังสนุก แล้วที่บอกว่าพ่อหายโกรธแล้วเนี่ยจริงเหรอครับ”

“จริงสิ เขาฝากบัตรเครดิตมาคืนด้วย”

“เจ๋งอะ” กำลังยื่นมือไปรับแต่แม่กลับชักบัตรคืน

“ถ้าใช้ชีวิตเองได้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตของพ่อน่ะสิ” โหยแม่อะ

“เก็บไว้ยามฉุกเฉินไงแม่”

“เด็กหนอเด็ก” ถ้าแม่ยอมให้บัตรเครดิต เซยอมเป็นเด็กก็ได้ถึงแม้ปีนี้อายุย่าง 22 แล้วก็ตาม

กว่าแม่จะกลับก็ตอนที่ละครจบลงแล้ว

ไม่คิดเหมือนกันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้นั่งดูละครกับแม่ในห้องตัดต่อ

“แล้วก็รีบกลับไปง้อพ่อล่ะ” ก่อนจะขึ้นรถคันหรูยังไม่ลืมหันมาออกคำสั่ง

“ไหนบอกว่าไม่โกรธแล้วไง เอาน่าแม่เดี๋ยวถ้าเซอยากกลับเซก็กลับเองแหละ”

“คุณปกรณ์”

พะ พี่ไปป์ พี่ไปป์จริงเหรอวะ พอเอี้ยวตัวไปมองก็ใช่อย่างที่คิดจริงๆ เจ้าของร่างสมส่วนกำลังเดินตรงมาทางนี้ เขาต้องเห็นผมแล้วแน่ๆ ต้องทำยังไง แล้วนี่ผมจะกระวนกระวายทำไมวะ บางทีพี่แกอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ว่าผมเป็นใคร

“คุณแม่จะกลับแล้วเหรอครับ” เขายกมือไหว้ เรียกแม่ผมว่าคุณแม่อย่างไม่กระดากปากด้วย ดูท่าทางสนิทสนมกันมากทีเดียว ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยวะ

“แล้วนี่ไปป์กินอะไรรึยังลูก”

“ยังครับ นี่ว่าจะมารับน้องไปกินข้าวด้วยกัน คุณแม่ไปด้วยกันมั้ยครับ”

“แม่มีนัดกับสาวๆ ที่สมาคมแล้วน่ะสิ เอาไว้คราวหน้าแล้วกันเนอะ”

“เดินทางปลอดภัยครับคุณแม่”

“สวัสดีครับคุณนาย” ผมยกมือไหว้ ภาวนาในใจให้คุณนายชมนาศรีบขึ้นรถไปซักทีก่อนที่พี่ไปป์จะหันมาจับผิดกัน และโทรศัพท์มือถือในมือคุณนายก็ดังขึ้นช่วยชีวิต

รถยนต์คันหรูวิ่งออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความกังวลใจที่หนักอึ้งอยู่ภายในกายผม

ค่อยๆ หันมองพี่ไปป์ก็พบว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว

ถามเรื่องคุณนายชมนาศแน่เลยว่ะ ทำไงดี ทั้งที่คิดว่าพี่เขาอาจจะรู้เรื่องของผมบ้างแล้วแต่มันก็อดหวังให้เขาไม่รู้ไม่ได้เลย

“พี่ไปป์รู้ได้ไงว่าเซอยู่นี่”

“ไปที่แผนกมา เขาบอกว่าคุณออกมาส่งคุณชมนาศ”

“แค่นั้นเหรอครับ”

“แล้วต้องแค่ไหนล่ะถึงจะพอใจ” ผมไม่ค่อยชอบเวลาพี่ไปป์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เพราะผมเดาไม่ออกว่าพี่แกกำลังคิดอะไร

“พี่ไปป์บอกว่ามาชวนเซไปกินข้าว อยากกินอะไรครับเดี๋ยวเซเลี้ยง”

“ไหนบอกไม่มีตังค์”

“ก็มีไม่เยอะ แต่เลี้ยงพี่ไปป์ได้”

“ไม่ต้องมาโชว์ป๋าแค่ตามมาก็พอ”

บทสนทนาของเราจบลงเพียงเท่านั้นก่อนพี่ไปป์จะเดินนำไปยังลานจอดรถ รถยนต์คันสวยของเขาจอดอยู่ตรงหน้าและผมก็ไม่อิดออดที่จะตามเขาเข้าไปข้างๆ คาดเบลท์เสร็จสรรพแบบที่อีกฝ่ายไม่ต้องออกคำสั่งเลย

“เราจะออกไปกินข้าวข้างนอกกกันเหรอครับ”

“กินข้าวเสร็จแล้วไปประชุมต่อ”

“แบบนี้ พี่ไปป์ไม่เสียเวลากลับมาส่งเซเหรอ”

“ทำไมต้องกลับมาส่ง”

“อ้าวก็บอกว่ามีประชุม”

“ก็ถูกที่บอกว่ามีประชุมแต่ผมบอกตอนไหนว่าผมแค่คนเดียว”

“แล้วพี่ไปป์บอกตอนไหนว่าเซต้องเข้าประชุมด้วย”

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องชวนคุณออกมากินข้าวข้างนอกด้วยกัน”

“ก็เซคิดว่าพี่ไปป์ก็รู้สึกดีกับเซเหมือนกัน” เหมือนกัน คำนี้น่ะเหมือนผมบอกพี่ไปป์เป็นนัยๆ เลยว่ะว่าผมรู้สึกดีกับเขา และความเงียบของเขาก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดหัวใจเข้าไปอีก

“ผมไม่ใช่คนใจดีอย่างที่คุณคิดหรอกนะสิทธา”

“ยอมรับครับว่าบางครั้งผมก็คิดว่าพี่ใจดี แต่ส่วนมากพี่แม่งโคตรนิ่ง นิ่งจนคนอื่นเขามองว่าหยิ่ง รู้ตัวบ้างป่ะครับ”

“แล้วไง ใครแคร์” ถ้าจีบปากจีบคอพูดเหมือนใหม่ดาวิกาในไดอารีตุ๊ดชี่ส์นี่ฮาแตกเลยนะ แต่พี่ไปป์ก็คือพี่ไปป์ครับ อย่าหวังให้พี่แกแสดงอารมณ์ใดๆ เลย

เราแวะกินสเต๊กกันที่ห้าง ลองสังเกตมาตั้งแต่ครั้งที่ไปกินบุพเฟต์ด้วยกันแล้ว พี่ไปป์กินโคตรเก่ง กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินเหมือนปอบลง กินอย่างกับอดข้าวมาทั้งสัปดาห์

“อันนี้ไม่กินเหรอ”

“เซไม่ชอบกินเฟรนฟราย พี่ไปป์เอาไปเถอะครับ”

เห็นหรอกว่าดวงตาพี่วิบวับเป็นประกายตอนมองของกินในจานของผมแต่ก็ไม่ยอมจิ้มเฟรนฟรายไปซักที

“เกรงใจทำไมครับ พี่ไปป์จ่ายไม่ใช่เหรอ”

“เออว่ะ” เท่านั้นแหละจึงยอมใช้ส้อมจิ้มเฟรนฟรายจากจานของผมเข้าปาก

มองพี่ไปป์กินแล้วโคตรเพลินครับ คนอะไรอร๊อยอร่อย

“มองอะไร” เมื่อหันมาสบตาก็ถามทั้งที่ปากก็เคี้ยวของกินหมับๆ

“น่าอร่อยนะครับ”

“ก็กินสิ”

“กินได้เหรอครับ”

“ซื้อมาแล้วก็ต้องกินได้สิ”

“แต่ถ้าเป็นเซไม่ต้องซื้อก็กินได้ครับ อร่อยนะพี่ไปป์ก็น่าจะรู้”

“ไม่รู้ ไม่อยากรู้ด้วย”

“เขินเหรอครับ”

พี่ไปป์ตอบคำถามของผมด้วยการวางส้อมแล้วลุกขึ้นเดินไปเช็คบิล ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะครับพี่







พี่ไปป์เวอร์ชั่นปกติว่านิ่งแล้ว ยังน้อยกว่าเวอร์ชั่นเคร่งเครียดในห้องประชุม ไม่รู้ว่าที่ขนลุกซู่นี่เพราะแอร์หรือเพราะความเยือกเย็นของพี่ปกรณ์กันแน่

“ผมชอบไอเดีย แต่ยังมีหลายจุดที่ยังไม่เคลียร์”

“คุณปกรณ์อยากให้เราปรับตรงไหน แจ้งเราได้เลยนะครับ”

“เอาไว้คุณพร้อมแล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่”

ถ้าพี่จะแสยะยิ้มไม่จริงใจแบบนี้สู้เดินออกจากห้องประชุมมาเฉยๆ ไม่ดีกว่าเหรอ

“คิดว่าไง”

“ครับ” ผมก็งงสิ อยู่ๆ ก็ถามไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“รายการเมื่อกี้คุณชอบหรือเปล่า”

“อย่างที่พี่ไปป์บอกตอนท้ายครับ ผมชอบไอเดียแต่ไม่ชอบวิธีการนำเสนอ”

“แล้วต้องทำแบบไหนถึงจะชอบ”

“ไม่ต้องทำอะไรก็ชอบครับ อยู่เฉยๆ ก็ชอบ”

“หมายถึงรายการหรือหมายถึงผม”

“หมายถึงพี่ไปป์”

“ไปคิดมาว่าทำยังไงผมถึงจะชอบ”

“หมายถึงเซหรือหมายถึงรายการครับ”

เขินอ่ะเด้ พอได้ยินคำถามก็เดินหนีไปเลย หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอกพี่ ยังไงก็ต้องเจอกันบนรถอยู่แล้ว

“เซช่วยขับมั้ย พี่ไปป์ดูเหนื่อยนะ”

“มีใบขับขี่เหรอ”

“ดูถูก”

“เอามาดูสิ” พอพี่ไปป์แบมือขอผมก็รีบควักกระเป๋าสตางค์ออกมาเลย แต่เดี๋ยวนะ เมื่อจะหยิบใบขับขี่ออกมาก็นึกได้ว่าในนั้นมีทั้งชื่อจริงนามสกุลจริงของผมเลยนี่หว่า

แล้วมึงจะกลัวอะไรเซ เขาเป็นพี่เลี้ยงมึงเขาก็ต้องรู้ชื่อนามสกุลอยู่แล้วมั้ย

“นี่ครับ”

พี่ไปป์แค่มองปราดเดียวแล้วคืนพร้อมกับกุญแจรถยนต์

และไม่ลืมย้ำ “ขับดีๆ ล่ะ รถยังผ่อนไม่หมด”

“พี่ไปป์รักรถมากมั้ยครับ”

“รักสิ”

“แล้วเมื่อไหร่จะรักเซครับ”

“ถึงบ้านแล้วปลุกด้วยนะ”

อยากจะคุยกันต่อซักหน่อยแต่เจ้าของรถกลับคาดเบลท์ ปรับเบาะแล้วชิงหลับไปเฉยเลย เขินก็แสดงออกมาครับพี่ไปป์ ไม่ใช่ชิงหลับเดี๋ยวก็จับจูบซะนี่







“พี่ไปป์ตรงนี้ใช้คำนี้ดีมั้ยอะ”

หลังมื้อค่ำ พี่ไปป์ขอดูรายงานแต่ไอ้เซไม่มีให้ดู ตอนนี้เราจึงนั่งจับเจ่าอยู่บนโซฟาตรงหน้าคือโน้ตบุ๊กที่ผมแม่งโคตรเกลียดมันเลยตอนนี้

“โอเคแล้ว”

“โอเคยังไง พี่ไปป์ยังไม่ได้หันมาดูด้วยซ้ำ”

“ไปใส่เสื้อผ้าเถอะ อุจาดตา”

“หวั่นไหวเหรอ”

ส่งนิ้วกลางให้กันเฉย เซผิดอะไรอะ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ถือว่าดีขึ้นมากแล้วนะ เมื่อก่อนตอนนอนไม่เคยใส่เสื้อผ้าหรอก อึดอัดจะตาย

“พี่ไปป์หยิบเสื้อให้หน่อยสิถ้างั้น”

“เป็นขี้ข้าเหรอ” ทำไมต้องโมโหด้วย ตัวเองอยากให้เขาใส่ก็ต้องหยิบมาให้เซ่

“อยากให้เป็นแฟน”

คนที่ผมอยากได้เป็นแฟนชะงักไป ปกติพี่ไปป์ต้องเดินหนีหรือไม่ก็ชิงหลับแต่ครั้งนี้คนที่ควรจะทำอย่างนั้นกลับขยับมามองหน้ากันตรงๆ

ผลั๊วะ!!

โบกหัวไอ้เซอีกแล้วง่ะ โคตรเจ็บ สมองบวมแล้วมั้งป่านนี้

“ถ้าเซเป็นอะไรขึ้นมาพี่ไปป์รับผิดชอบป่ะ”

“เอาไว้เป็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ว่าพี่ไปป์ไม่รับผิดชอบแน่ๆ น่ะสิ โฮ่ ไม่คุ้มเลย โดนตบเช้าตบเย็นแบบนี้แม้แต่ปลายนิ้วยังไม่ได้สัมผัส

“ตอนเรียนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารได้เกรดอะไร” อยู่ๆ ก็ถาม ใครจะไปจำได้

“ซีมั้งครับ” จำได้ว่าเรียนตัวนี้ตอนปี 1 แต่ปีนั้นกิจกรรมโคตรหนัก เกรดก็น่าจะราวๆ นี้แหละ

“อาจารย์ใจดีเนอะ ใช้ภาษาแบบนี้น่าจะติดเอฟ” ใจร้ายโคตร

“เซต้องประกวดเดือน ไหนจะต้องแข่งบอลอีก กิจกรรมโคตรเยอะ”

“แบ่งเวลาไม่เป็น” ขี้บ่นมากอะ ปากก็บ่นนะครับ แต่นิ้วนี่เคาะคีย์บอร์ดรัวเลย

“พี่ไปป์พิมพ์เก่ง”

“ไม่ต้องมาชม ดูนี่เป็นตัวอย่างแล้วทำงานของตัวเองไป”

“พี่ไปป์เมื่อไหร่จะได้นอนบนเตียงบ้างอะ นี่นอนโซฟาจนตัวจะหดแล้ว” ผมตัวสูงไง โซฟาตัวที่ยาวที่สุดในห้องก็ยังสั้นกว่าตัวผม ทิ้งตัวลงนอนทีขาชี้เด่ออกไปโน่น

“ไม่มีทาง”

“โห่”

“ถ้าไม่พอใจก็ไปนอนที่อื่น”

แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เพลงเก่าไปอีก แต่ก็ไม่มีทางเลือก ไอ้เซนอนโซฟาก็ได้

มองแผ่นหลังพี่ไปป์ที่เดินหายเข้าไปในห้องนอนแล้วจึงก้มหน้าพิมพ์รายงานต่อ ไล่สายตามองหน้าเวิร์ดแล้วก็อนาถใจ ส่วนที่พี่ไปป์พิมพ์ไกด์ไว้ให้โคตรดี ส่วนของไอ้เซน่ะเหรอ หยำเปสุดตีน

นาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาตีหนึ่งแล้ว ผมปิดโน้ตบุ๊กกำลังจะทิ้งตัวลงนอนหากเสียงเปิดประตูห้องนอนและเสียงคุยโทรศัพท์กลับดังขึ้นให้ได้ยินซะก่อน

“เชี่ยกริช ไอ้สันขวานอยากแดกแต่เสือกดูแลตัวเองไม่ได้ ไอ้ควายเผือก”

ครั้งแรกเลยที่ได้ยินพี่ไปป์ด่าหยาบ

“พี่ไปป์จะไปไหน”

“นอนไปเถอะ”

“ไปข้างนอกเหรอครับ ดึกแล้วนะ”

“ไปรับเพื่อน”

“เซไปด้วย”

“ไม่”

“เดี๋ยวเซขับรถให้” ผมคว้าแขนพี่ไปป์เอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็ควานเอาเสื้อผ้าที่พาดไว้แถวๆ นั้นมาสวม แต่ทำงานมือเดียวนี่โคตรลำบากเลย

“เมื่อไหร่จะเสร็จ ปล่อยมือแล้วรีบใส่เสื้อผ้า”

“เดี๋ยวพี่ไปป์ไม่รอ”

“รอ”

“แต่ว่า…”

“บอกว่ารอก็รอสิ” ทำไมต้องหงุดหงิดใส่กันด้วย

ผมสวมเสื้อผ้าลวกๆ กลัวพี่ไปป์จะโกรธแล้วไม่รอและเมื่อผมสวมเสื้อเสร็จปุ๊บพี่เจ้าของห้องก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปเลย

รีบอะไรขนาดนั้น ไอ้เซยังงัวเงียอยู่เดี๋ยววิ่งไม่ทัน

ก็คิดนะว่าถ้าพี่ไปป์ขับรถพุ่งออกจากลานจอดรถที่ชั้น 7 ได้พี่แกก็คงทำ ใจเย็นๆ พี่ ทางลงมันโค้ง ถ้าแหกขึ้นมาไปหาพี่กริชไม่ได้นะเว้ย

“พี่ไปป์ใจเย็นดิ ห่วงเพื่อนก็ดีครับแต่ห่วงตัวเองด้วย” เอื้อมมือไปแตะแขนให้เข็มไมล์ค่อยๆ ถอยลงมาในระดับที่คนปกติเขาขับกัน

แต่ก็ขับในระดับปกติได้ไม่นานเข็มไมล์ก็พุ่งอีก อะ เอาที่พี่สบายเถอะ

แม้จะดึกแล้ว มองนาฬิกาก็พบว่ากำลังจะตี 2 เวลานี้แหล่งเที่ยวกลางคืนยังคงคลาคล่ำไปด้วยรถและผู้คนส่งผลให้รถเคลื่อนที่ได้เพียงทีละนิด รถติดสัดครับ แค่แท็กซี่ก็จอดกินถนนไปเลนนึงแล้ว

และสิ่งที่ประสบก็ทำให้เจ้าของรถหงุดหงิดอีกครั้ง พี่ไปป์ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมต้องยื่นมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ

“ใจเย็นพี่”

“ก็ไม่ได้ใจร้อน”

“โอเค ไม่ร้อนก็ไม่ร้อน”

“ไอ้กริชน่ะเมาแล้วแม่งหมา ทั้งปากทั้งนิสัย ไม่รู้ว่าป่านนี้อ้อนตีนใครเค้าไปบ้างแล้ว” อ๋อ ที่ห่วงเพราะแบบนี้นี่เอง แล้วถ้าผมเมาบ้างพี่ไปป์จะห่วงแบบนี้ไหมวะ

“แล้วพี่ไปป์ล่ะเวลาเมาเป็นไง”

“ไม่รู้ดิ”

“ไม่รู้หรือไม่อยากบอก”

“ก็ไม่จำเป็นต้องบอกมั้ย”

“ไอ้ยอดเคยเล่าให้ฟัง;jkตอนเมาเซน่ารัก แต่จริงๆ แล้วเวลาไม่เมาเซก็น่ารักนะ”

คนข้างๆ ส่งเสียงหึในลำคอ ยกยิ้มตรงมุมปากนิดๆ อย่างที่ชอบทำ

“เซจำได้แล้ว” อยู่ๆ เรื่องคืนนั้นของเราก็แวบเข้ามาในหัว “ตอนพี่ไปป์g,kน่ะชอบหลับแล้วก็ชอบกอดด้วย”

“เอาอะไรมาพูด มั่วป่ะ”

“พี่ไปป์จำไม่ได้จริงดิ คืนนั้นของเรา”

“ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำ”

“ลืมไปว่าพี่ไปป์จำไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วตอนพี่ไปป์เมาอะโคตรน่ารัก เดี๋ยวขอให้กอด เดี๋ยวขอให้จูบ น่ารักสุดๆ” เพ้อว่ะ คิดถึงพี่ไปป์คนนั้นจังเลย

“เอาแต่ชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารักไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

“แล้วพี่ไปป์ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอครับ”

“เฉยๆ”

“จริงดิ แล้วหน้าแดงนี่คือร้อนเหรอครับ”

“ไม่เมาก็อ้อนตีนนะเราน่ะ”

จริงๆ แล้วหน้าแดงอาจจะเพราะโกรธ แต่คงไม่หรอกมั้ง น้ำเสียงพี่ไปป์ไม่ได้เกรี้ยวกราดเท่าไหร่

กว่าจะฝ่าดงรถติดมาถึงหน้าร้าน กว่าจะหาที่จอดรถได้เวลาก็ผ่านไปจนเกือบจะตี 3 ดีหน่อยที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดไม่งั้นไอ้เซตาย

ที่พี่ไปป์บอกว่าพี่กริชเมาแล้วหมาผมว่าแม่งโคตรใช่ เพราะแค่เปิดประตูรถลงไปก็เห็นว่าพี่แกกำลังจะมีเรื่องกัดกับหมาตัวอื่นแล้ว

“ไอ้กริช ไอ้เพื่อนเวร”

โดนตบกบาลป้าบเข้าให้ เป็นผมถ้าเจอขนาดนี้มีสร่างเมาอะครับ แต่ไม่ใช่พี่กริชคนที่ทำเพียงปรือตามองเพื่อนแล้วยกมือขึ้นมากระชากคอเสื้อ

ผมเองก็งง คนที่เหมือนกำลังจะมีเรื่องกับพี่คนเมาเมื่อครู่ก็งง ไรวะ อยู่ๆ จะตีเพื่อนตัวเองหรือไง

“มึงมีปัญหาไรกับกูไอ้ไปป์ ตบเข้าไปสิกบาลกูเนี่ย ตบเข้าไป”

“กลับบ้านเหอะมึง เซมาช่วยกันหน่อย”

“มึงหลอกกู ไหนบอกว่าเลิกก่อนเจ็บน้อยกว่าไงสัด ทำไมกูยังเจ็บวะ เจ็บเหี้ยๆ เลยอ่ะ ฮือออ~~”

ซีนดราม่าก็มา ผมก็ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ต่างกับคนเป็นเพื่อนกันที่ถึงแม้ไม่พูดคำใดแต่ก็ลูบหลัง ลูบหัวปลอบใจกันจนเสียงสะอื้นค่อยๆ เบาลง

“ขับรถให้หน่อยได้มั้ย”

ผมรับกุญแจรถมาด้วยความเต็มอกเต็มใจก่อนเข้าไปช่วยกันหิ้วปีกพี่กริชไปยังรถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มาก

จัดการโยนพี่แกไว้ที่เบาะหลังแล้วพากันบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย พี่กริชตัวโตกว่าผมอีก ขนาดผมที่ตัวสูงใหญ่กว่ายังเจ็บหลังแล้วคนตัวเล็กกว่าล่ะ

คิดแล้วจึงมองไปยังคนข้างกาย สายตาพี่ไปป์ยามมองพี่กริชอ่ะบอกชัดเจนเลยว่าโคตรห่วง

“ขึ้นรถเถอะพี่ไปป์”

“ไงไปป์ไม่เจอกันนาน ดูมีความสุขดีเนอะ” กำลังจะก้าวไปขึ้นรถตอีกฝั่งแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีกลุ่มคนที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่เข้ามาทักทาย

“ถ้าเมาแล้วก็กลับบ้านไปอย่ามาหาเรื่องกู” คนที่เหมือนจะไม่สู้ใครว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบตามสไตล์แต่ทั้งหมดนั้นก็แฝงด้วยความหงุดหงิดอย่างที่ผมเองก็สัมผัสได้

“ถ้าได้ไปป์ซักทีแล้วพี่จะกลับบ้านไปนอนหลับฝันดีเลย”

“ไม่ต้องรอกลับไปนอนหลับที่บ้านหรอกมั้งปากอย่างมึงอะ” ผมก้าวเข้าไปแล้วจับแขนพี่ไปป์ให้ขยับมาหลบข้างหลังผมอย่างที่เจ้าตัวเองก็ทำตามง่ายๆ

“ไอ้หน้าอ่อนนี่ใคร เด็กใหม่เหรอ ทิ้งเพื่อนกูไปแล้วหาใหม่ได้ดีแค่นี้เหรอ ถุย!” คนพูดถุยน้ำลายลงพื้นอย่างหยาบคายดูอย่างไรก็เหมือนพวกไร้การศึกษา

พี่ไปป์ไม่ได้แสดงออกอะไรมาก แค่เม้มปากแน่นแต่ผมที่ยืนชิดก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังตัวสั่น

“นี่ไปอ่อยเด็กมันท่าไหนล่ะถึงได้มา”

“มึงหุบปากไปเลยนะ” ผมชี้หน้า จะปราดเข้าไปต่อยมันอยู่แล้วแต่ก็ถูกคนข้างหลังยื้อเอาไว้

“ช่างมัน อย่าแลก”

“แต่มันดูถูกพี่นะเว้ย”

“ช่างเถอะ คนเมา”

“แต่…” ผลั๊ว!! ยังพูดไม่จบผมก็เห็นดาว ฉิบหาย ไอ้สันขวาน แม่งลอบกัด ว่าจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่ไปป์แล้วแต่งแม่งต่อยผมก่อน อย่างนี้ผมไม่ยอมแน่ มึงรู้มั้ยกูลูกใคร

“เซ ไม่”

ผมสะบัดแขนแต่พี่ไปป์จับแน่นมาก เล็บสั้นกุดนั้นจิกเข้าไปในผิวของผมเลย แต่ไม่เจ็บเพราะเจ็บใจมากกว่า

อยากต่อยมันให้สาสมกับที่มันดูถูกพี่ไปป์

“แน่จริงมึงก็เข้ามา” อ้อนอยากได้กูก็จัดให้

เมื่อพี่ไปป์ไม่ยอมปล่อย ผมก็เริ่มดิ้น ยกเท้าจะเตะมันแต่ก็ไม่ถึง เพราะมันเอาแต่ถอยหนีตลอดทั้งที่คำพูดยังอ้อนอยากได้ตีน

“ผัวใหม่มึงโคตรอ่อน” มันยังอ้อนไม่เลิก และอยู่ๆ พี่ไปป์ก็ปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระ

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

พี่ไปป์ก้าวอาดๆ เข้าไปต่อยให้ปากมอมจนมันหน้าหงาย ต่อยเสร็จไม่พูดไม่จาคว้าแขนผมยัดใส่รถ ส่วนเจ้าตัวก็เข้าประจำตำแหน่งคนขับ รถพุ่งออกมาด้วยความเร็ว ทั้งห้องโดยสารมีเพียงเสียงสะอื้นของพี่กริช

พี่ไปป์โหมดนี้โคตรน่ากลัว ผมแม่งไม่รู้จะทำตัวยังไงเลย





[T B C]

ขอบคุณคอมเมนท์ รัก
ถ้าไม่สะดวกคอมเมนท์ในเล้าเชิญที่ #พี่ไปป์ครับ ในทวิตเด้อ

จะว่าไปก็สงสารน้องเซเขานะคะ หยอดไปเท่าไหร่พี่เขาก็นิ่งใส่ตลอด
แล้วนี่มีพัฒนามาตบหัวอีก ตายแน่ไอ้เซ 555
เท่าที่เขียนมา ความสัมพันธ์ของคู่นี้ก้าวช้าสุดแล้ว แต่อย่าเพิ่งเบื่อเซไปป์นะ
อยู่ด้วยกันก่อน
ฉันกำลังขอร้องอ้อนวอนเธออย่าไป ทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาเธอเอาไว้
 :sad4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-11-2017 20:43:06 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
เอาล่ะ ได้นิยายสนุกๆอ่านอีกเรื่องแล้วสิ

ว่าแต่ พี่ไปป์ก็โคตรน่ากลัวจริงๆแหละ แถมขับรถน่าหวาดเสียวสุดๆอีกต่างหาก

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 05


เตียงนอนเพียงหลังเดียวในห้องถูกคนเมายึดไปแล้ว

หลังจากจัดระเบียบร่างกายให้เพื่อนสนิท เจ้าของห้องก็ย้ายตัวเองมานั่งข้างผมบนโซฟาหน้าทีวี สีหน้าเขายังเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เดาไม่ออกว่าพี่ไปป์กำลังคิดอะไรอยู่

“เจ็บมั้ย” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนโยนกว่าครั้งไหน ดวงตาวูบไหวที่มองมาทำเอาร่างกายผมชาวาบ ยกมือขึ้นสัมผัสมุมปากแล้วพยักหน้า

ไม่ได้เจ็บมาก แต่ถ้าพี่ไปป์เป็นห่วง ผมเพิ่มความสำออยเข้าไปอีกหน่อยก็ได้

“ขอโทษนะ อยู่ๆ ก็ต้องมาเจ็บตัว”

“ไกลหัวใจครับ”

“ปากเก่ง”

“ช่าย เซแค่ปากเก่งไปงั้นแหละ จริงๆ แล้วโคตรเจ็บเลย” พี่ไปป์ส่ายหน้าหน่าย รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากก่อนเจ้าตัวจะผละออกไป

ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผล

“ล้างแผลหน่อย”

“แสบแน่เลย”

“กลัวเหรอ”

ผมส่ายหน้าดิก ไม่กลัว แต่ไม่ชอบ

พี่ไปป์หัวเราะหึแล้วจัดการเทแอลกอฮอล์ใส่สำลี ผมเบือนหน้าหนีในตอนที่สำลีชุ่มๆ กำลังสัมผัสแผล พี่ไปป์ว่าผมดื้อแล้วจับคางบังคับให้หันมา

แววตาอ่อนโยนทำผมเคลิ้ม ยอมนิ่งให้เขาล้างแผลแต่โดยดี มันแสบแต่ผมไม่ร้องสักแอะ ไอ้เซแมนๆ ไม่ร้องหรอก

ผมยังวางสายตาไว้บนใบหน้าพี่ไปป์ ดวงตากลมมองผมอย่างอ่อนโยนซ่อนความเศร้าหม่นเอาไว้ลึกๆ เข้ากับจมูกรั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรงเมื่อพยายามล้างแผลให้ผมด้วยสัมผัสแผ่วเบา

มองผิวเผินพี่ไปป์เป็นผู้ชายที่หล่อผสมน่ารัก คิดว่าถ้ายิ้มน่าจะน่ารักได้กว่านี้ แต่เสียดายที่เจ้าตัวเอาแต่ปั้นหน้านิ่ง

สัมผัสชื้นจากสำลีก้อนเล็กห่างหายไป เจ้าของมือเรียวเลื่อนสายตามาสบกับผม ลูกแก้วสีดำสนิทสั่นไหววูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะหลบตา

ผมคว้ามือเขาเอาไว้ ยกมือข้างนึงขึ้นสัมผัสแก้มเนียน พี่ไปป์นิ่ง บรรยากาศสลัวๆ จากโคมไฟเป็นใจให้ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปหา ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดกันผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างเรา

เราอยู่ใกล้กันมากแต่เสียดายที่ไอ้เซไม่มีสิทธิสัมผัส

พี่ไปป์ถอนสายตาก่อนแล้วผละออกไป เขานั่งตัวตรงจับจ้องไปยังทีวีซึ่งหน้าจอดับสนิทปราศจากร่องรอยการใช้งาน มือทั้งสองข้างประสานกันแน่น ริมฝีปากที่ผมเกือบจะได้สัมผัสขยับเปล่งคำพูดเป็นเสียงแผ่วเบา

“นอนเถอะ”

“แล้วพี่ไปป์จะนอนตรงไหน” ผมเองก็ทำตัวไม่ถูก จับจ้องไปที่เดียวกัน มองเขาผ่านภาพสะท้อนไม่ชัดเจนนั้น

“แถวนี้แหละ” บรรยากาศตึงเครียด ผมมองพี่ไปป์ซึ่งเดินหายเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อมชุดเครื่องนอน ชั่งใจอยู่ว่าควรพูดอะไรดีไหม

“มีอะไรหรือเปล่า เห็นมองตั้งนานแล้ว”

“เปล่าครับ”

“เขาเป็นเพื่อนแฟนเก่าผม ที่จริงเรื่องมันก็จบไปตั้งนานแล้วแต่เจอกันทีไรก็ชอบเข้ามาหาเรื่องกันทุกที เพราะแบบนี้ถึงไม่ค่อยอยากไปเที่ยวที่แบบนั้น”

“กับแฟน จบกันไม่ดีเหรอครับ”

“ไม่ค่อยดี”

“พี่ไปป์โอเคมั้ย ความรู้สึกพี่ตอนนี้ ถ้าไม่สบายใจเล่าให้เซฟังได้นะ”

“ไม่เป็นไร เซ...” เสียงพี่ไปป์จริงจังขึ้นมา เขาเม้มปากแล้วคลายออกเหมือนกำลังชั่งใจ ผมจึงยื่นมือไปบีบไหล่ “นอนเถอะ”

ไฟทั้งห้องถูกปิดลง พี่ไปป์นอนอยู่ใกล้แค่นี้ แผ่นหลังในเสื้อยืดยังคงสงบนิ่ง แต่ในใจคงไม่สงบเท่าไหร่ ถึงแม้ท่าทางพี่ไปป์จะไม่เปลี่ยนไปจากปกติแต่เขาไม่ปกติหรอก

“พี่ไปป์หลับแล้วเหรอ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นอนอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเขายังไม่หลับแต่ก็ไม่กล้าชวนคุย ทำได้เพียงยื่นมือไปจับมือกันไว้ในความมืด

พี่ไปป์ไม่ได้ขัดอะไร ไม่ได้จับมือผมตอบ เขาเพียงสงบนิ่ง แม่ง ผมโคตรเกลียดความสงบตอนนี้เลยว่ะ







เสียงฝีเท้าดังขึ้นในห้อง เป็นเสียงหนักๆ ที่ไม่คุ้นเคย ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้สนใจ วงแขนแกร่งยังคงกระชับกอดคนข้างกายเอาไว้แนบอก

ผมซุกปลายจมูกลงบนเส้นผมนุ่ม หอม ชื่นใจ

“ไอ้ไปป์” คนในอ้อมกอดขยับตัวให้ผมคลายวงแขนออก

ได้ยินเสียงเขาครางฮึมฮัมในลำคอ ผมไม่เปิดเปลือกตาขึ้นมา อยากจดจำสัมผัสนี้เอาไว้ด้วยร่างกาย

“จะทำอะไรกันก็ค่อยทำตอนอยู่กันสองคนไม่ได้เหรอวะ” เสียงนั้นดังอยู่บนหัว เมื่อหรี่ตามองก็พบว่าพี่กริชนั่งยองๆ อยู่บนหัวเรา แม่ง เหม็นตีน

“ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมา อย่ามาเนียน”

เพราะเสียงพี่ไปป์ดังอู้อี้ตรงอก ผมจึงหรี่ตาข้างหนึ่งขึ้น คนถูกกอดกำลังช้อนตามองกัน น่ารักเหี้ยๆ อยากจับกดให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถึงกระนั้นผมก็ทำได้เพียงหัวเราะเก้อๆ ปล่อยพี่เจ้าของห้องให้เป็นอิสระแล้วกระโดดผลุงขึ้นไปนั่งกอดเข่าบนโซฟา

“เด็กใหม่มึงเหรอไปป์ หน้าคุ้นนะ กูรู้จักปะวะ” ไม่คุ้นได้ไงก็พี่เป็นคนซื้อผมแล้วพาไปปล่อยไว้ในม่านรูดกับพี่ไปป์เมื่อ 2-3 เดือนก่อน

คนถูกถามพับผ้าห่ม เก็บที่นอน ขณะเพื่อนของเขาก็มองอย่างใจเย็น แม้นัยน์ตาสีนิลจะเต็มไปด้วยความสงสัยอยากได้คำตอบแต่พี่กริชก็ไม่ได้ไล่บี้จะเอา

ผมนั่งกัดเล็บมองคู่เพื่อนที่ทำตัวแปลกๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเป็นผมกับไอ้ยอดป่านนี้ทางใครทางมันแล้ว ไม่อยากเล่าตอนนี้เหรอ เออได้ เดี๋ยวกูกลับมาไล่บี้เอากับมึงใหม่

“มึงโอเคยัง”

“อย่าเปลี่ยนเรื่องไปป์ เด็กนี่ใคร” ยื่นคางมาที่ผม ขอบคุณครับพี่ที่ไม่ใช้ตีนเขี่ย

“เด็กในปกครองกู”

“หมาจรจัดที่มึงเล่าให้ฟังอะนะน” จากนายน้อยแห่งพลัสแชแนลกลายเป็นหมาจรจัดทันทีเมื่อไม่มีที่ซุกหัวนอน

แต่อยากรู้จังน้าว่าพี่ไปป์เล่าถึงหมาจรจัดตัวนี้ว่าไงบ้าง

“แล้วนั่นปากมึงไปโดนไรมาหมาน้อย” เรียกแบบนี้ไอ้เซดูน่ารักขึ้นอีกเท่าตัวเลย ผมยกยิ้มหวานส่งให้พี่กริช ใช้มือแตะที่แผลมุมปากแล้วร้องซี้ด

เมื่อคืนไม่เจ็บขนาดนี่นี่หว่า

“มันถูกหมากัด” พี่ไปป์ตอบแทน ผมเข้าไปช่วยตอนที่เขากำลังยกกองที่นอน ผ้าห่มและหมอนเพื่อเอาไปเก็บ

“หมาตัวนั้นใช่มึงมั้ย กัดปากกันขนาดนี้ไม่ใช่แค่พี่เลี้ยงกับน้องฝึกงานแล้วมั้ง”

“สมองมึงคิดเรื่องดีๆ บ้างเหอะ วางไว้บนเตียง” ท้ายประโยคเจ้าของห้องหันมาบอกผมที่กำลังก้าวเข้าไปในห้องนอนเขา

ห้องนอนพี่ไปป์ไม่ต่างอะไรจากห้องนอนทั่วไป ไม่มีพวกภาพถ่ายหรือสิ่งของที่สื่อถึงความสนใจพิเศษแปะไว้ตามผนัง ไม่มีกรอบรูป ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย

“มึงจะอยู่นี่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวอยู่คนเดียวแล้วฟุ้งซ่านไปแดกเหล้าอีก กูขี้เกียจไปเก็บซากมึง”

“ขอโทษว่ะมึง กูไม่คิดว่าพวกมันจะสุมหัวกันอยู่นั่น”

“ช่างแม่งเหอะ”

“ช่างห่าไร มันต่อยน้องมึง”

“มึงคิดว่ากูไม่มีมือเหรอ”

“มึงต่อยมัน?”

“เออ”

“เชี่ยไปป์ พวกแม่งไม่เอามึงไว้แน่ แค่เรื่องนั้น…” พี่กริชหยุดพูดกะทันหันเมื่อเหลือบเห็นว่าผมแอบฟังอยู่หลังกรอบประตู

เสียดายว่ะ อีกนิดเดียวก็จะได้รู้เรื่องของพี่ไปป์แล้วแท้ๆ

“หมาน้อยรินน้ำเย็นๆ ให้พี่กริชซักแก้วสิครับ” พี่กริชแม่งเป็นงาน พอจะใช้กันเปลี่ยนเป็นเสียงสองเลย ขนลุกว่ะ ไม่เหมือนพี่ไปป์ไม่ว่าอยู่ในอารมณ์ไหนก็มีเสียงเดียว

เมื่อถูกไหว้วานจากผู้ใหญ่ คนอายุน้อยกว่าก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในครัว รินน้ำเรอะ ไม่พอดื่มมั้ง เอาไปทั้งขวดเลยดีกว่า

“มึงกวนตีนกูปะเนี่ย” พอเสิร์ฟน้ำทั้งขวดพี่แกก็ว่าอย่างนั้น จนผมวางแก้วลงแล้วรินน้ำให้นั่นแหละจึงเลิกมองกันด้วยสายตาหงุดหงิด ก่อนจะสั่งให้ผมนั่งลงข้างๆ

ผมไม่กล้าหรอก เก้ๆ กังๆ น้ำไม่อาบอยู่ครู่นึงจนพี่ไปป์พยักพเยิดให้นั่งจึงทำตาม

“มึงนี่เป็นหมาที่ดีนะ เจ้านายสั่งให้ทำอะไรก็ทำหมดเลย” แซวอีก แต่ก็ไม่ว่ากัน ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่หว่า ก็แปลกใจตัวเองอยู่ว่าทำไมถึงเกรงใจพี่ไปป์นัก

“ผมไม่ใช่หมานะพี่”

“เรียกหมาน้อยน่ารักออก หรือจะให้เรียกหมาจรจัด”

“กริชแกล้งน้อง ไอ้ห่านี่”

“แตะไม่ได้เลย เอาไว้ได้กันก่อนมั้ยค่อยหวง”

“หวงเหี้ยไร สัด” ด่าพี่กริชเสร็จคนเป็นเจ้าของห้องก็ผละออกไป คราวนี้คนที่มีสภาพแย่โคตรจึงตวัดสายตามามองผม จับผิดกันเฉย เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย

“หมาน้อย” ไอ้สัด หมาก็หมา “มึงต่อยมวยเป็นมั้ย”

“ทำไมอะพี่”

“ถามก็ตอบดิวะ” พี่เป็นไบโพลาร์ป่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไอ้เซตามไม่ทัน

“ไม่ถนัดมวยว่ะพี่ แต่เทควันโดสายดำ”

พี่กริชลูบคาง พยักหน้ามองผมอย่างพออกพอใจ นี่พี่มันอารมณ์ดีแล้วถูกมั้ย

“แล้วเมื่อคืนมึงได้ใช้งานมั้ย เทควันโดสายดำมึงเนี่ย”

ผมส่ายหน้า พี่กริชจิ๊ปาก แม่ง หงุดหงิดไอ้เซอีกแล้ว

“กากสัดเลยว่ะหมา”

“พี่ไปป์ไม่เปิดโอกาสนี่หว่า พอตั้งตัวได้พี่ไปป์ก็สอยไอ้นั่นร่วงไปแล้ว”

“ไอ้ไปป์เป็นคนใจร้อน คิดเร็วทำเร็ว ถ้าคิดจะอยู่ข้างมันมึงก็ต้องปรับตัว ชักช้าไม่ทันแดก”

ผมกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรถามเรื่องที่กำลังคาใจนี้กับพี่กริชหรือเปล่า ถ้าถาม พี่เขาจะหาว่าหมาน้อยขี้เสือกมั้ย

“มองหน้ากู สงสัยเหี้ยไรก็ถามมา”

“พี่ไปป์บอกว่ากับแฟนเขาจบกันไม่ดี”

“ก็ไม่ดี”

“ถูกฝ่ายนั้นทิ้งเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิง ถามถึงมันนี่สนใจมันเหรอ”

“พี่กริชจำผมไม่ได้เหรอ”

“กูจำทุกคนที่เดินสวนกันบนถนนไม่ได้หรอกว่ะ” กวนตีนอีกแล้ว

“ผมก็เหมือนพี่แหละ”

“อย่าบ่ายเบี่ยงหมา ตอบคำถามกูมา สนใจเพื่อนกูรึเปล่า”

“ผม…”

“เชี่ยกริชถ้ามึงจะอยู่นี่ก็มาอาบน้ำ ถ้าไม่ก็ไสหัวกลับไป” ยังทบทวนความรู้สึกตัวเองไม่ทันถี่ถ้วนเสียงเจ้าของห้องก็ดังแทรก

พี่กริชถอนหายใจพรืด ถึงกระนั้นก็ยังไม่ขยับตัว

“อยู่กับมันก็ดูแลมันด้วย ถ้ามึงดูแลไม่ได้กูจะหาคนอื่นมาดูแลมัน”

หาคนอื่น? จะบ้าเหรอของแบบนี้มันหากันได้ง่ายก็จริง แต่ที่ไว้ใจได้อย่างไอ้เซนี่ไม่ง่ายหรอกนะ

“กูจะกลับ ไม่อยากกวนมึง”

“จะรีบกลับไปง้อเมียว่างั้น” เจ้าของห้องยืนพิงกรอบประตูห้องนอนด้วยสภาพหัวเปียก มีผ้าขนหนูคลุมศีรษะเอาไว้อีกที

“ไม่ง้อแม่งละ เลิกก็เลิก”

“ปากเก่งให้ได้ตลอด”

“กูเพื่อนมึงนะไปป์” คนเป็นเพื่อนกันเบะปาก แววตาอ่อนโยนเปลี่ยนไปเมื่อหันมามองผม

“ไม่ซักผ้าเหรอ”

“ครับ” เดี๋ยวนะ งง

“ซักผ้าไง วันนี้วันเสาร์” เออว่ะ การซักผ้าในเช้าวันเสาร์กลายเป็นกิจวัตรไปซะแล้ว ตอนนี้ผมรีดผ้าเป็นแล้วนะ คนสอนเก่ง ลูกศิษย์ก็หล่อ

“พี่กริชถ้าอยากเมาโทรหาผมได้นะ เดี๋ยวแนะนำเพื่อนคอแข็งๆ ให้”

“ขอบใจมึง เอาเบอร์มา”

ผมหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาปลดล็อคแล้วส่งให้ก่อนจะผละไปทำกิจวัตรของตน







“พี่ไปป์วันเสาร์ออกไปดูโลเคชั่นถ่ายทำด้วยกันมั้ย”

สัปดาห์ที่สองของการฝึกงานที่ฝ่ายละครกำลังจะผ่านไป

อันที่จริงรายชื่อผมอยู่ฝ่ายโปรดของแม่ก็จริง แต่ตัวน่ะถูกดึงไปช่วยงานรายการใหม่ที่มีคิวออนแอร์ต้นเดือนหน้า ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการฝึกงาน

พี่ปกรณ์บอกว่าอนาคตของผมขึ้นอยู่กับรายการนี้ ไม่ถามสุขภาพไอ้เซซักคำ

ที่จริงผมรักสัตว์นะ เคยเลี้ยงหมาตอนเด็กแต่ถามว่าคุ้นเคยกับสัตว์ไหม ถึงไอ้ยอดจะชอบนำหน้าชื่อผมด้วยคำนั้นแต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นสปีชี่เดียวกับพวกสัตว์สี่เท้าหรอก

“จะไปดูที่ไหนกัน” พี่เจ้าของห้องถือแก้วนมออกมาจากครัว เดินตรงมาทางนี้ ผมที่กำลังง่วนอยู่กับการหาข้อมูลโลเคชั่นจึงขยับให้เขานั่งลงข้างกัน

“ก็หลายที่นะพี่แต่เล็งที่นี่ไว้” พี่ไปป์มองหน้าจอพลางจิบนม

“วัดเหรอ”

“ใช่ครับ พวกหมาแมวจรจัดน่าจะอยู่ที่วัดซะเป็นส่วนมาก”

“เข้าวัดได้ด้วยเหรอเรา” อันนี้คือมุกถูกมั้ย ผมควรขำใช่ป่ะ ชั่งใจอยู่ชั่ววินาทีจึงเปล่งเสียงแหะๆ ให้คนปล่อยมุกมองแรงใส่

ผมกับพี่ไปป์ยังไม่สนิทกันมากแต่เราก็รู้เรื่องของกันและกันมากขึ้นอีกระดับนึงแล้ว

พี่ไปป์ชอบดื่มกาแฟผสมโกโก้ในตอนเช้าและดื่มนมจืดก่อนนอน

“ไปวันเสาร์กี่โมง”

“นัดพี่อาร์มไว้ 8 โมงครับ”

“ไปรถใคร”

“น่าจะรถพี่อาร์ม พี่ไปป์ไปด้วยกันป่าว”

“ไม่ล่ะ ไปกันเองน่าจะสะดวกใจกว่า”

“พี่ไปป์ไปด้วยเซก็สะดวกใจ”

“แต่คนที่เหลือคงไม่สะดวกเท่าไหร่”

คงหมายถึงพี่อาร์มและพี่ทีมงาน ก็จริง คุณปกรณ์น่ะเป็นที่หวาดกลัวของทีมงานจะตาย ไม่เหมือนพี่ไปป์ของผม เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าเสื้อนอนตัวนี้มันคอกว้างก็ใส่จัง ใส่ทุกวัน ซักตอนเช้าแล้วก็ใส่ตอนเย็น







ผมไม่ได้เข้าไปที่ฝ่ายละครหลายวันแล้ว เพราะเอาแต่วุ่นอยู่กับการเตรียมตัวถ่ายทำรายการใหม่ รู้ซึ้งแล้วว่ากว่าจะได้รายการทีวีออกมารายการนึงไม่ใช่เล่นๆ เลย

“วันนี้กลับบ้านด้วยกันมั้ยครับ” เจ้าของรถที่เพิ่งจอดสนิทในลานจอดอันเงียบเหงาหันมามองเมื่อถูกถาม

ก้มหน้าปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วค่อยตอบ “คำนั้นผมต้องเป็นคนถามไม่ใช่เหรอ”

“โธ่พี่ไปป์หยวนๆ หน่อยเถอะน่า จริงจังอะไรนักหนา”

“วันนี้เข้าไปช่วยงานที่ฝ่ายละครนะ เลิกงานแล้วก็กลับไปก่อนเลย”

“แล้วพี่ไปป์ล่ะจะไปไหนต่อ”

“ยุ่ง”

โอเค ไอ้เซซึ้ง

แม้จะรู้จักพี่ไปป์ในระดับนึงแต่ก็มีหลายเรื่องที่ผมข้ามกำแพงเข้าไปไม่ได้เลย ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะปีน อย่างมากก็แค่เคาะมันเบาๆ สักวันถ้าพี่ไปป์พร้อมจะให้ผมเข้าไปเขาคงเปิดประตูต้อนรับเอง

วันนี้ผมเจอคุณนายอีกแล้ว เยื้องย่างมาพร้อมกับกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ นั่งดูละครด้วยกันจบก็บอกลาด้วยการบังคับให้ไปกินข้าวเย็นกับที่บ้าน

ผมไม่ได้รับปากทันทีแต่ก็ขัดใจไม่ได้หรอก

“เมื่อเช้าเห็นคุณนายแม่มึงมา” ไอ้ยอดเพื่อนรัก เจอมันไม่บ่อยครับต่างคนต่างยุ่ง

“มาดูละคร”

“แม่มึงชอบพระเอกคนไหนวะ กูสงสัย”

“พระเอกละครที่จะออนคืนนี้ ชื่อไรไม่รู้ หล่อไปไม่อยากจำ”

“ขี้อิจฉาไม่เปลี่ยนเลยมึง”

“กูก็นิสัยแบบนี้ จะไม่ให้กูมีปมได้ไง แม่เคยเทงานวันเกิดกูไปงานมีตติ้งพวกพระเอกนะเว้ย คิดแล้วแค้นสัด”

“ฆ่าแม่งเลยมั้ย”

“ฆ่าใคร แม่กูเหรอ” เสือกพยักหน้าอีกผมจึงโบกมันไปที “ลามปามแล้วมึง นั่นบ่อเงินบ่อทอง อู่ข้าวอู่น้ำกู”

เราคุยเรื่องสัพเพเหระกันเรื่อยเปื่อย ส่วนมากก็อัพเดตเรื่องที่แต่ละคนไปเจอมา ผมกับไอ้ยอดแม่งเหมือนฝึกงานคนละบริษัท ของมันโคตรสบายทำงานในออฟฟิศ ส่วนผมนี่ วันเสาร์นี้ต้องพาผิวขาวๆ ไปให้แดดเลีย

“อิจฉามึงว่ะ กูก็อยากทำรายการบ้างเหมือนกัน”

“ทำเป็นพูดดี มึงก็มีรายการในยูทูปอยู่ไง” รายการสุดยอด สุดยอดเรื่องของถูกและกินอิ่ม คนสับสะไคร้มีประมาณ 100 ส่วนมากก็เป็นรุ่นน้องที่บังคับเขามา ผมเองก็เคยเป็นเกสท์ทีนึง ก็ไปกินของถูกและอิ่มอย่างสโลแกน แต่เช้าวันต่อมาท้องเสียเลย หลังจากนั้นผมก็ไม่ไปทำรายการกับมันอีก

“รายการกูไม่ได้อยู่ช่องหลักไง แล้วไอเดียอะไรของมึงวะที่พี่ไปป์เขาซื้อ”

“พ้อยหลักของรายการก็คือสัตว์” สัตว์จริงๆ ไม่ใช่คำที่เอาไว้ใช้ด่าใคร

พอพูดถึงสัตว์ก็วนเวียนเข้ามาในหัวทั้งเขาดิน แต่สุดท้ายหัวคิดอันชาญฉลาดของไอ้เซก็มีไฟกระพริบปริบๆ ขณะนั่งอ่านพันติ๊บดูรูปพอร์ทเทจสาวๆ

มันจะดีสักแค่ไหนถ้าเราเปลี่ยนมุมมองของคนบางกลุ่มที่มองหมาแมวจรจัดในวัดแล้วหวาดกลัว ปรับเขาด้วยภาพเคลื่อนไหว ทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆ อาจจะเปลี่ยนความคิดทุกคนไม่ได้ ในร้อยคนมีสักคนหนึ่งที่เข้าใจก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

“หล่อสัดๆ” ถูกชมแล้วก็ปลื้ม รุ่นพี่บอกว่าผมมีความคิดที่ดี หัวครีเอทแต่ไม่ชอบลงมือทำ ครั้งนี้แหละผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าไอ้เซไม่เหลาะแหละนะครับผม

ผมมองไอ้ยอดแล้วยืดตัว ความภูมิใจแม่งพองตุ๊บป่องจนนั่งตัวงอไม่ได้แล้ว

“ยืดเข้าไปไอ้สัด กูไม่น่าหลวมตัวชมมึง”

“กูบ้ายอไง”

“เออ แล้วพี่เลี้ยงมึงเขาว่าไงบ้างวะตอนมึงเสนอความเห็นนี้”

พี่ไปป์เหรอ

ก็แค่มองผมอึ้งๆ บอกว่า ‘โอเค’ แล้วเรียกทีมงานรายการเข้าประชุมในวันต่อมา

“พี่เขาคงเก็บอาการ” พอผมเล่าพร้อมแสดงสีหน้าท่าทางประกอบให้ดูไอ้ยอดเพื่อนรักก็ออกความเห็นว่าอย่างนั้น

“แสดงออกบ้างก็ได้นะบางที”

“มึงกับพี่ปกรณ์นี่มันยังไงวะเซ ถึงมึงจะไบเซ็กชวลแต่แบบนี้ไม่ใช่สเปกมึงอะ ปกติคบแต่คนน่ารัก งุ้งงิ้ง ขี้อ้อนเหมือนแมว”

ฟังมันแล้วก็คิดครับ พี่ไปป์โคตรจะอยู่นอกเหนือคำนิยามสเป็กของผม แต่ผมกลับรู้สึกดี ดีมาก ดีสุดๆ ยามเห็นเขาอยู่ในสายตา อยากแกล้งให้โกรธ อยากทำให้ยิ้ม ไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันหลอมลวมไหลวนอยู่ในความคิดความรู้สึกของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกกับเขามากจริงๆ







พี่ไปป์กลับบ้านดึก และตอนเช้าเมื่อผมตื่นนอนก็ไม่เจอเขาแล้ว

เป็นอย่างนี้มาสักพัก สงสัยอยู่ตลอดแต่ผมไม่กล้าถามหรอก ถึงแม้ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี







เช้าวันเสาร์อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย บางทีกรมอุตุฯ อาจจะเตือนแล้วเป็นผมเองที่ไม่สนใจ

เสียงฝนคงทำให้พี่ไปป์ตื่น

“อดเลย” กอดอกพิงกรอบประตูแล้วก็ว่าอย่างนั้นด้วยสีหน้าโคตรเฉย ไม่สนใจผมที่ตอนนี้แม่งโคตรเซ็ง

แผนที่วางมาหลายสัปดาห์ล่มลงเพราะฝนตก เฮ้อ~

“แล้วฝั่งโน้นเขาว่ายังไงบ้าง”

“เลื่อนนัดเป็นพรุ่งนี้ครับ” ผมตอบเขาด้วยท่าทางหงอยๆ ทว่าคนที่ควรจะปลอบใจกันกลับยิ้มเยาะ

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าพรุ่งนี้ฝนจะไม่ตก”

“พี่ไปป์” ผมเรียกชื่อเขา กอดอกแล้วกระแทกแผ่นหลังกับพนักพิงโซฟาแรงๆ อย่างนึกขัดใจ

“เรื่องสภาพดินฟ้าอากาศไม่แน่นอนหรอกนะสิทธา ถ้าพรุ่งนี้ฝนตกอีกก็ต้องเลื่อนอีกงั้นสิ เลื่อนไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่งานจะเดิน”

“ถ้าพี่ไปป์มีไอเดียอะไรดีๆ ก็น่าจะบอกเรา” เจ้าของห้องเดินผ่านผมไปหยุดที่ระเบียง ทอดมองสายฝนที่เทกระหน่ำจนมองไม่เห็นทิวทัศน์เมืองภายนอก

“ในการเดินทางเราหวังพึ่งแต่จีพีเอสโดยไม่เคยคิดเลยว่าหากวันนึงไม่มีสิ่งนั้นอยู่คุณจะเดินทางไปถึงจุดหมายได้ยังไง”

เกี่ยวอะไรกับจีพีเอสวะ

“เรื่องงานก็เหมือนกัน ถ้าเรามัวแต่รอข้อมูลสูตรสำเร็จจากคนอื่น เมื่อไหร่เราจะคิดได้ทำงานเป็น”

“งั้นเซไม่ถามเรื่องงานแล้วก็ได้”

เจ้าของห้องผละจากระเบียงตรงเข้าไปที่ห้องครัวอย่างคล่องแคล่ว ผมนั่งอยู่ที่เดิมมีแต่สายตาเท่านั้นที่จับจ้องเขาอยู่ทุกความเคลื่อนไหว

พี่ไปป์ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟสำหรับเราเสร็จนั่นแหละผมจึงตามเขาเข้าไป

“เปลี่ยนเป็นถามเรื่องหัวใจพี่ไปป์แทนได้มั้ยอะ”

“ไม่คุยเรื่องนี้กับคนไม่สนิท” สีหน้าพี่ไปป์ไม่บ่งบอกว่าขนมปังที่เขาปิ้งเองกับมือนั้นมีรสชาติอย่างไร ผมลองจิ้มมันเข้าปากบ้าง ก็อร่อยดี พี่ไปป์เนี่ยเก็บอาการโคตรเก่งเลย

“งั้นก็สนิทกับเซสิครับ” ผมยิ้มด้วยดวงตาขณะเคี้ยวขนมปังไปเรื่อยๆ

“ไม่อยากสนิท”

“แต่เซอยากสนิทกับพี่ไปป์นี่นา งั้นเรามาทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ดีกว่าเนอะ เริ่มจาก…” ครุ่นคิด “แฟนเก่าพี่ไปป์เป็นคนแบบไหน”

“เป็นการเริ่มทำความรู้จักกันที่โคตรห่วยแตกเลยว่ะ”

“เซอยากรู้ คิดจะทำการใหญ่ก็ต้องมีข้อมูลสิ”

“เสียใจด้วยนะที่คุณจะไม่ได้ข้อมูลนี้จากผม”

“ไม่เป็นไร” ผมมันช่างตื๊อถูกตัดรอนกี่ครั้งก็ไม่รู้จักเข็ด “งั้นให้พี่ไปป์ถามเรื่องเซละกัน”

พี่ไปป์เก็บความรู้สึกเซ็งไม่เคยมิด เขาถอนหายใจแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

“ไม่ถาม ถ้าวันนี้ว่างก็มาทำรายงายกัน”

เยดโด้รายงานอีกแล้ว







ซัก ปั่นแห้ง พับเสื้อผ้าเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบเที่ยงแล้ว ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า มองปลายเท้าที่ชี้ไปทางระเบียงก็พบว่าอากาศโปร่งใสปราศจากหยดฝน

ฝนหยุดแล้ว

ผมผุดลุก วิ่งไปกระชากประตู ไอฝนยังหลงเหลือแต่ท้องฟ้าโคตรโปร่งใส

Rrrr~

จังหวะที่ล้วงมือถือออกมา เครื่องมือสื่อสารในมือก็กรีดร้องขึ้นพอดี

นัดแนะกับฝั่งพี่อาร์มเสร็จก็รีบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดเก่ง มองเข้าไปในห้องนอนที่เปิดประตูแง้มไว้ พี่ไปป์ยังคงนั่งหน้าเครียดอยู่หน้าแม็คบุ๊กเครื่องโปรด

“พี่ไปป์” ผมเรียกเบาๆ พอๆ กับมือที่ค่อยๆ เปิดประตูออก

“ว่าไง” เจ้าของดวงตากลมในแว่นสายตามุ่นคิ้วเล็กน้อย

“จะออกไปดูโลเคชั่นนะครับ เดี๋ยวพี่อาร์มมารับ”

เขาพยักหน้า ผมจึงผละออกมา ทว่ามือยังไม่ละจากประตูเสียงพี่เจ้าของห้องก็รั้งให้เอี้ยวตัวไปมอง

คงจะบอกว่าโชคดี หรือไม่ก็ อย่ากลับบ้านดึกนะ พี่เป็นห่วง แค่คิดก็ฟิน

“เก็บข้อมูลมาให้ครบล่ะ อย่าให้เสียเที่ยว”

เพล้ง! ได้ยินเสียภาพมโนไอ้เซแตกเป็นเสี่ยงๆ มั้ยครับ พี่ไปป์แม่งไม่หวานเลย






[T B C]

เซนี่ฟีลแม่บ้านมากค่ะ เอะอะซักผ้าตลอด 555
รอบนี้มาอัพช้า 1 วัน ขอโทษคนที่รอด้วยเด้อ
ครั้งหน้าจะมาให้ตรงเวลา
 :katai4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-11-2017 19:12:31 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao3: พี่ไปป์นี่คงอีกนานกว่าจะหวานกับเซ

ออฟไลน์ lovejinjunno

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
555555
พี่ไปป์นี่สุดยอดเลย
รางวัลชนะเลิศคนหน้านิ่งสมควรเป็นของพี่จริงๆ
อยากรู้อ่ะว่า ถ้าพี่ไปป์เปิดใจให้เซครบ 100% จะเป็นยังไงนะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
กว่าพี่ไปป์จะหวานใส่เซเซคงน่วมก่อน

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0

พี่ครับ 06


รถแวนคุณปู่พาพวกเรามาถึงวัดแถวนครปฐมซึ่งได้รับเลือกในเวลาเกือบบ่าย 3 แดดจ้าแดด หัวเปียกหมดแล้ว

ผมใช้หมวกแก๊ปที่เพิ่งถอดออกมาพัดตรงหน้า แต่แม่งไม่ช่วยอะไร

“หลวงพี่บอกให้เราขึ้นไปบนศาลาเลยว่ะ” สิ้นเสียงพี่อาร์มพวกเราอีก 3 ชีวิตก็ใส่เกียร์หมาวิ่งสุดตีน

ร้อนครับ ผิวไหม้แล้ว ร่างกายต้องการที่ร่ม

โฮ่ง!!

เสียงเพื่อนสี่ขาครับ คราแรกก็มาเสียงเดียว หากยิ่งพวกเราสาวเท้าเสียงเห่าก็ยิ่งระรัวอย่างกับวงออเคสตร้าเวทีวัด เท่านั้นไม่พอ เห็นคนวิ่ง วิ่งตามคนเฉยเลยสัดหมา

“เฮ้ยแม่ง!” พี่อาร์มครับ วิ่งเป็นจ่าฝูงจะตกใจอะไรนักหนา เซนี่ คนปลายแถวควรตกใจกว่ามึงอีก

หวุดหวิดกางเกงก้นขาดครับ ดีหน่อยที่กระโจนขึ้นศาลาทัน ไม่งั้นตูดให้เซดับอนาถแน่

“เชี่ยพี่อาร์มตูดกู” ผมนอนแผ่หลา ข้างๆ คือเจ้าของชื่อ เป็นทั้งโปรดิวเซอร์รายการควบตำแหน่งรุ่นพี่มหา’ลัย ตอนผมอยู่ปี 1 พี่แกอยู่ปี 3 เคยเจอหน้ากันบ้าง สนิทกันระดับพี่น้องร่วมคณะ แต่ก็รู้สึกดีครับที่กำลังจะได้ร่วมงานกัน

“ขอกูดูหน่อย” พอพี่มันว่าผมก็ขยับตัวนอนตะแคง ทิ้งช่วงสักครู่ก็เปลี่ยนเป็นนอนคว่ำ

“ไงวะพี่กางเกงผมขาดป่ะ”

“บ๊อกเซอร์ลายแตงโม มุ้งมิ้งไปนะมึง”

สัดหมา เอาชิ้นส่วนกางเกงกูไปจนได้สินะ

“ไม่เป็นไรมึง ไม่ต้องคิดมากเดี๋ยวพี่อาร์มคนนี้จะหาผ้าให้มึงเปลี่ยนเอง” สีหน้าแม่งไม่น่าไว้ใจ

สาธุครับ จังหวะนั้นหลวงพี่ก็ก้าวขึ้นมา ไอ้พี่โปรดิวเซอร์รีบปรี่เข้าไปหาด้วยสีหน้าระรื่น

“หลวงพี่ น้องผมโดนหมากัดกางเกงขาด หลวงพี่พอจะมีผ้าให้มันเปลี่ยนไหมครับ”

ถามจริงพี่อาร์มมันเอาสมองส่วนไหนคิด ไอ้บ้า คนปกติที่ไหนขอยืมเสื้อผ้าพระ

“มีแต่จีวรนะโยม” นั่นไง พระท่านห่มจีวรโว้ย

แทนที่มันจะว่าอะไรต่อแต่เสือกทำหน้าครุ่นคิดอย่าบอกนะว่า… “งั้นผมขอยืมจีวร”

ไอ้สัดพี่อาร์ม ผมตบหน้าผากตัวเองอย่างขัดใจก่อนลุกขึ้นก้าวไปร่วมวงสนทนา

“พี่อาร์มมึงตั้งสติ กูเป็นคนธรรมดาห่มจีวรไม่ได้ ไอ้สัดนรกกินกบาล”

“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ถ้าโยมใช้ชีวิตในประเทศไทยได้โยมก็ใช้ชีวิตในนรกได้สบาย” หลวงพี่มีอารมณ์ขันว่ะ ผมชอบ

หลังจากยื่นหนังสือและคุยรายละเอียดกันคร่าวๆ หลวงพี่ก็เรียกเด็กวัดที่อายุ 18+ นามว่าไม้ (กันหมา) มาเป็นไกด์พิเศษของเรา

“ตัวนั้นชื่อโก๋พี่ ชื่อจริงจิ๊กโก๋ สงสัยอ่ะเด้ว่าทำไมมันได้ชื่อนี้” พวกเราพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงให้ไกด์ยืดอกภูมิใจ

“ไอ้โก๋เข้ามาเป็นสมาชิกของวัดเราเมื่อ 5 ปีก่อน เช้าวันศุกร์มั้ง ผมกำลังจะไปโรงเรียน เห็นแบบนี้ผมก็มีการศึกษานะพี่”

เรื่องของมึงเถอะ รีบเล่ามาซักที

“ผมโคตรเกลียดวิชาคณิตซึ่งเรียนคาบแรกวันศุกร์ ผมก็เลยจำได้ว่าผมเจอมันวันศุกร์ เช้าวันนั้นไอ้โก๋นอนจมกองเลือดอยู่หน้าศาลา เห็นตอนแรกคิดว่ามันตาย พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่ามันหายใจรวยริน ผมกะว่าจะปล่อยให้มันตายแล้วแต่หลวงพี่ดันมาเห็นเข้าพอดีก็เลยช่วยมันไว้”

“แล้วชื่อจิ๊กโก๋ล่ะ”

“เห็นรอยแผลเป็นที่กลางหลังมันมั้ย สภาพมันตอนนั้นโคตรบอบช้ำ โคตรอ่อนแอ ผมอยากให้มันเข้มแข็งก็เลยตั้งชื่อให้มันอย่างนั้น”

ถึงท่าทางของไม้ไกด์คนพิเศษของเราจะดูเหมือนพวกเด็กแว้นแต่จิตใจแม่งโคตรดี คนเรานี่ตัดสินกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ

ไม้แนะนำหมาแก๊งหน้าศาลาเสร็จก็พาเราไปที่หอระฆังซึ่งดูจากสภาพแล้วน่าจะเรียกว่าหอแมวมากกว่า

“ไอ้ตัวนั้นน่ะหัวหน้าเผ่า”

ไม้ชี้ไปยังแมวตัวเล็กร่างผอม ขี้ก้างจนนึกภาพไม่ออกว่ามันเป็นหัวหน้าเผ่าได้ยังไง

“เห็นผอมๆ ขี้ก้างอย่างนั้นมันโคตรแข็งแกร่งนะพี่”

“ยังไงวะ” พี่อาร์มถาม ขณะสายตาจับจ้องแมวหัวหน้าเผ่าอย่างสนอกสนใจ

“ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อนโน่นเลยพี่ เมื่อก่อนน่ะวัดเรามีแต่หมาจรจัดเว้ย แมวไม่ค่อยมีเพราะคนแถวนี้ไม่นิยมเลี้ยง วันนั้นผมก็เดินตามหลวงพ่อบิณฑบาตเหมือนทุกๆ วัน เดชะบุญครับ อยู่ๆ แมวดำตัวนี้ก็กระโดดลงบาตร ไอ้สัดข้าวในบาตรกินไม่ได้เลย ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปเว้ย หลวงพ่อก็เลยพากลับวัด พอมาดูสภาพมันชัดๆ แม่เจ้า เหมือนแมวเป็นโปลิโอครับ ผอมกะหร่อง มีรอดแผลน้ำร้อนลวกด้วย เห็นอย่างนั้นหลวงพ่อท่านก็ช่วยดูแลจนหายดี หวังว่าจะมีโยมใจดีซักคนรับไปเลี้ยง”

“เพราะมันเป็นแมวดำที่เขาเชื่อกันว่าเป็นโชคร้ายก็เลยไม่มีใครรับเลี้ยงแล้วกลายเป็นหัวหน้าเผ่าแมวหอระฆังใช่มั้ย”

“เป๊ะเวอร์ว่ะพี่อาร์ม”

“เรคคอร์ดเรื่องแมวดำไว้ กูว่าน่าสนใจดี”

ผมก็คิดอย่างพี่อาร์ม ก็แค่แมวมีสีดำทำไมต้องใส่ร้ายมันว่าเป็นตัวโชคร้ายด้วยก็ไม่รู้

เราออกจากหอระฆัง ระหว่างทางเจ้าเพื่อนสี่ขาก็เดินตามมาห่างๆ เป็นขบวน หากในจำนวนหมาทั้งหมดนั้นผมกลับสะดุดตาเจ้าหมาไทยสีน้ำตาลขนสั้นกุด หูตั้ง ถึงแม้มันจะดูสง่าแต่ท่าทางการนั่งทั้งสายตาที่เอาแต่จ้องมองไปข้างหน้าราวกับกำลังรอคอยกลับเศร้าสร้อย อาจเพราะจ้องมันนานไปหน่อย เจ้าหมาจึงหันมามอง ชั่วครู่แล้วเบือนหน้าหนี

มีปลอกคอด้วย

“ไม้ทำไมตัวนี้มีปลอกคอ”

“เจ้าของมันลืมเอาออกมั้งพี่ ที่ปลอกคอมีชื่อด้วยนะ นั่งอยู่อย่างนั้นมา 3 สัปดาห์แล้ว ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่มันไม่ดุหรอก กลัวคนซะด้วยซ้ำ”

“แล้วมันชื่ออะไร”

“หินผาพี่ ชื่อเพราะกว่าผมอีก”

ไม่รู้ว่าผมอ่อนไหวไปเองหรือเปล่า แต่ยิ่งมองเจ้าหมาถูกทิ้ง หัวใจก็ยิ่งหดหู่ อยากทำให้มันคลายเศร้าแต่ไม่รู้วิธี

“หินผา” ผมเดินเข้าไปหามันแล้วเรียก เจ้าของชื่อเงยหน้ามองผม สายตามันอ่อนโยนเชื่อได้ว่าเป็นหมานิสัยดี ผมลองนั่งยองๆ ลงข้างมัน หากเจ้าหมากลับหมอบลง ดวงตาขอมันเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ไม่รู้ว่าปกติไหม แต่สำหรับคนไม่คุ้นเคยกับหมาอย่างผมคิดไปแล้วว่ามันร้องไห้

“ขอมือได้มั้ย” ลองแบมือไปตรงหน้า หินผาไม่ได้ให้มือทันที มันมองผมชั่งใจ เบือนหน้าหนี ผมเข้าใจนะ ผมมันแค่คนแปลกหน้า มันคงไม่กล้าไว้ใจ

“อย่าพยายามเลยพี่มันไม่สนใจใครหรอก แรกๆ ก็งี้แหละ ซักพักก็ดีขึ้น” ไม้ว่าอย่างปลงๆ คงคิดอย่างเดียวกับผม

สุนัขไม่เคยลืมเจ้าของ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน กี่ร้อนกี่หนาวก็ไม่เคยลืม

ถึงจะเดินจากหินผามาไกลแล้วแต่ในใจของผมกลับยังคงเอาแต่ครุ่นคิดและกระวนกระวายใจเรื่องของมัน กระทั่งมาถึงสนามเด็กเล่น พระอาทิตย์คล้อยต่ำแล้ว บริเวณนี้จึงมีเด็กๆ และลูกหมาเล่นกันอยู่บ้างประปราย

“พวกมึงอย่าแกล้งหมา”

ปากก็ตะโกนมือก็ตบเข้าที่หัวเด็กคนนึงฉาดใหญ่ เสียงดังผัวะคุ้นเคยให้นึกถึงพี่ไปป์ทคนที่ดูเหมือนจะชื่นชอบการตบหัวผมเป็นพิเศษ

“ไปเลยนะ” ชี้นิ้วไล่ “สนามเด็กเล่นก็มีเสือกชอบแกล้งหมาไอ้พวกเด็กเปรต”

ไม้บ่นพึมพำอยู่พักใหญ่ ขณะที่พวกเราต่างก็ทำหน้าที่ของตน พี่ตองจดข้อมูล พี่เอสถ่ายภาพ พี่อาร์มนั่งเล่นกับหมา เห็นอย่างนั้นผมก็เลยทำบ้าง

“แล้วแม่หมาล่ะไม้” ดูจากขนาดตัวแล้วน่าจะยังอายุไม่ถึงเดือน

“แม่มันถูกรถชนตายน่ะพี่” เศร้าไปอีก “คงเป็นพวกที่เอาหมามาปล่อยแล้วรีบหนี บาปซ้ำซ้อนนะคนพวกนี้”

“แล้วไม่มีคนรับไปเลี้ยง”

“ใครเขาอยากเลี้ยงหมาวัด”

“มันน่ารักดีออก” ก็จริงอย่างพี่อาร์มว่า เจ้าลูกหมาคลอเคลียที่ขาพวกเราไม่ห่างเลย น่าเอ็นดูจนต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป

ผมไล่ถ่ายรูปลูกหมาทีละตัว แต่ไม่ง่ายเลย พวกมันซน หยอกเล่นนัวเนียกันตลอด

“ถ่ายรูปไปทำไมเยอะแยะวะเซ”

“อวดพี่ไปป์ครับ” ตอบแล้วก็ส่งรูปเจ้าลูกหมาสีขาวหูดำหน้าตาแบ๊วๆ ให้พี่ไปป์ผ่านไลน์พร้อมแนบข้อความ ‘น่ารักมั้ยครับ’

“ถามจริงๆ นะเซอย่าหาว่าพี่เสือก กับพี่ไปป์นี่เป็นอะไรกันวะ”

ผมเลิกคิ้วสูง ไม่ค่อยมีใครถามเรื่องความสัมพันธ์นี้ ถึงแม้ระหว่างเราจะไม่มีอะไรซับซ้อนแต่ผมก็ไม่คิดจะตอบทันที เว้นจังหวะไว้ให้คนถามคิดลึกนิดหน่อยแล้วค่อยตอบ

“พี่เลี้ยงกับเด็กฝึกงานไงพี่”

“เมื่อวันก่อนพี่เข้าไปที่ช่อง ได้ยินเขาลือว่ามึงกับพี่ไปป์อยู่ด้วยกัน” ไม่เคยรู้ว่ามีข่าวลือแบบนี้ด้วย ผมแม่งไม่ทันเหตุบ้านการเมืองเลยว่ะ

“พี่ไปป์ใจดีครับ เห็นผมไม่มีที่อยู่ก็เลยให้ที่ซุกหัวนอน”

“รวยล้นฟ้าอย่างมึงนี่นะไม่มีที่ซุกหัวนอน ตลกแล้วไอ้เซ”

“พ่อผมมั้ยที่รวย”

“เงินพ่อก็เหมือนเงินลูกป่ะวะ ตอบกูตรงๆ เลยดีกว่า มึงจีบพี่ไปป์เหรอวะ”

“จีบยาก”

“พี่ไปป์เป็นคนรักสัตว์” อยากให้รักเซด้วยเหมือนกัน “อย่างรายการนี้ เราสู้ด้วยกันมาหลายปี ประชุมกันมาเป็นสิบเป็นร้อยรอบ แต่พี่ไปป์แม่งก็ไม่ทิ้งเรา กูโคตรเคารพพี่ไปป์เลยจริงๆ”

“ไม่น่าเชื่อว่าพวกพี่ทำงานด้วยกันมานาน” ดูจากท่าทางเกร็งๆ ในห้องประชุมแล้วดูยังไงก็ไม่เหมือนคนคุ้นเคย

“ทำไมวะ”

“พี่อาร์มดูกลัวพี่ไปป์”

“มึงไม่รู้เหรอว่าพี่ไปป์โหมดพี่ปกรณ์โหดสัดแค่ไหน” รู้ดีเลยครับ ตบทีขี้หูไหล

“แล้วทำไมพวกพี่สนิทกัน”

“ทำชมรมด้วยกัน” ลูกหมาสีขาว มีแต้มสีดำเหมือนตาที่สามเดินมาคลอเคลียผมจึงอุ้มมันขึ้นมา

“ไม่น่าเชื่อ”

“เห็นอย่างนั้นเป็นประธานชมรม 4 ปีซ้อนนะครับ”

“แล้วตอนนี้ล่ะยังทำกันอยู่มั้ยครับ” พอถูกผมลูบหัวเจ้าหมาน้อยก็ทำหน้าเคลิ้ม น่าฟัดฉิบหาย

“ให้รุ่นน้องทำสิวะ มีเพจด้วยนะเผื่อมึงอยากช่วยสนับสนุน” พี่อาร์มแบมือมาผมจึงส่งมือถือให้ กดยุกยิกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่งคืน

“งี้พี่อาร์มมีเฟซพี่ไปป์อะดิ ขอได้ป่ะ”

“ถ้ามึงฉลาดกว่านี้ ชีวิตมึงคงเพอร์เฟ็คมาก” ว่าอย่างนั้นแล้วก็เดินหนีไปเฉย อะไรของพี่มัน ผมแค่มองตามไม่ได้ละความสนใจเจ้าลูกหมาที่เดินวนอยู่ใกล้ๆ วางตัวที่อยู่ในมือลงแล้วถ่ายรูปตัวอื่นๆ จนเมมโมรี่แทบเต็ม ที่จริงผมก็มีกล้องคอมแพ็คนะ แต่แบบว่าฝีมือถ่ายรูปอย่างกาก กล้องราคาเป็นแสนเป็นล้านก็ไม่ช่วยอะไร

กว่าไม้จะพาเราทัวร์ชุมชนหมาจรจัดจนทั่วพระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำแล้ว ท้องฟ้าถูกฉาบด้วยสีส้มแดง ผมไม่ค่อยชอบท้องฟ้าสีนี้เท่าไหร่ ไม่รู้สิ ผมอาจจะคิดไปเองว่ามันดูเหงา

เมื่อนึกถึงความเหงาก็ต้องหันไปมองเจ้าหินผาที่ยังนั่งนิ่งรอคอยเจ้าของมันอยู่ที่เดิม ดวงตาเศร้าสร้อยมองตามรถทุกคันที่วิ่งผ่าน ยิ่งเห็นอย่างนั้นความเศร้าก็ยิ่งประเดประดังเข้ามาให้รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งช่องท้องและหัวใจ

หินผาแกจะรู้รึเปล่าว่าเขาไม่กลับมาแล้ว คนที่แกรักสุดชีวิตเขาทิ้งแกไปแล้ว







รถแวนคันเดิมวิ่งด้วยความเร็วปกติบนถนนมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ

“ยังไงอะพี่อาร์ม เฟซพี่ไปป์เนี่ยไม่ให้ผมจริงเหรอ” คนที่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง รับมือถือจากผมไปกดพลางบ่น

“ทำไมมึงโง่จังวะเซ” อ้าว อยู่ๆ ก็ชมกันว่าโง่ ไอ้เซไม่ได้โง่แค่ฉลาดบางเรื่องเท่านั้น

“ไหนอะพี่” รับมือถือกลับมาดูก็พบว่ามันเปิดค้างไว้ที่หน้าเพจเพจนึงไม่ใช่หน้าเฟซพี่ไปป์ซักหน่อย

“หาเอาเองในนั้นแหละ”

โห ตัวเองมีอยู่แล้วแค่เสิร์ชชื่อให้ก็จบมั้ย ง่ายๆ แค่นี้เอง ก็ได้แต่คิดแหละครับในเมื่อนิ้วก็เริ่มเลื่อนดู
ต้องย้อนกลับไปไกลแค่ไหนถึงจะเจอ

กระทั่งกลับมานั่งจ๋องอยู่หน้าทีวีในห้องพี่ไปป์ก็ยังคงไม่ละความพยายามจากการค้นหาเฟซพี่เจ้าห้อง ขอเจ้าตัวเขาเลยไม่ง่ายกว่าเหรอวะ

“พี่ไปป์”

“อะไร” ทีวีถูกเปลี่ยนช่องไปตามความต้องการของเจ้าของ

“ขอเฟซบุ๊กหน่อยสิ”

“เอาไปทำไม”

“จะได้เป็นเพื่อนกันไง”

“ไม่อยากเป็น” ตัดบัวไม่เหลือใยเลย คนน่ารักมักใจร้าย

แต่ผมก็ไม่คิดละความพยายาม เคยได้ยินใช่มั้ย คติประจำใจของคนทุกยุคทุกสมัยที่ว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ น่ะ ตอนนี้ไอ้เซก็ถือคตินี้แหละ

“ไม่อยากให้แอดเฟรนด์งั้นเซแอดเป็นแฟนดีมั้ยครับ”

“มุกเหรอต้องขำป่ะ หึ” พี่ไปป์ไหวไหล่หัวเราะอย่างเสแสร้งก็น่ารักดีนะผมว่า

“พี่ไปป์จะไม่ให้จริงๆ เหรอ พี่ไปป์คร้าบ” มองตาผมสิ นี่เซกำลังอ้อนอยู่นะ รับรองถ้ามองแล้วต้องแพ้ลูกอ้อนไอ้เซแน่นอน แต่พี่ไปป์ก็ไม่ยอมมอง โด่ กลัวจะตกหลุมรักผมก็บอก ป๊อดว่ะ

ค่อนขอดพี่เขาในใจและก็ได้แต่ก้มหน้าไถไทม์ไลน์ต่อไป ก็แหม อาศัยเขาอยู่ใครจะกล้าหือกล้าอือล่ะครับ

“พี่อาร์มบอกว่าพี่ไปป์เคยทำชมรมช่วยเหลือหมาแมวจรจัดเหรอครับ”

“อือ ทำไม”

“แล้วทำไมไม่ทำต่อล่ะครับ”

“แล้วใครบอกว่าผมเลิกทำแล้ว”

“อ้าว ยังทำอยู่เหรอครับ” ผมเงยหน้าละสายตาจากหน้าจอมือถือมองเสี้ยวหน้าพี่ไปป์ที่ยังคงจดจ่ออยู่กับสารคดีสัตว์โลกในป่าอเมซอน

“ก็ทำเรื่อยๆ อาจไม่จริงจังเท่าเมื่อก่อนแต่ก็ยังไม่ได้เลิก”

“วันนี้เซรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”

“เพราะไปเจอหมาจรจัดน่ะเหรอ”

“อือ” ผมพยักหน้าหนักๆ พี่ไปป์หันมา มองผมครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ เสียงบทบรรยายภาษาอังกฤษยังคงดังคลอให้ห้องไม่เงียบจนเกิดไป

“ตอนแรกก็อย่างนี้แหละ แต่อีกเดี๋ยวก็ชิน”

“เหมือนอย่างที่สังคมชาชินกับการที่หมาแมวพวกนั้นถูกเอามาทิ้งน่ะเหรอครับ”

“เราก็ทำเท่าที่เราทำได้นะเซ เราบังคับคนอื่นให้ทำอย่างที่เราต้องการไม่ได้หรอก บางทีการตัดสินใจทิ้งอะไรบางอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก”

“เซไม่เข้าใจว่ะ ถ้าไม่

“ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง วันนี้รัก พรุ่งนี้อาจจะไม่รักแล้วก็ได้ วันนี้เลี้ยงได้ พรุ่งอาจจะเลี้ยงไม่ได้แล้ว การทิ้งอะไรซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือว่าสิ่งของ มันไม่ง่ายเลยนะ คุณไม่เคยทิ้งอะไรด้วยความรู้สึกลำบากใจเลยเหรอ”

“ทำไมพี่ไปป์พูดเหมือนเข้าข้างคนที่ทิ้งหมาแมวพวกนั้น”

“ผมไม่ได้เข้าข้างใคร ถ้าคุณทำความเข้าใจคุณก็จะเข้าใจ ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ทิ้ง เราทำแบบนั้นง่ายๆ ไม่ได้เซ”

นัยน์ตาพี่ไปป์วูบไหวแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ เจ้าตัวเงียบไปครู่ใหญ่ สีหน้าเหมือนกำลังชั่งใจกับเรื่องบางอย่างก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นไหวต่างจากพี่ปกรณ์ที่ผมเคยรู้จัก

“ตอนผมอายุ 10 ขวบได้มั้ง อยู่ๆ แม่ที่รักหมามากก็เกิดเป็นโรคแพ้ขนสัตว์ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ”

ผมขยับตัวเพื่อมองพี่ไปป์เต็มตา

“โรคนั้นทำให้เราไม่สามารถเลี้ยงหมาได้อีก เอาไปฝากญาติเลี้ยงก็ไม่มีใครสะดวก สุดท้ายก็ต้องพาไปปล่อยวัด ตอนนั้นผมโกรธแม่มาก หนีไปอยู่วัดกับหมาตั้งหลายวัน สิ่งที่ผมทำทำให้แม่ที่เสียใจเรื่องหมาอยู่แล้วเสียใจมากเข้าไปอีก ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าการจะทิ้งอะไรซักอย่างทั้งที่เรารักมันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก มันไม่ง่ายเลยจริงๆ”

“แล้วหมา...”

“ผมพยายามไปเยี่ยมมันทุกวัน แต่ช่วงปิดเทอมมีเรื่องจำเป็นที่ผมต้องไปบ้านญาติหลายวัน พอกลับมาก็พบว่ามันตายแล้ว มันตายเพราะตรอมใจ มันตายเพราะคิดถึงผมมากเกินไป”

เสียงพี่ไปป์สั่นเครือเหมือนคนร้องไห้ที่พยายามบังคับให้น้ำเสียงอยู่ในโทนปกติ น้ำตาหยดลงบนแก้มเม็ดหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยื่นมือไปเช็ดคนข้างกายก็ผุดลุกขึ้นแล้วหันหลังให้กันซะก่อน

“ไม่ใช่แค่คนถูกทิ้งที่เจ็บปวด คนทิ้งก็เจ็บไม่ต่างกันหรอก แต่หมาพวกนั้นอาจจะเจ็บกว่าหน่อยเพราะมันมอบทั้งชีวิตและหัวใจให้เจ้าของมัน เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องช่วยให้มันมีชีวิตที่ไม่อดอยาก ช่วยให้มันอิ่มท้องเพื่อไม่ให้มันทรมานทั้งร่างกายและหัวใจ เราทำได้แค่นั้นแหละเซ”

ประตูห้องพี่ไปป์ปิดลงแล้ว ผมคิดว่าเขาคงกำลังร้องไห้ คนเรามักจะเซ็นซิทิฟเรื่องสัตว์เลี้ยงเสมอ อย่างเช่นตอนดูหนัง ใครจะตายก็ได้กูไม่ร้องไห้หรอกแต่พอหมาตายน้ำตาก็ดันไหลพรากลงมาซะอย่างนั้น

พี่ไปป์เองก็คงจะเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้ไม่น้อยเลย







เช้าวันอาทิตย์ที่ไม่มีกลิ่นกาแฟและเสียงความเคลื่อนไหวในครัวทำให้หลับยาวจนถึงเที่ยง

ลืมตาขึ้นมา มองไปที่ประตูห้องพี่ไปป์เป็นอย่างแรกก็พบว่ายังคงปิดเงียบ


ยังร้องไห้อยู่รึเปล่าวะ
ผมคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมากด เลือกรูปเจ้าหมาน้อยที่ดูตลกๆ ส่งให้เขาหนึ่งรูป พร้อมข้อความ ‘ผมน่ารักไหมครับพี่ไปป์’

มองหน้าจออย่างใจจดจ่อรอคอยให้อีกฝ่ายอ่านแล้วตอบให้สบายใจสักนิด

ที่จริงเรื่องเมื่อคืนผมนี่แหละที่ผิดเต็มๆ ถ้าไม่เปิดบทสนทนาเรื่องหมาจรจัดพี่ไปป์ก็คงไม่รู้สึกแย่ถึงขั้นร้องไห้

พี่ไปป์อ่านแล้วแต่ไม่ตอบ ผมจึงส่งรูปเจ้าหมาน้อยอีกตัวไป

‘แล้วผมล่ะน่ารักรึเปล่า’

เช่นเคย พี่ไปป์อ่านแล้วแต่ไม่ยอมตอบกัน แต่คนอย่างไอ้เซไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกส่งไปอีกรูปให้รู้กันไปว่าจะไม่ยอมตอบจริงๆ

‘พี่ไปป์ตอบหน่อย ผมน่ารักป่าว’

อะไรวะ ใจแข็งเป็นบ้าเลย ถามถึงหมาไม่ยอมตอบงั้นส่งรูปคนหล่อไปดีกว่ามั้ย

ผมเซลฟี่ตัวเองทั้งสภาพเพิ่งตื่น หัวยุ่งวุ่นวายก่อนส่งให้พี่ไปป์อย่างไม่ลังเล เอาจริงๆ สภาพไม่ค่อยดีหรอก ห่างคำว่าหล่ออยู่หลายขุม แต่ผมว่ามันตลกดีนะและหวังว่ารูปนั้นจะทำให้พี่เจ้าของห้องอารมณ์ดีขึ้นบ้าง

พี่ไปป์อ่าน

‘นี่ก็หมาเหรอ’

‘โห พี่ไปป์ นี่เซไง หล่อป่ะ’

‘สภาพเหมือนหมาจรจัด’

‘รับเลี้ยงไหมครับ เลี้ยงง่าย กินง่าย ขี้อ้อน น่ารักมากด้วยนะ’

‘หลงตัวเอง’

เงยหน้าจากหน้าจอมือถือก็พบพี่ไปป์ยืนกดเจ้าเครื่องมือสื่อสารพิงกรอบประตูห้องตัวเอง สีหน้าปราศจากความรู้สึกอย่างเช่นปกติ

“พี่ไปป์เซหิวแล้วอะ”

“บอกแล้วว่าคุณเหมือนหมาจริงๆ” ยอมเป็นหมาก็ได้ครับถ้าพี่ไปป์รับเลี้ยง







เราประชุมกันอีกครั้งในเช้าวันจันทร์ลากยาวถึงช่วงดึก ถ้าเทียบกับคิวออนแอร์ในอีกไม่ถึง 1 เดือน เราดำเนินงานกันช้ามาก และยิ่งเป็นรายการเกี่ยวกับสัตว์ที่ควบคุมแทบไม่ได้ด้วยแล้ว งานนี้ถือว่าเสี่ยงสุดๆ เลย
“ร่างพังแล้วครับพี่ไปป์” ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาทันทีเมื่อกลับมาถึงห้อง

ตั้งแต่ย้ายมานอนห้องพี่ไปป์จริงจัง โซฟาซึ่งเป็นที่พักพิงทำผมเมื่อยขบไปทั้งตัว และยิ่งวันนี้ที่ต้องนั่งประชุมทั้งวันร่างกายก็ยิ่งใกล้คำว่าพังเข้าไปอีก

“นี่ยังถือว่าเด็กๆ นะ ทนหน่อย อนาคตคุณต้องนั่งประชุมนานกว่านี้”

“พี่ไปป์เคยประชุมนานสุดกี่ชั่วโมง”

“เกือบ 2 วัน”

“ประชุมเรื่องอะไร โคตรนาน”

“ตอนเลือกทางเดินชีวิตน่ะ ไปอาบน้ำ เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” ไม่เปิดโอกาสให้ไอ้เซซักต่อเลย

“ไม่อาบได้มั้ย”

“สกปรก”

โอเค อาบก็ได้ ทำไมต้องดุด้วยอะ ไอ้เซไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ







หลังจากวันจันทร์ผมก็ไม่ได้กลับมานอนห้องพี่ไปป์อีกเลย ใช้เวลากินนอนอยู่ออฟฟิศพี่อาร์ม 4 วันเต็มเพื่อเตรียมถ่ายรายการวันเสาร์ที่จะถึงนี้

ตลอดเวลาที่ดูสคริปต์ เตรียมความพร้อมต่างๆ ผมก็คิดนะว่างานเหี้ยอะไรจะด่วนขนาดนี้ หนักกว่าธีสิสไอ้เซอีก หน้าเหียกหมดหล่อแล้วเนี่ย คิดถึงพี่ไปป์ด้วย อยู่ห้องคนเดียวต้องเหงาแน่เลย

“พี่อาร์มเดี๋ยวผมกลับไปเอาของที่ห้องพี่ไปป์นะเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่”

“มึงตื่นทันเหรอ นัดกองตี 5 นะครับน้องไม่ใช่เที่ยง”

“รู้น่า มาทันแน่นอน”

“ถ้ามึงมาไม่ทันกูฟ้องพี่ปกรณ์”

ถึงพี่มันไม่ฟ้องคุณปกรณ์ก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไอ้เซอย่างกับติดจีพีเอสกับกล้องติดตามตัวเอาไว้อยู่แล้วโว้ย

ผมไม่ได้ต่อคำกับพี่อาร์ม ส่งข้อความบอกพี่ไปป์ว่าขอกลับไปกินข้าวเย็นด้วยแล้วก็คว้ากระเป๋าโบกแท็กซี่ออกมาเลย ตอนนี้ไอ้เซมีเงินแล้ว ไม่ต้องพึ่งรถเมล์ฟรีนานๆ มาทีแล้วนะครับผม

นี่สินะที่เขาว่าไม่เห็นหน้าเห็นหลังคาบ้านก็ยังดี แต่ในกรณีของผม พี่ไปป์อยู่คอนโดไง เห็นแค่ประตูทางเข้าไอ้เซก็อยากจะวาร์ปขึ้นไปหาแล้ว

‘อยู่หน้าคอนโดครับ’ ถ่ายรูปแนบข้อความยืนยันว่าผมมาถึงแล้วจริงๆ

‘เดี๋ยวลงไปรับ’

‘เซหิว’

‘นี่ไม่ใช่โรงทานนะครับน้อง’

ส่งสติกเกอร์อ้อนเขาไปตัวนึงก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอข้างใน ไม่นานพี่ไปป์ก็ออกจากลิฟต์มา แต่งตัวสบายๆ คีบรองเท้าแตะทั้งที่น่าจะเพิ่งเลิกงาน

เขายิ้มนิดๆ เมื่อหันมาสบตากัน สงสัยคงจะคิดถึงผม เห็นหน้ากันแล้วเบิกบานเชียว

“ไปกินข้าวข้างนอกกัน” เพิ่งสังเกตตอนนี้ว่าในมือพี่ไปป์มีโบชัวร์ร้านอาหารอยู่

“บุพเฟต์อีกเหรอครับ”

“ทำไม ไม่อยากกินเหรอ”

“ที่ยิ้มเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะเจอเซแต่เพราะเจอคนแกะกุ้งใช่มั้ย”

“ก็แกะให้หน่อยแลกกับที่ซุกหัวนอนอะ ไม่ได้เหรอ”

“ลองอ้อนสิ เผื่อเซใจอ่อน”

“ฝันกลางวันเถอะน้อง”

เด็ดเดี่ยวใจแข็งขนาดนี้เมื่อไหร่ภารกิจพิชิตใจพี่ปกรณ์จะคอมพลีทวะ





[T B C]

ตอนนี้พี่ไปป์น่ารักขึ้นแล้วนะ ถึงจะนิดหน่อยก็เถอะ
เขาเซนซิทีฟเรื่องหมามาก เราเองก็เช่นกัน เหมือนที่เซว่า ดูหนังหรือละครใครตายก็ช่างแต่ถ้าหมาตายนี่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร 
เอาไว้เจอกันตอนหน้าเนอะ
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่า
 :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2017 19:16:30 โดย แจซอล »

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ แจซอล

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 134
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่ครับ 07


เรานัดรวมพลที่สตูดิโอในเช้าวันเสาร์ตอนตี 5 ผมที่ลากสังขารมานอนมองประตูห้องนอนพี่ไปป์ถูกปลุกตอนตี 3 ครึ่ง

ให้ตายเถอะพี่ไปป์ เพิ่งได้นอนไปตอนเที่ยงคืนเอง

“ไหวป่ะเนี่ย”

“ง่วงมากอะ พี่ไปป์คาดเบลท์ให้เซหน่อย” ผมเอียงคอซบเบาะ มองคนข้างกายตาเป็นประกาย อ้อนสุดฤทธิ์

“เป็นง่อยเหรอ” เวลาไม่ทำให้พี่ไปป์อ่อนโยนขึ้นแต่อย่างใด

“ถ้าไม่รัดเข็มขัดโดนปรับไม่รู้ด้วยนะ”

เมื่อคืนกว่าไฟในห้องนอนพี่เจ้าของห้องจะดับลงก็เกือบเที่ยงคืนเหมือนกัน สงสัยว่าทำไมสีหน้ายังดูสดใสอยู่

“เซไม่เข้าใจอะพี่ไปป์”

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องรายการเนี่ย ทำไมถึงรีบออกอากาศจังทั้งที่เราเพิ่งเริ่มทำเอง” มันกระชั้นชิดมากๆ อย่างที่อดสงสัยไม่ได้เลย

“อาร์มไม่ได้บอกเหรอว่าเราทำโปรเจ็คนี้กันมานานแล้ว”

“ผ่านเพราะเซเหรอครับ” จากคำพูดนั้นทำให้อดคิดอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้แหละ”

“สงสัยอะ เซดูเก่งและสำคัญเกินไป”

“ด้วยฐานะของคุณก็สำคัญแหละ” น้ำเสียงพี่ไปป์ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดแต่หัวใจคนฟังอย่างผมกลับบีบแน่นจนอึดอัด

“พี่ไปป์...”

“คิดว่าผมโง่ คิดว่าผมไม่รู้อะไรเลยเหรอ สิทธา ผมเป็นพี่เลี้ยงคุณนะ” เขามองผมด้วยสายตาที่ต่างออกไป น้ำเสียงสั่นนิดๆ ติดขำ

“พี่ไปป์ไม่เคยพูด แถมยังทำเหมือนไม่รู้ด้วยนี่นา” เพราะเป็นแบบนั้นมาตลอดผมจึงไม่กล้าฟันธงว่าที่จริงแล้วเขารู้เรื่องผมมากน้อยแค่ไหน

“ไม่พูด ไม่แสดงออก ไม่ได้แปลว่าไม่รู้เสมอไป คนฉลาดจะรู้ว่าเวลาไหนควรพูดไม่ควรพูด คุณเองก็ควรจะเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน” เหมือนถูกด่าว่าโง่เลยว่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก พี่ไปป์ว่าไงก็ว่าตามกัน

“พี่ไปป์สอนเซบ้างสิ”

“สอนไปก็ไม่จำหรอก อย่างเรื่องรายงานน่ะ เสียแรงเปล่าๆ” เอาทุกดอกจริงๆ นะคนเรา ถ้าคำพูดพี่ไปป์เป็นลูกธนูป่านนี้ร่างผมพรุนไปหมดแล้ว

ผมคาดเบลท์เสร็จพี่ไปป์จึงออกรถ  ที่จริงเขาจะไม่มาส่งก็ได้แต่พี่ไปป์น่ะใจดีอย่าบอกใคร ใจดีจนผมอยากเก็บเอาไว้คนเดียว

“เซสงสัย”

“สงสัยก็ถามจะได้รู้” สายตาเจ้าของรถยังคงจับจ้องที่ถนนข้างหน้า

“ทั้งที่พี่ไปป์รู้ว่าเซเป็นใคร รู้ด้วยใช่มั้ยล่ะว่าเซมีปัญหากับพ่อ ทำไมถึงยังช่วย ทำไมไม่ไล่กลับบ้าน”

“ต้องการอย่างนั้นเหรอ ไล่ตอนนี้เลยก็ได้นะ”

“ไม่เอาดิ พี่ไปป์ เซสงสัยจริงๆ ตอบหน่อยไม่กวน” พี่ไปป์ยิ้มที่มุมปากตอนที่เหลือบมองผม

พี่คนนี้น่ะ ยิ้มทีโลกของไอ้เซสดใสเลย

“แม่คุณบอกกับผมว่าคุณเป็นลูกชายคนเล็กที่รั้นมาก ผมก็เป็นลูกชายคนเล็กเหมือนกัน จะบอกว่าเข้าใจก็ใช่แหละ ที่จริงเราน่ะอยากจะกลับบ้านจะตายแต่ก็ฟอร์มจัดใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นสิ่งที่เราต้องการก็คือเวลา เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกโอเคเราก็จะกลับไปเอง คุณคิดอย่างนี้มั้ย” ที่จริงก็คิดนะ แอบสงสัยด้วยว่าตอนเด็กคนนิ่งๆ อย่างพี่ไปป์เนี่ยจะรั้นได้แค่ไหนกัน

“เล่าเรื่องพี่ไปป์ให้ฟังบ้างสิ”

“ทำไมต้องเล่า”

“อย่างฟัง”

“เหตุผลแค่เนี้ย”

“เซอยากรู้จักพี่ไปป์นะ อยากรู้ให้มากเท่าๆ กับพี่กริชเลย”

“ยากเลยนะนั่น ผมกับกริชเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว รวมๆ ก็ 10 กว่าปีแล้วมั้ง แต่กับคุณ เรารู้จักกันแค่ไม่กี่เดือนเอง ไม่มีทางที่คุณจะรู้จักผมได้มากเท่ากริชหรอก”

“ก็ค่อยๆ เรียนรู้ เริ่มจากวันนี้เลย ได้มั้ยครับ” อ้อนเขาด้วยเสียงหวานๆ หน่อยเผื่อคนกำลังอารมณ์ดีจะตอบตกลง

“ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องเรียนรู้กัน”

“พี่ไปป์อาจจะไม่มี แต่ไม่ใช่เซ เซไม่รู้นะว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หลายวันมานี้ที่ต้องขลุกอยู่กับพวกพี่อาร์มแล้วไม่ได้เจอพี่ไปป์ เซคิดถึงมากเลยนะ อยากเจอมากด้วย เมื่อคืนถึงได้กลับมาไง”

“กำลังสารภาพรักเหรอ” น้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สานั้นทำเอาผมใจแป้ว

“แล้วพี่ไปป์ว่าไง ถ้าเซสารภาพรักจริงๆ”

“ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณมากกว่ารุ่นน้องคนนึงหรอก และผมก็อยากให้คุณมองผมเป็นแค่รุ่นพี่คนนึงเหมือนกัน” คำพูดตรงๆ น้ำเสียงไร้ความรู้สึกและสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาทำเอาเจ็บไปสุดขั้วหัวใจ

“ทำไมอะ เซไม่ดีตรงไหน”

“ถ้าเราอยากได้แฟนเป็นคนดีเราคงคบกับพระกับแม่ชี นักบวช” ต้องขำป่ะ

“แล้วทำไมเป็นเซไม่ได้ล่ะ”

“ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” หมายความว่าหลังจากนี้ก็ยังมีหวังใช่มั้ย

“แล้วเมื่อไหร่ เซรอได้มั้ยอ่ะ ถ้าพี่ไปป์เปิดใจนึกถึงเซคนแรกได้รึเปล่า”

เขาไม่ได้ตอบคำถาม แต่อย่างน้อยก็ไม่ปฏิเสธ ระหว่างทางเขาแนะนำเรื่องการเขาหาหินผา บอกให้ผมค่อยๆ พยายามแสดงความจริงใจ อาจจะยากหน่อยแต่ผมไม่ตัดใจง่ายๆ หรอก ตั้งแต่เจอหินผา ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่นึกถึงแววตาเศร้าสร้อยและท่าทางห่อเหี่ยวของมัน ถ้าผมสามารถทำให้มันกลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง ไม่อยากจะคิดเลยว่าวันนั้นผมจะมีความสุขมากแค่ไหน

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมไม่มั่นใจเลยว่าระหว่างพิชิตใจหมากับพิชิตใจพี่ไปป์นี่อันไหนจะสำเร็จก่อนกัน







เหลือเวลาอีก 2 สัปดาห์ก่อนส่งงาน

เราใช้เวลาตลอดหลายสัปดาห์ขลุกอยู่กับพวกหมาแมวจรจัดที่วัด ตัวเอกของเราในซีซั่นนี้คือเจ้าหมาน้อย 4 ตัวตรงสนามเด็กเล่น หวังว่าเมื่อรายการออนแอร์มันจะได้เจอกับเจ้าของที่รักและต้องการมันจริงๆ

การถ่ายทำเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนในห้องสตูดิโอที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ส่วนความสัมพันธ์ของผมกับหินผาอาจจะยังไม่สนิทแต่เจ้าหมาก็ไว้ใจผมมากแล้ว มันกระดิกหางและทำตาเป็นประกายเมื่อเจอกัน ถึงกระนั้นก็ยังคงนั่งรอคอยเจ้าของอยู่ที่เดิม

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นวะเซ” อาจเพราะผมนั่งมองเหล้าในแก้วอย่างเหม่อลอยนานไปหน่อย เจ้ามือของวันนี้อย่างพี่อาร์มจึงถามขึ้นมาพลางยกแก้มมาชน

ตอนนี้เราอยู่ในร้านเหล้าใกล้ๆ มหา’ลัย ที่เราชาวนิเทศชอบมานั่งทุกครั้งเวลาไม่รู้จะไปที่ไหน

อย่างที่บอกว่างานยังไม่เสร็จหรอก แต่พี่แกบอกว่าอยากให้เติมพลังกันก่อนกลับไปลุยงานต่อ

“ว่าไงมึง ไม่สนุกเหรอ”

“นึกถึงเจ้าหินผาน่ะพี่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไง”

“คิดมากน่ามึง” พี่อาร์มตบไหลผมเบาๆ เพื่อปลอบโยน

“เป็นไปได้ไหมวะพี่ถ้าเราจะหาเจ้าของใหม่ให้มัน”

“หมาโตแล้วมันก็ยากหน่อยว่ะแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่อย่างหินผาคงยากว่ะมันไม่เอาใครเลย วันๆ นั่งรอแต่เจ้าของ”

“พี่แม่งไม่ให้กำลังใจเลยว่ะ”

“กูพูดความจริง ผิดตรงไหน” ไม่ผิดหรอกแต่ไม่ถูกใจ “มึงน่ะทำงานของตัวเองก่อนเถอะ เรื่องหมาพอรายการออนแอร์ สิ่งที่มึงคิดจะทำมันน่าจะง่ายขึ้น อย่าลืมสิว่าจุดประสงค์ของการทำรายการคืออะไร”

ลดการถูกทอดทิ้ง ลดความโดดเดี่ยว เติมเต็มความรักให้กับทั้งสัตว์และคน

“พี่ชวนพี่ไปป์ป่ะเนี่ย ป่านนี้แล้วยังมาไม่ถึงอีก” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้ตัวว่าบทสนทนาของผมทำให้งานเริ่มกร่อย

“เมื่อกี้กูโทรหาแล้ว บอกว่าเพิ่งประชุมเสร็จคงมาถึงดึกๆ”

“ผมโทรหาอีกดีมั้ยพี่”

“แล้วแต่มึงสิ ถ้าไม่กลัวโดนด่า” ไม่กลัวหรอก ไอ้เซชินแล้วจ้า

ผมวางแก้วในมือลงเพื่อโทรหาพี่ไปป์ รอสายอยู่นานจนสัญญาณตัดไป ผมโทรอีก 3-4 สายเขาก็ไม่รับจนถอดใจไปเอง บางทีพี่ไปป์อาจจะกำลังขับรถอยู่ล่ะมั้ง ขับไม่โทรอะไรแบบนี้

วงดนตรีวงที่ 2 เล่นไปแล้ว 3 เพลงบอกว่าเวลาล่วงเลยมาเกือบ 4 ทุ่มแต่พี่ไปป์ก็ยัง...

มาแล้ว

เจ้าของร่างโปร่งในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์พอดีตัวกำลังก้าวฉับมาทางนี้ ทรงผมพี่ไปป์ไม่ได้ถูกจัดแต่งเหมือนเวลาไปทำงาน ก็ขยำๆ ก่อนลงจากรถมาล่ะมั้ง เสื้อผ้านั่นก็ด้วยคงรื้อมาจากหลังรถ แต่พี่ไปป์ลุคนี้สะดุดตามากเลย

“ไงพี่ มาซะดึก”

“วันศุกร์รถติดฉิบหาย” เขาตอบพี่อาร์มแล้วนั่งลงข้างๆ กันเมื่อผมขยับเว้นที่ให้

“วงดนตรีวงที่ 2 แล้ว”

“เมาแล้วเหรอวะ เดี๋ยวไอ้กริชจะตามมา” วันนี้พี่ไปป์ดูชิวจนผิดหูผิดตา

“ไม่ได้เจอพี่กริชนานเลยว่ะ เป็นไงบ้างก็ไม่รู้”

“เพิ่งอกหัก ตอนนี้ติดแอพชื่ออะไรไม่รู้ที่หาคู่อะ”

“เล่นด้วยเหรอ ผมเคยเล่นนะพี่ แบบในรูปโปรไฟล์โคตรแจ่มพอเจอตัวจริงเท่านั้นแหละ แม่งเอ้ยหลอกลวง”

“แล้วมึงใช้รูปใครเป็นโปรไฟล์”

“ชีวอน ซุปเปอร์จูเนียร์”

“แม่ง 18 มงกุฏชัดๆ” สองพี่น้องหัวเราะร่วน ครั้งแรกเลยมั้งที่เห็นพี่ไปป์หัวเราะ ตอนยิ้มว่าน่ารักแล้วตอนหัวเราะโลกสดใสสุดๆ เลย

“เหมือนเดิมนะพี่” พี่อาร์มเริ่มตักน้ำแข็งใส่แก้ว

“เบาๆ นะเว้ย เอารถมา”

“พี่ไปป์ดื่มได้เท่าที่ต้องการเลยนะ เดี๋ยวเซขับรถให้”

“ไม่เป็นไร พี่คุณเลี้ยงนะสิทธา อาร์มน่ะไม่เลี้ยงใครง่ายๆ หรอก โอกาสมาก็ต้องคว้าไว้สิ” ผมไม่ได้ทำตามพี่ไปป์บอก ค่อยๆ จิบเหล้าในแก้ว ผมดื่มเหล้าไม่เก่ง มาร้านเหล้าทีไรต้องลำบากไอ้ยอดลากกลับทุกที และวันนี้ผมก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้พี่เลี้ยงของผมด้วย

สนทนาเฮฮากันอีกไม่นานพี่กริชก็มาร่วมวง สภาพเขาดีกว่าตอนเจอกันเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมาก สงสัยคงทำใจได้แล้ว

“แดกไม่รอสัด” มือแกร่งวางลงบนไหล่เพื่อนตัวเองแล้วแทรกตัวนั่งลงให้พี่ไปป์ขยับเข้ามาชิดผมจนไหล่ของเราเบียดกัน ผมอาศัยจังหวะนั้นสอดมือเข้าไปเกี่ยวเอวคนข้างๆ ไว้อย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ว่าอะไร

ดูจากท่าทางแล้วพี่ไปป์น่าจะคออ่อนพอตัวเลย ดื่มไปไม่เท่าไหร่แก้มแดงแล้ว

“เมาแล้วนะพี่ไปป์”

“ดื่มไปนิดเดียวเอง” พอผมกระซิบบอกก็ตวัดสายตามองแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาตอบใกล้ๆ จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ในลมหายใจ

ตาหวานขนาดนี้ไม่เมาเลยเนอะ

“ทำไมมึงมาช้าจังวะกริช”

“สาวที่คุยในแอพอยู่แถวนี้ก็เลยแวะไปหา”

“ได้แล้วเหรอวะ”

“ได้ห่าไร แค่ไปทักทาย น่ารักดีแต่มีผัวแล้ว สัดหลอกลวง” คืนนี้เจอคนถูกแอพหาคู่หลอก 2 คนถ้วน

“พี่กริชอยากมีแฟนเหรอ ผมแนะนำให้เอาเปล่า ผมรู้จักผู้หญิงสวยๆ ดีๆ เยอะเลยนะ”

“ไอ้กริชมันชอบผู้หญิงคาวาอี้ อิคึๆ คิมูจี” อันนี้เพื่อนสนิทคนหาแฟนพูดแทรก ท่าทางตอนจีบปากจีบคอพูดโคตรน่ารัก

“ไม่ใช่แล้วสัดไปป์นั่นมันนางเอกเอวีมั้ย”

“อ้าวเหรอ ก็เวลากูโทรหามึงตอนกลางคืนทีไรกูก็ได้ยินเสียงนี้ทุกทีเลยอะ”

“สัดไปป์หุบปาก เหี้ย ภาพพจน์กู”

“พี่เปลี่ยวขนาดนั้นเลยเหรอวะ เฮ้อน่าสงสาร” พี่อาร์มทำเป็นถอนหายใจให้คนถูกล้อจิ๊ปากแสดงออกว่าไม่พอใจไม่จริงจังนัก

“เหี้ยอาร์มมึงก็โสด”

“ก็ผมทำงานป่ะวะพี่”

“กูก็ทำงาน”

“นี่ไงพวกมึง ให้น้องคนรวยเค้าช่วยหา หาเผื่อพี่คนนึงด้วยนะเซ” แทนตัวเองแบบนี้เมาแล้วล่ะพี่ไปป์

“ไม่หาให้พี่ไปป์หรอก”

“ใจร้ายสัด” เจ้าตัวว่าแล้วกระดกเหล้าเข้าปาก ไหน เมื่อกี้ใครบอกว่าจะดื่มเบาๆ นี่ 4 แก้วแล้วนะ มากกว่าผมที่มานั่งก่อนอีก คออ่อนอีก เมาแล้วอีกต่างหาก

แต่มากกว่านั้น พี่ไปป์โคตรน่ารักเลย

“หมาน้อยหน้ามึง...” ผมละสายตาจากคนที่กำลังกระดกเหล้าเอื้อกๆ เพื่อมองชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่เรียกผมอย่างเป็นเอกลักษณ์

“หน้าผมทำไมพี่”

“เก็บอาการหน่อย”

‘ก็เพื่อนพี่น่ารัก’ ผมขยับปากเป็นคำพูดไม่ออกเสียง พี่กริชก็เลยเบ้ปากใส่ แกคงหมั่นไส้แหละ แล้วแต่ เซไม่แคร์หรอก

พี่ไปป์ พี่กริช ทีมพี่อาร์ม ทุกคนสนิทกันมากจนอดสงสัยว่ารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว

“พวกพี่สนิทกันจัง รู้จักกันมานานแล้วเหรอครับ”

“มากสิ พี่กริชเนี่ยสายรหัสกู พี่ไปป์เนี่ยพี่เทคพี่รหัสกู ไม่สนิทได้ไง”

“เดี๋ยวนะ พี่กริชกับพี่ไปป์เป็นรุ่นพี่ที่คณะเราเหรอพี่อาร์ม” ผมถามน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด

“นี่มึงไม่รู้เหรอ” อยู่ๆ ไอ้เซก็กลายเป็นคนโง่ รู้สึกเจ็บๆ คันๆ ที่หัวเหมือนเขาจะงอกออกมา

“ไม่เคยรู้เลย”

“ก็ไม่แปลกป่ะวะ ตอนที่หมาน้อยมันเข้าปี 1 พวกกูก็จบพอดี”

“ยังจำตอนที่บูมผิดได้อยู่เลย บูมง่ายๆ ยังทำไม่ได้ โคตรกาก” พี่ไปป์ตวัดสายตาปรือๆ เหมือนคนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่มองแล้วส่ายหน้าหน่าย

เอ้า! อันนี้ก็ความรู้ใหม่ ไม่เคยรู้เลยว่าครั้งหนึ่งมีโอกาสบูมบัณฑิตให้พี่ไปป์กับพี่กริชด้วย และถ้าพูดถึงเรื่องบูมล่ม นับครั้งไม่ถ้วนอะ ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องบูม ถนัดเรื่องหล่อไปวันๆ มากกว่า

“ไม่เห็นพี่ไปป์เคยเล่า”

“ต้องเล่าด้วยเหรอ ผมไม่ชอบเอาข้อด้อยของคนอื่นมาล้อมันเป็นการไม่ให้เกียรติคนอื่น อีกอย่าง...”

เสียงเพลงจากดนตรีวงที่ 3 ดังขึ้นคลอกับเสียงนักร้องที่มีเนื้อเสียงไพเราะจนต้องหยุดทุกคำพูดเพื่อหันไปมอง

พี่ไปป์ก็เองก็มองไปตรงนั้นเหมือนกัน อยู่ๆ ดวงตาปรือปรอยก็เบิกกว้างราวกับตกใจก่อนเขาจะผุดลุกขึ้น ล่ำลาคนอื่นๆ ก่อนก้าวนำไปก่อน หากเมื่อผมจะเดินตามก็ถูกพี่กริชรั้งเอาไว้ ฝากฝังเพื่อนอย่างรวดเร็วแล้วค่อยปล่อย อุตส่าห์รีบวิ่งเพราะกลัวจะตามไม่ทัน แต่เมื่อวิ่งออกมาถึงหน้าร้านก็เห็นเจ้าตัวยืนสูบบุหรี่อยู่ในโซนซึ่งไม่ห่างจากจุดที่ผมยืนมากนัก

นี่ก็ความรู้ใหม่ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ไปป์สูบบุหรี่ด้วย

“พี่ไปป์” ผมเดินเข้าไปใกล้ เจ้าตัวจึงขยับออกห่างคงกลัวว่ากลิ่นบุหรี่จะรบกวนผมล่ะมั้ง

“แป๊บนึง รอบุหรี่หมดก่อน” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนล้า

“สูบแล้วรู้สึกดีเหรอ”

“ก็นิดหน่อย” ตอบคำถามกันก็จริงแต่สายตากลับมองเข้าไปในความมืดตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย

“ขอลองบ้างได้ป่ะ”

“อย่าเลย ไม่ดีหรอก”

“พี่ไปป์ยังสูบได้” ผมยื่นมือเข้าไป ดึงดันที่จะลองให้ได้

“แล้วคุณต้องทำตามผมด้วยเหรอ ไม่คุยแล้ว กลับเหอะ” บุหรี่ในมือถูกดับลงก่อนกุญแจรถจะถูกส่งมา “ไม่เมาใช่มั้ย”

“ลองดมดูก็ได้”

“คุณน่าจะเมาน้อยกว่าผม” อยากให้ลองดมจริงๆ แต่พี่ไปป์ไม่ยอมทำตามเลย

“พี่ไปป์เป็นอะไร อยู่ๆ ก็วิ่งออกมา” ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน อยากรู้เรื่องเขาเพราะเป็นห่วง

“อยากกลับบ้านแล้ว” เขาบอกเสียงแผ่วเมื่อเดินนำมาหยุดที่รถยนต์ซึ่งผมคุ้นเคยดี และเมื่อเสียงปลดล็อคดังติ๊ดเจ้าตัวก็เปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งที่ฝั่งข้างคนขับ คาดเบลท์ หลับตาลงไม่เปิดโอกาสให้ผมถามอะไรอีกเลย

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความสงสัยในท่าทีแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับพี่ไปป์เมื่อครู่ก็ยังครุกรุ่นอยู่ในใจของผม ไม่มีทางที่มันจะจางหายไปหากไม่ได้คำตอบ บางทีพี่กริชอาจจะช่วยผมได้

เรามาถึงคอนโดตอนเกือบเที่ยงคืน

พี่ไปป์หลับลึกมากต้องปลุกอยู่นานทีเดียวกว่าจะปรือตาขึ้นมอง ปล่อยให้เขาเรียกสติตัวเองในความเงียบชั่วครู่แล้วผมจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูให้

“ไหวมั้ยครับ ให้เซช่วยพยุงมั้ย” ผมถามเมื่อโน้มลำตัวเข้าไปช่วยปลดเบลท์ ปลายจมูกผมเฉียดแก้มพี่ไปป์นิดหนึ่ง นิ่งกันไปชั่วครู่ก่อนผมจะผละห่างด้วยกลัวว่าจะห้ามตัวเองไม่ได้

“ไม่ได้เมาซักหน่อย”

“เดินตรงๆ ให้เซดูหน่อยสิถ้างั้น”

“ทำไมต้องทำตาม”

“เมา” ผมย้ำ

“ไม่เมา” หันมาชี้หน้าผมก่อนหรี่ตาเล็งทางเดิน ก้าวขาซ้ายก่อนแล้วก้าวขาขวา เดินตรงนะแต่ก็แค่สองก้าวเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นเป๋ไม่เป็นท่าจนต้องรีบรี่เข้าไปประครอง

ช้อนเอวได้ก็รีบถาม “ยังจะเถียงอยู่มั้ยว่าไม่เมา”

“ไม่เมา” เถียงเป็นเด็กเลย และเราก็เถียงกันอย่างนี้ตั้งแต่ลานจอดรถ ในลิฟต์จนถึงหน้าห้อง

ที่จริงผมจะแบกพี่ไปป์ขึ้นบ่าหรือให้เขาขี่หลังยังได้ แต่คนเมาไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ขนาดแค่กอดเอวเจ้าตัวยังเทียวแกะออก กอดแล้วก็แกะอยู่อย่างนั้นกว่าจะมาถึงห้องก็เล่นเอาเหงื่อตกกันเลยทีเดียว

“เซขอเข้าห้องนอนได้มั้ย” โอกาสมาถึงแล้วต้องลองขอดูซักหน่อย

“ไม่”

“กลัวเซเหรอ”

“ทำไมต้องกลัว”

“นั่นสิ ถ้าไม่กลัวทำไมไม่กล้าให้เซเข้าห้องนอนล่ะ”

“ไม่ใช่ไม่กล้า” เถียงเก่งมากนะคนนี้

“งั้นเซไปส่งพี่ไปป์ที่เตียง” ไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต ผมที่ยังไม่ปล่อยเขาให้เป็นอิสระฉวยโอกาสพาคนเกือบจะสิ้นแรงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปข้างในห้องนอน แสงไฟจากข้างนอกส่องเข้ามาให้เห็นตำแหน่งของเตียงนอนขนาดควีนไซส์ ผมค่อยๆ วางพี่ไปป์ลง มองเตียงนอนแล้วก็ได้แต่คิดว่าถ้าได้นอนด้วยกันคงอุ่นดี

ผมไม่ใช่คนหื่นนะเว้ย นอนในที่นี้คือนอนจริง นอนหลับอ่ะ ไม่ได้หมายถึงเรื่องเซ็กส์ แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าแอบคิดอยู่นิดนึงเหมือนกัน







เพราะผ้าม่านในห้องพี่ไปป์เป็นสีดำสนิทเราจึงไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั้นสว่างหรือยัง

ถึงไม่รู้เวลาแต่ร่างกายที่ได้นอนเต็มอิ่มก็ตื่นขึ้นมา ผมลืมตา แอร์ในห้องลูบไล้ผิวกายให้ขนอ่อนรวมใจกันลุกขึ้น ผมไม่ได้สวมเสื้อผ้าจึงรู้สึกว่าอากาศหนาวผิดปกติ อืม ไม่ต้องคิดไปไกลหรอก ผมแค่ชอบนอนแก้ผ้าเท่านั้นเอง

พี่ไปป์ที่นอนอยู่ข้างกันยังคงหลับสนิท

ผมขยับตัวเท้าแขนจ้องใบหน้าไร้ความรู้สึกอยู่นาน ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ พองโตจนรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง เผลอคิดไปว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากตื่นมาเจอเขาอย่างนี้ทุกเช้า

เนิ่นนานที่จ้องมองใบหน้าของพี่ไปป์อยู่อย่างนั้น ยามถอดหน้ากากคุณปกรณ์ออกนี่คนตรงหน้าผมก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วๆ ไปเลย

“ตื่นแล้วก็ควรจะลุกออกไปนะ” ริมฝีปากขยับเป็นคำพูดให้ผมสะดุ้งผงะถอยเกือบหลุดขอบเตียง เปลือกตาที่เคยหลับสนิทค่อยๆ ลืมขึ้น แม้เส้นผมจะยุ่งเหยิง สีหน้างัวเงียแต่พี่ไปป์ในสายตาผมก็ยังน่ารักมากอยู่ดี

ไม่รู้ตัวเลยว่าชอบเขามากถึงขั้นเพ้อตั้งแต่เมื่อไหร่

“เอ่อ เซเพิ่งตื่น”

“อือ กี่โมงแล้ว” เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยง

“สิบเอ็ดโมงครึ่ง”

“มิน่าล่ะ”

“อะไรครับ”

“หิว” ว่าแล้วก็ทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆ

“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

“ทำไม จะทำให้กินเหรอ อย่างคุณไม่น่าจะทำได้นะ”

“ดูถูกกันเกินไปมั้ยครับพี่ไปป์”

“แล้วทำอะไรได้บ้างล่ะ”

“เอ่อ...” ที่จริงก็ทำไม่ได้ซักอย่างอ่ะ บอกแล้วไงว่าผมน่ะเติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยนะครับ

“ทีหลังถ้าทำไม่ได้ก็แค่ยอมรับออกมาตรงๆ ไม่เห็นต้องอายเลย” แม้ยังงัวเงียแต่ก็มีอารมณ์สั่งสอนกัน วิญญาณพี่เลี้ยงในตัวพี่ไปป์โคตรแรง

“ทราบแล้วคร้าบ แต่ขอนอนต่ออีกหน่อยน้า”

“ไม่ได้ นี่มันเตียงนอนผม”

“ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกัน”

“สิทธา!!!” น้ำเสียงพี่ไปป์เริ่มขุ่นแล้วถ้าไม่ลงจากเตียงตอนนี้รับรองอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าอารมณ์เสียแน่นอน

“พี่ไปป์รู้ตัวป่ะว่าเวลาเมาโคตรน่ารัก ต่างจากตอนนี้มากเลย” เก็บเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมากอดพลางว่า ในใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ นะ กลัวถูกพี่แกด่าไง

“ก็ไม่ได้อยากน่ารักนะ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้ว”

“ก็ไม่เลวนะครับแต่นานๆ ทำตัวน่ารักบ้างก็ดีเหมือนกัน”

“คุณเป็นใครมาสั่งให้ผมทำตัวน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้”

“ตอนนี้อาจจะเป็นแค่รุ่นน้องแต่ในอนาคตอยากเป็นแฟนนะครับ”

อึ้งไปเลยเซ่ พูดไม่ออกเลย

จ้องตากันอยู่พักหนึ่งก่อนพี่ไปป์จะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากด เขินก็บอกครับพี่ ริ้วสีระเรื่อบนใบหน้ามันบอกผมหมดแล้วว่าพี่ไปป์กำลังเขิน

อาการแบบนี้หมายความว่า...ผมยังมีหวังใช่มั้ยวะ







เราสั่งอาหารง่ายๆ จากร้านอาหารตามสั่งขึ้นมากินด้วยกันเป็นมื้อเที่ยง

แม้ระหว่างกินข้าวต่างคนก็ต่างก้มหน้าตั้งใจกินแต่แค่รู้ว่าตรงข้ามมีพี่ไปป์นั่งอยู่ก็สุขใจแล้ว

“พี่ไปป์ไม่เคยบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่คณะ”

“ใครๆ เค้าก็รู้หมดยกเว้นคุณ ไม่คิดว่าจะซื่อบื้อขนาดนี้” แม้สีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่น้ำเสียงโคตรเย้ยหยัน

“รู้สึกหลังเขามากอะ”

“ก็หลังเขาจริงๆ ไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้ว่าผมเป็นรุ่นพี่คุณ”

“โคตรเซอร์ไพร์สเลย”

“พนักงานที่พลัสแชนแนลส่วนมากก็จบจากที่เดียวกับเราทั้งนั้นแหละ เยอะสุดคงเป็นนิเทศ รองลงมาน่าจะบริหาร ศิลปกรรม มนุษย์ นิติ”

“พี่ไปป์เรียนจบแล้วทำงานที่นี่เลยเหรอ จบเกรดดีมากเลยใช่มั้ย” ต้องดีมากแน่ เผลอๆ อาจจะเกียรตินิยม

“เกียรตินิยมอันดับ 2 ทำงานที่นี่ปีนึงแล้วได้ทุนไปต่อโทที่ต่างประเทศ” นั่นไง พี่ไปป์คนเก่งที่แท้ทรู

“พี่ไปป์เก่งอ่ะ”

“ก็เก่งแต่ไม่ได้เก่งทุกเรื่องหรอก”

“มีเรื่องไหนบ้างที่ไม่เก่ง”

“ไม่รู้สิ แล้วคุณรู้รึเปล่า”

“เซว่าพี่ไปป์แสดงความรู้สึกไม่เก่ง จบนิเทศจริงป่ะเนี่ย”

“ไม่ได้เรียนเอกการแสดง ถึงแสดงอารมณ์ไม่เก่งก็ไม่แคร์อยู่แล้ว และที่ผมถามว่าคุณรู้รึเปล่าไม่ได้หมายถึงผมแต่หมายถึงว่าคุณรู้รึเปล่าว่าคุณไม่เก่งอะไร”

“หลายอย่างเลย เซอะ เรียนก็ไม่เก่ง เป็นลูกที่ไม่ค่อยได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่เป็น รวมๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรดีเลยยกเว้นฐานะ” พูดแล้วก็นึกสมเพชตัวเองอยู่หน่อยๆ ถ้าหากไม่เกิดมารวยก็ไม่มีข้อดีอะไรเลยนะเนี่ย

“เรื่องฐานะนี่ไม่เถียงนะ น่าเศร้าเหมือนกันที่คุณไม่เก่งอะไรซักอย่างแต่รู้มั้ยสิทธา การที่เรารู้ว่าเราไม่เก่งอะไรเป็นใบเบิกทางให้เราได้พัฒนาตัวเองในเรื่องนั้นๆ ผมเชื่อนะว่าในอนาคตคุณต้องเป็นผู้บริหารที่เก่งมากแน่ๆ” ไม่แน่ใจว่าพี่ไปป์แค่ปลอบใจหรือคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ที่แน่ๆ คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับพลังวิเศษ

“พี่ไปป์เชื่ออย่างนั้นเหรอ มั่นใจในตัวเซขนาดนั้นเชียว”

“ก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่หรอก แต่เชื่อว่ากำลังใจเป็นพลังขับเคลื่อนที่ดี ผมแค่อยากให้กำลังใจคุณ”

“ในฐานะพี่เลี้ยงเหรอ”

“ก็ใช่ ในฐานะรุ่นพี่ด้วย”

“มากกว่ารุ่นพี่ที่คณะ มากกว่าพี่เลี้ยงไม่ได้เหรอ”

“อะไรล่ะ เพื่อนเหรอ ไม่คิดว่าตัวเองปีนเกรียวไปหน่อยเหรอสิทธา”

“เซรู้นะว่าพี่ไปป์รู้ไม่ต้องมาทำไก๋เลย”

“คุณไม่ได้ชอบผมหรอก คุณแค่เหงาก็เลยหวั่นไหวกับคนที่อยู่ใกล้ๆ หรืออาจจะเพราะผมดีกับคุณ ถ้าหากเป็นเพราะเหตุผลอย่างหลังผมก็อยากบอกให้คุณเข้าใจนะว่าผมไม่ได้ใจดีกับคุณเป็นพิเศษ มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสิทธา” ตัดให้ขาดเลยชับๆๆ หัวใจไอ้เซเนี่ย ถูกปฏิเสธทีแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

“พี่ไปป์เป็นคนตรงเนอะ พูดอะไรไม่รักษาน้ำใจเลย”

“นิสัยไม่ดีเลยเนอะ”

“นั่นสิ ทั้งที่พี่ไปป์โคตรจะไม่ถนอมน้ำใจกันแต่ไม่รู้ทำไมเซกลับยิ่งรู้สึกว่าอยากเข้าไปใกล้พี่อีก อยากรู้จักให้มากขึ้น พี่ไปป์โคตรน่าค้นหาเลยรู้ป่ะ”

“ค้นหาอะไร คนไม่ใช่กูเกิ้ล”

“เนี่ยตลกด้วย ไม่รู้เหรอว่าพี่แม่งโคตรน่ารักเลย”

พอถูกชมก็ทำเป็นไก๋ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้าตัวเขารู้หรือไม่รู้กันแน่ว่าตัวเองน่ะ...โคตรน่ารัก





[T B C]

พี่ไปป์น่ารักขึ้นแล้ว นิดนึง
เจ้าไปป์ฉลาดขึ้นแล้ว นิดนึง
ฝากติดตามกันต่อไป นิดนึง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-12-2017 20:30:09 โดย แจซอล »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด