พิมพ์หน้านี้ - JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: แจซอล ที่ 08-03-2017 20:55:13

หัวข้อ: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 08-03-2017 20:55:13
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



นิยายเรื่องอื่นๆ ของเรา

เสือของเอิ้น - จบแล้วจ้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54721.0)
Dear Friend ♥ เพื่อน(ที่)รัก - Updating... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61584.0)
คุณครูพี่มิน - Updating... (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=65959.msg3781936#msg3781936)




║█║▌║█║▌│║▌║▌█║


เซ ♥ ไปป์


(https://www.uppic.org/image-962B_5990605E.jpg)




“พี่ไปป์ เซเหมือนเด็กขายตัวเหรอ”
“ไม่รู้สิ”
“ถ้าเซบอกว่าเซเป็นนักศึกษา พี่ไปป์จะเชื่อเซมั้ย”
“หาเงินค่าเทอมเหรอ”


บทนำ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3596280#msg3596280)
บทนำ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3597949#msg3597949)
พี่ครับ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3603739#msg3603739)
พี่ครับ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3610349#msg3610349)
พี่ครับ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3616359#msg3616359)
พี่ครับ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3623084#msg3623084)
พี่ครับ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3630088#msg3630088)
พี่ครับ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3635673#msg3635673)
พี่ครับ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3641441#msg3641441)
พี่ครับ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3647830#msg3647830)
พี่ครับ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3654179#msg3654179)
พี่ครับ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3660194#msg3660194)
พี่ครับ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3665994#msg3665994)
พี่ครับ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3672585#msg3672585)
พี่ครับ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3678298#msg3678298)
พี่ครับ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3684581#msg3684581)
พี่ครับ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3688805#msg3688805)
พี่ครับ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3694349#msg3694349)
พี่ครับ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3700020#msg3700020)
บทส่งท้าย UP 15.9.17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58676.msg3704545#msg3704545)




หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {บทนำของสิทธา}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 12-03-2017 20:47:00
บทนำของสิทธา


ผมชื่อสิทธา แต่ใครๆ ชอบเรียกว่า ‘เซ’ แน่นอนสิ เพราะนั่นคือชื่อเล่นของเดือนนิเทศคนนี้ไง ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาผมไม่เคยไม่ชอบชื่อเล่นตัวเองสักครั้ง กระทั่งตอนนี้ ตอนที่ชีวิตของผมเซเหมือนชื่อ

“เซ มึงโอเคป่ะวะ” มองหน้ากูสิ คำตอบอยู่ในดวงตากูนี่

ถึงแม้ในใจจะกำลังร้อนเป็นไฟแต่ผมก็จำต้องพยักหน้าแล้วบอกคนตรงหน้าด้วยเสียงอันหนักแน่นว่า “กูโอเค” โอเคก็บ้าแล้ว

“กูว่าจะบอกมึงตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว แต่กูไม่กล้าว่ะ ขอโทษนะมึง” ไอ้โจมันตบไหล่ผมเบาๆ เพื่อปลอบใจ

ไอ้เหี้ย! ในใจผมนี่อยากจะปัดมือมันออกแทบขาดใจแต่สถานะผมตอนนี้จะหือจะอืออะไรได้วะ ไอ้เซมันก็แค่คนอาศัยนี่หว่า เจ้าของห้องเขาจะพาแฟนมาอยู่ด้วยแล้วเฉดหัวผมออกไปเมื่อไหร่ก็ย่อมได้อยู่แล้ว

“แล้วมึงจะไปนอนไหนวะ”

เก็บของเสร็จแล้วค่อยถาม มันไม่ช้าไปหน่อยเหรอวะ บอกเลยนะว่ากูไม่มีที่ไปหรอก แต่ก็บอกเขาไม่ได้หรอกครับ เดี๋ยวเพื่อนผู้มีพระคุณจะไม่สบายใจเปล่าๆ

“กูว่าจะไปนอนห้องพี่เอฟว่ะ” อ้างชื่อพี่รหัสไปอย่างนั้นกันเสียหน้าทั้งที่พี่เขาไม่รู้ไม่เห็นอะไรด้วยเลย

“เดี๋ยวกูแวะส่งมึงก่อนได้นะแล้วค่อยไปรับเขาที่สนามบิน” เขาที่ว่าก็แฟนมันแหละครับ แหมมึง กูควรซึ้งใจใช่มั้ย ไล่กูออกจากห้องแบบไม่ให้ตั้งตัวแล้วยังมีน้ำใจให้ติดรถไปด้วยอีก ควรกราบแทบเท้าหรือแนบอกดีล่ะ

“ไม่เป็นไรมึง เดี๋ยวกูนั่งแท็กซี่ไปเองได้”

“เอางั้นเหรอวะ ตามใจมึงนะ” ก็ต้องตามใจกูแหละ เพราะถ้าตามใจมึงเรื่องที่กูโกหกว่าจะไปพักกับพี่เอฟคงแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี







ผมโบกแท็กซี่หลังจากแยกกับไอ้โจที่หน้าคอนโด บอกให้พี่เขาขับไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ขณะที่กดมือถือไล่ดูรายชื่อเพื่อนไปเรื่อยๆ เอาจริงๆ นะ เพื่อนผมส่วนใหญ่มันก็มีแฟนกันหมดแล้ว ดึกดื่นป่านนี้เขาก็คงอยู่ด้วยกันจะให้ผมโทรไปขัดจังหวะก็กระไรอยู่ ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนเป็นค้นหาห้องพักรายวันจากกูเกิ้ล ไม่นานก็เจอที่ที่พอจะให้ซุกหัวนอนได้

ทว่า...

กึก! กึก!

ขณะที่กำลังจะบอกจุดหมายแก่พี่แท็กซี่นั้นรถก็กระตุกแล้วหยุดลงที่กลางถนน

ฉิบหาย! อะไรมึงจะซวยขนาดนั้นวะไอ้เซ

“ขอโทษนะน้อง พี่คงส่งน้องได้แค่นี้” พี่คนขับหันมายิ้มแหย ผมมองมิเตอร์แล้วจึงควักตังค์จ่ายทว่าพี่เขากลับปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรน้อง พี่ส่งน้องไม่ถึงจุดหมาย ไม่กล้ารับเงินหรอก”

ผมนิ่งไปพักหนึ่ง มองค่ารถบนมิเตอร์อย่างครุ่นคิด “ผมจะลงแถวนี้พอดีเลยพี่”

“แถวนี้อะนะ” พี่แกถามย้ำด้วยสีหน้าสงสัยผมจึงพยักหน้าย้ำให้พี่คนขับแน่ใจ ยัดเงินจำนวน 200 ใส่มือแล้วจึงชิ่งลงจากรถมาเลย

ใจจริงก็อยากอยู่เป็นเพื่อนพี่แกหรอก แต่ตอนนี้ผมโคตรง่วงเลยว่ะ

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่าทางเดินเท้าค่อนข้างมืด สงสัย กทม. ประหยัดไฟ ผมกระชับกระเป๋าเป้บนไหล่ คลำดูกระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงเพื่อความชัวร์ ก็นะ ถึงจะแมนๆ แต่เดินในที่มืดคนเดียวมันก็ค่อนข้างที่จะระแวงอยู่สักหน่อย

เดินมาสักพักก็เจอใครสักคนซึ่งยืนอยู่ข้างต้นไม้บนทางเดินเท้า ไม่สิ ไม่ใช่แค่คนเดียว แต่หลายคน และแต่ละคนก็จับจองเป็นเจ้าของเสาไฟฟ้าและต้นไม้คนละต้น

“ตรงนี้ไม่ว่าง” เด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าจะถึง 20 ว่าเสียงแข็งจ้องกันตาขวางเหมือนหมาห่วงถิ่นเมื่อผมหยุดมองเขา

พอจะเข้าใจแล้วว่าที่นี่มันเป็นสถานที่แบบไหนกัน มิน่าล่ะพี่แท็กซี่ถึงถามกันแบบนั้น

“กูไม่ได้ขาย” ผมว่าด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งทะนงตน

เด็กนั่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเบ้ปากเหยียดเหมือนไม่เชื่อ แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก บริบทตอนนี้มันชวนให้คิดว่ามาขายเหมือนๆ กัน

คิดดูแล้วก็... ขอสบถคำหยาบหน่อยเถอะ

แม่งเอ้ย! แล้วแท็กซี่ก็มาเสียถูกที่ซะด้วยนะ อะไรมึงจะซวยซ้ำซากแบบนี้วะเซ

เอาล่ะไอ้เซ มึงต้องตั้งสติ ยังไงซะมึงก็ต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ผมรีบจ้ำอ้าว แต่ใครจะไปรู้ว่าความซวยของผมมันยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่ออยู่ๆ ก็มีไอ้บ้าหัวเกรียนโผล่พรวดออกมาจากข้างเสาแล้วชนผมเข้าอย่างจังจนล้มลง

ผมลุกขึ้น ปัดฝุ่นตามเนื้อตัวขณะมองไปยังคนที่กำลังต่อรองราคากับเจ้าของรถหรูแล้วก็ได้แต่กำมือแน่น ผมโกรธมากเลยนะ อยากเอาเรื่องแต่ก็ไม่อยากแลกเพราะไม่รู้ว่าแถวนี้แม่งเถื่อนแค่ไหน

ไอ้คนนั้นขึ้นรถหรูไปแล้ว ผมมองตามมันแล้วส่ายหน้า ได้แต่สงสัยว่าอาชีพอื่นมีตั้งมากมายทำไมต้องมาขายร่างกายแลกเงินด้วย

“น้อง!!!”

เสียงเรียกทำให้ผมถึงกับสะดุ้ง มองเข้าไปในรถแล้วก็ชี้นิ้วเข้าหาตัวเพื่อถามว่าเรียกผมเหรอ

“เออ น้องนั่นแหละ มานี่ดิ๊” ผู้ชายในรถไขข้อสงสัยให้ ผมยืนนิ่งงุนงงในสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปหาตามเสียงเรียก “เท่าไหร่”

อะไรเท่าไหร่ เดี๋ยวนะ ไอ้พี่นี่คิดว่าผมขายเหรอ จะบ้าตาย นี่เซครับ เดือนนิเทศมหา’ลัยชื่อดังเชียวนะโว้ย

“ผมไม่ได้ขาย” ผมตะคอกตอบด้วยอารมณ์โกรธจัด หัวไอ้เซร้อนมากตอนนี้ ร้อนสุดๆ

“ครั้งแรกล่ะสิ ทำอะไรได้บ้าง” ไม่ได้ฟังที่ผมบอกเลยใช่มั้ย ต้องให้ย้ำอีกทีสินะ

“ผมแค่ผ่านมาไม่ได้ขาย” เนี่ยกูตะคอกพี่มันเสียงดังมากเลย โปรดสัมผัสถึงความโกรธของผมด้วย

“ขึ้นรถสิ” เขาว่าแล้วเอื้อมมือมาปลดล็อคประตูด้านข้างคนขับ

เอากับมันสิ ไม่ได้ฟังผมเลยจริงๆ แต่แทนที่ผมจะผละออกมาแต่ไอ้เซกลับยืนลังเลครุ่นคิด

เอาไงดีวะ ผมชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าถ้าติดรถเขาออกไปแล้วค่อยบอกตอนที่พ้นจากตรงนี้ว่าไม่ได้ขายจะดีหรือเปล่า เขาจะโกรธไหม แต่เอาเถอะ ประเมินจากรูปลักษณ์แล้วถ้าจะวัดก็คงสูสี คิดดังนั้นผมจึงเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งข้างเขา

“ว่าไง พี่ต้องจ่ายเราเท่าไหร่” เขาถามอีกเมื่อออกรถ

ผมไม่ได้ตอบเขาทันที เลี่ยงไม่มองหน้าคนข้างๆ ด้วยการหยิบมือถือขึ้นมากด

“ขายมานานแล้วล่ะสิถึงได้มีเงินซื้อมือถือราคาแพงใช้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าคิดพี่แพงมากนะ” มือถือนี่พ่อไอ้เซซื้อให้นะ บ้านรวยมาก แต่ตอนนี้ไม่มีที่ซุกหัวนอนเพราะดันไปทำหัวแข็งใส่เจ้าของนามสกุล สภาพก็เลยเป็นเงี้ย

“บอกแล้วไงว่าผมไม่ขาย” ผมละสายตาจากมือถือเพื่อเหลือบมองคนที่กำลังยิ้มหยัน

“โรงแรมข้างหน้านั่นก็คงโอเคเนอะ” ไอ้พี่นี่ไม่ได้เอาหูมาด้วยถูกมั้ย

“พี่ครับผมบอกว่าผมไม่ขาย” ผมย้ำแต่เขาก็หาได้สนใจไม่ เขาตบไฟเลี้ยวแล้วจึงหักพวงมาลัยพารถเข้ามาในโรงแรมที่ว่า มันคือโรงแรมม่านรูดล่ะ เมื่อม่านปิดลงเขาก็ดับเครื่องยนต์

“สรุปว่าน้องคิดเท่าไหร่นะ น้องนี่หน้าตาคุ้นๆ นะ”

ถามแล้วก็จ้องหน้าผมเขม็งเหมือนกำลังใช้ความคิดแต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้นเขาก็เปิดประตูก้าวลงจากรถเพื่อไปเปิดประตูข้างหลัง ผมมองตามและก็เพิ่งรู้ตอนนี้นี่เองว่ามีใครอีกคนนอนหลับอยู่ที่เบาะหลังด้วย

“มาช่วยกันหน่อยสิ”

ผมควรจะปฏิเสธ แต่ขากลับขยับไปเอง เป็นคนมีน้ำใจไงเห็นใครลำบากก็สั่นระริกอยากช่วยเขาไปหมด เราช่วยกันพยุงคนที่เพียงยืนใกล้ๆ ก็สามารถมึนเมาได้ด้วยกลิ่นเหล้าที่คละคลุ้งอยู่บนร่างกายของเขา

ร่างนั้นถูกทิ้งลงบนเตียง เขาขยับตัวนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้สติ

“พันนึงพอมั้ย”

เขาถามผมอีกครั้งพร้อมกับยัดแบ็งค์พันที่เพิ่งควักออกมากจากกระเป๋าสตางค์ที่เขาล้วงออกมากจากกระเป๋ากางเกงคนเมาใส่มือผม

“ฝากด้วยนะ” ตบไหล่ผมป๊าบๆ แล้วก็ออกจากห้องไป

เฮ้ย! อะไรวะ แบบนี้ก็ได้เหรอ ผมไม่รู้หรอกว่าพี่คนเมานี่เป็นอะไรกับคนเมื่อกี้แต่ว่าทิ้งเขาไว้กับคนแปลกหน้าแบบนี้ก็ได้เหรอวะ







ผมมองประตูที่ปิดลงด้วยความมึนงง ว่าแต่...ผมมาถึงจุดนี้ได้อย่างไรกันวะ จุดที่เข้าโรงแรมม่านรูดพร้อมกับเงินหนึ่งพันและคนเมาหนึ่งคนเนี่ย ผมมาถึงจุดนี้ได้ยังไง

ที่จริงผมจะออกไปตอนนี้เลยก็ได้แต่ผมทิ้งเขาไม่ได้ ถึงจะไม่รู้จักกันแต่ผมก็ทิ้งเขาไม่ลงหรอก เมื่อกี้แอบเห็นอยู่นะว่าพี่คนนั้นเอาของมีค่ากลับไปด้วยหมดเลย

ว่าแต่พวกเขาเป็นอะไรกัน ไม่ใช่ว่าไอ้พี่นั่นมอมเหล้าพี่คนนี้เพื่อปลดทรัพย์แล้วเอามาทิ้งไว้กับผมหรอกนะ ไอ้ห่า ถ้าเป็นอย่างนั้นไอ้เซก็แพะดิวะ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เสือกเอากระดูกมาแขวนคออีก

คิดแล้วก็เสียวสันหลังวาบ มองคนหลับแล้วก็คิดหนัก

เอาไงดีวะไอ้เซ ทิ้งเขาไว้แล้วชิ่งเหรอ เขาเป็นผู้ชายเขาเอาตัวรอดได้ใช่ไหมวะ แต่เขาเมานะมึง เมาไม่ได้สติเลยที่สำคัญพอหลับแล้วน่าขย้ำฉิบหาย ถ้ามีคนเข้ามาเห็นแล้วทำมิดีมิร้ายเขาล่ะ มึงจะไม่รู้สึกผิดเหรอวะเซ

เอาเข้าไป ทะเลาะกันเข้าไป ไอ้เซกับไอ้สิทธาเนี่ยทะเลาะกันเข้าไป ผมว่าผมใกล้จะเป็นบ้าแล้วว่ะ เถียงกับตัวเองเป็นตุเป็นตะเลย แต่ช่างแม่งละนอนเลยแล้วกัน พรุ่งนี้จะเป็นยังไงก็ค่อยว่ากัน พ่อใหญ่จะกลัวอะไรวะ

อีกอย่างนะเปลี่ยนบรรยากาศมานอนม่านรูดบ้างจะเป็นไรไป

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงข้างเขาเมื่อถอดเสื้อนอกออกพาดไว้บนเก้าอี้ มองคนหลับที่ยังอยู่ในเสื้อผ้าครบชุด เสื้อสูทนั่นคงทำให้อึดอัดน่าดู เสื้อเชิ้ตตัวข้างในนั้นอีก ผมขยับตัวนอนตะแคงมองคนหลับตรงๆ เต็มตาครั้งแรก เป็นผู้ชายที่ดูสะอาดสะอ้านมากทีเดียว บนใบหน้าหล่อเหลาปราศจากไฝฝ้าแม้แต่สิวเม็ดเล็กๆ ยังไม่มี ผมขยับเข้าไปใกล้เขาอีก มองใกล้ขนาดนี้ยังไม่เห็นรูขุมขนอะคิดดู ถ้าปิดจมูกแล้วดูเขาด้วยตาเฉยๆ คงมโนได้ว่าตัวเขาหอม แต่นี่จมูกไอ้เซยังทำงานอยู่ไงแต่ก็คงจะดับในไม่ช้านี้หรอก กลิ่นเหล้าหึ่งมาก ไอ้เซเวียนหัวสุด ถึงกระนั้นผมก็ยังมองเขาไม่วางตา แพขนตาที่ไม่ได้ยาวมากแต่น่ารักฉิบหายอะครับ จมูกที่ไม่ได้โด่งเป็นสันเข้ากับริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อ รวมๆ แล้วเขาโคตรดูดี

สงสัยนะครับว่าอะไรที่ทำให้เขาดื่มจนเมาไร้สติขนาดนี้ และอะไรดลใจให้ผู้ชายคนนั้นพาเขามาทิ้งไว้กับผมซึ่งคิดว่าเป็นเด็กขายบริการกันล่ะ

“ฮือ” เสียงครางเบาๆ ที่ดังออกมาจากริมฝีปากที่อ้าเผยอน้อยๆ ทำให้ผมผงะออก มองมือเรียวที่ปัดป่ายเนคไทเหมือนกำลังพยายามคลายมันออกแล้วเผลอยื่นมือออกไปช่วย

ผมจับมือเขาออกแล้วช่วยคลายเนคไท ช่วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสองเม็ดเผยผิวบริเวณลำคอที่น่ามองไม่ต่างจากใบหน้าของเขาเลย

ให้ตายเถอะ ทำไมถึงเป็นผู้ชายที่น่ามองขนาดนี้วะ แล้วนี่มึงจะเลียริมฝีปากทำไมไอ้เซ อยากชิมเขาเหรอ

เสื้อสูทถูกถอดออกเป็นลำดับถัดไป กว่าจะปล้ำถอดเสื้อเขาออกได้ก็หมดพลังงานไปเยอะเหมือนกัน ก็คนเมาอะครับตัวอ่อนปวกเปียกขนาดนั้นคงให้ความร่วมมือเราได้อยู่หรอก

เมื่อโยนสูทที่คาดว่าราคาน่าจะแพงพอตัวลงบนพื้นอย่างไร้ค่าแล้วก็ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ว่าควรปลดท่อนล่างออกด้วยมั้ย ถึงแม้เขาจะน่ามองมากแต่ผมไม่ได้คิดอกุศลหรอกนะ ตรงๆ อย่างมากก็แค่อยากชิมอะว่าเนื้อจะหวานหรือเปล่า ด้วยความสัตย์จริงที่ชั่งใจเรื่องถอดท่อนล่างนี้แค่อยากให้เขานอนสบายๆ เฉยๆ นะ เปล่าคิดอกุศลเลย

“เอ่อ...” ผมยกมือขึ้นลูบท้ายทอยขณะมองหน้าคนที่ยังคงหลับพริ้มไม่รู้เรื่อง “ขอโทษนะครับ” บอกเขาทั้งที่รู้ว่าเจ้าตัวไม่รับรู้อะไรหรอกแล้วจึงยื่นมือไปปลดเข็มขัดแล้วรูดออกก่อนจะโยนลงบนพื้นก่อนจะช่วยถอดถุงเท้า มองเจ้าตัวที่เอาเท้าขาวๆ ถูกันแล้วจึงช่วยห่มผ้าให้

แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วมั้ง ถ้าขืนถอดเยอะกว่านี้ ถ้าเจ้าตัวตื่นขึ้นมาตอนเช้าต้องเข้าใจว่าเราทำกันแน่ๆ

ผมทิ้งตัวลงข้างเขา กอดอกเพราะอากาศในห้องเย็นมาก คงเพราะตอนทำกิจกรรมในร่มมันจะร้อนล่ะมั้งถึงได้ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เย็นขนาดนี้ เพราะหนาวมากจนร่างกายรับไม่ไหวผมจึงลุกขึ้นหารีโมทเพื่อปรับอุณหภูมิแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนต้องถอดใจแล้วกลับมาทิ้งตัวลงนอนข้างเขาอีกครั้ง

ผ้าห่มก็มีแค่ผืนเดียวอีก เพราะงั้นก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันแม้จะเป็นคนแปลกหน้าแต่ห่มผ้าผืนเดียวกันคงไม่เป็นไรหรอก

คิดว่าเป็นผู้ชายเหมือนกันแล้วก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย

ผมขยับเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเขาย่นระยะห่างระหว่างเราให้น้อยลง

อุ่นจัง และความอุ่นที่โอบกอดร่างกายก็ทำให้ผมที่เหนื่อยล้ามาทั้งวันเข้าสู่ห้วงฝันอย่างง่ายดาย

กระทั่งในฝันผมก็ยังคงนอนอยู่บนเตียงซึ่งต่างกับความจริงตรงที่... ในฝันผมถูกใครบางคนโอบกอดจากด้านหลัง เขาคนนั้นซุกหน้าลงบนแผ่นหลังของผมจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ลอดผ่านเนื้อผ้าเข้ามาถึงผิวกาย สักพักมือที่สอดประสานกันที่อกของผมก็คลายออก

เดี๋ยวนะ อยู่ๆ มือข้างหนึ่งก็สอดเข้ามาสัมผัสผิวกายตรงหน้าท้องของผมจนขนอ่อนพร้อมใจกันลุกขึ้นมา

ความฝันนี้มันเหมือนจริงเสียจนผมต้องลืมตาตื่นขึ้นมา

“เฮ้ย!!” และก็ต้องร้องลั่นเมื่อผมไม่ได้ฝันไป

ผมถูกกอดจริงๆ และคนที่กอดผมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนแปลกหน้าที่ผมไม่รู้กระทั่งชื่ออย่างไรล่ะ

“คุณ” ผมจับมือซุกซนเอาไว้แล้วพลิกตัวเพื่อมองหน้ากันตรงๆ ทว่าคำห้ามปรามทั้งหมดก็เป็นอันต้องกลืนลงคอไปเมื่อได้มองหน้าเขาเต็มๆ ตา

เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมโตที่กวาดมองใบหน้าผมอย่างพิจารณา เหมือนกำลังคิดว่าเคยเจอหรือรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า

“ซะ...” เสียงเครือดังออกมาจากริมฝีปากอิ่ม เหมือนจะเรียกชื่อกันแต่ก็ไม่เรียก “ไม่น่าใช่”

เขาบ่นกับตัวเองแล้วยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของผม กุมเอาไว้แล้วโน้มใบหน้าเข้ามามองกันใกล้ๆ

ราวกับตกอยู่ในภวังค์เมื่อมองเข้าไปในดงตาของอีกฝ่าย ระหว่างเราเหมือนกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างเกิดขึ้น ระยะห่างค่อยๆ ลดน้อยลงเมื่อเขาเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ กลิ่นแอลกอฮอล์ที่ยังคงเจือจางอยู่ในลมหายใจของเขาทำให้ผมมึนงง ดวงตาพร่าเบลอมองหน้าเขาไม่ชัดเจนนักกระทั่งความนุ่มหยุ่นราวกับเจลลี่ทาบทับลงมาบนเรียวปากของผม

ผมนิ่งไปเมื่อนึกได้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่คือการจูบ ตั้งใจจะผละออกแล้วแต่ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยสัมผัสหวามไหวที่สอดแทรกเข้ามาภายใน

เอาวะ  ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เขาเป็นคนเริ่มก่อนนะผมก็แค่ปล่อยตามน้ำเท่านั้นเอง จูบมา จูบตอบไม่โกงแน่นอน

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เราแลกจูบกันราวกับโหยหา กระทั่งเขาเป็นฝ่ายผละออก ดวงตาของเรายังประสานกันแม้ว่าต่างฝ่ายต่างกำลังกอบโกยอากาศเข้าปอด

“คุณ…” ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยคคนตรงหน้าก็เริ่มต้นจูบอีกครั้ง สัมผัสซึ่งร้อนแรงตั้งแต่เริ่มต้นอย่างที่ผมเองก็ไม่คิดจะหยุดแล้วเหมือนกัน

ผมลูบไล้แผ่นหลังของเขาผ่านเนื้อผ้า ก่อนจะเคลื่อนต่ำลงมาที่สะโพก กอดเขาแน่นให้ร่างกายที่ตื่นตัวจากจูบร้อนแรงสัมผัสกันแนบแน่น เขาแทรกนิ้วมือเข้ามาในกลุ่มเส้นผมบนศีรษะของผม เราแลกจูบกัน เอียงหน้าให้ได้องศาที่ต้องการ เมื่อเขาหยุดผมก็เป็นรุก สลับกันราวกับคนที่หลงมัวเมา

ก็น่าจะใช่ ผมกำลังมัวเมากับรสจูบแสนหวานของเขาเข้าแล้วจริงๆ และก่อนที่เราจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้เขาก็ผละจูบออก

เสียดายแต่ก็คิดว่าดีแล้ว

ผมใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากทั้งที่สายตาของเรายังประสานกันและผมก็ต้องนิ่งสนิทอีกครั้งเมื่อคนที่ก่อนนี้ทำเพียงจ้องผมเฉยๆ โน้มใบหน้าเข้ามาแล้วใช้ปลายลิ้นแตะที่ริมฝีปากของผมเหมือนกับอยากจะช่วยเช็ด แต่ไม่ใช่อะครับนี่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ ยิ่งเลียยิ่งเลอะไปกันใหญ่

ผมดันตัวเขาออกในตอนที่รู้สึกว่าระหว่างเรามันชักจะเลยเถิดไปกันใหญ่แล้วทว่าเขากลับทำหน้าง้ำงอเหมือนเด็กถูกแย่งของเล่น น่ารักเสียจนคาดไม่ถึง

“ไม่ชอบเหรอ” ดวงตาฉ่ำๆ นั้นทำหัวใจของผมสั่นไหว

และก่อนที่ผมจะได้ตั้งตัวเขาก็โน้มใบหน้าเข้ามาอีก คราวนี้เขาใช้ปลายจมูกมนคลอเคลียกับปลายจมูกของผมไม่ห่าง การกระทำเหมือนกำลังออดอ้อนทำให้ผมแทบหยุดหายใจ

ร่างกายที่แนบชิดอยู่แล้วก็ยิ่งเบียดชิดอีกเมื่อคนที่คลอเคลียผมไม่ห่างเบียดร่างเข้ามา

มาถึงขั้นนี้แล้วถ้าผมหยุดกลางครันได้ล่ะก็อย่าเรียกผมว่าชายหนุ่มวัยกลัดมันเลย

ผมหลับตาลงเมื่อเขาผละห่างเพียงเสี้ยววินาทีก่อนลำคอของผมจะถูกรุกไล้ซุกซบและขบกัดด้วยริมฝีปากนุ่มๆ ฟันคมและปลายจมูกมน

เสื้อของผมถูกโยนออกไปจากร่างก่อนที่ร่างกายท่อนบนจะถูกสัมผัส

“ฮือ” ผมเผลอส่งเสียงเมื่อลิ้นชื้นและริมฝีปากนุ่มสร้างความสุขให้ทั่วทุกอณูผิว เขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

เราสบตากันอีกครั้งในตอนที่เขาซบหน้าลงบนหน้าท้องของผม ผมแทบหยุดหายใจในตอนที่มือเรียวปลดหัวเข็มขัด พอเขาตั้งท่าจะดึงมันออกผมจึงคว้ามือซุกซนข้างนั้นเอาไว้

นัยน์ตาคู่สวยสะท้อนคำถาม พอผมส่ายหน้าเขาก็ชักสีหน้าขัดใจใส่กัน

“ให้ผมทำ” ผมกระซิบตอนที่ช้อนใต้แขนเขาแล้วดึงให้ขึ้นมาทาบทับอยู่บนตัว

ยิ่งมองใกล้ๆ ยิ่งเห็นว่าเขาหน้าแดงมาก ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรือเพราะเมากันแน่ แต่จะเพราะอะไรก็ตามตอนนี้ผมไม่อยากรออะไรอีกแล้ว

“ถอดได้มั้ยครับ” เจ้าของเสื้อเชิ้ตที่หลุดลุ่ยก้มมองนิ้วของผมที่ลูบไล้กระดุม เขาไม่ได้ว่าอะไรแต่อนุญาตผมด้วยการส่งมือมาช่วยปลดมันออกเสียเอง

ผมหัวเราะในลำคออย่างพออกพอในใจท่าทางน่ารักนั้นและก็อดที่จะกดจูบลงบนหน้าผากของเขาไม่ได้เลย

คนบนร่างของผมนิ่งไปชั่วขณะกับสัมผัสอ่อนโยนที่ได้รับและผมก็อาศัยจังหวะนั้นกดปลายจมูกลงบนผิวเนื้อขาวๆ ของเขา คลอเคลียไม่ยอมผละห่าง

ร่างกายของคนในอ้อมกอดนุ่มนิ่มเหมือนหมอนข้าง

ไม่สิ เขาดีกว่าหมอนข้างมากเพราะเขามีชีวิต เขาตอบรับสัมผัสของผมได้ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เราคลอเคลียกันอยู่บนเตียง

ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอุณหภูมิในห้องไม่ได้ต่ำเกินไปเมื่อกิจกรรมบนเตียงร้อนแรงราวกับเรากำลังเต้นรำอยู่บนกองเพลิง





[T B C]


เปิดเรื่องใหม่ค่ะ
เป็นเรื่องราวของคุณชายของคนซวยอย่างเจ้าเซ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 ซึ่งถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน
กับพี่ปกรณ์ หนุ่มออฟฟิศสุดหล่อ ที่การเจอกันครั้งแรกไม่ค่อยจะน่าจดจำนัก
เจอกันในม่านรูดไงล่ะ

ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
แจ๊ส
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 12-03-2017 21:09:07
ค้างอย่างแรงงงงงงงงง
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 12-03-2017 21:54:43
 :katai2-1:  รอลุ้นค่ะ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-03-2017 22:08:24
ตอนแรกนึกว่าเซอาจจะเคะ (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {บทนำของพี่ปกรณ์ P.1}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 15-03-2017 21:13:24
 บทนำของพี่ปกรณ์



ผมชื่อปกรณ์ ที่จริงผมก็มีชื่อเล่นนะ แต่ที่ออฟฟิศชอบเรียกปกรณ์ ผมก็ปล่อยเลยตามเลย แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องชื่อหรอก จำได้ว่าเมื่อคืนผมดื่มหนักมาก แน่นอนว่าดื่มไปเยอะขนาดนั้นผมต้องเมาแน่ และพอเมา ไอ้กริชเพื่อนรักก็ควรจะพาผมไปส่งที่คอนโดสิ แต่บรรยากาศโดยรอบในตอนที่ผมลืมตาขึ้นมามันไม่ใช่เลย มองอย่างไรก็ไม่ใช่คอนโดของผมแน่ๆ

แอ๊ด!

ประตูห้องน้ำที่คอนโดผมไม่มีเสียงแบบนี้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เรื่องที่ควรสนใจคือ ใครเป็นคนเปิดประตู

มองตามเสียงและก็ต้องตกใจเมื่อพบกับเขา ชายหนุ่มที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกครั้งในสถานการณ์ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีเพียงผ้าขนหนูพันท่อนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรือนร่างของเขาดูดีจนผมเผลอมองอยู่นานกระทั่งเจ้าตัวเคลื่อนไหวนั่นแหละผมจึงเบือนหน้าหนี

“ตื่นแล้วเหรอครับ” มองที่ใบหน้าก็พบกับรอยยิ้มที่เหมือนกับเจ้าของมันตั้งใจโปรยเสน่ห์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขามี

ว่าแต่ผมมาอยู่ที่นี่กับเขาได้ยังไง ใครหิ้วใครมากันแน่

“คุณจะนอนต่ออีกซักหน่อยก็ได้นะ เมื่อคืนกว่าเราจะได้นอนก็ดึกเลย ร่างกายคุณคงอยากพักผ่อน”

ดูจากสภาพเตียงและร่องรอยบนร่างกายเขาก็พอรู้อยู่หรอกว่าเมื่อคืนเราทำอะไรกัน ถึงแม้จะรู้ว่าเรามีความสัมพันธ์ทางร่างกายแต่ผมกลับจำเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย

“เรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

“เอ๋” เขามุ่นคิ้ว “จำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ”

“ไม่ได้” ปวดหัวมากจนต้องยกมือขึ้นนวดขมับ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร

“เมื่อคืนคุณเมาหนักมาก ตอนนี้ปวดหัวใช่มั้ยครับ” ที่นั่งกุมขมับอยู่นี้คงเป็นอาการของคนปวดท้องมั้ง

เขามองผมแล้วอยู่ๆ ก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มเหมือนเอ็นดูก่อนจะรินน้ำในเหยือกใส่แก้วมาให้

“ดื่มก่อนครับ มันอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มากแต่คงดีกว่าไม่ทำอะไรเลย” เขานั่งลงข้างๆ มองผมที่กำลังจิบน้ำจากแก้วขณะไม่ละสายตาจากเขาสักวินาที

นี่ไม่ใช่ฝัน มันคือเรื่องจริงใช่หรือเปล่า

“พี่ชื่ออะไรครับ”

“ไปป์” บอกแล้วก็จิบน้ำในมือ

“พี่ไปป์ ผมเซนะ เสียใจจังครับทั้งที่เมื่อคืนเราเข้ากันได้ดีแท้ๆ แต่พี่กลับจำไม่ได้ ให้เซช่วยทวนความจำให้ดีมั้ย” เขาเรียกผมอย่างสนิทสนมพลางยื่นมือมาสัมผัสที่ไหล่

“ไม่ต้อง ไม่อยากจำ” ผมตีมือเขาดังเพี๊ยะให้เจ้าตัวรีบชักมือออก

“พี่ไปป์ใจร้ายจังครับ ทั้งที่เมื่อคืนเซออกจะใจดีกับพี่” เขาว่าเสียงอ้อน ยื่นมือมาหาผมอีกแต่ก็ถูกผมตีแรงๆ จนต้องชักกลับไป

“เลิกพูดถึงเรื่องเมื่อคืนซักที แล้วของของผมอยู่ไหน”

“เสื้อผ้า…” เขาปรายตามองพื้นให้ผมมองตาม

เสื้อผ้าของเรากองรวมกันอยู่บนพื้นที่ปลายเตียง เมื่อคืนเมาแค่ไหนกันวะไปป์ ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย

“แล้วกระเป๋าตังค์”

“เพื่อนพี่เอาไปหมด”

“อย่ามาโกหก” ผมบอกแล้วลุกขึ้นแต่ก็ต้องล้มลงเพราะแข้งขาอ่อนแรง คนตัวสูงกว่าเข้ามาประครองผมเอาไว้กลายเป็นว่าตอนนี้ร่างกายเปลือยเปล่าที่มีผ้าห่มคลุมอย่างหมิ่นเหม่ถูกกอดเอาไว้เต็มอ้อมแขน

“ก็บอกแล้วว่าให้พัก ร่างกายพี่น่ะ…”

“หยุดพูด!” พอถูกผมตะคอกเขาก็หุบปาก “ปล่อยด้วย”

“อะไรกันครับ เมื่อคืนพี่ไปป์ยังอ้อนให้เซกอดอยู่เลย ตอนนี้ไม่ต้องการแล้วเหรอครับ” ดูความเจ้าเล่ห์ของเขา อ้อนไม่พอแล้วยังมากระชับกอดอีก บอกให้ปล่อยไง ฟังภาษาคนไม่เข้าใจเหรอวะ

“ก็บอกแล้วไงว่าจำไม่ได้”

“ถึงได้บอกไงว่าเซจะช่วยทวนความจำให้”

“ไม่ต้อง” ผมดุพลางดันแผ่นอกแกร่งของเขาออกแต่ก็เหมือนเอาไม้ซี่ไปงัดไม้ซุง ปกติผมไม่ใช่คนอ่อนแอแต่เพราะเมื่อคืนใช้ร่างกายหักโหมไปหน่อยตอนนี้ก็เลยไม่ค่อยมีแรงเท่าไหร่

“แล้วจะเอายังไงต่อครับ นอนต่อหรือจะกลับ”

“กลับไงอะไม่มีตังค์ ถ้าอยากให้กลับก็เอาเงินมาดิ” ผมแบมือไปตรงหน้าเขา

“พี่ไปป์คงไม่ได้คิดว่าเซเอาเงินพี่ไปหรอกนะ”

“ไม่รู้สิ”

“เสียใจอะ ถ้าเซคิดจะขโมยของของพี่ไปป์ เซไม่มานอนกอดพี่อยู่อย่างนี้หรอก ป่านนี้หนีไปถึงไหนต่อไหนแล้ว” น้ำเสียงเขาเหมือนเด็กขี้งอน

“กี่โมงแล้ว” ผมไม่ได้ต่อปากต่อคำต่อเพราะรู้สึกว่าร่างกายตัวเองไม่ไหว ดวงตามันหนักๆ เหมือนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ทั้งที่เพิ่งตื่นขึ้นมาแท้ๆ

“10 โมงกว่าครับ”

“ขอนอนต่ออีกหน่อยได้มั้ย แล้วก็ปล่อยซักที มันอึดอัด” ผมหลับตาลงแล้วผลักอกแกร่งอีกทว่าแทนที่จะผละห่างเจ้าเด็กนี่กลับกระชับกอดแล้วแนบแก้มลงบนหน้าผากของผม

“ไม่กลัวเซหนีเหรอ ให้เซนอนกอดนะ เซก็ง่วงเหมือนกัน” อ้อนกันอีก เอาเถอะอยากทำอะไรก็ทำ ที่ยอมไม่ใช่ว่าผมใจอ่อน เพียงแต่ร่างกายไม่พร้อมสู้รบกับใครจริงๆ

ผมหลับไปทั้งอย่างนั้น อ้อมกอดของเขาก็อุ่นดี อุ่นเหมือนอ้อมกอดของใครบางคน คนที่ทำให้ผมถูกตราหน้าว่าเป็นคนใจร้าย







“พี่ไปป์ต้องเช็คเอาท์แล้วนะตื่นได้แล้วครับ”

สัมผัสแผ่วเบาไล้ที่กรอบหน้าแต่ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ลืมตาจนเสียงนั้นดังขึ้นอีก ใกล้อีก ชิดๆ ใบหู

“พี่ไปป์ถ้าไม่ตื่นตอนนี้จะเช็คเอาท์ไม่ทันนะครับ” คราวนี้สัมผัสไล้ลงมาที่ไหล่เปลือยเปล่า ท่อนแขน ลูบอยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ตอนแรกก็รู้สึกดีแต่พอถูกกวนมากๆ ก็ชักจะรำคาญจนต้องปัดมันออก หากอีกฝ่ายกลับไม่ยอมแพ้

ยอมเถอะ คนจะหลับจะนอน

“พี่ไปป์ ถ้าไม่เช็คเอาท์เซจะเช่าห้องต่อนะ และถ้าเช่าต่อเซก็จะกอดพี่ไปป์ต่อนะ” แก้มของผมถูกรุกรานด้วยปลายจมูกก่อนริมฝีปากจะแนบลงมา และถ้าขืนนอนต่อระหว่างเราต้องไม่จบแค่จูบแน่

“พอ!” ผมจำต้องลืมตาเมื่อถูกจูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก มองไอ้เด็กเจ้าเล่ห์เต็มตาแล้วจึงผลักอกแกร่งแรงๆ

“ไม่นอนต่อแล้วเหรอครับ”

“แล้วทำไมไม่ปลุกให้เร็วกว่านี้”

“ตอนพี่ไปป์หลับน่ารักมากครับ” ชมแล้วก็ยิ้มโปรยเสน่ห์

“ไม่ต้องมาหยอด ไม่เคลิ้ม”

“แต่เมื่อคืนพี่ไปป์ก็เคลิ้มไปกับเซทั้งคืนนะครับ”

“เซ!!” ผมดุแต่เขากลับยิ้มหน้าระรื่น

“ดีจัง พี่ไปป์จำชื่อเซได้ด้วย”

“ก็คุณแทนตัวเองว่าเซ เซ เซ อยู่นั่น ใครก็รู้หมดแหละว่าชื่ออะไร”

“สนใจเซใช่มั้ยครับ”

“หลงตัวเองเข้าไป แล้วนี่เลิกชวนคุยได้ยัง จะเช็คเอาท์ไม่ใช่เหรอรีบไปสิ”

“ไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเหรอครับ ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงนะ” เหลือบมองนาฬิกาติดผนังในระดับสายตาที่ปลายเตียงก็พบว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเที่ยง ยังมีเวลาอย่างที่เขาว่าจริง แต่...

“จะหาทางหนีล่ะสิ”

“พี่ไปป์ก็มองเซในแง่ร้ายเกินไป”

“แล้วทำไมผมต้องมองเด็กขายตัวอย่างคุณในแง่ดีด้วยล่ะ” คนถูกหาว่าเป็นเด็กขายตัวชักสีหน้าไม่พอใจ

ผมน่ะถึงแม้จะจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไหร่แต่ก็พอนึกออกอยู่ว่าก่อนเมาไอ้กริชบอกว่าจะพาไปหาเด็กมาช่วยคลายเหงา และพอตื่นขึ้นมาก็เจอเซ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา ทั้งยังไม่ค่อยอยากเชื่อว่าเขาขาย

“ถ้าพี่กังวลนักให้เซเข้าไปเฝ้าพี่ในห้องน้ำด้วยมั้ยล่ะ”

“เอาสิ” กล้าท้า คนอย่างปกรณ์ก็กล้าตอบรับอยู่แล้วไม่มีอะไรต้องกลัวเลย

ท้าทายกันด้วยสายตาอยู่ครู่หนึ่งผมจึงเลิกผ้าห่มออกแล้วพาตัวเองในสภาพไม่สู้ดีนักลุกจากเตียง เด็กหนุ่มตั้งท่าจะเข้ามาช่วยพยุงแต่ผมก็ยกมือห้ามไว้

ช่วยเหลือตัวเองได้น่าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นซักหน่อย

และเมื่อถูกผมห้ามไม่ให้โดนตัวเขาจึงถือผ้าขนหนูตามเข้ามา

ระหว่างที่ปล่อยให้น้ำอุ่นจากฝักบัวไหล่ผ่านกาย คนที่ยืนกอดอกพิงกำแพงก็มองผมไม่วางตา สายตาของเซทำให้รู้สึกแปลก อยากไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้แต่พอนึกได้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเชิญชวนเขาเองก็ได้แต่ทำเป็นไม่สนใจแล้วตั้งหน้าตั้งหน้าอาบน้ำต่อ

“พี่ไปป์” ผมปิดฝักบัวเมื่อได้ยินเสียงเรียก หันไปมองก็พบว่าดวงตาที่เคยมองผมราวกับจะกลืนกินเปลี่ยนเป็นจริงจังแล้ว “เซเหมือนเด็กขายตัวเหรอ”

“ไม่รู้สิ” ไม่เหมือนหรอก

“ถ้าเซบอกว่าเซเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาๆ พี่ไปป์จะเชื่อเซมั้ย”

“หาเงินค่าเทอมเหรอ” ผมถามกลับขณะยื่นมือไปรับผ้าขนหนูมาเช็ดตัว แล้วค่อยใช้ผ้าผืนเดียวกันนั้นพันกาย

“คิดว่าเซขายตัวจริงๆ งั้นสิ” เขาถอนหายใจ ทำหน้าซังกะตายแล้วเดินออกจากห้องน้ำไปก่อน

ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างสิทธาจะต้องมาทำงานไร้เกียรติแบบนี้ ไม่มีความเป็นไปได้เลย แล้วทำไมเราถึงมาเจอกันอีกครั้งในสถานการณ์ประหลาดๆ แบบนี้ล่ะ







เพิ่งสังเกตว่าเสื้อผ้าที่เคยกองอยู่ที่พื้นบัดนี้ถูกแขวนด้วยไม้แขวนไว้ที่ราวแล้ว แม้สภาพมันจะไม่ดีนักแต่ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่

“ขอบใจนะ” ผมหันไปบอกคนที่กำลังกดมือถืออยู่บนเตียง เพิ่งสังเกตอีกเหมือนกันว่าเสื้อผ้าเขาไม่เห็นจะสภาพแย่เหมือนเสื้อผ้าผมเลย

“เซช่วยมั้ยครับ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังก่อนตัวผมจะถูกหมุนให้หันไปเผชิญหน้ากัน

มือของผมที่กำลังง่วนอยู่กับการติดกระดุมถูกแทนที่ด้วยมือแกร่ง เซบรรจงติดกระดุมให้ทั้งแถวจนมิดคอ

“ที่คอมีรอยนะ”

“ตอนทำผมห้ามคุณหรือเปล่า”

“ห้ามครับ”

“แล้วทำไมไม่ฟัง”

“ก็พี่ไปป์น่ารัก” ถูกชมซึ่งๆ หน้าแบบนี้แม้ไม่คิดอะไรแต่ก็อดที่จะรู้สึกเก้อเขินไม่ได้

“ปฏิบัติแบบนี้กับลูกค้าทุกคนเลยเหรอ” ที่จริงเท่าที่ฟังไอ้กริชเล่ามา พอเสร็จก็แค่แยกย้ายไม่มีใครเขาอ้อยอิ่งดูแลกันแบบนี้หรอก

“เปล่าครับ”

“แล้วทำให้ผมทำไม เพราะผมน่ารักเหรอ” พอได้ยินอย่างนั้นเขาก็มองหน้าผมตรงๆ แล้วยิ้ม พอได้รับรอยยิ้มแบบนั้นหัวใจก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาซะอย่างนั้น

“คงงั้นมั้งครับ” กางเกงที่วางอยู่ใกล้ๆ ถูกยื่นมา “อันนี้ให้เซช่วยมั้ย”

“ไม่ต้อง” กางเกงถูกกระชากแรงๆ จากมือเขาให้เซหัวเราะหึๆ แล้วมองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ก่อนจะก้มลงมากระซิบ

“ที่จริงเซก็ไม่ถนัดใส่หรอกครับ ถนัดถอดมากกว่า” ไอ้เด็กเวร!

ผมผลักอกคนที่กำลังใช้มือป้วนเปี้ยนที่ปมผ้าขนหนูแรงๆ จนเจ้าของชื่อเซสมชื่อ เงยหน้ามองนาฬิกาอีกครั้งก็พบว่าอีก 10 นาทีจะเที่ยงแล้ว ผมจึงรีบใส่กางเกง พอเห็นว่าผมแต่งตัวเสร็จแล้วเขาก็ก้าวเข้ามาใกล้อีก พอเห็นว่าผมตั้งท่าจะเดินหนีเขาก็หัวเราะกวนประสาท

“กลัวอะไรครับ เซแค่…” ช่วยฉีดน้ำหอม “เสร็จแล้วเนอะ เช็คเอาท์เลยมั้ยครับ”

เขาเดินนำออกไปก่อน

เพิ่งรู้ความจริงตอนที่เดินพ้นประตูว่าผมอยู่ในโรงแรมม่านรูด ไอ้กริชนะไอ้กริช โรงแรมดีๆ มีไม่พาไปกลับมาทิ้งกันไว้ในโรงแรมม่านรูดกับเด็กค้าบริการเนี่ยนะ







ผมยินพิงกำแพงรออยู่ข้างนอกปล่อยให้เซเข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ ไม่นานนักเขาก็โผล่ออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“เพื่อนพี่ไปป์เคลียร์ค่าห้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนนี่...” กระเป๋าสตางค์ใบเรียบแต่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นของแบรนด์เนมถูกล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนเซจะส่งแบ็งค์พันมาให้ผม

มองเผินๆ เหมือนเขากำลังจ่ายค่าตัวให้ผมเลยอะ เช็คอิน โรงแรมม่านรูด

“เพื่อนพี่ให้เซเมื่อคืน แต่เซไม่ได้ขายเพราะงั้นเซไม่รับไว้ดีกว่า และก็...” ค้างประโยคเอาไว้แล้วก็หยิบเงินออกมายัดใส่มือผมอีก 500 บาท “ส่วนนี่ค่าเช่าห้อง ยังไงก็ใช้ห้องด้วยกันเซก็ควรหารด้วย”

ผมมองเขาด้วยสายตาเรียบนิ่ง มือหนึ่งถือเงินไว้ สมองกำลังคิดไปต่างๆ นานาแต่ก็หาข้อสรุปไม่ได้ซักที

“เราออกไปจากที่นี่ก่อนดีมั้ย” เซจับข้อมือผมอย่างถือวิสาสะ

เราเดินไปตามฟุตบาธท่ามกลางแดดตอนเที่ยง บอกเลยว่าร้อนฉิบหาย ร้อนจนต้องปลดกระดุมสองเม็ดบนออก ร่องรอยอะไรก็ช่างมัน ผมไม่สนแล้ว เดินมาสักพักก็เจอสวรรค์ สวรรค์ที่ว่าคือร้านกาแฟ เพียงเปิดประตูเข้าไปกลิ่นกาแฟก็เตะจมูกทันที หอมมาก ร่างกายต้องการกาแฟสุดๆ ไปเลย

“พี่ไปป์ดื่มอะไรมั้ย”

“ลาเต้” เซหมุนพัดลมเพียงตัวเดียวในห้องแอร์มาที่ผมแล้วค่อยเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ ระหว่างนี้ผมก็ใช้เวลาพิจารณากระเป๋าเป้ของเขาที่วางอยู่บนเก้าอี้ตรงข้าม

“ชอบกระเป๋าเซเหรอครับ”

“รุ่นลิมิเต็ทนี่”

“พี่ไปป์เจ๋งอะ เพื่อนที่มหา’ลัยเซยังดูไม่ออกเลยว่าเป็นลิมิเต็ท” เด็กหนุ่มตรงหน้าว่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พอทำท่าทางแบบนี้แล้วค่อยเหมือนคนอายุน้อยกว่าหน่อย

“แฟนเคยใช้”

คนตรงหน้าผมเงียบกริบ สีหน้าที่เคยตื่นเต้นกลับมาเงียบสงบตามเคย ปล่อยให้เขากวาดสายตามองนั่นนี่อยู่ครู่หนึ่งผมจึงแบมือไปตรงหน้าให้เด็กนั่นทำหน้างงหน่อยๆ

“ยืมมือถือหน่อยได้มั้ย”

“ได้ครับ” เขาปลดล็อคแล้วส่งไอโฟนให้ผมอย่างไม่ลังเล

เมื่อผมรับมาก็รีบกดโทรออกหาให้กริชทันที ไอ้เพื่อนสารเลวถ้ารับสายเมื่อไหร่จะด่าให้ขี้หูแม่งระเบิดเลย

“สวัสดีครับ เพื่อนปกรณ์ แต่ตอนนี้...” รอสายไม่นานไอ้ตัวก่อเรื่องก็รับสายด้วยเสียงสองที่โคตรเก็กหล่อ

“กูเนี่ยเพื่อนมึง ไอ้ห่ามึงคิดไงทิ้งกูไว้ม่านรูดวะ”

“เชี่ยไปป์ มึงเอาเบอร์ใครโทรมาวะ”

“ไม่เสือกนะกริช รถกูอยู่ไหน” เพิ่งถอยมายังผ่อนไม่หมดเลยครับ ก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา

“ของมีค่ามึงอยู่ที่กูหมด แล้วนี่มึงออกจากโรงแรมแล้วเหรอ” ดูมัน ยังมีหน้ามาถามอีก แหกตาดูนาฬิกมั้ยมันเลยเวลาเช็คเอาท์มาหลายนาทีแล้วครับ

“มารับกูที่ร้านกาแฟใกล้ๆ โรงแรมเนี่ย”

“กูขอเวลาครึ่งชั่วโมง”

“มึงรีบมาเลยสัดอย่าโอ้เอ้” ผมรีบตัดสายก่อนที่มันจะต่อรองแล้วส่งมือถือคืนเจ้าของ หากแต่คนเป็นเจ้าของกลับลุกขึ้นไปรับเครื่องดื่มซะก่อนที่ผมจะได้คืน

อย่าหาไร้มารยาทเลย ขอดูอะไรในเครื่องซักหน่อยเถอะ

ตอนแรกก็ไม่ค่อยมั่นใจหรอกว่าใช่เขา แต่เมื่อเห็นภาพหน้าจอซึ่งเป็นตึกเรียนที่ผมคุ้นเคยก็ยิ่งมั่นใจว่าใช่

“เรียนที่นี่เหรอ” ผมวางมือถือลงในจังหวะที่เจ้าของมันกลับมาพร้อมกับเครื่องดื่ม

“ครับ?” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาฟังดูงงหน่อยๆ แต่พอวางแก้วลงแล้วมองภาพหน้าจอเต็มตาถึงได้พยักหน้าแรงๆ “นิเทศปี 4 ครับ”

“ที่มหา’ลัยรู้รึเปล่าว่าขาย”

“เซบอกพี่กี่ครั้งแล้วว่าไม่ได้ขาย ถามจริง เซเหมือนเหรอพี่”

“ไม่ค่อยแต่ก็ไม่แน่ แล้วถ้าไม่ขายขึ้นรถมาด้วยทำไม”

“ก็เซไม่มีที่ไป อีกอย่างใครอยากจะยืนในที่แบบนั้นนานๆ วะ” เริ่มขึ้นเสียงจนผมที่เป็นรุ่นพี่มหา’ลัยอยากจะโบกสักที แต่ไม่ทำหรอก ต้องคีฟลุคถึงแม้จะไม่มีให้คีฟแล้วแต่ก็ไม่ควรหลุดอีก

“แล้วเมื่อคืนทำทำไม” ผมถลกคอเสื้อลงให้เห็นร่องรอยที่เจ้าตัวฝากเอาไว้เพื่อย้ำความหมายของคำว่า ‘ทำ’

“ก็...” ไม่ต้องมาอ้ำอึ้งเดี๋ยวก็ฟาดด้วยก้นแก้วกาแฟ “พี่ไปป์น่ารักอะ โคตรขี้อ้อนเลย ใครจะอดใจไหววะ”

ผมแทบสำลักลาเต้ตอนที่ถูกชมว่าน่ารัก ตั้งแต่เลิกกับแฟนเมื่อไม่นานมานี้ก็ไม่ค่อยมีใครชมว่าน่ารักเลย ถูกพูดใส่หน้าว่าหยิ่งบ่อยกว่าอีก

“ที่บอกว่าไม่มีที่ไปหมายความว่ายังไง เป็นเด็กมีปัญหาหนีออกจากบ้านเหรอ”

“แม่นมาก แต่เซไม่ใช่เด็กมีปัญหา”

“กลับบ้านไปซะ อย่ามาทำตัวเหลวไหลแบบนี้”

“เป็นเมียเหรอ มาสั่ง”

“เซ ผมเป็นพี่คุณนะ”

“พี่อะไร นอนด้วยกันก็ต้องเป็นเมียดิ ไม่คุยกับพี่ไปป์แล้ว ไปดีกว่า”

เซจบบทสนทนาของเราด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เก็บของตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินออกจากร้านไป โดยไม่มองกลับมาอีก

ทั้งที่ดูเหมือนเป็นเด็กดีแท้ๆ แต่กลับบอกลากันอย่างหยาบคาย อย่าให้เจออีกละกัน จะดัดนิสัยให้เข็ด





[T B C]


ให้โอกาสพี่ปกรณ์ได้เล่าบ้าง เพราะหลังจากนี้น้องเซจะโซโล่เอง
แล้วก็จะบอกว่าเซแมนนะครับ ถึงจะดูง้องแง้งในบางทีแต่ก็แมนนาจา
 :mew1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {บทนำของพี่ปกรณ์ P.1}
เริ่มหัวข้อโดย: BaGgYsOdA ที่ 17-03-2017 23:22:54
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {บทนำของพี่ปกรณ์ P.1}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 18-03-2017 07:33:01
ไม่ทวนความจำถือว่าพลาดแล้วนะคะพี่ ร่างพังขนาดนี้ อิอิ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {บทนำของพี่ปกรณ์ P.1}
เริ่มหัวข้อโดย: Bk borz. ที่ 18-03-2017 11:25:28
ชอบมากอ่ะ5555555
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {บทนำของพี่ปกรณ์ P.1}
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-03-2017 11:52:00
 :katai5:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {บทนำของพี่ปกรณ์ P.1}
เริ่มหัวข้อโดย: Bk borz. ที่ 23-03-2017 20:19:32
จะไม่มาต่อจริงๆเหยออ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 01 25-03-17}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 25-03-2017 13:39:07
พี่ครับ 01


 “สิทธาเมื่อคืนมึงไปนอนไหนมาวะ” ผมโคตรอยากจะฟาดไอ้ยอดด้วยกระเป๋ารุ่นลิมิเต็ทอิดิชั่น เป็นคนเฉดหัวผมออกจากห้องเองยังมีหน้ามาเสแสร้งทำเป็นห่วงใย ขอโทษนะไอ้เซกินข้าวครับไม่ได้กินหญ้า

“ห่ายอด มึงไม่ต้องเลย” ไอ้เซงอนอะ งอนมากเลย

ตั้งแต่ออกจากห้องไอ้โจมาก็เดือนกว่าแล้ว ไม่อยากเชื่อก็จงเชื่อเถอะว่าไอ้เซลูกคนรวยเปลี่ยนที่นอนมาแล้ว 3-4 ที่ ขอเขานอนไปทั่วแหละ เงินไม่มีไง

มานี่มาจะเล่าให้ฟัง

ความบัดซบของชีวิตไอ้สิทธาเริ่มขึ้นตอนขึ้นชั้นปีที่ 4 ในวันเกิดของคุณพ่อซึ่งเป็นเจ้าของ Plus Channel สถานีโทรทัศน์ที่ผมกำลังฝึกงานอยู่นี้

ต้องเกริ่นก่อนว่าผมออกจากบ้านมาอยู่คอนโดใกล้ๆ มหา’ลัยตอนขึ้นปี 1 ตอนนั้นอยู่กับพี่สองซึ่งอายุมากกว่าผม 3 ปีและพอพี่มันจบเรียนจบห้องนั้นก็กลายเป็นของไอ้เซไปโดยปริยาย นั่นแหละครับ ทุกอย่างมันควรจะดำเนินไปอย่างเรียบง่ายจนผมเรียนจบ แต่ดันมาสะดุดเอาตอนจะขึ้นปี 4 เนี่ย

ในวันเกิดคุณพ่อที่จัดอย่างใหญ่โตอลังการสมฐานะ ผมที่เป็นลูกชายคนเล็กก็เตรียมของขวัญไว้อย่างสมฐานะแหละครับ แต่คืนก่อนวันเกิดไอ้เพื่อนโจดันทะเลาะกับแฟนชวนผมออกไปแดกเหล้า แดกแล้วไงครับ ไอ้เซเมาสิครับ เมาเหมือนหมาเลย อย่าว่าแต่ตื่นสาย วันนั้นจะบอกว่าหลับยันพระอาทิตย์ตกอะ ตื่นอีกทีก็ตอนที่ไอโฟนแผดเสียงให้รู้ว่ามีคนโทรเข้านั่นแหละ

สายจากแม่ครับ ด่าผมไฟแลบหูแทบไหม้เลย ด้วยความเร่งรีบ แฮงค์นะจริงๆ อะ แต่ก็ต้องรีบแต่งตัวไปงานไง พอไปถึงก็มึนครับแต่ก็ต้องยิ้ม ถ่ายรูป ทำตัวเป็นลูกชายคนเล็กที่ดี ยิ้มถ่ายรูปวนไปจนปากจะฉีกยันหู กว่าจะได้พักผมนี่กลืนอ้วกตัวเองลงท้องไปจนอิ่ม พอจะนั่งพักพ่อก็เรียกให้ไปคุยกับสาวสวยในชุดเดรสสั้น ผมดัดลอนเข้ากับใบหน้ารูปไข่ ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ได้ตั้งใจฟังตอนแนะนำตัวว่าชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไรเพราะตอนนั้นมึนหัวมาก กลั้นอ้วกจนหน้าเขียว และความบัดซบก็บังเกิดตอนนั้นแหละ

ไอ้ฉิบหาย อยู่ๆ ตอนที่ผมกลั้นอ้วกจนหน้าเขียวเยี่ยวแทบเล็ดไอ้พี่สองเสือกมาตบไหล่ เท่านั้นแหละครับ อ้วกพุ่งเต็มชุดคนสวยเลย ผมมองหน้าเธอแวบหนึ่งไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขอโทษคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ รู้สึกผิดนะ รู้สึกผิดมาก แต่ไม่รู้เลยว่าพ่อจะโกรธผมมากถึงขั้นริบบัตรเครดิตแถมยังยึดห้องคืนอีก เงินที่ใช้อยู่นี่ก็ขอจากแม่มาทั้งนั้นแต่ก็ได้ไม่เยอะเท่าไหร่ มีแค่พอยาไส้ไปวันๆ เท่านั้นเอง

พอไม่มีห้องอยู่ ผมก็ควรจะกลับมาอยู่ที่บ้านใช่มั้ย แต่ขอโทษนะ มีศักดิ์ศรีไง งอนพ่ออยู่อะ ถ้าพ่อไม่ง้อไอ้เซก็ไม่กลับบ้านหรอก แต่ก็ยังมาฝึกงานบริษัทเขา เออไง ไม่มีตังค์ คืนนี้ก็ตั้งใจจะนอนออฟฟิศนี่แหละ ใครจะทำไมล่ะ ถึงวันนี้ตึกนี้จะเป็นของพ่อผม เดี๋ยวสักวันนึงในอนาคตมันก็เป็นของผมอยู่ดีแหละ

“เซ พี่เลี้ยงมึงอะกูได้ข่าวว่าเขากลับมาจากจีนแล้วนะ”

“อ้อเหรอ” ผมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนักต่างกับในหัวใจที่กำลังเต้นระส่ำ

เรื่องพี่เลี้ยงนี่ก็อีก ผมฝึกงานมาเกือบเดือนแล้วยังไม่เจอหน้าพี่แกเลย เห็นบอกว่าไปศึกษาดูงานที่จีน ก็เข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจอะ ถ้าไม่ว่างจะมาเป็นพี่เลี้ยงให้ผมทำไม เลี้ยงทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ก็น้อยใจเป็นนะ เห็นคนอื่นเขามีพี่เลี้ยงดูแลแล้วเด็กฝึกงานกำพร้าอย่าไอ้เซท้อแท้

“น้องเซ พี่ปกรณ์ฝากขนมมาให้จ๊ะ” ขนมถูกยื่นมาตรงหน้าจากพี่คนเดิม เห็นแนะนำตัวว่าเป็นผู้ช่วยพี่ปกรณ์ มีหน้าที่ส่งขนมผมทุกวัน

“ขอบคุณครับ” ที่จริงก็ไม่ค่อยอยากรับหรอก แต่เพื่อรักษาน้ำใจและไม่อยากมีปัญหาผมจึงรับมาอย่างเสียไม่ได้

คุ้กกี้กล่องนั้นถูกส่งต่อให้ไอ้ยอดที่ยืนมองตาละห้อยอยู่ข้างๆ

อย่างที่ได้ยิน พี่เลี้ยงผมชื่อปกรณ์ เป็นคนของแผนกรายการต่างประเทศ ได้ยินมาว่าจบโทเกียรตินิยมจากนอก โปรไฟล์ดีมากจนอยากเจอตัวจริง อยากถามว่าทิ้งขว้างผมแบบนี้รู้สึกยังไง ส่วนผม โคตรเศร้าเลย






“น้องเซช่วยไปยกฉากตรงนั้นให้พี่หน่อยค่ะ” นี่แหละชีวิตฝึกงาน นี่แหละชีวิตนายน้อยของสถานีโทรทัศน์ ใช้งานไอ้เซเยี่ยงทาส เหตุผลเดียวเพราะผมไม่มีพี่เลี้ยง

พี่เลี้ยงครับมารับผมที ร้องหาพี่เขาไปยกฉากไป ชีวิตแม่งดราม่าจริงๆ เลย

พอจัดฉากเสร็จก็เสิร์ฟน้ำ ไม่ใช่เสิร์ฟน้ำเปล่าธรรมดานะ ต้องวิ่งไปซื้อกาแฟยี่ห้อแพงมาให้แขกรับเชิญด้วย เอาเข้าไป ถ้าได้เป็นใหญ่เมื่อไหร่จะมาเอาคืนเรียงตัวเลย

“น้องเซอย่าลืมกาแฟพี่นะคะ”

“คร้าบบบบ~” ค้อมตัวตอบอย่างสุภาพไปอีก ที่บอกว่าจะเอาคืนอะไรนั่นล้อเล่นนะครับ ไอ้เซเป็นคนใสๆ ไม่โกรธแค้นใครอยู่แล้ว

“น้องเซเร็วเข้าสิคะ กาแฟดื่มวันนี้นะคะไม่ใช่ชาติหน้า”

ปากคอเราะร้อยเดี๋ยวปั๊ดฟ้องพ่อ เอ่อ... ฟ้องแม่ก็ได้ ลืมไปว่างอนพ่ออยู่

นั่นแหละ พอรับบัตรเครดิตสำหรับพนักงานมาผมก็ต้องรีบวิ่งลงไปซื้อกาแฟแพงๆ จากโซนคอมมูนิตี้มอลล์ที่อยู่ในตึกเดียวกัน

กว่าจะผ่านไปแต่ละวันเหนื่อยมากครับ ไม่รู้ว่าคนอื่นถูกใช้งานเยี่ยงทาสอย่างผมบ้างไหม หรือว่ามีผมคนเดียวที่ถูกใช้งานอย่างกับกรรมกร ฝึกงานจบนี่ไปแบกข้าวสารได้สบายเลยนะ

พี่เลี้ยงเอ้ย กลับจากจีนแล้วก็มารับน้องเซไปทีเถอะ เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว







“ไงครับมึง หน้าตาโคตรอ่อนเพลีย”

ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในฟู้ดคอร์ดกับไอ้ยอดคนเดิม เพิ่มเติมคืนข้าว 2 จานที่วางอยู่ตรงหน้า แค่ครึ่งวันแรกก็เล่นเอาเพลียเลย ทั้งวิ่งซื้อกาแฟ ทั้งเสิร์ฟน้ำ สงสัยจริงๆ ว่ารับมาฝึกงานหรือรับมาเป็นขี้ข้า

“เหนื่อยว่ะ”

“วันนี้เขาให้มึงทำอะไรบ้างวะ”

“เสิร์ฟน้ำ” ผมเท้าคางมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยด้วยดวงตาที่จะหลับแหล่ไม่หลับแหล่ “แล้วมึงล่ะ”

“พี่เขาให้กูช่วยดูบทว่ะ”

“ไรวะ ทีกูให้เสิร์ฟแต่น้ำ” ของขึ้นเลยเนี่ย สองมาตรฐาน

“เพราะมึงไม่มีพี่เลี้ยงไง ใครจะจิกหัวใช้มึงยังไงก็ได้”

“พี่เลี้ยงกูแม่ง อย่าให้เจอนะมึง” ผมกำช้อนแน่นหวังระบายความโกรธ แต่ก็ไม่ช่วยอะไรครับ เจ็บมือไปอีก

“เจอแล้วจะทำไม”

จึก! ทั้งผมและไอ้ยอดต่างก็พร้อมใจกับหุบปากอย่างไม่ได้นัดหมาย มองหน้าคนตรงข้ามที่ทำหน้าตกใจแล้วก็ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับไปมองข้างหลัง จะว่าไปเสียงเมื่อครู่ก็คุ้นๆ อยู่นะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหน แต่จำไม่ได้เลย แต่ถึงแม้จะไม่อยากเอี้ยวแต่ความอยากรู้ก็ทั้งผลักทั้งดันให้ต้องหันไปมอง และก็ต้องอ้าปากค้างทำหน้าเหมือนเจอผีเมื่อได้เห็นหน้าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเต็มๆ ตา

“สิทธาใช่มั้ย ตอบผมสิว่าถ้าเจอผมแล้วคุณจะทำไม” เขาว่าด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ดุดันอยู่ในที

“กูขอตัวนะมึง” อ้าวไอ้ยอด เรื่องทิ้งเพื่อนนี่ถนัดเลยนะมึง จะร้องตามก็ไม่ทันเพราะมันวิ่งจู้ดหางจุกตูดไปโน่นแล้วปล่อยให้ผมเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพัง

“สิทธาจะไม่ตอบผมเหรอ” เจ้าของร่างเพรียวในชุดสูทก้าวไปนั่งแทนที่ไอ้ยอดให้ผมจำต้องนั่งตามด้วยสติอันเลื่อนลอย

จริงเหรอวะ พี่ปกรณ์คือพี่ไปป์จริงๆ เหรอวะ

“พะ พี่ไปป์ เอ่อ พี่เป็นพี่เลี้ยงเซ”

“ปกรณ์ไม่ใช่ไปป์ ตอนนี้ฝึกงานอยู่ฝ่ายวาไรตี้ใช่มั้ย” ขอบคุณที่ยังรู้เรื่องเกี่ยวกับผมบ้าง

“ครับ”

“ต้องฝึกที่นี่อีกซักพัก แล้วเค้าให้ทำอะไรบ้าง”

“เสิร์ฟน้ำ ซื้อกาแฟ”

“แค่นี้” สีหน้าเขาตอนได้ฟังคำตอบจากผมดูไม่สบอารมณ์นัก จะโทษใครล่ะ โทษพี่แหละที่ไม่ดูแลผม

“ครับ” แม้อยากจะตำหนิเขาแต่ก็ทำได้เพียงตอบด้วยคำสั้นๆ

“มีความสามารถแค่นี้เหรอ”

“เปล่าครับ แต่พี่เค้าให้ทำแค่นี้”

“กินข้าวเสร็จรึยัง” ถามแล้วก็ลุกขึ้น ไม่ต้องถามก็ได้มั้งถึงจะกินยังไม่เสร็จพี่แกก็คงไม่รอ

“ครับ”

“งั้นไปกัน” ไป? ไปไหน แม้สงสัยแต่ก็ต้องรีบก้าวตามคนที่ก้าวฉับๆ นำไปแล้ว

ในลิฟต์ตอนบ่าย 2 เงียบมากเพราะไม่ค่อยมีคน ไม่ผิดหรอกครับ ผมไม่ได้พักเที่ยงตอนเที่ยงแต่พักตอนบ่าย ที่จริงเขาให้พักตอนงานเสร็จด้วยซ้ำแต่ผมหิวมากก็เลยขอลงมากินข้าวก่อน

อาจเพราะผมเอาแต่มองพี่ไปป์ในภาพสะท้อนตรงประตูลิฟต์พี่เขาจึงหันมามองด้วยสายตาที่อ่านอย่างไรก็อ่านไม่ออก พี่ไปป์ในคราบคุณปกรณ์ไม่เห็นจะเหมือนพี่ไปป์ที่ผมเจอวันนั้นเลย คนนั้นน่ะน่ารักจะตาย

“มีปัญหาอะไรกับหน้าผมรึเปล่า”

“เปล่าครับ แค่คิดว่าพี่ไปป์ เอ่อ พี่ปกรณ์ดูดีจัง” เขาดูดีมากในชุดสูทสุดเนี๊ยบ

“ไม่ต้องมาชม ผมไม่เคลิ้ม และก็ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ดูแลแต่ต้น คุณคงลำบากน่าดู”

“ก็ลำบากครับ พอไม่มีพี่เลี้ยงพี่เขาก็ไม่ให้เซโชว์ความสามารถเลย ใช้แต่แรงงานอย่างกับฝึกงานจบจะให้ไปเป็นกรรมกร”

“แล้วเป็นกรรมกรไม่ดีตรงไหน”

“โหพี่ไปป์ ถ้าเซจะไปเป็นกรรมกรก็ไม่จำเป็นต้องเรียนมหา’ลัยป่ะวะ”

“ไม่สนิทอย่าเรียกชื่อเล่น ไม่ชอบ”

“เคยนอนด้วยกันแล้วยังสนิทไม่พออีกเหรอ”

“สิทธา!!” เสียงเข้มมากอะ กลัวแล้วครับกลัวแล้ว

พี่ปกรณ์เดินนำออกไปเมื่อลิฟต์เปิดที่ชั้น 7 ซึ่งเป็นส่วนของแผนกวาไรตี้ซึ่งผมฝึกงานอยู่ ที่จริงการฝึกงานที่พลัสชาแนลจะเป็นระบบเวียนครับ เวียนไปเรื่อยๆ จนครบ 3 เดือน อาจจะไม่ครบทุกแผนกแต่ก็ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง เช่นผมเนี่ย เสิร์ฟน้ำให้พนักงานเกือบจะครบทุกคนแล้วมั้ง

“คุณอัครเดช!” เจ้าของชื่อที่นั่งสัปหงกเอาเท้าวางไว้บนโต๊ะงัวเงียตื่นขึ้นมา ดวงตาปรือปรอยเปลี่ยนเป็นเบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างโต๊ะ

คุณอัครเดชนี่เป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในแผนกวาไรตี้เลยก็ว่าได้แต่แปลกที่เขาดูตื่นกลัวพี่ปกรณ์เสียเหลือเกิน

“คุณปกรณ์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“ผมไม่ได้มาคุยกับคุณเรื่องนั้น แต่ผมมาคุยในฐานะพี่เลี้ยงของสิทธา” ลากไอ้เซเข้าไปเอี่ยวซะงั้น นั่นแหละ พอได้ยินชื่อผมสายตาของพี่อัครเดชก็ตวัดมามอง ผมนี่ตัวลีบเลย

ไอ้เซไม่ได้ฟ้องนะครับแค่เล่าให้พี่แกฟังเฉยๆ

“ทำไมเหรอครับคุณปกรณ์ น้องสิทธามีปัญหาอะไร”

“น้องอยู่ในความดูแลของผม แต่ผมได้ข่าวว่าที่แผนกให้น้องเสิร์ฟน้ำอย่างเดียวเลย ทำไมครับ เด็กเสิร์ฟน้ำขาดเหรอ”

“เปล่าครับ”

“งั้นเหรอครับถ้าอย่างนั้นก็ช่วยเลิกให้น้องผมเสิร์ฟน้ำได้แล้ว มันมีสมอง เป็นเด็กใหม่ไฟแรงด้วย ฝากคุณอัครเดชดึงศักยภาพน้องมันออกมาที นะครับ” ท้ายประโยคควรจะเป็นคำขอร้อง ทว่าน้ำเสียงพี่ไปป์กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขู่บังคับพี่อัครเดชซะอย่างนั้น

“เอ่อ...”

“คุณอัครเดชเก่งอยู่แล้วนี่ ยังไงก็ฝากดูแลน้องผมด้วยนะครับ” มัดมือชกเสร็จสรรพก็ก้าวฉับๆ ออกไป แล้วผมล่ะ เอาไงดี ตามไปหรืออยู่นี่ งงไปหมดแล้วอะ เซงงเด้







เมื่อพี่เลี้ยงผมปรากฏตัว ไอ้เซคนนี้ก็กลับมาเป็นนักศึกษาฝึกงานธรรมดาคนหนึ่งอีกครั้ง กูไม่ต้องเสิร์ฟน้ำแล้วโว้ย ไม่ต้องวิ่งไปซื้อกาแฟกับขนมแล้วด้วย ที่จริงผมก็ไม่เกี่ยงงานหรอก แต่บางทีก็อยากโชว์ความสามารถจากสิ่งที่ร่ำเรียนมาเหมือนกัน เดี๋ยวพ่อจะหาว่าผมไม่มีน้ำยา

ก่อนเข้ามาฝึกงานที่พลัสชาแนล ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่นี่มีระบบพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงาน มิน่าล่ะ ถึงรับนักศึกษาฝึกงานน้อย เน้นแต่คนคุณภาพอะครับ เกรดสูงๆ มีสิทธิได้เกียรตินิยมอะไรแบบนี้ แต่ผมไม่ใช่หรอก ไม่เข้าข่ายเลย ที่เข้ามาฝึกงานได้นี่ก็เส้นล้วนๆ

“น้องเซถ้าดูสคริปเสร็จแล้วก็กลับบ้านได้เลยนะ”

ตอนเงยหน้าจากกระดาษสคริปของรายการที่จะถ่ายพรุ่งนี้พี่คนพูดก็เดินออกจากห้องไปแล้ว ห้องทั้งห้องเหลือเพียงผม แน่สิ นี่มันเกือบ 4 ทุ่มแล้วไง ที่อยู่ดึกนี่ไม่ใช่ขยันหรอกแต่ไม่มีที่ซุกหัวนอน คืนนี้ก็เลยกะว่าจะนอนที่นี่เลย

เมื่อลองกวาดสายตาสำรวจทั้งห้องอีกครั้งแล้วแน่ใจว่าไม่มีใครผมก็สะพายเป้เพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ อ้อลืมไป ที่ตึกมีฟิตเนสสำหรับพนักงาน ถ้าผมไปอาบน้ำที่นั่นน่าจะสะดวกกว่า

คิดดังนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ รอไม่นานลิฟต์ก็มา

สี่ทุ่มกว่าแล้ว แต่ฟิตเนสก็ยังคงคึกคักอยู่ ผมก้าวฉับๆ ไปที่ประตูหากแต่กลับถูกพี่คนดูแลร้องเรียกซะก่อน

“นักศึกษาฝึกงานไม่มีสิทธิใช้ฟิตเนสนะครับ” หน็อยๆ ไม่รู้ซะแล้วว่าผมเป็นใคร นี่นายน้อยของที่นี่นะครับ พูดอะไรเกรงใจกันบ้าง

ถึงแม้ข้างในใจจะฮึกเหิมมาก แต่สุดท้ายผมก็ทำได้เพียงหันไปยิ้มแหยแล้วเดินคอตกกลับมาที่ลิฟต์เหมือนเดิม

เห็นทีคืนนี้คงต้องอาบน้ำในส้วมแล้วมั้งไอ้เซ

ชีวิตนายน้อยของสถานีโทรทัศน์อย่างผมทำไมถึงได้ตกอับขนาดนี้วะ

แล้วนี่ไอ้เซต้องขึ้นๆ ลงๆ ลิฟต์อีกกี่ครั้งถึงจะพ้นคืนนี้

ติ๊ง!

นั่นไง ลิฟต์มาแล้วแต่ครั้งนี้มาพร้อมกับพี่เลี้ยงผมว่ะ

พี่ปกรณ์...

“ทำไมยังไม่กลับบ้าน” ในร้านกาแฟครั้งก่อนผมเคยบอกเขาไปแล้วว่าไม่มีที่ไป บางทีพี่แกอาจจะลืมเพราะเรื่องมันก็ผ่านมาเป็นเดือนแล้ว

“เอ่อ...ไม่มีที่ไปครับ”

พอได้ฟังคำตอบพี่ไปป์ก็มุ่นคิ้วเลย ใจเย็นครับพี่คิ้วพี่จะผูกกันเป็นเลขแปดแล้ว

“หมายความว่ายังไง ไม่มีบ้านเหรอ”

“มีครับแต่กลับไม่ได้” บอกพี่ไปป์ด้วยเสียงแผ่วเบาอ้อมแอ้ม

“ถูกไล่ออกจากบ้าน?”

“ก็ประมาณนั้น”

“เกเรล่ะสิ”

“เปล่า เซออกจะเป็นเด็กดี” มองผมอย่างพิจารณานี่หมายความว่าไงครับพี่ แต่จะว่าไป...ขอไปนอนบ้านพี่ไปป์สักคืนพี่เขาจะอนุญาตมั้ยนะ

“แล้วนี่กินอะไรรึยัง”

“ยังครับ” พูดถึงเรื่องกินท้องก็ร้องโครกครากเลย

“ไปกินข้าวเย็นกัน เดี๋ยวผมเลี้ยง ไถ่โทษที่ไม่ได้ดูแล”

“พี่ไปป์ เฮ้ย! พี่ปกรณ์ คืนนี้เซไปนอนบ้านพี่ได้มั้ย” จะถูกมองว่าหน้าด้านก็ไม่แคร์แล้ว ดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอน ถามว่าทำไมไม่ไปนอนบ้านเพื่อน จะบอกอะไรให้ผมเวียนนอนบ้านเพื่อนสนิทมาจนครบทุกคนแล้ว ก็เกรงใจเขาว่ะ บางคนก็อยู่กับครอบครัว บางคนก็อยู่กับแฟน เขาจะทำอะไรก็ไม่สะดวกเพราะมีผมเป็นปลิงเกาะอยู่ ครั้นจะเช่าห้องเงินก็ไม่พอนี่สิ พ่อนะพ่อ ก็แค่อ้วกใส่ชุดลูกสาวเพื่อนสนิทท่านเท่านั้นเอง ทำไมต้องโกรธกันขนาดนี้ก็ไม่รู้

ว่าแต่พี่ปกรณ์เถอะ ไอ้เซอุตส่าห์กระพริบตาปริบๆ อ้อนวอนขนาดนี้จะใจอ่อนมั้ยนะ คนน่ารักจะใจอ่อนไหมเอ่ย

“นั่นอยู่นอกเหนือการดูแลของผม คุณต้องช่วยเหลือตัวเองแล้วล่ะ”

“โหพี่ไปป์ นี่เซไง ขอนอนด้วยคืนเดียว นะครับ” เนี่ยแทบจะก้มลงไปกราบแล้ว ถึงจะบอกว่านอนที่ออฟฟิศก็ได้แต่ใจจริงก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน กลัวผีน่ะ

“เซแล้วไง ทำตัวเองแท้ๆ ใครขอร้องให้คุณหนีออกจากบ้านเหรอ”

“พี่ไปป์แม่งไม่มีน้ำใจว่ะ คนไทยป่ะเนี่ย”

“ต่างด้าวมั้งน้อง จะกินมั้ยข้าวเย็น ถ้าจะกินก็ตามมา” ประตูลิฟต์เปิดพอดี ก็อยากจะงอนอยู่หรอกแต่ท้องเสือกร้อง เอาวะ ไม่ให้ที่ซุกหัวนอนอย่างน้อยก็เลี้ยงข้าว

ครั้งที่สองแล้วที่มีโอกาสได้นั่งรถพี่ไปป์ ต่างกันก็แค่วันนี้เขาขับเอง

“อยากกินอะไร”

“...”

“หมดเวลา”

“อะไร” ยังคาดเบลท์ไม่เสร็จเลย หมดเวลาเฉย

“บุพเฟต์มั้ย”

“ก็ดีพี่จะได้กินตุนไว้เผื่อพรุ่งนี้ไม่มีกิน” สงสารผมสิ มองตาผม เนี่ยยอมเป็นหมาเลย หมาไร้บ้าน หมาจรจัด พี่ไปป์ไม่สงสารหมาน้อยตาดำๆ เหรอครับ

“เลิกขายหรือยัง”

เอ้า! วกเข้ามาคุยเรื่องนี้เฉย นี่ปักใจเชื่อว่าผมเป็นเด็กขายน้ำไปแล้วเรอะ

“ทำไมครับ ติดใจเหรอ แต่กับพี่ไปป์ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แค่ให้เซพักที่ห้องด้วยจะบริการให้ถึงใจ”

“ไอ้ทุเรศ เก็บปากไว้กินข้าวมั้ย” อารมณ์เสียเฉย ทำไมอะ ก็เห็นถามนึกว่าจะซื้อ

ขนาดสี่ทุ่มกว่าแล้วรถยังติดอยู่เลย ป่านนี้แล้วร้านอาหารเขาไม่ปิดหมดแล้วเรอะ

“พี่ไปป์ หรือต้องให้เรียกพี่ปกรณ์”

“บอกแล้วไงว่าไม่สนิทอย่าคิดเรียกชื่อเล่น” หวงชื่อเล่นอีกต่างหาก แต่ยิ่งหวงผมก็ยิ่งอยากได้ อยากแกล้ง เจ้าตัวรู้หรือเปล่าว่าตอนตัวเองโกรธน่ะโคตรน่ามอง

“ป่านนี้แล้วร้านอาหารปิดหมดแล้วมั้งพี่”

“รู้จักร้านบุพเฟ่ต์เปิด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้กิน” ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นเลย

“หาอะไรง่ายๆ ไปทำกินที่บ้านพี่ไปป์ก็ได้นะ เซเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย”

“เลยแยกนั้นไปก็ถึงแล้ว ฟังเพลงมั้ย” เจ้าของรถหันมองผมเต็มตาตอนที่รถติดไฟแดง เออเนอะ ร้านดันมาอยู่ใกล้ออฟฟิศอีก ไม่เปิดโอกาสเลยอะ

เมื่อกล่อมพี่ไปป์ไม่ได้ผลผมจึงล้วงมือถือออกมา โทรไปขอตังค์พี่สองก็ได้แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้พี่ชายจะให้หรือเปล่า

“ไงไอ้เซ โทรมาขอตังค์อะดิ” รอสายไม่นานก็รับ แถมยังรู้ใจผมสมเป็นพี่น้องคลานตามกันออกมา

“ไม่มีที่ซุกหัวนอนแล้วสอง”

“ก็ไปขอนอนกับเพื่อนสิครับน้อง” พูดง่ายอะ คิดว่าน้องมันหน้าหนาขนาดนั้นเชียว ก็หนาแหละ หนามานานจนเริ่มบางแล้วเนี่ย

“โหสองนี่เซเวียนนอนกับเพื่อนมาครบทั้งแก็งค์แล้ว เกรงใจเค้า โอนตังค์มาจะได้ไปหาเช่าโรงแรมนอน”

“เสียใจด้วยน้อง พ่อสั่งห้ามว่ะ ถ้าไม่มีที่ไปจริงๆ ก็กลับไปนอนบ้านสิครับ”

“พ่อโกรธยังไม่หายเลยจะกลับไง”

“มึงก็ไปขอโทษเค้าสิ เรื่องง่ายๆ แค่นี้คิดไม่ได้เฉย” ไอ้เซคิดได้ครับแต่ทำไม่ได้ ถ้าจะหาคนผิดก็ไอ้พี่สองนี่แหละ ถ้ามันไม่ตบไหล่ผมจนอ้วกแตกราดชุดราคาแพงของลูกสาวเพื่อนสนิทพ่อ ผมก็คงไม่ต้องเผชิญชะตากรรมหมาข้างถนนแบบนี้ เนี่ย พูดแล้วจะร้องไห้

“สอง มึงฟังน้องนะ ไม่ขอโทษเว้ย เซไม่ผิด ทำไมต้องขอโทษ เสียศักดิ์ศรี”

“งั้นก็เชิญมึงนอนบนศักดิ์ศรีมึงไปก็แล้วกัน”

“ไอ้...” สัด ยังพูดไม่ทันจบประโยคไอ้พี่ชายก็ชิงตัดสายไปซะก่อน กวนตีนนักเดี๋ยวคืนนี้ก็แวะไปนอนด้วยที่คอนโดซะเลย

ไอ้พี่สองน่ะ มันอยู่กับแฟนครับ ยังไม่แต่งงานหรอก มันบอกว่าอยู่กันแบบพรีเวดดิ้งไปก่อน ง่ายๆ เข้าใจตรงกันก็คืออยู่ก่อนแต่งน่ะแหละ เพิ่งคบกันไม่นานครับชีวิตคู่ก็เลยยังหวาน ลองคิดดูว่าถ้าผมไปเป็นก้างขวางคอมันคงจะอกแตกตาย แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้วอะ ยอมให้พี่มันบ่นนิดหน่อยแลกกับที่ซุกหัวนอนก็โอเค

ทะเลาะกับไอ้พี่สองเสร็จพอดีกับรถคันหรูของพี่ไปป์จอดเทียบฟุตบาธหน้าร้านบุพเฟต์ที่พี่แกว่า ร้านใหญ่โตมากครับ ติดป้ายอันเบ้อเร่อว่าหัวละ 299 เนี่ย เลี้ยงน้องทั้งทีเลี้ยง 299 บาท โคตรป๋าเลยครับ

“ทำหน้าแบบนั้นไม่พอใจเหรอ ก็ได้นะ ไม่กินก็ได้ไม่ว่า” ผมแสดงออกทางสีหน้าเกินไปเหรอ เอาล่ะ งั้นปั้นหน้าใหม่

“กินได้พี่ โห ชอบเลยอะ โอเพ่นแอร์ได้บรรยากาศสุดๆ”

“งั้นก็ตามมาอย่าโอ้เอ้”







โคตรชอบเลยโอเพ่นแอร์เนี่ย

เบิร์น เบบี้เบิร์น เหงื่อจะหมดตัวแล้ว โหทั้งเนื้อทั้งตัวเปียกโชกอย่างกับเพิ่งอาบน้ำมา

“พี่ไปป์อิ่มยังอะ” นี่พามากินข้าวหรือพามาทัวร์นรก ร้อนฉิบหาย ร้อนตับแลบ แล้วพี่ไปป์ก็ไม่มีท่าทีจะหยุดกินเลย กะจะเอาให้คุมเหรอวะ

“อิ่มแล้วเหรอเรา” ผมปาดเหงื่อพลางพยักหน้ารับ “แกะกุ้งให้หน่อยดิ”

หา!! ผมโคตรอยากจะคว่ำโต๊ะปิ้งย่าง อะไร นี่เซแกะกุ้งจนเล็บเหี้ยนแล้วยังไม่พออีกเหรอ จะกินให้หมดทั้งกระบะเลยเหรอครับ

แต่ก็เท่านั้นแหละ เงินยังไม่จ่าย ตัวผมก็ทำได้เพียงบ่นเงียบๆ ในใจลำพังขณะยื่นมือไปรับกุ้งมาแกะ

เซก็คิดนะว่าที่บอกว่าจะเลี้ยงเนี่ยแค่ข้ออ้างหาคนมาแกะกุ้งให้กินใช่มั้ย

“พี่ไปป์”

“อะไร” ขานรับกันดีๆ หน่อยก็ไม่ได้นะคนเรา เสียงห้วนขนาดนี้เดี๋ยวก็ไม่แกะกุ้งให้กินซะหรอก

“เหงื่อจะไหลเข้าตาแล้วอะครับ”

“ก็เช็ดดิ” แหกตาดูมือที่เต็มไปด้วยร่องรอยการแกะกุ้งสิครับแล้วพี่จะรู้ว่าตอนนี้ไอ้เซโคตรไร้ความสามารถในการเช็ดหน้าตัวเองเลย

“เช็ดให้หน่อย”

ได้ยินเสียงคนตรงข้ามถอนหายใจแต่ถึงกระนั้นเขาก็หยิบทิชชู่แล้วช่วยเช็ดเหงื่อบนหน้า ย้ำนะครับว่าเช็ด เช็ดแบบเช็ดแรงๆ เหมือนคนเช็ดกระจกกลางสี่แยก ทำอะไรเกรงใจหน้าหล่อๆ ใสๆ ของเดือนนิเทศนิดนึง

“เบาหน่อยได้มั้ยอะ เซต้องใช้หน้าทำมาหากินนะ”

“เรื่องมาก” ปากก็บ่นแต่น้ำหนักมือก็เบาลงด้วยเช่นกัน

พี่ไปป์เนี่ยเนื้อในแแท้ๆ น่าจะเป็นคนดีอยู่ไม่น้อยเลย ถ้าเกิดลองอ้อนอีกที…

“พี่ไปป์…”

“อะไร!” เสียงห้วนเลเวลสิบ

“ยังไม่ได้พูดอะไรเลยครับ”

“แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้วน้อง”

“แล้วจะไม่ใจอ่อนเหรอครับ”

“ไม่อ่ะ รีบแกะสิ กินวันนี้นะไม่ใช่พรุ่งนี้” น้ำเสียงพี่ไปป์โคตรเผด็จการจนผมต้องเงียบปากแล้วก้มหน้าแกะกุ้งในมือต่อ

ที่บอกว่าเนื้อในพี่ไปป์เป็นคนดีนี่เอาคืนได้มั้ย เรื่องนั้นน่ะไอ้เซอาจจะมองโลกในแง่ดีเกินไป

เชื่อมั้ยว่าพี่ไปป์กินกุ้งโคตรเก่ง กินแบบแกะจนเล็บหลุดก็แกะไม่ทัน







“แกะกุ้งเก่งนะเรา” พี่ไปป์ชมตอนที่เรานั่งอยู่ในรถเตรียมตัวออกจากร้าน

“สนใจรับคนแกะกุ้งไว้เลี้ยงซักคนมั้ยล่ะครับ”

“จะให้ไปส่งไหน” เปลี่ยนเรื่องแล้วก็หันไปคาดเบลท์ พอผมไม่ยอมตอบก็หันมาทวงคำตอบยิกๆ “ว่าไง จะให้ผมไปส่งที่ไหน”

“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเซนั่งแท๊กซี่ไปเอง”

“ตามใจนะ” ดูสิ นอกจากไม่รั้งแล้วยังสตาร์ทรถเหมือนไล่ให้ผมรีบลงไปซักทีอีก

คนใจร้าย

พอก้าวลงมาก็เคว้งเลย ได้แต่มองตามไฟท้ายที่ห่างออกไปเรื่อยๆ คิดแล้วก็นึกโกรธไอ้เซคนเมื่อนาทีก่อน แม่ง! โคตรปากดี

ผมแม่งเหมือนหมาจรจัดจริงๆ นะ ตั้งใจจะโบกแท็กซี่ก็เกรงใจเงินในกระเป๋าตัวเอง เศร้าว่ะ

ผมเดินก้มหน้าไปเรื่อยๆ ตามทางเดินเท้าที่ยังพอมีไฟส่องสว่าง จริงๆ ผมชอบกรุงเทพตอนดึกๆ มันสงบเหมือนอยู่คนละโลกกับกลางวัน แต่ตอนนี้ผมไม่คิดอย่างนั้นแล้ว รอบกายเงียบจนน่ากลัว ผมสะบัดเป้จากข้างหลังมากอดไว้ มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง และหัวใจที่ห่อเหี่ยวก็พลันพองโตขึ้นมาเมื่อเห็นรถยนต์คุ้นตาจอดอยู่ข้างหน้านั้น

ผมรีบสาวเท้าเข้าไป พอเข้าไปใกล้จวนเจียนจะเอื้อมถึงประตูฝั่งคนขับก็เปิดออก

พี่ไปป์ก้าวออกมา เมื่อสบตากันเขาก็ยกยิ้มกวนประสาท

“ไงน้องจะเดินไปไหนอะ”

“พี่ไปป์แกล้งเซ”

“ไหนบอกจะกลับแท็กซี่ไง”

“ก็…ไม่รู้อะ เซไม่มีที่ไป ถ้าพี่ไปป์ไม่ให้นอนในห้องก็ขอนอนในรถแล้วกัน” ไม่สนแล้วว่าเขาจะให้นั่งรถไปด้วยหรือเปล่า เปิดประตูเข้าไปนั่งข้างคนขับแล้วคาดเบลท์รอเลย อยากไล่ก็ไล่ไป แต่ไอ้เซไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ

“แล้วจะให้ไปส่งไหน ดึกแล้ว อยากกลับบ้านนอนแล้วเหมือนกัน” พอเข้ามานั่งข้างกันก็หาที่ให้ผมลง

ไม่เข้าใจคำว่าไม่มีที่ไปเหรอครับพี่

“ยังไง นั่งเงียบ นี่ไม่ใช่ริวจิตสัมผัสนะ”

“พี่ไปป์เป็นคนตลกเนอะ แต่พี่จะเพอร์เฟคมากเลยถ้ามีน้ำใจให้เซไปนอนที่ห้องด้วย”

“ฝันเถอะน้อง สนิทกันเหรอ ก็ไม่นะ” ถามเองตอบเองก็ได้ว่ะคนเรา

“ใจร้าย ก็เซไม่มีที่ไปอะ อีกอย่างพรุ่งนี้ก็ต้องออกไปทำงานพร้อมกันอยู่แล้ว นอนด้วยซักคืนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ตะล่อมวนไปครับเผื่อพี่ไปป์จะเคลิ้มไปยิ้มหวานๆ หน้าหล่อๆ ของไอ้เซบ้าง

“เมื่อกี้คุยกับพี่ชายไม่ใช่เหรอ ให้ไปส่งที่คอนโดเค้ามั้ย” นอกจากไม่คล้อยตามแล้วยังรู้ทันอีกครับ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะพูดถึงแล้วทำไมจู่ๆ ถึงยกเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ

นึกถึงไอ้พี่สองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ

“ไปถึงก็ใช่ว่าเค้าจะเต็มใจให้นอนด้วย”

“ก็ลองไปดู พอเห็นหน้าเดี๋ยวก็ใจอ่อนเองแหละ”

“พี่ไปป์ก็เห็นหน้าเซ ไม่เห็นพี่ไปป์จะใจอ่อนเลย”

“ไม่เหมือนกันป่ะวะ” กลอกตาใส่กันเฉย

จนแล้วจนรอดพี่ไปป์ก็ไม่ยอมใจอ่อน และเป็นผมเองที่ต้องอ่อนใจยอมบอกพิกัดคอนโดไอ้พี่สองให้เขาทราบ พอรถมาจอดที่หน้าคอนโดหรูใจกลางเมือง คนข้างๆ ก็หันมาหรี่ตามองกัน

รู้นะว่ากำลังคิดอะไร

“หยุดคิดแบบนั้นเลยนะพี่ไปป์”

“ยังไม่ได้คิดอะไรเลย” ปฏิเสธไม่ทันแล้วพี่ สายตามันฟ้องว่าพี่กำลังคิดว่าเซมาค้างกับลูกค้า

“เหอะ! คิดก็บอกว่าคิดดิ”

“แล้วแต่จะคิด”

“คอนโดพี่ชายเซจริงๆ ไม่เชื่อจะลองขึ้นไปดูด้วยกันมั้ยล่ะ”

“ไม่ใช่เรื่อง”

ว่าจบแค่นั้นก็ผลักไสผมที่ทำท่าอิดออดลงจากรถอย่างไม่ใยดี แถมยังทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าพรุ่งนี้อย่าไปทำงานสายล่ะ

รับทราบครับพี่ จะรีบไปแต่เช้าเลยครับผม





[T B C]

พี่ไปป์กับน้องเซมาแล้ว
ชีวิตเจ้าเซนี่มันเซสมชื่อจริงๆ เลยเนอะ 5555  น่าสงสาร แต่พี่ไปป์ไม่สงสารหรอก
อยากอยู่บ้านพี่ไปป์เหรอ มารยาแค่นี้ใช้ไม่ได้ร้อก
รอดูกันค่ะว่าเจ้าเด็กนี่จะเข้าบ้านพี่ปกรณ์ได้มั้ย
ขอบคุณทุกการติดตาม
รัก
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 01 25-03-17}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-03-2017 13:49:01
ถ้าบอกว่าขายให้พี่ไปป์คนเดียวแล้วจะซื้อไหมอะคะ
สงสารน้องมัน อิอิ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 01 25-03-17}
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 01-04-2017 11:34:27
สมชื่อเลย เซ ฮ่าๆๆๆๆ
อ้อนเข้าไว้เดี่ยวพี่ก็ใจอ่อนเอง อิอิ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 02 05-04-17}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 05-04-2017 19:26:51
พี่ครับ 02


“ไงครับมึงตัวแดงเป็นจ้ำๆ นี่โดนใครดูดมาวะ”

เมื่อคืนไปนอนห้องไอ้พี่สองแล้วผมก็โดนดูดมาทั้งตัว ฟังดูอีโรติกเวอร์ๆ แต่ลึกๆ แล้วไม่ใช่อย่างนั้นหรอก สิ่งที่ผมเจอมามันยิ่งกว่าหนังฆาตกรรมสยองขวัญเสียอีก

“ยอดเลี้ยงข้าวเช้ากูหน่อยดิ” ขอกันหน้าด้านๆ แบบนี้แหละ เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง รู้ตัวตื่นอีกทีก็สายแล้ว พาสารร่างในชุดนักศึกษายับๆ ออกจากห้องมาทำงานได้นี่ก็ถือว่าเก่ง

“คนที่ไปนอนด้วยเมื่อคืนเด็ดเหรอ”

“เลี้ยงข้าวกูดิ เดี๋ยวเล่าให้ฟังแบบละเอียดยิบ”

“กูต้องไปทำงานแล้ว” ชิ่งกันเฉยแล้วแบบนี้ใครจะเลี้ยงข้าวเช้าไอ้เซวะ โคตรหิวอ่ะ แต่ดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ห้องไอ้พี่สองอีก เออ ความซวย

จ๊อกกก~~

แล้วท้องก็เสือกร้องในลิฟต์ที่บรรทุกพนักงานเต็มความจุ อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีเลย

พอลิฟต์จอดที่ชั้นวาไรตี้ผมนี่รีบก้มหน้าก้มตาเดินออกมาเลย อายไง ทว่าเมื่อเดินห่างลิฟต์ออกมาราว 3 ก้าวก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยเสียงๆ หนึ่งเสียก่อน

“น้องเซ”

เมื่อเอี้ยวตัวกลับไปมองก็พบพี่สาวผู้ช่วยพี่ปกรณ์

“แซนวิชทูน่าค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” เซก็หิวนะแต่เซก็มีความเกรงใจอยู่บ้างเหมือนกัน แม้จะปฏิเสธแต่พี่สาวก็ไม่ละความพยายาม คงเวทนาท้องที่ร้องดังลั่นในลิฟต์ล่ะมั้ง

“รับไปเถอะค่ะ คุณปกรณ์…”

พอได้ยินชื่อพี่ไปป์ผมก็รับแซนวิชมาอย่างไม่ลังเล ถ้าบอกว่าพี่เลี้ยงผมฝากมาแต่แรกป่านนี้แซนวิชลงไปนอนรอย่อยอยู่ในกระเพาะแล้ว

“มาสาย ทั้งคู่!!!” เสียงพี่ไปป์ดังจากข้างหลัง ชั่วขณะหนึ่งผมก็คิดนะว่าไหนๆ ก็ต้องเจอกันอยู่แล้วจะฝากของมากับพี่ผู้ช่วยทำไม

สงสัยพี่ไปป์จะเป็นพวกขี้อาย

ไม่นานเจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงสแล๊กสีดำซึ่งถูกรีดจนกริบก็เข้ามายืนร่วมวงกับเรา

“เป็นนักศึกษาฝึกงานก็หัดทำตัวให้มันดีๆ หน่อย” น้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหนๆ ทำให้ผมที่กำลังเคี้ยวแซนวิชแทบสำลัก

มองผมที่อยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วก็ส่ายหน้าหน่ายก่อนหันไปตำหนิพี่ผู้ช่วยซึ่งยืนตัวลีบอยู่ใกล้ๆ กัน

พอพี่ไปป์อ้าปากผมก็อยากชิ่งนะแต่พอจะก้าวขาก็ถูกสายตาดุหันมารั้งเอาไว้ มองพี่สุดเนี้ยบที่กำลังพูดไม่หยุดแล้วก็ได้แต่คิดว่า คนอะไรบ่นเก่งชะมัด บ่นจนพี่ผู้ช่วยสำนึกผิดไม่ทันแล้วมั้งนั่น

เราเสียเวลาที่หน้าลิฟต์ราว 10 นาที พอบ่นจนพอใจพี่ไปป์จึงไล่พี่ผู้ช่วยให้ขึ้นไปทำงาน

เมื่อเหลือแค่เรา 2 คนไอ้เซก็มั่นใจแล้วว่ากูคงโดนยับไม่ต่างจากคนหน้าเศร้าที่เพิ่งขึ้นลิฟต์ไปเมื่อครู่หรอก

“รู้มั้ย…” รู้อะไรครับพี่ ก่อนจะถามเนี่ยพี่ช่วยเกริ่นอะไรสักหน่อยมั้ย “การไม่ตรงต่อเวลาเป็นคุณสมบัติไม่พึงประสงค์อันดับต้นๆ ของคนทำงาน”

“เซ…”

“ไม่ต้องแก้ตัว มาสายแล้วยังจะมายืนอ้อยอิ่งอยู่อีก”

ได้ข่าวว่าพี่เป็นคนรั้งผมไว้ ถ้าไม่ต้องยืนฟังพี่บ่นป่านนี้ทำงานได้ร้อยอย่างแล้ว โด่

“อ้อ…” อะไร? คิดจะหยุดเดินก็หยุด ถ้ารองเท้าไม่ดีผมพุ่งชนพี่แล้วนะ “เช็ดปากซะด้วยนะ”

“ปาก” ผมทวนคำแล้วใช้หลังมือเช็ดปาก เศษอาหารอะ สงสัยเมื่อกี้รีบไปหน่อย หากขณะที่กำลังใช้หลังมือเช็ดร่องรอยบนใบหน้าลวกๆ ก็ถูกคนตรงหน้ากวาดสายตามองนิ่งๆ จนต้องเอ่ยถามว่าสงสัยอะไรในตัวผม

“บนตัวนั่นน่ะรอยอะไร” เมื่อถูกถามก็รู้สึกคันขึ้นมาจนต้องยกมือขึ้นมาลูบที่ต้นคอ

“ยุงกัดครับ”

“ไปห้องพยาบาลซะ”

“ไปไม่ถูก”

“ชั้น 11 ขึ้นลิฟต์ไปแล้วเลี้ยวซ้าย”

“ไม่ได้อยากให้พี่ไปป์… พี่ปกรณ์บอกทางแต่อยากให้พาไปต่างหาก”

“ไม่ว่าง”

“ยุงกัดทั้งตัวเลย ที่หลังก็มีทายาไม่ถึงหรอก” เห็นใจผมสิ แสดงความห่วงใยสิครับ นี่น้องนะ เป็นพี่เลี้ยงต้องดูแลน้องสิ

เรายืนมองหน้ากันเงียบๆ ราวกับกำลังหยั่งเชิง แต่ก็ยืนเท่ได้ไม่นานผมก็เริ่มขยับตัวยุกยิก โธ่ กำลังจะเท่เลยดันมาคันซะนี่

“ไปห้องพยาบาลซะ” ออกคำสั่งแล้วก็ช่วยกดลิฟต์ให้ ขอบคุณครับ ซึ้งใจอย่างแรง

แต่ว่า… “พี่ปกรณ์ครับ” เสียงเรียกของผมรั้งคนที่ตั้งท่าจะเดินจากไปเอาไว้ ท่าทางตอนที่พี่ไปป์เอี้ยวตัวมาแล้วทำหน้างงโคตรน่ารักจนหัวใจไอ้เซสั่นร้อยแปดริกเตอร์

“อะไร” แต่น้ำเสียงห้วนมาก

“เซ ผมลืมกระเป๋าตังค์อะ ขอยืม…” โคตรเสียศักดิ์ศรีเลย

“เอาเท่าไหร่ 500 พอมั้ย” พี่ไปป์ก็ใจดีควักเงินจากกระเป๋าให้ผม

“เดี๋ยวเซคืนนะ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมแล้วค่อยรับแบ็งค์สีม่วงมา ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัส พี่ไปป์ก็ดึงแบ็งค์กลับแล้วว่าด้วยน้ำเสียงกวนประสาท

“แน่นอนสิ ขึ้นชื่อว่ายืมก็ต้องคืนอยู่แล้วป่ะ”

อาการคันเริ่มกำเริบถึงกระนั้นผมก็ยังคงจับจ้องพี่ไปป์ซึ่งกำลังก้มหน้าพิมพ์บางอย่างบนสมาร์ทโฟน จริงจังมากจนต้องชะเง้อคอมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เซ็นซะ”

สมาร์ทโฟนเครื่องแพงถูกยื่นมา พอกวาดสายตามองข้อความบนโน้ตแล้วก็ถึงกับหลุดขำ

บางทีพี่ไปป์ก็มีมุมเด็กๆ กับเขาเหมือนกัน น่ารักว่ะ





‘ผม นายสิทธา ได้ยืมเงินจำนวนห้าร้อยบาทถ้วนจากนายปกรณ์
และจะคืนให้ครบตามจำนวนก่อนฝึกงานเสร็จ
ขอรับรองว่าเป็นความจริง หากไม่คืนอนุญาตให้ตบหัวได้เท่าจำนวนเงิน’




โหดสัดรัสเซียแต่ไม่ยอมก็ไม่มีเงินกินข้าว แล้วไอ้เซจะเลือกอะไรได้ไหม





ยาที่เจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลทาให้เมื่อตอนสายช่วยบรรเทาอาคารคันจากร่องรอยยุงกัดได้จริง มันช่วยให้ผมมีสมาธิทำงานแต่ก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

“มึงจะคันอะไรนักหนาวะเซ” ผมหยุดมือแต่ก็แค่แป๊บเดียว ไอ้อาการคันคะเยอเนี่ยทำให้เสียบุคลิกโคตรๆ หมดกันความหล่อดีไร้ราคีที่สั่งสมมา

“มึงลองถูกยุงรุมกัดบ้างมั้ยล่ะ”

“ใครจะบ้าออกไปนอนระเบียงอย่างมึง” ก็จริงของไอ้ยอด แต่ก็นะ ถ้าไม่นอนระเบียงก็ไม่มีที่จะซุกหัวอะ

คืองี้ เมื่อคืนน่ะ หลังจากแยกกับพี่ไปป์ ผมก็โทรหาพี่สอง ขอร้องกราบกรานให้มันลงมารับและพี่ชายผมก็ช่างเป็นคนใจดีของโลกใบนี้ พอผมอาบน้ำเสร็จก็โยนผ้าห่มกับหมอนมาให้พร้อมทั้งบุ้ยปากไปทางระเบียง ตอนแรกผมก็คิดว่ามันล้อเล่นแต่ที่ไหนได้เอาจริงสุดๆ เพราะคำสั่งพ่อ

คำสั่งที่ว่าก็ไม่ได้น่ากลัวซักเท่าไหร่หรอก ก็แค่ห้ามใครช่วยเหลือผม หากฝ่าฝืนจะโดนลงโทษเหมือนกัน พ่อโคตรใจร้าย แต่ก็ช่างเหอะ คิดว่าไอ้เซจะยอมแพ้เหรอ ฝันไปเถอะ อายุ 20 กว่าแล้วครับ ไม่ใช่เด็ก 5 ขวบ เซจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเซอยู่ได้

“แล้วคืนนี้มึงจะเอาไงต่อ นอนห้องกูมั้ย แฟนกูกลับบ้านต่างจังหวัดพอดี”

ได้ฟังข้อเสนอแล้วก็ตาโตแอบลิงโลดอยู่ในใจ แต่จะกระโตกกระตากไม่ได้ครับขอเล่นตัวนิดนึง

“ได้แน่เหรอวะ กูเกรงใจ”

“มึงอย่ามาตอแหลทั้งที่สายตามึงเป็นประกายวิบวับ” โห อุตส่าห์เก็บอาการ ถูกจับได้ซะแล้ว

เอาวะ ช่างเถอะ อย่างน้อยคืนนี้ก็มีที่ซุกหัวนอนแล้ว

ปุบ!

ขณะที่กำลังกรุ้มกริ่มหัวใจพองโตที่คืนนี้มีที่ให้ซุกหัวนอน เผลอๆ อาจจะมีข้าวเย็นให้กินฟรีๆ อยู่ๆ ถุงพลาสติกซึ่งมีตราร้านยาก็ถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนเจ้าของมันจะนั่งลงข้างๆ กัน

‘พี่ไปป์’

“พี่ปกรณ์สวัสดีครับ ผมชื่อยอดเป็นเพื่อนสนิทไอ้เซ” ไอ้ยอดยกมือไว้ขณะที่ผมคว้าถุงยามารื้อดู

“เคยได้ยินเรื่องคุณจากพี่เลี้ยงเหมือนกัน”

“พี่เขาชมผมเหรอครับ”

“อือ ชมว่าห่วย” ใบ้แดกไปเลยครับเพื่อน

“พี่ไปป์ เอ้ย พี่ปกรณ์ นี่มันกระเป๋าตังค์เซนี่ อยู่ที่พี่ได้ไง”

“มีคนมาฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์”

“แล้วยานี่…”

“บรรเทาอาการคันจากแมลงสัตว์กัดต่อย อ่อ เป็นยาใช้ทาภายนอก อย่าเผลอกินเข้าไปล่ะ” โห ไอ้เซก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้นป่ะวะ ฉลากก็มี ภาษาไทยตัวใหญ่เท่าฝาบ้าน มองเห็นแล้วก็อ่านออกหรอกน่า

“คันอะพี่ปกรณ์ ช่วยทายาให้เซหน่อย”

“มีเพื่อนไว้ทำไม”

“ต้องไปทำงานแล้ว ขอตัวนะครับพี่ปกรณ์” แสนรู้กว่าหมาก็ไอ้ยอดนี่ล่ะครับ

“ไม่มีเพื่อนแล้วอะครับพี่ปกรณ์”

“ไปห้องพยาบาล” บอกอย่างเฉยชาแล้วก็ลุกขึ้น โห ไรวะ นี่น้องไง ไม่เห็นใจน้องเลย ไอ้เซโซแซด

ทว่าขณะที่กำลังบีบน้ำตา พี่ไปป์ที่เพิ่งจะก้าวห่างออกไปก้าวนึงก็หยุดขาแล้วเอี้ยวตัวมามอง ผมนี่ใจชื้นเลย เปลี่ยนใจแล้วใช่มั้ย จะกลับมาช่วยไอ้เซทายาแล้วใช่รึเปล่า

“อย่าลืมเขียนรายงานการฝึกงานส่งผมด้วยนะ”

โพล๊ะ!!

ได้ยินเสียงความคาดหวังของผมแหลกสลายไหมครับ

รายงงรายงานอะไร ไม่ทำหรอกโว้ย!!!







“ยอด รายงานนี่มันต้องเริ่มยังไงวะ”

ถึงไม่อยากทำแต่ถ้าไม่ทำก็ฝึกงานไม่ผ่าน เพราะงั้นผมจึงต้องมานั่งหลักขดหลังแข็งพิมพ์รายงานแล้วลบ ลบแล้วพิมพ์ ทำซ้ำๆ จนนิ้วแทบล็อค

“มึงชอบพี่ปกรณ์เหรอวะ” ผมสะดุ้งเลยตอนที่ถูกถามอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงโคตรเรียบ

ผมมองตามนิ้วมือของมันที่กำลังพิมพ์ในส่วนแรกของรายงานให้พลางคิดถึงใบหน้าที่พยายามปั้นนิ่งของพี่ไปป์

ถามว่าชอบเหรอ ก็คงตอบไม่ได้ตอนนี้ แต่ถามว่าถูกใจไหม อืมมม~ ถูกใจโคตรๆ เลย

“อะ เนี่ยกูเริ่มให้แล้ว ที่เหลือมึงก็พิมพ์ลงไปว่าวันๆ ทำเหี้ยไรบ้างแล้วผลที่ออกมาเป็นยังไง และถ้าไม่เข้าใจตรงไหน เปิดไฟล์กูดู แล้วอย่าเสือกลอกล่ะมึง”

“เห็นกูเป็นคนยังไง”

“จนและกาก” เจ็บอะ ทำไมเพื่อนยอดพูดจาทำร้ายจิตใจกันขนาดนี้ เรื่องกากนี่ค่อนข้างจะยอมรับแต่เรื่องจน กูเพิ่งจนเองนะ จนตอนขึ้นปี 4 เนี่ย

เอาจริงๆ นะ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ก็อย่างที่บอกไปตอนก่อนโน้นไง ไม่เสิร์ฟน้ำ ซื้อกาแฟ ก็จัดฉาก

“มึงว่ากูเขียนแบบนี้พี่ไปป์จะด่ากูมั้ยวะ” ไอ้ยอดละสายตาจากหน้าจอมือถือของมันแล้วชะโงกหน้ามามองจอคอมพ์ตรงหน้าผม

มองแล้วส่ายหน้าหมายความว่าไงครับเพื่อนรัก

“กูเนี่ยจะด่ามึงก่อนพี่ปกรณ์ ห่า เสิร์ฟน้ำอะไรทุกวัน”

“ไม่ทุกวันนะมึง บางวันกูก็จัดฉาก เอ้อ มีครั้งนึงช่วยฝ่ายคอสตูมด้วย” ผมเลื่อนหน้าเวิร์ดให้มันดูพร้อมคำบรรยาย แต่กระนั้นไอ้ยอดเพื่อนรักก็ยังคงไม่เลิกทำหน้าหน่ายใจ

“เอาที่มึงสบายใจละกัน แต่ก็โทษมึงไม่ได้ว่ะ พี่เลี้ยงมึงไม่ใส่ใจ”

“อย่าว่าพี่ไปป์”

“ทำไม ชอบพี่เขาจริงๆ ล่ะสิมึง”

“ไม่รู้เว้ย รู้แต่ว่ากูไม่ชอบให้ใครว่าเขา กูว่าเขาได้คนเดียว”

พอเถียงกันเสร็จต่างคนก็ต่างตั้งหน้าตั้งตาจัดการเรื่องของตัวเอง จนเวลาผ่านไปถึงช่วงดึกสงัดอยู่ๆ ท้องของเราสองคนก็ร้องประสานเสียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

“มึงหิวป่ะ” ไอ้ยอดวางมือถือลงแล้วถามก่อน

“ห้องมึงมีอะไรกินป่ะ” มันส่ายหน้า เออดี งี้ก็ต้องไปเซเว่นแล้วดิ

“แฟนกูเขาไม่ให้ซื้อขนมติดห้องว่ะ บอกว่ากลัวอ้วน” กลัวอ้วนก็แค่ไม่ต้องกินรึเปล่าวะ เกี่ยวอะไรกับซื้อขนมติดห้อง ตรรกะป่วยคนหิวว่ามันไม่โอเค

“งั้นไปเซเว่นกัน” ใต้หอไอ้ยอดก็มีร้านขายของชำแต่ป่านนี้คงปิดไปแล้ว

“ฝนตกนะมึง”

มองออกไปยังระเบียงแล้วก็ต้องร้องเหี้ยหนักมาก นี่คือหนึ่งในความซวยของไอ้เซถูกมั้ย

“แต่กูมีร่มนะ” มีอันเดียวทำเป็นคุย

“งั้นกูไปเอง”

“ซื้อสปาเก็ตตี้ให้กูด้วย”

“อย่างแพง เอาตังค์มา” ไอ้ยอดพยักเพยิดไปยังกระเป๋าเก่าๆ เหี่ยวๆ ของมัน มองด้วยตาก็คิดนะว่าถ้าผมจับแล้วเชื้อโรคจะติดมือหรือเปล่า แต่ช่างเชื้อโรคมันก่อน ตอนนี้ของกินคือเป้าหมาย ไปหาของกินกัน

บรรยากาศตรงทางเดินหอพักไอ้ยอดน่ากลัวมาก โคตรเหมือนบุปผาราตรี ผมรีบก้าวขายาวๆ ไปที่ลิฟต์ กดย้ำๆ แม้รู้ว่ามันไม่ช่วยอะไรแต่ก็ทำ

พอลงมาถึงชั้นหนึ่งก็ต้องร้องเหี้ยหนักมากอีกครั้งเมื่อที่เทลงมาจากฟ้าตอนนี้มีทั้งลมทั้งฝน ซัดกระหน่ำจนหน้าแข้งผมเปียกอะคิดดู นาทีนี้ร่มก็คงไม่ช่วยอะไร

ถึงกระนั้นผมก็ฝ่าฝนออกไป เพราะว่าหิวหนักมาก เอาเถอะไหนๆ ก็ซวยแล้ว เอาให้มันสุดๆ ไปเลย

กว่าจะไปถึงเซเว่นก็เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำ เสื้อยืดตัวบางแนบไปกับลำตัวในยามที่แอร์ในร้านสะดวกซื้อสัมผัสกาย ไอ้เซก็ได้แต่กอดตัวเองที่กำลังสั่นระริก

อเนจอนาถเหลือเกินชีวิตกู







“เซ”

ใบหน้าของผมถูกตบเบาๆ

“ไอ้เซ”

ตบหน้าอีกแล้ว หน้ากูดีกว่ามึงใช่มั้ยถึงได้ตบรัวขนาดนี้

“เหี้ยเซถ้าไม่ตื่นตอนนี้มึงไปฝึกงานไม่ทันแล้วนะ”

ฝึกงาน คำนี้แม่งโคตรต้องสาป ผมเด้งกายขึ้นนั่งบนเตียง สะบัดหัวไล่ความมึนงงก่อนจะพาร่างสะโหลสะเหลเหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่มไปอาบน้ำ

ใช้เวลาจัดการตัวเองประมาณ 10 นาทีก็มายืนโหนเสาทำหน้าสลอนอยู่บนรถเมล์

ทั้งชีวิตเคยนั่งแต่รถส่วนตัว ตอนนี้ตกอับกระทั่งต้องมานั่งรถเมล์ฟรีที่จอดไม่เคยตรงป้ายอะคิดดู

ยืนโยกไปโยกมาให้ถุงแกงร้อนๆ นาบแข้งนาบขาไม่นานก็มาถึงตึก โคตรทรหดอะเช้านี้ คงเพราะเบียดคนเยอะแยะบนรถผมถึงรู้สึกมึนหัวมาก

“ไหวมั้ยไอ้คุณหนู”

“คุณหนูเหี้ยไร”

“คุณหนูตกอับ”

ฮือออ~ ถ้าจะพูดแบบนี้ เอาปากกามาเขียนหน้ากูเลยดีกว่า อยากจะบอกให้เอาปืนมายิงแต่ก็กลัวเจ็บ

“นักศึกษาฝึกงานมานั่งอู้อะไรตรงนี้ครับ”

ไอ้เหี้ยพี่สอง เพราะเอาแต่ทำปากพะงาบๆ ด้วยความตกใจที่อยู่ๆ มันก็โผล่มา กว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ไอ้พี่ชายตัวดีก็เดินตัวปลิวเข้าลิฟต์ผู้บริหารไปแล้ว

สัดอย่าให้ถึงทีกูบ้างนะมึง จะเดินให้เท่กว่ามึงพันเท่าเลย

“พี่สองโคตรเท่อะมึง”

“เท่เหี้ยไร อย่าเพ้อ ไปทำงาน”

เราแยกกันที่หน้าตึกเพราะวันนี้ไอ้ยอดต้องไปดูการถ่ายทำที่สตูดิโอ ส่วนผม แก้บทยังไม่เสร็จเลยคร้าบบบ~

มวลมหาประชาชนบนรถเมล์ฟรีว่าเบียดแล้ว เจอมวลมหาชาวประชาบริษัทเข้าไป รถเมล์ฟรีน่ะเบๆ เลย

“น้องเซหน้าซีดมากเลยค่ะ”

พี่ผู้ช่วยพี่ไปป์อีกแล้ว ช่วงนี้เจอเธอบ่อยมาก บ่อยจนแอบสงสัยว่าเธอตามผมอยู่รึเปล่า

“กินข้าวเช้ามารึยัง เอาแซนวิชไปกินนะคะ” คนเยอะมากแต่ก็ยังแทรกๆ เบียดๆ หยิบแซนวิชในถุงผ้าส่งมาให้ผม

จะไม่รับไว้ก็กะไรอยู่อะเนอะ ดังนั้นผมจึงรับมาแล้วกล่าวขอบคุณ ก่อนจะถูกคลื่นมนุษย์ซัดสาดให้ไหลออกจากลิฟต์มา มองดูตัวเลขบอกชั้นก็ต้องถอนหายใจครับ อีกตั้ง 3 ชั้นกว่าจะถึงชั้น 7 จะรอลิฟต์ก็คิดว่าสายแน่นอน ถ้าพี่ปกรณ์ทราบเรื่องล่ะก็ไอ้เซถูกด่ายับแน่นอนไม่ต้องรอให้หมอดูคอนเฟิร์ม

รู้สึกว่าวันนี้ร่างกายตัวเองอ่อนแอแปลกๆ มันรู้สึกมึนเหมือนตอนเพิ่งตื่น กระนั้นผมก็ยังคงพยายามสาวราวแล้วก้าวขึ้นบันไดไปอย่างเชื่องช้า สวัสดีหอยทาก ช้าแบบถ้าเดินข้างหอยทาก พี่หอยก็คงแซง เดินได้แค่ชั้นเดียวก็นั่งทรุดตัวลงนั่งพัก หรือผมจะหิว ไม่ใช่หรอก ท้องไม่ร้อง ไม่รู้สึกหิวด้วย มีแต่อาการมึนหัวที่เพิ่มขึ้น

แม้จะขึ้นบันไดหนีไฟมาแต่ผมก็ยังสายอยู่ดี แต่ก็ยังโชคดีอยู่ที่ไม่เจอพี่ไปป์ที่แผนกวาไรตี้

“พี่ดูบทที่มึงแก้แล้ว ใช้ได้อยู่นะ” กระดาษเอสี่ยับๆ ถูกวางลงบนโต๊ะตรงหน้าเมื่อผมนั่งลง

ผมนี่ก็เก่งใช้ได้เหมือนกันแฮะ

“แก้บทเสร็จแล้วก็ลงไปช่วยที่สตูนะ รู้ใช่มั้ยว่าเขาถ่ายกันที่สตูไหน”

“ทราบครับ” ผมรับคำพี่โปรดิวเซอร์ด้วยเสียงอันแหบแห้ง

จำได้ว่ารายการเริ่มถ่ายทำตอน 10 โมง ระหว่างนี้ของีบก่อนก็แล้วกัน มึนหัวฉิบหายเลย

หลับไปแค่งีบเดียวผมก็ถูกกวนให้ตื่นด้วยมือของใครสักคนที่แตะบ่าเบาๆ งัวเงียลุกขึ้นมาก็พบหน้าดุๆ ของพี่ไปป์

ฉิบหายแล้วไอ้เซ โดนด่าหูชาแน่มึง

“คนที่สตูฯ บอกว่าเธอไม่สบาย”

“เอ่อ…” ไม่ด่าว่ะ

“ถ้าไม่สบายก็ไปหาหมอสิ มานอนอยู่แบบนี้มันจะหายได้ยังไง”

“ไม่เป็นไรมากหรอกพี่ แค่นอนน้อยครับ”

“แน่ใจนะว่าไหว” เก้าอี้ข้างๆ ถูกเลื่อนออกก่อนเจ้าของร่างโปร่งจะนั่งลงข้างๆ สายตาพี่ไปป์อ่อนโยนจนผมแอบเคลิ้ม แต่ก็เคลิ้มได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งเมื่อเขาวางหลังมือลงบนหน้าผากของผม

ความอ่อนโยนที่ได้รับทำให้ภายในอกของผมวูบโหวง ตั้งใจละสายตาไปมองที่อื่นแต่สุดท้ายก็กลับมามองหน้าพี่แกเหมือนเดิม

ใบหน้าพี่ไปป์มีแรงดึงดูด ไม่สิ สายตาอ่อนโยนคู่นั้นต่างหากที่มีแรงดึงดูด

“ตัวร้อนมาก ไปนอนห้องพยาบาลเถอะ”

อาจเพราะกลัวว่าผมจะไม่ทำตาม พี่ไปป์จงคว้าต้นแขนของผมแล้วดึงให้ลุกขึ้น เดินนำไปยังลิฟต์ทั้งที่ไม่ยอมละมือจากผมเลย

“ดื้อเหมือนกันนะเรา”

“ครับ?” ผมสบตากับพี่ไปป์ผ่านภาพสะท้อนที่ประตูลิฟต์

“ดื้อไง ถ้าไม่ไหวก็ไม่จำเป็นต้องฝืนนะ”

“ผมไหวจริงๆ”

“ดื้อ!!” พี่ไปป์เอ็ดผมเสียงดุ ทว่ากลับไม่ทำให้ผมกลัวสักนิด มิหนำซ้ำยังรู้สึกดีจนต้องยกยิ้มขึ้นมา “ยิ้มอะไร”

“รู้สึกดีที่พี่ไปป์เป็นห่วงครับ”

“ในฐานะพี่เลี้ยง”

“ทราบครับ แต่ถึงจะห่วงในฐานะพี่เลี้ยง เซก็รู้สึกดีครับ”

ติ๊ง!

ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้น 11

พี่ไปป์พาผมมาส่งที่ห้องพยาบาลโดยปราศจากคำพูดใด เจ้าหน้าที่จัดยาบังคับให้กินแล้วกำชับให้พักผ่อน และเมื่อถูกปล่อยให้อยู่ลำพังผมก็หลับไปเลย







ตื่นขึ้นมาอีกทีตอน 11 โมง

เลยเวลาถ่ายรายการมาแล้วกว่าชั่วโมง ผมงัวเงียลุกขึ้นมา รู้สึกมึนอยู่หน่อยๆ ลองจับหน้าผากตัวเองก็พบว่ามันไม่ได้ร้อนนัก ผมคิดว่าตัวเองยังไหวนะ

“คุณปกรณ์บอกว่าไม่สบาย” ผู้กำกับหันมาถามเมื่อผมยกมือไหว้

“ดีขึ้นแล้วครับ”

“แน่นะ”

“ครับ”

“งั้นก็นั่งนี่ อย่าทำตัวมีปัญหา” ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว และไม่มีเงินด้วยเช่นกัน

การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อยๆ แบบที่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก นอกจากนั่งศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติงานจริงของพวกพี่มืออาชีพเขา

กว่าจะได้รายการดีๆ ออกมาให้ทุกคนดูกันที่หน้าจอโทรทัศน์นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“พัก 15 นาที” เสียงผู้กำกับดังให้ทีมงานเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง

พักในที่นี้หมายถึงให้พิธีกรพัก ส่วนทีมงานน่ะเหรอต้องพร้อมทำงานอยู่เสมอ

“ไงเรา ชอบแผนกวาไรตี้มั้ย”

“ก็สนุกดีครับ”

“ไงก็ฝากให้ท่านประธานพิจารณาโบนัสพวกเราด้วยนะ” พี่ผู้กำกับว่าทีเล่นทีจริง

ไอ้เซก็อยากช่วยอยู่หรอกแต่ตอนนี้ตัวผมเองยังเอาไม่รอดเลย

ความจริงเรื่องที่ผมเป็นลูกชายคนเล็กของท่านประธานก็ไม่ใช่ความลับอะไร แต่ก็มีเพียงบางคนเท่านั้นที่ทราบ ก็ผมน่ะไม่ค่อยออกสื่อกับพ่อซักเท่าไหร่ ไม่รู้สิ ไม่อยากดัง และก็คิดว่าพี่ไปป์เองก็คงไม่รู้ว่าผมเป็นใคร รายนั้นน่ะยังคิดว่าผมเป็นเด็กขายน้ำอยู่เลยมั้ง

ต้องอธิบายยังไงถึงจะเลิกเข้าใจผิดก็ไม่รู้

พอนึกถึงก็โทรมาเลย

“อยู่ไหน” รับสายปุ๊บก็ดุกันเลย จะโหดไปไหนครับ รู้มั้ยว่ามันไม่เข้ากับใบหน้าหล่อน่ารักของพี่เลย

“อยู่สตูฯ ครับ”

“บอกให้พักไง”

“ผมโอเคแล้วครับพี่ปกรณ์”

“โอเคอะไร จิตใจหรือร่างกาย ถ้าเป็นอะไรขึ้นมานะ…” จากนั้นก็บ่นยาวจนผมต้องปลีกตัวออกมาที่บันไดหนีไฟเพื่อฟังเสียงบ่นโดยเฉพาะ

บ่นแปลว่าห่วง พี่ไปป์ห่วงผมว่ะ โคตรรู้สึกดี

“ผมสัญญาว่าคืนนี้จะกินยาแล้วรีบนอนแต่หัววันเลยครับ”

“แล้วแต่!!” กระชากเสียงใส่แล้วก็วางสายไปเลยอ่ะ ขี้งอนชะมัด

เมื่อกลับเข้ามาในสตูดิโออีกครั้งการถ่ายทำก็เริ่มขึ้นแล้ว และผมก็ไม่อาจนั่งเฉยๆ ได้อีกต่อไป

“ให้ผมช่วยนะพี่”

ถึงจะบอกว่าไม่ชอบทำงานใช้แรงแต่คนดีอย่างไอ้เซก็เข้าไปช่วยพี่เขาแบกน้ำเหมือนเดิม บางทีผมอาจจะติดใจงานใช้แรงพวกนี้แล้วก็ได้

หลังจากงานแบกน้ำ ผมก็ทำนู่นทำนี่ไม่หยุดเลย แม้บางครั้งอาการปวดหัวจะกำเริบแต่เมื่อได้นั่งพักสักหน่อยอาการก็ทุเลาลง

“โอเค ขอบคุณทุกคนมาก” เสียงของผู้กำกับไม่ต่างจากนาฬิกาบอกเวลาเลิกงาน ทุกคนดูโล่งใจมาก ผมเองก็ด้วย

“น้องสิทธาโอเคมั้ยเนี่ย หน้าซีดมากเลย”

“สบายพี่” ผมทรุดนั่งยองๆ กับพื้น ยกหลังมือขึ้นปากเหงื่อ ทั้งที่แอร์ในห้องนี้ก็ออกจะเย็นแต่ผมกลับรู้สึกร้อนมาก เหงื่อไหลโทรมกายเหมือนเพิ่งวิ่งแข่งมา

ปวดหัวอีกแล้วว่ะ คราวนี้ปวดมากกว่าทุกครั้งเลย

ผมนั่งอยู่บนพื้นมองพี่ทีมงานเก็บของแล้วค่อยๆ ทยอยออกจากห้องไปทีละคนสองคน ไฟในสตูดิโอก็ถูกปิดลงจนเกือบหมด

“ไอ้น้องนั่งทำอะไรตรงนั้น กลับบ้านได้แล้ว” พีทีมงานคนสุดท้ายกวักมือเรียกให้ผมพยุงตัวที่ปราศจากเรี่ยวแรงลุกขึ้น

การจะพาตัวเองไปยังประตูมันช่างยากลำบากเหลือเกิน

“เจอกันพรุ่งนี้ไอ้น้อง วันนี้ทำดีมาก เดี๋ยวพี่ให้คะแนนประเมินเต็มสิบเลย”

“ขอบ…” ไม่ทันที่คำซึ่งเค้นออกมาจากลำคออันแหบแห้งจะหลุดออกมาจากริมฝีปาก พี่เขาก็เข้าลิฟต์ไปแล้ว

ผมทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอีกครั้ง กอดตัวเองเมื่อรู้สึกว่าอากาศโคตรหนาว ใบหน้าและร่างกายร้อนผ่าว พละกำลังที่มีอย่างมหาศาลบัดนี้ไม่รู้ว่ามันหายไปไหนหมด กระทั่งดวงตาก็ไม่สามารถบังคับให้มันเปิดอยู่ได้ ดังนั้นผมจึงหลับไป

ติ๊ง!

ได้ยินเสียงลิฟต์

“เซ!!”

ได้ยินเสียงพี่ไปป์ และทุกอย่างก็มืดดับไป







สิ่งแรกที่ผมรับรู้ตอนได้สติคือกลิ่นโรงพยาบาล ปวดหัวว่ะ ผมพยายามจะพลิกตัวทว่ากลับรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แขนซึ่งถูกเข็มตรึงเอาไว้

น้ำเกลือเหรอ?

“ไอ้เซมึงฟื้นแล้ว” เสียงไอ้ยอด เมื่อลืมตาขึ้นมอง ปรับสายตาให้เข้ากับความสว่างแล้วก็พบกับใบหน้าตื่นตกใจของเพื่อนผม

ปวดหัว ผมยกมือขึ้นกุมขมับแล้วขยับตัวเพื่อนั่งทว่ากลับถูกกดไหล่เอาไว้

“นอนไปเลยมึง อย่าฝืน”

“กูหลับไปนานเท่าไหร่วะ”

“ครึ่งวันกับหนึ่งคืน” มันหาวปากกว้างกว่าอุโมงค์ที่แยกมไหศวรรย์ซะอีก

“พี่ไปป์ล่ะ”

“มึงรู้ได้ไงว่าเขาพามึงมาส่ง”

“กูได้ยินเสียงเขาก่อนหมดสติว่ะ”

“พี่ไปป์ของมึงเพิ่งกลับไปเมื่อเช้า”

“พี่เขาไม่ใช่ของกูซักหน่อย”

“แล้วมึงจะเขินทำซากอะไร อย่าบอกนะว่ามึงคิดกับเขาเกินพี่เลี้ยงจริงๆ”

“กูปวดหัว มึงจะไปไหนก็ไปกูจะนอน”

“ถ้าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นพี่ไปป์มึงคงไม่ไล่อย่างหมาแบบนี้” ประชดครับ มันประชด

“ไปไกลๆ เลยหมา ชิ่วๆ” สะบัดมือไล่มันแล้วผมจึงหลับตาลง

ถามว่ายังปวดหัวอยู่จริงๆ เหรอ ก็ไม่เท่าไหร่นะ ดีขึ้นกว่าตอนก่อนจะหมดสติเยอะเลย อาจเพราะได้พักผ่อนด้วยล่ะมั้ง

“หลับไปอีกแล้วเหรอ” ผมแค่หลับตาแต่ไม่ได้หลับจริง และเมื่อได้ยินเสียงพี่ไปป์ ผมก็หรี่ตามอง เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยความกังวล มันก็น่ามองดี แต่ก็ไม่เท่าชุดลำลองที่ประกอบด้วยเสื้อคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนส์ทรงกระบอกเผยข้อเท้าขาวๆ นั่นหรอก

“หลับไปสักพักแล้วพี่ ผมฝากพี่ปกรณ์ดูมันต่อได้มั้ยครับ ผมต้องไปรับแฟนอะ”

“ก็ไปสิ ขอบใจมากยอด”

เสียงฝีเท้าไอ้ยอดห่างออกไปเป็นจังหวะเดียวกับที่เก้าอี้ข้างเตียงถูกลากออกแล้วพี่ไปป์ก็นั่งลง

หน้าผากของผมถูกสัมผัสด้วยมืออุ่นๆ ที่แนบลงมาเพื่อวัดอุณหภูมิ

“ตัวก็ไม่ร้อนแล้ว ที่หลับนี่ไม่สบายหรือขี้เกียจ” พี่ปกรณ์ก็มองผมในแง่ร้ายเกินไป อาการของไข้หวัดก็ยังมีอยู่แต่ความขี้เกียจมีมากกว่า แต่ที่มากกว่าความขี้เกียจคือความสำออย

“น้ำ” ผมขยับริมฝีปากหน่อยๆ แล้วร้องขอน้ำ เมื่อหรี่ตาขึ้นก็ประสานสายตากับคนข้างงเตียงพอดี “พี่ไปป์”

แทนที่จะเหวี่ยงที่ผมเรียกชื่อเล่นพี่แกกลับทำแค่มองเฉยๆ ก่อนช่วยปรับเตียงให้ผมนั่งแล้วค่อยหันไปรินน้ำมาให้

“ถือเองได้มั้ย” ผมส่ายหน้าพี่แกก็จิ๊ปาก แม้จะแสดงความไม่พอใจแต่ก็ยอมป้อนน้ำผมแต่โดยดี “รู้สึกดีขึ้นรึยัง”

“ก็ดีครับ แต่ยังปวดหัวนิดหน่อย”

“ทำไมเป็นคนรั้นแบบนี้ฮะสิทธา”

“ครับ? ผม เอ่อ…” ก่อนอาการจะทรุดจนต้องนอนโรงพยาบาล พี่ไปป์บอกให้ผมพัก เขาบอกว่าอย่าฝืนแต่ผมก็ไม่เชื่อ สมควรแล้วที่โดนดุ

“ผมบอกให้คุณนอนพักไม่ใช่เหรอ แล้วไปทำงานทำไม ใครใช้ให้ไป”

“ไม่มีใครใช้ครับ”

“คุณรู้มั้ยว่าที่บรษัทมีระบบพี่เลี้ยงไว้ทำไม”

“เอ่อ…”

“มีไว้เพื่อให้คุณเชื่อฟังไง แต่ถ้าคุณไม่เชื่อฟังผมก็ไม่ต้องมาเป็นน้องผม”

“เซขอโทษครับพี่ปกรณ์ เซจะไม่ดื้ออีกแล้ว” จะโทษใครได้ ที่ต้องมานอนซมในโรงพยาบาลแบบนี้แถมยังสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไปทั่ว ทั้งหมดนั้นเกิดจากความดื้อรั้นของผมจริงๆ

แม้ผมจะขอโทษด้วยเสียงอ่อยๆ ช้อนตามองพี่ไปป์เหมือนหมาอ้อนเจ้านาย ถึงกระนั้นคนถูกอ้อนก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย สายตาก็ทอดมองไปนอกหน้าต่างโน่น

“พี่ไปป์ เซขอโทษครับ” ผมยื่นมือไปแตะที่ต้นแขนแต่เจ้าของมันกลับสะบัดออก มองผมเขม็งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน งอนแรงมากอะคนเรา

“หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว นี่เสื้อผ้า” กระเป๋าใบเล็กถูกวางลงบนเตียงข้างตัว เมื่อลองรื้อดูก็พบว่าเป็นเสื้อผ้าซึ่งไม่ใช่ของผมซักชิ้น

“เซไม่มีที่ไป”

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับบ้านกัน”

“บ้าน?”

“บ้านผม พอใจรึยัง”

บร๊ะ!! ได้ไปอยู่บ้านพี่ไปป์แล้วโว้ย ถ้ารู้ว่าป่วยแล้วจะมีที่ซุกหัวนอนโดยไม่ต้องร้องขอ ไอ้เซยอมป่วยตั้งนานแล้วครับ







[T B C]

ได้เข้าบ้านพี่ไปป์สมใจไอ้เซแล้ว
เนี่ย ป่วยตั้งแต่แรกก็จบแล้วเนอะ
ไม่ต้องอ้อนต่องอ่อยเลย 555
เจอกันอีกทีวันที่ 15 นะคะ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ
รัก
 :mew1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 02 05-04-17}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 05-04-2017 19:46:50
เย้ ได้นอนบ้านพี่/ปป์แล้ว จะบ้านหมารึห้องนอนน้อ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 03 15-04-17}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 15-04-2017 18:21:42
พี่ครับ 03


พี่ไปป์พักอยู่ลำพังในคอนโดห้องขนาดกลาง 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ มันน่าแปลกใจตรงที่คอนโดเขาเป็นโครงการเดียวกับห้องของผมต่างกันก็แค่ขนาดห้องเท่านั้น

“เข้ามาสิ” เจ้าของห้องหันมาบอกตอนที่เปิดประตูออก

ผมมองพี่ไปป์ถอดรองเท้าเก็บเข้าชั้นแล้วทำตามบ้าง

“เซอยู่ได้นานแค่ไหน”

“จนกว่าจะหายดี”

“เซปวดหัวจังเลยพี่ไปป์” นาทีนี้ตอแหลได้ ทำตัวสบายอดครับ คติอะไรก็ช่างหัวไอ้เซเถอะ ขอแค่มีที่ซุกหัวนอนก็พอ

อย่าคิดว่าพี่ไปป์จะถามไถ่เมื่อผมคร่ำครวญว่าปวดหัวพลางกุมขมับ มองออกมั้งว่าผมเล่นใหญ่ แต่ช่างปะไรตราบใดที่พี่แกไม่ว่าอะไร ต่อให้ต้องเล่นใหญ่แค่ไหนผมก็ยอม

“พี่ไปป์อยู่คนเดียวเหรอครับ”

“เปล่า”

“อ้าว” แปลกใจครับ อนุญาตให้ผมมาอยู่ด้วยทั้งที่ตัวเองไม่ใช่ตัวคนเดียว ระหว่างมองพี่ไปป์เปิดทีวีก็สำรวจรอบห้อง พลางเดามั่วว่าพี่แกอยู่ที่นี่กับใคร ซุกเมียกับลูกไว้หรือเปล่าวะ

“นั่งสิ แต่ถ้าจะยืนก็ไม่ว่ากันนะ” พี่ไปป์ว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ เมื่อทิ้งตัวลงบนโซฟาหน้าทีวี เห็นดังนั้นผมก็นั่งลงข้างๆ

“เซอยู่ที่นี่ได้จริงเหรอ”

“ไม่อยากอยู่ก็ออกไป”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่มีที่ให้นอนเซก็ดีใจแล้วแต่เมื่อกี้พี่บอกว่าไม่ได้อยู่คนเดียวอ่ะ เซเกรงใจ”

พี่ไปป์ทำหน้าประหลาดใจแล้วกระตุกยิ้มราวกับขบขันคำพูดของผม ตลกตรงไหน ที่บอกว่าเกรงใจน่ะจริงจังนะครับ

“เกรงใจคนอื่นก็เป็นด้วย”

“เซก็คนนะครับ”

“ก็ไม่ได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดซักหน่อย”

“พี่ไปป์กวนอะ” พอผมว่าอย่างนั้นพี่แกก็แค่ไหวไหล่แล้วเอื้อมหยิบรีโมทมาเปลี่ยนช่องทีวี

เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากวาไรตี้เป็นสารคดี หนังแล้วจบที่ซีรีส์ต่างประเทศ

“เซชอบเรื่องนี้” ผมขยับนั่งตัวตรง กอดหมอนอิงแล้วจ้องหน้าจอทีวีตาไม่กระพริบ “โห ไปถึงโน่นแล้วเหรอ พลาดไปหลายตอนเลยอะ”

“มีไวไฟนะ ดูย้อนหลังได้”

“พี่ไปป์”

“อะไร”

“สรุปว่าเซอยู่ที่นี่ได้แน่นะ”

“ผมจะพูดเล่นทำไม สนิทกันถึงขั้นล้อกันเล่นได้แล้วเหรอ”

เชื่อเถอะว่าคำพูดจริงจังของพี่ไปป์ทำผมกอดหมอนนั่งยิ้มไม่หุบเลย

ฮือออ~ จุดพลุฉลองสิ ไอ้เซมีที่ซุกหัวนอนแล้วโว้ย







“ยังปวดหัวอยู่มั้ย”

ที่จริงแล้วพี่ไปป์โคตรใจดี

“ตัวก็ไม่ร้อนแล้วนี่”

หน้าผากของผมถูกสัมผัสด้วยหลังมือของเจ้าของห้อง การถูกดูแลเอาใจใส่ทำให้ผมปลื้มปริ่มจนน้ำตาจะไหล

“แล้วนี่จะนอนไปถึงเมื่อไหร่”

นอนไปเรื่อยๆ อะ กลัวพี่ไปป์เข้าใจถูกว่าผมหายดีแล้วจะเฉดหัวออกจากห้อง

“ลุกมากินข้าวมั้ยหรือต้องให้ผมป้อน” ก็ดีครับ ป้อนสิ ผมโคตรต้องการ

แต่นอนหลับตารออยู่นานทีเดียวกับเสียงพี่ไปป์ที่เงียบลง ท้องก็หิวจนต้องลืมตาขึ้น ลุกแล้วมองเข้าไปในครัวก็พบว่าพี่เจ้าของห้องกำลังนั่งกินข้าวสบายใจเฉิบ

ปลุกกันต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้นะคนเรา

“ตื่นแล้วก็มากินข้าวสิ” เรียกผมด้วยน้ำเสียงที่โคตรจะเฉยชาตอนที่บังเอิญสบตา อยากเล่นตัวสักหน่อยแต่ไม่ไหวว่ะตอนนี้ท้องหิวเกินจะทำเรื่องไร้สาระพวกนั้นแล้ว

“นี่พี่ไปป์ทำเองหมดเลยเหรอครับ” ผมเกือบจะร้องว้าวเมื่อพบอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ หน้าตาน่ากินทั้งนั้น

“คิดว่าตัวเองเป็นใคร”

“เซไง”

“ก็แค่คนรู้จักไงจำเป็นต้องทำอาหารมากมายให้กินด้วยเหรอ”

“จะยังไงก็ช่างเถอะ กินแล้วนะครับโคตรหิวเลย”

“มียาก่อนอาหารมั้ย” มือที่กำลังจะจ้วงตักอาหารจำต้องชะงัก เหลือบมองคนตรงข้ามแล้วก็กลอกตาคิด

อืมมม จำได้ว่ามี แต่ถ้ากินยาก็หายไข้เร็วน่ะสิ

“ไม่มีครับ”

“โกหก” พูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตะคอกทำเอาตกอกตกใจหมด และถ้าพี่รู้อยู่แล้วก็ไม่น่าถามให้ผมโกหกนะ

ยอมรับเลยว่าทุกท่าทางการจัดยาทำให้ผมโคตรที่จะทำตัวไม่ถูก ก็เพิ่งโกหกแล้วถูกจับได้ไปหยกๆ นี่หว่า

“กินยาแล้วก็นั่งรอไป 30 นาที”

“หิวอะ ไม่กินยาไม่ได้เหรอครับ กินข้าวเลยได้มั้ย”

“กิน!!”

“ข้าว โอเค” ผมยิ้มแฉ่งแล้วดึงจานข้าวสวยมาใกล้ตัวหากก็ถูกคนตรงข้ามฉวยข้อมือเอาไว้

“อย่ามาเนียน ถ้าไม่กินยาแล้วเมื่อไหร่จะหายดี ผมไม่มีเวลาดูแลคุณตลอดหรอกนะ”

“ลืมไปว่าพี่ไปป์มีลูกมีเมียที่ต้องดูแล”

เขานิ่งไปเมื่อผมพูดคำนั้น ดูจากสภาพการณ์แล้ว ความสัมพันธ์ในครอบครัวพี่ไปป์คงไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่

“กินยา”

ผมรับยาก่อนอาหารมาโยนเข้าปากแล้วกระดกน้ำตาม มองหน้าพี่ไปป์ที่ไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรสักเท่าไหร่

หิวอ่ะ ยิ่งมองพี่ไปป์เคี้ยวอาหารก็ยิ่งหิ๊วหิว

“เขียวหวานอร่อยมั้ยอะครับ” นั่งมองเขาเฉยๆ แล้วมันเหงาปาก หากพอถามพี่ไปป์ก็ตวัดสายตาดุๆ มอง จ้า กลัวแล้วจ้า

“อย่าชวนคุยเวลากินข้าว”

“พ่อผมก็ชอบพูดแบบนี้ แต่ผมคิดต่างนะ” คนที่กำลังตักข้าวเข้าปากชะงักมือ สายตาดุๆ อ่อนลง “ในแต่ละวันครอบครัวจะพร้อมหน้ากันเฉพาะตอนกินข้าวเย็นไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่คุยกันตอนนี้แล้วจะให้คุยกันตอนไหน”

“คิดถึงบ้านเหรอ”

“เปล่าครับ”

“สายตาไม่ได้บอกแบบนั้นนะ กับครอบครัวน่ะไม่จำเป็นต้องมีฟอร์มมากหรอก”

“เซ…” พี่ไปป์พูดเหมือนรู้ทุกอย่างจนผมเริ่มสงสัยว่าที่จริงเขาอาจจะรู้ว่าผมเป็นใคร

“รายงานคุณเสร็จรึยัง” ขอบคุณที่ช่วยเปลี่ยนเรื่อง แต่ไม่เอาเรื่องรายงานได้ไหม ได้ยินแล้วเพลียใจ

“เอ่อ…ไหนพี่ไปป์บอกไม่ชอบให้คุยตอนกินข้าว”

“ถ้าไม่คุยตอนกินข้าวก็ไม่มีเวลาให้คุยกันแล้ว อย่าเฉไฉ ตอบมา”

“ยังไม่เสร็จครับ”

“กินข้าวเสร็จแล้วผมขอดูหน่อย”

ก็บอกว่ายังไม่เสร็จไงเล่า จะเอาที่ไหนให้ดูวะ

ถึงจะบอกว่าไม่มีให้ดูสุดท้ายก็ต้องมาเปิดรายงานเว้าๆ แหว่งๆ ในสมาร์ทโฟนสารพัดประโยชน์ให้คุณพี่เลี้ยงดูอยู่ดี

พี่ไปป์อาบน้ำเสร็จแล้ว ตัวเขาหอมมาก กลิ่นเหมือนคุณชายสะอาด ผิวที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อนอนตัวโคร่งคอโคตรกว้างก็ข๊าวขาวเสียจนผมเผลอยืดตัวแอบส่องอยู่หลายครั้งหลายหน

“มองพอรึยัง ให้ถอดเสื้อเลยมั้ย”

“พี่ไปป์ก็…เซแค่มองเรื่อยเปื่อยเอง”

“เหรอ” คำสั้นๆ ของพี่ไปป์รวมกับสายตาจับผิดที่มองมาให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายโรคจิตเลยว่ะ

“ก็พี่ไปป์น่ามอง”

“น่ามองตรงไหน” พอผมบอกตรงๆ ก็หน้าแดง ให้ตายเถอะโคตรน่ารักอะ พี่ไปป์น่าจะเป็นพวกไม่ค่อยชินกับคำชมแน่เลย

“ก็น่ามองทั้งตัวอะครับ ไม่รู้ตัวเลยเหรอ”

“ก็ผู้ชายเหมือนกัน”

“ไม่เหมือนนะ พี่ไปป์อะ…”

“นี่เขาเรียกรายงานเหรอ” ยังไม่ทันได้บอกสรรพคุณความน่ามองของเจ้าตัว สมาร์ทโฟนก็ถูกส่งคืน ในขณะที่สีหน้าพี่ไปป์กลับมาจริงจังอีกครั้ง

“มันแย่มากใช่มั้ยพี่”

“จะให้พูดตรงๆ หรือรักษาน้ำใจ”

“พี่เคยรักษาน้ำใจเซด้วยเหรอ”

“โคตรห่วย ถ้าจะเขียนรายงานแบบนี้อย่าทำเลยดีกว่า เสียเวลาอ่าน” เออ ตรงจริง ตรงมาก ตรงจนคนอดตาหลับขับตานอนนั่งพิมพ์ทั้งคืนจุกไปทั้งอก

แม้จะเคยชินกับความปากร้ายของพี่ไปป์แต่พอได้ยินอย่างนั้นผมก็หงอยไปเหมือนกัน

“แล้วอยากรู้มั้ยว่าแบบไหนเขาเรียกว่าดี”

“อยากครับ”

“เอาไว้วันหลังจะสอนให้ แต่วันนี้กินยาแล้วพักผ่อนซะ” เพิ่งจะสามทุ่มเอง ไอ้เซผู้คุ้นชินกับการนอนหลับหลังเที่ยงคืนไม่มีทางหลับลงแน่ และอีกอย่าง…

“เซยังไม่อาบน้ำเลย”

“ยังไม่หายดีแค่เช็ดตัวก็พอ”

มองตามเจ้าของห้องที่เดินหายเข้าในห้องนอน นานสองนานก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าชุดนึง

“ขอบคุณครับ”

พอผมรับของมาพี่เจ้าของห้องก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ คราวนี้เข้าไปไม่นานก็ออกมาพร้อมกับกะละมังใบเล็กๆ ที่บรรจุน้ำไว้ในปริมาณพอดี

“เช็ดตัวซะ” เพิ่งเห็นตอนที่กะละมังถูกวางลงตรงหน้าว่าข้างในมีผ้าขนหนูสีขาวแช่อยู่ด้วย

“พี่ไปป์จะเช็ดให้…”

“เป็นง่อยเหรอ”

“เช็ดข้างหลังไม่ถึงหรอกครับ” ผมว่าพลางถอดเสื้อพี่ไปป์ที่อยู่บนตัวผมออก

“รอยยุงกัด? ไม่ได้ทายาเหรอ” ถึงแม้รอยยุงกัดตามร่างกายจะหายไปบ้างแล้วแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ทิ้งรอยแดงจางๆ เอาไว้

“ใกล้จะหายแล้วครับ”

“ใกล้จะหายก็แปลว่ายังไม่หาย” ปากก็บ่นมือก็ยื่นไปบิดผ้าในกะละมังจนหมาดแล้วยื่นมาให้

โธ่ เราก็นึกว่าจะช่วยเช็ดที่แท้ก็หลอกให้อยากแล้วให้ช่วย(เหลือ)ตัวเอง

“หนาวอะครับพี่ไปป์”

พี่เจ้าของห้องไม่ได้ตอบโต้แต่เขาเอื้อมมือไปหยิบรีโมทแล้วปรับแอร์ให้

โคตรดี โคตรอ่อนโยน โคตรอยากได้

“พี่ไปป์ เซเช็ดหลังไม่ถึง” อันนี้ไม่ได้ตอแหล ถึงแม้แขนขาจะยาวแต่ก็ไม่สามารถถูหลังตัวเองได้จริงๆ


‘รู้ไหมทำไมธรรมชาติถึงสร้างให้มนุษย์เกาหลังไม่ถึง เพราะธรรมชาติไม่ต้องการให้เราอยู่คนเดียว ธรรมชาติต้องการให้หาใครสักคนเพื่อช่วยเกาหลัง’


เคยได้ยินโยคนี้ในภาพยนตร์บุญชู 10 กันไหม ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยเลยล่ะ แต่ขอเปลี่ยนจากเกาหลังเป็นเช็ดหลังเพื่อเข้ากับสถานการณ์

พอผมร้องขอก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากคนข้างๆ แต่ถึงจะแสดงออกเหมือนไม่พอใจแต่สุดท้ายแล้วพี่ไปป์ก็ช่วยผมอยู่ดี

“หันหลังมา” ผมทำตามเขาอย่างไม่อิดออด

สัมผัสของพี่ไปป์นุ่มนวลมาก แตกต่างจากตอนเช็ดเหงื่อให้ผมที่ร้านหมูกระทะ ฮือ รู้สึกดีอะ

“รอยที่หลังก็ยังไม่หายดี” เสียงพี่ไปป์บ่นพึมพัม แต่นั่นก็ไม่น่าสนใจเท่ากับนิ้วเรียวที่สัมผัสผิวเนื้อผมตรงๆ

อยู่ๆ ภาพในคืนเร่าร้อนของเราก็ผุดขึ้นมาในหัวเป็นฉากๆ

“เป็นอะไร” เพราะอยู่ๆ ผมก็ตบหน้าตัวเองรัวๆ ให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังเอ่ยถาม ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบว่าเปล่า

ใครจะกล้าบอกล่ะว่ากำลังคิดเรื่องลามก

“ยาที่ซื้อให้ เอามาด้วยรึเปล่า” คงหมายถึงยาทาแก้แมลงกัดต่อย อย่าว่าแต่ยาเลย เสื้อผ้าซักชุดยังไม่ได้ติดตัวมา และเมื่อผมส่ายหน้าก็ถูกตบเข้าที่กลางหลังดังปั๊ก โคตรจุก

“เจ็บนะพี่ไปป์”

“ไม่มีความรับผิดชอบ”

“เซอยากรับผิดชอบพี่ไปป์นะ”

“อะไร”

“เรื่องคืนนั้น…”

“หุบปากแล้วก็นอนไปเลย”

“นอนไหน โซฟาเนี่ยนะ”

“เออ”

“ไรอะ เซไม่สบายอยู่นะ”

“เลือกเอาว่าจะนอนนี่หรือข้างถนน”

เลือกข้างถนน…ก็บ้าแล้ว







การใช้เวลาช่วงวันหยุดอยู่กับพี่ไปป์ก็ไม่ได้เลวร้ายนักแต่ก็ไม่ดีเท่าไหร่

พี่ไปป์เป็นคนจริงจังมากแถมยังขี้หงุดหงิดอีกต่างหาก เห็นเขายิ้มเฉพาะตอนคุยโทรศัพท์กับใครซักคนที่ผมไม่รู้จักเท่านั้น

ลูกหรือเปล่าวะ

แต่เอาจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าคนอย่างพี่ไปป์ คนที่เคยนอนส่งเสียงหวานๆ อยู่ใต้ร่างผมจะทำผู้หญิงท้องได้ ลักษณะของพี่ไปป์ ถึงจะเป็นผู้ชายตัวสูง แต่เขาก็เหมาะกับการเป็นฝ่ายถูกดูแลปกป้องมากกว่า

“ลงสิ”

“ครับ” ผมที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งนิดนึงก่อนจะหันไปตามเสียง

“บอกให้ลง”

“ยังไม่ถึงตึกเลยนะพี่”

“ผมต้องไปประชุมที่อื่น” ผมพยักหน้ารับแล้วก้าวลงจากรถมา มองตามไฟท้ายจนลับตาไป

พี่ไปป์ทำงานหนักมาก ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาเขาก็เอาแต่นั่งทำหน้าเครียดหน้าโน้ตบุ๊ค ทำงานหนักขนาดนี้ได้เงินเดือนสักเท่าไหร่กัน ถ้าผมได้รับตำแหน่งต่อจากพ่อผมจะขึ้นเงินเดือนให้พี่ไปป์คนแรกเลย

ผมเดินเตร็ดเตร่ดมกลิ่นหมูปิ้งมาเรื่อยเปื่อย เพราะพี่ไปป์ออกจากบ้านแต่เช้าผมถึงได้มีเวลาเหหลือเฟือขนาดนี้

จะบอกว่าเป็นความบังเอิญได้ไหม เมื่อระหว่างทางอยู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าใครสักคนวิ่งตามมา พร้อมเสียงทักทายที่คุ้นเคย

“น้องเซ บังเอิญจังค่ะ” บังเอิญก็บังเอิญ

ผมยิ้มทักทายพี่ผู้ช่วยพี่ไปป์ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ทราบชื่อเธอ

“ทำไมวันนี้มาเช้าจังคะ ปกติ…”

“มาสาย” ผมต่อประโยคให้จบเมื่อเธอมีสีหน้าลังเล “พอดีวันนี้ตื่นเช้าน่ะครับ”

เธอพยักหน้ารับ “แล้วนี่ทานอะไรมารึยังคะ พี่มีอาหารเช้าอร่อยๆ แนะนำด้วยนะ”

“เรียบร้อยแล้วครับ” อยู่กับพี่ไปป์นอกจากต้องตื่นเช้าแล้วยังมีอาหารเช้าเป็นขนมปังปิ้งกับโกโก้ร้อนๆ ให้กินตอนเช้าด้วย

เมื่อเช้าพี่ไปป์ทำขนมปังไหม้ไปตั้ง 2 แผ่น

“แล้วนี่พี่ผู้ช่วยไม่ออกไปประชุมข้างนอกกับพี่ปกรณ์เหรอครับ”

“ปกติคุณปกรณ์ออกไปประชุมคนเดียวตลอดแหละค่ะ พี่มีหน้าที่ช่วยงานทางนี้”

ผมพยักหน้ารับแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ ย่ำเท้าตรงไปข้างหน้าพลางคิดเรื่อยเปื่อย

“ฝึกงานที่นี่เป็นยังไงบ้างคะ น้องเซชอบรึเปล่า”

“ก็สนุกดีนะครับ”

“ได้ข่าวว่าน้องเซไม่สบาย ตอนนี้หายดีแล้วรึยังคะ”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ” ถ้าขืนบอกว่าหายดีมีหวังถูกพี่ไปป์เฉดหัวออกจากบ้านพอดี

“พี่เป็นห่วงน้องเซมากเลยนะคะ”

ผมขอบคุณเธอด้วยรอยยิ้ม แต่แปลกจัง ในความรู้สึกผมตอนนี้ ทางเดินหน้าตึกทำไมมันย๊าวยาววะ

“เหี้ยเซทำไมมาเช้า” ขอบคุณไอ้ยอดที่โผล่มาให้บรรยากาศรอบตัวไม่อึดอัดเกินไป

“พี่ไปป์ตื่นเช้าอ่ะมึง”

“แล้วมึงก็ตื่นเช้าตามเขา”

“เออสิ ก็ต้องติดรถเขามา”

“แล้วอยู่กับพี่ไปป์เป็นไงบ้างวะ พี่แกเด็ดป่ะ” ไอ้ยอดเข้ามากอดคอผมแล้วป้องปากถาม

“เด็ดเหี้ยไรล่ะ ต่างคนก็ต่างอยู่แหละ ไม่ค่อยได้คุย”

“ไม่ค่อยได้คุยหรือเขาไม่คุยกับมึง” แทงใจดำเสียจนเลือดสาดเลย

“อย่างหลังครับไอ้สัด”

“กระจอกฉิบหายเพื่อนกู” คนโดนดูถูกมันเจ็บกระดองใจ

“แล้วนั่นกระเป๋าเสื้อผ้ากูป่ะ”

“เออ ลืม สัดหนักฉิบหาย” กระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ภายในบรรจุของใช้บางส่วนของผมถูกยื่นมา แค่นั้นคงยังไม่สาแก่ใจไอ้ยอด แม่งยื่นถุงสีรุ้งบาเลนซิก้ามาให้ผมอีกใบ เมื่อทำหน้างงมันจึงไขข้อสงสัย

“ของๆ มึงที่ทิ้งไว้ห้องกูอะ แฟนกูบอกให้เก็บออกมาให้หมด”

“กลัวกูกลับไปขอนอนกับมึงอีกว่างั้น”

“คงใช่”

“ขี้งก”

“มึงหักอกเพื่อนเขา”

ก็คนมันไม่ชอบให้ดีประหนึ่งนางฟ้าไอ้เซก็ไม่เอา







การฝึกงานวันนี้ผ่านไปอย่างรุ่งริ่ง ไม่สิ ผมยังคงฝึกงานที่แผนกวาไรตี้เหมือนเดิม แต่เดี๋ยวอาทิตย์หน้าต้องย้ายไปฝึกที่แผนกละครแล้ว

ได้ยินไอ้ยอดบอกว่าแผนกละครโคตรโหด ก็แอบตื่นเต้นเล็กๆ ครับ แม่ผมชอบที่นั่นเป็นพิเศษ ได้ยินว่าเข้ามาดูละครเวอร์ชั่นก่อนตัดต่อบ่อยเลย

เจอแม่ก็ดีจะได้ขอตังค์

‘เจอกันที่ห้องเลย’

พี่ไปป์ไลน์มาว่าอย่างนี้ ผมจึงสะพายกระเป๋าแล้วแบกบาเรนออริจินัลขึ้นรถสองแถวกลับ ถามว่าทำไมผมเก่งจัง เปล่าหรอก แอบถามเส้นทางพี่ยามเมื่อกี้นี้

ค่ารถ 10 บาท ใช้เวลารวมรถติดราว 20 นาทีผมที่สภาพเหมือนเพิ่งกลับจากประตูน้ำก็มาถึงคอนโดพี่ไปป์ เห็นเจ้าของเขานั่งรออยู่บนโซฟาสบายใจเฉิบ

“จะมาอยู่ด้วยกันตลอดไปเลยรึไง” พี่ไปป์ในสภาพที่เพิ่งกลับมาถึงมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า คนที่เอาเสื้อเชิ้ตออกนอกกางเกง ปลดกระดุมเม็ดบน 2 เม็ด สวมสลิปเปอร์ยื่นมือมาช่วยถือผมจึงส่งกระเป๋าเป้ที่เบากว่าให้

“เสื้อผ้ายังไม่ได้ซักเลยครับ”

“ไม่ซักให้หรอกนะ” ก็ไม่คิดว่าพี่จะช่วยหรอกทำมาเป็นพูดดักคอ

“ไม่กล้าใช้พี่ไปป์หรอก”

“พรุ่งนี้ย้ายไปแผนกละครนะ”

“อ้าว ไม่ใช่อาทิตย์หน้าเหรอครับ”

“นั่นมันกำหนดการเดิม”

“ไม่เห็นมีใครแจ้ง”

“ผมนี่ไง แจ้งเมื่อกี้”

“พี่ไปป์ตลกนะ”

“คุณคนแรกที่บอกว่าผมตลก” นี่พี่เก็ทมุกผมป่ะ สีหน้าพี่ไปป์โคตรเรียบเฉย ไม่เคยเดาออกเลยว่าตอนพูดรู้สึกอย่างไร

“พี่ไปป์กินข้าวรึยังครับ”

“ไม่ค่อยกินข้าวเย็นหรอก”

“แต่เมื่อวาน…”

“เพราะคุณต้องกิน” เฮ้ย โคตรซึ้งอะ ที่เตรียมอาหารเย็นเมื่อวานก็เพื่อผม อ่านพร้อมกันอีกครั้งนะครับ พี่ไปป์ทำเพื่อผมเว้ย โคตรปลื้มปริ่ม

“วันนี้เซก็ต้องกินนะ ยังปวดหัวอยู่เลยอะ” มองสีหน้าพี่ไปป์ผ่านภาพสะท้อนที่ประตูลิฟต์แต่อย่าหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย คนอะไร๊หน้าโคตรนิ่ง “ไม่เชื่อเหรอครับ ลองจับดูก็ได้ ตัวยังร้อนอยู่เลย”

ถึงแม้จะยื่นหน้าเข้าไปหาแต่ก็ไม่ต้องคิดว่าพี่เขาจะสัมผัสตัวผม เราเพียงสบตากันผ่านภาพสะท้อนก่อนผมจะยอมแพ้ขยับยืนในท่าปกติ

พี่ไปป์ก็คือพี่ไปป์ เขาคงใจดีที่สุดได้เท่านี้

พอถึงห้องเจ้าตัวก็วางกระเป๋าเป้ของผมลงบนโซฟาแล้วหายเข้าห้องนอนไป ระหว่างที่ผมกำลังเคว้งคว้างด้วยความหิว ข้อความก็ดังขึ้น

เป็นข้อความจากพี่ไปป์

‘อาหารสำเร็จรูปในตู้เย็น ใช้ไมโครเวฟเป็นใช่มั้ย’

ส่งข้อความมาเหมือนรู้ว่ากำลังถูกผมตัดพ้อ

‘ใช้ไม่เป็นหรอกครับ’

ส่งสติกเกอร์หน้าอ้อนไปด้วยตัวนึงเผื่อพี่ไปป์จะใจอ่อนลงบ้าง

‘งั้นก็ไม่ต้องกิน’ เออเนอะคนเรา ใจดีได้เท่านั้นจริงๆ แหละ

ผมส่งสติกเกอร์ร้องไห้ไปแต่ก็ไร้ซึ่งการอ่าน ดังนั้นผมจึงยอมวางความตอแหลลงแล้วเข้าครัวหาของกิน

รอไม่นานข้าวผัดหน้าตาจืดๆ ก็อุ่นพร้อมทาน ถ่ายรูปแล้วส่งไปชวนพี่ไปป์ดีกว่าเผื่ออยากกินด้วยกัน

‘ข้าวผัดน่ากินมาก พี่ไปป์มากินด้วยกัน’ พร้อมแนบรูป

ผ่านไปราว 5 นาทีเลยครับ จนผมกินข้าวไปกว่าครึ่งพี่ไปป์จึงตอบ

‘ไหนบอกใช้ไมโครเวฟไม่เป็น’

ไม่มีข้อแก้ตัวอ่ะ ข้ามเรื่องนี้ไปละกัน

‘ถ้าพี่ไปป์ไม่ออกมาตอนนี้เซกินหมดไม่รู้ด้วย’

‘คุณกินเถอะ อย่าลืมกินยาด้วย’ ใจดีอีกแล้ว สรุปพี่จะใจดีหรือใจร้ายกันแน่ครับ อย่างไรก็ตาม ความห่วงใยของพี่ไปป์ก็ทำให้ผมยิ้มเป็นบ้าเป็นหลังอยู่ลำพัง

‘ไม่กินข้าว งั้นกินเซแทนมั้ย อร่อยนะ’

พิมพ์เองก็เขินเองว่ะ ถ้าเกิดว่าพี่ไปป์อยากกินจริงๆ ผมต้องทำอะไรก่อน อาบน้ำก่อนหรือจับพี่แกโยนขึ้นเตียงเลยดี

ข้อความถูกอ่านแล้ว แต่พี่ไปป์ไม่ตอบ

ผมเงยหน้าจากมือถือเมื่อเสียงประตูห้องนอนเพียงห้องเดียวเปิดออก เฮ้ย! ฟลุ๊คว่ะ พี่ไปป์ในชุดกางเกงขาสั้นอวดขาขาวๆ กับเสื้อยืดสีขาวแบบบางจนเห็ผมคิดหื่น อะไรดลใจให้คนที่อยู่ในชุดพร้อมนอนออกจากห้องมา นอกเสียจากข้อความของผม

หัวใจไอ้เซจะกระดอนออกมานอกอกแล้ว ยิ่งเขาก้าวเข้ามาใกล้แม่งก็ยิ่งเต้นแรง ตึก ตึก ตึก เสียงหัวใจผมชัดมากอะ

“ขอเซกินข้าวอิ่มก่อนนะครับ”

“เอาสิ” เจ้าของความขาวนั่งลงตรงข้าม ผมนี่มือไม้สั่นไปหมดเมื่อรู้สึกว่ากำลังถูกจับจ้อง

หรือพี่ไปป์จะหงุดหงิดที่ผมชักช้า

“ไอ้นั่นน่ะ อร่อยเหรอ”

“ครับ?” ไอ้นั่นคืออะไร ผมคิดลึกไปถึงแกนโลกแล้วนะ

“ขอชิมหน่อย”

“เอ่อ ไม่ดีมั้งพี่” ผมละล่ำละลักตอบ วันนี้วิ่งวุ่นทั้งวัน ตัวเหม็นด้วยขออาบน้ำก่อนได้มั้ยอะ

“คุณมีสิทธิปฏิเสธผมด้วยเหรอ” ก็รู้แหละว่าผมเป็นแค่ผู้อาศัยแต่ที่ไม่ให้กินตอนนี้ก็เพราะห่วงนะเว้ย

“งั้นเซขออาบน้ำก่อน”

“ทำไมต้องอาบน้ำ”

“ก็ตัวเซสกปรก”

“สิทธาคุณกำลังคิดอะไร”

“ก็…” ผมที่ผุดลุกขึ้นเต็มความสูงก้มมองร่างกายตัวเองแทนคำตอบให้คนตรงข้ามผมถึงกับหลุดขำ

เฮ้ย! งานดี เวลาพี่ไปป์ยิ้มโคตรสดใสดอกไม้บาน

“มาใกล้ๆ นี่มา” พอควบคุมสีหน้าได้แล้วก็กวักมือเรียกให้ผมเข้าไปนั่งใกล้ๆ

ผั๊วะ!!!

และโบกหัวผมเต็มแรง เชี่ย มือพี่ไปป์โคตรหนัก โลกของไอ้เซหมุนติ้วๆ เลย

“สมองคิดแต่เรื่องใต้สะดือเหรอ”

“อ้าว ก็พี่ไปป์บอกจะกิน”

“หมายถึงข้าวผัด”

“แล้วไม่กินเซเหรอ”

หมับ!

ว้าย จะโบกหัวกันอีกแล้ว แต่ขอโทษนะครับพี่ไปป์ ไม่ได้แอ้มไอ้เซเป็นครั้งที่ 2 หรอก

“ปล่อย” พอถูกคว้าข้อมือไว้ได้ก็ร้องเสียงหลงเลย

ที่จริงพี่ไปป์ไม่ได้ตัวเล็กกว่าผมมาก แต่ข้อมือเขาจับถนัดมือเหมือนเกิดมาเพื่อกัน อันนั้นผมมโน ที่จริง ที่ไม่ยอมปล่อยแม้พี่แกจะว่าเสียงดุทั้งยังพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมก็เพราะสีหน้าเหมือนเด็กถูกขัดใจที่ไม่เคยเห็น

ผิดมั้ย ถ้าผมจะบอกว่าพี่ไปป์โคตรน่าเอ็นดู

“ขอร้องเซดีๆ แล้วเซจะปล่อย”

“คุณอยู่ในสถานะที่ต่อรองกับผมได้เหรอ”

ก่อนหน้านี้อาจจะไม่ แต่ตอนนี้ตอนที่ข้อมือของพี่ไปป์ถูกผมล็อคเอาไว้ ผมมั่นใจว่าผมเหนือกว่าเขามาก

“เลิกได้มั้ยอะ คุณกับผมอะไรเนี่ย ฟังแล้วห่างเหินเกิ้น เซไม่ชอบ”

“มันจะมากเกินไปแล้วนะสิทธา”

“ไม่ชอบให้พี่ไปป์เรียกสิทธา อยากให้เรียกเซมากกว่า หรือถ้าไม่ถนัดจะเรียกที่รักก็ได้นะครับ” ผมยกยิ้มมุมปากแบบที่เคยใช้โปรยเสน่ห์กับคนที่ผมถูกใจและอยากจีบ

“ลามปาม”

“ไม่ลามปามก็ได้ ขอลามเลียได้มั้ยครับ”

“สิทธา”

“เซ”

“สิทธา”

“เซ”

“สิท…” พอผมโฉบใบหน้าเข้าไปใกล้จนได้กลิ่นครีมอาบน้ำอ่อนๆ จากตัวเขา พี่ไปป์ก็เม้มริมฝีปากแน่น ถลึงตามองจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า

“สิทอะไรครับ สิทธารึเปล่า”

“เออ สิทธา” ผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้อีก คราวนี้จงใจให้ปลายจมูกสัมผัสแก้มเขาเบาๆ

หัวใจไอ้เซจะหลุดออกมาเต้นข้างนอกแล้วครับ ตื่นเต้นโคตร

“ปล่อย” น้ำเสียงแผ่วเบาดังออกมาจากริมฝีปากที่ขยับเพียงเล็กน้อย ใบหน้าพี่ไปป์อยู่ใกล้จนมองไม่ชัดแต่ถึงกระนั้นก็เห็นว่าเขาหน้าแดง

พี่ไปป์เขินนี่หว่า แบบนี้แปลว่ามีใจถูกมั้ย

“เรียกเซก่อน”

“จริงจังมั้ย”

“มาก”

“แล้วถ้าไม่เรียก”

“จูบ”

“มีสิทธิอะไร”

“ไม่มีแต่อยากจูบ เร็วสิครับ ช้ากว่านี้เซจูบนะ” คราวนี้คนตรงหน้าเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาที่เคยมองมาอย่างท้าทายหลุบลงเหมือนกำลังชั่งใจ

ถ้าพี่ไปป์ฉลาดพอ เขาคงยอมเรียกชื่อเล่นผมง่ายๆ แต่ผมน่ะไม่อยากให้พี่ไปป์ฉลาดหรอก แกล้งโง่บ้างก็ได้นะบางที พูดไปนี่ยังจำสัมผัสวันนั้นได้อยู่เลย ผมว่าเราเข้ากันได้ดีมากเลยนะ

“ยังไงครับพี่ไปป์ หืม” ช้าว่ะ เดี๋ยวก็จับจูบเสียหรอก

คนตรงหน้าผมสะดุ้งเลยตอนที่ผมเลื่อนมือไปจับที่ท้ายทอยเขา พี่ไปป์เงยหน้าขึ้นมาแล้วทำหน้าดุใส่

“ปล่อย เป็นแค่คนอาศัยไม่มีสิทธิทำแบบนี้” น้ำเสียงพี่เจ้าของห้องจริงจังมากจนภายในของผมกระตุกวูบ อยากหยอกพี่แกต่อแต่ก็กลัวจะถูกเฉดหัวออกจากห้องเหมือนกัน

“เซต้องกินยาหลังอาหารละ”

ผั้วะ!!

พอถูกปล่vยให้เป็นอิสระ มือข้างที่ผมเคยกอบกุมก็ฟาดลงกลางกบาลผมอย่างแรง

โอ้ย เจ็บกว่าครั้งที่แล้วอีก

“ลามปาม”

“ขอโทษครับ” ผมบอกอย่างสำนึกผิดแต่ที่จริงไม่รู้สึกหรอก ที่ยอมขอโทษนี่เพราะกลัวจะไม่มีที่ซุกหัวนอน กลัวจะไม่ได้อยู่ใกล้พี่ไปป์อีก

“กินยาแล้วก็เอาผ้าไปซัก”

พี่เจ้าของห้องใช้เท้าเขี่ยตระกร้ามาใกล้แล้วยื่นคีย์การ์ดมาตรงหน้า ผมนี่คว้าหมับเลย ต้องรีบคว้าครับ คิดว่าจะเก็บไว้ตลอดไป ยังไงก็ไม่ยอมคืนให้ง่ายๆ แน่นอน

“ชั้น 7 แล้วอย่าไปเถลไถลที่ไหน คีย์การ์ดนั่นให้ยืมไม่ได้ให้เลย”

ผมพยักหน้ารับ เก็บคีย์การ์ดใส่กระเป๋าเสื้อที่อกซ้าย พี่ไปป์ครับขอโทษด้วยที่คีย์การ์ดนี้จะไม่ได้กลับไปอยู่กับพี่อีกแล้ว

“ถ้าไม่คืน รู้ใช่มั้ยว่าจะโดนอะไร” มีขู่ด้วยเว้ย ผมนี่เสียวหัวแปล้บ ต้องโดนตบอีกแน่ แต่…ยอมให้ตบนะ ไม่ยอมนอนข้างถนนนะ







กว่าจะซักผ้าเสร็จก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง อย่าดูถูกไอ้เซนะครับ ถึงแม้ว่าจะเกิดมาในตระกูลผู้รากมากดีมหาเศรษฐีเงินถุงเงินถังแต่ก็ซักผ้าเป็นนะเว้ย ถึงจะเพิ่งมาทำได้ตอนตกอับก็เถอะ งานหยาบขอให้บอก แต่รีดผ้านี่ไม่ไหวจริงๆ เคยลองทีนึง เสื้อนักศึกษาขาดเป็นรูปเตารีดเลย หลังจากนั้นถ้าไม่มีคนใจดีช่วยรีด ผมก็ใส่เสื้อผ้าทั้งยับๆ อย่างนั้นแหละ

ก็ไม่รู้นะว่าคนใจดีที่ชื่อพี่ไปป์จะช่วยอนุเคราะห์ผมรึเปล่า





[T B C]

เราหมั่นไส้เจ้าเซมาก ตอนเขียนไม่เท่าไหร่ ตอนกลับมาอ่านซ้ำนี่เบะปาก
แกแน่ใจนะว่าแกเป็นพระเอก ตอแหลมาก สำออยอีก พี่ไปป์ต้องทนนะคะ อย่าเพิ่งใจอ่อน
สำหรับท่านผู้อ่านอันน้อยนิดของเรา ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์นะคะ กำลังใจมา ฮึบ!
หากไม่สะดวกเมนต์ ติดแท๊กในทวิตก็ได้ เราสิงอยู่ในนั้นแหละ
แท๊กนี้ #พี่ไปป์ครับ เพราะแท๊กชื่อเรื่องมีคนใช้ไปแล้วเด้อ
รออ่าน รักคุณ
แจ๊ส
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 03 15-04-17}
เริ่มหัวข้อโดย: datytime ที่ 21-04-2017 23:00:10
อยากอ่านต่อแล้วครับ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 03 15-04-17}
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-04-2017 00:51:06
 :z13:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 03 15-04-17}
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 22-04-2017 12:13:41
อื้อหือสงสารน้องเซเค้านะคะ
พี่ใจแข็งมากๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 04 25-04-17}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 25-04-2017 20:27:22
พี่ครับ 04


พี่ไปป์ก็คือพี่ไปป์ว่ะ ใจดีเป็นบ้างครั้ง ใจร้ายเป็นบางที นิ่งฉิบหายตลอดเวลา คนอย่างนั้นไม่มีทางรีดเสื้อผ้าให้ผม นั่นแหละครับ ตลอดสัปดาห์ที่อยู่กับพี่แก ผมก็มาฝึกงานแม่งทั้งยับๆ นั่นแหละ

ส่วนคีย์การ์ด ทวงกันเข้าไปสิ ผมก็ทำเป็นหูทวนลมให้พี่แกตบกะโหลกเล่นไป บอกแล้วไงว่าไม่คืนนะ เดี๋ยวไม่มีที่ซุกหัวนอนนะ

แน่นอนว่าเวลาผ่านมาก็เป็นอาทิตย์ อาการไข้หวัดของผมก็หายเป็นปลิดทิ้ง แปลกครับ พี่ไปป์ไม่เห็นจะไล่ผมออกจากห้อง บางทีพี่แกอาจจะปลง ไล่เท่าไหร่ปลิงอย่างไอ้เซก็ยิ่งเกาะหนึบ

เอาเถอะ จะด่าผมยังไงก็ได้ขอแค่มีที่ให้ซุกหัวนอนพอ

ส่วนเรื่องฝึกงานที่แผนกละคร สงสัยช่วงนี้แม่ไม่ติดละคร นี่ฝึกมาหลายวันแล้วยังไม่เห็นคุณนายเธอโผล่หน้ามาเลย

“พี่ไปป์ กาแฟไม่หวาน ไม่ขม ไม่แดกได้แล้วครับ”

“กวนตีน” ชมกันแต่เช้า ไอ้เซก็แค่ยิ้มรับมองคนในชุดสุดเนี้ยบแล้วก็อนาถใจกับสภาพตัวเอง

ไอ้เซก็หล่อนะ แต่เสื้อผ้ายับไปหน่อย

“ไม่คิดจะรีดเสื้อบ้างเหรอ”

“รีดไม่เป็น” ผมบอกเขาด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ

“ไม่ฝึกแล้วจะทำได้ไหมชาตินี้”

“เคยลองแล้ว เสื้อโบ๋เลย” คนที่กำลังจิบกาแฟสบายใจยกยิ้มขำ เขาก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะลุกขึ้น

“ถอดเสื้อมา”

“ตอนนี้เลยเหรอครับ”

“อือ เดี๋ยวสาย”

“เอาไว้ค่อยทำตอนเย็นไม่ดีกว่าเหรอพี่ไปป์”

“ไอ้เด็กนี่ ถอดเสื้อมา” ชี้หน้าผมอย่างคาดโทษแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง

สักพักก็โผล่มาพร้อมกับเตารีดและโต๊ะรีดผ้า

“ยังไม่ถอดอีก หรือจะให้ใช้ตัวคุณแทนโต๊ะรีดผ้า”

“มะ ไม่ไหวมั้งพี่ เนื้อไหม้พอดีสิ” ผมว่าเสียงสั่น มือไม้สั่นไปหมดเมื่อแกะกระดุมแล้วถอดเสื้อส่งให้คนใจดี

เหมือนพี่ไปป์จะชินกับผมที่เปลือยท่อนบนเดินร่อนไปมาในห้องแล้ว มีแต่ผมที่ไม่คุ้นชินกับพี่เขาสักที มองแล้วก็อยากจะมองอีก และภาพพี่ไปป์ในคราบแม่บ้านที่กำลังรีดผ้าอย่างคล่องแคล่วตรงหน้าผมก็โคตรน่าทึ่ง

คิดดูสิผู้ชายสมาร์ทในชุดสุดเนี้ยบกำลังยืนรีดผ้า คุณครับมันกร๊าวใจ

“พี่ไปป์รีดผ้าเก่งจุง”

“จุงอะไร ใช้ภาษาไทยให้มันถูกต้องหน่อย” หาเรื่องดุกันได้ตลอดแหละคนเรา

“ซงจุงกิไง กัปตันสามีแห่งชาติ” ผมไม่ใช่คอซีรีส์แต่ผมก็แอบปลื้มซงเฮเคียวอยู่ห่างๆ

แต่เหมือนคนที่กำลังรีดผ้าจะไม่รู้จักดาราเกาหลีซักคน อย่าว่างั้นงี้ บางทีแม้แต่ดาราไทยพี่แกก็อาจจะไม่รู้จัก

“พี่ไปป์รู้จักฌอห์ณ จินดาโชติป่ะ”

ถามก็ไม่ตอบ นอกจากไม่สนใจผมแล้วยังวางเตารีดแล้วล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกง กดอยู่สักพักก็เอาแนบหู ผมมุ่นคิ้วมองเขา สงสัยว่า…เสื้อผมล่ะ รีดเสร็จยัง

“ว่าไงฌอห์ณ”

จ๊ะ ที่กดมือถือเมื่อกี้คือโทรหาคุณสามีแห่งชาติงี้เหรอ มุกป่ะครับพี่

“พี่ไปป์ เสื้อเซ”

“รีบแต่งตัวสิ สายแล้ว” มีการเอามือปิดสปีคเกอร์ตอนหันมาคุยกับผมด้วย

ตกลงพี่สนิทกับฌอห์ณจริงดิ







ผมขึ้นมาที่แผนกละครอย่างเคย ช่วงนี้กำลังสนุกกับการตัดต่อละคร ระหว่างช่วยพี่เขาดูก็นึกถึงแม่นะ เมื่อไหร่จะมาให้ไอ้เซขอตังค์สักที

“สิทธา” คิดถึงแม่ แม่ก็มา หันขวับไปที่ประตูก็เห็นคุณนายยืนคล้องกระเป๋าคอเลคชั่นใหม่ไว้ที่แขน ไฮโซสุดชีวิตไปอีก

“แม่” ผมนี่แทบจะโผเข้าไปกอด แต่ก็ยั้งตัวเองไว้เพราะไม่ได้อยู่กันลำพัง

“วันนี้แต่งตังเนี้ยบจังเจ้าลูกชาย รีดผ้าเองเหรอ” แม่ก็ประเมินเซสูงไป

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เลี่ยงคุยเรื่องรีดผ้าไปเพราะไม่ใช่สาระสำคัญ

เมื่อบทสนทนาระหว่างแม่ลูกเริ่มขึ้นคนเป็นส่วนเกินจึงขอตัวออกจากห้องไป

“ตัดต่อเสร็จรึยัง” เก้าอี้ที่เคยเป็นของพี่เจ้าหน้าที่ตัดต่อถูกคุณนายนั่งแทนที่

“อีกนิดหน่อยครับ”

คุณแม่พยักหน้าน้อยๆ ตามประสาคนหยิ่ง บุคลิกภายนอกคุณนายชมนาศโคตรหยิ่ง โคตรไฮโซนะครับจะบอก แต่เนื้อในน่ะหยิ่งกว่าที่แสดงออกเยอะ

“ไงเรา ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่อง” ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้าง “เปิดให้ดูหน่อย”

“พ่อโกรธเซ” พูดถึงพ่อแล้วก็เครียด มือก็เอื้อมไปคลิกเมาส์เปิดละครที่ยังตัดต่อไม่เสร็จให้คุณนายดู

“เขาหายโกรธตั้งนานแล้วย่ะ รอแต่เธอเข้าไปคุย”

“ไม่อะ เซจะพิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเซใช้ชีวิตได้”

“ใช้ได้ยังไง ใช้ได้ด้วยการไปอาศัยนอนบ้านคนนั้นทีคนนี้ทีเนี่ยนะ เกรงใจคนอื่นบ้างเถอะสิทธา”

“คนที่เซอยู่ด้วยเขายังไม่ว่าอะไรเลย”

“ไม่ว่าก็ไม่ได้แปลว่าไม่คิด”

“เอาไว้เขาไล่ก่อนละกัน”

“เซทำไมดื้อแบบนี้” คุณนายชมนาศจิ๊ปากมองบนอย่างเพลียใจ

“เอาน่าแม่ เซกำลังสนุก แล้วที่บอกว่าพ่อหายโกรธแล้วเนี่ยจริงเหรอครับ”

“จริงสิ เขาฝากบัตรเครดิตมาคืนด้วย”

“เจ๋งอะ” กำลังยื่นมือไปรับแต่แม่กลับชักบัตรคืน

“ถ้าใช้ชีวิตเองได้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้บัตรเครดิตของพ่อน่ะสิ” โหยแม่อะ

“เก็บไว้ยามฉุกเฉินไงแม่”

“เด็กหนอเด็ก” ถ้าแม่ยอมให้บัตรเครดิต เซยอมเป็นเด็กก็ได้ถึงแม้ปีนี้อายุย่าง 22 แล้วก็ตาม

กว่าแม่จะกลับก็ตอนที่ละครจบลงแล้ว

ไม่คิดเหมือนกันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตจะได้นั่งดูละครกับแม่ในห้องตัดต่อ

“แล้วก็รีบกลับไปง้อพ่อล่ะ” ก่อนจะขึ้นรถคันหรูยังไม่ลืมหันมาออกคำสั่ง

“ไหนบอกว่าไม่โกรธแล้วไง เอาน่าแม่เดี๋ยวถ้าเซอยากกลับเซก็กลับเองแหละ”

“คุณปกรณ์”

พะ พี่ไปป์ พี่ไปป์จริงเหรอวะ พอเอี้ยวตัวไปมองก็ใช่อย่างที่คิดจริงๆ เจ้าของร่างสมส่วนกำลังเดินตรงมาทางนี้ เขาต้องเห็นผมแล้วแน่ๆ ต้องทำยังไง แล้วนี่ผมจะกระวนกระวายทำไมวะ บางทีพี่แกอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ว่าผมเป็นใคร

“คุณแม่จะกลับแล้วเหรอครับ” เขายกมือไหว้ เรียกแม่ผมว่าคุณแม่อย่างไม่กระดากปากด้วย ดูท่าทางสนิทสนมกันมากทีเดียว ทำไมผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยวะ

“แล้วนี่ไปป์กินอะไรรึยังลูก”

“ยังครับ นี่ว่าจะมารับน้องไปกินข้าวด้วยกัน คุณแม่ไปด้วยกันมั้ยครับ”

“แม่มีนัดกับสาวๆ ที่สมาคมแล้วน่ะสิ เอาไว้คราวหน้าแล้วกันเนอะ”

“เดินทางปลอดภัยครับคุณแม่”

“สวัสดีครับคุณนาย” ผมยกมือไหว้ ภาวนาในใจให้คุณนายชมนาศรีบขึ้นรถไปซักทีก่อนที่พี่ไปป์จะหันมาจับผิดกัน และโทรศัพท์มือถือในมือคุณนายก็ดังขึ้นช่วยชีวิต

รถยนต์คันหรูวิ่งออกไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความกังวลใจที่หนักอึ้งอยู่ภายในกายผม

ค่อยๆ หันมองพี่ไปป์ก็พบว่าเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว

ถามเรื่องคุณนายชมนาศแน่เลยว่ะ ทำไงดี ทั้งที่คิดว่าพี่เขาอาจจะรู้เรื่องของผมบ้างแล้วแต่มันก็อดหวังให้เขาไม่รู้ไม่ได้เลย

“พี่ไปป์รู้ได้ไงว่าเซอยู่นี่”

“ไปที่แผนกมา เขาบอกว่าคุณออกมาส่งคุณชมนาศ”

“แค่นั้นเหรอครับ”

“แล้วต้องแค่ไหนล่ะถึงจะพอใจ” ผมไม่ค่อยชอบเวลาพี่ไปป์พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เพราะผมเดาไม่ออกว่าพี่แกกำลังคิดอะไร

“พี่ไปป์บอกว่ามาชวนเซไปกินข้าว อยากกินอะไรครับเดี๋ยวเซเลี้ยง”

“ไหนบอกไม่มีตังค์”

“ก็มีไม่เยอะ แต่เลี้ยงพี่ไปป์ได้”

“ไม่ต้องมาโชว์ป๋าแค่ตามมาก็พอ”

บทสนทนาของเราจบลงเพียงเท่านั้นก่อนพี่ไปป์จะเดินนำไปยังลานจอดรถ รถยนต์คันสวยของเขาจอดอยู่ตรงหน้าและผมก็ไม่อิดออดที่จะตามเขาเข้าไปข้างๆ คาดเบลท์เสร็จสรรพแบบที่อีกฝ่ายไม่ต้องออกคำสั่งเลย

“เราจะออกไปกินข้าวข้างนอกกกันเหรอครับ”

“กินข้าวเสร็จแล้วไปประชุมต่อ”

“แบบนี้ พี่ไปป์ไม่เสียเวลากลับมาส่งเซเหรอ”

“ทำไมต้องกลับมาส่ง”

“อ้าวก็บอกว่ามีประชุม”

“ก็ถูกที่บอกว่ามีประชุมแต่ผมบอกตอนไหนว่าผมแค่คนเดียว”

“แล้วพี่ไปป์บอกตอนไหนว่าเซต้องเข้าประชุมด้วย”

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่ผมต้องชวนคุณออกมากินข้าวข้างนอกด้วยกัน”

“ก็เซคิดว่าพี่ไปป์ก็รู้สึกดีกับเซเหมือนกัน” เหมือนกัน คำนี้น่ะเหมือนผมบอกพี่ไปป์เป็นนัยๆ เลยว่ะว่าผมรู้สึกดีกับเขา และความเงียบของเขาก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอึดอัดหัวใจเข้าไปอีก

“ผมไม่ใช่คนใจดีอย่างที่คุณคิดหรอกนะสิทธา”

“ยอมรับครับว่าบางครั้งผมก็คิดว่าพี่ใจดี แต่ส่วนมากพี่แม่งโคตรนิ่ง นิ่งจนคนอื่นเขามองว่าหยิ่ง รู้ตัวบ้างป่ะครับ”

“แล้วไง ใครแคร์” ถ้าจีบปากจีบคอพูดเหมือนใหม่ดาวิกาในไดอารีตุ๊ดชี่ส์นี่ฮาแตกเลยนะ แต่พี่ไปป์ก็คือพี่ไปป์ครับ อย่าหวังให้พี่แกแสดงอารมณ์ใดๆ เลย

เราแวะกินสเต๊กกันที่ห้าง ลองสังเกตมาตั้งแต่ครั้งที่ไปกินบุพเฟต์ด้วยกันแล้ว พี่ไปป์กินโคตรเก่ง กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินเหมือนปอบลง กินอย่างกับอดข้าวมาทั้งสัปดาห์

“อันนี้ไม่กินเหรอ”

“เซไม่ชอบกินเฟรนฟราย พี่ไปป์เอาไปเถอะครับ”

เห็นหรอกว่าดวงตาพี่วิบวับเป็นประกายตอนมองของกินในจานของผมแต่ก็ไม่ยอมจิ้มเฟรนฟรายไปซักที

“เกรงใจทำไมครับ พี่ไปป์จ่ายไม่ใช่เหรอ”

“เออว่ะ” เท่านั้นแหละจึงยอมใช้ส้อมจิ้มเฟรนฟรายจากจานของผมเข้าปาก

มองพี่ไปป์กินแล้วโคตรเพลินครับ คนอะไรอร๊อยอร่อย

“มองอะไร” เมื่อหันมาสบตาก็ถามทั้งที่ปากก็เคี้ยวของกินหมับๆ

“น่าอร่อยนะครับ”

“ก็กินสิ”

“กินได้เหรอครับ”

“ซื้อมาแล้วก็ต้องกินได้สิ”

“แต่ถ้าเป็นเซไม่ต้องซื้อก็กินได้ครับ อร่อยนะพี่ไปป์ก็น่าจะรู้”

“ไม่รู้ ไม่อยากรู้ด้วย”

“เขินเหรอครับ”

พี่ไปป์ตอบคำถามของผมด้วยการวางส้อมแล้วลุกขึ้นเดินไปเช็คบิล ไม่เนียนไปเรียนมาใหม่นะครับพี่







พี่ไปป์เวอร์ชั่นปกติว่านิ่งแล้ว ยังน้อยกว่าเวอร์ชั่นเคร่งเครียดในห้องประชุม ไม่รู้ว่าที่ขนลุกซู่นี่เพราะแอร์หรือเพราะความเยือกเย็นของพี่ปกรณ์กันแน่

“ผมชอบไอเดีย แต่ยังมีหลายจุดที่ยังไม่เคลียร์”

“คุณปกรณ์อยากให้เราปรับตรงไหน แจ้งเราได้เลยนะครับ”

“เอาไว้คุณพร้อมแล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่”

ถ้าพี่จะแสยะยิ้มไม่จริงใจแบบนี้สู้เดินออกจากห้องประชุมมาเฉยๆ ไม่ดีกว่าเหรอ

“คิดว่าไง”

“ครับ” ผมก็งงสิ อยู่ๆ ก็ถามไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“รายการเมื่อกี้คุณชอบหรือเปล่า”

“อย่างที่พี่ไปป์บอกตอนท้ายครับ ผมชอบไอเดียแต่ไม่ชอบวิธีการนำเสนอ”

“แล้วต้องทำแบบไหนถึงจะชอบ”

“ไม่ต้องทำอะไรก็ชอบครับ อยู่เฉยๆ ก็ชอบ”

“หมายถึงรายการหรือหมายถึงผม”

“หมายถึงพี่ไปป์”

“ไปคิดมาว่าทำยังไงผมถึงจะชอบ”

“หมายถึงเซหรือหมายถึงรายการครับ”

เขินอ่ะเด้ พอได้ยินคำถามก็เดินหนีไปเลย หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอกพี่ ยังไงก็ต้องเจอกันบนรถอยู่แล้ว

“เซช่วยขับมั้ย พี่ไปป์ดูเหนื่อยนะ”

“มีใบขับขี่เหรอ”

“ดูถูก”

“เอามาดูสิ” พอพี่ไปป์แบมือขอผมก็รีบควักกระเป๋าสตางค์ออกมาเลย แต่เดี๋ยวนะ เมื่อจะหยิบใบขับขี่ออกมาก็นึกได้ว่าในนั้นมีทั้งชื่อจริงนามสกุลจริงของผมเลยนี่หว่า

แล้วมึงจะกลัวอะไรเซ เขาเป็นพี่เลี้ยงมึงเขาก็ต้องรู้ชื่อนามสกุลอยู่แล้วมั้ย

“นี่ครับ”

พี่ไปป์แค่มองปราดเดียวแล้วคืนพร้อมกับกุญแจรถยนต์

และไม่ลืมย้ำ “ขับดีๆ ล่ะ รถยังผ่อนไม่หมด”

“พี่ไปป์รักรถมากมั้ยครับ”

“รักสิ”

“แล้วเมื่อไหร่จะรักเซครับ”

“ถึงบ้านแล้วปลุกด้วยนะ”

อยากจะคุยกันต่อซักหน่อยแต่เจ้าของรถกลับคาดเบลท์ ปรับเบาะแล้วชิงหลับไปเฉยเลย เขินก็แสดงออกมาครับพี่ไปป์ ไม่ใช่ชิงหลับเดี๋ยวก็จับจูบซะนี่







“พี่ไปป์ตรงนี้ใช้คำนี้ดีมั้ยอะ”

หลังมื้อค่ำ พี่ไปป์ขอดูรายงานแต่ไอ้เซไม่มีให้ดู ตอนนี้เราจึงนั่งจับเจ่าอยู่บนโซฟาตรงหน้าคือโน้ตบุ๊กที่ผมแม่งโคตรเกลียดมันเลยตอนนี้

“โอเคแล้ว”

“โอเคยังไง พี่ไปป์ยังไม่ได้หันมาดูด้วยซ้ำ”

“ไปใส่เสื้อผ้าเถอะ อุจาดตา”

“หวั่นไหวเหรอ”

ส่งนิ้วกลางให้กันเฉย เซผิดอะไรอะ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ถือว่าดีขึ้นมากแล้วนะ เมื่อก่อนตอนนอนไม่เคยใส่เสื้อผ้าหรอก อึดอัดจะตาย

“พี่ไปป์หยิบเสื้อให้หน่อยสิถ้างั้น”

“เป็นขี้ข้าเหรอ” ทำไมต้องโมโหด้วย ตัวเองอยากให้เขาใส่ก็ต้องหยิบมาให้เซ่

“อยากให้เป็นแฟน”

คนที่ผมอยากได้เป็นแฟนชะงักไป ปกติพี่ไปป์ต้องเดินหนีหรือไม่ก็ชิงหลับแต่ครั้งนี้คนที่ควรจะทำอย่างนั้นกลับขยับมามองหน้ากันตรงๆ

ผลั๊วะ!!

โบกหัวไอ้เซอีกแล้วง่ะ โคตรเจ็บ สมองบวมแล้วมั้งป่านนี้

“ถ้าเซเป็นอะไรขึ้นมาพี่ไปป์รับผิดชอบป่ะ”

“เอาไว้เป็นก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ว่าพี่ไปป์ไม่รับผิดชอบแน่ๆ น่ะสิ โฮ่ ไม่คุ้มเลย โดนตบเช้าตบเย็นแบบนี้แม้แต่ปลายนิ้วยังไม่ได้สัมผัส

“ตอนเรียนภาษาไทยเพื่อการสื่อสารได้เกรดอะไร” อยู่ๆ ก็ถาม ใครจะไปจำได้

“ซีมั้งครับ” จำได้ว่าเรียนตัวนี้ตอนปี 1 แต่ปีนั้นกิจกรรมโคตรหนัก เกรดก็น่าจะราวๆ นี้แหละ

“อาจารย์ใจดีเนอะ ใช้ภาษาแบบนี้น่าจะติดเอฟ” ใจร้ายโคตร

“เซต้องประกวดเดือน ไหนจะต้องแข่งบอลอีก กิจกรรมโคตรเยอะ”

“แบ่งเวลาไม่เป็น” ขี้บ่นมากอะ ปากก็บ่นนะครับ แต่นิ้วนี่เคาะคีย์บอร์ดรัวเลย

“พี่ไปป์พิมพ์เก่ง”

“ไม่ต้องมาชม ดูนี่เป็นตัวอย่างแล้วทำงานของตัวเองไป”

“พี่ไปป์เมื่อไหร่จะได้นอนบนเตียงบ้างอะ นี่นอนโซฟาจนตัวจะหดแล้ว” ผมตัวสูงไง โซฟาตัวที่ยาวที่สุดในห้องก็ยังสั้นกว่าตัวผม ทิ้งตัวลงนอนทีขาชี้เด่ออกไปโน่น

“ไม่มีทาง”

“โห่”

“ถ้าไม่พอใจก็ไปนอนที่อื่น”

แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม เพลงเก่าไปอีก แต่ก็ไม่มีทางเลือก ไอ้เซนอนโซฟาก็ได้

มองแผ่นหลังพี่ไปป์ที่เดินหายเข้าไปในห้องนอนแล้วจึงก้มหน้าพิมพ์รายงานต่อ ไล่สายตามองหน้าเวิร์ดแล้วก็อนาถใจ ส่วนที่พี่ไปป์พิมพ์ไกด์ไว้ให้โคตรดี ส่วนของไอ้เซน่ะเหรอ หยำเปสุดตีน

นาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาตีหนึ่งแล้ว ผมปิดโน้ตบุ๊กกำลังจะทิ้งตัวลงนอนหากเสียงเปิดประตูห้องนอนและเสียงคุยโทรศัพท์กลับดังขึ้นให้ได้ยินซะก่อน

“เชี่ยกริช ไอ้สันขวานอยากแดกแต่เสือกดูแลตัวเองไม่ได้ ไอ้ควายเผือก”

ครั้งแรกเลยที่ได้ยินพี่ไปป์ด่าหยาบ

“พี่ไปป์จะไปไหน”

“นอนไปเถอะ”

“ไปข้างนอกเหรอครับ ดึกแล้วนะ”

“ไปรับเพื่อน”

“เซไปด้วย”

“ไม่”

“เดี๋ยวเซขับรถให้” ผมคว้าแขนพี่ไปป์เอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็ควานเอาเสื้อผ้าที่พาดไว้แถวๆ นั้นมาสวม แต่ทำงานมือเดียวนี่โคตรลำบากเลย

“เมื่อไหร่จะเสร็จ ปล่อยมือแล้วรีบใส่เสื้อผ้า”

“เดี๋ยวพี่ไปป์ไม่รอ”

“รอ”

“แต่ว่า…”

“บอกว่ารอก็รอสิ” ทำไมต้องหงุดหงิดใส่กันด้วย

ผมสวมเสื้อผ้าลวกๆ กลัวพี่ไปป์จะโกรธแล้วไม่รอและเมื่อผมสวมเสื้อเสร็จปุ๊บพี่เจ้าของห้องก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปเลย

รีบอะไรขนาดนั้น ไอ้เซยังงัวเงียอยู่เดี๋ยววิ่งไม่ทัน

ก็คิดนะว่าถ้าพี่ไปป์ขับรถพุ่งออกจากลานจอดรถที่ชั้น 7 ได้พี่แกก็คงทำ ใจเย็นๆ พี่ ทางลงมันโค้ง ถ้าแหกขึ้นมาไปหาพี่กริชไม่ได้นะเว้ย

“พี่ไปป์ใจเย็นดิ ห่วงเพื่อนก็ดีครับแต่ห่วงตัวเองด้วย” เอื้อมมือไปแตะแขนให้เข็มไมล์ค่อยๆ ถอยลงมาในระดับที่คนปกติเขาขับกัน

แต่ก็ขับในระดับปกติได้ไม่นานเข็มไมล์ก็พุ่งอีก อะ เอาที่พี่สบายเถอะ

แม้จะดึกแล้ว มองนาฬิกาก็พบว่ากำลังจะตี 2 เวลานี้แหล่งเที่ยวกลางคืนยังคงคลาคล่ำไปด้วยรถและผู้คนส่งผลให้รถเคลื่อนที่ได้เพียงทีละนิด รถติดสัดครับ แค่แท็กซี่ก็จอดกินถนนไปเลนนึงแล้ว

และสิ่งที่ประสบก็ทำให้เจ้าของรถหงุดหงิดอีกครั้ง พี่ไปป์ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าจนผมต้องยื่นมือไปจับมือเขาแล้วบีบเบาๆ

“ใจเย็นพี่”

“ก็ไม่ได้ใจร้อน”

“โอเค ไม่ร้อนก็ไม่ร้อน”

“ไอ้กริชน่ะเมาแล้วแม่งหมา ทั้งปากทั้งนิสัย ไม่รู้ว่าป่านนี้อ้อนตีนใครเค้าไปบ้างแล้ว” อ๋อ ที่ห่วงเพราะแบบนี้นี่เอง แล้วถ้าผมเมาบ้างพี่ไปป์จะห่วงแบบนี้ไหมวะ

“แล้วพี่ไปป์ล่ะเวลาเมาเป็นไง”

“ไม่รู้ดิ”

“ไม่รู้หรือไม่อยากบอก”

“ก็ไม่จำเป็นต้องบอกมั้ย”

“ไอ้ยอดเคยเล่าให้ฟัง;jkตอนเมาเซน่ารัก แต่จริงๆ แล้วเวลาไม่เมาเซก็น่ารักนะ”

คนข้างๆ ส่งเสียงหึในลำคอ ยกยิ้มตรงมุมปากนิดๆ อย่างที่ชอบทำ

“เซจำได้แล้ว” อยู่ๆ เรื่องคืนนั้นของเราก็แวบเข้ามาในหัว “ตอนพี่ไปป์g,kน่ะชอบหลับแล้วก็ชอบกอดด้วย”

“เอาอะไรมาพูด มั่วป่ะ”

“พี่ไปป์จำไม่ได้จริงดิ คืนนั้นของเรา”

“ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำ”

“ลืมไปว่าพี่ไปป์จำไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วตอนพี่ไปป์เมาอะโคตรน่ารัก เดี๋ยวขอให้กอด เดี๋ยวขอให้จูบ น่ารักสุดๆ” เพ้อว่ะ คิดถึงพี่ไปป์คนนั้นจังเลย

“เอาแต่ชมผู้ชายด้วยกันว่าน่ารักไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

“แล้วพี่ไปป์ไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอครับ”

“เฉยๆ”

“จริงดิ แล้วหน้าแดงนี่คือร้อนเหรอครับ”

“ไม่เมาก็อ้อนตีนนะเราน่ะ”

จริงๆ แล้วหน้าแดงอาจจะเพราะโกรธ แต่คงไม่หรอกมั้ง น้ำเสียงพี่ไปป์ไม่ได้เกรี้ยวกราดเท่าไหร่

กว่าจะฝ่าดงรถติดมาถึงหน้าร้าน กว่าจะหาที่จอดรถได้เวลาก็ผ่านไปจนเกือบจะตี 3 ดีหน่อยที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดไม่งั้นไอ้เซตาย

ที่พี่ไปป์บอกว่าพี่กริชเมาแล้วหมาผมว่าแม่งโคตรใช่ เพราะแค่เปิดประตูรถลงไปก็เห็นว่าพี่แกกำลังจะมีเรื่องกัดกับหมาตัวอื่นแล้ว

“ไอ้กริช ไอ้เพื่อนเวร”

โดนตบกบาลป้าบเข้าให้ เป็นผมถ้าเจอขนาดนี้มีสร่างเมาอะครับ แต่ไม่ใช่พี่กริชคนที่ทำเพียงปรือตามองเพื่อนแล้วยกมือขึ้นมากระชากคอเสื้อ

ผมเองก็งง คนที่เหมือนกำลังจะมีเรื่องกับพี่คนเมาเมื่อครู่ก็งง ไรวะ อยู่ๆ จะตีเพื่อนตัวเองหรือไง

“มึงมีปัญหาไรกับกูไอ้ไปป์ ตบเข้าไปสิกบาลกูเนี่ย ตบเข้าไป”

“กลับบ้านเหอะมึง เซมาช่วยกันหน่อย”

“มึงหลอกกู ไหนบอกว่าเลิกก่อนเจ็บน้อยกว่าไงสัด ทำไมกูยังเจ็บวะ เจ็บเหี้ยๆ เลยอ่ะ ฮือออ~~”

ซีนดราม่าก็มา ผมก็ได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรในสถานการณ์แบบนี้ ต่างกับคนเป็นเพื่อนกันที่ถึงแม้ไม่พูดคำใดแต่ก็ลูบหลัง ลูบหัวปลอบใจกันจนเสียงสะอื้นค่อยๆ เบาลง

“ขับรถให้หน่อยได้มั้ย”

ผมรับกุญแจรถมาด้วยความเต็มอกเต็มใจก่อนเข้าไปช่วยกันหิ้วปีกพี่กริชไปยังรถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มาก

จัดการโยนพี่แกไว้ที่เบาะหลังแล้วพากันบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย พี่กริชตัวโตกว่าผมอีก ขนาดผมที่ตัวสูงใหญ่กว่ายังเจ็บหลังแล้วคนตัวเล็กกว่าล่ะ

คิดแล้วจึงมองไปยังคนข้างกาย สายตาพี่ไปป์ยามมองพี่กริชอ่ะบอกชัดเจนเลยว่าโคตรห่วง

“ขึ้นรถเถอะพี่ไปป์”

“ไงไปป์ไม่เจอกันนาน ดูมีความสุขดีเนอะ” กำลังจะก้าวไปขึ้นรถตอีกฝั่งแต่ก็ต้องชะงักเมื่อมีกลุ่มคนที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่เข้ามาทักทาย

“ถ้าเมาแล้วก็กลับบ้านไปอย่ามาหาเรื่องกู” คนที่เหมือนจะไม่สู้ใครว่าด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบตามสไตล์แต่ทั้งหมดนั้นก็แฝงด้วยความหงุดหงิดอย่างที่ผมเองก็สัมผัสได้

“ถ้าได้ไปป์ซักทีแล้วพี่จะกลับบ้านไปนอนหลับฝันดีเลย”

“ไม่ต้องรอกลับไปนอนหลับที่บ้านหรอกมั้งปากอย่างมึงอะ” ผมก้าวเข้าไปแล้วจับแขนพี่ไปป์ให้ขยับมาหลบข้างหลังผมอย่างที่เจ้าตัวเองก็ทำตามง่ายๆ

“ไอ้หน้าอ่อนนี่ใคร เด็กใหม่เหรอ ทิ้งเพื่อนกูไปแล้วหาใหม่ได้ดีแค่นี้เหรอ ถุย!” คนพูดถุยน้ำลายลงพื้นอย่างหยาบคายดูอย่างไรก็เหมือนพวกไร้การศึกษา

พี่ไปป์ไม่ได้แสดงออกอะไรมาก แค่เม้มปากแน่นแต่ผมที่ยืนชิดก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังตัวสั่น

“นี่ไปอ่อยเด็กมันท่าไหนล่ะถึงได้มา”

“มึงหุบปากไปเลยนะ” ผมชี้หน้า จะปราดเข้าไปต่อยมันอยู่แล้วแต่ก็ถูกคนข้างหลังยื้อเอาไว้

“ช่างมัน อย่าแลก”

“แต่มันดูถูกพี่นะเว้ย”

“ช่างเถอะ คนเมา”

“แต่…” ผลั๊ว!! ยังพูดไม่จบผมก็เห็นดาว ฉิบหาย ไอ้สันขวาน แม่งลอบกัด ว่าจะเป็นเด็กดีเชื่อฟังพี่ไปป์แล้วแต่งแม่งต่อยผมก่อน อย่างนี้ผมไม่ยอมแน่ มึงรู้มั้ยกูลูกใคร

“เซ ไม่”

ผมสะบัดแขนแต่พี่ไปป์จับแน่นมาก เล็บสั้นกุดนั้นจิกเข้าไปในผิวของผมเลย แต่ไม่เจ็บเพราะเจ็บใจมากกว่า

อยากต่อยมันให้สาสมกับที่มันดูถูกพี่ไปป์

“แน่จริงมึงก็เข้ามา” อ้อนอยากได้กูก็จัดให้

เมื่อพี่ไปป์ไม่ยอมปล่อย ผมก็เริ่มดิ้น ยกเท้าจะเตะมันแต่ก็ไม่ถึง เพราะมันเอาแต่ถอยหนีตลอดทั้งที่คำพูดยังอ้อนอยากได้ตีน

“ผัวใหม่มึงโคตรอ่อน” มันยังอ้อนไม่เลิก และอยู่ๆ พี่ไปป์ก็ปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระ

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก

พี่ไปป์ก้าวอาดๆ เข้าไปต่อยให้ปากมอมจนมันหน้าหงาย ต่อยเสร็จไม่พูดไม่จาคว้าแขนผมยัดใส่รถ ส่วนเจ้าตัวก็เข้าประจำตำแหน่งคนขับ รถพุ่งออกมาด้วยความเร็ว ทั้งห้องโดยสารมีเพียงเสียงสะอื้นของพี่กริช

พี่ไปป์โหมดนี้โคตรน่ากลัว ผมแม่งไม่รู้จะทำตัวยังไงเลย





[T B C]

ขอบคุณคอมเมนท์ รัก
ถ้าไม่สะดวกคอมเมนท์ในเล้าเชิญที่ #พี่ไปป์ครับ ในทวิตเด้อ

จะว่าไปก็สงสารน้องเซเขานะคะ หยอดไปเท่าไหร่พี่เขาก็นิ่งใส่ตลอด
แล้วนี่มีพัฒนามาตบหัวอีก ตายแน่ไอ้เซ 555
เท่าที่เขียนมา ความสัมพันธ์ของคู่นี้ก้าวช้าสุดแล้ว แต่อย่าเพิ่งเบื่อเซไปป์นะ
อยู่ด้วยกันก่อน
ฉันกำลังขอร้องอ้อนวอนเธออย่าไป ทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาเธอเอาไว้
 :sad4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 04 25-04-17}
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 26-04-2017 00:21:53
เอาล่ะ ได้นิยายสนุกๆอ่านอีกเรื่องแล้วสิ

ว่าแต่ พี่ไปป์ก็โคตรน่ากลัวจริงๆแหละ แถมขับรถน่าหวาดเสียวสุดๆอีกต่างหาก
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 05 06-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 06-05-2017 21:35:53
พี่ครับ 05


เตียงนอนเพียงหลังเดียวในห้องถูกคนเมายึดไปแล้ว

หลังจากจัดระเบียบร่างกายให้เพื่อนสนิท เจ้าของห้องก็ย้ายตัวเองมานั่งข้างผมบนโซฟาหน้าทีวี สีหน้าเขายังเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เดาไม่ออกว่าพี่ไปป์กำลังคิดอะไรอยู่

“เจ็บมั้ย” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนโยนกว่าครั้งไหน ดวงตาวูบไหวที่มองมาทำเอาร่างกายผมชาวาบ ยกมือขึ้นสัมผัสมุมปากแล้วพยักหน้า

ไม่ได้เจ็บมาก แต่ถ้าพี่ไปป์เป็นห่วง ผมเพิ่มความสำออยเข้าไปอีกหน่อยก็ได้

“ขอโทษนะ อยู่ๆ ก็ต้องมาเจ็บตัว”

“ไกลหัวใจครับ”

“ปากเก่ง”

“ช่าย เซแค่ปากเก่งไปงั้นแหละ จริงๆ แล้วโคตรเจ็บเลย” พี่ไปป์ส่ายหน้าหน่าย รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากก่อนเจ้าตัวจะผละออกไป

ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับอุปกรณ์ทำแผล

“ล้างแผลหน่อย”

“แสบแน่เลย”

“กลัวเหรอ”

ผมส่ายหน้าดิก ไม่กลัว แต่ไม่ชอบ

พี่ไปป์หัวเราะหึแล้วจัดการเทแอลกอฮอล์ใส่สำลี ผมเบือนหน้าหนีในตอนที่สำลีชุ่มๆ กำลังสัมผัสแผล พี่ไปป์ว่าผมดื้อแล้วจับคางบังคับให้หันมา

แววตาอ่อนโยนทำผมเคลิ้ม ยอมนิ่งให้เขาล้างแผลแต่โดยดี มันแสบแต่ผมไม่ร้องสักแอะ ไอ้เซแมนๆ ไม่ร้องหรอก

ผมยังวางสายตาไว้บนใบหน้าพี่ไปป์ ดวงตากลมมองผมอย่างอ่อนโยนซ่อนความเศร้าหม่นเอาไว้ลึกๆ เข้ากับจมูกรั้น ริมฝีปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรงเมื่อพยายามล้างแผลให้ผมด้วยสัมผัสแผ่วเบา

มองผิวเผินพี่ไปป์เป็นผู้ชายที่หล่อผสมน่ารัก คิดว่าถ้ายิ้มน่าจะน่ารักได้กว่านี้ แต่เสียดายที่เจ้าตัวเอาแต่ปั้นหน้านิ่ง

สัมผัสชื้นจากสำลีก้อนเล็กห่างหายไป เจ้าของมือเรียวเลื่อนสายตามาสบกับผม ลูกแก้วสีดำสนิทสั่นไหววูบหนึ่งก่อนเจ้าตัวจะหลบตา

ผมคว้ามือเขาเอาไว้ ยกมือข้างนึงขึ้นสัมผัสแก้มเนียน พี่ไปป์นิ่ง บรรยากาศสลัวๆ จากโคมไฟเป็นใจให้ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปหา ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดกันผ่านช่องว่างเล็กๆ ระหว่างเรา

เราอยู่ใกล้กันมากแต่เสียดายที่ไอ้เซไม่มีสิทธิสัมผัส

พี่ไปป์ถอนสายตาก่อนแล้วผละออกไป เขานั่งตัวตรงจับจ้องไปยังทีวีซึ่งหน้าจอดับสนิทปราศจากร่องรอยการใช้งาน มือทั้งสองข้างประสานกันแน่น ริมฝีปากที่ผมเกือบจะได้สัมผัสขยับเปล่งคำพูดเป็นเสียงแผ่วเบา

“นอนเถอะ”

“แล้วพี่ไปป์จะนอนตรงไหน” ผมเองก็ทำตัวไม่ถูก จับจ้องไปที่เดียวกัน มองเขาผ่านภาพสะท้อนไม่ชัดเจนนั้น

“แถวนี้แหละ” บรรยากาศตึงเครียด ผมมองพี่ไปป์ซึ่งเดินหายเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งก็เดินออกมาพร้อมชุดเครื่องนอน ชั่งใจอยู่ว่าควรพูดอะไรดีไหม

“มีอะไรหรือเปล่า เห็นมองตั้งนานแล้ว”

“เปล่าครับ”

“เขาเป็นเพื่อนแฟนเก่าผม ที่จริงเรื่องมันก็จบไปตั้งนานแล้วแต่เจอกันทีไรก็ชอบเข้ามาหาเรื่องกันทุกที เพราะแบบนี้ถึงไม่ค่อยอยากไปเที่ยวที่แบบนั้น”

“กับแฟน จบกันไม่ดีเหรอครับ”

“ไม่ค่อยดี”

“พี่ไปป์โอเคมั้ย ความรู้สึกพี่ตอนนี้ ถ้าไม่สบายใจเล่าให้เซฟังได้นะ”

“ไม่เป็นไร เซ...” เสียงพี่ไปป์จริงจังขึ้นมา เขาเม้มปากแล้วคลายออกเหมือนกำลังชั่งใจ ผมจึงยื่นมือไปบีบไหล่ “นอนเถอะ”

ไฟทั้งห้องถูกปิดลง พี่ไปป์นอนอยู่ใกล้แค่นี้ แผ่นหลังในเสื้อยืดยังคงสงบนิ่ง แต่ในใจคงไม่สงบเท่าไหร่ ถึงแม้ท่าทางพี่ไปป์จะไม่เปลี่ยนไปจากปกติแต่เขาไม่ปกติหรอก

“พี่ไปป์หลับแล้วเหรอ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่นอนอยู่ใกล้กันแค่เอื้อม แม้รู้อยู่แก่ใจว่าเขายังไม่หลับแต่ก็ไม่กล้าชวนคุย ทำได้เพียงยื่นมือไปจับมือกันไว้ในความมืด

พี่ไปป์ไม่ได้ขัดอะไร ไม่ได้จับมือผมตอบ เขาเพียงสงบนิ่ง แม่ง ผมโคตรเกลียดความสงบตอนนี้เลยว่ะ







เสียงฝีเท้าดังขึ้นในห้อง เป็นเสียงหนักๆ ที่ไม่คุ้นเคย ถึงกระนั้นผมก็ไม่ได้สนใจ วงแขนแกร่งยังคงกระชับกอดคนข้างกายเอาไว้แนบอก

ผมซุกปลายจมูกลงบนเส้นผมนุ่ม หอม ชื่นใจ

“ไอ้ไปป์” คนในอ้อมกอดขยับตัวให้ผมคลายวงแขนออก

ได้ยินเสียงเขาครางฮึมฮัมในลำคอ ผมไม่เปิดเปลือกตาขึ้นมา อยากจดจำสัมผัสนี้เอาไว้ด้วยร่างกาย

“จะทำอะไรกันก็ค่อยทำตอนอยู่กันสองคนไม่ได้เหรอวะ” เสียงนั้นดังอยู่บนหัว เมื่อหรี่ตามองก็พบว่าพี่กริชนั่งยองๆ อยู่บนหัวเรา แม่ง เหม็นตีน

“ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมา อย่ามาเนียน”

เพราะเสียงพี่ไปป์ดังอู้อี้ตรงอก ผมจึงหรี่ตาข้างหนึ่งขึ้น คนถูกกอดกำลังช้อนตามองกัน น่ารักเหี้ยๆ อยากจับกดให้รู้แล้วรู้รอด แต่ถึงกระนั้นผมก็ทำได้เพียงหัวเราะเก้อๆ ปล่อยพี่เจ้าของห้องให้เป็นอิสระแล้วกระโดดผลุงขึ้นไปนั่งกอดเข่าบนโซฟา

“เด็กใหม่มึงเหรอไปป์ หน้าคุ้นนะ กูรู้จักปะวะ” ไม่คุ้นได้ไงก็พี่เป็นคนซื้อผมแล้วพาไปปล่อยไว้ในม่านรูดกับพี่ไปป์เมื่อ 2-3 เดือนก่อน

คนถูกถามพับผ้าห่ม เก็บที่นอน ขณะเพื่อนของเขาก็มองอย่างใจเย็น แม้นัยน์ตาสีนิลจะเต็มไปด้วยความสงสัยอยากได้คำตอบแต่พี่กริชก็ไม่ได้ไล่บี้จะเอา

ผมนั่งกัดเล็บมองคู่เพื่อนที่ทำตัวแปลกๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเป็นผมกับไอ้ยอดป่านนี้ทางใครทางมันแล้ว ไม่อยากเล่าตอนนี้เหรอ เออได้ เดี๋ยวกูกลับมาไล่บี้เอากับมึงใหม่

“มึงโอเคยัง”

“อย่าเปลี่ยนเรื่องไปป์ เด็กนี่ใคร” ยื่นคางมาที่ผม ขอบคุณครับพี่ที่ไม่ใช้ตีนเขี่ย

“เด็กในปกครองกู”

“หมาจรจัดที่มึงเล่าให้ฟังอะนะน” จากนายน้อยแห่งพลัสแชแนลกลายเป็นหมาจรจัดทันทีเมื่อไม่มีที่ซุกหัวนอน

แต่อยากรู้จังน้าว่าพี่ไปป์เล่าถึงหมาจรจัดตัวนี้ว่าไงบ้าง

“แล้วนั่นปากมึงไปโดนไรมาหมาน้อย” เรียกแบบนี้ไอ้เซดูน่ารักขึ้นอีกเท่าตัวเลย ผมยกยิ้มหวานส่งให้พี่กริช ใช้มือแตะที่แผลมุมปากแล้วร้องซี้ด

เมื่อคืนไม่เจ็บขนาดนี่นี่หว่า

“มันถูกหมากัด” พี่ไปป์ตอบแทน ผมเข้าไปช่วยตอนที่เขากำลังยกกองที่นอน ผ้าห่มและหมอนเพื่อเอาไปเก็บ

“หมาตัวนั้นใช่มึงมั้ย กัดปากกันขนาดนี้ไม่ใช่แค่พี่เลี้ยงกับน้องฝึกงานแล้วมั้ง”

“สมองมึงคิดเรื่องดีๆ บ้างเหอะ วางไว้บนเตียง” ท้ายประโยคเจ้าของห้องหันมาบอกผมที่กำลังก้าวเข้าไปในห้องนอนเขา

ห้องนอนพี่ไปป์ไม่ต่างอะไรจากห้องนอนทั่วไป ไม่มีพวกภาพถ่ายหรือสิ่งของที่สื่อถึงความสนใจพิเศษแปะไว้ตามผนัง ไม่มีกรอบรูป ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย

“มึงจะอยู่นี่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวอยู่คนเดียวแล้วฟุ้งซ่านไปแดกเหล้าอีก กูขี้เกียจไปเก็บซากมึง”

“ขอโทษว่ะมึง กูไม่คิดว่าพวกมันจะสุมหัวกันอยู่นั่น”

“ช่างแม่งเหอะ”

“ช่างห่าไร มันต่อยน้องมึง”

“มึงคิดว่ากูไม่มีมือเหรอ”

“มึงต่อยมัน?”

“เออ”

“เชี่ยไปป์ พวกแม่งไม่เอามึงไว้แน่ แค่เรื่องนั้น…” พี่กริชหยุดพูดกะทันหันเมื่อเหลือบเห็นว่าผมแอบฟังอยู่หลังกรอบประตู

เสียดายว่ะ อีกนิดเดียวก็จะได้รู้เรื่องของพี่ไปป์แล้วแท้ๆ

“หมาน้อยรินน้ำเย็นๆ ให้พี่กริชซักแก้วสิครับ” พี่กริชแม่งเป็นงาน พอจะใช้กันเปลี่ยนเป็นเสียงสองเลย ขนลุกว่ะ ไม่เหมือนพี่ไปป์ไม่ว่าอยู่ในอารมณ์ไหนก็มีเสียงเดียว

เมื่อถูกไหว้วานจากผู้ใหญ่ คนอายุน้อยกว่าก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในครัว รินน้ำเรอะ ไม่พอดื่มมั้ง เอาไปทั้งขวดเลยดีกว่า

“มึงกวนตีนกูปะเนี่ย” พอเสิร์ฟน้ำทั้งขวดพี่แกก็ว่าอย่างนั้น จนผมวางแก้วลงแล้วรินน้ำให้นั่นแหละจึงเลิกมองกันด้วยสายตาหงุดหงิด ก่อนจะสั่งให้ผมนั่งลงข้างๆ

ผมไม่กล้าหรอก เก้ๆ กังๆ น้ำไม่อาบอยู่ครู่นึงจนพี่ไปป์พยักพเยิดให้นั่งจึงทำตาม

“มึงนี่เป็นหมาที่ดีนะ เจ้านายสั่งให้ทำอะไรก็ทำหมดเลย” แซวอีก แต่ก็ไม่ว่ากัน ผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ นี่หว่า ก็แปลกใจตัวเองอยู่ว่าทำไมถึงเกรงใจพี่ไปป์นัก

“ผมไม่ใช่หมานะพี่”

“เรียกหมาน้อยน่ารักออก หรือจะให้เรียกหมาจรจัด”

“กริชแกล้งน้อง ไอ้ห่านี่”

“แตะไม่ได้เลย เอาไว้ได้กันก่อนมั้ยค่อยหวง”

“หวงเหี้ยไร สัด” ด่าพี่กริชเสร็จคนเป็นเจ้าของห้องก็ผละออกไป คราวนี้คนที่มีสภาพแย่โคตรจึงตวัดสายตามามองผม จับผิดกันเฉย เมื่อกี้ยังคุยกันดีๆ อยู่เลย

“หมาน้อย” ไอ้สัด หมาก็หมา “มึงต่อยมวยเป็นมั้ย”

“ทำไมอะพี่”

“ถามก็ตอบดิวะ” พี่เป็นไบโพลาร์ป่ะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไอ้เซตามไม่ทัน

“ไม่ถนัดมวยว่ะพี่ แต่เทควันโดสายดำ”

พี่กริชลูบคาง พยักหน้ามองผมอย่างพออกพอใจ นี่พี่มันอารมณ์ดีแล้วถูกมั้ย

“แล้วเมื่อคืนมึงได้ใช้งานมั้ย เทควันโดสายดำมึงเนี่ย”

ผมส่ายหน้า พี่กริชจิ๊ปาก แม่ง หงุดหงิดไอ้เซอีกแล้ว

“กากสัดเลยว่ะหมา”

“พี่ไปป์ไม่เปิดโอกาสนี่หว่า พอตั้งตัวได้พี่ไปป์ก็สอยไอ้นั่นร่วงไปแล้ว”

“ไอ้ไปป์เป็นคนใจร้อน คิดเร็วทำเร็ว ถ้าคิดจะอยู่ข้างมันมึงก็ต้องปรับตัว ชักช้าไม่ทันแดก”

ผมกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรถามเรื่องที่กำลังคาใจนี้กับพี่กริชหรือเปล่า ถ้าถาม พี่เขาจะหาว่าหมาน้อยขี้เสือกมั้ย

“มองหน้ากู สงสัยเหี้ยไรก็ถามมา”

“พี่ไปป์บอกว่ากับแฟนเขาจบกันไม่ดี”

“ก็ไม่ดี”

“ถูกฝ่ายนั้นทิ้งเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิง ถามถึงมันนี่สนใจมันเหรอ”

“พี่กริชจำผมไม่ได้เหรอ”

“กูจำทุกคนที่เดินสวนกันบนถนนไม่ได้หรอกว่ะ” กวนตีนอีกแล้ว

“ผมก็เหมือนพี่แหละ”

“อย่าบ่ายเบี่ยงหมา ตอบคำถามกูมา สนใจเพื่อนกูรึเปล่า”

“ผม…”

“เชี่ยกริชถ้ามึงจะอยู่นี่ก็มาอาบน้ำ ถ้าไม่ก็ไสหัวกลับไป” ยังทบทวนความรู้สึกตัวเองไม่ทันถี่ถ้วนเสียงเจ้าของห้องก็ดังแทรก

พี่กริชถอนหายใจพรืด ถึงกระนั้นก็ยังไม่ขยับตัว

“อยู่กับมันก็ดูแลมันด้วย ถ้ามึงดูแลไม่ได้กูจะหาคนอื่นมาดูแลมัน”

หาคนอื่น? จะบ้าเหรอของแบบนี้มันหากันได้ง่ายก็จริง แต่ที่ไว้ใจได้อย่างไอ้เซนี่ไม่ง่ายหรอกนะ

“กูจะกลับ ไม่อยากกวนมึง”

“จะรีบกลับไปง้อเมียว่างั้น” เจ้าของห้องยืนพิงกรอบประตูห้องนอนด้วยสภาพหัวเปียก มีผ้าขนหนูคลุมศีรษะเอาไว้อีกที

“ไม่ง้อแม่งละ เลิกก็เลิก”

“ปากเก่งให้ได้ตลอด”

“กูเพื่อนมึงนะไปป์” คนเป็นเพื่อนกันเบะปาก แววตาอ่อนโยนเปลี่ยนไปเมื่อหันมามองผม

“ไม่ซักผ้าเหรอ”

“ครับ” เดี๋ยวนะ งง

“ซักผ้าไง วันนี้วันเสาร์” เออว่ะ การซักผ้าในเช้าวันเสาร์กลายเป็นกิจวัตรไปซะแล้ว ตอนนี้ผมรีดผ้าเป็นแล้วนะ คนสอนเก่ง ลูกศิษย์ก็หล่อ

“พี่กริชถ้าอยากเมาโทรหาผมได้นะ เดี๋ยวแนะนำเพื่อนคอแข็งๆ ให้”

“ขอบใจมึง เอาเบอร์มา”

ผมหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาปลดล็อคแล้วส่งให้ก่อนจะผละไปทำกิจวัตรของตน







“พี่ไปป์วันเสาร์ออกไปดูโลเคชั่นถ่ายทำด้วยกันมั้ย”

สัปดาห์ที่สองของการฝึกงานที่ฝ่ายละครกำลังจะผ่านไป

อันที่จริงรายชื่อผมอยู่ฝ่ายโปรดของแม่ก็จริง แต่ตัวน่ะถูกดึงไปช่วยงานรายการใหม่ที่มีคิวออนแอร์ต้นเดือนหน้า ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการฝึกงาน

พี่ปกรณ์บอกว่าอนาคตของผมขึ้นอยู่กับรายการนี้ ไม่ถามสุขภาพไอ้เซซักคำ

ที่จริงผมรักสัตว์นะ เคยเลี้ยงหมาตอนเด็กแต่ถามว่าคุ้นเคยกับสัตว์ไหม ถึงไอ้ยอดจะชอบนำหน้าชื่อผมด้วยคำนั้นแต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็นสปีชี่เดียวกับพวกสัตว์สี่เท้าหรอก

“จะไปดูที่ไหนกัน” พี่เจ้าของห้องถือแก้วนมออกมาจากครัว เดินตรงมาทางนี้ ผมที่กำลังง่วนอยู่กับการหาข้อมูลโลเคชั่นจึงขยับให้เขานั่งลงข้างกัน

“ก็หลายที่นะพี่แต่เล็งที่นี่ไว้” พี่ไปป์มองหน้าจอพลางจิบนม

“วัดเหรอ”

“ใช่ครับ พวกหมาแมวจรจัดน่าจะอยู่ที่วัดซะเป็นส่วนมาก”

“เข้าวัดได้ด้วยเหรอเรา” อันนี้คือมุกถูกมั้ย ผมควรขำใช่ป่ะ ชั่งใจอยู่ชั่ววินาทีจึงเปล่งเสียงแหะๆ ให้คนปล่อยมุกมองแรงใส่

ผมกับพี่ไปป์ยังไม่สนิทกันมากแต่เราก็รู้เรื่องของกันและกันมากขึ้นอีกระดับนึงแล้ว

พี่ไปป์ชอบดื่มกาแฟผสมโกโก้ในตอนเช้าและดื่มนมจืดก่อนนอน

“ไปวันเสาร์กี่โมง”

“นัดพี่อาร์มไว้ 8 โมงครับ”

“ไปรถใคร”

“น่าจะรถพี่อาร์ม พี่ไปป์ไปด้วยกันป่าว”

“ไม่ล่ะ ไปกันเองน่าจะสะดวกใจกว่า”

“พี่ไปป์ไปด้วยเซก็สะดวกใจ”

“แต่คนที่เหลือคงไม่สะดวกเท่าไหร่”

คงหมายถึงพี่อาร์มและพี่ทีมงาน ก็จริง คุณปกรณ์น่ะเป็นที่หวาดกลัวของทีมงานจะตาย ไม่เหมือนพี่ไปป์ของผม เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าเสื้อนอนตัวนี้มันคอกว้างก็ใส่จัง ใส่ทุกวัน ซักตอนเช้าแล้วก็ใส่ตอนเย็น







ผมไม่ได้เข้าไปที่ฝ่ายละครหลายวันแล้ว เพราะเอาแต่วุ่นอยู่กับการเตรียมตัวถ่ายทำรายการใหม่ รู้ซึ้งแล้วว่ากว่าจะได้รายการทีวีออกมารายการนึงไม่ใช่เล่นๆ เลย

“วันนี้กลับบ้านด้วยกันมั้ยครับ” เจ้าของรถที่เพิ่งจอดสนิทในลานจอดอันเงียบเหงาหันมามองเมื่อถูกถาม

ก้มหน้าปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วค่อยตอบ “คำนั้นผมต้องเป็นคนถามไม่ใช่เหรอ”

“โธ่พี่ไปป์หยวนๆ หน่อยเถอะน่า จริงจังอะไรนักหนา”

“วันนี้เข้าไปช่วยงานที่ฝ่ายละครนะ เลิกงานแล้วก็กลับไปก่อนเลย”

“แล้วพี่ไปป์ล่ะจะไปไหนต่อ”

“ยุ่ง”

โอเค ไอ้เซซึ้ง

แม้จะรู้จักพี่ไปป์ในระดับนึงแต่ก็มีหลายเรื่องที่ผมข้ามกำแพงเข้าไปไม่ได้เลย ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่คิดจะปีน อย่างมากก็แค่เคาะมันเบาๆ สักวันถ้าพี่ไปป์พร้อมจะให้ผมเข้าไปเขาคงเปิดประตูต้อนรับเอง

วันนี้ผมเจอคุณนายอีกแล้ว เยื้องย่างมาพร้อมกับกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ นั่งดูละครด้วยกันจบก็บอกลาด้วยการบังคับให้ไปกินข้าวเย็นกับที่บ้าน

ผมไม่ได้รับปากทันทีแต่ก็ขัดใจไม่ได้หรอก

“เมื่อเช้าเห็นคุณนายแม่มึงมา” ไอ้ยอดเพื่อนรัก เจอมันไม่บ่อยครับต่างคนต่างยุ่ง

“มาดูละคร”

“แม่มึงชอบพระเอกคนไหนวะ กูสงสัย”

“พระเอกละครที่จะออนคืนนี้ ชื่อไรไม่รู้ หล่อไปไม่อยากจำ”

“ขี้อิจฉาไม่เปลี่ยนเลยมึง”

“กูก็นิสัยแบบนี้ จะไม่ให้กูมีปมได้ไง แม่เคยเทงานวันเกิดกูไปงานมีตติ้งพวกพระเอกนะเว้ย คิดแล้วแค้นสัด”

“ฆ่าแม่งเลยมั้ย”

“ฆ่าใคร แม่กูเหรอ” เสือกพยักหน้าอีกผมจึงโบกมันไปที “ลามปามแล้วมึง นั่นบ่อเงินบ่อทอง อู่ข้าวอู่น้ำกู”

เราคุยเรื่องสัพเพเหระกันเรื่อยเปื่อย ส่วนมากก็อัพเดตเรื่องที่แต่ละคนไปเจอมา ผมกับไอ้ยอดแม่งเหมือนฝึกงานคนละบริษัท ของมันโคตรสบายทำงานในออฟฟิศ ส่วนผมนี่ วันเสาร์นี้ต้องพาผิวขาวๆ ไปให้แดดเลีย

“อิจฉามึงว่ะ กูก็อยากทำรายการบ้างเหมือนกัน”

“ทำเป็นพูดดี มึงก็มีรายการในยูทูปอยู่ไง” รายการสุดยอด สุดยอดเรื่องของถูกและกินอิ่ม คนสับสะไคร้มีประมาณ 100 ส่วนมากก็เป็นรุ่นน้องที่บังคับเขามา ผมเองก็เคยเป็นเกสท์ทีนึง ก็ไปกินของถูกและอิ่มอย่างสโลแกน แต่เช้าวันต่อมาท้องเสียเลย หลังจากนั้นผมก็ไม่ไปทำรายการกับมันอีก

“รายการกูไม่ได้อยู่ช่องหลักไง แล้วไอเดียอะไรของมึงวะที่พี่ไปป์เขาซื้อ”

“พ้อยหลักของรายการก็คือสัตว์” สัตว์จริงๆ ไม่ใช่คำที่เอาไว้ใช้ด่าใคร

พอพูดถึงสัตว์ก็วนเวียนเข้ามาในหัวทั้งเขาดิน แต่สุดท้ายหัวคิดอันชาญฉลาดของไอ้เซก็มีไฟกระพริบปริบๆ ขณะนั่งอ่านพันติ๊บดูรูปพอร์ทเทจสาวๆ

มันจะดีสักแค่ไหนถ้าเราเปลี่ยนมุมมองของคนบางกลุ่มที่มองหมาแมวจรจัดในวัดแล้วหวาดกลัว ปรับเขาด้วยภาพเคลื่อนไหว ทำให้เห็นมุมมองใหม่ๆ อาจจะเปลี่ยนความคิดทุกคนไม่ได้ ในร้อยคนมีสักคนหนึ่งที่เข้าใจก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

“หล่อสัดๆ” ถูกชมแล้วก็ปลื้ม รุ่นพี่บอกว่าผมมีความคิดที่ดี หัวครีเอทแต่ไม่ชอบลงมือทำ ครั้งนี้แหละผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าไอ้เซไม่เหลาะแหละนะครับผม

ผมมองไอ้ยอดแล้วยืดตัว ความภูมิใจแม่งพองตุ๊บป่องจนนั่งตัวงอไม่ได้แล้ว

“ยืดเข้าไปไอ้สัด กูไม่น่าหลวมตัวชมมึง”

“กูบ้ายอไง”

“เออ แล้วพี่เลี้ยงมึงเขาว่าไงบ้างวะตอนมึงเสนอความเห็นนี้”

พี่ไปป์เหรอ

ก็แค่มองผมอึ้งๆ บอกว่า ‘โอเค’ แล้วเรียกทีมงานรายการเข้าประชุมในวันต่อมา

“พี่เขาคงเก็บอาการ” พอผมเล่าพร้อมแสดงสีหน้าท่าทางประกอบให้ดูไอ้ยอดเพื่อนรักก็ออกความเห็นว่าอย่างนั้น

“แสดงออกบ้างก็ได้นะบางที”

“มึงกับพี่ปกรณ์นี่มันยังไงวะเซ ถึงมึงจะไบเซ็กชวลแต่แบบนี้ไม่ใช่สเปกมึงอะ ปกติคบแต่คนน่ารัก งุ้งงิ้ง ขี้อ้อนเหมือนแมว”

ฟังมันแล้วก็คิดครับ พี่ไปป์โคตรจะอยู่นอกเหนือคำนิยามสเป็กของผม แต่ผมกลับรู้สึกดี ดีมาก ดีสุดๆ ยามเห็นเขาอยู่ในสายตา อยากแกล้งให้โกรธ อยากทำให้ยิ้ม ไม่รู้ว่าความรู้สึกพวกนี้มันหลอมลวมไหลวนอยู่ในความคิดความรู้สึกของผมตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าตอนนี้ผมรู้สึกกับเขามากจริงๆ







พี่ไปป์กลับบ้านดึก และตอนเช้าเมื่อผมตื่นนอนก็ไม่เจอเขาแล้ว

เป็นอย่างนี้มาสักพัก สงสัยอยู่ตลอดแต่ผมไม่กล้าถามหรอก ถึงแม้ถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี







เช้าวันเสาร์อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย บางทีกรมอุตุฯ อาจจะเตือนแล้วเป็นผมเองที่ไม่สนใจ

เสียงฝนคงทำให้พี่ไปป์ตื่น

“อดเลย” กอดอกพิงกรอบประตูแล้วก็ว่าอย่างนั้นด้วยสีหน้าโคตรเฉย ไม่สนใจผมที่ตอนนี้แม่งโคตรเซ็ง

แผนที่วางมาหลายสัปดาห์ล่มลงเพราะฝนตก เฮ้อ~

“แล้วฝั่งโน้นเขาว่ายังไงบ้าง”

“เลื่อนนัดเป็นพรุ่งนี้ครับ” ผมตอบเขาด้วยท่าทางหงอยๆ ทว่าคนที่ควรจะปลอบใจกันกลับยิ้มเยาะ

“แล้วรู้ได้ยังไงว่าพรุ่งนี้ฝนจะไม่ตก”

“พี่ไปป์” ผมเรียกชื่อเขา กอดอกแล้วกระแทกแผ่นหลังกับพนักพิงโซฟาแรงๆ อย่างนึกขัดใจ

“เรื่องสภาพดินฟ้าอากาศไม่แน่นอนหรอกนะสิทธา ถ้าพรุ่งนี้ฝนตกอีกก็ต้องเลื่อนอีกงั้นสิ เลื่อนไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่งานจะเดิน”

“ถ้าพี่ไปป์มีไอเดียอะไรดีๆ ก็น่าจะบอกเรา” เจ้าของห้องเดินผ่านผมไปหยุดที่ระเบียง ทอดมองสายฝนที่เทกระหน่ำจนมองไม่เห็นทิวทัศน์เมืองภายนอก

“ในการเดินทางเราหวังพึ่งแต่จีพีเอสโดยไม่เคยคิดเลยว่าหากวันนึงไม่มีสิ่งนั้นอยู่คุณจะเดินทางไปถึงจุดหมายได้ยังไง”

เกี่ยวอะไรกับจีพีเอสวะ

“เรื่องงานก็เหมือนกัน ถ้าเรามัวแต่รอข้อมูลสูตรสำเร็จจากคนอื่น เมื่อไหร่เราจะคิดได้ทำงานเป็น”

“งั้นเซไม่ถามเรื่องงานแล้วก็ได้”

เจ้าของห้องผละจากระเบียงตรงเข้าไปที่ห้องครัวอย่างคล่องแคล่ว ผมนั่งอยู่ที่เดิมมีแต่สายตาเท่านั้นที่จับจ้องเขาอยู่ทุกความเคลื่อนไหว

พี่ไปป์ปิ้งขนมปัง ชงกาแฟสำหรับเราเสร็จนั่นแหละผมจึงตามเขาเข้าไป

“เปลี่ยนเป็นถามเรื่องหัวใจพี่ไปป์แทนได้มั้ยอะ”

“ไม่คุยเรื่องนี้กับคนไม่สนิท” สีหน้าพี่ไปป์ไม่บ่งบอกว่าขนมปังที่เขาปิ้งเองกับมือนั้นมีรสชาติอย่างไร ผมลองจิ้มมันเข้าปากบ้าง ก็อร่อยดี พี่ไปป์เนี่ยเก็บอาการโคตรเก่งเลย

“งั้นก็สนิทกับเซสิครับ” ผมยิ้มด้วยดวงตาขณะเคี้ยวขนมปังไปเรื่อยๆ

“ไม่อยากสนิท”

“แต่เซอยากสนิทกับพี่ไปป์นี่นา งั้นเรามาทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ดีกว่าเนอะ เริ่มจาก…” ครุ่นคิด “แฟนเก่าพี่ไปป์เป็นคนแบบไหน”

“เป็นการเริ่มทำความรู้จักกันที่โคตรห่วยแตกเลยว่ะ”

“เซอยากรู้ คิดจะทำการใหญ่ก็ต้องมีข้อมูลสิ”

“เสียใจด้วยนะที่คุณจะไม่ได้ข้อมูลนี้จากผม”

“ไม่เป็นไร” ผมมันช่างตื๊อถูกตัดรอนกี่ครั้งก็ไม่รู้จักเข็ด “งั้นให้พี่ไปป์ถามเรื่องเซละกัน”

พี่ไปป์เก็บความรู้สึกเซ็งไม่เคยมิด เขาถอนหายใจแล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

“ไม่ถาม ถ้าวันนี้ว่างก็มาทำรายงายกัน”

เยดโด้รายงานอีกแล้ว







ซัก ปั่นแห้ง พับเสื้อผ้าเสร็จเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบเที่ยงแล้ว ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า มองปลายเท้าที่ชี้ไปทางระเบียงก็พบว่าอากาศโปร่งใสปราศจากหยดฝน

ฝนหยุดแล้ว

ผมผุดลุก วิ่งไปกระชากประตู ไอฝนยังหลงเหลือแต่ท้องฟ้าโคตรโปร่งใส

Rrrr~

จังหวะที่ล้วงมือถือออกมา เครื่องมือสื่อสารในมือก็กรีดร้องขึ้นพอดี

นัดแนะกับฝั่งพี่อาร์มเสร็จก็รีบแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดเก่ง มองเข้าไปในห้องนอนที่เปิดประตูแง้มไว้ พี่ไปป์ยังคงนั่งหน้าเครียดอยู่หน้าแม็คบุ๊กเครื่องโปรด

“พี่ไปป์” ผมเรียกเบาๆ พอๆ กับมือที่ค่อยๆ เปิดประตูออก

“ว่าไง” เจ้าของดวงตากลมในแว่นสายตามุ่นคิ้วเล็กน้อย

“จะออกไปดูโลเคชั่นนะครับ เดี๋ยวพี่อาร์มมารับ”

เขาพยักหน้า ผมจึงผละออกมา ทว่ามือยังไม่ละจากประตูเสียงพี่เจ้าของห้องก็รั้งให้เอี้ยวตัวไปมอง

คงจะบอกว่าโชคดี หรือไม่ก็ อย่ากลับบ้านดึกนะ พี่เป็นห่วง แค่คิดก็ฟิน

“เก็บข้อมูลมาให้ครบล่ะ อย่าให้เสียเที่ยว”

เพล้ง! ได้ยินเสียภาพมโนไอ้เซแตกเป็นเสี่ยงๆ มั้ยครับ พี่ไปป์แม่งไม่หวานเลย






[T B C]

เซนี่ฟีลแม่บ้านมากค่ะ เอะอะซักผ้าตลอด 555
รอบนี้มาอัพช้า 1 วัน ขอโทษคนที่รอด้วยเด้อ
ครั้งหน้าจะมาให้ตรงเวลา
 :katai4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 05 06-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 07-05-2017 09:28:50
 :hao3: พี่ไปป์นี่คงอีกนานกว่าจะหวานกับเซ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 05 06-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 07-05-2017 11:13:42
555555
พี่ไปป์นี่สุดยอดเลย
รางวัลชนะเลิศคนหน้านิ่งสมควรเป็นของพี่จริงๆ
อยากรู้อ่ะว่า ถ้าพี่ไปป์เปิดใจให้เซครบ 100% จะเป็นยังไงนะ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 05 06-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-05-2017 11:29:28
กว่าพี่ไปป์จะหวานใส่เซเซคงน่วมก่อน

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 06 15-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 15-05-2017 21:09:19

พี่ครับ 06


รถแวนคุณปู่พาพวกเรามาถึงวัดแถวนครปฐมซึ่งได้รับเลือกในเวลาเกือบบ่าย 3 แดดจ้าแดด หัวเปียกหมดแล้ว

ผมใช้หมวกแก๊ปที่เพิ่งถอดออกมาพัดตรงหน้า แต่แม่งไม่ช่วยอะไร

“หลวงพี่บอกให้เราขึ้นไปบนศาลาเลยว่ะ” สิ้นเสียงพี่อาร์มพวกเราอีก 3 ชีวิตก็ใส่เกียร์หมาวิ่งสุดตีน

ร้อนครับ ผิวไหม้แล้ว ร่างกายต้องการที่ร่ม

โฮ่ง!!

เสียงเพื่อนสี่ขาครับ คราแรกก็มาเสียงเดียว หากยิ่งพวกเราสาวเท้าเสียงเห่าก็ยิ่งระรัวอย่างกับวงออเคสตร้าเวทีวัด เท่านั้นไม่พอ เห็นคนวิ่ง วิ่งตามคนเฉยเลยสัดหมา

“เฮ้ยแม่ง!” พี่อาร์มครับ วิ่งเป็นจ่าฝูงจะตกใจอะไรนักหนา เซนี่ คนปลายแถวควรตกใจกว่ามึงอีก

หวุดหวิดกางเกงก้นขาดครับ ดีหน่อยที่กระโจนขึ้นศาลาทัน ไม่งั้นตูดให้เซดับอนาถแน่

“เชี่ยพี่อาร์มตูดกู” ผมนอนแผ่หลา ข้างๆ คือเจ้าของชื่อ เป็นทั้งโปรดิวเซอร์รายการควบตำแหน่งรุ่นพี่มหา’ลัย ตอนผมอยู่ปี 1 พี่แกอยู่ปี 3 เคยเจอหน้ากันบ้าง สนิทกันระดับพี่น้องร่วมคณะ แต่ก็รู้สึกดีครับที่กำลังจะได้ร่วมงานกัน

“ขอกูดูหน่อย” พอพี่มันว่าผมก็ขยับตัวนอนตะแคง ทิ้งช่วงสักครู่ก็เปลี่ยนเป็นนอนคว่ำ

“ไงวะพี่กางเกงผมขาดป่ะ”

“บ๊อกเซอร์ลายแตงโม มุ้งมิ้งไปนะมึง”

สัดหมา เอาชิ้นส่วนกางเกงกูไปจนได้สินะ

“ไม่เป็นไรมึง ไม่ต้องคิดมากเดี๋ยวพี่อาร์มคนนี้จะหาผ้าให้มึงเปลี่ยนเอง” สีหน้าแม่งไม่น่าไว้ใจ

สาธุครับ จังหวะนั้นหลวงพี่ก็ก้าวขึ้นมา ไอ้พี่โปรดิวเซอร์รีบปรี่เข้าไปหาด้วยสีหน้าระรื่น

“หลวงพี่ น้องผมโดนหมากัดกางเกงขาด หลวงพี่พอจะมีผ้าให้มันเปลี่ยนไหมครับ”

ถามจริงพี่อาร์มมันเอาสมองส่วนไหนคิด ไอ้บ้า คนปกติที่ไหนขอยืมเสื้อผ้าพระ

“มีแต่จีวรนะโยม” นั่นไง พระท่านห่มจีวรโว้ย

แทนที่มันจะว่าอะไรต่อแต่เสือกทำหน้าครุ่นคิดอย่าบอกนะว่า… “งั้นผมขอยืมจีวร”

ไอ้สัดพี่อาร์ม ผมตบหน้าผากตัวเองอย่างขัดใจก่อนลุกขึ้นก้าวไปร่วมวงสนทนา

“พี่อาร์มมึงตั้งสติ กูเป็นคนธรรมดาห่มจีวรไม่ได้ ไอ้สัดนรกกินกบาล”

“ไม่ต้องห่วงหรอกโยม ถ้าโยมใช้ชีวิตในประเทศไทยได้โยมก็ใช้ชีวิตในนรกได้สบาย” หลวงพี่มีอารมณ์ขันว่ะ ผมชอบ

หลังจากยื่นหนังสือและคุยรายละเอียดกันคร่าวๆ หลวงพี่ก็เรียกเด็กวัดที่อายุ 18+ นามว่าไม้ (กันหมา) มาเป็นไกด์พิเศษของเรา

“ตัวนั้นชื่อโก๋พี่ ชื่อจริงจิ๊กโก๋ สงสัยอ่ะเด้ว่าทำไมมันได้ชื่อนี้” พวกเราพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงให้ไกด์ยืดอกภูมิใจ

“ไอ้โก๋เข้ามาเป็นสมาชิกของวัดเราเมื่อ 5 ปีก่อน เช้าวันศุกร์มั้ง ผมกำลังจะไปโรงเรียน เห็นแบบนี้ผมก็มีการศึกษานะพี่”

เรื่องของมึงเถอะ รีบเล่ามาซักที

“ผมโคตรเกลียดวิชาคณิตซึ่งเรียนคาบแรกวันศุกร์ ผมก็เลยจำได้ว่าผมเจอมันวันศุกร์ เช้าวันนั้นไอ้โก๋นอนจมกองเลือดอยู่หน้าศาลา เห็นตอนแรกคิดว่ามันตาย พอเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่ามันหายใจรวยริน ผมกะว่าจะปล่อยให้มันตายแล้วแต่หลวงพี่ดันมาเห็นเข้าพอดีก็เลยช่วยมันไว้”

“แล้วชื่อจิ๊กโก๋ล่ะ”

“เห็นรอยแผลเป็นที่กลางหลังมันมั้ย สภาพมันตอนนั้นโคตรบอบช้ำ โคตรอ่อนแอ ผมอยากให้มันเข้มแข็งก็เลยตั้งชื่อให้มันอย่างนั้น”

ถึงท่าทางของไม้ไกด์คนพิเศษของเราจะดูเหมือนพวกเด็กแว้นแต่จิตใจแม่งโคตรดี คนเรานี่ตัดสินกันแค่ภายนอกไม่ได้จริงๆ

ไม้แนะนำหมาแก๊งหน้าศาลาเสร็จก็พาเราไปที่หอระฆังซึ่งดูจากสภาพแล้วน่าจะเรียกว่าหอแมวมากกว่า

“ไอ้ตัวนั้นน่ะหัวหน้าเผ่า”

ไม้ชี้ไปยังแมวตัวเล็กร่างผอม ขี้ก้างจนนึกภาพไม่ออกว่ามันเป็นหัวหน้าเผ่าได้ยังไง

“เห็นผอมๆ ขี้ก้างอย่างนั้นมันโคตรแข็งแกร่งนะพี่”

“ยังไงวะ” พี่อาร์มถาม ขณะสายตาจับจ้องแมวหัวหน้าเผ่าอย่างสนอกสนใจ

“ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อนโน่นเลยพี่ เมื่อก่อนน่ะวัดเรามีแต่หมาจรจัดเว้ย แมวไม่ค่อยมีเพราะคนแถวนี้ไม่นิยมเลี้ยง วันนั้นผมก็เดินตามหลวงพ่อบิณฑบาตเหมือนทุกๆ วัน เดชะบุญครับ อยู่ๆ แมวดำตัวนี้ก็กระโดดลงบาตร ไอ้สัดข้าวในบาตรกินไม่ได้เลย ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปเว้ย หลวงพ่อก็เลยพากลับวัด พอมาดูสภาพมันชัดๆ แม่เจ้า เหมือนแมวเป็นโปลิโอครับ ผอมกะหร่อง มีรอดแผลน้ำร้อนลวกด้วย เห็นอย่างนั้นหลวงพ่อท่านก็ช่วยดูแลจนหายดี หวังว่าจะมีโยมใจดีซักคนรับไปเลี้ยง”

“เพราะมันเป็นแมวดำที่เขาเชื่อกันว่าเป็นโชคร้ายก็เลยไม่มีใครรับเลี้ยงแล้วกลายเป็นหัวหน้าเผ่าแมวหอระฆังใช่มั้ย”

“เป๊ะเวอร์ว่ะพี่อาร์ม”

“เรคคอร์ดเรื่องแมวดำไว้ กูว่าน่าสนใจดี”

ผมก็คิดอย่างพี่อาร์ม ก็แค่แมวมีสีดำทำไมต้องใส่ร้ายมันว่าเป็นตัวโชคร้ายด้วยก็ไม่รู้

เราออกจากหอระฆัง ระหว่างทางเจ้าเพื่อนสี่ขาก็เดินตามมาห่างๆ เป็นขบวน หากในจำนวนหมาทั้งหมดนั้นผมกลับสะดุดตาเจ้าหมาไทยสีน้ำตาลขนสั้นกุด หูตั้ง ถึงแม้มันจะดูสง่าแต่ท่าทางการนั่งทั้งสายตาที่เอาแต่จ้องมองไปข้างหน้าราวกับกำลังรอคอยกลับเศร้าสร้อย อาจเพราะจ้องมันนานไปหน่อย เจ้าหมาจึงหันมามอง ชั่วครู่แล้วเบือนหน้าหนี

มีปลอกคอด้วย

“ไม้ทำไมตัวนี้มีปลอกคอ”

“เจ้าของมันลืมเอาออกมั้งพี่ ที่ปลอกคอมีชื่อด้วยนะ นั่งอยู่อย่างนั้นมา 3 สัปดาห์แล้ว ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ แต่มันไม่ดุหรอก กลัวคนซะด้วยซ้ำ”

“แล้วมันชื่ออะไร”

“หินผาพี่ ชื่อเพราะกว่าผมอีก”

ไม่รู้ว่าผมอ่อนไหวไปเองหรือเปล่า แต่ยิ่งมองเจ้าหมาถูกทิ้ง หัวใจก็ยิ่งหดหู่ อยากทำให้มันคลายเศร้าแต่ไม่รู้วิธี

“หินผา” ผมเดินเข้าไปหามันแล้วเรียก เจ้าของชื่อเงยหน้ามองผม สายตามันอ่อนโยนเชื่อได้ว่าเป็นหมานิสัยดี ผมลองนั่งยองๆ ลงข้างมัน หากเจ้าหมากลับหมอบลง ดวงตาขอมันเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ไม่รู้ว่าปกติไหม แต่สำหรับคนไม่คุ้นเคยกับหมาอย่างผมคิดไปแล้วว่ามันร้องไห้

“ขอมือได้มั้ย” ลองแบมือไปตรงหน้า หินผาไม่ได้ให้มือทันที มันมองผมชั่งใจ เบือนหน้าหนี ผมเข้าใจนะ ผมมันแค่คนแปลกหน้า มันคงไม่กล้าไว้ใจ

“อย่าพยายามเลยพี่มันไม่สนใจใครหรอก แรกๆ ก็งี้แหละ ซักพักก็ดีขึ้น” ไม้ว่าอย่างปลงๆ คงคิดอย่างเดียวกับผม

สุนัขไม่เคยลืมเจ้าของ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน กี่ร้อนกี่หนาวก็ไม่เคยลืม

ถึงจะเดินจากหินผามาไกลแล้วแต่ในใจของผมกลับยังคงเอาแต่ครุ่นคิดและกระวนกระวายใจเรื่องของมัน กระทั่งมาถึงสนามเด็กเล่น พระอาทิตย์คล้อยต่ำแล้ว บริเวณนี้จึงมีเด็กๆ และลูกหมาเล่นกันอยู่บ้างประปราย

“พวกมึงอย่าแกล้งหมา”

ปากก็ตะโกนมือก็ตบเข้าที่หัวเด็กคนนึงฉาดใหญ่ เสียงดังผัวะคุ้นเคยให้นึกถึงพี่ไปป์ทคนที่ดูเหมือนจะชื่นชอบการตบหัวผมเป็นพิเศษ

“ไปเลยนะ” ชี้นิ้วไล่ “สนามเด็กเล่นก็มีเสือกชอบแกล้งหมาไอ้พวกเด็กเปรต”

ไม้บ่นพึมพำอยู่พักใหญ่ ขณะที่พวกเราต่างก็ทำหน้าที่ของตน พี่ตองจดข้อมูล พี่เอสถ่ายภาพ พี่อาร์มนั่งเล่นกับหมา เห็นอย่างนั้นผมก็เลยทำบ้าง

“แล้วแม่หมาล่ะไม้” ดูจากขนาดตัวแล้วน่าจะยังอายุไม่ถึงเดือน

“แม่มันถูกรถชนตายน่ะพี่” เศร้าไปอีก “คงเป็นพวกที่เอาหมามาปล่อยแล้วรีบหนี บาปซ้ำซ้อนนะคนพวกนี้”

“แล้วไม่มีคนรับไปเลี้ยง”

“ใครเขาอยากเลี้ยงหมาวัด”

“มันน่ารักดีออก” ก็จริงอย่างพี่อาร์มว่า เจ้าลูกหมาคลอเคลียที่ขาพวกเราไม่ห่างเลย น่าเอ็นดูจนต้องหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป

ผมไล่ถ่ายรูปลูกหมาทีละตัว แต่ไม่ง่ายเลย พวกมันซน หยอกเล่นนัวเนียกันตลอด

“ถ่ายรูปไปทำไมเยอะแยะวะเซ”

“อวดพี่ไปป์ครับ” ตอบแล้วก็ส่งรูปเจ้าลูกหมาสีขาวหูดำหน้าตาแบ๊วๆ ให้พี่ไปป์ผ่านไลน์พร้อมแนบข้อความ ‘น่ารักมั้ยครับ’

“ถามจริงๆ นะเซอย่าหาว่าพี่เสือก กับพี่ไปป์นี่เป็นอะไรกันวะ”

ผมเลิกคิ้วสูง ไม่ค่อยมีใครถามเรื่องความสัมพันธ์นี้ ถึงแม้ระหว่างเราจะไม่มีอะไรซับซ้อนแต่ผมก็ไม่คิดจะตอบทันที เว้นจังหวะไว้ให้คนถามคิดลึกนิดหน่อยแล้วค่อยตอบ

“พี่เลี้ยงกับเด็กฝึกงานไงพี่”

“เมื่อวันก่อนพี่เข้าไปที่ช่อง ได้ยินเขาลือว่ามึงกับพี่ไปป์อยู่ด้วยกัน” ไม่เคยรู้ว่ามีข่าวลือแบบนี้ด้วย ผมแม่งไม่ทันเหตุบ้านการเมืองเลยว่ะ

“พี่ไปป์ใจดีครับ เห็นผมไม่มีที่อยู่ก็เลยให้ที่ซุกหัวนอน”

“รวยล้นฟ้าอย่างมึงนี่นะไม่มีที่ซุกหัวนอน ตลกแล้วไอ้เซ”

“พ่อผมมั้ยที่รวย”

“เงินพ่อก็เหมือนเงินลูกป่ะวะ ตอบกูตรงๆ เลยดีกว่า มึงจีบพี่ไปป์เหรอวะ”

“จีบยาก”

“พี่ไปป์เป็นคนรักสัตว์” อยากให้รักเซด้วยเหมือนกัน “อย่างรายการนี้ เราสู้ด้วยกันมาหลายปี ประชุมกันมาเป็นสิบเป็นร้อยรอบ แต่พี่ไปป์แม่งก็ไม่ทิ้งเรา กูโคตรเคารพพี่ไปป์เลยจริงๆ”

“ไม่น่าเชื่อว่าพวกพี่ทำงานด้วยกันมานาน” ดูจากท่าทางเกร็งๆ ในห้องประชุมแล้วดูยังไงก็ไม่เหมือนคนคุ้นเคย

“ทำไมวะ”

“พี่อาร์มดูกลัวพี่ไปป์”

“มึงไม่รู้เหรอว่าพี่ไปป์โหมดพี่ปกรณ์โหดสัดแค่ไหน” รู้ดีเลยครับ ตบทีขี้หูไหล

“แล้วทำไมพวกพี่สนิทกัน”

“ทำชมรมด้วยกัน” ลูกหมาสีขาว มีแต้มสีดำเหมือนตาที่สามเดินมาคลอเคลียผมจึงอุ้มมันขึ้นมา

“ไม่น่าเชื่อ”

“เห็นอย่างนั้นเป็นประธานชมรม 4 ปีซ้อนนะครับ”

“แล้วตอนนี้ล่ะยังทำกันอยู่มั้ยครับ” พอถูกผมลูบหัวเจ้าหมาน้อยก็ทำหน้าเคลิ้ม น่าฟัดฉิบหาย

“ให้รุ่นน้องทำสิวะ มีเพจด้วยนะเผื่อมึงอยากช่วยสนับสนุน” พี่อาร์มแบมือมาผมจึงส่งมือถือให้ กดยุกยิกอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่งคืน

“งี้พี่อาร์มมีเฟซพี่ไปป์อะดิ ขอได้ป่ะ”

“ถ้ามึงฉลาดกว่านี้ ชีวิตมึงคงเพอร์เฟ็คมาก” ว่าอย่างนั้นแล้วก็เดินหนีไปเฉย อะไรของพี่มัน ผมแค่มองตามไม่ได้ละความสนใจเจ้าลูกหมาที่เดินวนอยู่ใกล้ๆ วางตัวที่อยู่ในมือลงแล้วถ่ายรูปตัวอื่นๆ จนเมมโมรี่แทบเต็ม ที่จริงผมก็มีกล้องคอมแพ็คนะ แต่แบบว่าฝีมือถ่ายรูปอย่างกาก กล้องราคาเป็นแสนเป็นล้านก็ไม่ช่วยอะไร

กว่าไม้จะพาเราทัวร์ชุมชนหมาจรจัดจนทั่วพระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำแล้ว ท้องฟ้าถูกฉาบด้วยสีส้มแดง ผมไม่ค่อยชอบท้องฟ้าสีนี้เท่าไหร่ ไม่รู้สิ ผมอาจจะคิดไปเองว่ามันดูเหงา

เมื่อนึกถึงความเหงาก็ต้องหันไปมองเจ้าหินผาที่ยังนั่งนิ่งรอคอยเจ้าของมันอยู่ที่เดิม ดวงตาเศร้าสร้อยมองตามรถทุกคันที่วิ่งผ่าน ยิ่งเห็นอย่างนั้นความเศร้าก็ยิ่งประเดประดังเข้ามาให้รู้สึกหนักอึ้งไปทั้งช่องท้องและหัวใจ

หินผาแกจะรู้รึเปล่าว่าเขาไม่กลับมาแล้ว คนที่แกรักสุดชีวิตเขาทิ้งแกไปแล้ว







รถแวนคันเดิมวิ่งด้วยความเร็วปกติบนถนนมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ

“ยังไงอะพี่อาร์ม เฟซพี่ไปป์เนี่ยไม่ให้ผมจริงเหรอ” คนที่ก้มหน้าอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง รับมือถือจากผมไปกดพลางบ่น

“ทำไมมึงโง่จังวะเซ” อ้าว อยู่ๆ ก็ชมกันว่าโง่ ไอ้เซไม่ได้โง่แค่ฉลาดบางเรื่องเท่านั้น

“ไหนอะพี่” รับมือถือกลับมาดูก็พบว่ามันเปิดค้างไว้ที่หน้าเพจเพจนึงไม่ใช่หน้าเฟซพี่ไปป์ซักหน่อย

“หาเอาเองในนั้นแหละ”

โห ตัวเองมีอยู่แล้วแค่เสิร์ชชื่อให้ก็จบมั้ย ง่ายๆ แค่นี้เอง ก็ได้แต่คิดแหละครับในเมื่อนิ้วก็เริ่มเลื่อนดู
ต้องย้อนกลับไปไกลแค่ไหนถึงจะเจอ

กระทั่งกลับมานั่งจ๋องอยู่หน้าทีวีในห้องพี่ไปป์ก็ยังคงไม่ละความพยายามจากการค้นหาเฟซพี่เจ้าห้อง ขอเจ้าตัวเขาเลยไม่ง่ายกว่าเหรอวะ

“พี่ไปป์”

“อะไร” ทีวีถูกเปลี่ยนช่องไปตามความต้องการของเจ้าของ

“ขอเฟซบุ๊กหน่อยสิ”

“เอาไปทำไม”

“จะได้เป็นเพื่อนกันไง”

“ไม่อยากเป็น” ตัดบัวไม่เหลือใยเลย คนน่ารักมักใจร้าย

แต่ผมก็ไม่คิดละความพยายาม เคยได้ยินใช่มั้ย คติประจำใจของคนทุกยุคทุกสมัยที่ว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ น่ะ ตอนนี้ไอ้เซก็ถือคตินี้แหละ

“ไม่อยากให้แอดเฟรนด์งั้นเซแอดเป็นแฟนดีมั้ยครับ”

“มุกเหรอต้องขำป่ะ หึ” พี่ไปป์ไหวไหล่หัวเราะอย่างเสแสร้งก็น่ารักดีนะผมว่า

“พี่ไปป์จะไม่ให้จริงๆ เหรอ พี่ไปป์คร้าบ” มองตาผมสิ นี่เซกำลังอ้อนอยู่นะ รับรองถ้ามองแล้วต้องแพ้ลูกอ้อนไอ้เซแน่นอน แต่พี่ไปป์ก็ไม่ยอมมอง โด่ กลัวจะตกหลุมรักผมก็บอก ป๊อดว่ะ

ค่อนขอดพี่เขาในใจและก็ได้แต่ก้มหน้าไถไทม์ไลน์ต่อไป ก็แหม อาศัยเขาอยู่ใครจะกล้าหือกล้าอือล่ะครับ

“พี่อาร์มบอกว่าพี่ไปป์เคยทำชมรมช่วยเหลือหมาแมวจรจัดเหรอครับ”

“อือ ทำไม”

“แล้วทำไมไม่ทำต่อล่ะครับ”

“แล้วใครบอกว่าผมเลิกทำแล้ว”

“อ้าว ยังทำอยู่เหรอครับ” ผมเงยหน้าละสายตาจากหน้าจอมือถือมองเสี้ยวหน้าพี่ไปป์ที่ยังคงจดจ่ออยู่กับสารคดีสัตว์โลกในป่าอเมซอน

“ก็ทำเรื่อยๆ อาจไม่จริงจังเท่าเมื่อก่อนแต่ก็ยังไม่ได้เลิก”

“วันนี้เซรู้สึกไม่ค่อยดีเลย”

“เพราะไปเจอหมาจรจัดน่ะเหรอ”

“อือ” ผมพยักหน้าหนักๆ พี่ไปป์หันมา มองผมครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ เสียงบทบรรยายภาษาอังกฤษยังคงดังคลอให้ห้องไม่เงียบจนเกิดไป

“ตอนแรกก็อย่างนี้แหละ แต่อีกเดี๋ยวก็ชิน”

“เหมือนอย่างที่สังคมชาชินกับการที่หมาแมวพวกนั้นถูกเอามาทิ้งน่ะเหรอครับ”

“เราก็ทำเท่าที่เราทำได้นะเซ เราบังคับคนอื่นให้ทำอย่างที่เราต้องการไม่ได้หรอก บางทีการตัดสินใจทิ้งอะไรบางอย่างมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก”

“เซไม่เข้าใจว่ะ ถ้าไม่

“ไม่มีใครรู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง วันนี้รัก พรุ่งนี้อาจจะไม่รักแล้วก็ได้ วันนี้เลี้ยงได้ พรุ่งอาจจะเลี้ยงไม่ได้แล้ว การทิ้งอะไรซักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์หรือว่าสิ่งของ มันไม่ง่ายเลยนะ คุณไม่เคยทิ้งอะไรด้วยความรู้สึกลำบากใจเลยเหรอ”

“ทำไมพี่ไปป์พูดเหมือนเข้าข้างคนที่ทิ้งหมาแมวพวกนั้น”

“ผมไม่ได้เข้าข้างใคร ถ้าคุณทำความเข้าใจคุณก็จะเข้าใจ ทุกคนล้วนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ทิ้ง เราทำแบบนั้นง่ายๆ ไม่ได้เซ”

นัยน์ตาพี่ไปป์วูบไหวแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้ เจ้าตัวเงียบไปครู่ใหญ่ สีหน้าเหมือนกำลังชั่งใจกับเรื่องบางอย่างก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นไหวต่างจากพี่ปกรณ์ที่ผมเคยรู้จัก

“ตอนผมอายุ 10 ขวบได้มั้ง อยู่ๆ แม่ที่รักหมามากก็เกิดเป็นโรคแพ้ขนสัตว์ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ”

ผมขยับตัวเพื่อมองพี่ไปป์เต็มตา

“โรคนั้นทำให้เราไม่สามารถเลี้ยงหมาได้อีก เอาไปฝากญาติเลี้ยงก็ไม่มีใครสะดวก สุดท้ายก็ต้องพาไปปล่อยวัด ตอนนั้นผมโกรธแม่มาก หนีไปอยู่วัดกับหมาตั้งหลายวัน สิ่งที่ผมทำทำให้แม่ที่เสียใจเรื่องหมาอยู่แล้วเสียใจมากเข้าไปอีก ตอนนั้นเองที่ผมรู้ว่าการจะทิ้งอะไรซักอย่างทั้งที่เรารักมันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก มันไม่ง่ายเลยจริงๆ”

“แล้วหมา...”

“ผมพยายามไปเยี่ยมมันทุกวัน แต่ช่วงปิดเทอมมีเรื่องจำเป็นที่ผมต้องไปบ้านญาติหลายวัน พอกลับมาก็พบว่ามันตายแล้ว มันตายเพราะตรอมใจ มันตายเพราะคิดถึงผมมากเกินไป”

เสียงพี่ไปป์สั่นเครือเหมือนคนร้องไห้ที่พยายามบังคับให้น้ำเสียงอยู่ในโทนปกติ น้ำตาหยดลงบนแก้มเม็ดหนึ่ง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ยื่นมือไปเช็ดคนข้างกายก็ผุดลุกขึ้นแล้วหันหลังให้กันซะก่อน

“ไม่ใช่แค่คนถูกทิ้งที่เจ็บปวด คนทิ้งก็เจ็บไม่ต่างกันหรอก แต่หมาพวกนั้นอาจจะเจ็บกว่าหน่อยเพราะมันมอบทั้งชีวิตและหัวใจให้เจ้าของมัน เพราะอย่างนั้นเราถึงต้องช่วยให้มันมีชีวิตที่ไม่อดอยาก ช่วยให้มันอิ่มท้องเพื่อไม่ให้มันทรมานทั้งร่างกายและหัวใจ เราทำได้แค่นั้นแหละเซ”

ประตูห้องพี่ไปป์ปิดลงแล้ว ผมคิดว่าเขาคงกำลังร้องไห้ คนเรามักจะเซ็นซิทิฟเรื่องสัตว์เลี้ยงเสมอ อย่างเช่นตอนดูหนัง ใครจะตายก็ได้กูไม่ร้องไห้หรอกแต่พอหมาตายน้ำตาก็ดันไหลพรากลงมาซะอย่างนั้น

พี่ไปป์เองก็คงจะเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้ไม่น้อยเลย







เช้าวันอาทิตย์ที่ไม่มีกลิ่นกาแฟและเสียงความเคลื่อนไหวในครัวทำให้หลับยาวจนถึงเที่ยง

ลืมตาขึ้นมา มองไปที่ประตูห้องพี่ไปป์เป็นอย่างแรกก็พบว่ายังคงปิดเงียบ


ยังร้องไห้อยู่รึเปล่าวะ
ผมคว้ามือถือที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกขึ้นมากด เลือกรูปเจ้าหมาน้อยที่ดูตลกๆ ส่งให้เขาหนึ่งรูป พร้อมข้อความ ‘ผมน่ารักไหมครับพี่ไปป์’

มองหน้าจออย่างใจจดจ่อรอคอยให้อีกฝ่ายอ่านแล้วตอบให้สบายใจสักนิด

ที่จริงเรื่องเมื่อคืนผมนี่แหละที่ผิดเต็มๆ ถ้าไม่เปิดบทสนทนาเรื่องหมาจรจัดพี่ไปป์ก็คงไม่รู้สึกแย่ถึงขั้นร้องไห้

พี่ไปป์อ่านแล้วแต่ไม่ตอบ ผมจึงส่งรูปเจ้าหมาน้อยอีกตัวไป

‘แล้วผมล่ะน่ารักรึเปล่า’

เช่นเคย พี่ไปป์อ่านแล้วแต่ไม่ยอมตอบกัน แต่คนอย่างไอ้เซไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกส่งไปอีกรูปให้รู้กันไปว่าจะไม่ยอมตอบจริงๆ

‘พี่ไปป์ตอบหน่อย ผมน่ารักป่าว’

อะไรวะ ใจแข็งเป็นบ้าเลย ถามถึงหมาไม่ยอมตอบงั้นส่งรูปคนหล่อไปดีกว่ามั้ย

ผมเซลฟี่ตัวเองทั้งสภาพเพิ่งตื่น หัวยุ่งวุ่นวายก่อนส่งให้พี่ไปป์อย่างไม่ลังเล เอาจริงๆ สภาพไม่ค่อยดีหรอก ห่างคำว่าหล่ออยู่หลายขุม แต่ผมว่ามันตลกดีนะและหวังว่ารูปนั้นจะทำให้พี่เจ้าของห้องอารมณ์ดีขึ้นบ้าง

พี่ไปป์อ่าน

‘นี่ก็หมาเหรอ’

‘โห พี่ไปป์ นี่เซไง หล่อป่ะ’

‘สภาพเหมือนหมาจรจัด’

‘รับเลี้ยงไหมครับ เลี้ยงง่าย กินง่าย ขี้อ้อน น่ารักมากด้วยนะ’

‘หลงตัวเอง’

เงยหน้าจากหน้าจอมือถือก็พบพี่ไปป์ยืนกดเจ้าเครื่องมือสื่อสารพิงกรอบประตูห้องตัวเอง สีหน้าปราศจากความรู้สึกอย่างเช่นปกติ

“พี่ไปป์เซหิวแล้วอะ”

“บอกแล้วว่าคุณเหมือนหมาจริงๆ” ยอมเป็นหมาก็ได้ครับถ้าพี่ไปป์รับเลี้ยง







เราประชุมกันอีกครั้งในเช้าวันจันทร์ลากยาวถึงช่วงดึก ถ้าเทียบกับคิวออนแอร์ในอีกไม่ถึง 1 เดือน เราดำเนินงานกันช้ามาก และยิ่งเป็นรายการเกี่ยวกับสัตว์ที่ควบคุมแทบไม่ได้ด้วยแล้ว งานนี้ถือว่าเสี่ยงสุดๆ เลย
“ร่างพังแล้วครับพี่ไปป์” ผมทิ้งตัวลงบนโซฟาทันทีเมื่อกลับมาถึงห้อง

ตั้งแต่ย้ายมานอนห้องพี่ไปป์จริงจัง โซฟาซึ่งเป็นที่พักพิงทำผมเมื่อยขบไปทั้งตัว และยิ่งวันนี้ที่ต้องนั่งประชุมทั้งวันร่างกายก็ยิ่งใกล้คำว่าพังเข้าไปอีก

“นี่ยังถือว่าเด็กๆ นะ ทนหน่อย อนาคตคุณต้องนั่งประชุมนานกว่านี้”

“พี่ไปป์เคยประชุมนานสุดกี่ชั่วโมง”

“เกือบ 2 วัน”

“ประชุมเรื่องอะไร โคตรนาน”

“ตอนเลือกทางเดินชีวิตน่ะ ไปอาบน้ำ เข้านอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า” ไม่เปิดโอกาสให้ไอ้เซซักต่อเลย

“ไม่อาบได้มั้ย”

“สกปรก”

โอเค อาบก็ได้ ทำไมต้องดุด้วยอะ ไอ้เซไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับ







หลังจากวันจันทร์ผมก็ไม่ได้กลับมานอนห้องพี่ไปป์อีกเลย ใช้เวลากินนอนอยู่ออฟฟิศพี่อาร์ม 4 วันเต็มเพื่อเตรียมถ่ายรายการวันเสาร์ที่จะถึงนี้

ตลอดเวลาที่ดูสคริปต์ เตรียมความพร้อมต่างๆ ผมก็คิดนะว่างานเหี้ยอะไรจะด่วนขนาดนี้ หนักกว่าธีสิสไอ้เซอีก หน้าเหียกหมดหล่อแล้วเนี่ย คิดถึงพี่ไปป์ด้วย อยู่ห้องคนเดียวต้องเหงาแน่เลย

“พี่อาร์มเดี๋ยวผมกลับไปเอาของที่ห้องพี่ไปป์นะเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่”

“มึงตื่นทันเหรอ นัดกองตี 5 นะครับน้องไม่ใช่เที่ยง”

“รู้น่า มาทันแน่นอน”

“ถ้ามึงมาไม่ทันกูฟ้องพี่ปกรณ์”

ถึงพี่มันไม่ฟ้องคุณปกรณ์ก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับไอ้เซอย่างกับติดจีพีเอสกับกล้องติดตามตัวเอาไว้อยู่แล้วโว้ย

ผมไม่ได้ต่อคำกับพี่อาร์ม ส่งข้อความบอกพี่ไปป์ว่าขอกลับไปกินข้าวเย็นด้วยแล้วก็คว้ากระเป๋าโบกแท็กซี่ออกมาเลย ตอนนี้ไอ้เซมีเงินแล้ว ไม่ต้องพึ่งรถเมล์ฟรีนานๆ มาทีแล้วนะครับผม

นี่สินะที่เขาว่าไม่เห็นหน้าเห็นหลังคาบ้านก็ยังดี แต่ในกรณีของผม พี่ไปป์อยู่คอนโดไง เห็นแค่ประตูทางเข้าไอ้เซก็อยากจะวาร์ปขึ้นไปหาแล้ว

‘อยู่หน้าคอนโดครับ’ ถ่ายรูปแนบข้อความยืนยันว่าผมมาถึงแล้วจริงๆ

‘เดี๋ยวลงไปรับ’

‘เซหิว’

‘นี่ไม่ใช่โรงทานนะครับน้อง’

ส่งสติกเกอร์อ้อนเขาไปตัวนึงก่อนจะเดินเข้าไปนั่งรอข้างใน ไม่นานพี่ไปป์ก็ออกจากลิฟต์มา แต่งตัวสบายๆ คีบรองเท้าแตะทั้งที่น่าจะเพิ่งเลิกงาน

เขายิ้มนิดๆ เมื่อหันมาสบตากัน สงสัยคงจะคิดถึงผม เห็นหน้ากันแล้วเบิกบานเชียว

“ไปกินข้าวข้างนอกกัน” เพิ่งสังเกตตอนนี้ว่าในมือพี่ไปป์มีโบชัวร์ร้านอาหารอยู่

“บุพเฟต์อีกเหรอครับ”

“ทำไม ไม่อยากกินเหรอ”

“ที่ยิ้มเมื่อกี้ไม่ใช่เพราะเจอเซแต่เพราะเจอคนแกะกุ้งใช่มั้ย”

“ก็แกะให้หน่อยแลกกับที่ซุกหัวนอนอะ ไม่ได้เหรอ”

“ลองอ้อนสิ เผื่อเซใจอ่อน”

“ฝันกลางวันเถอะน้อง”

เด็ดเดี่ยวใจแข็งขนาดนี้เมื่อไหร่ภารกิจพิชิตใจพี่ปกรณ์จะคอมพลีทวะ





[T B C]

ตอนนี้พี่ไปป์น่ารักขึ้นแล้วนะ ถึงจะนิดหน่อยก็เถอะ
เขาเซนซิทีฟเรื่องหมามาก เราเองก็เช่นกัน เหมือนที่เซว่า ดูหนังหรือละครใครตายก็ช่างแต่ถ้าหมาตายนี่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร 
เอาไว้เจอกันตอนหน้าเนอะ
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่า
 :mew1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 06 15-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 16-05-2017 09:03:35
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 06 15-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-05-2017 09:57:02
 :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 07 25-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 25-05-2017 20:16:44
พี่ครับ 07


เรานัดรวมพลที่สตูดิโอในเช้าวันเสาร์ตอนตี 5 ผมที่ลากสังขารมานอนมองประตูห้องนอนพี่ไปป์ถูกปลุกตอนตี 3 ครึ่ง

ให้ตายเถอะพี่ไปป์ เพิ่งได้นอนไปตอนเที่ยงคืนเอง

“ไหวป่ะเนี่ย”

“ง่วงมากอะ พี่ไปป์คาดเบลท์ให้เซหน่อย” ผมเอียงคอซบเบาะ มองคนข้างกายตาเป็นประกาย อ้อนสุดฤทธิ์

“เป็นง่อยเหรอ” เวลาไม่ทำให้พี่ไปป์อ่อนโยนขึ้นแต่อย่างใด

“ถ้าไม่รัดเข็มขัดโดนปรับไม่รู้ด้วยนะ”

เมื่อคืนกว่าไฟในห้องนอนพี่เจ้าของห้องจะดับลงก็เกือบเที่ยงคืนเหมือนกัน สงสัยว่าทำไมสีหน้ายังดูสดใสอยู่

“เซไม่เข้าใจอะพี่ไปป์”

“เรื่องอะไร”

“ก็เรื่องรายการเนี่ย ทำไมถึงรีบออกอากาศจังทั้งที่เราเพิ่งเริ่มทำเอง” มันกระชั้นชิดมากๆ อย่างที่อดสงสัยไม่ได้เลย

“อาร์มไม่ได้บอกเหรอว่าเราทำโปรเจ็คนี้กันมานานแล้ว”

“ผ่านเพราะเซเหรอครับ” จากคำพูดนั้นทำให้อดคิดอย่างนี้ไม่ได้จริงๆ

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้แหละ”

“สงสัยอะ เซดูเก่งและสำคัญเกินไป”

“ด้วยฐานะของคุณก็สำคัญแหละ” น้ำเสียงพี่ไปป์ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดแต่หัวใจคนฟังอย่างผมกลับบีบแน่นจนอึดอัด

“พี่ไปป์...”

“คิดว่าผมโง่ คิดว่าผมไม่รู้อะไรเลยเหรอ สิทธา ผมเป็นพี่เลี้ยงคุณนะ” เขามองผมด้วยสายตาที่ต่างออกไป น้ำเสียงสั่นนิดๆ ติดขำ

“พี่ไปป์ไม่เคยพูด แถมยังทำเหมือนไม่รู้ด้วยนี่นา” เพราะเป็นแบบนั้นมาตลอดผมจึงไม่กล้าฟันธงว่าที่จริงแล้วเขารู้เรื่องผมมากน้อยแค่ไหน

“ไม่พูด ไม่แสดงออก ไม่ได้แปลว่าไม่รู้เสมอไป คนฉลาดจะรู้ว่าเวลาไหนควรพูดไม่ควรพูด คุณเองก็ควรจะเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน” เหมือนถูกด่าว่าโง่เลยว่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก พี่ไปป์ว่าไงก็ว่าตามกัน

“พี่ไปป์สอนเซบ้างสิ”

“สอนไปก็ไม่จำหรอก อย่างเรื่องรายงานน่ะ เสียแรงเปล่าๆ” เอาทุกดอกจริงๆ นะคนเรา ถ้าคำพูดพี่ไปป์เป็นลูกธนูป่านนี้ร่างผมพรุนไปหมดแล้ว

ผมคาดเบลท์เสร็จพี่ไปป์จึงออกรถ  ที่จริงเขาจะไม่มาส่งก็ได้แต่พี่ไปป์น่ะใจดีอย่าบอกใคร ใจดีจนผมอยากเก็บเอาไว้คนเดียว

“เซสงสัย”

“สงสัยก็ถามจะได้รู้” สายตาเจ้าของรถยังคงจับจ้องที่ถนนข้างหน้า

“ทั้งที่พี่ไปป์รู้ว่าเซเป็นใคร รู้ด้วยใช่มั้ยล่ะว่าเซมีปัญหากับพ่อ ทำไมถึงยังช่วย ทำไมไม่ไล่กลับบ้าน”

“ต้องการอย่างนั้นเหรอ ไล่ตอนนี้เลยก็ได้นะ”

“ไม่เอาดิ พี่ไปป์ เซสงสัยจริงๆ ตอบหน่อยไม่กวน” พี่ไปป์ยิ้มที่มุมปากตอนที่เหลือบมองผม

พี่คนนี้น่ะ ยิ้มทีโลกของไอ้เซสดใสเลย

“แม่คุณบอกกับผมว่าคุณเป็นลูกชายคนเล็กที่รั้นมาก ผมก็เป็นลูกชายคนเล็กเหมือนกัน จะบอกว่าเข้าใจก็ใช่แหละ ที่จริงเราน่ะอยากจะกลับบ้านจะตายแต่ก็ฟอร์มจัดใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นสิ่งที่เราต้องการก็คือเวลา เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกโอเคเราก็จะกลับไปเอง คุณคิดอย่างนี้มั้ย” ที่จริงก็คิดนะ แอบสงสัยด้วยว่าตอนเด็กคนนิ่งๆ อย่างพี่ไปป์เนี่ยจะรั้นได้แค่ไหนกัน

“เล่าเรื่องพี่ไปป์ให้ฟังบ้างสิ”

“ทำไมต้องเล่า”

“อย่างฟัง”

“เหตุผลแค่เนี้ย”

“เซอยากรู้จักพี่ไปป์นะ อยากรู้ให้มากเท่าๆ กับพี่กริชเลย”

“ยากเลยนะนั่น ผมกับกริชเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว รวมๆ ก็ 10 กว่าปีแล้วมั้ง แต่กับคุณ เรารู้จักกันแค่ไม่กี่เดือนเอง ไม่มีทางที่คุณจะรู้จักผมได้มากเท่ากริชหรอก”

“ก็ค่อยๆ เรียนรู้ เริ่มจากวันนี้เลย ได้มั้ยครับ” อ้อนเขาด้วยเสียงหวานๆ หน่อยเผื่อคนกำลังอารมณ์ดีจะตอบตกลง

“ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องเรียนรู้กัน”

“พี่ไปป์อาจจะไม่มี แต่ไม่ใช่เซ เซไม่รู้นะว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่หลายวันมานี้ที่ต้องขลุกอยู่กับพวกพี่อาร์มแล้วไม่ได้เจอพี่ไปป์ เซคิดถึงมากเลยนะ อยากเจอมากด้วย เมื่อคืนถึงได้กลับมาไง”

“กำลังสารภาพรักเหรอ” น้ำเสียงไม่รู้สึกรู้สานั้นทำเอาผมใจแป้ว

“แล้วพี่ไปป์ว่าไง ถ้าเซสารภาพรักจริงๆ”

“ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณมากกว่ารุ่นน้องคนนึงหรอก และผมก็อยากให้คุณมองผมเป็นแค่รุ่นพี่คนนึงเหมือนกัน” คำพูดตรงๆ น้ำเสียงไร้ความรู้สึกและสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาทำเอาเจ็บไปสุดขั้วหัวใจ

“ทำไมอะ เซไม่ดีตรงไหน”

“ถ้าเราอยากได้แฟนเป็นคนดีเราคงคบกับพระกับแม่ชี นักบวช” ต้องขำป่ะ

“แล้วทำไมเป็นเซไม่ได้ล่ะ”

“ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้” หมายความว่าหลังจากนี้ก็ยังมีหวังใช่มั้ย

“แล้วเมื่อไหร่ เซรอได้มั้ยอ่ะ ถ้าพี่ไปป์เปิดใจนึกถึงเซคนแรกได้รึเปล่า”

เขาไม่ได้ตอบคำถาม แต่อย่างน้อยก็ไม่ปฏิเสธ ระหว่างทางเขาแนะนำเรื่องการเขาหาหินผา บอกให้ผมค่อยๆ พยายามแสดงความจริงใจ อาจจะยากหน่อยแต่ผมไม่ตัดใจง่ายๆ หรอก ตั้งแต่เจอหินผา ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่นึกถึงแววตาเศร้าสร้อยและท่าทางห่อเหี่ยวของมัน ถ้าผมสามารถทำให้มันกลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง ไม่อยากจะคิดเลยว่าวันนั้นผมจะมีความสุขมากแค่ไหน

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ผมไม่มั่นใจเลยว่าระหว่างพิชิตใจหมากับพิชิตใจพี่ไปป์นี่อันไหนจะสำเร็จก่อนกัน







เหลือเวลาอีก 2 สัปดาห์ก่อนส่งงาน

เราใช้เวลาตลอดหลายสัปดาห์ขลุกอยู่กับพวกหมาแมวจรจัดที่วัด ตัวเอกของเราในซีซั่นนี้คือเจ้าหมาน้อย 4 ตัวตรงสนามเด็กเล่น หวังว่าเมื่อรายการออนแอร์มันจะได้เจอกับเจ้าของที่รักและต้องการมันจริงๆ

การถ่ายทำเสร็จสิ้นลงแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนในห้องสตูดิโอที่ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ส่วนความสัมพันธ์ของผมกับหินผาอาจจะยังไม่สนิทแต่เจ้าหมาก็ไว้ใจผมมากแล้ว มันกระดิกหางและทำตาเป็นประกายเมื่อเจอกัน ถึงกระนั้นก็ยังคงนั่งรอคอยเจ้าของอยู่ที่เดิม

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นวะเซ” อาจเพราะผมนั่งมองเหล้าในแก้วอย่างเหม่อลอยนานไปหน่อย เจ้ามือของวันนี้อย่างพี่อาร์มจึงถามขึ้นมาพลางยกแก้มมาชน

ตอนนี้เราอยู่ในร้านเหล้าใกล้ๆ มหา’ลัย ที่เราชาวนิเทศชอบมานั่งทุกครั้งเวลาไม่รู้จะไปที่ไหน

อย่างที่บอกว่างานยังไม่เสร็จหรอก แต่พี่แกบอกว่าอยากให้เติมพลังกันก่อนกลับไปลุยงานต่อ

“ว่าไงมึง ไม่สนุกเหรอ”

“นึกถึงเจ้าหินผาน่ะพี่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นยังไง”

“คิดมากน่ามึง” พี่อาร์มตบไหลผมเบาๆ เพื่อปลอบโยน

“เป็นไปได้ไหมวะพี่ถ้าเราจะหาเจ้าของใหม่ให้มัน”

“หมาโตแล้วมันก็ยากหน่อยว่ะแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่อย่างหินผาคงยากว่ะมันไม่เอาใครเลย วันๆ นั่งรอแต่เจ้าของ”

“พี่แม่งไม่ให้กำลังใจเลยว่ะ”

“กูพูดความจริง ผิดตรงไหน” ไม่ผิดหรอกแต่ไม่ถูกใจ “มึงน่ะทำงานของตัวเองก่อนเถอะ เรื่องหมาพอรายการออนแอร์ สิ่งที่มึงคิดจะทำมันน่าจะง่ายขึ้น อย่าลืมสิว่าจุดประสงค์ของการทำรายการคืออะไร”

ลดการถูกทอดทิ้ง ลดความโดดเดี่ยว เติมเต็มความรักให้กับทั้งสัตว์และคน

“พี่ชวนพี่ไปป์ป่ะเนี่ย ป่านนี้แล้วยังมาไม่ถึงอีก” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้ตัวว่าบทสนทนาของผมทำให้งานเริ่มกร่อย

“เมื่อกี้กูโทรหาแล้ว บอกว่าเพิ่งประชุมเสร็จคงมาถึงดึกๆ”

“ผมโทรหาอีกดีมั้ยพี่”

“แล้วแต่มึงสิ ถ้าไม่กลัวโดนด่า” ไม่กลัวหรอก ไอ้เซชินแล้วจ้า

ผมวางแก้วในมือลงเพื่อโทรหาพี่ไปป์ รอสายอยู่นานจนสัญญาณตัดไป ผมโทรอีก 3-4 สายเขาก็ไม่รับจนถอดใจไปเอง บางทีพี่ไปป์อาจจะกำลังขับรถอยู่ล่ะมั้ง ขับไม่โทรอะไรแบบนี้

วงดนตรีวงที่ 2 เล่นไปแล้ว 3 เพลงบอกว่าเวลาล่วงเลยมาเกือบ 4 ทุ่มแต่พี่ไปป์ก็ยัง...

มาแล้ว

เจ้าของร่างโปร่งในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์พอดีตัวกำลังก้าวฉับมาทางนี้ ทรงผมพี่ไปป์ไม่ได้ถูกจัดแต่งเหมือนเวลาไปทำงาน ก็ขยำๆ ก่อนลงจากรถมาล่ะมั้ง เสื้อผ้านั่นก็ด้วยคงรื้อมาจากหลังรถ แต่พี่ไปป์ลุคนี้สะดุดตามากเลย

“ไงพี่ มาซะดึก”

“วันศุกร์รถติดฉิบหาย” เขาตอบพี่อาร์มแล้วนั่งลงข้างๆ กันเมื่อผมขยับเว้นที่ให้

“วงดนตรีวงที่ 2 แล้ว”

“เมาแล้วเหรอวะ เดี๋ยวไอ้กริชจะตามมา” วันนี้พี่ไปป์ดูชิวจนผิดหูผิดตา

“ไม่ได้เจอพี่กริชนานเลยว่ะ เป็นไงบ้างก็ไม่รู้”

“เพิ่งอกหัก ตอนนี้ติดแอพชื่ออะไรไม่รู้ที่หาคู่อะ”

“เล่นด้วยเหรอ ผมเคยเล่นนะพี่ แบบในรูปโปรไฟล์โคตรแจ่มพอเจอตัวจริงเท่านั้นแหละ แม่งเอ้ยหลอกลวง”

“แล้วมึงใช้รูปใครเป็นโปรไฟล์”

“ชีวอน ซุปเปอร์จูเนียร์”

“แม่ง 18 มงกุฏชัดๆ” สองพี่น้องหัวเราะร่วน ครั้งแรกเลยมั้งที่เห็นพี่ไปป์หัวเราะ ตอนยิ้มว่าน่ารักแล้วตอนหัวเราะโลกสดใสสุดๆ เลย

“เหมือนเดิมนะพี่” พี่อาร์มเริ่มตักน้ำแข็งใส่แก้ว

“เบาๆ นะเว้ย เอารถมา”

“พี่ไปป์ดื่มได้เท่าที่ต้องการเลยนะ เดี๋ยวเซขับรถให้”

“ไม่เป็นไร พี่คุณเลี้ยงนะสิทธา อาร์มน่ะไม่เลี้ยงใครง่ายๆ หรอก โอกาสมาก็ต้องคว้าไว้สิ” ผมไม่ได้ทำตามพี่ไปป์บอก ค่อยๆ จิบเหล้าในแก้ว ผมดื่มเหล้าไม่เก่ง มาร้านเหล้าทีไรต้องลำบากไอ้ยอดลากกลับทุกที และวันนี้ผมก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้พี่เลี้ยงของผมด้วย

สนทนาเฮฮากันอีกไม่นานพี่กริชก็มาร่วมวง สภาพเขาดีกว่าตอนเจอกันเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมาก สงสัยคงทำใจได้แล้ว

“แดกไม่รอสัด” มือแกร่งวางลงบนไหล่เพื่อนตัวเองแล้วแทรกตัวนั่งลงให้พี่ไปป์ขยับเข้ามาชิดผมจนไหล่ของเราเบียดกัน ผมอาศัยจังหวะนั้นสอดมือเข้าไปเกี่ยวเอวคนข้างๆ ไว้อย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ว่าอะไร

ดูจากท่าทางแล้วพี่ไปป์น่าจะคออ่อนพอตัวเลย ดื่มไปไม่เท่าไหร่แก้มแดงแล้ว

“เมาแล้วนะพี่ไปป์”

“ดื่มไปนิดเดียวเอง” พอผมกระซิบบอกก็ตวัดสายตามองแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาตอบใกล้ๆ จนได้กลิ่นแอลกอฮอล์จางๆ ในลมหายใจ

ตาหวานขนาดนี้ไม่เมาเลยเนอะ

“ทำไมมึงมาช้าจังวะกริช”

“สาวที่คุยในแอพอยู่แถวนี้ก็เลยแวะไปหา”

“ได้แล้วเหรอวะ”

“ได้ห่าไร แค่ไปทักทาย น่ารักดีแต่มีผัวแล้ว สัดหลอกลวง” คืนนี้เจอคนถูกแอพหาคู่หลอก 2 คนถ้วน

“พี่กริชอยากมีแฟนเหรอ ผมแนะนำให้เอาเปล่า ผมรู้จักผู้หญิงสวยๆ ดีๆ เยอะเลยนะ”

“ไอ้กริชมันชอบผู้หญิงคาวาอี้ อิคึๆ คิมูจี” อันนี้เพื่อนสนิทคนหาแฟนพูดแทรก ท่าทางตอนจีบปากจีบคอพูดโคตรน่ารัก

“ไม่ใช่แล้วสัดไปป์นั่นมันนางเอกเอวีมั้ย”

“อ้าวเหรอ ก็เวลากูโทรหามึงตอนกลางคืนทีไรกูก็ได้ยินเสียงนี้ทุกทีเลยอะ”

“สัดไปป์หุบปาก เหี้ย ภาพพจน์กู”

“พี่เปลี่ยวขนาดนั้นเลยเหรอวะ เฮ้อน่าสงสาร” พี่อาร์มทำเป็นถอนหายใจให้คนถูกล้อจิ๊ปากแสดงออกว่าไม่พอใจไม่จริงจังนัก

“เหี้ยอาร์มมึงก็โสด”

“ก็ผมทำงานป่ะวะพี่”

“กูก็ทำงาน”

“นี่ไงพวกมึง ให้น้องคนรวยเค้าช่วยหา หาเผื่อพี่คนนึงด้วยนะเซ” แทนตัวเองแบบนี้เมาแล้วล่ะพี่ไปป์

“ไม่หาให้พี่ไปป์หรอก”

“ใจร้ายสัด” เจ้าตัวว่าแล้วกระดกเหล้าเข้าปาก ไหน เมื่อกี้ใครบอกว่าจะดื่มเบาๆ นี่ 4 แก้วแล้วนะ มากกว่าผมที่มานั่งก่อนอีก คออ่อนอีก เมาแล้วอีกต่างหาก

แต่มากกว่านั้น พี่ไปป์โคตรน่ารักเลย

“หมาน้อยหน้ามึง...” ผมละสายตาจากคนที่กำลังกระดกเหล้าเอื้อกๆ เพื่อมองชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่เรียกผมอย่างเป็นเอกลักษณ์

“หน้าผมทำไมพี่”

“เก็บอาการหน่อย”

‘ก็เพื่อนพี่น่ารัก’ ผมขยับปากเป็นคำพูดไม่ออกเสียง พี่กริชก็เลยเบ้ปากใส่ แกคงหมั่นไส้แหละ แล้วแต่ เซไม่แคร์หรอก

พี่ไปป์ พี่กริช ทีมพี่อาร์ม ทุกคนสนิทกันมากจนอดสงสัยว่ารู้จักกันมานานแค่ไหนแล้ว

“พวกพี่สนิทกันจัง รู้จักกันมานานแล้วเหรอครับ”

“มากสิ พี่กริชเนี่ยสายรหัสกู พี่ไปป์เนี่ยพี่เทคพี่รหัสกู ไม่สนิทได้ไง”

“เดี๋ยวนะ พี่กริชกับพี่ไปป์เป็นรุ่นพี่ที่คณะเราเหรอพี่อาร์ม” ผมถามน้ำเสียงตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด

“นี่มึงไม่รู้เหรอ” อยู่ๆ ไอ้เซก็กลายเป็นคนโง่ รู้สึกเจ็บๆ คันๆ ที่หัวเหมือนเขาจะงอกออกมา

“ไม่เคยรู้เลย”

“ก็ไม่แปลกป่ะวะ ตอนที่หมาน้อยมันเข้าปี 1 พวกกูก็จบพอดี”

“ยังจำตอนที่บูมผิดได้อยู่เลย บูมง่ายๆ ยังทำไม่ได้ โคตรกาก” พี่ไปป์ตวัดสายตาปรือๆ เหมือนคนจะหลับแหล่ไม่หลับแหล่มองแล้วส่ายหน้าหน่าย

เอ้า! อันนี้ก็ความรู้ใหม่ ไม่เคยรู้เลยว่าครั้งหนึ่งมีโอกาสบูมบัณฑิตให้พี่ไปป์กับพี่กริชด้วย และถ้าพูดถึงเรื่องบูมล่ม นับครั้งไม่ถ้วนอะ ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องบูม ถนัดเรื่องหล่อไปวันๆ มากกว่า

“ไม่เห็นพี่ไปป์เคยเล่า”

“ต้องเล่าด้วยเหรอ ผมไม่ชอบเอาข้อด้อยของคนอื่นมาล้อมันเป็นการไม่ให้เกียรติคนอื่น อีกอย่าง...”

เสียงเพลงจากดนตรีวงที่ 3 ดังขึ้นคลอกับเสียงนักร้องที่มีเนื้อเสียงไพเราะจนต้องหยุดทุกคำพูดเพื่อหันไปมอง

พี่ไปป์ก็เองก็มองไปตรงนั้นเหมือนกัน อยู่ๆ ดวงตาปรือปรอยก็เบิกกว้างราวกับตกใจก่อนเขาจะผุดลุกขึ้น ล่ำลาคนอื่นๆ ก่อนก้าวนำไปก่อน หากเมื่อผมจะเดินตามก็ถูกพี่กริชรั้งเอาไว้ ฝากฝังเพื่อนอย่างรวดเร็วแล้วค่อยปล่อย อุตส่าห์รีบวิ่งเพราะกลัวจะตามไม่ทัน แต่เมื่อวิ่งออกมาถึงหน้าร้านก็เห็นเจ้าตัวยืนสูบบุหรี่อยู่ในโซนซึ่งไม่ห่างจากจุดที่ผมยืนมากนัก

นี่ก็ความรู้ใหม่ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ไปป์สูบบุหรี่ด้วย

“พี่ไปป์” ผมเดินเข้าไปใกล้ เจ้าตัวจึงขยับออกห่างคงกลัวว่ากลิ่นบุหรี่จะรบกวนผมล่ะมั้ง

“แป๊บนึง รอบุหรี่หมดก่อน” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนล้า

“สูบแล้วรู้สึกดีเหรอ”

“ก็นิดหน่อย” ตอบคำถามกันก็จริงแต่สายตากลับมองเข้าไปในความมืดตรงหน้าอย่างเลื่อนลอย

“ขอลองบ้างได้ป่ะ”

“อย่าเลย ไม่ดีหรอก”

“พี่ไปป์ยังสูบได้” ผมยื่นมือเข้าไป ดึงดันที่จะลองให้ได้

“แล้วคุณต้องทำตามผมด้วยเหรอ ไม่คุยแล้ว กลับเหอะ” บุหรี่ในมือถูกดับลงก่อนกุญแจรถจะถูกส่งมา “ไม่เมาใช่มั้ย”

“ลองดมดูก็ได้”

“คุณน่าจะเมาน้อยกว่าผม” อยากให้ลองดมจริงๆ แต่พี่ไปป์ไม่ยอมทำตามเลย

“พี่ไปป์เป็นอะไร อยู่ๆ ก็วิ่งออกมา” ผมถามเขาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน อยากรู้เรื่องเขาเพราะเป็นห่วง

“อยากกลับบ้านแล้ว” เขาบอกเสียงแผ่วเมื่อเดินนำมาหยุดที่รถยนต์ซึ่งผมคุ้นเคยดี และเมื่อเสียงปลดล็อคดังติ๊ดเจ้าตัวก็เปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งที่ฝั่งข้างคนขับ คาดเบลท์ หลับตาลงไม่เปิดโอกาสให้ผมถามอะไรอีกเลย

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความสงสัยในท่าทีแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับพี่ไปป์เมื่อครู่ก็ยังครุกรุ่นอยู่ในใจของผม ไม่มีทางที่มันจะจางหายไปหากไม่ได้คำตอบ บางทีพี่กริชอาจจะช่วยผมได้

เรามาถึงคอนโดตอนเกือบเที่ยงคืน

พี่ไปป์หลับลึกมากต้องปลุกอยู่นานทีเดียวกว่าจะปรือตาขึ้นมอง ปล่อยให้เขาเรียกสติตัวเองในความเงียบชั่วครู่แล้วผมจึงเดินอ้อมมาเปิดประตูให้

“ไหวมั้ยครับ ให้เซช่วยพยุงมั้ย” ผมถามเมื่อโน้มลำตัวเข้าไปช่วยปลดเบลท์ ปลายจมูกผมเฉียดแก้มพี่ไปป์นิดหนึ่ง นิ่งกันไปชั่วครู่ก่อนผมจะผละห่างด้วยกลัวว่าจะห้ามตัวเองไม่ได้

“ไม่ได้เมาซักหน่อย”

“เดินตรงๆ ให้เซดูหน่อยสิถ้างั้น”

“ทำไมต้องทำตาม”

“เมา” ผมย้ำ

“ไม่เมา” หันมาชี้หน้าผมก่อนหรี่ตาเล็งทางเดิน ก้าวขาซ้ายก่อนแล้วก้าวขาขวา เดินตรงนะแต่ก็แค่สองก้าวเท่านั้นแหละ หลังจากนั้นเป๋ไม่เป็นท่าจนต้องรีบรี่เข้าไปประครอง

ช้อนเอวได้ก็รีบถาม “ยังจะเถียงอยู่มั้ยว่าไม่เมา”

“ไม่เมา” เถียงเป็นเด็กเลย และเราก็เถียงกันอย่างนี้ตั้งแต่ลานจอดรถ ในลิฟต์จนถึงหน้าห้อง

ที่จริงผมจะแบกพี่ไปป์ขึ้นบ่าหรือให้เขาขี่หลังยังได้ แต่คนเมาไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย ขนาดแค่กอดเอวเจ้าตัวยังเทียวแกะออก กอดแล้วก็แกะอยู่อย่างนั้นกว่าจะมาถึงห้องก็เล่นเอาเหงื่อตกกันเลยทีเดียว

“เซขอเข้าห้องนอนได้มั้ย” โอกาสมาถึงแล้วต้องลองขอดูซักหน่อย

“ไม่”

“กลัวเซเหรอ”

“ทำไมต้องกลัว”

“นั่นสิ ถ้าไม่กลัวทำไมไม่กล้าให้เซเข้าห้องนอนล่ะ”

“ไม่ใช่ไม่กล้า” เถียงเก่งมากนะคนนี้

“งั้นเซไปส่งพี่ไปป์ที่เตียง” ไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต ผมที่ยังไม่ปล่อยเขาให้เป็นอิสระฉวยโอกาสพาคนเกือบจะสิ้นแรงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์เข้าไปข้างในห้องนอน แสงไฟจากข้างนอกส่องเข้ามาให้เห็นตำแหน่งของเตียงนอนขนาดควีนไซส์ ผมค่อยๆ วางพี่ไปป์ลง มองเตียงนอนแล้วก็ได้แต่คิดว่าถ้าได้นอนด้วยกันคงอุ่นดี

ผมไม่ใช่คนหื่นนะเว้ย นอนในที่นี้คือนอนจริง นอนหลับอ่ะ ไม่ได้หมายถึงเรื่องเซ็กส์ แต่ก็ไม่ปฏิเสธหรอกว่าแอบคิดอยู่นิดนึงเหมือนกัน







เพราะผ้าม่านในห้องพี่ไปป์เป็นสีดำสนิทเราจึงไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั้นสว่างหรือยัง

ถึงไม่รู้เวลาแต่ร่างกายที่ได้นอนเต็มอิ่มก็ตื่นขึ้นมา ผมลืมตา แอร์ในห้องลูบไล้ผิวกายให้ขนอ่อนรวมใจกันลุกขึ้น ผมไม่ได้สวมเสื้อผ้าจึงรู้สึกว่าอากาศหนาวผิดปกติ อืม ไม่ต้องคิดไปไกลหรอก ผมแค่ชอบนอนแก้ผ้าเท่านั้นเอง

พี่ไปป์ที่นอนอยู่ข้างกันยังคงหลับสนิท

ผมขยับตัวเท้าแขนจ้องใบหน้าไร้ความรู้สึกอยู่นาน ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ พองโตจนรู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง เผลอคิดไปว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากตื่นมาเจอเขาอย่างนี้ทุกเช้า

เนิ่นนานที่จ้องมองใบหน้าของพี่ไปป์อยู่อย่างนั้น ยามถอดหน้ากากคุณปกรณ์ออกนี่คนตรงหน้าผมก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มทั่วๆ ไปเลย

“ตื่นแล้วก็ควรจะลุกออกไปนะ” ริมฝีปากขยับเป็นคำพูดให้ผมสะดุ้งผงะถอยเกือบหลุดขอบเตียง เปลือกตาที่เคยหลับสนิทค่อยๆ ลืมขึ้น แม้เส้นผมจะยุ่งเหยิง สีหน้างัวเงียแต่พี่ไปป์ในสายตาผมก็ยังน่ารักมากอยู่ดี

ไม่รู้ตัวเลยว่าชอบเขามากถึงขั้นเพ้อตั้งแต่เมื่อไหร่

“เอ่อ เซเพิ่งตื่น”

“อือ กี่โมงแล้ว” เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยง

“สิบเอ็ดโมงครึ่ง”

“มิน่าล่ะ”

“อะไรครับ”

“หิว” ว่าแล้วก็ทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆ

“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย”

“ทำไม จะทำให้กินเหรอ อย่างคุณไม่น่าจะทำได้นะ”

“ดูถูกกันเกินไปมั้ยครับพี่ไปป์”

“แล้วทำอะไรได้บ้างล่ะ”

“เอ่อ...” ที่จริงก็ทำไม่ได้ซักอย่างอ่ะ บอกแล้วไงว่าผมน่ะเติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยนะครับ

“ทีหลังถ้าทำไม่ได้ก็แค่ยอมรับออกมาตรงๆ ไม่เห็นต้องอายเลย” แม้ยังงัวเงียแต่ก็มีอารมณ์สั่งสอนกัน วิญญาณพี่เลี้ยงในตัวพี่ไปป์โคตรแรง

“ทราบแล้วคร้าบ แต่ขอนอนต่ออีกหน่อยน้า”

“ไม่ได้ นี่มันเตียงนอนผม”

“ใช่ว่าไม่เคยนอนด้วยกัน”

“สิทธา!!!” น้ำเสียงพี่ไปป์เริ่มขุ่นแล้วถ้าไม่ลงจากเตียงตอนนี้รับรองอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าอารมณ์เสียแน่นอน

“พี่ไปป์รู้ตัวป่ะว่าเวลาเมาโคตรน่ารัก ต่างจากตอนนี้มากเลย” เก็บเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้บนพื้นขึ้นมากอดพลางว่า ในใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ นะ กลัวถูกพี่แกด่าไง

“ก็ไม่ได้อยากน่ารักนะ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้ว”

“ก็ไม่เลวนะครับแต่นานๆ ทำตัวน่ารักบ้างก็ดีเหมือนกัน”

“คุณเป็นใครมาสั่งให้ผมทำตัวน่ารักอย่างนั้นอย่างนี้”

“ตอนนี้อาจจะเป็นแค่รุ่นน้องแต่ในอนาคตอยากเป็นแฟนนะครับ”

อึ้งไปเลยเซ่ พูดไม่ออกเลย

จ้องตากันอยู่พักหนึ่งก่อนพี่ไปป์จะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมากด เขินก็บอกครับพี่ ริ้วสีระเรื่อบนใบหน้ามันบอกผมหมดแล้วว่าพี่ไปป์กำลังเขิน

อาการแบบนี้หมายความว่า...ผมยังมีหวังใช่มั้ยวะ







เราสั่งอาหารง่ายๆ จากร้านอาหารตามสั่งขึ้นมากินด้วยกันเป็นมื้อเที่ยง

แม้ระหว่างกินข้าวต่างคนก็ต่างก้มหน้าตั้งใจกินแต่แค่รู้ว่าตรงข้ามมีพี่ไปป์นั่งอยู่ก็สุขใจแล้ว

“พี่ไปป์ไม่เคยบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่คณะ”

“ใครๆ เค้าก็รู้หมดยกเว้นคุณ ไม่คิดว่าจะซื่อบื้อขนาดนี้” แม้สีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่น้ำเสียงโคตรเย้ยหยัน

“รู้สึกหลังเขามากอะ”

“ก็หลังเขาจริงๆ ไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้ว่าผมเป็นรุ่นพี่คุณ”

“โคตรเซอร์ไพร์สเลย”

“พนักงานที่พลัสแชนแนลส่วนมากก็จบจากที่เดียวกับเราทั้งนั้นแหละ เยอะสุดคงเป็นนิเทศ รองลงมาน่าจะบริหาร ศิลปกรรม มนุษย์ นิติ”

“พี่ไปป์เรียนจบแล้วทำงานที่นี่เลยเหรอ จบเกรดดีมากเลยใช่มั้ย” ต้องดีมากแน่ เผลอๆ อาจจะเกียรตินิยม

“เกียรตินิยมอันดับ 2 ทำงานที่นี่ปีนึงแล้วได้ทุนไปต่อโทที่ต่างประเทศ” นั่นไง พี่ไปป์คนเก่งที่แท้ทรู

“พี่ไปป์เก่งอ่ะ”

“ก็เก่งแต่ไม่ได้เก่งทุกเรื่องหรอก”

“มีเรื่องไหนบ้างที่ไม่เก่ง”

“ไม่รู้สิ แล้วคุณรู้รึเปล่า”

“เซว่าพี่ไปป์แสดงความรู้สึกไม่เก่ง จบนิเทศจริงป่ะเนี่ย”

“ไม่ได้เรียนเอกการแสดง ถึงแสดงอารมณ์ไม่เก่งก็ไม่แคร์อยู่แล้ว และที่ผมถามว่าคุณรู้รึเปล่าไม่ได้หมายถึงผมแต่หมายถึงว่าคุณรู้รึเปล่าว่าคุณไม่เก่งอะไร”

“หลายอย่างเลย เซอะ เรียนก็ไม่เก่ง เป็นลูกที่ไม่ค่อยได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่เป็น รวมๆ แล้วก็ไม่ค่อยมีอะไรดีเลยยกเว้นฐานะ” พูดแล้วก็นึกสมเพชตัวเองอยู่หน่อยๆ ถ้าหากไม่เกิดมารวยก็ไม่มีข้อดีอะไรเลยนะเนี่ย

“เรื่องฐานะนี่ไม่เถียงนะ น่าเศร้าเหมือนกันที่คุณไม่เก่งอะไรซักอย่างแต่รู้มั้ยสิทธา การที่เรารู้ว่าเราไม่เก่งอะไรเป็นใบเบิกทางให้เราได้พัฒนาตัวเองในเรื่องนั้นๆ ผมเชื่อนะว่าในอนาคตคุณต้องเป็นผู้บริหารที่เก่งมากแน่ๆ” ไม่แน่ใจว่าพี่ไปป์แค่ปลอบใจหรือคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ที่แน่ๆ คำพูดเหล่านั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับพลังวิเศษ

“พี่ไปป์เชื่ออย่างนั้นเหรอ มั่นใจในตัวเซขนาดนั้นเชียว”

“ก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่หรอก แต่เชื่อว่ากำลังใจเป็นพลังขับเคลื่อนที่ดี ผมแค่อยากให้กำลังใจคุณ”

“ในฐานะพี่เลี้ยงเหรอ”

“ก็ใช่ ในฐานะรุ่นพี่ด้วย”

“มากกว่ารุ่นพี่ที่คณะ มากกว่าพี่เลี้ยงไม่ได้เหรอ”

“อะไรล่ะ เพื่อนเหรอ ไม่คิดว่าตัวเองปีนเกรียวไปหน่อยเหรอสิทธา”

“เซรู้นะว่าพี่ไปป์รู้ไม่ต้องมาทำไก๋เลย”

“คุณไม่ได้ชอบผมหรอก คุณแค่เหงาก็เลยหวั่นไหวกับคนที่อยู่ใกล้ๆ หรืออาจจะเพราะผมดีกับคุณ ถ้าหากเป็นเพราะเหตุผลอย่างหลังผมก็อยากบอกให้คุณเข้าใจนะว่าผมไม่ได้ใจดีกับคุณเป็นพิเศษ มันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสิทธา” ตัดให้ขาดเลยชับๆๆ หัวใจไอ้เซเนี่ย ถูกปฏิเสธทีแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ

“พี่ไปป์เป็นคนตรงเนอะ พูดอะไรไม่รักษาน้ำใจเลย”

“นิสัยไม่ดีเลยเนอะ”

“นั่นสิ ทั้งที่พี่ไปป์โคตรจะไม่ถนอมน้ำใจกันแต่ไม่รู้ทำไมเซกลับยิ่งรู้สึกว่าอยากเข้าไปใกล้พี่อีก อยากรู้จักให้มากขึ้น พี่ไปป์โคตรน่าค้นหาเลยรู้ป่ะ”

“ค้นหาอะไร คนไม่ใช่กูเกิ้ล”

“เนี่ยตลกด้วย ไม่รู้เหรอว่าพี่แม่งโคตรน่ารักเลย”

พอถูกชมก็ทำเป็นไก๋ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเจ้าตัวเขารู้หรือไม่รู้กันแน่ว่าตัวเองน่ะ...โคตรน่ารัก





[T B C]

พี่ไปป์น่ารักขึ้นแล้ว นิดนึง
เจ้าไปป์ฉลาดขึ้นแล้ว นิดนึง
ฝากติดตามกันต่อไป นิดนึง

หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 07 25-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 25-05-2017 22:31:12
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 07 25-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: Tennyo_Y ที่ 25-05-2017 23:08:06
มิน่า ว่าละทำไมพี่ไปป์ยอมให้นอน ยอมช่วย รุ้จักมาก่อนี่เอง แต่เซเอ้ย สงสาร ฮ่า ๆ พี่ไปป์ถีบเซสักทีแทนเรหน่อยหมั่นไส้ค่ะ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 07 25-05-17}
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 26-05-2017 11:47:32
 :hao3: รุกแล้วรุกอีกพี่ไปป์จะใจอ่อนให้น้องจีบจริงจังยัง
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 08 05-06-17}
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 05-06-2017 20:05:00
พี่ครับ 08


พี่ไปป์หายเข้าห้องหลังไปจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทั้งที่เจ้าตัวยังกินข้าวไม่อิ่มดีด้วยซ้ำ

เสียงทีวีกลางห้องยังคงเป็นเสียงเดียวที่ยังดังอยู่ภายในห้องที่ปราศจากเสียงสิ่งมีชีวิต

ผมนอนหลับจนเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าทวีกำลังฉายมวยไทย มองนาฬิกาบอกเวลาเกือบบ่ายสามแล้ว

ห้องนอนพี่ไปป์ยังคิดปิดสนิทอย่างเคย

และอยู่ๆ มันก็ถูกกระชากเปิดออกจนผมที่เอาแต่จ้องมันตกใจและทำตัวไม่ถูกจนเผลอกระโดดผลุงขึ้นไปนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟา

“สิทธาคุณได้กลับบ้านบ้างรึเปล่า” ผมเลิกคิ้วสงสัยเพราะร้อยวันพันปีพี่ไปป์ไม่เคยถามเรื่องนี้ จำได้ว่าเจ้าตัวเคยบอกไว้ว่าเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา

“ยังไม่ได้กลับเลยครับ แล้วทำไมอยู่ๆ พี่ไปป์ถามล่ะ” เป็นเมียอ่อถึงอยากรู้เรื่องส่วนตัวไอ้เซน่ะ

“พี่ชายคุณโทรมา”

“ไม่ยักรู้ว่าพี่ไปป์สนิทกับสองด้วย แล้วนี่สนิทกับพี่โซ่ด้วยป่ะ” พี่โซ่อายุมากกว่าผม 6 ปี ถ้าพี่ไปป์บอกว่ารู้จักผมจะให้แม่ยกขันหมากมาขอพี่แกเป็นเมีย ไหนๆ ก็รู้จักทุกคนในบ้านแล้วนี่นา

“ผมจะไม่รู้จักผู้บริหารระดับสูงได้ยังไง ว่าแต่คุณเถอะจะกลับบ้านได้แล้ว ที่บ้านเป็นห่วงจะแย่” ก็ถูกของเขา พี่โซ่ทำงานกับพ่อมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาโทแล้ว ก็ไม่แปลกที่พี่ไปป์จะรู้จัก แต่เรื่องที่ว่าที่บ้านเป็นห่วงนี่ก็แอบเห็นด้วยแต่ว่าคงห่วงไม่มากหรอก ถ้าห่วงมากก็คงโทรมาตามแล้ว

“ไล่จัง เซก็มีหัวใจนะ”

“เหรอ นึกว่าไม่มี”

“นั่นสิ เซจะมีหัวใจได้ยังไง ก็หัวใจเซให้พี่ไปป์ไปหมดแล้ว” ได้ยินเสียงถอนหายใจดังเฮ้อยาวๆ อย่าว่าแต่พี่ไปป์เลย ขนาดผมเล่นเองยังอยากจะถอนหายใจให้มุกโคตรแป้กของตัวเอง

“คุณก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะสิทธา ปีนี้อายุเท่าไหร่ 22 แล้วใช่มั้ย อายุขนาดนี้หัดคิดอะไรเองได้แล้ว”

“ไหนพี่ไปป์บอกจะไม่บังคับเซไง บอกว่าเรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลาไม่ใช่เหรอ”

“ผมเอาปืนจี้คุณเหรอ” ผมส่ายหัว “ถ้าผมทำอย่างนั้นกับคุณเมื่อไหร่ค่อยมาหาว่าผมบังคับ”

“เซควรไปเหรอ”

“คิดว่า”

“เซยังไม่พร้อมเจอพ่อเลยอะ หนีออกจากบ้านมาตั้งนานใครจะไปกล้าสู้หน้า เซกลัวอะ ไม่รู้ว่ากลัวอะไรแต่กลัวมากเลย” แค่คิดว่าจะต้องเผชิญหน้ากันก็ทำตัวไม่ถูกแล้ว

“ไม่เจอกันวันนี้ วันหน้าก็ต้องเจออยู่ดี เราหนีความกลัวตลอดไปไม่ได้หรอก ผมอยากให้คุณลองเผชิญหน้ากับมันดูซักครั้งนะ” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนโยนเช่นเดียวกับแววตาที่ใช้มองกัน

“เซควรไปเจอพ่อใช่มั้ย” แม้ตลอดมาเวลาอยู่ต่อหน้าแม่จะทำเป็นปากเก่งบอกว่าจะพิสูจน์ตัวเองแต่ที่จริงแล้วผมสำนึกตลอดแหละว่าต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดก็คือผม เพียงคืนนั้นผมไม่ดื่มจนเมาแอ๋แล้วแฮ็งค์ไปงานพ่อ ถ้าผมทำตัวให้สมกับเป็นลูกชายคนเล็กของบ้านซักหน่อยผมก็คงไม่ตกอยู่ในความกลัวแบบนี้

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสิ”

พี่ไปป์ไม่ได้ตอบว่าควรไปหรือไม่ เป็นผมเองเสียอีกที่เพียงเห็นรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้าของเขา ขามันก็รีบจ้ำอ้าวเข้าห้องน้ำไปเลย

พอออกจากห้องน้ำก็เห็นว่าพี่ไปป์แต่งตัวเสร็จแล้วเหมือนกันเห็นแบบนั้นแล้วก็อดเลิกคิ้วสงสัยไม่ได้

“ไปทำอะไรที่มันสบายใจกัน”

ไม่รู้หรอกว่าอะไรที่สบายใจของพี่ไปป์คืออะไร ได้แต่นั่งมองเส้นทางไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งวันหยุดถนนกรุงเทพมหานครเมืองสตรีทฟู้ดก็ยังคงคลาคล่ำไปด้วยรถรา

“คุณเคยเลี้ยงหมามั้ย” อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เคยเมื่อนานมาแล้วครับ” ตั้งแต่ตอนเรียนประถมมั้ง แต่เพราะไม่ค่อยมีเวลาดูแลพอตัวนั้นจากไปก็ไม่ได้เลี้ยงอีกเลย

“แล้วตอนนี้อยากเลี้ยงหรือเปล่า”

“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากรับเลี้ยงเจ้าหินผาครับ”

“ถ้าสมมติว่าได้เลี้ยงมันคุณคิดว่าตัวเองจะเลี้ยงมันได้ดีแค่ไหน”

“ไม่ทราบครับ แต่เซจะเลี้ยงมันให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้”

“เลี้ยงให้ดีที่สุดยังไง”

“ก็...” ทั้งที่ควรจะตอบออกไปให้เต็มปากแต่กลับพบว่าในหัวของผมว่างเปล่า ไม่รู้เลยว่าการเลี้ยงหมาให้ดีต้องทำยังไง

“คุณเคยมีแฟนมั้ย” อยู่ๆ ก็ถาม และผมเองก็ยิ้มกว้างเต็มใจตอบ

“เคยครับ”

“แล้วตอนนี้ล่ะ”

“คิดว่ากำลังจะมีถ้าพี่ไปป์...” ยังพูดไม่ทันจบคนข้างๆ ก็ส่ายหน้าบอกให้เงียบปากบัดเดี๋ยวนี้

“ทำไมถึงเลิกกับคนก่อน”

“ไม่เข้าใจกันหลายอย่างจนสุดที่จะยื้อ”

“มันยากใช่มั้ยล่ะการมีแฟนซักคนน่ะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“ยากเพราะต่างคนต่างก็ไม่เข้าใจกัน”

“เลี้ยงหมาง่ายกว่ามีแฟนเยอะนะ หมามันไม่นอกใจเรา ไม่ขอสิ่งของราคาแพง ไม่เรียกร้องให้จำวันครบรอบ มันแค่อยากให้เรามีเวลาให้มัน เล่นกับมัน ให้ความรัก แค่นี้คุณทำได้มั้ย” ถามเหมือนจะให้ผมเลี้ยงหินผาอย่างที่เอ่ยปากไปก่อนหน้าเลย

“คิดว่าไม่น่าเกินความสามารถ”

“ผมเชื่อคุณนะ”

“พี่ไปป์เชื่อเซจริงๆ หรือแค่อยากให้กำลังใจ”

“เชื่อจริงๆ ตอนที่ผมรู้ว่าต้องดูแลคุณในฐานะพี่เลี้ยงผมไม่อยากทำเลย” อยู่ๆ ก็วกเข้าเรื่องฝึกงานเฉยไม่มีบอกกล่าวล่วงหน้า

“เพราะเซเป็นลูกชายเจ้าของช่องเหรอ”

“ไม่หรอก เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม คนเราเลือกเกิดไม่ได้ เรื่องชาติกำเนิดเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ แต่นิสัยส่วนตัวของคุณต่างหากที่ทำให้ไม่ค่อยอยากรับงานนี้เท่าไหร่”

“เพราะเกรดเซไม่ดี”

“ก็ใช่แหละ คุณอาจจะเคยได้ยินว่าผลการเรียนวัดอะไรไม่ได้ต้องดูที่ฝีมือ แต่สำหรับผม เกรดเป็นสิ่งนึงที่วัดอะไรบางอย่างในตัวของเด็กคณะเราได้ ผมมีเพื่อนคนนึงนะ สอบเข้าได้เป็นอันดับสุดท้ายของคณะ มันเข้าใจอะไรยากมากเพราะเป็นคนสมองช้า แต่คุณเชื่อมั้ยว่าตอนจบมันจบด้วยเกรดเฉลี่ย 3.5 เลยนะ”

“โห” ผมอ้าปากร้องด้วยความทึ่ง เกรดผม 6 เทอมรวมกันยังได้ไม่ถึง 3 เลย

“มันพยายามมากกว่าคนอื่นไม่รู้กี่เท่า นอนน้อยกว่า เล่นน้อยกว่า กินเหล้าน้อยกว่า ไม่มีใครบังคับแต่ทั้งหมดที่มันทำเพราะความพยายามที่จะเป็นเหมือนคนอื่น พยายามที่จะไม่เป็นภาระของคนอื่น พยายามพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ด้อยกว่าใคร”

ได้ยินอย่างนั้นแล้วคนสมองระดับปานกลางอย่างผมรู้สึกอายเลย

“คุณไม่มีความพยายามอะไรเลย กะอีแค่เรียนให้ได้เกรดดีๆ ยังทำไม่ได้แล้วจะทำอะไรได้ ผมคิดอย่างนั้นตอนเห็นเกรดของคุณ แต่พอได้เจอตัวจริงก็พบว่าไม่ได้ต่างไปจากที่คิดเลย”

แป่ว! นึกว่าจะชม

พอทำหน้าเจื่อนพี่ไปป์กลับยิ้ม

“คุณซ่อนความสามารถไว้ลึกเกินไป เกือบจะฝึกงานเสร็จอยู่แล้วถึงดึงออกมาใช้” คงหมายถึงไอเดียรายการทีวีของพวกเรา

“นี่คือกำลังชมเนอะ”

“ใช่ กำลังชม และกำลังบอกว่าเกรดเฉลี่ยเป็นด่านแรกของการพิจารณาใครซักคนเข้าทำงาน เป็นโชคดีของคุณที่เกิดเป็นลูกชายของเจ้าของช่องทีวี แต่ถ้าคุณไม่มีความสามารถสถานะทางสังคมของคุณก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้ คุณแสดงความสามารถให้ผมเห็นแล้ว และต่อไปนี้ก็อย่าลืมแสดงความสามารถของตัวเองให้คนอื่นเห็นด้วย”







หลังจากเทศน์ผมจบไปราว 8 บท กำลังจะอ้าปากเริ่มบทต่อไปพี่ไปป์ก็เลี้ยวรถเข้ามาในคอมมูนิตี้มอลล์แห่งนึงเสียก่อน จอดรถเสร็จก็เดินนำไปอย่างคล่องแคล่ว

“ที่ที่สบายใจคือที่นี่เหรอ” ทำเพียงหันมาไหวไหล่ใส่แล้วก็เดินนำไปไม่สนใจใยดีกัน

เซ้าซี้ไปก็ไร้ประโยชน์จึงทำเพียงก้าวให้ทันเพื่อจะได้เดินข้างๆ กัน จนกระทั่งมาถึงร้าน ไม่สิ เป็นเพ็ทช๊อปกึ่งๆ คลินิกรักษาสัตว์ เพียงเปิดประตูเข้าไปก็ได้รับการทักทายอย่างเป็นกันเอง

“คุณหมอเพิ่งถามถึงคุณไปป์เมื่อวานนี่เองค่ะ” เสียงทักทายพร้อมกับรอยยิ้มหวานดังมาจากคนด้านหลังเคาน์เตอร์

“ช่วงนี้งานยุ่งมากเลยครับ แล้วนี่คุณหมออยู่มั้ยครับ”

“จะเข้ามาตอน... มาพอดีเลยค่ะ” จบประโยคของพนักงานในร้านผู้ชายตัวสูงในเสื้อเชิ้ตสีโคตรแจ่มอย่างกับหลุดออกมาจากแหยมยโสธรก็ก้าวเข้ามาเกือบประชิดตัวพี่ไปป์แล้ว

“หายไปนานเลยครับคุณไปป์นึกว่ามึงตายไปแล้ว” เขาทักทายอย่างเป็นกันเอง คงจะสนิทกันมากระดับหนึ่ง

“ว่างๆ มึงควรผ่าหมาออกจากปากตัวเองบ้างนะ”

“ช่วงนี้ไม่ว่างเลยว่ะ แล้วนี่...” หลังจากถูกเมินเฉยอยู่พักคุณหมอก็หันมาให้ความสนใจผมซักที “ใครวะ ใช่ภาระที่มึงเคยเล่าให้ฟังหรือเปล่า”

พี่ไปป์แค่ไหวไหล่ นี่ผมเริ่มเกลียดท่าทางแบบนี้ของพี่แกแล้ว ใจคอจะแนะนำผมให้เพื่อนตัวเองแบบนี้เหรอ คนก่อนก็แนะนำว่าเป็นหมา คนนี้ก็บอกว่าเป็นตัวภาระ หล่อเซ็ง

“นี่หมอแอมป์ เป็นหมอสัตว์” ผายมือไปที่เพื่อนก่อนจะผายมาที่ผม “ส่วนนี่ สิทธาน้องกูที่เคยเล่าให้ฟังว่าเป็นเจ้าของไอเดียรายการ”

“เจ๋ง” หมอแอมป์ยิ้มหวานยกนิ้วโป้งทั้งสองข้างเยินยอ แอบเห็นพี่ไปป์ทำหน้าปลื้มปริ่มแล้วก็รู้สึกดี

“นั่งก่อนสิจะได้คุยกัน” หมอแอมป์นำเราไปนั่งที่ระเบียงหน้าร้านซึ่งล้อมคอกสูงประมาณเอวไว้อย่างดีเพื่อให้หมาแมวได้เดินเล่น ถ้าไม่มีป้ายหน้าร้านผมคงคิดว่าที่นี่เป็นคาเฟ่สัตว์

นั่งคุยกันพักหนึ่งน้ำผลไม้ก็ถูกยกมาเสิร์ฟ

“น้องเซถ้ามีปัญหาอะไรโทรปรึกษาพี่ได้ตลอดเลยนะ” อยู่ๆ พี่แกก็ว่าอย่างนั้นพร้อมยื่นนามบัตรมาให้ ผมรับมาอย่างไม่เข้าใจนัก สำรวจดูครู่หนึ่งก่อนเก็บใส่กระเป๋า

“ขอบคุณครับ”

“ได้ข่าวว่าจีบเพื่อนพี่เหรอ ไอ้กริชบอกยังจีบยากนะ” พี่หมอแอมป์ถามอย่างคนอารมณ์ดีไม่สนใจสีหน้าเซ็งๆ ของเพื่อนสักนิด ดูๆ แล้วพี่แกก็มีความเป็นตัวของตัวเองดี เข้าทางเพื่อนไม่น่าจะใช่เรื่องยากแล้วล่ะครับ

“ยากจริงครับพี่ นี่ขอแอดเฟซยังไม่ยอมเลย”

“มันไม่ค่อยเล่นหรอก”

“แต่ถ้ามีก็ดีไงครับ จะได้ส่องเวลาคิดถึง”

“พอมั้ยทั้งคู่เลย ผมนั่งอยู่นี่นะ นินทากันซึ่งๆ หน้าแบบนี้ก็ได้เหรอ”

“น้องมันจริงใจดีออก เอามือถือมาสิ” พี่แอมป์แบมือมาตรงหน้า “มันไม่ยอมให้ใช่มั้ย เดี๋ยวพี่ให้เอง” เท่านั้นแหละรีบปลดล็อคมือถือส่งให้พี่หมอแทบไม่ทัน

‘Pakorn Ch.’

รูปโปรไฟล์เป็นรูปเดียวกับไลน์ส่วนรูปหน้าปกเป็นท้องฟ้า ตั้งความเป็นส่วนตัวทุกอย่าง แน่นอนว่าคนที่ทำได้แค่แอดแต่เจ้าของแอคไม่ยอมรับก็ได้แต่นั่งส่องรูปโปรไฟล์กับรูปที่ถูกเพื่อนแท้กมาซึ่งมีอยู่น้อยนิดไปพลางๆ

“มึงไม่รับแอดน้องมันหน่อยวะ”

“เป็นพ่อกูเหรอแอมป์ แอดทิ้งไว้นั่นแหละถ้ากูอยากรับเดี๋ยวกูรับเอง แล้วช่วงนี้ที่คลินิกเป็นไงบ้างวะ มีคนเอาหมามาทิ้งไว้เยอะมั้ย”

“เมื่อวานมีคอกนึง 5 ตัว แต่มีคนรับเลี้ยงไปหมดแล้ว เนี่ยตัวสุดท้ายเค้าจะมารับตอนบ่ายนี้ ส่วนเจ้าสี่แสบมีคนอินบ๊อกซ์มาขอเยอะมากกูก็ได้แต่บอกปัดไป” เจ้าสี่แสบที่ถูกพูดถึงก็คือลูกหมาประจำสวนสนุกที่วัดนั่นแหละครับ หลังจากถ่ายรายการเสร็จพี่อาร์มก็พากลับมาด้วย ผมเองก็เพิ่งรู้วันนี้เหมือนกันว่าพวกมันถูกพามาอยู่ที่นี่

“พี่แอมป์หาบ้านให้หมายังไงครับ” ผมสนใจเรื่องนี้มากก็เลยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเป็นพิเศษ

“ก็ไปแฝงตัวในกรุ๊ปคนรักหมา ไปป์ก็ทำอยู่เหมือนกัน เรื่องรายการของเราก็มาจากกลุ่มนี้แหละรู้ใช่มั้ย”

“งั้นพวกพี่ก็รู้จักกันเพราะกลุ่มคนรักหมาเหรอครับ”

“ก็ไม่เชิงหรอก ตัวพี่อะรักหมาและก็อยากเป็นสัตวแพทย์อยู่แล้ว ส่วนไปป์ไม่รู้ว่ามันเล่าให้น้องฟังรึยัง”

“ถ้าเป็นเรื่องนั้น เล่าแล้วครับ”

“เล่าแล้ว” น้ำเสียงพี่แอมป์เหมือนไม่เชื่อคำผม แต่เจ้าตัวก็ไม่ซักต่อซ้ำยังโน้มใบหน้าเข้ามากระซิบกันอีก “มันเปิดใจให้น้องมากแล้วนะ สู้อีกหน่อย”

พูดแบบนี้ผมนี่กำลังใจมาเต็มเลย

“นั่นแหละ เพราะต่างคนก็ต่างมีจุดหมายคล้ายๆ กัน ก็เลยกลายเป็นกลุ่ม ตอนแรกก็ลุ่มๆ ดอนๆ นะเพราะเรายังเด็กทั้งคู่ แต่โชคดีหน่อยที่ไปป์มันดัง ชื่อเสียงของมันช่วยพวกเราไว้ได้เยอะเลย”

“ชื่อเสียง พี่ไปป์เป็นคนดังด้วยเหรอ”

“อ้าวน้องไม่รู้เหรอว่าไอ้ไปป์เป็นเน็ตไอดอล นี่เกือบจะได้เป็นพระเอกละครแล้วนะถ้ามันไม่อินดี้อยากทำงานเบื้องหลังซะก่อนป่านนี้กลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปแล้ว” น้ำเสียงพี่หมอแอมป์ตอนพูดถึงเพื่อนเต็มไปด้วยความภูมิอกภูมิใจแต่ผมนี่สิ รู้สึกหลังเขาอีกแล้ว เริ่มไม่มั่นใจในตัวเองแล้วสิว่าชอบพี่ไปป์จริงมั้ย ผมแม่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาซักอย่างเลย

“เวอร์ไปแอมป์ ไม่ขนาดนั้นซักหน่อย”

“เซเข้ามาตอนที่ไอ้ไปป์เรียนจบแล้วก็เลยไม่รู้ว่ามันน่ะโคตรฮ๊อต วันๆ นะมีแฟนคลับส่งขนมมาให้อย่างเยอะ ตอนนั้นไอ้กริชน้ำหนักพุ่งเกือบ 100 แน่ะ ถ้าไม่เชื่อลองถามเจ้าตัวก็ได้”

ดูเหมือนพี่แอมป์จะภูมิอกภูมิใจกับความไอดอลของเพื่อนมาก เล่าให้ผมฟังไปตานี่เป็นประกายเชียว มีก็แต่คนที่ถูกกล่าวถึงนั่นแหละที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยใส่ใจกับความโด่งดังของตัวเองเท่าไหร่นัก สีหน้าออกจะเบื่อหน่ายซะด้วยซ้ำ

“เคยถ่ายเอ็มวีด้วยเหรอ เพลงอะไรอะ เปิดให้ดูบ้างสิครับ” ผมยื่นมือถือให้พี่แอมป์ เฝ้ามองพี่แกกดชื่อเพลงในยูทูปอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าเพิ่งจะวางนิ้วบนหน้าจอ มือถือก็ถูกฉกไปซะก่อน

พี่ไปป์เก็บมือถือของผมใส่กระเป๋าเสื้อก่อนเดินไปเล่นกับหมาพันธุ์โกเด้นรีทีฟเวอร์ที่นอนเล่นกับแมวอยู่ตรงฝั่งขวาของประตู ผมมองตามเขา ไม่ค่อยเข้าใจการแสดงออกเท่าไหร่ แปลก ปกติคนมีชื่อเสียงเขาออกจะภูมิใจในความเด่นดังนั้นแต่พี่ไปป์กลับต่างออกไป

“ไปป์มันอยู่กับคนเยอะๆ ไม่ค่อยได้ก็เลยไม่ค่อยชอบที่ตัวเองกลายเป็นคนดัง”

“ไม่ชอบก็ไม่เห็นต้องรับงานนี่ครับ”

“ใช่มั้ยล่ะ มันจะไม่รับงานก็ได้แต่มันก็ทำเพราะเรามีเจ้าพวกนั้น...” หมายถึงหมาแมวและสัตว์อื่นๆ ที่ทางกลุ่มดูแลอยู่ “เราต้องดูแลมัน รักษามัน จนกว่าจะหาเจ้าของใหม่ให้มันได้ ทุกขั้นตอนล้วนแต่มีค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ลำพังขอรับบริจาคไม่พอใช้จ่ายหรอก เพราะงั้นไปป์ก็เลยคิดว่ามันเป็นคนเริ่ม มันก็ต้องรับรับผิดชอบ อะไรที่ทำให้มีรายได้มันก็เลยทำหมด”

พี่ไปป์แม่งโคตรคนดีของโลกใบนี้เลยว่ะ

“ตามสบายนะ พี่ต้องไปตรวจแล้ว สู้เค้าไอ้น้อง” พี่แอมป์ยกกำปั้นบอกไฟต์ติ้งก่อนจะกลับเข้าไปข้างในทิ้งผมกับพี่ไปป์ไว้ลำพัง

“เซทำให้พี่ไปป์อึดอัดรึเปล่า” ผมนั่งลงข้างเขา พี่ไปป์ละมือที่กำลังลูบขนเจ้าโกลเด้นก่อนจะหันมาเลิกคิ้วมองหน้ากัน

“อึดอัดสิ” ใจแป้วเลย “แต่ชินแล้ว”

“ต้องรู้สึกดีเนอะ”

“อื้อ แล้วคุณล่ะ รู้สึกยังไง”

“มีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ไปป์”

“ไม่ได้ถามเรื่องนั้น” หัวเราะกันเฉย แต่เห็นเขายิ้มได้ผมก็ปลื้มใจนะ

“แล้วถามเรื่องอะไร”

“พร้อมกลับบ้านรึยัง”

“ไม่รู้สิ” ผมตอบพร้อมกับนั่งขัดสมาธิลงบนพื้น ทันใดนั้นเจ้าแมวสีน้ำตาลก็ปีนขึ้นมานอนบนตัก ผมลังเลที่จะลูบขนมันเพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับแมวนัก

“ลูบได้” พี่ไปป์ว่าพร้อมกับมือที่ยื่นมาจับมือผมแล้วพาไปลูบขนเจ้าแมวบนตักเบาๆ “ไม่ต้องกลัว แมวพวกนี้ฉีดยาหมดแล้ว ถึงถูกกัดก็ไม่เป็นบ้า”

ว่าที่แฟนผมนี่ทั้งใจดี รักสัตว์ และตลก

“แล้วถ้า...” ผมละมือข้างนั้นออกจากขนแมวที่ลูบแล้วให้ความรู้สึกโคตรดีพร้อมๆ กับละตรงท้ายประโยคเอาไว้ ยื่นมันไปวางบนไหล่คนตรงหน้า “ลูบพี่ไปป์นี่จะโดนกัดมั้ย”

มองหน้าคนที่คิ้วกระตุกเพียงนิดแล้วลูบไหล่เขาเบาๆ

รู้แล้วว่าหากเปรียบพี่ไปป์เป็นสัตว์เลี้ยงเขาโคตรเหมือนแมว เห็นนิ่งๆ นี่ไว้ใจไม่ค่อยได้หรอก ตอนนี้ก็เหมือนกัน ไม่รู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไร

ป้าบ!!!

โอ้ย!!!

ผมร้องเมื่อละมือจากไหล่คนตรงหน้ามาลูบหัวตัวเองตรงที่ถูกตบประจำ

เห็นมั้ยบอกแล้วว่าพี่ไปป์ไว้ใจไม่ได้เลย

“เพื่อนเล่นเหรอ”

“ทำร้ายเซตลอดเลย โคตรเจ็บอะ” งอแงใส่พลางฉวยโอกาสวางศีรษะลงบนไหล่กว้าง แอบหวั่นใจเกรงว่าจะถูกตบอีกแต่ผิดคาด นอกจากไม่ตบแล้วพี่ไปป์ยังตบไหล่ผมเบาๆ คล้ายปลอบใจอีก

รู้สึกดีมากเลย

“ซบพอรึยัง”

“ยังรู้สึกดีอยู่เลย”

“มากไปแล้ว อยากโดนตบอีกเหรอ”

“ถ้าตบอีกนี่ขอซบอีกได้มั้ย”

“เอาดิ ถ้าคุณซบอีกผมก็ตบอีก มาดูกันว่าใครจะแน่กว่าใคร มือผมหรือหัวคุณ” น้ำเสียงน่ากลัวแล้วล่ะทีนี้ ถามว่าอยากซบมั้ย ก็อยาก แต่ถ้าถามว่าอยากถูกตบหัวมั้ยตอบเลยว่าไม่

“เข้าใจหมากับแมวเลย”

“เข้าใจว่า...”

“ก็เวลาถูกลูบหัวลูบไหล่มันรู้สึกดี”

“งั้นก็พร้อมจะกลับบ้านแล้วสิ”

“นี่ก็ชอบไล่กลับบ้านจัง”

“ถ้าไม่สบายใจมาเล่นกับเด็กๆ ที่นี่ได้เสมอนะ รู้จักกับคุณหมอเจ้าของคลินิกแล้วนี่ จำทางได้ใช่มั้ย”

“ที่ที่สบายใจหมายถึงที่นี่เหรอครับ”

“หรือคุณยังไม่ค่อยสบายใจ”

“เปล่าครับ การได้เล่นกับเจ้าพวกนี้ การได้อยู่กับพี่ไปป์ทำให้เซรู้สึกดีขึ้นมากเลย พี่ไปป์อยู่กับเซแล้วสบายใจมั้ย”

“โคตรลำบากใจ คิดตลอดเลยว่าเมื่อไหร่จะสลัดคุณให้หลุดออกไปซักที”

“ใจร้ายอ่ะ”

“แต่การได้เห็นคุณค่อยๆ พัฒนาตัวเองก็สนุกดี ถ้าไม่อยากให้ผมเบื่อก็อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง เข้าใจมั้ย”

จนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมไม่ได้อยู่ในชุดนักศึกษา ตอนที่พี่ไปป์แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสบายๆ พี่แกก็ยังสอนผมไม่หยุดไม่หย่อน ชอบสอนขนาดนี้ทำไมไม่ไปเป็นอาจารย์ให้มันรู้แล้วรู้รอดวะครับ

“พี่ไปป์”

“หือ”

“ถ้าเซดีกับพ่อ เซก็ไม่ได้อยู่ห้องพี่ไปป์แล้วสิ”

“ก็...” เพิ่งจะเปิดปากพูดเสียงรองเท้าที่ดังอยู่ก่อนหน้าก็หยุดใกล้ๆ เราซะก่อน ทั้งผมและพี่ไปป์เงยหน้ามองผู้มาใหม่อย่างพร้อมเพรียง ผู้ชายร่างสูงในกางเกงยีนส์สีเข้มเข้ารูป รองเท้าหนัง และเสื้อยืดพอดีตัวอวดสรีระแมนๆ จ้องมองพี่ไปป์ราวกับทั้งคู่รู้จักกัน เป็นผมที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนจากโลกอื่น

“ไปป์” น้ำเสียงทุ้มดังขึ้นให้พี่ไปป์ละสายตาแล้วลุกขึ้น

“เรากลับเถอะ” พี่ไปป์เอื้อมมือมาดึงผมให้ลุกขึ้นยืนข้างกัน ผมก็งงนิดหน่อยแต่เขาบอกให้ทำก็ทำอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“ไปป์คุยกันหน่อยสิ”

“ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ” พี่ไปป์ตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงเฉยชาสุดฤทธิ์ ทว่าเขาคนนั้นกลับไม่มีท่าทีจะล่าถอย

“เอ็มโทรหาไปป์ตั้งหลายสาย ทำไมไม่รับสายกันบ้าง”

“พอดีไม่รู้ว่าเบอร์ใครก็เลยไม่รู้ว่าจะรับทำไม”

“ไปป์...” น้ำเสียงเขาเว้าวอน พลางยื่นมือมาหวังสัมผัสตัวพี่ไปป์ทว่ายังไม่ทันถึงตัวคนที่เย็นชาตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ขยับหนีมาเบียดผมซะก่อน “ให้โอกาสเอ็มอธิบายบ้างสิ”

“คุณไปอยู่ที่ไหนมาตั้งนาน กลับมาอธิบายตอนนี้ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยเหรอ พอเถอะเอ็ม คุณกำลังมีอนาคตที่ดี คุณคงไม่อยากให้อนาคตของคุณพังไม่เป็นท่าเพราะผมหรอก”

“ไปป์ไม่ทำหรอก ไปป์รักเอ็ม ไปป์ไม่มีทางทำร้ายเอ็ม”

“หรือคุณอยากลอง”

พี่ไปป์โหมดนี้น่ากลัวมาก สีหน้าเขาเหมือนสัตว์ร้ายที่พร้อมจะตะครุบเหยื่อ น้ำเสียงนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก อย่าว่าแต่ผู้มาใหม่เลยที่นิ่งไป ผมเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“เอาไงดีล่ะ อยากลองมั้ย” พี่ไปป์ยกยิ้มร้ายที่มุมปาก วางมือข้างหนึ่งบนไหล่อีกฝ่ายแล้วตบเบาๆ

“ไปป์ไม่ทำหรอก”

“ก็ลองดู”

พี่ไปป์ผละออกมา มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบมือถือแล้วกดโทรออกต่อสายหาใครสักคนพูดคุยเกี่ยวกับแขกรับเชิญสำหรับรายการเช้าวันจันทร์

เนี่ยคนจริง ผู้ชายคนนั้นกำมือแน่นจ้องมองพี่ไปป์ที่คุยโทรศัพท์ด้วยท่าทางสบายๆ ด้วยอารมณ์ที่ผมเองก็เดาไม่ถูก

“จ้างเอ็มไว้แล้วงั้นเหรอครับ เลื่อนออกไปก่อนสิ หรือจะยกเลิกเลยก็ได้นะ เดี๋ยวผมเคลียร์ให้ ยังไงเรตติ้งก็สำคัญกว่า รบกวนคุณวาวส่งเบอร์ผู้จัดการเอ็มให้ผมด้วยนะ เดี๋ยวผมจะโทรไปแคนเซิลเขา”

ได้ยินเสียงปลายสายดังลอดออกมาเบาๆ จับใจความไม่ได้ก่อนพี่ไปป์จะตัดสายแล้วกดโทรออกหาใครบางคนอีกครั้ง

คราวนี้คงเป็นคุณผู้จัดการ เพราะคนชื่อเอ็มตรงหน้าเราเบิกตากว้าง คิ้วขมวดมุ่น สีหน้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นโกรธขณะพี่ไปป์คุยโทรศัพท์ไม่หยุด มองแล้วก็ได้แต่กังวลว่าเขาจะพุ่งเข้ามาต่อยพี่ไปป์รึเปล่า

“ไปป์...” เขากัดฟันกรอด เรียกชื่อเสียงลอดไรฟันเมื่อพี่ไปป์วางสาย

“บอกแล้วไงว่าถ้าไม่อยากมีปัญหาให้เลิกยุ่งกับผม”

พูดแค่นั้นแล้วก็เดินหนีไปเลย

พี่ไปป์แม่ง แม่ง แม่งโคตรร้าย





[T B C]
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที {พี่ครับ 08 05-06-17}
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-06-2017 23:46:04
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 9 UP15.6.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 15-06-2017 20:25:28
พี่ครับ 09


“ทำอย่างนี้จะดีเหรอพี่” ผมถามหลังจากลาพี่หมอแล้วกลับมานั่งกันในรถพร้อมกับสมาชิกตัวใหม่เป็นเจ้าสุนัขพันธุ์ไทยหนึ่งตัว

“ไม่ดีหรอก” ถึงปากจะบอกอย่างนั้นแต่สีหน้าพี่ไปป์ก็ไม่ดีเท่าไหร่ เขาดูกังวลมากทีเดียว

“อ้าว ไม่ดีแต่ก็ทำเนี่ยนะ แล้วพี่จะไม่เป็นไรเหรอ”

“เป็นสิ”

“พี่ไปป์” ผมเรียกเขาอย่างอ่อนใจ ทั้งที่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวจะส่งผลกระทบกับตัวเองแต่ก็ยังทำเนี่ยนะ พี่คนนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ

“เอาน่า ผมจัดการได้”

“เอ็มคนนั้นน่ะ แฟนเก่าพี่เหรอ”

“อือ” นัยน์ตาพี่ไปป์หม่นลงเมื่อตอบ

“ทำไมไม่เคลียร์กันให้จบล่ะพี่”

“ผมจบแล้ว”

“แต่เขายังไม่จบ” และดูจากท่าทางพี่คนนั้นแล้วก็ไม่น่าจะยอมจบง่ายๆ

“ก็เรื่องของเขา ไม่ใช่ปัญหาของผม”

“จะไม่ใช่ปัญหาของพี่ไปป์ได้ยังไงในเมื่อเขายังตามรังควานพี่ไปป์อยู่อย่างนี้”

“ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมแต่ก็ขอบคุณนะที่เป็นห่วง” ผมโคตรเป็นห่วงพี่เลยรู้ป่าว อยากบอกแบบนั้นแต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ก็คิดว่าไม่พูดไปน่าจะดีกว่า

กลายเป็นว่าตอนนี้ความสบายใจที่เราตามหาถูกแทนที่ด้วยความห่วงใยที่ผมมีต่อพี่ไปป์ ส่วนความกลัวที่เคยมีก่อนหน้านี้กลับหายไป ชีวิตผมวันนึงนี่ต้องรู้สึกอะไรบ้างวะ

“แล้วเจ้าตัวนี้พี่ไปป์พามาด้วยทำไม”

“ไปหาหินผากัน”

“หืม” ผมครางในลำคออย่างไม่เชื่อหูตัวเอง เฝ้าถามเขาตลอดทางแต่ก็ไม่ได้คำตอบ บอกแค่ว่าไปถึงก็รู้ จนเรามาถึงที่วัดพี่เจ้าของรถก็จูงเจ้าแตงไทยลงจากรถ มุ่งหน้าไปหาเจ้าหินผาที่ยังคงปักหลักอยู่ที่เดิม

ไม่เจอกันไม่กี่วัน หากเมื่อมันเหลือบเห็นผมเจ้าหมาตัวโตก็กระดิกหาง ดวงตาของมันเป็นประกาย ลังเลว่าจะวิ่งเข้ามาหาผมดีมั้ย จนเป็นผมเองที่ก้าวยาวๆ เข้าไปหามัน ลูบหัว ลูบคอ กอดมันทีนึงแล้วผละออก

“เข้ากันได้ดีนะเนี่ย” พี่ไปป์ว่าเมื่อนั่งลงข้างๆ กัน มือเรียวยื่นไปลูบหัวหินผาอย่างที่มันเองก็หลับตาพริ้มยอมให้สัมผัสแต่โดยดี

“มันคิดถึงเซแหละพี่ไปป์”

“เราพาหินผากลับบ้านกัน” อีกครั้งที่พี่ไปป์ทำให้ผมอึ้งไปกับคำพูดของเขา “หินผา ไปอยู่กับเซนะ” พี่ไปป์จ้องตาเจ้าหินผา น้ำเสียงของเขาเว้าวอน ขอร้อง ทว่าเจ้าหินผากลับเอาแต่นั่งนิ่งไม่หือไม่อือ

“เหมือนมันจะไม่อยากไปเลยนะครับ”

“มาพยายามกันซักตั้งเถอะ”

มันไม่ง่ายเลยจริงๆ กับการพาหมาตัวนึงที่นั่งตากแดดตากลมรอเจ้านายที่มันรักสุดหัวใจออกไปจากที่ที่มันคิดว่าเขาจะกลับมาหามันที่นี่ ผมกับพี่ไปป์คุยกับมันจนไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแต่หินผาก็ยังคงนิ่ง มันมองเราเหมือนกำลังขอบคุณในความพยายาม แต่ขอร้องล่ะหินผาแกแทนคำขอบคุณของเราด้วยการตามเราไปไม่ได้เหรอ

“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” อยู่ๆ พี่ไปป์ก็พูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนหันไปมองเจ้าแตงไทย คุยอะไรกันบางอย่างเหมือนสื่อสารกันเข้าใจก่อนจะปลดเชือกจากคอปล่อยให้มันเป็นอิสระ

สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้ผมที่ไม่คุ้นเคยกับสัตว์เลี้ยงถึงกับอึ้ง ภาพที่เจ้าแตงไทยเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าหินผมแล้วนั่งลง พวกมันมองหน้ากัน จ้องกันอยู่พักใหญ่ๆ เหมือนกำลังตกลงอะไรกันบางอย่าง สักพักแตงไทยก็ลุกขึ้นเดินตรงมาหาพี่ไปป์อย่างที่หินผาเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย

นี่มันอะไรกัน เมื่อกี้นี้คือพวกมันคุยกันเหรอ มันมหัศจรรย์มากเลย ผมไม่เคยคิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เจออะไรแบบนี้

“เป็นไง แตงไทยเจ๋งป่าว”

“โคตรเจ๋งอะพี่”

“งั้นกลับกัน หินผากลับบ้านกันนะ ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้กัน” พี่ไปป์พูดกับหินผาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนหันไปลูบหัวแตงไทยพร้อมกับขอบคุณและยอเจ้าหมามหัศจรรย์นั้นนานหลายนาทีกว่าจะเดินกลับไปที่รถ

ทั้งที่บอกว่าจะให้หินผาไปอยู่กับผม หากพี่ไปป์กลับพามันไปฝากไว้ทีคลินิกพี่แอมป์เพื่อให้ตรวจร่างกายแล้วค่อยมาส่งผมที่หน้าบ้าน ตบไหล่ให้กำลังใจในตอนที่กำลังเปิดประตูรถ

“คืนนี้ผมกลับไปนอนห้องพี่ไปป์ได้มั้ย”

“ถ้าสบายใจ” ตอบอย่างนั้นแล้วก็ผลักผมลงจากรถเลย

เมื่อกี้นี้คือคำอนุญาตถูกมั้ย







การเผชิญหน้ากับพ่อที่ผมไม่ได้เจอหน้าตัวเป็นๆ มาเกือบ 5 เดือน ทำให้ตื่นเต้นจนมือชื้นเหงื่อ ไอ้เซใจเย็น คนที่นั่งอยู่ในบ้านนั่นพ่อมึง ไม่ใช่โจรป่า มึงจะกลัวเวอร์วังทำไม

ให้กำลังใจตัวเองด้วยการบอกไฟต์ติ้งๆ ในใจแล้วก้าวผ่านประตูเข้าไปในตัวบ้าน

ป้าสรแม่บ้านคนเก่าคนแก่เข้ามากอดผม บอกว่าคิดถึงอย่างนั้นอย่างนี้อย่างเอ็นดู ลูบหัวลูบหลังให้ผมผ่อนคลาย ถ้าตอนบอกลากันพี่ไปป์กอดผมแบบนี้บ้างคงลดอาการกลัวที่ครุกรุ่นอยู่ในอกได้เยอะเลย

“คุณหนูของป้า ทำไมผอมอย่างนี้ล่ะคะ” ป้าสรว่าด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเมื่อผละห่าง ดึงผมออกไปจนสุดแขนพิจารณาร่างกายที่ซูบผอมลงตั้งแต่หัวจรดเท้า

ช่วงนี้โหมงานหนักแทบไม่ได้นอน น้ำหนักก็เลยหายไปเยอะ กล้ามเนื้อที่เคยมีก็แฟบลง กล้ามนี่เหี่ยวแล้ว

“ไอ้เซ” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามป้าสร ไอ้พี่สองก็เดินเข้ามากอดคอซะก่อน “ทำไมมึงไม่กลับไปนอนที่คอนโดวะ แม่คืนคีย์การ์ดให้แล้วไม่ใช่เหรอ”

“อยู่ที่อื่นสบายใจกว่าไง”

“อยู่กับพี่ไปป์อะนะ”

“อือ” ผมพยักหน้ารับคำ

“มึงรู้มั้ยว่าคนที่ออฟฟิศลือเรื่องนี้กันให้แซด”

“เรื่อง?”

“เรื่องมึงกับพี่ไปป์ไง เห็นบอกว่าช่วงนี้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยด้วย” ไม่เคยรู้เลยว่าคนที่ออฟฟิศเขาลือเรื่องนี้กัน แล้วพี่ไปป์ล่ะรู้หรือเปล่า

“ลือกันนานหรือยังวะพี่”

“ก็ได้ยินมาซักพักแต่ช่วงหลังนี่ลือกันหนักหน่อย สรุปยังไง อยู่ด้วยกันในฐานะอะไรวะ”

“ก็...”

“เอาไว้ตอบพ่อดีกว่าว่ะ ป่ะ แดกข้าว หิวสัด” เอ่อพี่มึงถ้าไม่อยากได้คำตอบแล้วจะถามหาพระแสงอะไร มันว่าจบก็ลากผมไปที่ห้องอาหารไม่ให้เวลาตั้งตัวเลย ฉิบหายแล้ว ถ้าพ่อถามเรื่องข่าวลือผมจะตอบยังไงวะเนี่ย

ทุกคนรวมตัวกันพร้อมหน้าในห้องอาหารแล้ว ผมไล่ทักทายทุกคนก่อนหยุดสายตาไว้ที่คนตรงหัวโต๊ะ เพียงสบตากับพ่อ ผมก็รู้สึกชาวาบไปทั้งร่างเลย

“สวัสดีครับพ่อ” ผมยกมือไหว้ พ่อพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนพยักพเยิดให้ไปนั่งที่ประจำ

“กว่าจะโผล่หัวมาได้ นั่งสิ จะได้กินข้าว”

“วันนี้ป้าสรทำแต่ของโปรดเธอทั้งนั้น” แม่ว่าแล้วเริ่มตักอาหารเข้าปาก

ไม่มีใครพูดอะไรอีก ทุกคนต่างรับประทานอาหารกันอย่างเงียบเชียบ กระทั่งพ่อวางช้อนลงและหันมามองผมตรงๆ นั่นแหละผมจึงส่งข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ดื่มน้ำตาม ทำใจเตรียมพร้อมรับโทษกับสิ่งที่ทำลงไป

“รายการที่แกทำจะออนแอร์เมื่อไหร่” ไม่ใช่อย่างที่คิดนี่หว่า แต่ก็ดีแล้วล่ะครับที่เลี่ยงไม่พูดเรื่องความผิดของผม

“อีก 2 อาทิตย์ครับพ่อ”

“ได้ดูตัวอย่างที่ทีมงานส่งมาแล้ว รูปแบบรายการดีนี่ เห็นคุณปกรณ์บอกว่าเป็นไอเดียแก ทำงานใช้สมองก็เป็นเหรอ” ดะ เดี๋ยวนะ นี่พ่อชมหรือด่าแล้วไอ้เซควรดีใจหรือเสียใจ

“จริงๆ พี่ทีมงานเค้าก็ปูทางมาดีแล้วครับพ่อ เซแค่เสนอความเห็นนิดๆ หน่อยๆ ในส่วนที่ขาด”

“รู้จักถ่อมตัวด้วย” พ่อว่าแล้วยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก

“ลูกชายแม่โตขึ้นเยอะเลยเนี่ย” และแม่ก็ชม

“คงต้องยกความดีความชอบให้คุณปกรณ์” แหง่ะ ไอ้พี่โซ่พี่ชายคนโต วกเข้าเรื่องพี่ไปป์เฉย

“เออนั่นสิ ทำงานกับคุณปกรณ์เป็นยังไงบ้าง” เนี่ยกูจะรอดอยู่แล้วมั้ยพี่โซ่ มึงจะถามถึงเขาทำไมพ่อก็เลยคล้อยตามเลย

“พี่ปกรณ์ก็ดีครับ สอนเซทุกเรื่องเลย”

“อย่ากวนใจเขาให้มากล่ะ แล้วก็เรื่องย้ายไปอยู่กับเขาน่ะ ยังไง” พ่อก็ได้ยินข่าวลือนี้ด้วยเหมือนกันเหรอ ผมยิ้มเจื่อนแล้วเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เริ่มตั้งแต่วันที่หอบผ้าหอบผ่อนออกจากคอนโด เร่ร่อนไปนอนบ้านคนนั้นทีคนนี้ทีกระทั่งย้ายมาอยู่กับพี่ไปป์ถาวร

“แกนี่มันไม่มีเกรงใจเลยเนอะ” พี่โซ่นี่ไม่ต่างจากสองอ่ะ ซ้ำไอ้เซเข้าไปสิ น้องล้มแล้วรีบตามมากระทืบเลย

“พี่ไปป์ก็ไม่เห็นว่าอะไรเลย”

“เขาไม่ว่าหรือเขาเอือม” และแม่ก็ซ้ำอีก เอาเข้าไป ซ้ำไอ้เซเข้าไป

“แม่คืนคีย์การ์ดคอนโดให้แล้วไม่ใช่เหรอ กลับไปอยู่ที่ของตัวเองซะ ให้คุณปกรณ์เค้ามีเวลาส่วนตัวบ้าง” ไม่ตั้งใจจะรับปากอยู่แล้วก็เลยทำเป็นเงียบปากไว้ดีกว่า

“เรื่องเรียนต่อ” ทั้งที่มีแพลนไปเรียนต่อโทที่ต่างประเทศหลังเรียนจบถูกพูดถึงมาตั้งแต่จำความได้แต่ผมกลับลืมเรื่องนี้ไปเลย และเมื่อพ่อพูดขึ้นมาผมที่ไม่เคยค้านอะไรกลับไม่อยากไปขึ้นมาซะดื้อ

“เซต้องเรียนอีกตั้งเทอม”

“ก็ต้องเตรียมตัวไว้ พอไปถึงจะได้ไม่ตื่นเต้นตกใจ”

“ไม่ตกใจหรอก เซออกจะเก่ง”

“เหรอจ๊ะพ่อคนเก่ง ใครกันที่แม่ส่งไปเรียนซัมเมอร์ที่สวิสแล้วร้องไห้กลับมา” เรื่องมันก็นมนานมาแล้วนะแม่ ตอนนั้นเซเพิ่ง 9 ขวบเอง แต่หลังจากนั้นก็อยู่สบายนะ

“โหแม่ เมื่อไหร่จะล้อเรื่องนี้เนี่ย”

“เธเก็เอาช่อดอกไม้ไปขอโทษน้องเบลล่าสิ แม่นัดไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้สองทุ่มที่นี่” อะไรของแม่วะ

ผมงงแต่ก็ยื่นมือไปรับนามบัตรของร้านอาหารมาพิจารณา เรื่องขอโทษก็พอเข้าใจอยู่หรอกแต่ช่อดอกไม้นี่จำเป็นด้วยเหรอ

“แม่คงไม่คิดจะจับคู่เซกับน้องเบลล่าอะไรนั่นหรอกนะ”

“ก็คิด” นี่ก็ตรงไป

“เซไม่เอาด้วยหรอกไร้สาระจะตาย”

“ลองเปิดใจคบน้องรึยัง”

“แม่นี่มันปีอะไรแล้วยังจะคลุมถุงชนอีกเหรอ โคตรโบราณ เซไม่เอาด้วยหรอก” ผมค้านหัวชนฝา ไม่อยากเสียเวลาไปเจอเพราะไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่มีทางรักใครได้อีกทั้งที่รู้สึกกับพี่ไปป์มากขนาดนี้

“ฉันก็ไม่ได้บังคับเธอนะ ลองคุยดูก่อนถ้าชอบก็ถือว่าได้กำไร แต่ถ้าไม่ก็แค่เสมอตัว”

“ไม่ต้องคุยหรอก เซไม่ชอบ ยิ่งแม่สนับสนุนเซก็ยิ่งไม่เอา”

“แกมันดื้อ แค่เอาดอกไม้ไปขอโทษน้อง หลังจากนั้นก็แล้วแต่แก เด็กพวกนี้นี่ไม่ได้ดั่งใจซักคน” บ่นผมลามไปถึงพี่คนอื่นๆ แล้วก็ลุกจากโต๊ะตามพ่อไปอีกคน

“ท่าทางแม่จะอยากดองกับครอบครัวน้องเบลล่าอะไรนี่มากเลยเนอะ” พี่โซ่ที่กำลังซดของหวานอย่างเอร็ดอร่อยไร้มาดผู้บริหารว่าด้วยสีหน้าโคตรจะปลื้มปริ่มกับของที่กำลังเคี้ยวอยู่ในปาก

“พี่ก็โดนเหรอ”

“โดนกันถ้วนหน้าแหละ มึงคนสุดท้าย” พี่สองตอบแทนขณะก้มหน้ากดมือถือยิกๆ

“สองก็โดนเหรอ ทั้งที่สองก็มีแฟนอยู่แล้วเนี่ยนะ”

“เออดิ โคตรซวย วันที่ไปกินข้าวกันอะเจอหญิงพอดี เกือบบ้านแตก” หญิงเป็นชื่อแฟนคนปัจจุบันของเฮียเขา รักมาก ถนอมมาก กลัวมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“เซ”

“ครับ” ขานรับพี่โซ่พร้อมกับหันไปมองหน้าแก

“ย้ายออกมาจากคอนโดคุณปกรณ์ซะ” ไม่เคยเห็นพี่โซ่จริงจังกับเรื่องของผมเท่านี้มาก่อนเลย

“ทำไมล่ะ”

“ถ้าไม่อยากให้คุณปกรณ์เดือดร้อนเพราะข่าวลือก็ควรย้ายออกมานะ” ของหวานคำสุดท้ายถูกส่งเข้าปากหากคำพูดคำจาคนกินไม่หวานอย่างของกินเลย

“โซ่ เซกำลังจีบพี่ไปป์นะ”

“หยุดเถอะ”

“ทำไม”

“ถ้าไม่อยากให้คุณปกรณ์เดือดร้อนก็หยุดเถอะ”

“เดือดร้อนอะไรโซ่ บอกให้ละเอียดสิ บอกแค่เดือดร้อนๆ แบบนี้เซจะเข้าใจมั้ยอะ”

“บอร์ดกำลังพิจารณาเลื่อนตำแหน่งให้คุณปกรณ์ และแนวโน้มก็เป็นไปในทางที่ดี ถ้าเกิดมีข่าวว่าคุณปกรณ์คบกับลูกชายเจ้าของช่อง รู้ใช่มั้ยว่าฟีตแบคเกี่ยวการเลื่อนตำแหน่งของคุณปกรณ์จะเป็นยังไง”

“เซไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องซักหน่อย” ถ้าจะเกี่ยวก็คงเป็นความดีความชอบมากกว่า พี่ไปป์สอนควายให้เป็นคนได้ขนาดนี้ก็สมควรได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว

“พวกเราเข้าใจเซ แต่คนอื่นล่ะ คนที่ไม่รู้ล่ะ คิดว่าคุณปกรณ์จะทนรับแรงกดดันพวกนั้นได้มั้ย”

“ก็คงได้ พี่ไปป์เข้มแข็งจะตาย อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายเดือนไม่เห็นพี่แกจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องอะไรเลย” พี่ไปป์น่ะชิวที่สุดในสามโลก

“ไม่แสดงออกไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึกนะ”

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ไม่แสดงออกก็เพราะไม่รู้สึกจริงๆ” ครั้งแรกเลยมั้งที่ผมเถียงพี่โซ่ขนาดนี้ ปกติก็ก้มหน้ารับๆ ไป เพราะเขาเป็นพี่ใหญ่ผมก็เลยเกรงใจเป็นพิเศษ

“พี่คิดว่าแกจะเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ซะอีก รู้ไว้ซะว่าถ้ายังทำตัวเอาแต่ใจเป็นเด็กๆ แบบนี้ คุณปกรณ์ไม่มีทางมองแกในฐานะอื่นได้หรอก นอกจากน้องคนนึง”

“โซ่จะมารู้ความรู้สึกพี่ไปป์ดีกว่าเซได้ยังไง ตอนนี้พี่ไปป์ดีกับเซมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย และอีกเดี๋ยวเค้าจะยอมรับความรู้สึกเซ”

“งั้นเหรอ คิดไปเองรึเปล่า” น้ำเสียงพี่ชายคนโตเย้ยหยันกว่าครั้งไหนๆ ฟังแล้วก็สะอึกไปเหมือนกัน

“ไม่ได้คิดไปเองแน่นอน” ยืดอกตอบด้วยความมั่นใจเกินร้อย

“แล้วถ้าพี่ถามคุณปกรณ์แล้วเขาบอกว่าไม่รู้สึกอะไรกับเราเลยล่ะ จะทำยังไง จะยอมตัดใจรึเปล่า” พี่โซ่ว่าพลางกดโทรศัพท์มือถือ ชะเง้อมองก็พบว่าเขากำลังต่อสายหาพี่ไปป์ ไม่เอาดิ ถึงจะเป็นพี่ชายคนโตแต่ก็ไม่มีสิทธิมาก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวน้องนะโว้ย

หมับ!!

ผมคว้าโทรศัพท์ในมือพี่โซ่มาตัดสายแล้วเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง ป้องกันไม่ให้ถูกแย่งคืนไป

“เซจะจัดการเรื่องนี้เอง”

“ยังไง” พี่ชายทั้งสองประสานเสียงถามอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียว ผมก้มหน้าไม่ตอบเพราะยังคิดอะไรไม่ออกในสถานการณ์คับขันแบบนี้

“เซไม่รู้ ยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่เซชอบพี่ไปป์จริงๆ นะโซ่ ชอบมากเลย เซจะหยุดได้ยังไงในเมื่อชอบเค้ามากขนาดนี้” ผมปิดหน้าตัวเองด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างด้วยความกดดันที่กระอักกระอ่วนอยู่ในอก ไม่เคยคิดว่าความรู้สึกและการกระทำของตัวเองจะส่งผลต่อคนอื่นมากขนาดนี้ ตลอดมาผมคงคิดน้อยเกินไปจริงๆ

“พี่ไม่รู้นะว่าความรู้สึกชอบของเซมันเป็นยังไง แต่พี่ก็แอบสงสัยว่าเราชอบคุณปกรณ์จริงๆ หรือแค่รู้สึกดีที่ได้อยู่ใกล้เค้า คุณปกรณ์ดูภายนอกเค้าเป็นคนที่ดูดุและจริงจังมาก พอเราได้อยู่ใกล้เค้าได้เห็นมุมอื่นๆ ที่ไม่เคยเห็นเราอาจจะแค่หวั่นไหว มันจะดีกว่ามั้ยเซถ้าเราลองถอยห่างออกมา ลองทบทวนตัวเองว่าความรู้สึกที่เรามีมันเป็นแบบไหนกันแน่ ถ้าชอบจริงๆ ก็ค่อยเดินต่อ รักกันในวันที่พร้อมมันไม่มั่นคงกว่าเหรอ”

ถามว่ามั่นคงกว่าไหม ก็คงมั่นคงกว่า แต่กว่าจะพร้อมพี่ไปป์ไม่เป็นของคนอื่นไปแล้วเหรอ







กว่าจะได้เข้าออฟฟิศอีกทีก็หลังจากเจอพ่อแล้ว 1 สัปดาห์ ไม่รู้เหมือนกันว่าบรรยากาศที่นั่นจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ขอคิดในแง่ดีก็แล้วกัน เพราะตัวพี่ไปป์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ไม่เห็นจะมีท่าทีอะไร ยังดูชิลกับการไปทำงานดีเหมือนเคย

“อย่าลืมทำรายงานส่งผมล่ะ” อีกอาทิตย์เดียวการฝึกงานก็จะสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นผมคงต้องย้ายออกจากห้องพี่ไปป์จริงๆ

“พี่ไปป์ได้ยินเรื่องข่าวลือของเรามั้ย”

“ไม่ใช่มันเงียบไปแล้วเหรอ” เขาตอบเหมือนเรากำลังคุยเรื่องดินฟ้าอากาศกันทั้งที่ผมโคตรซีเรียส

“พี่ไปป์รู้มาตลอดแต่ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลยเนี่ยนะ”

“ต้องเดือดร้อนอะไรทำไมล่ะ เราก็อยู่ด้วยกันจริงๆ”

“มันก็จริง แต่ข่าวลือมันไม่ได้ลือด้านบวก”

“แล้วใครเขาลือเรื่องดีๆ กันล่ะ”

“พี่ไปป์ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ เซเป็นห่วงพี่นะ”

“ห่วงตัวเองเถอะ หรือถ้าห่วงผมเรื่องข่าวลือมากล่ะก็ย้ายออกไปสิ” ไปน่ะไปแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้

“ถ้าเซย้ายออกพี่ไปป์จะไม่เหงาเหรอ”

“ก็คงนิดนึงมั้ง”

“ที่จริงก็เหงาใช่มั้ยล่ะ” ได้ทีขอขยี้หน่อยเถอะ

“ก็มันชินนิดหน่อยกับภาพชีเปลือยที่นอนอยู่บนโซฟา แต่เมื่อคุณฝึกงานจบความสัมพันธ์แบบพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงานของเราก็จบลงด้วย เมื่อถึงตอนนั้นผมก็เป็นแค่พนักงานคนนึงในบริษัทของพ่อคุณ”

“ดูห่างเหินจัง” แค่คิดก็รู้สึกหดหู่แล้ว

“มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้น”

“พี่ไปป์อยากให้มันเป็นอย่างนั้นเหรอ”

“มันควรจะเป็นอย่างนั้น” ไม่ชอบคำตอบแบบไม่ยินดียินร้ายเรื่องสถานะที่ค่อยๆ ห่างออกไปของเราจากปากพี่ไปป์เลย มันทำให้รู้สึกว่าคำพูดของผม ความรู้สึกของผมไม่เคยเดินทางถึงเขาเลย

เราเดินเข้าออฟฟิศพร้อมกัน เพียงความเย็นจากเครื่องปรับอากาศลูบไล้ผิวกายผมก็รับรู้ได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ จากสายตาหลายคู่ที่มองมา

มันต่างไปจากทุกครั้งอย่างที่ผมเองก็สัมผัสได้ ทว่าพี่ไปป์กลับทำตัวสบายๆ ประหนึ่งไม่มีใครมอง

“เชี่ยเซ โทรไปไม่รับแล้วยังเสือกไม่โทรกลับอีก พี่ปกรณ์สวัสดีครับ” ด่าผมเสร็จก็หันไปยกมือไหว้พี่เลี้ยงผมลวกๆ พี่ไปป์เพียงพยักหน้ารับก่อนจะปลีกตัวออกไป

“อะไรมึง”

“มึงได้ยินเรื่องข่าวลือของตัวเองบ้างมั้ย” ไอ้ยอดเข้ามากอดคอแล้วกระซิบขณะกวาดสายตาไปทั่ว

“เรื่องที่กูอยู่กับพี่ไปป์น่ะเหรอ”

“เออเรื่องนั้นแหละ แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ”

ยังพอมีเวลาก่อนเริ่มงานอยู่นิดหน่อย ผมจึงชวนไอ้ยอดไปหาที่เงียบๆ นั่งคุยกัน และหน้าสตูดิโอ 3 ก็มีที่นั่งว่างพอดี

“ยังไง เล่ามามึง”

“เค้าลือกันทั้งตึกว่ามึงกับพี่ไปป์เป็นมากกว่าพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงาน”

“กูก็อยากเป็นมากกว่านั้นแต่พี่ไปป์ไม่เล่นด้วยว่ะ”

“คนที่ลือแม่งไม่รู้หรอกว่าพี่ไปป์ไม่เล่นด้วยกับมึง”

“ยังไงวะ”

“เค้าลือกันว่ามึงกับพี่ไปป์เป็นคู่ขากันน่ะสิ หาว่าพี่ไปป์เกาะมึงเพราะมึงเป็นลูกชายเจ้าของช่อง กูว่ามึงห่างพี่ไปป์ซักพักเถอะว่ะ สงสารพี่แก แล้วนี่พี่แกก็โดนลงโทษเรื่องที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนแขกรับเชิญในรายการตอนเช้าเมื่อวันจันทร์ที่แล้วด้วย พี่ไปป์แม่งเหมือนพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกเลยว่ะ”

เชี่ยแล้ว ผมแม่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย เห็นพี่ไปป์ยังทำตัวสบายๆ ก็เลยไม่ได้เอะใจเรื่องเปลี่ยนตัวแขกรับเชิญจากแฟนเก่าเขาเป็นคนใหม่

“กูควรห่างพี่เขาเหรอวะ”

“ไหนๆ พี่เขาก็ไม่เล่นกับมึงอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ถอยตอนนี้เถอะว่ะ”

หรือผมควรจะถอยอย่างที่คนรอบตัวของผมบอก ผมควรทำอย่างนั้นเหรอวะ

“หรือถ้ามึงเหงาก็ลองเปิดใจคุยกับน้องเบลล่าสิวะ เห็นว่าไปกินข้าวด้วยกันพร้อมดอกไม้ช่อโตไม่ใช่เหรอ” ยังมีหน้ามาแซวกันอีก นี่กำลังเครียดอยู่นะโว้ย

กับน้องเบลล่าเนี่ยแค่ไปกินข้าวกันพร้อมมอบช่อดอกไม้ตามคำสั่งแม่ จบแค่นั้น แต่น้องดูเหมือนไม่อยากจบ เธอถ่ายรูปดอกไม้อัพอินสตราแกรม แท็กผมด้วย คราวนี้เลยกลายเป็นประเด็นว่ากุ๊กกิ๊กกันหรือเปล่า กุ๊กกิ๊กบ้าบออะไร เวลาจะหายใจหายคอยังไม่มี

ว่าแต่พี่ไปป์ไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย ก็คงไม่รู้แหละมั้งเพราะไม่เห็นจะมีท่าทีอะไรเลย

ไอ้ยอดขอตัวกลับไปทำงานแล้ว ทิ้งผมให้นั่งทบทวนการกระทำของตัวเองเพียงลำพังที่หน้าสตูดิโอ 3 นั่งเงียบๆ อยู่พักนึง เสียงผู้คนที่เริ่มทยอยออกจากสตูดิโอหลังถ่ายรายการเสร็จก็ดังขึ้นให้หันไปสนใจ

และสายตาผมก็สะดุดเข้ากับคนๆ หนึ่งที่โดดเด่นกว่าใครๆ

พี่เอ็ม ผมควรเรียกเขาอย่างนั้นเพราะเขาอายุมากกว่าผม 2-3 ปีแต่ก็ยังน้อยกว่าพี่ไปป์ตั้งปีนึง เขาเป็นนักร้องจากค่ายเล็กค่ายหนึ่งที่ดูเหมือนว่ากำลังมาแรงมากในช่วงนี้ เพลงของเขาติดชาร์ตอยู่หลายที่ เคยลองฟังแล้ว ถึงไม่อยากยอมรับว่าเป็นเพลงที่เพราะดีก็ต้องยอมรับ

หลังจากเคลียร์เรื่องของตัวเองจบผมก็ออกจากออฟฟิศมา ไม่ลืมทิ้งข้อความไว้ให้พี่ไปป์ ถ้าไม่ทำเดี๋ยวจะถูกคนเจ้าระเบียบดุเอา

แวะมาเอารถที่จอดไว้คอนโดตัวเองก่อนจะแวะไปที่ที่สบายใจ

ขับรถไม่นานก็มานั่งจับเจ่าคุยกับหินผาโดยมีเจ้าแมวนอนอยู่บนตักที่คลินิกพี่หมอแอมป์แล้ว

ผมรู้ดีว่าตัวเองสร้างความลำบากให้พี่ไปป์มากแค่ไหน ถึงจะบ่นบางครั้งด่าบางทีแต่เขาก็ไม่เคยปล่อยมือจากคนหัวดื้ออย่างผมเลย ดูจะเต็มอกเต็มใจกับการสั่งสอนผมเสียอีก ถ้าหากการถอยห่างออกมาจะทำให้ชีวิตพี่ไปป์ดีขึ้น คิดว่าผมควรทำ แม้จะฝืนใจแต่ก็ต้องทำใช่มั้ย

“หน้านิ่วเชียว คิดมากเรื่องอะไรน้อง” แปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ พี่กริชก็โผล่มาที่นี่แล้วนั่งลงบนพื้นข้างๆ

“พี่กริช หวัดดี” ผมยกมือไหว้ท่วมหัวเหมือนท่านผู้ลงสมัครกำลังหาเสียง

“ทำหน้าเครียดไม่สมเป็นมึงเลย เครียดเรื่องอะไร เรื่องเพื่อนกูป่าว”

“ก็ประมาณนั้นพี่” แอบดีใจอยู่ลึกๆ เหมือนกันที่ได้เจอพี่กริช

“คิดอะไรมากวะแค่ทำตามหัวใจก็พอ”

“ถึงแม้ว่าจะทำให้คนที่ชอบลำบากน่ะเหรอพี่”

“ลำบากอะไร เขาเคยบอกเหรอว่าการที่มึงมาตามตอแยทำให้เขาลำบาก การที่ไอ้ไปป์ไม่ไล่มึงนั่นก็แปลว่ามันยังโอเคอยู่กับการที่มีมึงอยู่ใกล้ๆ” ได้ยินอย่างนี้แล้วก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย

“พี่ไปป์ไล่ผมออกจะบ่อย”

“แล้วมันไล่มึงจริงจังเบอร์ไหนล่ะ”

“ก็ไม่จริงจังเท่าไหร่” ทุกครั้งที่ไล่กันแม้น้ำเสียงจะจริงจังแต่ก็หัวเราะหรือยิ้มออกมาในตอนท้ายเสมอ

“แล้วมึงจะคิดมากทำไม”

“ที่ออฟฟิศเขาลือกันเรื่องผมอยู่กับพี่ไปป์ที่คอนโด ทั้งที่เขาลือกันไปไกลมาก แต่งเรื่องที่ทำให้พี่ไปป์ดูไม่ดีแต่เพื่อนพี่กริชก็ยังนิ่งอยู่ได้ เขาทำเหมือนไม่เดือดร้อนอะไรเลย” ผมค่อยๆ ระบายความคับข้องใจออกมาทีละนิด

“ก็มันไม่เดือดร้อนไงจะให้มันแสดงออกว่าเดือดร้อนทำไม”

“จะไม่เดือดร้อนได้ยังไงพี่”

“มึงยังรู้จักมันไม่ดีพอน่ะสิ ไอ้ไปป์เห็นมันนิ่งๆ อย่างนั้นมันก็นิ่งอย่างที่มึงเห็นนั่นแหละ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มันเดือดร้อนมันก็จะพูดออกมาเสมอ ใครทำให้มันไม่พอใจมันก็พร้อมจะเอาคืน ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่เอาคืนให้เห็นตรงนั้น นั่นแหละไอ้ไปป์ และการที่มันไม่แสดงออกก็หมายความว่ามันไม่คิดอะไรเลย สมองว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย”

ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่ แต่เพราะพี่กริชรู้จักพี่ไปป์มาก่อนผมก็ไม่อยากเถียง

“มึงเถอะ มีอะไรก็พูดกับมันตรงๆ อย่าเก็บเอามาคิดคนเดียว”

“เรื่องพี่เอ็ม ผมถามพี่กริชได้ป่ะ”

“กูจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ แต่จะให้กำลังใจมึงละกัน ไอ้ไปป์ไม่เคยให้อภัยคนที่นอกใจมัน เพราะงั้นมันไม่มีทางรีเทิร์นกับไอ้เอ็มแน่ๆ และถ้าไอ้เอ็มตามกวนใจมัน ชีวิตไอ้เอ็มนั่นแหละจะเดือดร้อน มึงก็เห็นแล้วนี่”

“ถ้าเป็นเรื่องแคนเซิลงาน เรื่องนั้นพี่ไปป์ก็ได้รับผลกระทบนะครับ”

“หักเงินเดือนนิดๆ หน่อยๆ ไอ้ไปป์มันไม่เดือดร้อนหรอก เรื่องของมึงก็เหมือนกันถ้าใจมันจะเอามันก็เอา สู้หน่อย” ตบไหล่ให้กำลังใจผมป้าบๆ

ถ้าใจจะเอาก็เอางั้นเหรอ ถ้างั้นผมก็ต้องทำให้ใจพี่ไปป์ต้องการผมสินะ

“และก็นะ ถ้าทำให้มันไม่พอใจมันก็ตัดใจเทได้ง่ายๆ เลยล่ะ”

เวรละ กำลังใจกำลังมาดันมาตัดกำลังกันแบบนี้ พี่กริชนะพี่กริช

ว่าแต่พี่แกมาทำอะไรที่นี่วะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานไม่ใช่เหรอ

“ไงมึง มานานยัง อ้าวน้องเซมีเรื่องไม่สบายใจเหรอมาถึงนี่เลย” คุณหมอเจ้าของคลินิกที่เพิ่งก้าวเข้ามาร้องทักเพื่อนก่อนหันมาทักทายผม

“ไม่ต้องห่วงมันหรอก กูให้กำลังใจมันแล้ว”

“เรื่องไปป์เหรอ” ผมพยักหน้าพี่หมอจึงยิ้มใจดีส่งมาให้ “สู้หน่อย บอกแล้วไงว่าไอ้ไปป์เปิดใจให้เรามากแล้ว”

“พอแล้ว กูให้กำลังใจมันไปเยอะแล้ว ไหนอะ หมอที่มึงจะแนะนำให้กู เร็วเลยกูอยากมีเมีย”

“ถ้าไม่เอาผู้หญิงมาล่อมึงก็ไม่มาหากูเนอะ”

ผมล่ำลาเพื่อนพี่ไปป์กับเจ้าหินผา

ตั้งใจกลับไปกินข้าวเย็นที่คอนโดพี่ไปป์แล้วค่อยบอกเรื่องที่จะย้ายออก อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำหน้ายังไงตอนที่ผมบอกเรื่องนี้ ถ้าแสดงความอาวรณ์สักหน่อยผมก็คงใจชื้นและมีกำลังใจสู้ขึ้นมาอีกหน่อย







ขากลับรถติดมาก กว่าจะกลับถึงคอนโดก็มืดแล้ว ไม่มีที่จอดรถอีกต้องอาศัยจอดริมฟุตบาธ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาโดนล็อคล้อแน่ๆ

“กินอะไรมารึยัง” ดูคำแรกที่พี่เขาทักทายตอนที่เปิดประตูแล้วโผล่หน้าเข้าไปในห้องสิ หัวใจผมพองโตอัดแน่นไปด้วยความรักเลย

“ยังเลย โคตรหิว”

“ไปคลินิกไอ้แอมป์มาเหรอ” ถามพลางยื่นโบรชัวร์ร้านอาหารมาให้

“พี่แอมป์บอกเหรอครับ”

“ไอ้กริชส่งรูปมาให้นี่ไง” คราวนี้โทรศัพท์มือถือที่เปิดรูปผมกำลังนั่งเล่นกับหินถูกยื่นมาตรงหน้า “มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”

“เรื่องพี่ไปป์แหละ”

“เรื่องผม เรื่องอะไร” เจ้าของห้องทำหน้างง

“ก็เรื่องข่าวลือ”

“คิดมากน่า ผู้ชายทั้งคู่ไม่มีอะไรเสียหายหรอก”

“แต่เซรู้สึกไม่ดี”

“แล้วจะแก้ปัญหายังไง”

“เซ...”

“จะย้ายออกเหรอ”

“คิดว่า” น้ำเสียงของผมเบาลง ไม่มั่นใจ ไม่อยากไป

“ตามใจนะ”

“พี่ไปป์อยากให้เซไปมั้ย”

“ยังไงก็ได้แหละ เอาเข้าจริงก็คงจะเหงาหน่อยๆ ล่ะมั้ง แต่เดี๋ยวก็คงปรับตัวได้”

“พี่ไปป์รั้งเซไว้สิ แค่พี่ไปป์บอกว่าไม่อยากให้เซไปเซก็จะไม่ไปนะ”

“ไปเถอะ ถ้าไม่ไปวันนี้ อีกไม่กี่วันคุณก็ต้องไปอยู่ดี ฝึกงานใกล้เสร็จแล้ว คืนดีกับพ่อแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณจะต้องอยู่ที่นี่แล้ว”

ยอมรับว่าโคตรผิดหวังกับคำพูดตรงๆ ของพี่ไปป์เลย และคงเพราะผมทำหน้าจ๋อยพี่แกจึงก้าวเข้ามาใกล้ วางมือลงบนไหล่แล้วตบเบาๆ

“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ ไม่ได้ตายจากกันซักหน่อย คิดถึงก็โทรมา ชวนออกไปกินเหล้าก็ได้เลย ยังไงเราก็ยังเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน”

“ไม่ได้อยากเป็นอย่างนั้นซักหน่อย”

“ส่วนเรื่องความรู้สึกคุณน่ะ เอาไว้มั่นใจกว่านี้อีกหน่อยเราค่อยกลับมาคุยกัน เอางี้เนอะ”

อือ เอางี้ก็ได้




[T B C]
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 9 UP15.6.17
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 16-06-2017 07:28:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 10 UP25.6.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 25-06-2017 18:57:19
พี่ครับ 10


ผมจะย้ายออกแน่ๆ แต่ไม่ใช่คืนนี้

“ใช้ได้มั้ยครับ” ผมเลื่อนแม็คบุ๊คเครื่องเก่งของตัวเองไปตรงหน้าพี่ไปป์ซึ่งนั่งอยู่บนโซฟาก่อนขยับเข้าไปนั่งพิงขามองมือเรียวที่กำลังขยับอยู่บนแทร็กแพ็ด

“พิมพ์ไทยถูกแล้วนี่” ผมยิ้มรับคำชม

“เก่งใช่มั้ย”

“ต้องชมด้วยเหรอ เรื่องพิมพ์ไทยให้ถูกนี่ไม่ใช่สิ่งที่คนไทยทุกคนควรทำได้รึไง”

“ชมกันหน่อยก็ได้มั้ง” ผมอาศัยจังหวะนั้นเนียนเอียงคอซบขาที่โผล่พ้นกางเกงนอนขาสั้นออกมา

ฟินว่ะ

“ก็เก่งมั้ง”

“นี่คือชมแล้วเหรอ” ผมช้อนตามอง มุ่นคิ้วเบ้หน้าไม่จริงจังใส่ให้เจ้าของตักหัวเราะนิดๆ

“ที่จริงจะไม่ชมก็ได้อะ”

“วันนี้พี่ไปป์ใจดีนะ”

“อารมณ์ดี”

“เรื่อง?”

“เรื่องที่คุณจะย้ายออก” รู้แหละว่าพี่ไปป์แค่ล้อเล่น เพราะริมฝีปากของเจ้าตัวกระตุกยิ้ม ดวงตาที่กำลังไล่ตรวจงานให้ผมก็ไม่ได้มีแววจริงจังอะไร แต่ก็ไม่ค่อยชอบคำพูดพวกนี้เท่าไหร่

“ถ้าเซย้ายออกแล้วจะเหงา” พี่ไปป์เลื่อนสายตามามอง เราจึงสบตากันตรงๆ

“จะซบอีกนานมั้ย ขึ้นมานั่งข้างบนนี่” แอบผิดหวังหน่อยๆ เลยเนี่ย นึกว่าพี่แกจะบอกว่าต้องเหงาแน่ๆ แล้วก็อ้อนให้ผมอยู่ด้วยกันต่อซะอีก

ผมขยับขึ้นมานั่งข้างกันตามคำบอกของเจ้าของห้อง วันนี้พี่ไปป์ยังสวมเสื้อตัวเดิม ตัวที่ผมเคยบอกว่าคอโคตรกว้าง ก้มทีเห็นไปถึงไหนต่อไหน และสายตาของผมก็ดันเอาแต่โฟกัสตรงนั้นซะด้วยสิ

“ขอซื้อไปทิ้งได้มั้ยเสื้อตัวนี้”

“ใส่สบายดีออก คุณไม่มีเสื้อนอนตัวเก่งเหรอ”

“ไม่อะ ปกติเซแก้ผ้านอน”

“เอาที่สบายใจเถอะ”

“มันสบายนะพี่ ต้องลองแล้วจะติดใจ”

“ไม่น่าจะติดใจ” พี่ไปป์ส่ายหน้าแบบยังไงก็ไม่เอา ไม่แก้ผ้านอนแน่ๆ

“พี่ไปป์เซพูดจริงนะ”

“เรื่อง?”

“เรื่องเสื้อตัวนี้ มันโคตรโป๊เลย ถ้าใส่ให้เซเห็นอีกเซปล้ำนะ”

“คุณทำอะไรผมไม่ได้หรอก”

“ท้าป่ะเนี่ย”

“เปล่า”

“งั้นลองมั้ย ถึงตัวเซจะไม่ได้ใหญ่โตกว่าพี่ไปป์มากแต่มั่นใจนะว่าแรงเยอะกว่าแน่ๆ”

“ไปทำรายงานตัวเองให้เสร็จเถอะ” แม็คบุ๊กถูกส่งคืนด้วยการวางไว้บนตักของผมส่วนพี่เจ้าของห้องก็ลุกจากโซฟาไป

“อยากให้พี่ไปป์อยู่เป็นกำลังใจให้จังแต่ก็รู้แหละว่าพรุ่งนี้พี่ไปป์ต้องไปทำงานคงนั่งอยู่เป็นเพื่อนไม่ได้หรอก” ผมแสร้งเปรยกับแม็คบุ๊กบนตัก ถ้าพี่ไปป์เล่นด้วยก็ฟลุ๊คล่ะวะ

“ก็รู้แล้วนี่ว่ายังไงก็ไม่อยู่เป็นเพื่อนหรอกแล้วจะพูดทำไม”

เออ ไม่เล่นด้วยเลย ไม่ให้ความหวังกันซักติ๊ดเลยด้วย







รายการจะออนแอร์พรุ่งนี้แล้ว เพราะเป็นอย่างนั้นผมจึงต้องเข้าออฟฟิศอีกครั้งพร้อมพี่ไปป์ในตอนเช้าวันศุกร์ หวั่นๆ เรื่องข่าวลืออยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้ซาไปบ้างแล้วหรือยัง ถามไอ้ยอดอยู่บ่อยครั้ง มันก็บอกแหละว่าซา แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นป่ะวะ

“พี่ไปป์” ตอนเช้ารถยังติดอย่างเป็นปกติแต่เอาเข้าจริงผมไม่เคยชินกับมันเลยและคิดว่าใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงไม่ชิน

“อะไร” ตอบรับผมเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงปกติ เคาะนิ้วกับพวกมาลัยไปตามจังหวะเพลงอีกต่างหาก ชิวอะไรขนาดนั้น รถติดขนาดนี้พี่ต้องหงุดหงิดสิ

“เรื่องข่าวลือ”

“คุณยังคิดมากเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ”

“พยายามไม่คิดแล้วแต่ก็อดคิดไม่ได้”

“อย่าไปใส่ใจกับคำพูดไม่ดีของคนอื่นให้มากเลย ไม่ดีหรอก”

“พี่ไปป์ไม่สงสัยเหรอว่าใครปล่อยข่าว”

“ผมรู้แต่ไม่บอกคุณหรอก บอกไปก็เปล่าประโยชน์ รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้” ถ้าจะไม่บอกก็ควรจะกั๊กเอาไว้สิ

“แต่เซอยากรู้ พี่ไปป์บอกหน่อย” ผมอ้อนแล้วแต่พี่ไปป์ก็ยังใจแข็ง

“ถ้าการได้รู้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวลือแล้วทำให้สบายใจขึ้นก็เชิญสืบเองละกัน” โคตรใจร้ายและผมก็อยากรู้มากจริงๆ แต่จำต้องทำเป็นไม่สนใจเพื่อเอาใจ

“ที่จริงเซไม่รู้ก็ได้แหละ แต่เซเป็นห่วงพี่ไปป์นะ เซคิดว่าเขาคงไม่ประสงค์ดีกับพี่ไปป์นั่นแหละ”

“ขอบคุณที่ห่วง” เจ้าของรถละสายตาจากถนนเบื้องหน้าเพื่อมองกันครู่หนึ่ง “แต่เรื่องข่าวลือเนี่ยไม่ทำให้ผมเดือดร้อนเท่าไหร่หรอก หนักกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว เพราะงั้นคุณอย่ากังวลไปเลย ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

“ถึงอย่างนั้นก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดีป่ะวะ”

ผ่านแยกไฟเขียว 3 วิกันมาได้ หักพวงมาลัยเข้าตึก หาที่จอดก็เป็นอันถึงออฟฟิศโดยสวัสดิภาพ

แค่เผลอคิดว่าครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้นั่งรถมาทำงานด้วยกันก็รู้สึกวูบโหวงในหัวใจแปลกๆ

“เซ”

“ครับ” เรียกแล้วก็ไม่พูด จนผมต้องถามซ้ำ “เมื่อกี้พี่ไปป์เรียกเซป่ะ”

“อือ อยากให้เรียกไม่ใช่เหรอ เซ” พี่ไปป์เรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยได้ฟังมา รอยยิ้มละลายใจปรากฏชัดบนใบหน้าหล่อเหลา ไม่ค่อยเห็นเขายิ้มแบบนี้และยิ่งเห็นว่ารอยยิ้มนั้นตั้งใจมอบให้ผมก็ยิ่งทำให้หัวใจทำงานหนัก ปลื้มจนสติขาดผึงไปเลย

ตู้ม!

ได้ยินเสียงหัวใจไอ้เซระเบิดเป็นความรักมั้ยครับ







แค่ก้าวเข้ามาในตึกพร้อมกันก็รู้เลยว่าข่าวลือยังไม่ซาไป สายตาหลายคู่ยังคงจับจ้องมาที่เรา อาจจะไม่ซุบซิบให้เห็นแต่พอลอบมองกลับไปก็เห็นว่าพวกเขากำลังทำ เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดว้าวุ่นใจไม่ได้ เว้นก็แต่คนข้างๆ ผมนี่แหละ มองตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว ไม่สนใจใครเลย

“วันนี้ผมมีประชุมทั้งวันนะ” พี่ไปป์หันมาบอกพร้อมกดชั้น

“ตอนบ่ายเซต้องเข้าไปที่ออฟฟิศกับพวกพี่อาร์ม”

“เข้าไปทำอะไรอีก เทปก็ส่งมาพร้อมออนแอร์แล้วไม่ใช่เหรอ”

“รอด้วยค่ะ” ยังไม่ทันได้ตอบคำถามเสียงบุคคลที่สามก็แทรกเข้ามาซะก่อน พี่ไปป์กดเปิดลิฟต์ที่กำลังจะปิดให้เธอแทรกตัวเข้ามา “ขอบคุณค่ะคุณปกรณ์” พี่ผู้ช่วยพี่ไปป์นั่นเอง เธอยกมือไหว้หัวหน้าโดยตรงแล้วไม่ลืมส่งยิ้มให้ผมด้วย

“วันนี้มาสายนะ” จิตวิญญาณคุณปกรณ์ประทับร่าง น้ำเสียงพี่ไปป์เคร่งขรึมจนคนถูกถามไหล่ห่อลง

“พอดีหนิงออกจากบ้านผิดเวลาค่ะ” เพิ่งรู้ว่าพี่แกชื่อหนิง

คนเป็นหัวหน้าแค่พยักหน้ารับ ภายในลิฟต์โดยสารเงียบสงัด พี่หนิงหันมามองหน้าผมอยู่หลายที ผมเองก็ไม่กล้าชวนคุย เอาเข้าจริงพอเจอพี่ปกรณ์เวอร์ชั่นจริงจังก็ไม่ค่อยอย่างจะแหยมเท่าไหร่ กลัวถูกเบิ้ดกระโหลกไม่ใช่อะไร

กระทั่งลิฟต์เปิดที่ชั้นออฟฟิศพี่ไปป์ คนที่ยืนอยู่ใกล้แผงควบคุมลิฟต์ก็กดปุ่มเปิดค้างไว้ให้สุภาพสตรีก้าวออกไปก่อน

“เซ” เรียกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนตอนที่เรียกในรถ

“ครับ”

“เย็นนี้ให้ผมไปรับที่ออฟฟิศอาร์มมั้ย”

ห๊ะ! อะไรนะ ไอ้เซไม่ได้หูฝาดใช่มั้ย พี่ไปป์บอกจะไปรับไอ้เซจริงๆ ใช่รึเปล่า

“ว่าไง” พอผมเอาแต่อึ้งก็เร่งเอาคำตอบ

“ดะ ได้ครับ เซจะรอนะ”

“อืม”

ตอบรับสั้นๆ แล้วก้าวออกไปทิ้งให้ผมฟินลืมโลกอยู่ในลิฟต์ลำพังกับกลิ่นน้ำหอมจางๆ ที่ทำเอาผมคลั่งแทบตาย







วันนี้น่าจะเป็นวันที่ผมอารมณ์ดีที่สุดในรอบปี กระทั่งพักกลางวันลงมากินข้าวกับไอ้ยอดเพื่อนรัก ผมก็ยังยิ้มไม่หยุด

“มึงโดนตัวไหนมาไอ้เซ ยิ้มไม่หุบเลยไอ้ห่า”

“กูมีความสุขอะ กูยิ้มไม่ได้เหรอ” ตอแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างกวนตีนมัน

“มีความสุขเกินไปกูหมั่นไส้ และเนี่ยกูทุกข์อยู่ มึงจงทุกข์เป็นเพื่อนกู”

“เรื่องไรกูต้องทุกกับมึง”

“กูให้ที่ซุกหัวนอนมึงตอนมึงตกอับ” แหม นอนไม่กี่คืนทำเป็นถามหาบุญคุณ แต่ก็เอาเถอะ เพื่อนกัน แชร์ความทุกข์กับมันหน่อยก็ไม่เสียหาย

“แล้วมึงทุกข์เรื่องอะไร”

“เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกูไปถ่ายรายการแถววงเวียนใหญ่มา ยอดวิวในยูทูปโคตรน้อยอะมึง” มองหน้าไอ้ยอดตรงๆ ก็พบกับคนหน้าจ๋อย 1 อัตรา

“เนี่ยอะนะเรื่องเครียด กูนึกว่ามึงเลิกกับแฟน”

“อย่าแช่งไอ้สัด ช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมเข้าจังหวะ”

“ทำไม มึงเสื่อมเหรอ”

“ไอ้เพื่อนเวร ไม่ใช่โว้ย ของกูนี่ปึ๋งปั๋งทุกเช้า ว่าแต่มึงเถอะ” วกเข้ามาเรื่องผมได้ไง

“อย่ามายุ่งกับกู เรื่องยอดวิวมึงอะยังไงต่อ”

“วีคหน้ามึงไปเกสท์ให้กูหน่อยสิ”

“ไม่เอา กูคิดว่ากูจะไม่ว่าง”

“จะไม่ว่างเหี้ยไร มึงยังไม่มีแพลนไปไหน ไปกับกู ชวนพี่ไปป์ไปด้วยสิ รายนั้นเป็นคนดัง ยอดวิวกูต้องพุ่งพรวดๆ แน่”

“เดี๋ยว ไอ้ยอดมึงรู้เรื่องพี่ไปป์เป็นเน็ตไอดอลด้วยเหรอ”

“นี่มึงไม่รู้เหรอ แต่ก็ไม่แปลกหรอก มึงมันโง่แถมไม่ใฝ่เรียนอีก” เอ้า! ถากถางกูเข้าไป คนครับไม่ใช่หญ้าไม่ต้องถางมากหรอกเดี๋ยวเตียนหมด

“วันเสาร์ที่มึงจะนัดกูน่ะกูไม่ว่างแล้วนะ” แซะกันดีนัก ชวนไปไหนก็ไม่ไปทั้งนั้นแหละ ไอ้เซงอน

“ไม่งอนสิไอ้เซเพื่อนรัก ช่วยกูหน่อย มึงก็รู้ว่ากูทุ่มเทกับรายการมากแค่ไหน กูก็รักของกูอะมึง ยอดวิวตอนที่มึงไปกับกูครั้งก่อนก็เกือบแสนวิวแล้ว นะเซ ช่วยกู ช่วยเพิ่มพลังกายพลังใจให้กูหน่อย” ไอ้ยอดทำหน้างอแงพลางยื่นมือมาจับแขนผมขอร้องกราบกราน ไม่ได้น่าสงสารหรอกแต่น่าสมเพชเวทนาจนทนดูแทบไม่ได้

“แล้วมึงจะไปถ่ายไหน”

“จะมีงานสตรีทฟู้ดที่สวมลุม กูว่าต้องมันแน่ ปีที่แล้วกูไม่ได้ไปไงติดทำรายงานกับพวกมึงอะ”

“เออก็ได้” ผมตอบรับพลางแกะมือมันออก บอกให้มันเลิกทำตัวทุเรศๆ ซักที อายคนอื่นเขา

“พี่ไปป์ล่ะ”

“มึงก็ชวนดิ คิดว่าอย่างพี่ไปป์จะไปเหรอวะ”

“ไม่รู้สิ นี่ไอ้เซมึงไม่คิดว่านี่เป็นโอกาสเหรอวะ”

“โอกาสอะไรของมึง โอกาสที่จะถูกพี่ไปป์ด่านะเหรอ กูโดนทุกวันอยู่แล้ว”

“ไม่ใช่ไอ้ควาย ไปเดทไงครับ แดกไปด้วยเดทไปด้วย มึงไม่คิดว่ามันโรแมนติกเหรอ”

“โรแมนติกพ่อง” แต่จะว่าไปก็เป็นความคิดที่ดีนะ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เปอร์เซ็นที่พี่ไปป์จะไปด้วยนี่เกือบจะติดลบด้วยซ้ำมั้ง

Rrrrr~

นึกถึงก็โทรมาเลย แปลกใจอยู่นิดหน่อยแต่ก็ต้องรีบรับเดี๋ยวคุณเขาจะพิโรธ

“อยู่ไหนอะ”

“ฟู้ดคอร์ดครับ”

“เดี๋ยวไปหา” พูดจบแล้วก็ตัดสายไปเลย

“เป็นไรมึง เมาผักชีเหรอ” คงเห็นผมมองมือถือนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาหลังจากวางสายไอ้ยอดจึงยื่นมือมาสะกิด

“พี่ไปป์จะมาหา”

“เชี่ย เป็นโอกาสที่ดี มึงก็ชวนเค้าเลย” โอกาสดีจริง ถามว่ากล้าชวนมั้ยก็กล้าชวนแหละไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้วแต่ก็หวั่นใจกลัวพี่แกปฏิเสธอยู่นิดนึง

“งานมึงมึงก็ชวนเองสิ”

“กูไม่สนิทกับพี่แกไง มึงสนิทกว่ามึงต้องช่วยกูสิ” สนิทมาก สนิทเพราะถูกตบหัวจนสมองเป่งแล้ว

“มันใช่ธุระกงการอะไรของกูป่าววะ”

“ช่วยกูหน่อยน่า นะเพื่อนรัก” ทีอย่างนี้รักกูขึ้นมาเชียว

ระหว่างที่ไอ้คนตรงข้ามขอร้องอ้อนวอน ผมก็เขี่ยผักชีในจานข้าวมันไก่ไปพลางๆ ไม่นานหลังจากนั้นพี่ไปป์ก็มาถึง

“กินข้าวกันเสร็จแล้วเหรอ”

“สวัสดีครับพี่ปกรณ์” ไอ้ยอดยกมือไหว้ให้พี่ปกรณ์รับไหว้พร้อมกับผมที่พยักหน้าตอบคำถามก่อนหน้านี้

“นั่งเป็นเพื่อนก่อนสิ” เนี่ย มาแปลก ร้อยวันพันปีไม่เคยทำตัวน่ารักแบบนี้

บอกกันแบบนั้นแล้วก็หายไปซื้อข้าวเลย ผมกับไอ้ยอดได้แต่มองตากันปริบๆ จะไม่ให้รู้สึกแปลกได้ยังไงในเมื่อพี่ไปป์ทำตัวแปลกๆ ใส่พวกเราก่อน

“พี่แกกินยาผิดซองป่ะวะ ทำไมวันนี้เฟรนลี่ผิดปกติ”

“กูไม่รู้ แต่พี่แกแปลกๆ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว”

“นี่รึเปล่าสาเหตุที่ทำให้มึงอารมณ์ดีทั้งวัน”

“เออ น่ารักใช่มั้ยล่ะ”

“แล้วแต่มึงเลย อย่าลืมชวนพี่ปกรณ์ไปสวนลุมด้วยกันเสาร์นี้”

“ไปสวมลุมทำไม” นี่ก็มาถูกจังหวะมาก พี่ไปป์ทำหน้างงเมื่อถาม ยังไงดี ชวนตอนนี้เลยดีไหม ไหนๆ ก็เข้าเรื่องแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว “ว่าไง จะไปวิ่งที่สวนลุมกันเหรอ”

พี่ไปป์ถามซ้ำพลางวางชามก๋วยเตี๋ยวลงข้างๆ ผม

“เอ่อ ไอ้เซมีเรื่องจะคุยกับพี่ปกรณ์น่ะครับ” น่าน โยนขี้เลยนะมึงไอ้ยอด ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผมเล้ย แต่ถึงอย่างนั้นพอถูกคาดคั้นด้วยสายตาก็จำต้องพูดล่ะนะ

“วันเสาร์หน้าพี่ไปป์ว่างมั้ย” ผมลองเลียบๆ เคียงๆ ถามก่อน

“ถ้าว่างแล้วจะทำไม จะชวนไปไหน แล้วคิดว่าต้องไปมั้ย” นี่กวนตีนมั้ย ตอบ

“ก็ลองชวนดู เผื่อพี่ไปป์สนใจ”

“ว่ามา” บอกให้ผมว่าก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆ คีบเส้นเล็กในชามเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างหมดมาดคุณปกรณ์ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาทำตัวสบายๆ เวลาอยู่ต่อหน้าผม “ว่าไง จะชวนไปไหน”

มองเพลินไปหน่อยแฮะ ช่วยไม่ได้ล่ะนะก็พี่ไปป์ตอนเคี้ยวข้าวโคตรน่ารัก

“คือยอดมันมีรายการที่มันทำคนเดียวในยูทูปอะครับ”

พี่ไปป์ไม่พูด ไม่ถาม เอาแต่เคี้ยวและพยักหน้ารับ

“เป็นรายการเกี่ยวการตะลอนกินนู่นนี่ครับ แล้วทีนี้ช่วงนี้ยอดวิวตกมาก มันก็ไม่มีกำลังใจ”

“ต้องการกำลังใจจากผมเหรอ” พี่ไปป์เงยหน้าขึ้น มองไปยังไอ้ยอดให้รู้ว่าเขาถามคำถามนั้นกับใคร คนถูกถามก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ตอบไม่ถูก

“คิดว่าพี่ไปป์น่าจะทำให้ไอ้ยอดมีกำลังใจ” ดังนั้นผมจึงตอบแทนให้คนฟังมุ่นคิ้วยุ่งเข้าไปอีก ถึงกระนั้นมือที่กำลังจ้วงซดน้ำซุปในชามก็ยังคงทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“ยังไง เข้าเรื่องเลยได้มั้ย อ้อมค้อมทำไม เสียเวลา”

“มันอยากชวนพี่ไปป์ไปหาอะไรกินแล้วถ่ายรายการด้วยกัน”

“ผมเหรอ” เราทั้งคู่พยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง “จะไม่อึดอัดเหรอ”

“ไม่นะ” ผมตอบพร้อมฉีกยิ้มกว้าง

“ไม่ได้ถามคุณ ผมถามยอด จะไม่อึดอัดเหรอ”

“ไม่น่านะพี่ ผมเข้ากับคนง่าย และอีกอย่างพี่ไปป์ก็เป็นพี่มหา’ลัย ก็คิดว่าน่าจะเข้ากันได้ดีครับ” ทีอย่างนี้พูดดี ก่อนหน้านี้ทำไมไม่พูดเอง

“คุณ ผม กับสิทธาเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ที่ไหน”

“สตรีทฟู้ดที่สวนลุม ช่วงเย็นๆ วันเสาร์ อากาศน่าจะน่าเดินครับ” บอกเวลาสถานที่เสร็จสรรพอย่างกับพี่ไปป์รับปากแล้วอย่างนั้นแหละ

“น่าสนใจดี แต่ไม่รู้ว่าจะว่างรึเปล่า เดี๋ยวใกล้ๆ วันจะคอนเฟิร์มอีกทีนะ” ถึงแม้พี่ไปป์ยังไม่ได้รับปากแต่เชื่อเถอะว่าหัวใจไอ้ยอดกำลังเบ่งบาน รอยยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเหมือนตอนที่มันวิ่งมากอดผมแล้วบอกว่าแฟนคนปัจจุบันของมันรับรักนั่นแหละ

“ทำไมวันนี้พี่ไปป์ใจดีจัง” เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดเท้าคางมองเขาด้วยสายตาชื่นชมเหมือนกับคำหวานที่หยอดไป

“ปกติก็เป็นคนใจดีนะ”

“ไม่จริงอะ ปกติโหดกับเซตลอด”

“ก็ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้เรื่อง จำเป็นต้องใจดีด้วยมั้ย”

“แล้วตอนนี้เซเป็นไงบ้างอะ”

“ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน เคยบอกไปแล้วไง ทำไมต้องให้พูดซ้ำ ก๋วยเตี๋ยวอืดหมดแล้ว” ตัดบทกันดื้อๆ อย่างนั้นแล้วก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารตรงหน้าแบบไม่สนใจพวกเราอีก

‘มองตาเยิ้มขนาดนั้น อยากแดกก๋วยเตี๋ยวหรืออยากแดกคนกินก๋วยเตี๋ยววะสัด’ โทรศัพท์มือถือในมือสั่น กดดูก็พบกับข้อความล้อเลียนจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันตอนนี้

‘มึงก็รู้คำตอบอยู่แล้วมั้ย’

‘ใกล้จะได้กินแล้วนะกูว่า’

‘สาธุครับ’

“พี่ปกรณ์ผมต้องไปทำงานแล้ว สวัสดีครับ” อ่านข้อความผมแล้วก็ลุกขึ้นยกมือไหว้คนเป็นรุ่นพี่อย่างมีมารยาท ไม่ลืมหันมายักคิ้วให้ผมแล้วค่อยปัดตูดเดินหนีไป

“รายการที่เพื่อนคุณทำชื่ออะไร” วางตะเกียบ ถามและยื่นมือถือมาให้

ผมรับมาแต่ยังไม่พิมพ์ชื่อรายการของไอ้ยอดในยูทูปให้ทันที ของแบบนี้มันต้องมียื่นหมายื่นแมวสิ

“พี่ไปป์เคยถ่ายเอ็มวี เพลงอะไรครับ”

“แค่เสิร์ชชื่อผมในกูเกิ้ลก็เจอแล้ว”

“ไม่สิ อยากรู้จากพี่ไปป์”

“เรื่องมาก เอามือถือมา” น้ำเสียงหงุดหงิดมากแต่ก็แบมือมาขอมือถือกัน น่ารักเนอะ

เราต่างก็กดมือถือของอีกฝ่าย แต่ว่านะ เห็นแอพเฟซบุ๊กแล้วก็อยากจะละลาบละล้วง

“พี่ไปป์รับเซเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กรึยัง”

“รู้แล้วจะถามทำไม” รู้แล้วครับ รู้ว่ายังไม่รับ

ผมรับมือถือคืนมา อ่อยอิ่งที่จะคืนอีกเครื่องให้เจ้าของ ที่จริงจะกดรับเองตอนนี้เลยก็ได้แต่จะดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป เดี๋ยวพี่ไปป์โกรธ ไอ้เซไม่ทำดีกว่า

“อยากให้ผมรับเป็นเพื่อนแค่ไหน”

“มาก” เปิดฟาร์มก.ไก่

“กดรับเองสิ” ทำไมใจดี อยากรู้ครับแต่ไม่ถามดีกว่า รีบกดเข้าแอพแล้วรับตัวเองเป็นเพื่อน ทว่า...ชิบหาย คนขอเป็นเพื่อนอย่างเยอะ ต้องเลื่อนหากี่วันถึงจะเจอเฟซตัวเอง

“พี่ไปป์คนขอเป็นเพื่อนโคตรเยอะ ฮ๊อตเนอะ”

“อือ”

“นึกว่าพี่ไปป์เป็นคนถ่อมตัว”

“จะกดก็รีบกด นี่จะบ่ายแล้วไม่ไปออฟฟิศโน้นแล้วเหรอ”

“เวลาแห่งความสุขผ่านไปเร็วจัง” ผมเบะหน้าไม่จริงจังพลางพิมพ์ชื่อเฟซตัวเองตรงช่องค้นหา กดปุ่มแว่นขยายปุ๊บเจอคนหล่อในชุดนักศึกษา สวมแว่นกันแดดอย่างเท่ห์ปั๊บ คราวนี้ก็เหลือแค่กดรับแอดแล้วนะ “พี่ไปป์กดให้หน่อยสิ” จะรับตัวเองเป็นเพื่อนก็กะไรอยู่ เห็นหน้าด้านๆ ก็แอบมียางอายฉาบไว้บางๆ เหมือนกันนะครับ

“เรื่องมากจัง” ถึงแม้จะบ่นแต่ก็ยอมรับมือถือคืนไป กดรับทันทีไม่ลังเลเลยด้วยซ้ำ

ติ๊ง!!

แจ้งเตือนมาแล้ว แค่นี้ก็เป็นเพื่อนกันแล้วเนอะ

“รู้จักกันมาตั้งหลายเดือน ไม่มีรูปคู่เลยอะ”

“จะชวนถ่ายรูปเหรอ อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ”

“ทำไมล่ะครับ พี่ไปป์เคยเป็นดาราไม่น่าจะไม่ชอบถ่ายรูปนะ” อดีตว่าที่ซุปเปอร์สตาร์นิ่งไปครู่ เห็นเหลียวไปมองรอบตัวผมเองก็มองตาม คงเพราะคนเยอะมั้ง สงสัยจะอาย

“จะถ่ายก็รีบถ่าย” สีหน้าเหมือนไม่พอใจหรอกแต่ก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ เห็นอย่างนั้นก็รีบเปิดกล้องหน้าแล้วยกขึ้นทำมุมเพื่อถ่ายให้ได้มุมหล่อๆ อยากเอาแก้มแนบแก้มด้วยซ้ำแต่ก็แอบเกรงใจอยู่นิดนึงแหละ

“พี่ไปป์ไม่ยิ้มเลย”

“เรื่องมาก” บ่นแล้วก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มจนกลายเป็นยิ้มที่ทำให้พี่ไปป์ดูดีมาก แอบกดไปตั้งหลายครั้ง และอยากกดจนเมมโมรี่เต็มแต่คนข้างๆ จับได้ซะก่อน

“ถ่ายไม่นับ รูปไหนที่หน้าผมเด๋อๆ ก็ลบทิ้งไปบ้างนะ”

“ไม่เด๋อหรอกครับ น่ารักทุกรูปแหละ”

“โม้”

“ไม่เชื่อดู” ผมขยับเข้าไปใกล้พี่ไปป์จนไหล่ชิด ค่อยๆ กดดูรูปไปพร้อมกันทีละรูป ช่างเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นหัวใจ

“หน้าเดิมทุกรูปเลย”

“น่ารักดี ลงเฟซบุ๊กแล้วแท็กพี่ไปป์ได้มั้ย” นิ่งคิดไปชั่วอึดใจหนึ่งแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ตอบ สงสัยจะไม่อยากให้อัพ แต่ไม่เป็นไรหรอก เก็บไว้ดูคนเดียวก็ได้

“เซส่งรูปให้พี่ไปป์แล้วนะ”

“อือ ผมต้องไปประชุมแล้ว” พี่ไปป์ยกชามตรงหน้ากับแก้วน้ำของเขาตั้งท่าจะลุกขึ้นแต่ผมก็คว้าข้อมือห้ามไว้

“เดี๋ยวเซเก็บให้ พี่ไปป์ไปประชุมเถอะ”

“ไม่เป็นไร เกรงใจ”

“เซอยากทำให้”

“งั้นก็ขอบคุณนะ เจอกันเย็นนี้”

แจกยิ้มหล่อๆ พาให้ใจละลายแล้วก็เดินห่างออกไป ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ารอยยิ้มของพี่ไปป์ช่วยให้ลืมเรื่องข่าวลือไปชั่วขณะได้จริงๆ







การได้อยู่ร่วมกับคนที่มีพลังบวกมากๆ ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเราได้รับพลังนั้นไปด้วยเช่นกัน

“ตื่นเต้นว่ะ” รายการ ‘เจ้านายครับ’ ตอนที่ 1 กำลังจะฉายพรุ่งนี้ คอมเมนท์จากคนของช่องหลังจากได้ดูเทปเป็นไปในทิศทางที่ดี พอได้รับกำลังใจทุกคนก็เหมือนจะมีแรงกันมากขึ้น

ผมเองก็รู้สึกดี พอได้ลงมือทำงานจริงๆ ไอเดียต่างๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวไม่ขาดสาย รู้สึกว่าตัวเองก็มีความสามารถอยู่ไม่น้อย

“คิดว่าพี่ไปป์จะชอบมั้ยอะพี่”

“กูชอบนะ” พี่อาร์มชะโงกหน้ามาดูตัวอย่างเสื้อยืดที่ตั้งใจจะทำขายเพื่อเอาเงินมาช่วยหมาแมวซึ่งเป็นพระเอกรายการของเรา

“หวังว่าพี่ไปป์จะชอบนะ”

“มึงนี่อะไรๆ ก็พี่ไปป์ ชอบพี่กูขนาดนั้นเลย”

“ก็ชอบ” ผมตอบง่ายๆ แต่เชื่อมั้ยว่าทุกครั้งที่พูดว่าชอบหัวใจของผมก็เบ่งบอนขึ้นมาเหมือนดอกไม้

“จริงจัง”

“มาก”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”

“ไม่ต้องรู้ว่าชอบพี่ไปป์ตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แค่ว่าจากนี้และตลอดไปจะมีพี่ไปป์คนเดียว”

“เสี่ยวสัด!” เอ้า ตบหัวกันอีก คิดว่าตัวเองเป็นปลื้มจิตหรา ตบเอาๆ เจ็บเด้อ

Rrrrrr

คนนี้ก็ด้วย พอเอ่ยชื่อก็โทรมาเลย แต่วันนี้พี่ไปป์แปลกจริงๆ นะ โทรหาผมบ่อย พูดดีด้วยแปลกๆ มันก็ดีแหละแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่ามันแปลก

“ครับพี่ไปป์”

“เซทำอะไรอยู่” เสียงสดใสมากจนไม่อยากเชื่อหู

“พี่ไปป์เล่นอะไรอยู่”

“ผมประชุมเสร็จแล้วนะ กำลังจะออกจากออฟฟิศ อยากกินอะไรมั้ย” เนี่ยร้อยวันพันปีไม่เคยถามหรอก

“อยากกินหมูสะเต๊ะอะ”

“ซื้อที่ไหน”

“มารับเซสิ เดี๋ยวออกไปกินด้วยกัน”

“น่าจะอีกซักชั่วโมงนะ ชั่วโมงเร่งด่วนรถต้องโคตรติดแน่เลย” น้ำเสียงของเขาติดอ้อนหน่อยๆ ด้วย

“ขับรถดีๆ นะครับ ไว้เจอกัน”

“อื้อ เจอกัน” พี่ไปป์วางสายไปแล้วเหลือแต่ผมที่นั่งยิ้มลำพัง หัวเราะลำพัง ฟินลำพัง จนพี่อาร์มที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาสะกิดด้วยเท้าให้ตื่นจากภวังค์

“พี่ไปป์เหรอวะ หวานกันจัง เป็นแฟนกันเหรอ”

“ก็อยากนะแต่ยังจีบไม่ติดไง แต่จะว่าไปวันนี้พี่ไปป์ใจดีมาก ใจดีผิดวิสัยคุณปกรณ์อะพี่”

“ที่จริงพี่ไปป์เป็นคนใจดีนะ”

“กับคนอื่นอาจจะใช่ไง แต่กับผมก็ไม่ได้ใจดีขนาดนั้นป่าววะ”

“งั้นก็คงมีเหตุผลแหละมั้ง กูก็ไม่รู้ มึงอยากรู้ก็ถามดิ” อยากถามอยู่หรอกแต่ก็เสียดายความใจดีที่ได้รับอยู่ตอนนี้ กลัวว่าถ้าถามออกไปแล้วพี่ไปป์จะไม่ใจดีด้วยแล้ว

ที่จริงผมน่ะอยากเก็บความใจดีนี้ไว้กับตัวเองนานๆ นานตลอดไป




[T B C]
 :L1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 10 UP25.6.17
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 25-06-2017 19:08:07
ยังคงสงสารน้องเซต่อไป สู้ๆนะน้อง
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 11 UP 5.7.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 04-07-2017 21:18:41

พี่ครับ 11



ไหนพี่ไปป์บอกว่าอีกชั่วโมงนึงจะมาถึงไง นี่มันผ่านมาเกือบ 3 ชั่วโมงแล้ว พี่แกยังไม่โผล่มาเลย

ผมเดินเลี่ยงออกมาข้างนอก พลางกดมือถือหาคนที่หายไปเลย รอสายไม่นานเขาก็รับด้วยน้ำเสียงงัวเงีย

เดี๋ยวนะ แอบไปหลับที่ไหนมา

“พี่ไปป์หลับเหรอ”

“อือ โทรมามีอะไร” ยังมีหน้ามาถามด้วยน้ำเสียงโคตรงัวเงียอีก

“ไหนพี่บอกจะซื้อข้าวเข้ามาไง นี่ทุกคนรอพี่ไปป์อยู่นะ” มองคนที่นั่งหิ้วท้องรอแล้วก็นึกเวทนา

“จริงเหรอ ผมสั่งข้าวไว้แหละแต่ว่ากะจะขึ้นห้องมางีบแล้วก็หลับยาวเลย ขอโทษนะ ฝากขอโทษทุกคนด้วย”

“แล้วร้านข้าวเค้าไม่โทรมาเหรอ” ปกติถ้าอาหารพร้อมแล้วที่ร้านจะโทรมาแจ้งไม่ใช่เหรอ

“นั่นสิ วางก่อนได้มั้ย เดี๋ยวขอเช็คมือถือก่อน ได้เรื่องยังไงเดี๋ยวโทรกลับนะ”

“โทรมานะครับ”

“อือ”

“อย่าแอบไปหลับอีกนะ” กลัวใจพี่ไปป์จริงๆ นะ เสียงเขางัวเงียมาก และช่วงหลังมานี้เขาก็นอนดึกมากเลยด้วย

“ตื่นแล้ว”

“ตื่นแล้ว แล้วชอบเซรึยัง”

“อย่ามาฉวยโอกาส” ว่าจบก็ตัดสายไปเลย

ผมยืนยิ้มให้โทรศัพท์ ผิดมั้ยหากรู้สึกเอ็นดูคนอายุมากกว่า แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก พี่ไปป์ออกจะน่ารักขนาดนั้นนี่นา

ว่าแล้วก็น่าเห็นใจเขานะครับ เห็นทำตัวชิวๆ ที่จริงก็คงเหนื่อยมากเหมือนกัน ไม่รู้ว่าวันๆ ต้องแบกงานอะไรไว้บ้าง หลักๆ ก็ดูเรื่องรายการที่ซื้อมาจากต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่สรรหา รีเสิร์ช ติดต่อประสานงาน ทุกขั้นตอนจนออนแอร์ กระทั่งเรื่องเรตติ้ง ช่วงผมมาฝึกงานแรกๆ แล้วไม่เจอพี่เลี้ยงก็เพราะหน้าที่อันหนักหน่วงนี่แหละ ทั้งที่งานตัวเองก็เหนือบ่ากว่าแรงจนแทบแบกไม่ไหวยังมาช่วยดูแลรายการของพี่อาร์มอีก รู้แหละครับว่าเริ่มทำด้วยกันมา แต่บางทีผมก็อยากให้พี่ไปป์ปล่อยวางบ้างเหมือนกัน

นั่งหิ้วท้องรอคนสัญญาว่าจะซื้อข้าวเข้ามาไม่นาน สายเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น

พี่ไปป์...

“กำลังจะเข้าไป”

“ให้เซไปรับมั้ย”

“มาทำไมเสียเวลา ผมขับรถไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”

“ตาสว่างแล้วแน่นะ”

“สว่างแล้ว ล้างหน้าแล้ว” เสียงเขาสดใสขึ้นมากแล้วล่ะ

“เจอกันนะครับ รีบมานะ หิวมากเลย คิด...” จะบอกว่าคิดถึงซะหน่อยก็ดันชิงตัดสายกันซะก่อน เพิ่งชมว่าใจดีไปเมื่อกี้เผลอแป๊บเดียวกลายเป็นคนใจร้ายไม่ยอมรับความคิดถึงของไอ้เซซะนี่

“พี่ไปป์ว่าไงบ้างมึง กูหิวจนจะแทะบ้านได้ทั้งหลังแล้ว” พี่อาร์มที่บ่นหิวมาเป็นชั่วโมงๆ ทิ้งตัวนอนลงบนพื้นพลางลูบท้องป้อยๆ

“กำลังจะมาครับ”

“ทำไมมาช้าจังวะ ปกติพี่ไปป์ไม่ใช่คนเหลวไหลนี่หว่า”

“เห็นว่าง่วงแล้วเผลอหลับ”

“พี่ไปป์เนี่ยนะ มึงรู้มั้ยว่าพี่ไปป์อดนอนได้มากสุดกี่วัน” ผมส่ายหน้า มีหลายเรื่องที่ผมไม่รู้เกี่ยวกับเขา และคิดว่าจะค่อยๆ เรียนรู้ต่อจากนี้ “เท่าที่เคยทำงานด้วยกันมา อดนอนมากสุดน่าจะซัก 4 วันได้”

“โห อยู่ได้ไง ไม่มีแอบงีบบ้างเหรอ”

“ก็คงจะมีบ้าง แต่พอเรียกก็สะดุ้งตื่น เพราะงั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่พี่แกจะเผลอหลับทั้งๆ ที่รับปากว่าจะซื้อข้าวเข้ามา”

“พี่อาร์มกำลังบอกว่าพี่ไปป์โกหก

“ไม่ได้พูด” แต่คำพูดมันส่อนี่หว่า

“พี่ไม่ได้พูดตรงๆ แต่ความหมายมันโคตรใช่ แล้วพี่คิดว่าพี่ไปป์โกหกเราทำไม หรือว่าจะเกิดอุบัติเหตุแล้วกลัวเราเป็นห่วง”

“ไม่รู้สิ ถ้ามึงอยากรู้ก็ลองถามดู แต่เรื่องนี้กูจะไม่ยุ่ง”

“อะไรของมึงวะพี่อาร์ม จุดประเด็นให้สงสัยแล้วก็ทิ้งกันกลางทางแบบนี้ก็ได้เหรอ นิสัยเลวว่ะพี่”

“ไม่รู้กูแค่เพ้อเพราะหิวข้าวเกินไป” ถ้าไม่ติดว่าเป็นรุ่นพี่ผมจะด่าให้แม่งลืมทางกลับบ้านเลยไอ้พี่เลว

ก็ยังไม่รู้เหตุผลว่าพี่ไปป์โกหกทำไม หรือที่จริงแล้วพี่อาร์มมันแค่หิวแล้วเพ้อจริงๆ







ออฟฟิศพี่อาร์มตั้งอยู่ในทาวน์โฮม ซึ่งเป็นบ้านอีกหลังของพ่อพี่มันซึ่งขอเอาไว้ใช้งาน คิดแล้วก็แอบอิจฉาที่มีพ่อใจดี๊ดีไม่เหมือนพ่อผม

เสียงรถจอดลงตรงหน้าบ้าน ผมจึงวิ่งออกไปดูและก็พบว่าพี่ไปป์กำลังเปิดท้ายรถและขนข้าวกล่อง 2 ถุงใหญ่ลงมา

“เซช่วยนะ” ผมรีบวิ่งเข้าไปแย่งของในมือเขามาถือ พี่ไปป์เองก็ไม่ได้ว่าอะไร หันไปกดล็อครถแล้วเดินนำหน้าเข้าไปเงียบๆ

ผมมองตามแผ่นหลังเขา จำได้ว่าชุดนี้เป็นชุดเดียวกับที่ใส่ออกจากบ้านเมื่อเช้า เป็นไปได้เหรอถ้าใส่ชุดนี้นอนแล้วเสื้อเชิ้ตจะไม่ยับ

“พี่ไปป์นั่งหลับเหรอ” คนถูกถามชะงักไป

“กะจะนั่งดูทีวีก็เลยเผลอหลับไป คุณสงสัยอะไรรึเปล่า”

“เปล่าครับ” เหมือนว่าข้อสันนิษฐานของพี่อาร์มใกล้ความเป็นจริงแล้วว่ะ

พี่ไปป์โกหกแน่ๆ แล้วโกหกเรื่องอะไรล่ะ ช่วงเวลาที่บอกว่านอนพี่หายไปไหนมา

“พี่ไปป์ใส่เสื้อยี่ห้ออะไร”

“ทำไม มีปัญหาอะไรรึเปล่า”

“เซก็แค่อยากรู้จะได้ซื้อมาใช้บ้าง หลับขนาดนี้เสื้อยังไม่ยับ เหมาะกับวันเร่งรีบไม่มีเวลารีดเสื้อ”

“ก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าโกหก” ผิดคาดแฮะ ไม่คิดว่าจะยอมรับง่ายขนาดนี้ ถ้าเป็นไอ้เซนะ แถกันจนสีข้างถลอกไปข้างอะ อารมณ์แบบถ้าคิดจะโกหกแล้วก็ต้องไปให้สุด

“แล้วพี่ไปป์โกหกทำไมครับ”

“จำเป็นต้องบอกคุณทุกเรื่องด้วยเหรอ”

“เซแค่เป็นห่วง” ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดคำนี้กับพี่ไปป์บ่อยแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าผมคิดอย่างนั้นจริงๆ รู้ว่าตัวผมเองที่น่าห่วงกว่าเขา ถึงกระนั้นก็ยังอดห่วงไม่ได้ ไม่รู้ด้วยว่าห่วงเรื่องอะไร ก็แค่เป็นห่วง เป็นห่วงจริงๆ

“ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอก”

“พี่ไปป์ก็พูดอย่างนี้ตลอด”

“แล้วพูดยังไงถึงจะถูกใจ”

“พี่ไปป์ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ เหนื่อยก็บอก ท้อก็เล่าให้กันฟัง เซอยากเป็นที่พึ่งให้พี่ไปป์บ้าง ในฐานะรุ่นน้องหรืออะไรก็ได้ที่พี่ไปป์สบายใจ”

นาทีนี้ให้ผมเป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ได้เป็นคนที่อยู่ข้างๆ เขา ได้รับฟังเรื่องราวในใจ บรรเทาความเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน แค่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพี่ไปป์ให้ผมเป็นอะไรก็ได้จริงๆ

“ผมไปเจอเอ็มมา แต่ไม่ต้องห่วงหรอก แค่ไปเคลียร์กันให้จบเท่านั้นเอง ขอบคุณที่ห่วงนะ” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนโยน มือข้างที่วางลงบนศีรษะของผมแล้วลูบเบาๆ ก็อุ่น เขายิ้มให้ผม ครู่หนึ่งก่อนจะผละออกไป “เข้าไปข้างในกัน ทุกคนน่าจะหิวแล้ว”

“พี่อาร์มหิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้ว”

“ขนาดนั้นเชียว”

“เซมีอะไรจะให้พี่ไปป์ดูด้วยนะ”

“เจ๋งป่าว”

“เจ๋งมากไม่อยากโม้”

“นี่ยังไม่โม้ถูกมั้ย”

“พี่ไปป์อะ เป็นแฟนเหรอมาแซว”







4 ทุ่มกว่าแล้วพวกเรายังคงนั่งกันอยู่ที่ออฟฟิศ พวกพี่อาร์มกำลังเตรียมรูปน้องหมาที่จะอัพลงเพจพรุ่งนี้หลังรายการจบ ส่วนผมกับพี่ไปป์นั่งดูแบบเสื้อที่จะทำขายเพื่อนำรายได้มาช่วยสัตว์

“เคยเห็นคอลเลคชั่นที่เป็นเสื้อผ้าของแม่กับลูกมั้ย” พี่ไปป์หันมาถาม

“ที่แต่งตัวเหมือนกันป่ะพี่”

“ใช่ๆ อันนั้น ถ้าเราทำเสื้อคนด้วย เสื้อสัตว์เลี้ยงด้วยคุณว่าโอเคมั้ย”

“ดีเลยนะแต่เสียดายที่ทำไม่ทันตอนแรกออนแอร์”

“ไม่เป็นไรหรอก รายการมีตั้งหลายตอน ถ้าเรตติ้งดีๆ อาจจะมีซีซั่น 2 ก็ได้นะ”

“แค่คิดก็สนุกแล้วอ่ะ” ถ้าได้ทำรายการไปดด้วยกันเรื่อยๆ คงดี

แม้ระหว่างบทสนทนาจะปราศจากเรื่องส่วนตัวแต่ก็เป็นการคุยงานที่สนุกมาก ผมรู้สึกตื่นเต้น เต็มตื้น มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก พี่ไปป์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้ไม่ใช่คุณปกรณ์ผู้น่าเกรงขาม ไม่ใช่พี่ไปป์ที่ผมเอาแต่เป็นห่วง แต่เป็นพี่ไปป์รุ่นพี่มหา’ลัยที่คอยให้คำปรึกษาอยู่ข้างๆ ไม่จู้จี้ ไม่ดุด่าแต่คอยดูอยู่ห่างๆ แสดงความเห็นให้เราเอาไปคิดต่อ

เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงแต่ให้ความรู้สึกเหมือนได้ใช้สมองมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา

“ผมจะกลับแล้ว คุณกลับด้วยกันมั้ย”

“กลับครับ” ผมตอบรับพลางเก็บแม็คบุ๊คเครื่องเก่งใส่กระเป๋าเป้ ขณะที่พี่ไปป์ไล่คนอื่นๆ ไปพักผ่อนก่อนจะเดินนำออกจากบ้าน

ผมวิ่งตามออกมาเห็นหลังพี่ไปป์ไวๆ ย้ำอยู่เสมอว่าตัวผมกับพี่ไปป์ไม่ได้ต่างกันมากแต่เมื่อมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าแล้วผมกลับรู้สึกว่ามันเล็กและอยากปกป้อง อยากโอบกอด อยากประคอง

“ฝึกงานเสร็จแล้ว”

“ครับ” ผมตอบรับพลางคาดเข็มขัดนิรภัย

“กลับไปอยู่บ้านตัวเองได้แล้วมั้ง”

“งี้ก็ไม่ได้เจอพี่ไปป์อีกแล้วสิ” คิดแล้วก็เศร้าเลย

“มีโอกาสจะได้เจอกันเยอะแยะ วันเสาร์หน้าก็ต้องเจอกัน”

“หืม” วันเสาร์หน้ามีอะไร

“ที่นัดกับยอดไว้ไง ลืมแล้วเหรอ ความจำสั้นกว่าปลาทองอีกนะเรา”

“พี่ไปป์จะไปเหรอ” ถ้าพี่ไปป์ไปผมจะได้คิดแผนเดทไว้ไง ขอความร่วมมือจากไอ้ยอดเพื่อนรักซักหน่อยไม่เหนือบ่ากว่าแรงมันนักหรอก

“ผมนี่สายกินเลยนะ ไม่รู้เหรอ”

“ไม่เคยรู้”

“รู้ไว้ซะ” ครับ จะเมมโมรี่ใส่สมองน้อยๆ ไว้เลย

“รายงาน เดี๋ยวเซส่งให้อาทิตย์หน้านะ”

“อือ”

“ขอคะแนนเต็มได้มั้ย”

“ของ่ายๆ แบบนี้เลย”

“ทำไมล่ะ เซก็ทำงานได้ดีไม่ใช่เหรอ”

“ก็ไม่เลวแต่ก็ไม่ถือว่าดี คะแนนเต็มคงยาก”

“ก็ได้ แต่อย่ากดกันมากก็แล้วกัน พี่ไปป์รู้ป่าวว่าเกรดเซโคตรห่วย”

“เพราะคุณขี้เกียจไง”

“กิจกรรมเยอะ นี่เป็นเดือนคณะนะครับ เล่นบอลคณะด้วย แถมวันแข่งอะนักวิ่งแม่งขาเจ็บเซก็ต้องลงไปวิ่ง ชนะด้วยนะ เก่งป่ะ” ยอมรับว่าไม่ค่อยถนัดเรื่องใช้สมองแต่เรื่องใช้แรงนี่ขอให้บอก ไม่เคยกลัวอยู่แล้ว

“เก่งแต่เรื่องใช้กำลังน่ะสิ” เห็นมั้ย พี่ไปป์ยังเห็นด้วยเลย

“อยากเก่งเรื่องอื่นเหมือนกันแหละ”

“ก็ตั้งใจดิ เดี๋ยวก็เก่ง”

“พี่ไปป์สอนเซหน่อยสิ”

“สอนอะไร ผมไม่มีอะไรจะสอนคุณแล้ว”

“จีบพี่ไปป์ยังไงให้ได้เป็นแฟน”

“จริงจังมั้ย”

“จริงจังสิ”

“งั้นตอบหน่อยสิว่าชอบผมเพราะอะไร”

“ก็ชอบ” เหตุผลง่ายๆ จากหัวใจ

“ตอบแบบนี้ไม่ได้ การที่เราชอบใครซักคนมันต้องมีเหตุผลสิ” พี่ไปป์ก็จริงจังเกินไป กับความรักน่ะแค่ใช้หัวใจก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ

“แล้วเหตุผลแบบไหนที่จะทำให้พี่ไปป์ชอบเซ”

“ผมชอบคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่”

“ชอบคนแก่กว่าเหรอ งี้เซก็หมดสิทธิ์สิ” ท้อแท้เลยอะ

“ความเป็นผู้ใหญ่มันไม่เกี่ยวอายุ”

“แล้วอะไรอีก”

“จริงใจ แค่นี้แหละ”

“แค่นี้เหรอ”

“ทำได้ซักข้อมั้ย”

“ตอนนี้เซจริงใจกับพี่ไปป์มากนะ ส่วนเรื่องมีความเป็นผู้ใหญ่ขอเวลาเซหน่อยแล้วจะแสดงให้เห็น พี่ไปป์รอเซนะ”

“ไม่รู้สิ รับปากไม่ได้หรอก ถ้าระหว่างที่คุณไปฝึกฝนความเป็นผู้ใหญ่มีคนที่ถูกใจเข้ามาผมจะทิ้งโอกาสได้ยังไง”

“ใจร้ายโคตร” หัวใจลีบเล็กลงเหมือนลูกโป่งถูกปล่อยลมอะ

“แต่เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าชอบก็รอแหละ”

“แล้วชอบรึยัง”

“ยัง” ตอบแบบขวานผ่าซากไม่เหลือเยื่อในสไตล์พี่ไปป์เขาล่ะ

“กับคนก่อนๆ ที่มาจีบปากร้ายใส่แบบนี้รึเปล่า”

“ทำไมต้องบอกล่ะ”

“พี่ไปป์อะไม่ให้ข้อมูลเลย” พูดแล้วก็ท้อแท้

“ถ้าผมให้ข้อมูลคุณเดี๋ยวคุณก็หาว่าผมอ่อยอะดิ”

“แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่าชอบคนที่เป็นผู้ใหญ่และจริงใจนั่นเรียกอ่อยป่ะครับ”

โอ้ย เงียบเลย แบบนี้อ่อยชัวร์ เนี่ย กำลังใจมา เดินหน้าจีบโลดไอ้เซเอ้ย







ในห้องนอนพี่ไปป์ในช่วงเวลาเกือบตี 2 นั้นเงียบสนิทจนได้ยินเสียงนาฬิกาดังต๊อกๆ น่ารำคาญ

ในความมืด สายตาของผมยังคงจับจ้องไปยังประตูห้องนอนเพียงห้องเดียวที่ยังคงปิดสนิท ป่านนี้เจ้าของห้องคงนอนหลับฝันดีไปแล้วแน่ๆ

นอนไม่หลับว่ะ

ผมพลิกตัวแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือซึ่งคว่ำหน้าจอไว้บนโต๊ะกระจกมาเล่นฆ่าเวลา

สเตตัสล่าสุดบนหน้าจอคือภาพไอ้ยอดกับพี่เลี้ยงมันและเพื่อนๆ เขาในร้านเหล้า น่าจะเป็นงานเลี้ยงส่ง เห็นภาพนั้นแล้วก็แอบน้อยใจเหมือนกันแฮะ พี่ไปป์ไม่เลี้ยงส่งเซบ้างล่ะ

เห็นชีวิตดีๆ ของเพื่อนในเฟซแล้วก็นอยด์ว่ะ

ผมปิดแอพสร้างภาพลง เปิดยูทูปหาเพลงกล่อมเด็กฟังเผื่อจะช่วยให้หลับได้บ้าง

แต่ว่านะ ดูเพลงกล่อมเด็กทำไม ดูหน้าคนที่เราคิดถึงไม่ดีกว่าเหรอ เผื่อหลับแล้วจะได้เก็บใบหน้าเขาไปฝัน

นอนดูเอ็มวีที่พี่ไปป์ฝากฝีมือเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนแล้วก็นึกเสียดาย ถึงบอกว่าที่รับงานเพราะต้องการเงินไปช่วยสัตว์ก็เถอะแต่การแสดงของพี่ไปป์โคตรดีแบบถ้าเอาดีด้านการแสดงก็คงเป็นนักแสดงชั้นแนวหน้าได้ง่ายๆ เลย

เอ็มวีที่พี่ไปป์เล่นส่วนมากเป็นเพลงเศร้า แต่เพลงที่ผมประทับใจมากเป็นเพลงที่เศร้าเหี้ยๆ เศร้าแบบถ้าอกหักอยู่อาจจะไปกระโดดตึกตายได้ง่ายๆ

ในเพลงตัวพระเอกเอ็มวีถูกแฟนที่คบกันมาเกือบ 10 ปีทิ้งไป ด้วยดนตรี เนื้อร้องเองก็เศร้าอยู่แล้ว ยิ่งดูเอ็มวีที่พระเอกแม่งร้องไห้ทั้งเพลงอารมณ์ยิ่งดาวน์ อยากดึงเข้ามากอดให้รู้แล้วรู้รอด

ดูเพลงนี้วนๆ แล้วน้ำตาก็หยดแหมะๆ

“ทำไมยังไม่นอน”

คว่ำหน้าจอมือถือแทบไม่ทัน ห้องที่เคยมีเพียงแสงไฟสลัวจากหน้าจอมือถือของผมบัดนี้ถูกฉาบด้วยแสงไฟจากห้องพี่ไปป์ที่เปิดประตูจนสุด เจ้าของห้องยืนพิงกรอบประตูมองผมที่กำลังใช้หลังมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไม่วางตา

“แล้วพี่ไปป์ล่ะทำไมยังไม่นอน”

“นอนไม่หลับ” เขาว่า สีหน้าไม่สบอารมณ์นักขณะก้าวเข้ามาหา

“ดูทีวีมั้ยครับ”

“ก็ดีนะ” พี่ไปป์นั่งลงข้างกัน ดวงตาคู่สวยยังคงจ้องหน้าผมเขม็ง ร้อนวูบเลย

“อยากซื้อเสื้อตัวนี้ไปทิ้งจริงๆ นะ”

“บอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าใส่สบาย” กระพือเสื้อโชว์กันอีกนะคนเรา ไม่รู้จริงดิว่าคนข้างๆ กำลังคิดไม่ดี

“เซถามพี่ไปป์จริงๆ เลยนะ”

“ว่า”

“ไม่อยากเป็นนักแสดงจริงๆ เหรอ ทั้งที่พี่ไปป์ทำได้ดีมากเลยนะ” คนถูกถามเพียงยิ้มมุมปาก เป็นยิ้มมุมปากที่ดูกวนอยู่นัยที

“ดูเอ็มวีที่ผมเล่นแล้วซาบซึ้งมากเลยสิ”

“ไม่ได้ร้องไห้นะ” ผมปฏิเสธพร้อมใช้หลังมือปาดน้ำตาไม่ให้คนข้างๆ เห็น ทว่าก็ถูกจับได้ซะงั้น

“ผมยังไม่ได้พูดคำว่าร้องไห้ซักคำ นี่คุณร้องไห้จริงๆ เหรอ”

“ก็เพลงมันเศร้า พี่ไปป์ก็แสดงโคตรดี”

“ได้ยินคำชมจนเบื่อแล้ว”

“ถ่อมตัวบ้างก็ดีนะครับ”

“อยากให้ผมทำอย่างนั้นเหรอ”

“เป็นพี่ไปป์แบบนี้ก็ดีแล้วครับ”

“นั่นแหละเหตุผลที่ผมไม่อยากเป็นนักแสดง คุณก็น่าจะรู้ว่าการเป็นนักแสดงมันก็เหมือนการยืนอยู่ในที่สาธารณะ ถูกผู้คนจ้องมอง ต้องทำตัวดีตลอดเวลา ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้นว่ะ มันเหนื่อยมากเลยนะกับการที่ต้องฝืนทำอะไรก็ตามที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง”

“ตอนนั้นพี่ไปป์คงเหนื่อยมาก”

“ก็เหนื่อยแต่ก็ต้องทำมั้ยล่ะ ในเมื่อตัดสินใจจะช่วยชีวิตสัตว์พวกนั้นแล้วเราก็ต้องรับผิดชอบมันให้ดีที่สุด” พี่ไปป์คนดีของโลกใบนี้ เห็นมั้ยผมเลือกชอบคนไม่ผิดจริงๆ

“แล้วตอนนี้ล่ะไม่เหนื่อยแล้วใช่มั้ย”

“หลังจากไม่ต้องเป็นพี่เลี้ยงคุณก็คงไม่เหนื่อยแล้วล่ะ” พี่ไปป์ว่าปนขำให้ผมเบะปากงอนเล่นๆ

“โห ไรวะ รู้สึกแย่เลยเนี่ย”

“รู้สึกแย่แต่ยังยิ้มเนี่ยนะ คุณควรกลับไปเรียนการแสดงใหม่”

“พี่ไปป์ก็ควรไปเรียนการแสดงใหม่เหมือนกันนะจริงๆ แล้ว”

“เมื่อกี้ยังชมอยู่เลยว่าเป็นนักแสดงที่มีความสามารถ”

“วันนี้ไม่เนียนเลย”

“ที่โกหกว่านอนน่ะเหรอ”

“เรื่องนอนด้วยแล้วก็เรื่องที่ทำดีกับเซผิดปกติ ไม่เนียนเลยอะ” ก็ชอบนะที่ถูกปฏิบัติต่อกันแบบนั้นแต่ถ้ามันออกมาจากข้างในไม่ใช่การแสดงคงให้ความรู้สึกที่ดีกว่านี้

“ถูกจับได้เหรอ”

ผมพยักหน้าแทนคำตอบ คนถูกรู้ทันจึงมุ่ยหน้า เป็นการมุ่ยหน้าที่โคตรน่ารัก

“เรื่องข่าวลือหรือเปล่าครับ บอกเซไม่ได้จริงๆ เหรอว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว” ผมคิดเรื่องนี้มาทั้งวันเลย คงเพราะผมเอาแต่พูดว่าห่วงเรื่องนี้พี่ไปป์ก็เลยหาทางช่วยให้ผมสบายใจ

“คนใกล้ๆ ตัวนี่แหละ”

“ผู้ช่วยพี่ไปป์เหรอ” สังเกตในลิฟต์และฟู้ดคอร์ด ที่ไหนที่พี่หนิงปรากฏตัวพี่ไปป์จะกลายเป็นอีกคนเลย

“ก็อย่างที่บอกแหละว่ารู้มาซักพักแล้ว แต่ไม่อยากใส่ใจ พอคุณย้ำว่าเป็นห่วงก็เลยคิดว่าน่าจะทำอะไรซักอย่าง” เห็นมั้ยล่ะ ว่าแล้วเชียว ที่ดูโคนันมาตั้งแต่จำความได้ไม่ไร้ประโยชน์ซักหน่อย

“อย่างเล่นละตบตาเหรอ”

“มันไม่ได้ผลใช่มั้ยล่ะ”

“แต่เซประทับใจนะ วันนี้เซมีความสุขมากเลย อาจเพราะชอบพี่ไปป์มากมั้งแค่เบอร์โทรพี่ไปป์โชว์ที่หน้าจอเซก็ไม่เป็นตัวของตัวเองแล้ว หัวใจเต้นโคตรแรงเหมือนจะหลุดออกมาข้างนอกเลย”

“แล้วตอนที่ผมนั่งอยู่ข้างๆ ล่ะ”

“ลองจับดูมั้ย” แม้จะลังเลแต่ก็ลองเอื้อมมือไปจับมือพี่ไปป์มาวางที่อกซ้าย เขาไม่ได้ชักมือออกทั้งยังไล่สายตามองตั้งแต่มือของผมขึ้นมาจนสบตากัน บรรยากาศระหว่างเราแปลกหน่อยๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกดีมาก

เหมือนว่าความสัมพันธ์ของเรากำลังพัฒนา

ในความมืดที่สายตาไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงดึงดูดบางอย่างให้โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้

“ไม่ถอยเหรอครับ”

“ต้องถอยด้วยเหรอ” ดูเขาท้าทายเข้าสิ คิดว่าผมไม่กล้างั้นเหรอ ที่ผ่านมาแค่อ่อนให้หรอกนะ ถ้าเอาจริงขึ้นมาล่ะก็รับรองว่าพี่ไปป์ไม่มีทางต้านทานได้หรอก

“พี่ไปป์ เซเอาจริงนะ”

“กลัวแล้ว” เขายกมืออีกข้างขึ้นมาดันอกผมให้ออกห่างก่อนลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินห่างออกไป

ทั้งที่บรรยากาศเป็นใจ คนที่ชอบก็อยู่ตรงหน้า ถ้าปล่อยให้คืนนี้จบลงด้วยความว่างเปล่าผมคงเสียดายไปตลอดชีวิตแน่

“พี่ไปป์” ผมเรียกพร้อมคว้าข้อมือเขาเอาไว้ก่อนโอกาสจะหลุดลอยไป “อยู่ด้วยกันก่อนสิ”

“ไม่ง่วงเหรอ”

“ไม่” ตอบเขาพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

“แต่ผมง่วงแล้ว”

“งั้นก็ไปนอนเถอะครับ” เลื่อนลงมาจับที่มือ

“ปล่อยมือสิ”

“ไม่อยากปล่อยเลย นอนจับมือกันเฉยๆ ก็ไม่ได้เหรอ” ลูบที่นิ้วเขาแผ่วเบา ลองอ้อนดูเผื่อฟลุ๊ค

“คุณน่ะไม่น่าไว้ใจที่สุดในโลก”

“พี่ไปป์เห็นเซเป็นคนยังไงเนี่ย”

“ไม่น่าไว้ใจไง”

“โหย เสียใจอะ ไปนอนเถอะ เซก็จะนอนแล้วเหมือนกัน” ผมปล่อยมือเขาอย่างยอมจำนน ทิ้งตัวลงบนโซฟาดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปลงอย่างคนขี้ขลาด ถ้าจูบไปให้มันจบๆ ตั้งแต่ต้นก็คงไม่ต้องมานอนเสียใจอยู่แบบนี้หรอก

“ฝันดีนะเซ” ความอบอุ่นของฝ่ามือวางลงบนศีรษะ ลูบเส้นผมเหมือนเอ็นดูก่อนความอบอุ่นนั้นจะผละห่างออกไป

ก็ไม่เลวนะ ไม่ได้จูบวันนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วซะหน่อย





[T B C]

เนี่ยพี่ไปป์อ่อนให้เซมากแล้วจริงๆ นะ ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเซแล้วว่าจะกล้าพุ่งชนแค่ไหน
ฝากติดตามด้วยนะคะ เรื่องราวอาจจะเรื่อยๆ ไม่ค่อยตื่นเต้น เอาไว้อ่านชิวๆ ตอนนิยายเรื่องอื่นไม่อัพก็ได้
 :katai5:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 11 UP 5.7.17
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 04-07-2017 21:21:52
สู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 11 UP 5.7.17
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 07-07-2017 22:45:22
น้องเซ สู้ๆ นะครับ พี่ไปป์ใจดีกว่าก่อนเยอะเลย
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 12 UP 15.7.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 15-07-2017 17:27:08
พี่ครับ 12


เรตติ้งรายการตอนที่ 1 ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้

ในกรุ๊ปแชทของรายการ พี่อาร์มเอาแต่บ่นว่า ‘อีกนิดเดียวแท้ๆ’ เป็นพันๆ ครั้งจนอยากจะออกจากกรุ๊ปให้มันรู้แล้วรู้รอด จริงๆ ผมจะออกก็ได้แหละ ไม่ได้อยู่ในสถานะเด็กฝึกงานแล้วแต่เพราะยังสนุกกับการทำงานด้วยกันก็เลยแอบๆ อยู่ จนกว่าจะถูกถีบออก

ชีวิตหลังการฝึกงานก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อน แต่เหงา

ผมคิดถึงพี่ไปป์มาก หลังจากส่งรายงานฝึกงานไปเขาก็ไม่อ่านข้อความของผมอีกเลย

เรื่องไม่อ่านข้อความกวนใจผมมาก แต่ไม่เท่ากับข่าวลือสดๆ ร้อนๆ ที่ไอ้ยอดเพิ่งส่งมาโปรดคนไม่ชอบเสือกเรื่องชาวบ้านอย่างผม

‘เอ็มไปป์ คู่จิ้นหรือคู่จริง’ พร้อมภาพประกอบความชัดเท่ากล้องหน้าโนเกียสมัยก่อน ในฐานะคนรู้จักพี่ไปป์ก็รู้แหละว่าผู้ชายในรูปใช่เขาจริงๆ แต่สำหรับคนอื่น ถ้าไม่แปะชื่อก็ไม่มีทางรู้ป่ะวะว่าคนในรูปคือใคร

หงุดหงิดสำนักข่าวฉิบหาย

“ไงมึง หน้างอเป็นเคียวเกี่ยวข้าว”

“เคยเห็นเคียวเกี่ยวข้าวหรือไงมึง”

สี่โมงเย็นวันเสาร์ แดดยังร้อนจนอยากจะตอกไข่ลงบนพื้นทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วแซะมากิน ไหนไอ้คนนัดมันบอกว่าเย็นๆ อากาศดีเหมาะแก่การเดินกินชิวๆ ในฟู้ดแฟร์ไง ไอ้จั๊ดง้าวมึงหลอกกู

“แล้วนี่มึงใส่หมวกใส่แว่นทำไม คิดว่าตัวเองเป็นเซเลปเหรอ”

แซะกูไม่สนใจพระอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงอยู่บนหัวเลย ถึงกูจะมีสุขภาพผิวที่ดีมากแต่ก็ไม่อยากเสี่ยงกับแดดหรอกนะครับ

“พี่ไปป์จะมามั้ยวะ กูทักแชทไปก็เงียบ ไม่ตอบไม่อ่าน” ไอ้ยอดกำมือถือแน่นพลางว่าด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง

“กูก็เหมือนกัน” ผมเองก็สิ้นหวังไม่ต่างกัน

“กูนัด 4 โมงเย็นอะ รออีกซัก 5 นาทีละกัน ถ้าไม่มาก็ช่วยอะไรไม่ได้”

ผมไม่รู้ว่าควรปลอบมันด้วยคำพูดแบบไหน เพราะผมเองก็ติดต่อพี่ไปป์ไม่ได้ ไปหาที่ห้องก็ไม่อยู่ ถามพวกพี่อาร์มก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ เพราะไม่รู้อะไรเลยถึงได้เป็นห่วงมากขนาดนี้

เรานั่งดื่มโค้กใส่ถุงจนน้ำแข็งละลายหยดลงพื้นจนแฉะพี่ไปป์ก็ยังไม่ปรากฏตัว

“กูว่าเราไปเถอะว่ะ หิวแล้ว” ไอ้ยอดว่าเสียงอ่อยขณะเช็คกล้องเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วนแล้ว ใจจริงมันก็คงอยากรอแหละแต่ถ้าช้ากว่านี้แสงอาจจะหมดก่อนเราจะเดินทั่วงาน

“ไม่เป็นไรนะมึง กูอยู่นี่ทั้งคน” ผมตบไหล่ปลอบใจมันทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่

เราทั้งคู่เดินออกจากตรงนั้น มุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงาน ทว่าอยู่ๆ ความหวังที่มอดดับไปเมื่อครู่ก็ส่องแสงขึ้นมา

“ขอโทษที รถโคตรติดอะ” พี่ไปป์ในชุดเสื้อยืดสีขาวสกรีนข้อความสีดำกับกางเกงยีนส์พอดีตัวและรองเท้าผ้าใบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหยุดข้างหลังพวกเรา

ผมกับยอดหันมองหน้ากัน เผลอยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เราไม่ถูกทิ้งแล้วโว้ย

“นึกว่าพี่ไปป์จะไม่มา” ไอ้ยอดพูดเสียงแผ่วคำเดียวกับความในใจของผม

“ตอนเรียนผมชอบงานฟู้ดแฟร์มากเลย ไปเดินกับเพื่อนหลายๆ คนซื้อของกินมาแล้วแบ่งกัน แต่ว่านะ ตั้งแต่เรียนจบก็ไม่ค่อยมีโอกาสทำแบบนั้น พอมีคนชวนก็ไม่คิดจะปฏิเสธหรอก”

“แต่วันนั้นพี่ปฏิเสธผมนะ”

“อ้าวเหรอ จำไม่เห็นได้เลย ว่าแต่เจ้าของรายการเลี้ยงใช่มั้ย”

“เอางั้นเหรอพี่ ผมไม่ค่อยมีตังค์หรอก” ไอ้ยอดหน้าเสียเลย ฐานะทางบ้านไอ้ยอดก็ไม่ได้แย่หรอกแต่เงินที่มันได้มาก็พอสำหรับมันคนเดียว

“เซเลี้ยงพี่ไปป์เอง” ทั้งสองคนเผยรอยยิ้มออกมาอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย

“เอางั้นเหรอ ผมกินจุนะ”

“เลี้ยงกูด้วยใช่มั้ย”

“ก็ต้องแบ่งกันกินป่ะวะ” ที่จริงแล้วไม่อยากเลี้ยงไอ้ยอดหรอก เข้าใจใช่มั้ย รายการของมัน ผมเป็นแขกรับเชิญมั้ย มีอย่างที่ไหนให้แขกเลี้ยงเจ้าบ้าน ประสาทจริง แต่ก็ช่างเถอะ ต่อหน้าพี่ไปป์ทำตัวเป็นคนดีให้เขาประทับใจหน่อยละกัน

เราตระเวนกินกันตั้งแต่พระอาทิตย์ส่องแสงอย่างร้อนแรงจนหลอดไฟนีออนขึ้นมาทำหน้าที่แทนเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป

จำที่ไอ้ยอดพูดตอนชวนผมกับพี่ไปป์มาถ่ายรายการด้วยกันได้มั้ย ที่บอกว่าเหมือนมาเดท ให้ตายเถอะ เดทเหี้ยไร แดกจนหมดสภาพ หน้าท้องที่เคยแน่นด้วยกล้ามเนื้อตอนนี้ก็มีไขมันส่วนเกินขึ้นมาแล้ว ส่วนพี่ไปป์ คนนั้นกินไม่ห่วงอะไรเลย ห่วงอย่างเดียวคือห่วงกิน คนบ้าอะไรกินอย่างกับปอบลง กินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินแบบไม่อยากแบ่งพวกผมด้วย

“ตอนเด็กๆ ผมชอบอันนี้มากเลย พวกคุณเคยเล่นมั้ย”

อันนี้ที่พี่ไปป์พูดถึงคือสายไหมแบบหยอดเหรียญ ดึงเชือกให้เข็มที่หน้าปัดหมุน เข็มหยุดที่เลขอะไรก็ได้สายไหมจำนวนเท่านั้น เป็นการซื้อขนมที่มาพร้อมกับการเสี่ยงโชคของเด็กๆ

ผมเติบโตมาในโรงเรียนนานาชาติ ไม่เคยเล่นอะไรแบบนี้หรอก ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่รู้อะไรเลย ส่วนไอ้ยอดก็พยักหน้าบอกว่าเคยเล่นตอนเรียนอนุบาลในโรงเรียนวัดแถวบ้าน ทั้งสองคุยกันอย่างออกรสชาติ

หลายปีที่คบกันเป็นเพื่อน ครั้งแรกเลยที่ผมอิจฉามัน อยากเรียนโรงเรียนวัดบ้างเลยว่ะ

พ่อครับ ทำไมตอนนั้นไม่ส่งเซเรียนโรงเรียนวัดล่ะ

“เซ”

ความนุ่มสัมผัสที่ริมฝีปากทันทีเมื่อผมหันไปตามเสียงเรียกของพี่ไปป์ ไม่ต้องคิดหรอกว่าจะบังเอิญจูบ มันไม่ง่ายบอกเลย

“อร่อยนะ” ถึงแม้จะไม่ใช่จูบแต่อย่างน้อยเขาก็ป้อนสายไหมถึงปากผมเลย

ผมจ้องหน้าพี่ไปป์ขณะอ้าปากรับ ค่อยๆ เคี้ยวจนคนถูกมองต้องมองไปทางอื่น เขินเลยอ่ะเด้

ยิ่งเคี้ยวยิ่งรู้สึกว่าสายไหมนี่โคตรหวาน ไม่แน่ใจว่าหวานด้วยตัวมันเองหรือหวานเพราะคนป้อนกันแน่

“มันก็จะเคลิ้มหน่อยๆ”

เกลียดไอ้ยอดว่ะ แซวไม่รู้เวร่ำเวลา เห็นมั้ยพี่ไปป์เดินหนีไปเลย มองค้อนไอ้คนถือกล้องไปทีให้มันเข้ามากอดคอแล้วหัวเราะร่วน

“แคปชั่นกูเจ๋งมั้ย”

“มึงทำอะไรก็เจ๋งทั้งนั้นแหละเพื่อน” ประชดแม่งแล้วปัดแขนมันออกเพื่อจะได้วิ่งไปหาพี่ไปป์สะดวกๆ หน่อย

ที่จริงคนกินเก่งก็ไม่ได้เดินไปไหนไกลหรอก หยุดซื้อขนมเบื้องที่ร้านข้างหน้านี่เอง ผมก้าวเข้าไปยืนข้างเขา มองมือเรียวที่กำลังหยิบเงินจากกระเป๋าหนังสีพื้น

“เดี๋ยวเซจ่ายเอง”

“ไม่ต้อง อันนี้จะซื้อไปฝากที่บ้าน”

“พี่ไปป์จะกลับบ้านเหรอ”

“อือ” ตอบผมพร้อมกับรับของมาถือแล้วจ่ายเงิน

“เมื่อไหร่ครับ”

“พรุ่งนี้เช้า”

“บ้านพี่ไปป์อยู่ไหน” เห็นไอ้ยอดถือกล้องนั่งรออยู่ข้างหน้าโน่นพวกเราจึงเดินเข้าไปหา

“จันทบุรี”

“เซยังไม่เคยไปเที่ยวจันทบุรีเลย”

“ก็ไปสิ”

“พี่ไปป์พาเที่ยวหน่อยสิ” คงจะดีมากถ้าได้ไปบ้านเขาและทำความรู้จักกับครอบครัว

“บ้านผมอยู่ในตัวเมือง ไม่ค่อยถนัดเรื่องเที่ยวหรอก แต่ผมมีเพื่อนเป็นไกด์นะเดี๋ยวแนะนำให้”

“ไม่ได้อยากไปเที่ยวกับเพื่อนพี่ไปป์นี่ พรุ่งนี้เซว่างให้ช่วยขับรถได้นะ” ถึงกระนั้นผมก็ยังคงตื๊อไม่เลิก

“ไม่ต้องหรอก ผมขับรถเก่ง” และเขาก็เอาแต่ฏิเสธท่าเดียว

“จะปฏิเสธกันให้ได้เลยใช่มั้ยเนี่ย”

“รู้อยู่แล้วก็เลิกตื๊อเนอะ”

“เพราะอยากให้เลิกตื๊อก็เลยไม่อ่านข้อความเหรอครับ”

“ข้อความ” พี่ไปป์นิ่งไปเหมือนกำลังคิด “อ๋อ มือถือตกน้ำ เจ๊งไปแล้ว เพิ่งซื้อเครื่องใหม่มาเมื่อกลางวัน ขอโทษนะ เข้าใจผิดเลยอะ”

โล่งใจมากเลย ผมถอนหายใจแรง ความหนักอึ้งในอกผ่อนคลายลงจนตัวแทบลอย

“นึกว่าพี่ไปป์ตัดหางปล่อยวัดเซแล้ว”

“เป็นความคิดที่ดีนะ เลิกคุยด้วยดีมั้ย”

“พี่ไปป์ใจร้ายเวอร์” ถูกตัดพ้อแต่ก็ยังยิ้มได้อีกนะคนเรา แต่ว่านะ โทรศัพท์พังแบบนี้ รู้รึเปล่าว่าตัวเองมีข่าวกับอดีตแฟนที่กำลังกลายเป็นนักร้องดาวรุ่ง

“มองหน้า มีอะไรจะถามก็ถามเลย”

“ถามได้เหรอ”

“ได้สิ ก็อนุญาตแล้วนี่ไง”

“กับพี่เอ็ม”

“เรื่องข่าวน่ะเหรอ มโนมากเลย เรื่องมันต่อเนื่องมาจากที่ผมแคนเซิลงานเอ็มกะทันหัน รู้ใช่มั้ยว่าเอ็มก็กำลังเป็นที่นิยมทางช่องกลัวจะมีปัญหาก็เลยให้ผมเอาดอกไม้ไปขอโทษ”

“ที่ร้านอาหารน่ะนะ”

“เอ็มมีงานที่นั่นพอดี เพราะเอาดอกไม้ไปขอโทษนั่นแหละถึงซื้อข้าวเข้าไปให้พวกคุณช้าไง”

“วันนั้นเหรอครับ”

“อือ” คงไม่ใส่ใจเลยจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้เล่าให้ผมฟังเหมือนกำลังคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศ

“กระแสคู่จิ้นเอ็มไปป์ในเน็ตแรงมากเลยนะ”

“คู่จิ้นอะไร คู่จริงที่จบไปแล้วน่ะสิ”

“ดีใจนะที่ได้ยินแบบนี้ ว่าแต่ว่า...” เขินอ่ะ “เซมีโอกาสเป็นคู่จริงของพี่ไปป์บ้างมั้ยอะ”

คนถูกถามเพียงแค่เบ้ปาก แบบนี้หมายความว่ายังมีโอกาสแหละ เข้าข้างตัวเองไว้ก่อน พี่เขาอุตส่าห์ให้ความหวัง สู้หน่อยไอ้เซ สู้โว้ย







เรตติ้งรายการตอนที่ 2 ขยับขึ้นมาอีกหน่อย ไม่อยู่ในเกณฑ์ดีมากแต่ก็ไม่แย่ ยอดไลค์แฟนเพจเพิ่มขึ้นมาก ลูกหมาแก็งสนามเด็กเล่นในวัดถูกคนใจดีรับไปเลี้ยงหมดแล้ว ถึงแม้พี่น้องจะต้องพลัดพรากแต่อยากน้อยพวกมันก็มีเจ้าของ มีคนที่รักและพร้อมดูแลมัน

ส่วนหินผา ตอนนี้กลายเป็นขวัญใจตัวใหม่ของคนในบ้านผมแล้ว ทุกคนเอ็นดูมันมาก คงเพราะบ้านเราไม่ได้เลี้ยงสัตว์มานานจึงตื่นเต้นและผลัดกันเล่นกับมันไม่ขาด และเจ้าหมาก็ดูมีความสุขดี

“พี่ไปป์จะมาถ่ายให้จริงเหรอพี่อาร์ม”

“อะไรครับน้องเซ มึงไม่เชื่อใจพี่เหรอ นี่น้องรักพี่ไปป์นะ”

“คิดไปเองคนเดียวรึเปล่าครับ” จริงๆ นะ เวลาเจอกันไม่มีซักครั้งที่พี่ไปป์จะแสดงความรักต่อพี่อาร์มมากกว่าคนอื่นๆ ก็เฉยๆ อะ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองพิเศษกว่าเลย

“ถ้าไม่ติดว่ามึงเป็นลูกเจ้าของช่องกูเตะมึงออกจากกรุ๊ปไลน์ไปนานแล้ว”

ตราบใดที่ยังไม่ถูกพี่มันเตะออกจากกรุ๊ปไลน์ก็ยังมาป้วนเปี้ยนที่สตูดิโอได้ล่ะวะ นี่แหละครับความโชคดีของการเกิดเป็นไอ้เซ อยู่ได้ด้วยนามสกุลที่แท้จริง

“รอพี่คนเดียวป่ะ”

พี่ไปป์มาแล้ว สภาพเหมือนวิ่ง 4X100 มา

“พี่นั่งวินมาป่ะเนี่ย” ผมยังเป็นรอยหมวกกันน็อคอยู่เลย

“เออดิ กว่าจะหนีออกจากห้างมาได้”

“เกิดอะไรขึ้น”

“เดี๋ยวถ่ายเสร็จเล่าให้ฟัง ไม่ต้องใจร้อนเดี๋ยวได้เสือกแน่” ดูคำพูดคำจาเขาสิครับ ก็ไม่ได้เสือกโดยสันดานป่ะ เสือกเพราะเป็นห่วงล้วนๆ เลย

มองตามพี่ไปป์ที่เดินไปอีกห้องนึงเพื่อแต่งตัวจนลับตาก่อนจะหันมานั่งเล่นกับหินผาซึ่งเดินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ

ที่จริงการถ่ายแบบโปรโมทสินค้าเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือหมาแมวในโครงการไม่ได้มีแค่เจ้าหินผากับพี่ไปป์หรอก มีคนอื่นๆ กับเจ้าหมาแมวจรจัดที่เราคัดสรรมาจากวัดและเพื่อนๆ คนรู้จักหน้าตาดีๆ ที่เราทาบทามกันมาถ่ายด้วยเหมือนกัน

งานเริ่มมาตั้งแต่เช้า ถ่ายเสร็จไปแล้วหลายเซ็ต ตอนนี้ก็เหลือแค่คนที่กำลังถ่ายอยู่ตอนนี้กับพี่ไปป์ที่เพิ่งมาถึง

ใช้เวลาแต่งหน้าทำผมไม่นานนักคนหน้าตาดีก็พร้อมถ่ายแบบแล้ว

“ไงพร้อมยัง” ก้าวมาหยุดตรงหน้าแล้วถาม ถามหมานะครับไม่ได้ถามไอ้เซหรอก อย่าสำคัญตัวผิด

“เจ้าหินผามันพร้อมแต่เช้าแล้วครับ”

“จะบอกว่าผมมาช้างี้”

“เปล่านะ เซไม่ได้คิดแบบนั้นซักหน่อย พี่ไปป์ก็มองเซในแง่ร้ายเกินไป” พี่ไปป์แค่ยิ้มรับไม่ได้ต่อปากต่อคำ ก็สมกับเป็นเขาดี

“ขอหินผาให้ผมได้มั้ย” ยื่นมือมาขอผมจึงส่งสายจูงให้ “หินผาอาจจะเป็นหมาที่โชคร้ายแต่ตอนนี้มันเป็นหมาที่โชคดี ใช่มั้ย” น้ำเสียงพี่ไปป์อ่อนโยนมากตอนถามผมตรงท้ายประโยคให้ต้องพยักหน้ารับแรงๆ

“คนที่บ้านชอบหินผามากเลยครับ คิดว่าความรักของพวกเราจะทำให้มันมีความสุขและลืมเจ้าของเก่าได้”

“ขอบคุณนะเซ”

“ถ้าวันนั้นพี่ไปป์ไม่ช่วยพาหินผากลับมาเซก็คงไม่ได้เลี้ยงมัน พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ไปป์ ขอบคุณนะ”



[ต่อด้านล่าง]
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 12 UP 15.7.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 15-07-2017 17:28:13
[ต่อค่ะ]

ยิ่งเห็นพี่ไปป์ตอนถ่ายแบบก็ยิ่งรู้สึกเสียดายความสามารถของเขา นี่ถ้าเอาดีด้านการแสดงล่ะก็ผมจะเป็นแฟนคลับตัวพ่อ จะทุ่มทุกอย่าง ตามทุกงาน จ้างช่างภาพเก็บภาพทุกช็อตเลย

แค่คิดก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นติ่งที่โคตรทุ่มเท

“เหนื่อยมั้ยครับ” ผมยื่นน้ำให้เมื่องานหน้ากล้องจบลงแล้ว

“หินผาเก่งนะ เจ้าของเก่าคงสอนมันมาดี”

“นั่นสิครับ ทั้งที่น่าจะรักมากขนาดนี้แท้ๆ” ไม่เข้าใจคนที่ทิ้งมันเลยจริงๆ

“ช่างเถอะ เรื่องมันผ่านมาแล้ว อย่าพูดถึงมันอีกเลย” แก้วน้ำถูกส่งกลับมาก่อนนายแบบจำเป็นจะเดินผ่านผมหายเข้าไปในห้องแต่งตัว

ผมฝากพี่อาร์มที่เดินผ่านมาพอดีให้ดูเจ้าหินผาก่อนจะวิ่งตามอีกคนเข้าไปข้างใน ได้ยินเสียงบ่นตามหลังมาแต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

“พี่ไปป์!!!” ผมพรวดพราดเข้ามาในห้อง เจอตอนพี่ไปป์ถอดเสื้อพอดีจึงขอโทษขอโพยเขาเป็นการใหญ่ ให้ตายเถอะ ผิวขาวๆ ใต้ร่มผ้าทำให้ผมคิดดีไม่ได้เลย

“มีอะไร” ก็เห็นอยู่ว่าผมมองหื่นยังจะอ้อยอิ่งไม่ยอมใส่เสื้ออีก

“ใส่เสื้อก่อนเถอะครับ”

“ทำไม มีอะไรก็ว่ามาเลย” ทำหน้าไม่สนหินสนแดดแล้วก็ค่อยๆ สวมเสื้อยืดของตัวเองเข้าไป

ฮู่ว ค่อยโล่งอกหน่อย อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ถอนสายตาจากแผ่นอกมาโฟกัสที่หน้าพี่ไปป์ได้แล้ว

“เรื่องที่พี่ไปป์บบอกว่าถ่ายแบบเสร็จแล้วจะเล่าให้ฟัง”

“ขี้เสือกไม่เบานะเรา”

“ก็เฉพาะกับพี่ไปป์คนเดียวแหละ”

“ถ่ายแบบเสร็จแล้วอาร์มบอกว่าจะไปเลี้ยง ไปที่ไหนกัน”

“พี่ไปป์ไม่เปลี่ยนเรื่องสิ”

“คุณไปกับพวกอาร์มด้วยมั้ย แล้วหินผาล่ะ ใครมารับกลับ”

“จะไม่ยอมเล่าดีๆ ใช่มั้ยครับ” ผมก้าวเข้าไปใกล้เขา ขู่ด้วยแววตาไม่จริงจังนักทว่าพี่ไปป์ก็ไม่ได้สนใจเลยสักนิด

“ก็ตอบคำถามมาก่อนสิ”

“พี่อาร์มจองร้านหน้ามอไว้ครับ ส่วนหินผาแม่ส่งคนที่บ้านมารับ เมื่อกี้คุยกันบอกว่าใกล้จะถึงแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงมาถึงครับ ทีนี้จะเล่าได้ยัง” ผมร่ายยาวเป็นชุดแทบไม่หายใจหายคอ ก็ช่วยไม่ได้นะอยากรู้เรื่องพี่ไปป์จนเนื้อเต้นแล้วเนี่ย

“ออกไปข้างนอกกัน”

“เล่าก่อนแล้วค่อยออกไป”

“ออกไปข้างนอกกัน” พี่ไปป์ย้ำคำเดิมด้วยน้ำเสียงจริงจังจนไม่กล้าขัดใจ

“แต่ว่า...”

“เซอย่าดื้อ” โดนดุเลย แต่แปลกแฮะ ทั้งที่ควรจะโกรธหรืองอนแต่ผมกลับยิ้ม ถูกพี่ไปป์ดุมาหลายเดือนแต่ครั้งนี้เป็นการดุที่ดูน่ารักมาก

“พี่ไปป์แหละดื้อ บอกจะเล่าแต่ไม่ยอมเล่า”

“ก็ออกไปเล่าข้างนอกไง ในนี้มันร้อน แอร์ก็ไม่มี มาเถอะ” จับแขนผมหมับแล้วพาออกมาข้างนอกเลย ฟินอีก อยู่ๆ ก็มาถูกเนื้อต้องตัว คิดอะไรกับไอ้เซแน่ๆ เลย

ในสตูดิโอแทบไม่เหลือใครแล้ว

“ขอบคุณครับพี่” แทนที่หินผาจะอยู่กับพี่อาร์มทว่าตอนนี้มันกลับถูกพี่ช่วยตากล้องดูแลอยู่ ผมเข้าไปรับมันมา กล่าวขอบคุณเขา เจ้าตัวยิ้มรับก่อนจะเดินไปจัดการงานของตัวเองต่อ

มือข้างนึงถือสายจูง อีกข้างรับโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมาถูกจังหวะพอดี

“ไปส่งหินผากันครับ” เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนยื่นมือข้างนั้นไปให้คนข้างๆ ถ้าเผลอจับมือกันก็ถือว่าได้กำไรแต่งานนี้แค่เสมอตัวว่ะเมื่อพี่ไปป์เพียงแค่ตีมือผมแล้วเดินนำออกไปก่อนเลย

เขินอ่ะเด้

พวกเราส่งหินผาขึ้นรถ พี่ไปป์กอดลาแล้วบอกเจ้าหมาวาสนาดีว่าเดี๋ยวจะไปเยี่ยมบ่อยๆ

ได้ยินอย่างนั้นแล้วอิจฉาหมาเลย อยากถูกกอดอยากได้คำหวานบ้าง

ก่อนตามไปสมทบกับพวกพี่อาร์มที่ร้าน เราต้องแวะไปเอารถพี่ไปป์ที่ถูกจอดทิ้งไว้ในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าก่อน ผมจึงเรียกรถแท็กซี่ให้เข้ามารับ

“โคตรซวยอะ”

พี่ไปป์เริ่มเล่าเรื่องที่ผมอยากรู้อย่างหัวเสียเมื่อเข้ามานั่งข้างกันที่เบาะด้านหลังของรถแท็กซี่สีชมพูหวานแหววเหมือนหัวใจของผม

“ก่อนจะเข้าไปออฟฟิศอาร์ม ผมก็แวะไปทำธุระที่ห้างใช่มั้ย แต่ซวยมาอะ ดันไปเจองานอีเว้นท์ที่เอ็มไปรับเชิญ ผมก็ไม่ได้สนใจนะ ก็แค่เดินผ่านอะ แต่นักข่าวแม่งโคตรตาไวเลย หันมาเห็นผม สะกิดเพื่อนแล้วทีนี้ก็กรูกันเข้ามาเลย ไมค์มีกี่ตัวจ่อมาสิ ผมแม่งไม่รู้จะทำไงเลย” สีหน้าพี่ไปป์ตอนเล่าสื่อความเบื่อหน่ายและรำคาญออกมาอย่างไม่ปิดบัง

“แล้วพี่ไปป์ทำไงอะ วิ่งหนีออกมาเลยเหรอ”

“คิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลย”

“ไม่รู้สิ ไม่เคยเป็นคนดัง”

“ที่จริงก็กะจะวิ่งหนีแหละ แต่โดนรุมไง ถามอะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะจนฟังไม่ทัน แต่ถึงฟังทันก็ไม่คิดจะตอบหรอกก็เลยทำหน้ามึนๆ ใส่ไป หาโอกาสแล้ววิ่งออกมา มีนักข่าววิ่งตามด้วยนะ ผมก็วิ่งสุดตีนเลย พอเจอพี่วินก็เลยกระโดดขึ้นมา โคตรเหนื่อย”

“พี่ไปป์ตลกดี” ผมว่ากลั้วขำ

“ขำอะไรเนี่ย ไม่เป็นผมคุณไม่รู้หรอก ตอนที่วิ่งหนีนะรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งหนีซอมบี้อะโคตรน่ากลัว นี่โชคดีมากเลยนะที่ตอนนั้นตัดสินใจออกจากวงการมาทำงานเบื้องหลัง”

“ถามได้มั้ยว่าทำไมพี่ไปป์ถึงเลิกกับพี่เอ็ม”

“ไม่รักกันแล้วก็แค่เลิก ต้องมีเหตุผลอะไรซับซ้อนด้วยเหรอ”

“ถ้าไม่รักกันแล้ว ทำไมพี่เอ็มยังตามพี่ไปป์อยู่ล่ะ”

“อยากรู้ก็ไปถามเอ็มสิ”
 
“ไม่อยากรู้ก็ได้ครับ” แม้จะยังคาใจเรื่องนี้แต่ก็ไม่อยากขัดใจเขา

“ดีแล้ว ผมไม่ชอบคนสอดรู้สอดเห็น” จุกเลยอะ ที่ผ่านมาสอดรู้มาหลายเรื่องแล้ว ไม่ใช่ว่าตัดสินผมจากเรื่องพวกนั้นไปแล้วหรอกนะ

คุยกันไปเรื่อยเปื่อยกระทั่งมาถึงจุดหมาย

ผมอาสาขับรถ พี่ไปป์เองก็ยอมส่งกุญแจให้ผมแต่โดยดี เวลาว่าง่ายนี่ก็น่ารักดี

ผมกับพี่ไปป์น่าจะเป็นสองคนสุดท้ายที่มาถึงร้าน พี่กริชโบกมือเรียกทันทีเมื่อเราปรากฏตัว พี่แอมป์ที่นั่งอยู่ข้างกันวางแก้วลง หันมาส่งยิ้มอย่างเป็นมิตร

“ไปทำไรกันมาวะ ช้าตลอด” ไหนพี่ไปป์บอกไม่ชอบคนสอดรู้ พี่กริชเพื่อนสนิทพี่เขานี่ขี้เสือกตัวพ่อเลย

“พี่ไปป์บอกว่าไม่ชอบคนสอดรู้ครับ” ผมกับพี่กริชไม่ญาติดีกันแล้ว ก็หลายเมื่อวันก่อนผมแนะนำเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งให้พี่แกรู้จัก ผมก็ไม่คิดอะไรนะ กระทั่งเมื่อวานพี่แกก็โทรมาด่าผมเป็นชุดว่าแนะนำผู้หญิงงี่เง่ามาให้ อ้าว! ผมจะรู้มั้ยอะว่าเจ้าหล่อนนิสัยยังไง นั่นแหละ เพื่อนรักพี่ไปป์ก็เลยเกลียดขี้หน้าผมเลย ซวยชะมัด

“น้องมึงกวนตีนแล้วไปป์”

“กูว่าไม่น่าจะใช่น้องแล้วรึเปล่าวะ” พี่แอมป์พูดดี ผมจึงหันไปส่งยิ้มให้ก่อนขอไฮไฟว์ พอพวกเราตบมือกันแปะพี่กริชคนสอดรู้ก็หันมาแยกเขี้ยวใส่

“ไม่รู้แหละ ไม่ผ่านการพิจารณาจากกู กูก็ไม่ให้คบเว้ย”

“มึงเป็นพ่อไอ้ไปป์ตั้งแต่เมื่อไหร่เชี่ยกริช”

“มึงว่ากูแก่เหรอแอมป์ ว่างๆ ผ่าหมาออกจากปากตัวเองบ้างนะ”

“เออ ผ่าปากกูเสร็จแล้วก็ต่อด้วยปากมึงอะ”

อ้าว เถียงกันซะแล้ว ผมหันมองคนข้างๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะชิงเบือนหน้าหนีไปก่อนแล้ว

“พี่กริชหวงพี่ไปป์จังเลยนะครับ” เข้าใจแหละว่าสนิทกัน

“ผมเสน่ห์แรงไง”

“มั่นใจป่ะเนี่ย” เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดแซวเขาไม่ได้

“ถามตัวเองสิ คุณเองก็หลงเสน่ห์ผมเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ยิงคำถามใส่กันด้วยน้ำเสียงเนิบช้าไร้ความรู้สึกแบบนี้ก็ได้เหรอ นี่มันเรื่องของหัวใจนะครับ เติมความหวานในน้ำเสียงซักหน่อยเถอะ ขอร้อง

“พี่ไปป์เสน่ห์แรงจริงๆ แหละ” ผมยื่นมือไปรับแก้วเหล้ามา ถือไว้เฉยๆ ขณะวางสายตาอ่อนหวานไว้บนดวงหน้าคนตรงหน้า “เนี่ยตกหลุมรักอีกแล้ว”

“เสี่ยวสัด” เสียงพี่อาร์มดังขึ้นเหนือหัว เงยหน้ามองก็พบรอยยิ้มกวนตีนที่เห็นแล้วอยากถวายตีนให้แม่งจริงๆ “หยอดพี่กูขนาดนี้ ไม่ให้แม่ยกขันหมากมาขอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะครับน้องเซ”

“กลัวบางคนไม่ยอมรับขันหมากนี่สิ” บางคนที่ถูกพูดถึงชักสีหน้าใส่แล้วกระดกเหล้าทีเดียวหมดแก้ว เบาๆ หน่อยพี่เดี๋ยวก็เมาหรอก ยิ่งคออ่อนๆ  อยู่ไม่ใช่เหรอ

“ขันหมากเหี้ยไร เขายอมเป็นแฟนมึงแล้วเหรอ” พี่กริชเวลาเมานี่เกรี้ยวกราดสุด คงเพราะแบบนี้ครั้งแรกที่เจอกันพี่ไปป์ถึงได้ห่วงมากๆ

“ตอนนี้อาจจะไม่แต่กูว่าอีกไม่นานหรอก”

“มึงเป็นหมอหมาหรือเป็นหมอดู”

“เป็นหมอหมาที่มองไอ้ไปป์ปราดเดียวก็รู้เลยว่ามันคิดอะไร”

“จะบอกว่ามึงสนิทกับมันมากกว่ากูงั้นสิ คิดไปเองป่ะแอมป์ กูสนิทกว่า”

“ก็ไม่รู้สินะ ถ้าสนิทกว่าแล้วทำไมมึงดูไม่ออกว่าไปป์กำลังคิดอะไร”

“กูดูออกอยู่แล้ว กูแค่ไม่แสดงออก”

“งั้นเหรอ งั้นตอบกูสิว่าไปป์คิดกับน้องเซยังไง” ผมเลิกสนใจพี่อาร์มแล้วหันไปให้ความสนใจกับบทสนทนาของเพื่อนสนิทพี่ไปป์

“รำคาญ” จุกเลยอะ แต่ก็ต้องยอมรับกว่าก่อนหน้านี้พี่ไปป์คงคิดกับผมแบบนั้นจริงๆ

“ไม่สนิทจริงนี่หว่า” พี่แอมป์ถากถาง

“กูสนิท”

“ถ้าสนิทจริงมึงต้องรู้ว่าไปป์มัน...”

“ไปป์บังเอิญจัง” พี่แอมป์ยังพูดไม่ทันจบแขกไม่ได้รับเชิญปรากฏตัวตรงหน้าเราเสียก่อน

พี่เอ็ม

ในความสลัวเจ้าของดวงตาคมจับจ้องเพียงคนที่เขาเอ่ยชื่อ ผมใช้สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ออร่าคนดังเปล่งประกายออกมาจากร่างสูงต่างจากครั้งแรกที่เจอกัน

“เมื่อกลางวันไปหาเอ็มที่ห้างเหรอ” เขาก้มหน้ากดมือถืออยู่ครู่ก่อนจะยื่นมาตรงหน้า ชะโงกดูก็เห็นข่าวที่บอกเล่าเรื่องราวในเหตุการณ์เดียวกับที่พี่ไปป์เล่าให้ผมฟังระหว่างเราเดินทางมาที่นี่

“คิดอย่างนั้นเหรอ”

“ไม่หรอก ไปป์ยังไม่ใจอ่อนให้เอ็มเลย”

“มึงยังกล้ากลับมาเจอเพื่อนกูอีกเหรอ หน้าด้านฉิบหาย” พี่กริชว่าด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดสไตล์คนเมา เขาไม่แม้แต่จะชายตาแลคู่สนทนาด้วย

“คุยกันหน่อยสิ” พี่เอ็มยื่นมือมา เว้าวอนด้วยสายตาให้พี่ไปป์ตามออกไป

ผมอยากจับมือเขาไว้ อ้อนวอนให้อยู่ ทว่ารอบตัวของเรากลับนิ่งสนิท พี่ไปป์ไม่แม้แต่จะขยับตัว เขาเม้มปาก จ้องมองพี่เอ็มด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความหมาย

“อยากคุยอะไรก็คุยตรงนี้”

“แต่ว่า...”

“มีแต่เพื่อนและน้องๆ ผมทั้งนั้น ถ้าไม่คุยตรงนี้ก็ไม่ต้องคุย” ยิ่งได้ยินพี่ไปป์ว่าอย่างนั้นทั้งโต๊ะก็ยิ่งเคร่งเครียดเหมือนถูกเมฆฝนลอยบดบังพระอาทิตย์เอาไว้

หลังเอ่ยจบประโยค พี่ไปป์ดูผ่อนคลายมาก เขายกแก้วขึ้นจิบเหล้า มองมาที่ผมซึ่งมองหน้าเขาอยู่เช่นกัน

“ก็ได้ แต่ขอนั่งได้มั้ย”

พี่ไปป์ขยับมาจนชิดผมเพื่อให้พี่เอ็มแทรกตัวลงนั่งข้างๆ

ตอนนี้บนโซฟาคนหนาแน่นมากจนพี่แอมป์ต้องขยับไปนั่งที่พนักวางแขนแทน

“เอ็มลองคิดดูแล้วนะ ไปป์ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องเลิกกันเพียงเพราะเอ็มกำลังจะมีชื่อเสียง” เสียงพี่เอ็มนุ่มนวล คงจะเป็นน้ำเสียงแบบที่เขาใช้กับพี่ไปป์อยู่เป็นประจำ

“ผมไม่เคยรู้ว่าคุณจะมีชื่อเสียง” ผมไม่เคยชอบพี่ไปป์ยามพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกตรงข้าม “คุณไม่เคยแสดงให้เห็นด้วยซ้ำว่าคุณทะเยอทะยานอยากจะเป็นนักร้องชื่อดัง เพราะงั้นไม่มีเหตุผลที่ผมจะยอมเสียสละอะไรให้คุณ”

คิดว่าคนฟังคงหน้าชาไปแล้วเขาถึงได้นั่งนิ่งแบบนั้น

“คุณบอกว่าคุณรักผม แต่คุณกลับไม่เคยรู้เลยว่าผมเป็นคนยังไง”

“ถ้าไม่ใช่อยากให้เอ็มเป็นนักร้องโดยที่ไม่มีเรื่องเสียหายแล้วเพราะอะไรล่ะไปป์”

“คุณมองว่าการคบกันของเราเป็นเรื่องเสียหายอย่างนั้นเหรอ เออว่ะ แม่ง ผมแม่งโคตรรู้สึกดีเลยที่เลิกกับคนอย่างคุณได้”

“ไม่เอาดิไปป์ เอ็มไม่เคยคิดอย่างนั้น เอ็มรักไปป์นะ ไม่เคยนอกใจเลยอะ”

“เออ ก่อนจะพูดเนี่ยลืมไปแล้วเหรอว่าตอนเราคบกันคุณนอนกับคนอื่นไปกี่ครั้ง ไม่มีใครรับได้หรอกนะที่รู้ว่าแฟนตัวเองไปนอนกับคนอื่น ผมก็คนนะเอ็ม ไม่ใช่ควาย” ไม่เคยเห็นพี่ไปป์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้มาก่อน เขาน่ากลัวมาก มือเรียวทั้งสองข้างกำแน่น เหมือนพร้อมจะต่อยคนข้างๆ ได้ทุกเมื่อเลย

“ถ้าเพราะเรื่องนั้น เอ็มอธิบายไปแล้วไงไปป์ เอ็มเมา มันแค่อารมณ์ชั่ววูบ เอ็มไม่ได้รักเค้า เอ็มรักไปป์คนเดียวนะ จนถึงตอนนี้ความรู้สึกของไปป์ก็ไม่เคยเปลี่ยนนะ เอ็มขอโทษนะไปป์ เอ็มรู้ว่าคำขอโทษมันอาจจะไม่พอ แต่ให้เอ็มไถ่โทษนะ หลังจากนี้เอ็มจะไม่ทำให้ไปป์เสียใจอีก” น้ำเสียงพี่เอ็มเว้าวอน เขายื่นมือมาหวังสัมผัสหากพี่ไปป์ก็ถอยห่าง

“เราไม่จำเป็นต้องให้อภัยทุกคนที่มาขอโทษเรารึเปล่าวะ ผมไม่รู้นะเอ็มว่าความรักของคุณคืออะไร แต่ความรักของผมไม่ใช่คุณอีกต่อไปแล้ว”

“เอ็มมาช้าไปเหรอ”

“ไม่เกี่ยวกับช้าหรือเร็วแต่เกี่ยวกับความรู้สึกของผมที่มันหมดแล้วต่างหาก คุณไปเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นเถอะ ผมเองก็กำลังจะเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นเหมือนกัน”

ประโยคง่ายๆ นั้นแต่เหมือนมันจะไม่ง่ายสำหรับคนพูดและคนฟังเลยสักนิด

มองเผินๆ พี่ไปป์อาจจะดูเข้มแข็งมากแต่ไม่ใช่เลย เขากำมือที่วางอยู่บนหน้าขาแล้วคลายออกทำอย่างนั้นซ้ำๆ ตลอดเวลาที่คุยกับอีกฝ่ายจนผมต้องเอื้อมมือไปกุมเอาไว้

พี่เอ็มจากไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงความอึมครึมในโต๊ะและผมที่ยังกุมมือพี่ไปป์ไม่ยอมปล่อย

“พี่ไปป์โอเคมั้ย”

พยักหน้าให้ผมแทนคำตอบ แต่ไม่หรอก พี่ไปป์ไม่โอเคเลย ไหล่ของเขาที่แนบชิดกับอกผมกำลังสั่นสะท้านเมื่อเจ้าตัวสะกดกลั้นความรู้สึกที่อยากเปิดเผย

“ออกไปข้างนอกมั้ย เดี๋ยวเซพาไป”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปเอง” บอกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนล้าก่อนวางแก้วลงแล้วดึงมือออกจจากการกอบกุม “ขอโทษทุกคนนะ ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่อง หมดสนุกเลย”

“ไม่ใช่ความผิดพี่ไปป์หรอก พวกเราสนุกนะ พี่ไปป์แหละสนุกป่ะเหอะ”

“ไปปรับอารมณ์ก่อนเดี๋ยวกลับมา” ผมส่งยิ้มให้พี่ไปป์ตอนที่เขามองผ่านมา อยากจะเดินตามออกไปหรอก กำลังจะลุกแล้วแต่กลับถูกพี่แอมป์ห้ามเอาไว้

เสียงเพลงรักจังหวะสบายๆ จากวงดนตรีสดดังขึ้นจากเวทีด้านหน้าช่วยให้บรรยากาศบนโต๊ะดีขึ้นหน่อย

ผมก้มมองแก้วพี่ไปป์ที่น้ำแข็งละลายไปจนหมดก่อนมองผ่านฝูงชนไปยังพี่เอ็มซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งของร้าน ไหล่กว้างห่อลงอย่างเห็นได้ชัด มองข้างหลังยังรู้เลยว่าอาการไม่ค่อยดี ไม่รู้ด้วยว่าเหตุการณ์เมื่อครู่มีใครถ่ายรูปหรือถ่ายคลิปไว้บ้างมั้ย ซึ่งถ้ามีคนทำล่ะก็คงไม่เป็นผลดีกับคนที่กำลังมีชื่อเสียงเท่าไหร่

ถึงผมจะไม่ชอบพี่เอ็ม แต่ผมก็ไม่ชอบให้อนาคตใครถูกทำลายเพียงเพราะคลิปสั้นๆ ของชาวโซเชียลหรอก







“พี่แอมป์คิดว่าเรื่องพี่ไปป์กับพี่เอ็มจบแล้วจริงๆ รึเปล่า” ระหว่างรอให้คนที่ดูเหมือนจะหมดสนุกกับค่ำคืนนี้กลับเข้ามาก็หันไปชวนพี่แอมป์คุยเพื่อคลายความตึงเครียดที่กำลังเกาะกินหัวใจ

“จบสิ ไปป์พูดถึงขนาดนี้แล้วเซยังจะลังเลอะไรอีกล่ะ”

“เซไม่แน่ใจว่าพี่ไปป์เลิกรักพี่เอ็มจริงๆ รึเปล่า” อาการของพี่ไปป์เมื่อครู่ทำให้ผมไม่มั่นใจอะไรเลย

“เวลาที่เราทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นเรารู้สึกดีเหรอ”

ผมส่ายหน้า ใครจะไปรู้สึกดีเมื่อทำให้คนอื่นเสียใจกันล่ะ

“ไปป์ก็คงแค่รู้สึกไม่ดีเฉยๆ แหละ”

แม้ไม่สบายใจในทีเดียวแต่ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

“เซรู้มั้ย...” พี่แอมป์กระดกเหล้าในแก้วจนหมดทีเดียวแล้ววางลงก่อนวางมือลงบนหน้าขาของผม จ้องมองมาด้วยสายตาเชื่อมปรอยจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ส่วนพี่กริชน่ะเหรอ หลับไปแล้วล่ะ “ที่เราได้เป็นเดือนน่ะเพราะเพื่อนพี่เลยนะเว้ย”

หืม ผมมุ่นคิ้วยุ่ง ละสายตาจากพี่กริชมามองคนพูด เอาจริงๆ ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน

“เกี่ยวอะไรกับพี่ไปป์ครับ” จำได้ว่าตอนผมอยู่ปี 1 พี่ไปป์ก็อยู่ในฐานะพี่บัณฑิตแล้ว

“รู้ใช่มั้ยว่านอกจากคะแนนโหวตจากเพื่อนทั้งคณะแล้ว เสียงของพี่บัณฑิตมีผลต่อการเลือกดาวเดือนคณะด้วยเหมือนกัน”

ผมพยักหน้ารับ พลางจ้องหน้าพี่แอมป์ไม่วางตา

“ตอนนั้นคะแนนของเรากับน้องรองเดือนสูสีกันมากแทบจะเสมอกันเลยมั้ง”

ใครๆ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมกับรองเดือนหล่อคนละสไตล์ ก็ไม่แปลกหรอกที่คะแนนจะสูสีเพราะคนเราชอบไม่เหมือนกัน

“ตอนนั้นไปป์มันลงคะแนนให้เซนะ รู้มั้ยเพราะอะไร” เพราะพี่ไปป์ชอบผู้ชายสไตล์ผมหรือเปล่า แต่ก็ไม่แน่ว่ะ เพราะพี่เอ็มแฟนเก่าเขาก็ไม่ใช่สไตล์เดียวกับผม

เมื่อหาคำตอบไม่ได้จึงส่ายหน้าให้พี่แอมป์ยิ้มน้อยๆ

“เพราะมันชอบเซ”

หืม ว่าไงนะ ไม่จริงน่า ตลอดเวลาที่ใช้ไปด้วยกันไม่เคยเห็นว่าเขาจะแสดงความรู้สึกอะไรออกมาเลย หรือว่าพี่แอมป์ไม่ได้เมาจนเพ้อเจ้อไปเอง บางทีเขาอาจจะแค่อยากให้กำลังใจผม

ไม่เอาแล้ว ไม่เดา ไปถามเอาคำตอบจากเจ้าตัวเลยสิ





[T B C]


รู้สึกถึงบรรยากาศดีๆ ระหว่างพี่ไปป์กับเซใช่มั้ยคะ
เราเชื่อนะว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น
เซพยายามเรื่องพี่ไปป์มากจริงๆ แม้พี่ไปป์จะยังไม่ยอมรับความรู้สึก แต่อย่างน้อยก็ได้เพื่อนพี่ไปป์มาเป็นทีมตัวเองนะ
ฝากพี่ไปป์กับเจ้าเซด้วย :)
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 12 UP 15.7.17
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 15-07-2017 18:11:36
รักน้องมันรีบบอกเหอะ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 13 UP 25.7.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 25-07-2017 20:31:38
พี่ครับ 13


แสงสว่างจากบุหรี่ที่ถูกจุดขึ้นในความมืดทำให้รู้ว่าพี่ไปป์อยู่ตรงไหน

ผมเดินเข้าไปหาคนที่นั่งอยู่บนขอบกระถางต้นไม้ ในมือคีบบุหรี่ที่ถูกสูบไปเกือบหมดมวนแล้ว พอหันมาเห็นผมเขาก็ดับมันทิ้ง

“สบายใจขึ้นรึยัง” ผมยิ้มอ่อนโยนส่งให้เมื่อถาม หวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นหน่อย

“บุหรี่ช่วยได้นิดหน่อย”

“พี่ไปป์ลุกมานี่สิ” ผมยื่นมือไปตรงหน้า หากพี่ไปป์ไม่ได้ยื่นมือมาให้จับ ก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้เท่าไหร่หรอก เขาลุกขึ้นยืน มองผมอย่างคนกำลังสงสัย “เซอยากช่วยให้พี่ไปป์รู้สึกดีนะ”

“ผมรู้สึกดีแล้วนี่ไง” เขายิ้ม เจ้าตัวรู้บ้างไหมว่ายิ้มนั้นดูอ่อนล้ากว่าครั้งไหนๆ

“มากอด” พี่ไปป์เบิกตากว้างทันทีเมื่อผมอ้าแขนออก

“อะไรของคุณ”

“กอดแล้วรู้สึกดีนะ มาเถอะ” เรียกอีกทว่าเขากลับยังคงยืนนิ่งจนผมต้องเป็นฝ่ายเข้าไปสวมกอดเขาเสียเอง

พี่ไปป์ยืนนิ่งประหนึ่งเสาหิน แขนแนบลำตัวไม่คิดจะกอดตอบ แต่ก็ช่างปะไรอย่างน้อยเขาก็ไม่ผลักผมออกห่าง เวลาผ่านไปท่ามกลางลมเย็นที่พัดผ่าน ไม่รู้ว่าหนาวหรือเปล่า อยู่ๆ แขนที่วางแนบอยู่ข้างลำตัวก็ถูกยกขึ้นมาสวมกอดผม ซบหน้าลงบนไหล่ สัมผัสระหว่างเราแนบแน่นยิ่งขึ้นให้ความรู้สึกในหัวใจค่อยๆ งอกงาม

“รู้สึกดีจริงๆ ด้วยแฮะ” คำของพี่ไปป์ทำให้ผมยิ้มได้

“ดีกว่าบุหรี่ใช่มั้ยครับ”

“มั้ง”

“พี่ไปป์” ไม่แน่ใจว่าควรพูดตอนนี้ไหม แต่ว่าถ้าไม่พูดก็ไม่รู้ว่าระยะห่างระหว่างเราต่อจากนี้จะเป็นอุปสรรคหรือเปล่า “ถ้ารู้สึกเหมือนกันก็เป็นแฟนกันเถอะนะ”







ช่วงเย็นวันศุกร์อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมา

ผมเท้าคางมองสายฝนที่เทกระหน่ำผ่านกระจกร้านอาหารร้านโปรดของพี่ไปป์ ทั้งที่เป็นฝ่ายนัดผมเองแท้ๆ แต่เจ้าตัวกลับมาสายซะงั้น

หน้าจอมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสว่างขึ้น ข้อความพุทแจ้งเตือนว่าเป็นข้อความจากคุณปกรณ์

‘ติดฝน ในรถไม่มีร่ม’ ผมรีบหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อกก่อนตอบข้อความด้วยความห่วงใยสุดขีด

‘พี่ไปป์จอดรถตรงไหน’

‘ขวามือของร้าน ห่างออกมาประมาณ 100 เมตร’

‘เดี๋ยวเซไปรับ’ ตอบเขาแล้วจึงเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

โชคดีที่ร้านมีร่มไว้บริการลูกค้า

เพียงเปิดประตู ลมก็พัดเข้าหน้าจนชาไปทั้งแถบ นั่งอยู่ข้างในไม่รู้เลยว่าลมแรงขนาดนี้ รองเท้าผ้าใบของผมเริ่มชื้น เสื้อนักศึกษาสีขาวก็เริ่มเปียกจนแนบเนื้อ ร่มไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ

วิ่งกึ่งเดินฝ่าสายฝนมาก็เจอรถพี่ไปป์ที่ผมคุ้นเคยดี

“เปียกหมดแล้ว” พี่ไปป์ก้าวมายืนข้างๆ จนไหล่เขาชิดอกผมใต้ร่มคันเดียวกัน บรรยากาศควรจะโรแมนติก แต่ไม่เลย โคตรหนาว โคตรแฉะ รู้ไว้เลยว่าไอ้เซไม่ชอบฤดูฝน

“เดินเร็วๆ เลยนะ” พี่ไปป์กอดกระเป๋าไว้แนบอก ส่วนผมก็โอบไหล่ของเขาเอาไว้

ปกติถ้าได้สัมผัสพี่ไปป์นี่ผมจะโคตรฟิน โคตรเพ้อ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ฟินไม่ไหวหรอกมันแฉะเกินไป

กึ่งเดินกึ่งวิ่งกันจนรองเท้าเปียก ขากางเกงชุ่ม สุดท้ายก็มาถึงจุดหมายด้วยสภาพแย่ๆ เหมือนลูกหมาตกน้ำ มองหน้ากันแล้วก็ได้แต่ขำ

“แน่ใจเหรอว่ากางร่มแล้ว เสื้อเปียกหมด” พี่ไปป์ยื่นมือมาลูบต้นแขนซ้ายของผมที่เปียกทั้งแถบ ก็แหงสิ เป็นสุภาพบุรุษไง เอียงร่มไปฝั่งเขาจนเราเปียกชื้น

“พี่ไปป์ก็เปียกเหอะ”

“แต่น้อยกว่าเซ”

ผมเดินนำพี่ไปป์ไปที่โต๊ะหลังจากเสียบร่มไว้ในตะกร้า พอกลับมาถึงอาหารหลายอย่างก็วางอยู่บนโต๊ะแล้ว ท้องผมร้องด้วยความหิวแต่ตัวก็เฉอะแฉะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบาย

“ไปเปลี่ยนเสื้อก่อนไป๊” พี่ไปป์ยื่นถุงที่เขากอดมาตลอดทางให้ ผมรับมาแกะดูอย่างไม่ลังเล ข้างในปรากฏเสื้อตัวที่ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นมันแขวนอยู่หลังรถเขา

“เตรียมมาให้เซเหรอ”

“เตรียมมาให้หมามั้ง”

“วันนี้หินผาไม่ได้มาด้วยซักหน่อย”

“กวนตีนแล้วเซ รีบไปเปลี่ยนเสื้อเลยเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

“กางเกงก็เปียกอะ เปียกไปถึงกางเกงในเลยเนี่ย” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปป้องปากกระซิบให้คนตรงข้ามหัวเราะเบาๆ

“มีบ็อกเซอร์อยู่ในรถนะ ถ้าคุณอยากยืม...” ยื่นกุญแจมาให้กันเฉย อยากได้อยู่หรอกจริงๆ แล้ว แต่ไม่อยากฝ่าฝนออกไป ยอมอยู่แบบกางเกงเปียกๆ ก็ได้

ผมกอดกระเป๋าพี่ไปป์ไว้แนบอก ยิ้มกว้างขอบคุณคนรอบคอบและใจดีก่อนขอตัวไปห้องน้ำ

เสื้อพี่ไปป์หอมมาก หอมเหมือนตัวเขา และพอเสื้อยืดสีพื้นมาอยู่บนตัวผมก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกเขากอด มีความสุขมากจนลืมเรื่องกางเกงในเปียกไปเลย

สงสัยพี่ไปป์คงหิวมาก พอผมกลับมาที่โต๊ะเขาก็กินข้าวหมดไปเกือบครึ่งจานแล้ว

“ทำงานจนไม่ได้กินข้าวเที่ยงอีกแล้วแหง”

เจ้าตัวพยักหน้ารับแต่โดยดี ไม่ใช่ยอมผมแต่ไม่มีทางให้แก้ตัวเพราะพี่ไปป์ทำอย่างนี้ประจำ

“เดี๋ยวก็เป็นโรคกระเพาะ”

“ขี้บ่นจัง” ว่าผมไม่ดูตัวเองเลย เมื่อก่อนขี้บ่นกว่านี้อีก

“เมื่อวันก่อนเซเจอพี่หนิงด้วยแหละ”

“อืม” ช่วยตื่นเต้นกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ พี่หนิงเคยทำงานกับพี่ไปป์มาตั้งหลายปีนะเว้ย

“จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าเขาเป็นยังไง”

“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” เชื่อแล้วว่าไม่สนใจจริงๆ พี่ไปป์ก็เป็นอย่างนี้ตลอด ถ้าไม่ชอบใครแล้วจะไม่อยากรู้เรื่องของคนๆ นั้นเลย ที่จริงก็เป็นเรื่องที่ดีแหละ

ว่าถึงเรื่องพี่หนิง หลังจากที่โดนจับได้ว่าเป็นคนปล่อยข่าวลือ พี่ไปป์คนใจดีก็ทำเรื่องย้ายพี่เขาไปอยู่แผนกอื่นแต่ไม่นานพี่แกก็ลาออก ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรและดูเหมือนพี่ไปป์เองก็ไม่ได้สนใจใคร่รู้เรื่องของคนอื่นเอาซะเลย

จะว่าไปผมยังไม่มีโอกาสตอบแทนเรื่องขนมที่พี่แกซื้อมาฝากเลย ถ้าพี่แกบอกตรงๆ ว่าเป็นคนซื้อโดยไม่อ้างชื่อพี่ไปป์ผมคงไม่รับมาหรอก ผมเองก็เป็นคนขี้เกรงใจเหมือนกันนะบางที

“อันนี้อร่อย” ตัวเองอิ่มแล้วล่ะสิถึงได้ตักอาหารที่เหลือในจานให้ผม

พี่ไปป์กินเก่งมาก ต่อไปนี้ผมคงต้องขยันขึ้นอีกหน่อย ไม่งั้นคงไม่มีปัญญาเลี้ยงแฟน

“เซนึกว่าพี่ไปป์จะชวนไปกินบุฟเฟต์”

“ช่วงนี้อาหารไม่ค่อยย่อย เอาไว้คราวหน้าละกัน”

หลังจากฝึกงานเสร็จ ผมยังคงทำงานกับทีมพี่อาร์มพร้อมๆ กับเรียนเทอมสุดท้ายไปด้วย กับพี่ไปป์ เขาโทรหาผมบ่อยกว่าตอนรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงซะอีก อย่าคิดว่าโทรมาหวานหรือหว่านเสน่ห์ ไม่เลย ห่างไกลมากด้วย จำได้ใช่มั้ยว่าพี่ไปป์เคยบอกว่าตัวเองกินเก่ง นั่นแหละครับเหตุผลที่ไปป์สายแดกโทรมาหา ชวนกินบุพเฟต์จนตอนนี้กลิ่นตัวผมใกล้ๆ จะคล้ายกลิ่นปิ้งย่างเข้าไปทุกทีแล้ว

แต่ผมก็ไม่เกี่ยงหรอก ทางไหนที่ทำให้ได้ใกล้ชิดเขาผมเอาหมดแหละ นี่เขาก็เปิดใจให้ผมมากแล้ว ถึงจะยังไม่ยอมตอบรับเรื่องคบกันแต่ความสัมพันธ์และการกระทำของเราก็ใกล้เคียงคำว่าแฟนมากจนไอ้ยอดแซ็วเช้าแซ็วเย็น

อยากรู้เรื่องพี่เอ็มหรือเปล่า ไม่อยากเล่าเลยให้ตายเถอะ ช่วงนี้พี่แกก็ดังแบบทรงๆ เคยถามพี่ไปป์ครั้งนึงว่ายังถูกแฟนเก่าระรานอยู่มั้ย ก็ได้คำตอบง่ายๆ ว่าไม่ ผมเชื่อเขานะ พี่ไปป์แทบจะไม่เคยพูดถึงพี่เอ็มเลย ทำเหมือนว่าไม่เคยมีคนๆ นี้ในชีวิต เห็นอย่างนั้นแล้วก็เบาใจ

“วันนี้ให้เซจ่ายนะ” ผมควักบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋าสตางค์ทว่าพี่ไปป์ก็ห้ามเอาไว้อย่างเคย เนี่ย ขัดใจตลอด

“ไม่ได้ ผมเป็นคนชวน”

“พี่ไปป์อะ อย่างนี้ทุกที งั้นพรุ่งนี้ไปดูหนังกัน” นี่ชวนมาสิบกว่ารอบแล้วไม่เคยตอบรับ ไม่เหมือนผม เขาโทรมาชวนกินข้าวเมื่อไหร่ตอบรับอย่างไวโดยไม่ต้องคิดอะไรแม้แต่นิดเดียว ใจง่ายโคตรๆ

“ไม่เอาอะ ไม่อยากดู” นั่นไง ปฏิเสธอีกแล้ว

“แต่เซอยากดู” และผมก็ช่างตื๊อ ไม่รู้แหละ ตื๊อไว้ก่อนถึงจะยังดื้อดึงปฏิเสธแต่อย่างน้อยพี่ไปป์ก็คงได้เห็นถึงความพยายามของผมบ้าง

“ก็ไปดูคนเดียว”

“ไม่เอา อยากดูกับพี่ไปป์”

“ผมไม่ค่อยชอบดูหนัง”

“ไปนั่งข้างๆ เฉยๆ ก็ได้”

“เปลือง”

“แต่เรื่องนี้เซอยากดูจริงๆ นะ” ผมวางศอกไว้บนโต๊ะประสานมือรองใต้คาง มองเขาตาปริบๆ ใจอ่อนซักทีเถอะครับ ไม่ได้บังคับให้ไปดู แค่อยากให้นั่งข้างๆ เวลาตกใจจะได้ผวาเข้าไปกอด







พี่ไปป์โกหกอะ

“ไหนบอกไม่มีร่ม” ผมเข้ามานั่งข้างคนขับเมื่อเราตกลงกันเรื่องจ่ายค่าอาหารแล้วควักเงินจ่ายคนละครึ่ง

“อ้าวมีด้วยเหรอ” ไม่ต้องมาทำเป็นตื่นเต้นแปลกใจเลย ตั้งใจจะแกล้งกันใช่มั้ย

เนี่ยตั้งแต่เริ่มสนิทกันพี่ไปป์ก็กลายเป็นคนขี้แกล้งไปซะงั้น

“อยากให้เซกางร่มมารับก็บอกดีๆ”

“หรือไม่อยากมารับ”

“ก็อยากแต่เนี่ยเห็นมั้ย เซเปียกหมดเลย” ผมจับมือพี่ไปป์ออกจากพวกมาลัยแล้วมาวางที่กางเกงเปียกชื้นของตัวเอง หากคนผิดก็หาได้สนใจไม่ ดึงมือออกแล้วหักพวกมาลัยออกจากที่จอดทันที ไม่สนใจกางเกงชื้นๆ ของไอ้เซแม้สักนิดเดียว

ขับรถออกถนนใหญ่มาได้ซักพักผมก็เริ่มหนาว

“หนาวอะ”

“ลดแอร์สิ”

“เดี๋ยวพี่ไปป์ร้อน”

“ไม่ร้อนหรอก ถ้าหนาวก็ลดแอร์ หรือถ้าไม่ก็หยิบเสื้อคลุมหลังรถมาห่ม” ผมมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ไปด้านหลังซึ่งมีเสื้อแจ็คเก็ตปักชื่อคณะนิเทศของพวกเราแขวนอยู่

“เสื้อรุ่นนี้หลายปีแล้วทำไมของพี่ไปป์ยังใหม่”

“ไม่ค่อยได้ใส่”

“อยากได้อะ ขอได้มั้ย”

“ของ่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ”

“ลองขอไปงั้นแหละ ไม่คิดว่าพี่ไปป์จะให้หรอก”

“เอาไปสิ” ยกให้ง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ

“ถ้าเซใส่แล้วคนอื่นถามว่าได้มาจากไหน เซบอกว่าแฟนให้มาได้มั้ย”

“แล้วแต่”

“นี่เป็นแฟนกันแล้วถูกมั้ย”

“อยากเป็นอะไรก็เป็น” นี่คือวิธีการตอบรับคำขอเป็นแฟนที่เย็นชาไร้ความรู้สึกที่สุดในโลกอะ หันมามองหน้าแล้วยิ้มหวานๆ ตอบเสียงนุ่มน่าฟังไม่ได้เลยหรือไงครับพี่ครับ

“งั้นเดี๋ยวค่อยเป็นก็ได้” ถ้าเลื่อนสถานะตอนนี้เดี๋ยวจะถูกมองว่ามัดมือชก “ในไลน์กลุ่มอะ พี่อาร์มบอกว่าเสื้อล็อตใหม่ขายหมดแล้วนะครับ” ผมกอดแจ็คเก็ตไว้แนบอกอัพเดตเรื่องที่พี่อาร์มเพิ่งบอกในไลน์เมื่อครู่

“ก็ดีแล้วไง”

“พี่ไปป์ไม่ตื่นเต้นเหรอ”

“โห เจ๋งอะ ขายหมดแล้วเหรอ สุดยอด” สุดยอดของความเสแสร้งแกล้งทำ

“พอเถอะ คืนนี้นอนห้องพี่ไปป์นะ”

“อะไร ห้องตัวเองก็มี”

“ก็มี แต่เซรู้สึกเหมือนจะไม่สบาย ถ้าอยู่ห้องคนเดียวก็ไม่มีคนดูแลสิ” อันนี้ไม่ได้เสแสร้งเลย โดนฝนทีไรรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวทุกที

“อะไรของคุณ อย่ามาเนียนนะเซ”

“จริงๆ ไม่ได้เนียนไม่ได้โกหก ถ้าพี่ไปป์ไม่เชื่อก็ลองจับดู” ผมคว้ามือเขามาทาบที่แก้มแล้วเลื่อนมาที่หน้าผาก ค้างไว้ครู่หนึ่งก่อนเจ้าของมือจะดึงออกไป

“ก็ปกติอะ เล่นไม่เนียนไปเรียนมาใหม่”

“พี่ไปป์สอนหน่อยสิ เน้นฉากเลิฟซีนนะ”

กึก!

เหยียบเบรกจนหัวไอ้เซทิ่มชนคอนโซลรถเลย ยังไม่ได้เป็นแฟนก็วางแผนฆาตกรรมแล้วเหรอ โหดจัง

“ถึงแล้วลงสิ”

“ไม่สอนเลิฟซีนก่อนเหรอครับ”

“จะลงไปดีๆ หรือจะให้ถีบ”

“ลงแล้วครับ ลงแล้ว” ผมยิ้มกวนให้คนได้รับชักสีหน้าใส่ก่อนจะเปิดประตู ก้าวลงจากรถทั้งที่กอดเสื้อแจ็คเก็ตว่าที่แฟนไว้แนบอก “ขับรถดีๆ ถึงห้องแล้วไลน์บอกเซนะ”

เบ้หน้าใส่แล้วขับรถออกไปเฉยเลย

ส่ายหน้าให้กับความน่ารักไม่รู้ตัวของพี่ไปป์ ทอดสายตามองตามจนรถเขาพ้นไปจากระยะการมองเห็นก่อนจะกลับเข้าคอนโดตัวเองมา

จะว่าไปก็แอบเสียดายเลิฟซีนเหมือนกันนะเนี่ย







พี่ไปป์ส่งข้อความมาบอกว่าถึงห้องแล้วหลังจากผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทิ้งตัวลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน

ผมพิมพ์ตอบไปสั้นๆ ว่าฝันดี อยากจะชวนคุยอยู่หรอกแต่รู้สึกว่าหนังตามันหนักๆ พิกล สุดท้ายก็ยอมวางมือถือแล้วทิ้งตัวลงนอน







โดนฝนทีไร ไม่สบายทุกทีเลยว่ะ

ผมงัวเงียตื่นขึ้นมาตอนเกือบเที่ยง คว้าโทรศัพท์มาดูก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับเป็น 10 และทั้ง 10 นั้นก็เป็นสายจากพี่ไปป์ ตายแล้วๆ ไม่ใช่ว่าโกรธแล้วเหรอป่านนี้

ใจผมน่ะลอยไปถึงห้องเขาแล้วแต่พอจะลุกขึ้นกลับหน้ามืดจนต้องยอมแพ้แล้วล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

ตัวไปไม่ไหวโทรบอกเขาก็ยังดีใช่มั้ยล่ะ

รอสายไม่นานฝ่ายนั้นก็รับด้วยน้ำเสียงโคตรขุ่นมัว

“ไปดูหนังเหรอ” พี่ไปป์ก็มองเราในแง่ร้ายเกินไป

“เพิ่งตื่นครับ”

“ทำไมเสียงแหบแบบนั้น ไม่สบายจริงเหรอ”

“แอคติ้งคร้าบ” ประชดซะ ชอบหาว่าเราเสแสร้งดีนัก

“อีก 10 นาทีเปิดประตูให้ด้วยนะ”

“จะมาเหรอครับ” ยังไม่ทันตอบคำถามของผมพี่ไปป์ก็ชิงตัดสายไปซะก่อน

รีบร้อนขนาดนี้คงจะเป็นห่วงไอ้เซมากแน่เลยอะ ปลื้มและปวดหัวมาก

แต่ไหนแต่ไรผมไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย โดนฝนนิดหน่อยก็ไม่สบาย เพื่อนๆ ชอบบอกว่าผมเป็นโรคคุณหนู ก็ยอมรับอะว่ารวยแต่ก็ไม่ถึงกับขนาดเป็นคุณหนูป่ะวะ ร่างกายผมน่ะแข็งแรงจะตายยกเว้นตอนโดนฝน

10 นาทีของพี่ไปป์น่าจะหมายถึง 10 นาทีแม้ว ผมหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาเขาก็ยังไม่โผล่ และแทนที่จะได้นอนพักผ่อนก็ต้องพะว้าพะวงเป็นห่วงคนที่ยังมาไม่ถึงซักที

โทรศัพท์ในมือสว่างขึ้น โชว์รูปคู่ของผมกับพี่ไปป์ ผมไม่ได้กดรับแต่เลือกที่จะลุกจากเตียงพาสารร่างพังๆ ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงกางเกงนอนขาสั้นไปที่ประตู แนบหน้าส่องตาแมวก็เห็นคนที่ผมรอยืนอยู่หลังบานประตูนี่เอง

“พี่ไปป์มาช้า”

“คิดว่าคนแถวนี้คงยังไม่ได้กินอะไรแต่เช้า” ตอบพลางยกถุงอาหารในมือขึ้นโชว์

“ตอนแรกก็ไม่หิวหรอกแต่พอเจอหน้าพี่ไปป์แล้วหิวเลย” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนดึงแขนพี่ไปป์เข้าห้อง ไม่ลืมปิดประตูลงกลอน

“เจื้อยแจ้วขนาดนี้คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง” พูดซะผมคิดว่าตัวเองเป็นนกแก้วนกขุนทองเลย

“ยังปวดหัวอยู่เลย ตัวร้อนด้วย ไม่เชื่อลองจับดู” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ คาดหวังว่าพี่ไปป์จะแนบหน้าผากลงมาเหมือนพระนางวัดไข้ให้กันในละคร แต่ไม่เลย นอกจากไม่แนบหน้าผากอย่างอ่อนโยนแล้วยังดีดหน้าผากผาดังเป๊าะ นี่คนไม่สบายอยู่นะเฮ้ย ทะนุถนอมกันหน่อยก็ดีครับว่าที่คุณแฟน

“ไปใส่เสื้อผ้าแล้วมากินข้าวเถอะ”

“นี่ไงใส่แล้ว”

“ใส่เหมือนไม่ใส่อะ ไปหาเสื้อมาใส่”

“ทำไม เห็นเซแก้ผ้าแล้วหวั่นไหวเหรอ”

“อือ กลัวมือจะลั่นแล้วเดี๋ยวคนแถวนี้จะหาว่ารังแกคนไม่สบาย” ดูความโหดของเขาสิครับ บางทีผมก็แอบคิดเหมือนกันว่าตัวเองเป็นมาโซคิสชอบความรุนแรงหรือเปล่าถึงได้หลงรักพี่ไปป์เสียจนหมดใจขนาดนี้

ระหว่างที่ผมเดินไปที่ห้องนอนเพื่อหาเสื้อผ้ามาใส่พี่ไปป์ก็เข้าไปในครัว แต่งตัวเสร็จออกมาก็พบว่าเขายังคงกำลังง่วนกับการเตรียมข้าวปลาอาหารและยารักษาโรคอยู่ที่เดิม

“เซช่วยยกไปที่โต๊ะนะ” ผมเดินเข้าไปหา เท้าแขนที่เคาน์เตอร์ครัว มองพี่ไปป์ทุกความเคลื่อนไหวแล้วหัวใจมันก็ค่อยๆ พองโตขึ้นมา

“หายดีแล้วรึไง” ผมส่ายหน้า “งั้นก็พาแค่ตัวเองไปนั่งรอที่โต๊ะ อย่ามาเกะกะ”

นี่คือห่วงถูกมั้ย และเพราะพี่ไปป์แสดงความเป็นห่วงขนาดนี้ผมจึงยอมแพ้และพาตัวเองไปนั่งรอที่โต๊ะรับประทานอาหารที่นานๆ จะได้ใช้ซักที

“กินข้าวแล้วจะได้กินยา”

อาหารหลายอย่างถูกวางลงบนโต๊ะ แต่มีเพียงข้าวต้มชามเดียวที่ถูกวางลงตรงหน้าผม ไม่ใช่ว่าให้ผมกินแค่นี้หรอกนะ จ้างให้ก็ไม่อิ่ม

“กินสิ มองอะไร” ผิดไปจากที่คิดซะที่ไหน

“แค่ข้าวต้มเหรอครับ”

“ใช่สิ ไม่สบายก็กินแค่นั้นแหละ”

“แต่เซอยากกินอย่างอื่นด้วยนี่”

“หายไข้แล้วค่อยกิน”

“เซว่ามันไม่แฟร์”

“ถ้าอยากแฟร์และอยากกินคราวหน้าก็ดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ อย่าเป็นไข้อีก เข้าใจ๊” สั่งสอนผมเสร็จก็ตักข้าวเข้าปาก ดูเขาสิ กินอย่างมีความสุขมาก ต่างกับผมที่ตักข้าวต้มเข้าปากอย่างคนหมดแรง ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อยหรอกแต่ของพี่ไปป์ดูเหมือนจะอร่อยกว่าไง

กินข้าวเสร็จก็บังคับให้ผมกินยา นี่อยากให้มาเป็นแฟนนะเว้ย ไม่ได้อยากให้เป็นพ่อคนที่สอง

“พี่ไปป์เช็ดตัวให้เซหน่อยสิ”

คนถูกร้องขอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ผ้าขนหนูกับกะละมังอยู่ตรงไหน”

“กะละมังอยู่ในห้องน้ำครับ” ไม่แน่ใจเท่าไหร่แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็น

พี่ไปป์พยักหน้ารับก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ตัวผมเองก็เข้าไปหยิบผ้าขนหนูด้วยเหมือนกัน

เห็นไหมว่าพี่ไปป์ใจดีขึ้นมาก ครั้งหนึ่งผมก็เคยไม่สบายอย่างนี้ เคยร้องขอให้เขาช่วยเช็ดตัวแต่ก็อิดออด ช่วยเช็ดแค่หลังนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง

เรานั่งเผชิญหน้ากันบนโซฟากลางห้อง พี่ไปป์บิดผ้าขนหนูจนหมาดขณะมองผมด้วยสายตาอ่านยาก

“ถอดเสื้อสิ” ผมถอดเสื้อออกอย่างว่าง่าย ก่อนเลื่อนมือลงมาที่กางเกง

“กางเกงด้วยป่ะ”

“ถ้าไม่อายก็เชิญ”

“เซไม่อายนะ”

“ถ้าคุณถอดผมไม่เช็ดนะ”

“ล้อเล่นน่า” พี่ไปป์ไม่ขำเลยอะ

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ถูกคนอื่นเช็ดตัวให้ซักหน่อยแต่ทุกครั้งความรู้สึกของผมไม่เหมือนกับตอนนี้ ยามที่ผ้าขนหนูชื้นๆ ซับไปตามใบหน้าและลำคอ ระบบทางเดินหายใจก็เหมือนจะทำงานผิดปกติ ใบหน้าของพี่ไปป์ที่อยู่ใกล้กว่าเคยก็ดึงดูดสายตาเสียจนไม่อาจมองไปที่อื่นได้เลย

“จ้องขนาดนี้ไม่คิดว่าผมจะรู้สึกอะไรบ้างเหรอ”

“ก็อยากให้รู้สึก”

“รู้สึกเกลียด”

“พี่ไปป์ไม่เกลียดเซหรอก”

“มั่นใจขนาดนั้นเชียว”

“พี่ไปป์รู้ตัวรึเปล่าว่ามองเซด้วยสายตาแบบไหน”

“แบบไหน”

“ก็แบบเดียวกับที่เซมองพี่ไปป์แหละ” ผมจับมือเรียวที่กำลังใช้ผ้าขนหนูเช็ดที่แผ่นอกเอาไว้แล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเขาด้วยสายตาสื่อความรู้สึกมากมาย

“เวอร์ละ ผมน่ะ...”

“อยากจูบอะ” พี่ไปป์นิ่งไปเมื่อถูกพูดแทรก “แต่เสียดายจังยังไม่ได้แปรงฟันเลย” ถ้าแปรงฟันแล้วล่ะก็ผมไม่ลังเลที่จะสัมผัสริมฝีปากสีระเรื่อของคนตรงหน้านี้เลย

ให้ตายเถอะ ก่อนพี่ไปป์มาผมน่าจะลุกขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อย เนี่ย พอร่างกายไม่พร้อมเราก็จะพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้แหละ

“พูดไม่หยุดเลย หายดีแล้วมั้งเนี่ย”

“ปวดหัวอะ ตัวร้อนด้วย พี่ไปป์เช็ดตัวเร็วๆ ดิ อยากนอนพักแล้ว” สายตาพี่ไปป์ที่มองมากำลังบอกผมว่าไอ้นี่มันสำออย ก็ยอมรับแหละว่าสำออยจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดซักหน่อย เนี่ยปวดหัวจริงๆ ไม่ได้โม้

ไม่แน่ใจว่าพี่ไปป์จงใจหรือเปล่า เมื่อผมรู้สึกว่าเขาเช็ดที่หน้าท้องนานเกินความจำเป็น แล้วพอถูกลูบด้วยสัมผัสชื้นๆ ก็รู้สึกปั่นป่วนในท้อง ถ้าลูบนานกว่านี้อีกหน่อยไอ้ที่หลับๆ อาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้นะ

“พี่ไปป์” ผมจับมือเขาไว้ให้หยุดลูบ

“อะไร” ไม่ต้องมาถามด้วยน้ำเสียงซื่อๆ เลย จงใจปลุกกันก็บอก

“เสียว”

“ทะลึ่ง”

“เสียวจริงๆ นะ ถ้าลูบนานกว่านี้ลูกชายเซจะตื่นแล้วจริงๆ ด้วย และถ้าตื่นขึ้นมาเรื่องใหญ่เลยนะ”

“เข้าห้องน้ำไปไป๊”

“ให้ไปทำอะไรในห้องน้ำอะ” ผมกำลังคิดทะลึ่ง ไม่รู้ว่าพี่ไปป์กำลังคิดเหมือนกันรึเปล่า

“ล้างหน้าแปรงฟันหรือทำอะไรก็เรื่องของคุณ” แม้ไม่พูดตรงๆ แต่ก็คงมีแอบคิดบ้างล่ะวะ

“พี่ไปป์ไม่หนีกลับไปก่อนใช่มั้ย”

“ไม่หรอกน่า คุณไม่สบายเพราะผมนี่ ก็ต้องอยู่รับผิดชอบป่ะวะ”

“ไม่กลัวติดไข้หวัดเหรอ”

“คุณก็อยู่ห่างๆ ผมสิ”

“ยากอะ เซอยากอยู่ใกล้พี่ไปป์ตลอดเลย”

พี่ไปป์ไม่ตอบอะไร เขาหันไปก้มหน้าก้มตาจัดการกะละมังใส่น้ำกับผ้าขนหนู พี่ไปป์น่ะถ้าไม่เถียงแปลว่าเจ้าตัวกำลังเขินมากๆ ถึงแม้ไม่พูดไม่มองหน้าแต่ใบหูที่ขึ้นสีชัดเจนนั้นก็บอกชัดว่าเขากำลังเขินเพราะคำพูดของผม

สกิลการหยอดของผมนี่ สิบสิบสิบไปเลยจ้า ไม่อยากโม้





[T B C]

มีคอมเมนท์ไล่ให้สองคนนี้ไปเป็นแฟนกันให้มันรู้แล้วรู้รอด
เราก็อยากให้เป็นอย่างนั้น และนี่ก็ใกล้มากแล้วล่ะค่ะ
ถึงพี่ไปป์จะยังไม่รับแต่การกระทำก็คล้ายแล้วล่ะ ให้เวลาพี่เขาหน่อย ให้เจ้าเซโชว์สกิลการอ่อยอีกซักหน่อย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ทุกคอมเมนท์เป็นกำลังใจที่ดี ขอบคุณเด้อ :)
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 14 UP 6.8.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 06-08-2017 11:54:54
พี่ครับ 14


ในวันที่ผมไม่สบาย พี่ไปป์อยู่กับผมจนถึงเย็น แม้อยากจะอยู่มองเจ้าตัวใกล้ๆ แต่ก็กลัวว่าจะติดไข้หวัดจึงได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องนอน และพี่ไปป์คงนึกสงสารมั้งจึงเรียกให้ผมออกมานอนที่โซฟา ส่วนเจ้าตัวลงไปนิ่งบนบีนแบ็กที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆ

เห็นมั้ยล่ะ มองอย่างไรก็ใช่คนมีใจให้กัน







“ตั้งแต่เลี้ยงหมานี่กลับบ้านบ่อยนะ”

“ทำไมอะ ไม่คิดถึงน้องเหรอ” ผมนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พี่สอง แปลกใจเหมือนกันที่เจอพี่มันในบ้านตอนเช้าวันเสาร์แบบนี้

ที่จริงแล้วผมกับพี่มันก็ไม่ต่างกันหรอก ถ้าแม่ไม่โทรเรียกมากินข้าวเย็นด้วยกันหน่อยก็ไม่ค่อยอยากจะกลับบ้าน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตั้งแต่เลี้ยงหินผาผมกลับบ้านบ่อยจริงๆ

คิดถึงหมาก็เรื่องนึง คำที่พี่ไปป์บอกว่าต้องให้ความรักและใส่ใจสัตว์เลี้ยงมากๆ ก็อีกเรื่อง และเรื่องอ่อยพี่ไปป์ก็สำคัญเหมือนกัน

“ทำไมตาบวมอะสอง ไม่ได้นอนเหรอ” หน้าเหมือนคนเพิ่งร้องไห้มาต่างหากแต่กลัวพี่มันอายก็เลยถามอ้อมๆ

“ทะเลาะกับหญิง”

“ก็เลยกลับบ้านเหรอ”

“เออ” เพราะผมกับพี่สองโตมาด้วยกันจึงค่อนข้างสนิทกัน มีเรื่องอะไรก็คุยกันอย่างเปิดอก

“ถูกหญิงจับได้ว่าหม้อสาวอื่นรึไง”

“งี่เง่าฉิบหาย” มือถือที่ถูกเปิดค้างไว้ที่ข่าวๆ หนึ่งในเว็บไซต์ถูกส่งมาให้ดู

“โห นางเอกใหม่ช่องเราเหรอ พ่อบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าทำ” ในข่าวเป็นภาพแอบถ่ายจากร้านอาหาร ทั้งสองนั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกัน แค่นั้นแหละ ที่จริงมันไม่ควรจะเป็นประเด็นหรอกแต่นักข่าวแม่งใส่ไฟ

“จำไม่ได้เหรอนั่นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าเราตอนมัธยม”

ลองเพ่งรูปดูดีๆ ก็พบว่าใช่จริงๆ ด้วย “เออว่ะ”

“บอกหญิงไปแบบนี้แต่ไม่เชื่อใจกันเลยว่ะ เบื่อละ เลิกแม่ง”

“ปากเก่งว่ะสอง ถ้าเลิกจริงให้เตะปาก” เป็นพี่น้องกับมันมาทั้งชีวิตไม่เคยเห็นมันยอมแฟนคนไหนมากเท่าคนนี้ จ้างให้ก็ไม่เลิก ถ้าสมมติว่าเขาโทรมาเรียกให้กลับห้องตอนนี้ก็ต้องรีบแจ้นกลับไป

“มึงควรเก็บปากไว้หยอดคำหวานพี่ไปป์”

“หยอดด้วยข้อความก็ได้ครับ” ว่าแล้วก็ส่งข้อความไปบอกว่าผมมารับหินผาออกไปเดินเล่น

วันนี้ตั้งใจจะพามันไปหาพี่หมอแอมป์ซักหน่อย รายนั้นบ่นว่าคิดถึงไม่ขาดปากเลย

“ไงอะกับพี่ไปป์ พัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงไหนแล้ว”

“ก็ดีนะ เดี๋ยววันนี้จะพาหินผาไปเที่ยวด้วยกัน”

“เขาอยากไปเที่ยวกับมึงหรืออยากไปเที่ยวกับหินผา” โห คำพูดคำจาโคตรทำร้ายจิตใจ แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่าที่สนิทใจกันได้มากขนาดนี้ก็เพราะหินผาลูกรัก

“แล้วนี่ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอสอง” ตั้งแต่เข้ามาแล้วไม่เห็นจะมีใครซักคน นี่มันวันสาร์นะครับ พักผ่อนอยู่บ้านบ้างก็ได้ไม่ต้องออกไปคบค้าสมาคมกับใครเขามากหรอก แก่แล้ว

“พ่อกับแม่ไปสนามกอล์ฟ ส่วนพี่โซ่เห็นบอกว่ายังไม่กลับบ้านตั้งแต่เมื่อคืน”

“เซว่าพี่โซ่ทำงานหนักเกินไปอะ”

“ถ้าคิดงั้นก็รีบเรียนให้จบแล้วมาช่วยกันทำงาน”

“ไม่เอาหรอก เซไม่ชอบงานบริหาร ไม่เห็นจะสนุกตรงไหน” ถึงจะบอกว่าไม่เอาแต่ก็หนีไม่พ้นอยู่ดี

“ไม่สนุกหรอกแต่มีคนนับหน้าถือตา” ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดของพี่สอง ยังไม่ทันได้คุยกันต่อเสียงโทรศัพท์ของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน แอบเหล่มองก็เห็นว่าคนโทรเข้าคือพี่หญิง ว่าจะแซวซักหน่อยแต่พี่ชายผมก็รีบกดรับแล้วเดินเลี่ยงออกไปซะก่อน

เห็นมั้ยบอกแล้วว่าถ้าพี่หญิงโทรมา พี่สองต้องรีบรับโทรศัพท์อย่างไม่เกี่ยงงอนเลย ก็คนมันรักอะเนอะ เข้าใจแหละเพราะผมเองก็กำลังมีความรักเหมือนกัน







หินผาตื่นเต้นใหญ่ตอนที่ผมบอกว่าจะพาไปหาพี่ไปป์ เจ้าของรักใครหมาก็คงรักด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง

นัดกับพี่ไปป์ไว้ตอน 11 โมง พอไปถึงหน้าคอนโดก็พบว่าพี่คนตรงต่อเวลานั่งรออยู่แล้ว

ผมชอบเวลาที่พี่ไปป์แต่งตัวด้วยชุดไปรเวทมาก มันดูเป็นตัวเขาที่ดูดีแตกต่างไปจากคุณปกรณ์ที่เนี้ยบไปเสียหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ไง” เปิดประตูเข้ามานั่งข้างผมแล้วเอี้ยวตัวไปทักหมา

เดี๋ยวนะ เจ้าของนั่งอยู่ข้างๆ นี่หันมาทักทายกันก่อนไม่ได้เหรอ เดี๋ยวก็งอนซะหรอก เชอะๆ

“พี่ไปป์เห็นเซมั้ย”

“เห็นสิ” ตอบผมแหละที่ยังไม่ละสายตาจากหินผาเลย หัวหมาน่ะลูบเข้าไปสิ เอ็นดูเข้าไป

“เหรอ นึกว่ามองไม่เห็น”

“ขับรถไป อย่าพูดมาก”

“นี่ถ้าไม่ได้ยินจากปากพี่แอมป์ว่าพี่ไปป์ชอบเซ เซไม่มีทางเชื่อเลยนะเนี่ย”

“ก็ไม่ควรจะเชื่อตั้งแต่แรกอะ”

“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ เสียกำลังใจหมด” ได้ยินแบบนี้แล้วก็รู้สึกไม่ดีแต่พี่ไปป์หาได้สนใจผมไม่ ยังคงเล่นกับหมาอย่างสนุกสนานไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน

“ผมเคยแสดงออกว่าชอบคุณเหรอ”

ตอบไม่ถูกเลยอะ จะว่าไงดี ก็ไม่เคยแสดงออกตรงๆ แต่บางอาการของพี่เขาก็ทำให้ผมคิด

“ที่ผมเลือกคุณเป็นเดือนเพราะคุณน่าสนใจดี”

“เห็นแค่รูปก็รู้แล้วเหรอว่าน่าสนใจ นี่ไปป์ญาณทิพย์ป่ะครับเนี่ย”

“กวนตีนแบบนี้แปลว่าไม่อยากรู้เหตุผลจริงๆ ที่ผมเลือกคุณใช่มั้ย”

“อยากรู้ครับผม” ผมเลิกกวนแล้วทำหน้าเจี๋ยมเจี๊ยม

“ขับรถไปแล้วตั้งใจฟัง” ผมพยักหน้ารับคุณปกรณ์ ลอบมองเขาด้วยหางตาก็พบว่าพี่คนรักสัตว์ยังคงสนุกสนานกับการเล่นกับหินผาไม่สนใจไอ้เซเหมือนเดิม

ผ่านไปซักพักนั่นแหละถึงหันมาสนใจกัน

“ถ้าตอนรับน้องคุณรู้จักสังเกตสิ่งรอบตัวซักหน่อย คุณจะเห็นว่าตอนนั้นผมก็อยู่ที่นั่นด้วยเหมือนกัน” ถ้าบอกว่าพี่ไปป์เป็นพวกไม่สนใจใคร่รู้เรื่องของคนอื่นล่ะก็ ผมก็คงเป็นคนประเภทที่ไม่สนใจสิ่งรอข้างเลยนั่นแหละ

ลองคิดย้อนกลับไปก็พบว่าตัวเองไม่สนใจอะไรเลยนอกจากกิจกรรมตรงหน้า

“แอบมอบเซตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ ชอบขนาดนี้น่าจะรับเป็นแฟนตั้งแต่วันที่ขอสิ”

“บอกซักคำรึยังว่าชอบ” ซักคำก็ไม่มี พอผมไม่ตอบพี่ไปป์ก็ว่าต่อ “ก็ต้องยอมรับว่าคุณเป็นคนหน้าตาดี แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่ผมเลือกคุณ”

ชอบจังคำที่บอกว่าหน้าตาไม่ใช่เหตุผลหลักที่เลือก

“ผมสังเกตพวกคุณอยู่หลายวัน แต่การแสดงออกของคุณสะดุดตาผมมากเลยนะ คุณไม่เคยเกี่ยงเวลาที่รุ่นพี่สั่งให้ทำนู่นทำนี่ คุณเสนอตัวเองเสมอเวลาพวกเขาขอความร่วมมือ แม้จะต้องร้องเพลงเชียร์ นั่งปรบมือเป็นเวลานานคุณก็ยังคงดูอารมณ์ดี”

ผมเป็นเด็กกิจกรรมนี่นาก็เลยชอบการทำกิจกรรมเป็นชีวิตจิตใจ ดีใจนะที่พี่ไปป์มองเห็นข้อดีเพียงไม่กี่อย่างนี้ของผม

“ตอนพี่เขารับสมัครเดือนเซก็ยกมือเป็นคนแรก”

“มั่นใจมาก” คำพูดของเขาเหมือนเหมือนไส้แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่านั่นคือคำชม

“ก็ชอบทำกิจกรรม เซน่ะเรียนไม่ค่อยเก่งก็เลยคิดว่าทำกิจกรรมให้สุดไปเลยดีกว่า”

“เห็นคุณมั่นใจแบบนั้นแล้วก็เลยคิดว่าไว้ใจคุณได้”

“พี่ไปป์ผิดหวังมั้ยที่เซไม่ได้เป็นเดือนมหา’ลัย”

“แต่ก็ได้ป๊อบปูลาร์โหวตมาไม่ใช่เหรอ”

“ประกวดเดือนก็อยากได้ตำแหน่งเดือนป่ะวะ”

“มันก็ใช่แหละ ก็ต้องยอมรับมั้ยว่าปีนั้นเดือนสถาปัตฯ เค้ามาแรงจริงๆ แต่เท่าที่ฟังๆ กรรมการคุยกันคะแนนคุณกับเดือนก็ไม่ได้ห่างกันมากหรอก”

“ถามจริงๆ พี่ไปป์ผิดหวังรึเปล่า คิดมั้ยว่าถ้าส่งรองเดือนคณะไปอาจจะชนะเดือนสถาปัตฯ ก็ได้” จำได้คร่าวๆ ว่าปีนั้นเทรนหนุ่มไทยผิวคว้ำล่ำบึ้กกำลังมาแรง ผมที่หล่อแบบใส่ๆ ผิวขาววิ้งก็เลยแพ้ไป

“แอบคิดแวบนึงว่าถ้าคุณไม่ร้องเพลงตอนเขาให้แสดงความสามารถพิเศษก็อาจจะได้เป็นเดือนมหา’ลัย แต่ก็ช่างเถอะไม่ได้ผิดหวังอะไรมากหรอก”

“ทำไมล่ะ เซร้องเพลงเพราะนะ”

“เพราะอะไรถึงร้องน่ะสิ”

“ทำไมล่ะ เซร้องเพลงไม่เพราะเหรอ”

“ไม่ร้องดีกว่า”

“พี่ไปป์ การร้องเพลงนั่นเป็นความมั่นใจเดียวของเซเลยนะเว้ย”

“เป็นความมั่นใจผิดๆ ว่ะ”

ไม่จริงอะ ถึงจะไม่ได้เป็นนักร้องอาชีพเหมือนแฟนเก่าเขาแต่ผมก็ร้องเพลงได้ดีไม่แพ้ใคร ว่าแล้วก็เปิดเพลงแล้วร้องคลอไปด้วยให้คนข้างๆ ได้ประจักษ์ถึงความสามารถ และพอผมร้องไอ้หมาที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังก็เห่าหอนรับให้คนข้างๆ ที่ก่อนหน้านี้ปิดหูต้องเอามือลงแล้วขำใหญ่เลย ขำจนพอใจแล้วก็หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปกันเฉย

โอย ถ้าอัพลงโซเชียลนี่ต้องได้เป็นเน็ตไอดอลแน่เลยอะ







ไอ้หินผาเป็นหมาที่ไม่ควรจะเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เจอใครก็เป็นมิตรกับเขาไปหมด ขนาดลูกค้าคนที่เพิ่งมารับลูกหมาออกไปจากคลินิกเมื่อครู่มันยังอ้อนเขาเสียจนเขาเกือบขอมันไปเลี้ยงแล้ว

“มันเข้ากับคนง่ายเหมือนเซเลยเนอะ” พี่แอมป์ว่าขณะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ พี่ไปป์

“นี่ชมใช่มั้ยครับ”

“นี่หินผาดังใหญ่แล้วนะ” เพราะได้รับโอกาสให้เป็นนายแบบเสื้อผ้าของเพจก็เลยกลายเป็นที่รู้จักขึ้นมา ไอ้ยอดยุให้ผมทำเพจหินผาแฟนคลับเหมือนกัน จะบ้าเหรอ แค่เวลาที่ใช้จีบพี่ไปป์ก็หมดวันแล้ว

“มันเป็นหมาก็ควรให้มันได้ใช้ชีวิตอย่างหมา” เห็นด้วยกับพี่ไปป์เลยอะ พ่อผมเองก็เคยพูดแบบเดียวกันตอนที่มีรายการทีวีติดต่อขอหินผาไปร่วมรายการ

“แล้วเมื่อไหร่เซจะได้ใช้ชีวิตอย่างแฟนพี่ไปป์บ้างล่ะ”

“อ้าวนี่ไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอ”

“แอมป์” คนถูกแซวเรียกเพื่อนเสียงเข้ม แต่เพื่อนกันอะเนอะ ขำอย่างเดียวไม่มีหรอกอาการเกรงกลัว

“เห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ ก็นึกว่าเป็นแฟนกันแล้ว”

“รู้ได้ไงว่าไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ”

“ถามแบบนี้แปลว่าไม่ได้ฟอลไอจีน้องมันล่ะสิ” นั่นไงโยนขี้ให้กันเฉย แต่ไอ้เซก็ไม่หวั่นหรอก กล้าทำก็กล้ารับอยู่แล้ว ถ้าส่องไอจีผมจริงจังจะพบว่าหลังๆ มานี้แทบทุกรูปจะมีพี่ไปป์ติดอยู่ด้วยเสมอ อาจจะเห็นหน้าไม่ชัดแต่คนรอบข้างผมก็รู้ดีว่าใช่พี่ไปป์

“ขอดูหน่อย” แบมือมาขอ แม้จะกล้าทำกล้ารับแต่ก็แอบหวั่นใจอยู่ไม่น้อย กลัวพี่ไปป์ไม่พอใจแล้วสั่งให้ลบรูป และถ้าเขาทำอย่างนั้นคิดว่าผมจะกล้าขัดใจเหรอ บอกเลยว่าไม่กล้า

“แบตมือถือจะหมดแล้วอะ”

“โกหก”

“จริงๆ นะ เมื่อคืนเผลอหลับก็เลยไม่ได้ชาร์ต” ที่จริงแล้วผมกำลังโกหกอย่างที่พี่ไปป์ว่านั่นแหละ เอาน่า ลองเลี่ยงดูก่อนเผื่อรอด

“ดูในมือถือตัวเองก็สิ้นเรื่องมั้ยวะ” พี่แอมป์คงจะรำคาญก็เลยฉวยเอามือถือพี่ไปป์ที่วางอยู่บนโต๊ะไป “ปลดล็อคหน่อย”

ไม่อยากรู้มากก็คงไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนถึงได้ยอมสแกนนิ้วมือปลดล็อคมือถือให้กันง่ายๆ เห็นอย่างนั้นแล้วก็นึกอิจฉา ถ้าพี่ไปป์ยอมผมอย่างนี้บ้างก็คงดี

หลังจากได้มือถือคืนมาคนตรงข้ามผมก็เอาแต่จับจ้องที่หน้าจอ ทั้งใบหน้าหล่อเหลาแสดงออกแค่เพียงคิ้วที่มุ่นเข้าหากันจนเกิดรอยย่นตรงระหว่างคิ้ว

“คุณนี่พยายามดีเนอะ” นี่ชมหรือเปล่า เพราะตีความไม่ค่อยออกก็เลยทำได้เพียงยิ้มแหยส่งให้ “กับเรื่องอื่นก็ควรพยายามแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะ”

“ไม่ดุเหรอครับ”

“ไม่มีอะไรให้ดุนี่ หรืออยากให้ดุ” ผมรีบส่ายหน้าทันที พี่แอมป์ที่นั่งเป็นพยานรักอยู่ก็ถึงกับพ่นเสียงหัวเราะออกมา ไม่รู้หรอกว่ามีอะไรน่าขำถึงกระนั้นผมก็เผลอยิ้มตามเขาอยู่ดี

“มึงก็ควรฟอลน้องมันนะ”

“ต้องทำด้วยเหรอ”

“มึงอย่ามาทำเป็นฟอร์มไปป์ อยากฟอลก็ฟอลสิวะ”

“กูยังไม่พูดซักคำ”

“แต่มึงดูสนใจไอจีน้องมันนะ”

“กูทำอย่างนั้นเหรอ”

“เออ” พี่ไปป์ไม่เถียงต่อ ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรแต่ผมจะเข้าข้างตัวเองด้วยการคิดว่าเขาสนใจไอจีผมจริงๆ ก็เลยขี้คร้านจะเถียง เข้าข้างตัวเองแบบนี้ก็ได้แหละใครจะทำไม

พวกเราปล่อยให้หินผาเล่นกับเด็กๆ ในคลินิกพี่แอมป์ ก่อนจะไปหาอะไรง่ายๆ กินกันแถวๆ นี้

ถ้าถามว่าพี่แอมป์ทีมใคร ผมยกมือตอบด้วยความมั่นใจเกินร้อยเลยนะว่าพี่แกทีมผมแน่ๆ เปิดโอกาสให้ผมหยอดพี่ไปป์ทุกวินาทีเลย แปลกใจเหมือนกันที่คนนิสัยดีมากอย่างพี่แอมป์ยังโสด







บางทีผมก็คิดว่าโลกค่อนข้างมีความคิดที่ประหลาดอยู่ๆ ก็เหวี่ยงคนที่ไม่อยากเจอหน้ามาให้เจอกัน

หลังจากหนังท้องตึงพวกเราก็กลับมาที่คลินิกและพอเปิดประตูเข้าไปข้างในก็พบกับ...พี่เอ็ม

เออ ใน 1 ปีมีตั้ง 365 วัน แต่ดันมาหาพี่แอมป์วันเดียวกันนะคนเรา

บนพื้นใกล้ๆ เท้าพี่เอ็มมีหมาน้อยน่ารักตัวหนึ่งนอนเอาคางเกยรองเท้าเขาอยู่ คงเป็นหมาที่พี่แกรับไปเลี้ยงเมื่อหลายเดือนก่อนละมั้ง

“น้องเป็นอะไรเหรอเอ็ม”

พี่เจ้าของคลินิกเอ่ยถามทว่าคนเป็นเจ้าของหมากลับเอาแต่มองคนข้างกายผมไม่วางตา พี่ไปป์เองก็มองกลับอย่างไม่ยอมแพ้ด้วยเหมือนกัน

“เซออกไปข้างนอกนะ” พอผมจะออกไปจริงอย่างที่พูดกลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้ ความคิดก่อนหน้าถูกสลัดทิ้งไป ไม่รู้เลยว่าทำไมยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่ถ้าพี่ไปป์อยากให้อยู่ผมก็จะอยู่

“ว่าไงเอ็ม น้องเป็นอะไร” พี่แอมป์ถามซ้ำเสียงดังกว่าเดิมให้เจ้าของหมาสะดุ้งแล้วหันไปตอบคำถาม

ได้ความว่าวันนี้ไม่มีงานก็เลยพาน้องหมามาพบคุณหมอเฉยๆ

“ไม่คิดว่าจะได้เจอไปป์ที่นี่”

“เหมือนกัน” พอส่งน้องหมาให้พี่แอมป์แล้วก็ถือวิสาสะมานั่งร่วมโต๊ะกับเรา ใครอนุญาตไม่ทราบครับ อยากถามอย่างนั้นแหละครับ แต่พอดีว่าเป็นคนมีมารยาท

“ไปที่ตึกก็ไม่ค่อยเจอ ยังทำงานที่เดิมรึเปล่า”

“อือ ไม่ได้ย้ายไปไหน”

“คบกันเหรอ” พี่เอ็มเหล่มองผมเมื่อถาม พี่ไปป์เองก็มองผมด้วยเช่นกัน สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน หัวใจของผมเต้นแรงเหมือนกำลังลุ้นฟุตบอลแมตซ์สำคัญ มือที่ประสานกันอยู่บนโต๊ะก็เฉอะแฉะไปด้วยเหงื่อที่อยู่ๆ ก็ไหลออกมาเป็นเทน้ำเทท่า

หยุดไหลเดี๋ยวนี้นะไอ้เหงื่อไม่รักดี

“อือ” คำสั้นๆ ที่ดังออกมาจากลำคอพี่ไปป์ทำเอาผมอยากจะลุกขึ้นเฮเหมือนตอนเชียร์บอลแล้วทีมที่เราเชียร์ส่งลูกเข้าโกล์ด

แม่งเอ้ย อยากลงไปแก้ผ้าตีลังกาห้าตลบกลางสนาม

ทว่าทั้งโต๊ะนี้เหมือนจะมีแค่ผมที่ดีใจจนหน้าสั่น ขณะที่คนตอบทำหน้าไร้ความรู้สึก ส่วนคนถามน่ะเหรอซึมไปเลยจ้า

“งั้นเอ็มขอตัวนะ”

พี่ไปป์ไม่ได้ตอบรับเขาเพียงมองตามแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง

“ยิ้มอะไร” เอ้า ยิ้มก็ไม่ได้เหรอ ยิ่งพี่ไปป์ทักอย่างนั้นผมก็ยิ่งฉีกยิ้มกว้าง

“เมื่อกี้พี่ไปป์บอกว่าเราคบกัน จำไม่ได้เหรอ”

“จำได้สิ” ช่วยทำหน้าให้เหมือนคนกำลังมีความรักหน่อยไม่ได้เหรอครับคนดีของไอ้เซ

“ยอมเป็นแฟนเซแล้วถูกมั้ย”

“คบมันก็มีความหมายหลายแบบรึเปล่า คบเป็นเพื่อน พี่น้อง แม้กระทั่งแฟน”

“มั่นใจว่าพี่เอ็มไม่ได้หมายถึงคบแบบเพื่อนหรือพี่น้อง”

“ไปญาติดีกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เรียกเขาว่าพี่เต็มปากเต็มคำ”

“ก็อายุน้อยก็ต้องเรียกคนอายุมากกว่าว่าพี่สิครับ” ที่บ้านผมสอนอย่างนี้ตั้งแต่จำความได้ก็เลยกลายเป็นความเคยชิน กับพี่ไปป์อยากเรียกว่าไปป์เฉยๆ ด้วยซ้ำ เคยลองฝึกพูดหน้ากระจกแต่กระดากปากลำบากใจฉิบหาย

สายตาพี่ไปป์ที่มองผมมีประกายความประหลาดใจอย่างที่สัมผัสได้ สักพักเขาก็ยิ้มแล้วยื่นมือมาขยี้เส้นผมบนศีรษะจนผมยุ่ง เนี่ย หมดหล่อเลย







พี่ไปป์ใช้เวลาทำนู่นทำนี่ที่คลินิกพี่แอมป์อยู่ครึ่งค่อนวัน กว่าจะกลับออกมาก็ตอนที่พระอาทิตย์คล้อยต่ำแล้ว







รถยนต์ของผมที่มีเจ้าหินผาเป็นผู้โดยสารนั่งหน้าสลอนอยู่ที่เบาะด้านหลังเข้ามาจอดในลานจอดของสวนสาธารณะริมแม่น้ำ คุยกับคนที่มาด้วยว่าจะมาดูพระอาทิตย์ตกและพาหินผามาเดินเล่นด้วยกัน

คิดๆ ดูแล้วก็เหมือนมาเดทกันเลยเนอะ

เจ้าหินผาที่ถูกพันธนาการด้วยเชือกจูงเดินนำอยู่ข้างหน้าเรา

“พี่ไปป์จูงเซบ้างสิ”

“เป็นหมาเหรอ”

“ถ้าเป็นหมาพี่ไปป์จะรักป่ะ”

“รักน้อยกว่าหินผา”

“สู้หมาไม่ได้เลยจริงๆ สินะ”

“อย่าคิดจะสู้เลย”

“โห ใจร้ายที่สุด แต่ว่านะถ้าพี่ไปป์รักหมาเซไม่ว่าอะไรหรอก แต่ถ้ารักคนอื่นเซไม่ยอม”

“พูดอย่างกับเป็นเจ้าของ”

“อยากเป็น”

“ถ่ายรูปให้หน่อยสิ” อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง แม้จะตั้งหลักไม่ทันแต่มือก็ล้วงเข้าไปหยิบเอามือถือออกมาปลดล็อกแล้ว “รูปในไอจีคุณสวยดี” ไอ้ยอดก็เคยบอกผมอย่างนั้น แต่หลายๆ คอมเมนท์ในไอจีไม่เคยชมรูปเลย ชมแต่หน้าผม ชมว่าหล่ออย่างกับเทพบุตร หล่อวัวตายความล้ม ผมก็เลยมั่นใจในหน้าตัวเองมากกว่าฝีมือการถ่ายรูป

แต่ตอนนี้คำเดียวของพี่ไปป์ทำให้ความคิดทุกอย่างของผมเปลี่ยนไปหมด

“พี่ไปป์พูดจริงเหรอ”

“ผมก็ไม่ถนัดเรื่องถ่ายรูป แต่ชอบมุมกล้องคุณ”

“แล้วชอบเซป่ะ”

“ถ่ายแล้วส่งให้ด้วยนะ”

ผมไม่รู้เหมือนกันว่ารูปถ่ายในอินสตราแกรมของผมเป็นแนวไหน เวลาถ่ายรูปก็แค่มองสิ่งที่จะถ่ายแล้วหยิบกล้องมือถือขึ้นมา บางทีก็ถ่ายขาโต๊ะ แก้วน้ำ ด้านหลังมนุษย์ ก้นหมา อยากถ่ายอะไรก็ถ่าย หากจะเรียกเท่ๆ อาจเรียกว่าถ่ายรูปด้วยจิตวิญญาณก็ได้มั้ง

เดินตามพี่ไปป์แล้วกดชัตเตอร์ไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน หากบอกว่าผมถ่ายรูปด้วยจิตวิญญาณ ตอนนี้ก็คงถ่ายด้วยหัวใจล่ะมั้ง

“พี่ไปป์ถ่ายรูปกันเถอะ”

เรานั่งพักกันตรงม้านั่งแบบยาวริมน้ำ หินผานั่งทอดสายตามองผืนน้ำอยู่ข้างกัน สักพักก็เอาคางมาเคยขาคนข้างกายผมอย่างออดอ้อน หมั่นไส้หมาได้มั้ยวะ

“หินผาถ่ายรูป” ได้ข่าวว่าผมชวนเขา แล้วเขาก็ไปชวนหมาเหรอ เกรงใจไอ้เซบ้างก็ได้นะ

จบคำพี่ไปป์พวกเราก็ลงมานั่งขนาบข้างหินผาบนพื้น วิวข้างหลังของเราคือแม่น้ำที่ถูฉาบด้วยแสงของพระอาทิตย์ที่คล้อยต่ำจนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ แต่ความสวยงามทั้งหมดทั้งปวงนั้นก็หาได้เข้ามาอยู่ในเฟรมร่วมกับเราไม่ ก็แหม 2 คน 1 ตัวก็แน่นจอแล้วครับ

“เดี๋ยวเซกลับไปเอาน้ำที่รถมาให้หินผา พี่ไปป์จะเอาอะไรมั้ย”

“น้ำเปล่าก็ได้”

“เซอยากกินไอติม”

“อยากกินก็ซื้อสิ”

“พี่ไปป์กินด้วยกันสิ”

“คุณอยากกินก็กินไปคนเดียวสิ ผมไม่อยากกินซักหน่อย”

“งั้นดื่มน้ำเปล่าเหมือนพี่ไปป์ก็ได้”

“อะไรของคุณเนี่ย กวนตีนเหรอ”

“อือ เวลาพี่ไปป์โกรธแล้วน่ารักดี”

“คุณยังรู้จักผมน้อยไป อย่าให้โกรธจริงๆ ก็แล้วกัน”

“เซอยากรู้จักพี่ไปป์มากกว่านี้นะ” ผมโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เขาแล้วยิ้มให้อย่างบริสุทธิ์ใจและแน่นอนว่าเขาเบือนหน้าหนี เหตุผลเดิมแหละครับ เขินไง

“ไปได้แล้ว เดี๋ยวก็โกรธจริงๆ ซะหรอก”

“คร้าบ” ผมบอกอย่างอารมณ์ดีก่อนเดินควงกุญแจกลับไปตามทางเดิม

เนี่ยเห็นมั้ย ผมกับพี่ไปป์ในวันนี้เหมือนเรามาเดทกันจริงๆ

รู้แหละว่าเดินเล่นมือถือมันอันตรายแต่อยากเช็ครูปที่ถ่ายไปเมื่อครู่นี่หว่า อันตรายก็ช่างสิ ตอนเซลฟี่ผมกดมาแค่ 5 รูปเอง รอยยิ้มพี่ไปป์โคตรมีเสน่ห์ น่ารักที่สุดในสายตาของผม ผมเองก็ยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนความรู้สึก ส่วนหินผาก็ยิ้มด้วยเหมือนกัน

ผมอัพรูปนี้ลงอินสตราแกรม พร้อมแคปชั่นง่ายๆ ว่า ‘ความสุขของผม’ ก่อนกดปิดจอแล้วเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง

หยิบถ้วยใส่น้ำของหินผาแล้วก็เดินไปซื้อน้ำให้คนบ้าง แต่ที่ร้านคนเยอะมาก รีบแค่ไหนก็ต้องเข้าคิวอยู่ดี กว่าจะหลุดออกมาได้ก็กินเวลาไปเกือบ 10 นาทีเลย นานเวอร์

ระหว่างเดินมือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นรัวเสียจนต้องหนีบถ้วยใส่น้ำไว้ที่รักแร้แล้วล้วงเอาไอ้ที่สั่นๆ อยู่นั้นออกมาดู แจ้งเตือนส่วนมากมาจากอินสตราแกรม กดเข้าไปดูก็พบว่าคนไลค์เยอะมาก คอมเมนท์อีกเกือบร้อย

K.Soodyod หมั่นไส้คนมีความรักโว้ย

คอมเมนท์แรกเป็นของเพื่อนสนิทผมเอง และคอมเมนท์ต่อๆ มาก็ยังเป็นของมัน เอาเข้าไป แซวกันเข้าไป แซวยาวๆ ไปอีกเป็นเดือนยังได้ ผมชอบ

ผมละสายตาจากหน้าจอมือถือที่ดับลงแล้ว หากรอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่จางไป

พี่ไปป์ไม่ได้ฟอลไอจีผม เขาคงไม่เห็นหรอกว่าผมทำอะไรลงไป แต่ถ้ารู้ก็อาจจะโดนด่า ด่าได้ด่าไปไอ้เซไม่ลบแน่นอน

“พี่ไปป์” เจ้าของชื่อยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาเอี้ยวตัวมามองแวบเดียวก่อนละสายตาไป

“นาน”

“คนที่ร้านน้ำเยอะมากเลย” ผมนั่งลงข้างกัน มองเสี้ยวหน้าพี่ไปป์ที่ไม่ยอมหันมามองกันตรงๆ สักที

แปลกแฮะ นอกจากพี่ไปป์แล้วเจ้าหินผาก็ทำตัวแปลกๆ มันเดินวนไปวนมาเหมือนกำลังกระวนกระวายกับอะไรบางอย่าง หากไม่ถูกรั้งเอาไว้ด้วยสายจูงคงวิ่งไปไหนต่อไหนแล้วมั้ง

“หินผาเป็นอะไรครับพี่ไปป์”

“ไม่รู้มัน อยู่ๆ ก็วิ่งตามรถ”

“พี่ไปป์” ผมพยายามชะโงกหน้ามองหน้าเขาชัดๆ หากเจ้าตัวก็เบี่ยงหลบตลอดจนต้องล็อคคางเอาไว้บังคับให้อยู่นิ่งๆ “หน้าไปโดนอะไรมา”

โหนกแก้มพี่ไปป์มีรอยถลอก แม้ไม่กว้างมากแต่ก็มีเลือดไหลซึมออกมา

”หินผามันวิ่งอะ ตั้งตัวไม่ทันก็ถลาไปชนเสาไฟตรงนั้น” เสาคอนกรีตทั้งต้นเลย

“หินผา!!!” พอเห็นพี่ไปป์เจ็บก็พาลโกรธเจ้าหมาไปด้วย พอถูกตวาดเรียกเจ้าของชื่อก็เดินหางลู่เข้ามาเอาคางเกยเข่า มองตาปริบ

อ้อนแบบนี้แล้วใครจะโกรธลง

ผมถอนหายใจอย่างหมดคำจะพูดก่อนหยิบขวดน้ำออกมาเปิด เสียบหลอดแล้วส่งให้คนข้างกาย แล้วหันมาเทน้ำให้เจ้าตัวยุ่ง

“เซขอนะ” ผมเอาสายจูงจากพี่ไปป์มาถือไว้เอง “เจ็บมากมั้ยครับ เซขอโทษนะ”

“ไม่ใช่ความผิดของคุณซักหน่อย”

“รู้สึกผิดอะ เซเป็นเจ้าของหินผานี่นา”

“ทำแผลให้หน่อยสิ ปล่อยไว้เดี๋ยวเป็นแผลเป็น หมดหล่อพอดี”

“ยังจะห่วงเรื่องหล่ออีก”

ไม่คิดไม่ฝันว่าการเดทของผมจะจบลงที่ร้านขายยา

“เซขอโทษนะ” ไม่รู้ว่าตัวเองขอโทษพี่ไปป์ไปแล้วกี่ครั้ง และทุกครั้งเขาก็ทำหน้าเบื่อหน่าย แม้แต่หินผาที่นั่งมองเราอยู่หลังเบายังถอนหายใจออกมาทุกครั้ง

ไม่ต้องเลยนะ เจ้าตัวปัญหา

พอเห็นอย่างนั้นก็อดหันไปแยกเขี้ยวแขวะมันไม่ได้เลย พอถูกผมขู่เจ้าหมาก็เบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่วายมองมาด้วยหางตาเป็นพักๆ

“เจ็บมากรึเปล่าครับ” คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ ก็หยุดนิ่งเมื่อผมปิดแผลบนใบหน้าด้วยผ้าก๊อต แปะทับด้วยเทปกาวเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

“ขอบคุณนะ”

“พี่ไปป์ยังไม่ตอบเลยว่ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า” คนที่ไม่ยอมสบตาผมตลอดเวลาที่ทำแผลหันมาวางสายตาไว้ที่ใบหน้าของผมครั้งแรก

“ตอบไปแล้วไงเมื่อกี้”

“พี่ไปป์ส่ายหน้าเฉยๆ”

“ก็นั่นแหละตอบแล้ว”


“เซขอโทษนะ” ผมบอกเขาแผ่วเบาก่อนเกลี่ยปลายนิ้วบนผ้าก๊อตที่ผมเพิ่งแปะลงบนใบหน้าเขาเมื่อครู่

เรามองสบตากัน ดวงตาพี่ไปป์สั่นไหว ริมฝีปากถูกเม้มเป็นเส้นตรงด้วยความประหม่าเมื่อผมเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น ความเงียบในรถและความมืดที่ปกคลุมภายนอกนั้นเหมือนจะเป็นใจให้เราใกล้ชิดกัน

“หายไวๆ นะครับ เพี้ยง!” ดวงตากลมปิดลงเมื่อผมเป่าลมรินรดบริเวณที่เป็นแผลเหมือนที่คุณตาเคยทำให้เมื่อตอนเป็นเด็กก่อนจะแนบริมฝีปากตามลงไปมอบจุมพิตให้เขาผ่านผ้าก๊อตหนา 3 ชั้น

“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ” ใบหน้าพี่ไปป์เปื้อนรอยยิ้ม มือเรียวลูบบริเวณที่ถูกผมจูบป้อยๆ แม้ในรถจะไม่สว่างมากแต่ก็พอดีออกว่าใบหน้าเขากำลังขึ้นสีระเรื่อ

“งั้นเล่นอะไรแบบผู้ใหญ่กันมั้ย”

“อะ...” ผมหยุดคำพูดของพี่ไปป์ด้วยจูบที่แนบลงไปบนเรียวปากเขาแผ่วเบา มองตากันอย่างชั่งใจ เมื่อไม่มีทีท่าว่าอีกฝ่ายจะต่อต้านผมก็ผละออก ยิ้มแล้วกดจูบหนักๆ อีกครั้ง ขบริมฝีปากบนล่างอย่างหยอกเย้า พี่ไปป์เองก็ดูเหมือนจะเคลิบเคลิ้มไปกับการกระทำของอันแสนซุกซนของผม

อืม การเล่นแบบผู้ใหญ่นี่มันดีจัง

ผมเลื่อนมือไปที่ท้ายทอยของเขา ริมฝีปากของเรายังคงคลอเคลียกันไม่ห่าง

แนบชิดอีก ในใจของผมเรียกร้องอย่างนั้น ไม่แน่ว่าพี่ไปป์อาจจะคิดอย่างเดียวกันเมื่อมือเรียวเอื้อมมากำเสื้อของผมจนแน่น

อยากลิ้มลองรสชาติของริมฝีปากเขามากกว่านี้ ตั้งใจจะสัมผัสให้แนบชิดอย่างใจเรียกร้อง ทว่าความเฉอะแฉะเปียกชื้นที่กำลังลามเลียไปทั้งใบหูของผมก็ทำให้บรรยากาศดีๆ หยุดชะงักลงและค่อยๆ มลายหายไปในเวลาต่อมา

ผมผละออก ถอนหายใจหนัก ตวัดสายตามองหินผาที่พยายามตะกุยร่างเพื่อข้ามมามีส่วนร่วมกับเรา

ปัดโถ่เว้ย!!!!

งอน งอนหมา งอนมาก งอนมากๆ





[T B C]
เจ้าเซได้จูบพี่ไปป์แล้วอ่ะ จูบที่มีหินผาเป็นพยานรัก 555 สงสารเขานะคะ
เนี่ยพี่ไปป์น่ารักขึ้นอีกแล้วเห็นมั้ย ถึงจะยังปากแข็งอยู่ก็เถอะ
แหม ก็ขอวางฟอร์มหน่อย แต่นี่ก็วางนานไปนะ
ใกล้จะจบแล้วล่ะคะ อีกไม่กี่ตอน ฝากติดตามด้วยเด้อ
รักแหละ :)
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 14 UP 6.8.17
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 06-08-2017 12:05:51
เล่นตัวกันไปมาก้อจบที่จูบรื้อฟื้นความหลังซะงั้น
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 14 UP 6.8.17
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 12-08-2017 10:07:44
หินผานะหินผา
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 14 UP 6.8.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 14-08-2017 19:09:17
พี่ครับ 15


::พี่ปกรณ์::

แผลที่แก้มซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ ของผมกับหินผากำลังจะหาย แต่ดูเหมือนว่าในใจของบางคนกำลังจะเกิดรอยแผล

‘เซอยู่กับหินผาแหละ’

ข้อความจากเซพร้อมแนบรูปเจ้าตัวเซลฟี่กับเจ้าหมาแบบหน้าแนบหน้า ใบหน้าเจ้าตัวมีความสุขมากจนผมเผลอยิ้มตาม

‘กลับบ้านอีกแลวเหรอ’

‘ถามเหมือนพี่สองเลย คิดถึงเซเหรอ เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นด้วยนะ’

‘เดี๋ยวผมจะแวะไปคลินิกแอมป์หน่อย ค่อยกินข้าวเย็นด้วยกันพรุ่งนี้แล้วกัน’

‘ให้เซไปเจอที่โน่นมั้ย’

‘ไม่เป็นไร เล่นกับหินผาไปเถอะ’

‘คิดถึงพี่ไปป์ อยากเจอ’ เจ้าตัวว่าอย่างนั้นผมจึงเปิดกล้องหน้าแล้วถ่ายรูปตัวเองส่งไปให้

‘เจอแล้ว หยุดคิดถึงได้แล้ว’

‘ยิ่งอยากเจอเข้าไปใหญ่ แต่ไม่กวนพี่ไปป์ก็ได้ เดี๋ยวคืนนี้โทรหานะ’

ผมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจัดการงานตรงหน้าที่ยังค้างคาเพราะผู้ช่วยคนใหม่ที่มาทำหน้าที่แทนคุณหนิงยังทำงานไม่คล่องเท่าที่ควรจะเป็นตลอดเวลา 2-3 เดือนมานี้ผมจึงดูยุ่งเป็นพิเศษ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้เครียดมากนักเมื่อมีคนกวนๆ อย่างเซคอยส่งข้อความมาหา บางวันก็แวะมาบังคับให้ไปกินข้าวด้วยกัน

หากถามว่าความสัมพันธ์ของเราเรียกว่าอะไร ดูๆ แล้วก็เหมือนแฟน แต่ผมยังไม่อยากใช้คำนั้น ไม่อยากผูกมัดเขาด้วยคำเรียกสถานะ เอาเป็นว่าสำหรับผมเซพิเศษกว่าคนอื่น เขาเป็นคนที่ผมแคร์ เป็นคนที่ผมคิดถึง เป็นคนที่อยากเจอ เป็นคนที่มีความสุขเวลาได้อยู่ด้วยกัน

กว่าจะเคลียร์งานที่ค้างอยู่ตรงหน้าเสร็จพระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว

มองไปรอบห้องก็พบว่านอกจากผมแล้วยังมีใครอีกคนนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ใกล้ๆ

“คุณพีรยาทำไมยังไม่กลับล่ะ” ผมเก็บของพลางเอ่ยถามให้เธอเงยหน้าขึ้นมอง

พีรยาเป็นผู้ช่วยคนใหม่ของผม ประสบการณ์จากสายงานอื่น 3 ปี ถ้าผมคิดมากหน่อยก็คงคิดว่าบุคคลแกล้งกันแน่

“รอคุณปกรณ์ค่ะ”

“รอทำไม ทำงานตัวเองเสร็จแล้วก็กลับไปสิ”

“ที่ทำงานเก่าสอนมาแบบนี้ค่ะ”

“แล้วนี่ทำงานเสร็จแล้วเนอะ”

“เสร็จตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ”

“ปิดเครื่องแล้วก็เก็บของเลย” ผมสั่งให้เธอพยักหน้ารับแล้วรีบเก็บของ

“คุณปกรณ์ไม่เห็นจะใจร้ายอย่างที่เขาลือกันเลยค่ะ” ในลิฟต์ที่เงียบเหงามีเพียงผมกับคุณผู้ช่วย ต้องขอบคุณเธอที่ชวนคุยทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้

“ใครดีกับผม ผมก็ดีด้วย”

“พีเป็นแฟนคลับคุณปกรณ์นะคะ เมื่อก่อนน่ะพีเก็บรูปคุณปกรณ์ไว้เต็มเครื่องคอมเลยแหละ แต่ตอนนี้เปลี่ยนคอมพ์ใหม่แล้วรูปก็เลยหายไปหมด เสียดาย”

“ขอบคุณครับ”

“แต่ว่าคุณปกรณ์ตอนนี้ไม่เหมือนพี่ไปป์สมัยเป็นเน็ตไอดอลเลยค่ะ”

“ยังไงครับ หล่อขึ้นเหรอ” แม้จะอยู่นอกเวลางานแต่คุณพีรยาก็ยังดูเกร็งเมื่อยามคุยกัน ผมจึงลองคุยเล่นเพื่อเธอจะผ่อนคลายขึ้นมาบ้างและก็เป็นดั่งคาดเมื่อคนข้างๆ หันมายิ้ม

“อันนี้ก็ถูกค่ะ แต่เท่าที่ฟังคนที่นี่พูดถึงคุณปกรณ์ส่วนมากจะบอกว่าหยิ่ง”

“ก็คงหยิ่งมั้ง”

“ไม่เห็นจริงเลยค่ะ ตอนนี้ก็ไม่เห็นหยิ่งนี่นา พี่พวกนั้นก็ช่างเม้าท์จริง เอาไว้พีเล่าให้ฟังนะคะว่าพี่พวกนั้นเม้าท์อะไรพี่ไปป์บ้าง”

“ช่างเถอะ ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องที่คนอื่นพูดถึงเราหรอก แล้วนี่กลับยังไงครับ”

“บีทีเอสค่ะ”

“กลับบ้านดีๆ ครับ” เพราะยังไม่ดึกและบนทางเดินสั้นๆ ออกไปที่หน้าตึกก็ยังมีผู้คนเดินอยู่ประปรายผมจึงแยกกับพีรยาที่หน้าลิฟต์

รู้แหละว่าคนที่นี่พูดถึงผมว่าอย่างไรบ้าง ไม่ใช่ว่าไม่สนใจแต่เลือกที่จะไม่ใส่ใจมากกว่า







คลินิกช่วงกลางคืนแม้ไม่คึกคักมากแต่ก็ไม่ได้เงียบเหงาจนวังเวง

ผมทักทายพนักงานที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีก่อนเข้าไปพบคุณหมอเจ้าของคลินิกที่นั่งรออยู่ในห้องทำงาน

“วันนี้มึงมาช้านะ” แอมป์ปล่อยหมาน้อยลงกับพื้น ผมก้มลูบหัวมันเบาๆ ก่อนนั่งลงตรงข้ามกัน

“เพิ่งเคลียร์งานเสร็จ”

“เอาไงต่อวะ”

“พูดยากว่ะ เซรักหินผามากเลยนะมึง กูแม่งไม่รู้จะบอกน้องยังไงว่ะ”

“แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ป่ะวะมึง ไม่บอกวันนี้พรุ่งนี้ก็ต้องบอกอยู่ดี หรือถ้าไม่อยากบอกเค้าก็ต้องโกหกเจ้าของเก่าหินผาว่ามันตายไปแล้ว”

“ใจร้ายว่ะแอมป์”

“แล้วมึงมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้มั้ยล่ะ ทางที่ไม่ต้องมีใครเจ็บเลยมันไม่มีหรอก”

เรื่องงานไม่เคยทำให้ผมหนักใจเท่านี้ แต่กับเรื่องของหินผาผมกลับหาทางออกไม่ได้เลย ผมเชื่อหมดใจว่าเซรักหินผามาก หินผาเองก็คงรักเขาด้วยเหมือนกัน แต่กับเจ้านายเก่าเจ้าหมาก็ใช่ว่าจะลืมไปแล้วเสียหน่อย มันยังคิดถึง เมื่อวันก่อนนั้นที่สวนสาธารณะถึงได้วิ่งตามรถคันหนึ่งที่อาจจะเหมือนรถเจ้านายเก่า

“เดี๋ยวกูจะคุยกับน้องเอง”

“ก็คงต้องเป็นมึงแหละ”

คิดว่าเจอหน้ากันแล้วจะหาทางออกที่ดีได้ แต่ไม่เลย ทางออกไม่มีถ้าอยากออกก็คงต้องพังกำแพงไป ไม่ฝ่ายโน้นก็ฝ่ายเราที่จะต้องเจ็บ

ผมออกจากคลินิกมาพร้อมกับสมองอันว่างเปล่า

ใกล้จะ 4 ทุ่มแล้วแต่เซก็ยังไม่โทรมา คิดว่าน่าจะยังไม่กลับห้อง แต่ก็ดีแล้วล่ะ ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้คุ้มเถอะ

ถ้าให้เดา ผมคิดว่าเซน่าจะเลือกปล่อยหินผาไป เท่าที่รู้จักและได้สัมผัสกับนิสัยใจคอ เด็กคนนั้นไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เขาเห็นอกเห็นใจและพร้อมช่วยเหลือคนอื่นเสมอ ถึงแม้ว่าคนๆ นั้นจะไม่ใช่คนรู้จักมักคุ้นก็ตาม เซเป็นคนดีและครั้งนี้เขาอาจจะได้เรียนรู้ความเจ็บปวดที่คนดีๆ ไม่ควรจะได้รับ







เกือบจะห้าทุ่มอยู่แล้วแต่ก็ยังไร้วี่แววของคนที่บอกว่าจะโทรมา จนเป็นผมเองที่อดรนทนไม่ไหวหยิบมือถือขึ้นมาโทรออกเสียเอง

เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งหรอกที่ผมโทรหาเขาก่อน

“เซเพิ่งถึงห้องอะ” เซรับสายอย่างอารมณ์ดี ทำเอาผมที่ตั้งใจจะบอกเรื่องหินผากับเขาผ่านสายไปต่อไม่ถูก

ให้ตายเถอะ ผมจะทำลายความสุขของเซได้ยังไง

“พี่ไปป์มีอะไรป่าว ขอเซอาบน้ำก่อนได้มั้ยเดี๋ยวโทรกลับ”

“อีกชั่วโมงนึงลงมารับหน่อยสิ เดี๋ยวไปหา”

“มาหาเซที่ห้องตอนดึกๆ แบบนี้อะนะ”

“ทำไม ไม่ได้เหรอ”

“เปล่า แค่แปลกใจ งั้นเซไปอาบน้ำให้ตัวหอมๆ ดีกว่า เผื่อฟลุ๊ค เจอกันครับ” ฟลุ๊คอะไรของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ เห็นชอบพูดทะลึ่งตึงตังแต่ก็ไม่กล้าทำมากกว่าจับมือหรอก ยกเว้นก็แต่วันนั้นในรถ ก็ต้องยอมรับแหละว่าสถานการณ์พาไปจริงๆ

ผมเองก็รู้สึกดีกับสัมผัสนั้นเหมือนกัน







ผมมาถึงคอนโดของเซก่อนเวลามาก ทั้งที่ถือโทรศัพท์อยู่ในมือแต่ก็เลือกที่จะนั่งรอที่โซฟาข้างล่าง อาศัยช่วงเวลาทำใจเรื่องที่จะบอกเขาต่อจากนี้

เอาวะ ไม่ช้าก็เร็ว เดี๋ยวเซก็ต้องรู้อยู่ดีนั่นแหละ

“พี่ไปป์มาถึงแล้วทำไมไม่โทรมาล่ะ” หัวใจของผมเต้นแรงเมื่อมองไปยังคนที่ยืนยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า

เพราะชอบเขาก็เรื่องหนึ่งแต่สาเหตุที่แท้จริงของความตื่นเต้นคือเรื่องหินผาต่างหาก

“ขึ้นข้างบนเลยมั้ย หรือจะออกไปหาอะไรกิน”

“ไม่อะ มีเรื่องจะคุย”

“ด่วนเหรอถึงมาหากลางดึกแบบนี้”

“ก็ไม่ด่วนแต่อยากคุยตอนนี้ ไม่ได้เหรอ”

“ไม่ได้บอกว่าไม่ได้” พวกเราเข้ามาในลิฟต์ที่เงียบสงัด แอบมองภาพคนข้างกายที่สะท้อนอยู่บนประตูลิฟต์ ความหนักอึ้งที่กำลังแบกเอาไว้ทำให้ผมเหนื่อยล้ากว่าครั้งไหนๆ

“พรุ่งนี้พี่ไปป์ไม่ทำงานเหรอ”

“ทำสิ”

“แต่ก็มาหาเซตอนนี้อะนะ คุยเลยได้มั้ย อยากรู้มากเลย ต้องเป็นเรื่องสำคัญแน่ไม่งั้นพี่ไปป์ไม่มาหรอก” การคาดเดาของเซถูกต้องจนไม่กล้าแย้ง ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่คุยตอนนี้ รอให้เข้ามานั่งในห้องก่อนจึงบอกให้อีกฝ่ายไปหยิบโน้ตบุ๊กมาให้ยืมหน่อย

ระหว่างรอผมก็กวาดสายตามองไปรอบห้อง สะดุดกับรูปที่เราและหินผาถ่ายด้วยกันในสวนสาธารณะวันนั้น อยู่ๆ ดวงตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมาจนต้องมองไปบนเพดานเลี้ยงน้ำใสๆ นั้นเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา

สงบสติอารมณ์ได้ตอนที่เซออกจากห้องนอนมาพร้อมกับโน้ตบุ๊ก ผมจัดการล็อคเอ้าท์แอ็คเคาท์เฟซบุ๊กของเซแล้วล็อคอินแอคเคาท์ของชมรม เปิดไปที่กล่องข้อความให้ปรากฏบทสนทนาระหว่างแอมป์กับเจ้าของหินผา

“อ่านนี่สิ” ผมขยับโน๊ตบุ๊กไปให้เซ ทว่าแทนที่จะอ่านกลับหันมาถามกัน

“อะไรครับ”

“บอกให้อ่านไง”

“ใครอะ” บ่นไปตามเรื่องก่อนจะจับจ้องไปที่หน้าจอด้วยสีหน้างุนงงในตอนแรก สักพักดวงตาคู่นั้นก็สั่นไหว มือที่วางอยู่ทัชแพ็ดค่อยๆ ขยับช้าลงก่อนจะนิ่งค้างอยู่เช่นนั้นนานทีเดียว

ความรู้สึกของเซคงจะคล้ายกับผมตอนที่ทราบเรื่องนี้จากแอมป์ แต่เขาคงรู้สึกมากกว่า ก็แน่ล่ะ เซใช้เวลากับหินผามากกว่าผม ย่อมรักและผูกพันมากกว่าอยู่แล้ว

“เจ้าของหินผาเหรอพี่ไปป์”

ผมพยักหน้ารับ “เซว่าไงอะ”

“เซไม่คืนหรอก”

“อือ งั้นจะให้แอมป์ตอบเขาไปว่าหินผาตายแล้ว”

“อย่าแช่งหินผานะพี่ไปป์” เซไม่เคยขึ้นเสียงใส่ผม แต่ตอนนี้ ตอนที่อารมณ์ของเขาอ่อนไหวถึงขั้นสุดเจ้าตัวคงควบคุมตัวเองไม่ได้จึงเผลอตะคอกกัน

“แล้วจะให้ตอบว่าไง”

“ก็บอกว่าเซไม่คืน”

“อ่านละเอียดรึเปล่า เขาบอกว่ายังไงก็จะขอคืน”

“อะไรของแม่งวะ ตอนทิ้งไม่คิด ทีอย่างนี้อยากได้คืน โคตรเห็นแก่ตัว” ก็ถูกของเขา แต่ก็ว่าไม่ได้หรอก เท่าที่อ่านข้อความจากฝ่ายนั้น ดูเหมือนว่าก่อนตัดสินใจพาหินผามาปล่อยวัดพวกเขาจำเป็นต้องไปเมืองนอก หากมีทางเลือกหรือมีใครสักคนช่วยรับเลี้ยง ชะตากรรมของหินผาคงไม่ต้องเป็นแบบนี้

“ฝ่ายนั้นเลี้ยงหินผามา 3 ปีเลยนะ”

“แล้วไงอะ เวลาไม่ถึงปีของเซไม่มีความหมายเหรอ เวลาที่ใช้ด้วยกันอาจจะน้อยกว่าก็ไม่ได้แปลเซรักหินผาน้อยกว่าซักหน่อย”

“เข้าใจ”

“แล้วทำไมยังอยากให้เซคืนหินผาให้เจ้าของเก่าเขาล่ะ”

“เซ วันเสาร์ไปเจอเจ้าของเก่าหินผาด้วยกันนะ” ผมกุมมือหนาที่สั่นสะท้านแผ่วเบาเอาไว้ ใช้มืออีกข้างบังคับให้คนที่เอาแต่ก้มหน้าเงยขึ้นมามองกัน “ได้มั้ย ไปเจอเค้าด้วยกัน ไปจบเรื่องนี้กัน”

“ทำไมวะพี่ไปป์ ทำไมต้องมาเจอเรื่องอะไรแบบนี้ด้วย”

“เรื่องบางเรื่องมันเลี่ยงไม่ได้หรอก แต่ไม่เป็นไรนะผมจะอยู่ข้างคุณ โอเคมั้ย”

“อยากให้พี่ไปป์อยู่ข้างๆ นะ แต่ไม่อยากไปอะกลัวใจอ่อน”

“ไปเถอะ นะ ไปกัน” ผมอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงอ่อนอย่างที่ไม่ค่อยทำ

“อย่ามาอ้อนดิ๊”

“ใจอ่อนยังอะ”

“ไม่อ่อน”

“จริงเหรอ แล้วทำยังไงถึงจะอ่อน” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เซอีกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน คนตรงหน้าทำหน้าตื่นถึงกระนั้นก็ไม่ยอมถอยห่าง ซ้ำยังสอดแขนเข้ามากอดเอวผมเอาไว้เสียอีก

“พี่ไปป์โคตรขี้โกงอะ ทำตัวน่ารักแบบนี้เซก็ปฏิเสธไม่ลงสิ” ว่าเสียงอ้อนพลางซบหน้าลงบนไหล่ของผม อาจเพราะเห็นว่าเขากำลังอ่อนแอผมจึงยอมให้กอดง่ายๆ หรือบางทีอาจจะเป็นผมเองหรือเปล่าที่ต้องการอ้อมกอดอุ่นๆ นี้ อ้อมกอดที่ไม่ได้สัมผัสมาสักพักหนึ่งแล้ว

ผมจำไม่ได้ว่าเจอเซครั้งแรกเมื่อไหร่ อาจจะตั้งแต่วันที่เขาไปสอบสัมภาษณ์ที่มหา’ลัย หรืออาจจะหลังจากนั้น แต่เรื่องที่ว่าเจอกันครั้งแรกเมื่อไหร่ไม่สำคัญหรอก

ผมวางมือลงบนแผ่นหลังของเซ ลูบแผ่วเบาเพื่อปลอบใจ

ครั้งนึงเมื่อหลายปีก่อนผมก็เคยลูบแผ่นหลังเขาแบบนี้ คิดว่าเซคงจำไม่ได้แต่ผมไม่เคยลืมเลย

มันเป็นวันที่เขาแข่งบอล ครึ่งแรกนิเทศถูกนำไป 2 ต่อ 0 คนที่จริงจังกับการแข่งขันอย่างเซถึงกับหงอย จนผมที่นั่งมองอยู่ห่างๆ อดที่จะเดินเข้าไปหาไม่ได้ แต่เพราะคนเยอะมาก ทั้งยังใกล้เวลาที่ต้องลงแข่งแล้วจึงทำได้เพียงวางมือลงบนแผ่นหลังของเขา บอกเบาๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินหรือเปล่าว่า...

“ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างต้องออกมาดี”







บ่ายโมงวันเสาร์ หลังจากกินข้าวเที่ยงด้วยกันเสร็จ พวกเราก็มารวมตัวกันที่คลินิกหมอแอมป์ตามที่นัดหมาย

ไม่นานหลังจากนั้นครอบครัวหนึ่งซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูกสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ตามเข้ามา

“สวัสดีพี่เขาสิลูก” เด็กน้อยในชุดเจ้าหญิงยกมือไหว้เราเรียงคน ท่าทางน่ารักน่าชังนั้นทำให้เผลอยิ้ม ทำให้บรรยากาศตึงเครียดผ่อนคลายด้วยความไร้เดียงสา

“สวัสดีค่ะ หนูชื่ออะไรคะ” เป็นแอมป์ที่นั่งลงตรงหน้าหนูน้อยแล้วจับมือเล็กๆ คู่นั้นไว้

“น้องพอใจค่ะ”

“อายุเท่าไหร่คะ”

“4 ขวบค่ะ คุณแม่ขาพี่หินผาอยู่ไหนคะ” เด็กน้อยเงยหน้ามองแม่ มือเล็กๆ กำนิ้วของคุณแม่เอาไว้แน่น ดวงตากลมสอดส่ายไปทั่วทั้งบริเวณ สักพักเมื่อไม่พบหินผาริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นก็เริ่มคว่ำลง อีกสักพักคงร้องไห้ออกมาแน่ๆ

เด็กน้อยถูกอุ้มขึ้นมานั่งบนตักผู้เป็นพ่อ

บรรยากาศในห้องเคร่งเครียดจนไม่กล้าหายใจแรง

เซที่นั่งอยู่ข้างผมมีสีหน้าที่เคร่งเครียดมากจนต้องกุมมือเขาเอาไว้ที่ใต้โต๊ะ

“น้องเซใช่มั้ยคะ” แอมป์บอกตอนคุยกับเขาในแชทว่าเซเป็นคนรับหินผาไปเลี้ยง จึงไม่แปลกที่เขาจะรู้จักแม้ไม่เคยเห็นหน้า

“ครับ” คนถูกทักพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มเจื่อน

“พี่เข้าใจว่ามันยาก และพี่ก็รู้ว่าทั้งหมดมันเป็นความผิดของพี่เอง” คนเป็นแม่หนูน้อยเองก็ดูเครียดไม่น้อยไปกว่าเราเลย

“ครับ” เซพลิกฝ่ามือขึ้นมาประสานกับมือของผมในตอนที่รับคำ

“พี่ไม่อยากทำให้เซเสียใจแต่ถ้าไม่มีหินผา พอใจก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน”

คุณแม่เล่าว่า ครอบครัวเขารับหินผามาเลี้ยงตอนน้องพอใจอายุ 1 ขวบ ทั้งคู่ถูกเลี้ยงมาด้วยกัน ดังนั้นน้องพอใจจึงผูกพันกับหินผามาก ที่จริงแล้วตอนนี้พวกเขาควรจะอยู่ต่างประเทศแต่เพราะน้องพอใจเอาแต่งอแงร้องหาเจ้าหมาเพื่อนรัก พวกเขาจึงต้องบินกลับมาเพื่อตามหาสัตว์เลี้ยงที่ทิ้งไว้ในวันนั้น

เซหันมามองหน้าผมตอนที่ได้ยินเรื่องราวความรักนั้น เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นคลึงขมับอย่างคนคิดมาก

“จะพาหินผาไปต่างประเทศด้วยเหรอครับ”

“เปล่าค่ะ นอกจากยัยหนูเอาแต่คิดถึงหินผาจนอยู่ไม่ได้แล้วยังมีเหตุผลอื่นที่คิดว่าควรจะกลับมาอยู่ไทยมากกว่าด้วยค่ะ น้องเซไม่ต้องห่วงนะ พี่ไม่ได้พาหินผาไปอยู่ไหนไกล ถ้าคิดถึงจะแวะไปเมื่อไหร่ก็ได้ จะพาออกมาเที่ยวก็ได้ แต่พี่ขอหินผาคืนลูกสาวพี่นะคะ”

“พี่หินผา” เด็กน้อยเรียกชื่อเพื่อนรักสี่ขาด้วยน้ำเสียงสดใส “หาพี่หินผา”

“ก็ช่วยไม่ได้เนอะ จะช้าจะเร็วก็ต้องพาเค้าไปอยู่ดีใช่มั้ยครับ”

แน่นอนว่าคำตอบคือใช่

“งั้นจะพากลับไปวันนี้เลยก็ได้นะครับ”

คิดแหละว่ายังไงเซก็ต้องยอมคืนหินผาแน่ๆ แต่ไม่คิดว่าจะคืนเลยแบบไม่รั้งเอาไว้สักนิดเดียว

ผมมองหน้าเซด้วยความสงสัยตลอดทางที่นั่งรถมาด้วยกัน จนแอมป์ที่นั่งอยู่ด้านหลังพูดขึ้นทำลายความเงียบนั่นแหละคนที่เอาแต่ตั้งใจขับรถจึงหันมามองกันบ้าง

“เซโอเคนะ”

“ไม่โอเคเลยครับ แต่จะพาหินผาไปวันนี้หรือวันไหนเซก็ไม่โอเคอยู่ดี”

“ก็จริงแหละ นึกว่าเซจะดื้อกว่านี้ซะอีก”

“ถ้าเด็กกว่านี้ก็คงไม่ยอมหรอกครับ แต่โตแล้วอะ ถ้าดื้อเดี๋ยวพี่ไปป์ไม่รัก”

“แหม อยากจะแหมให้ยาวถึงดาวอังคาร”

ส่ายหัวให้กับอาการหมั่นไส้ของเพื่อนสนิทที่ส่งมาให้ทางสายตาก่อนจะหันไปมองคนข้างๆ ซึ่งเซเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน มองหน้ากันแล้วก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่จะหาต้นตอของรอยยิ้มทำไมในเมื่ออย่างน้อยคนที่ทำหน้าเศร้ามาตลอดก็ยิ้มได้บ้างแล้ว

พวกเรามาถึงบ้านเซก่อน จอดรถเสร็จเจ้าของบ้านก็ตรงดิ่งไปยังบ้านของหินผาที่ตั้งอยู่ในสวนทันที พอเห็นเจ้าของเจ้าหมาตัวโตก็ส่ายหางระริกแล้ววิ่งเข้ามาหาพอใกล้จะถึงตัวก็กระโดดเข้าใส่จนคนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวล้มลงกับพื้น

“ไม่เอาน่าหินผา เสื้อผ้าเซเปื้อนหมดแล้ว” ความน่ารักของเซคือเขาจะแทนตัวเองด้วยชื่อกับทุกคนที่สนิท ไม่เว้นแม้กระทั่งหมา

ถึงเจ้าของจะห้ามแต่ดูเหมือนว่าหินผาที่หัวใจเต็มไปด้วยความรักจะไม่ยอมหยุดแสดงออกง่ายๆ มันวิ่งไปรอบๆ ตัวคนที่ตอนนี้ลุกขึ้นมานั่งบนพื้นแล้ว วิ่งเสร็จก็เข้าไปเลียหน้า เลียตัวก่อนจะทิ้งตัวนอนลงเอาคางเกยตัก

ผมไม่รู้ว่าต้องรู้สึกยังไงเมื่อได้มองภาพการแสดงออกถึงความรักของทั้งคู่ ในใจมันหน่วงจนอยู่ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นมา อดนึกถึงตอนที่ตัวเองเลี้ยงหมาแล้วเสียมันไปไม่ได้สักครั้ง

ไม่นานหลังจากนั้นรถของครอบครัวน้องพอใจก็มาถึง เป็นรถคันนั้นที่หินผาวิ่งตามในสวนสาธารณะจนผมได้รับบาดเจ็บ

พอได้ยินเสียงรถ หินผาที่นอนเอาคางเกยตักเซก็หูตั้ง ดวงตาคมประหนึ่งนักล่าจับจ้องไปยังต้นเสียงก่อนจะลุกขึ้นยืน จ้องมองราวกับสังเกตการณ์อยู่อีกครู่ก่อนทั้งสี่ขาจะวิ่งด้วยจังหวะรวดเร็วกว่าปกติเข้าไปหาเด็กน้อยที่วิ่งตรงเข้าไปหาเจ้าเพื่อนสี่ขาด้วยเหมือนกัน

หินผาเบรกเอี๊ยดเมื่อหยุดตรงหน้าน้องพอใจ มันวิ่งวนไปมา หูตั้ง หางส่ายระริกเหมือนกำลังดีใจมากๆ

“พี่หินผา” น้องพอใจกอดหมับเข้าที่คอ แนบแก้มยุ้ยๆ กับหน้าผาก หลับตาพริ้ม “คิดถึงพี่หินผา กอดๆ”

ขณะที่ความคิดถึงของคนๆ นึงกำลังถูกเติมเต็มด้วยการพบหน้า หากอีกคนหนึ่งกลับกำลังคิดถึงเพราะต้องจากลา

เซยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขาไม่แม้แต่จะหันมามองภาพที่พวกเรากำลังมองอยู่ด้วยซ้ำ ผมรู้ว่าการจากลามันเจ็บปวดมาก แต่ก็หวังว่าเซจะผ่านมันไปได้เช่นกัน

ปราศจากคำร่ำลาระหว่างเซกับหินผา มีเพียงผมและแอมป์ที่ยืนส่งพวกเขาตรงหน้าบ้าน มองกระทั่งรถที่บรรทุกความรักความเมตตาของเซหายลับไป

“กูกลับนะ”

“เอารถไปสิ” ผมล้วงเอากุญแจในกระเป๋าส่งให้ทว่ากลับถูกปฏิเสธ

“ขี้เกียจเอามาคืนเดี๋ยวกูกลับแท็กซี่ดีกว่า มึงเหอะดูน้องมันด้วย เศร้าว่ะ”

“อือ” ผมพยักหน้ารับคำ อยู่ๆ ก้อนสะอื้นจุกที่อกจนไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียง

ผมแยกกับแอมป์ที่หน้าบ้านก่อนจะเดินเข้าไปในสวน เซยังคงนั่งอยู่ท่าเดิม แผ่นหลังกว้างกำลังสั่นไหวจากแรงสะอื้น ผมนั่งลงข้างๆ วาดแขนโอบร่างเขาเอาไว้ ปราศจากคำพูดใดระหว่างเรา มีเพียงอ้อมกอดนี้เท่านั้นทำหน้าที่ปลอบใจ หวังว่าความอบอุ่นนี้จะช่วยเยียวยาบาดแผลในหัวใจเขาได้บ้าง

“ร้องไห้อะ ไม่เท่เลยเนอะ” ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ พร้อมกับเบะหน้ามองกัน

“ไม่เท่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แล้วจะนั่งอยู่อย่างนี้อีกนานมั้ย”

“ตะคริวกินแล้วอะ แต่ไม่อยากลุก อยากให้พี่ไปป์กอดอย่างนี้นานๆ”

พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ปล่อยเขาออกจากอ้อมกอดแล้วผละห่าง ทว่าเซไม่ยอมให้ห่างเพราะเจ้าตัวเป็นคนรวบร่างของผมเข้าไปกอดไว้เอง

“อยู่อย่างนี้อีกซักพักเถอะ นะครับ”

แพ้ลูกอ้อนเขาเข้าจนได้







เย็นวันนั้นคุณแม่ของเซชวนผมอยู่ทานข้าวด้วยกัน เกรงใจ ทำตัวไม่ค่อยถูกแต่ด้วยสถานะแล้วก็ไม่กล้าปฏิเสธเท่าไหร่ ที่จริงผมค่อนข้างคุ้นเคยกับครอบครัวนี้ ทุนเรียนโทต่างประเทศก็เป็นของทุนของบริษัท กับพี่ชายทั้งสองคนของเซก็ถือว่าสนิทเพราะเรียนโทที่เดียวกัน

ตอนไปเรียนต่างประเทศพี่โซ่ช่วยเหลือผมไว้เยอะมาก หลังจากพี่โซ่เรียนจบ สอง น้องชายคนรองก็เข้ามาเรียน ว่าง่ายๆ คือตลอด 2 ปีที่เรียนโทที่นั่นชีวิตก็วนเวียนอยู่กับลูกชายคนตระกูลนี้นี่แหละ กระทั่งเรียนจบกลับมาแล้วยังต้องมาเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกชายคนเล็กของเขาอีก

อาหารเย็นมือนี้ถูกจัดไว้อย่างเรียบง่าย บรรยากาศในโต๊ะก็เป็นกันเองดี แต่ก็เศร้าหน่อยๆ เพราะไม่มีหินผาแล้ว

ท่านประธานเป็นคนอารมณ์ดี ตอนที่รู้ว่าเซทะเลาะกับพ่อถึงขั้นออกจากบ้านมาผมถึงได้ตกใจมากๆ ไม่คิดว่าอารมณ์ดีอย่างท่านประธานจะมีปัญหาภายในครอบครัวกับเขาด้วย

เพราะได้รับความช่วยเหลือไว้มาก พอเห็นว่าลูกชายคนเล็กของบ้านกำลังตกที่นั่งลำบากผมจึงไม่ลังเลที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย แต่จะให้ช่วยง่ายๆ ก็หลุดมาดคุณปกรณ์ไปเสียหน่อยจึงต้องเล่นตัวสักนิด

เวลาไม่กี่เดือนที่ได้ใช้ร่วมกันเป็นความทรงจำที่ดีมากเกินกว่าจะจินตนาการได้ ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ใกล้ชิดกัน

ก็ถูกที่ผมรู้สึกถูกใจเซตั้งแต่ครั้งที่เจอเขาตอนปีหนึ่ง ประทับใจหลายๆ เรื่องแต่ให้เข้าไปจีบก็ใช่เรื่อง หากการที่คนในครอบครัวของเขาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมเสมอก็ทำให้อดคิดว่าซักวันนึงโลกอาจจะเหวี่ยงให้เรามาเจอกันบ้างก็ได้

และโลกก็เหวี่ยงเรามาเจอกันจริงๆ แต่รู้สึกเหมือนว่าโลกกำลังเหวี่ยงเราให้ห่างกันอีกแล้ว

“ไม่เคยรู้ว่าพี่ไปป์สนิทกับบ้านเซมากขนาดนี้”

“ก็อย่างที่เห็น” บนโต๊ะอาหารท่านประธานพูดคุยกับผมอย่างเป็นกันเอง คุณแม่ก็เทคแคร์ไม่ห่าง ไม่แน่ใจว่าพวกท่านรู้รึเปล่าว่าระหว่างผมกับเซไม่ใช่ความสัมพันธ์ธรรมดา

“ที่นั่นเรียนยากมั้ยครับ” หมายถึงมหา’ลัยที่เซมีแพลนจะไปเรียนต่อหลังจากเรียนจบ

“ไม่มีอะไรยากเกินความตั้งใจของเราหรอก”

“ขนาดพี่สองยังเรียนจบมาได้ก็คงไม่ยากเกินความสามารถเซหรอกมั้ง” เขาว่าพลางทาบคีย์การ์ดแล้วเปิดประตูห้อง

เมื่อ 5 นาทีก่อนบนรถ เซอ้อนขอให้ผมขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อน อ้างว่าตัวเองเหงาและคิดถึงหินผา เห็นใบหน้าเศร้าๆ นั้นแล้วก็ยากจะปฏิเสธ สุดท้ายก็เผลอตัวเดินตามเข้าขึ้นมาบนห้องจนได้

“คิดถึงหินผาแล้วอะ” เมื่อประตูปิดลงก็เดินเข้ามาหาวางศีรษะลงบนไหล่ของผม

“เริ่มไม่เชื่อแล้วว่าคุณคิดถึงหินผาจริงหรือแค่หาเรื่องให้ผมอยู่ด้วย”

“พี่ไปป์ไม่เชื่อแต่ก็ยังมาอยู่ด้วยกัน แบบนี้แปลว่าคิดอะไรกับเซใช่มั้ยล่ะ”

“ถ้าไม่คิดก็คงไม่อยู่ด้วยหรอก”

“พี่ไปป์” แขนที่เกี่ยวเอวกระชับแน่นจนร่างกายของเราเบียดชิดทุกสัดส่วน “เป็นแฟนกัน”

“เอาไว้เรียนจบแล้วค่อยคิดกันต่อว่าเอายังไงดี”

“ไม่เอา เซอยากเป็นแฟนกับพี่ไปป์ตอนนี้เลย”

“ใจร้อนอะไรขนาดนั้น ผมไม่หายไปไหนหรอก”

“เซใจเย็นมามากพอแล้วอะ นะครับ เป็นแฟนกันนะ ให้เซเป็นแฟนพี่ไปป์นะครับ” เจ้าเด็กตรงหน้าอ้อนหนักมากจนผมไม่กล้าปฏิเสธเลย ที่จริงแม้เขาไม่อ้อนผมก็ไม่คิดจะปฏิเสธอยู่แล้ว

ในเมื่อใจเราตรงกันแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะผลักไสอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกไปใช่มั้ยล่ะ




[T B C]
ได้ฟังเรื่องราวจากฝั่งพี่ไปป์บ้าง ที่จริงคุณเขาก็เอ็นดูเจ้าเซมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ไหนๆ ก็ใจตรงกันแล้ว ยอมๆ เป็นแฟนน้องมันเถอะ
เรื่องหินผา ตอนเขียนเศร้ามากเลยค่ะ อ่านซ้ำก็เศร้า
เป็นพวกเซ็นซิทีฟเรื่องหมาจริงๆ เศร้าตามเจ้าเซเลยแหละ
 
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 15 UP 14.8.17
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-08-2017 21:11:12
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 15 UP 14.8.17
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 25-08-2017 19:24:35
พี่ครับ 16


“พี่ไปป์ตื่นเช้าจัง” ลืมตาขึ้นมาก็เจอแฟนของผมกึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ “แล้วนั่นเอาหนังสือจากไหนมาอ่าน”

เขาหันมายิ้มสวย “บนโต๊ะคุณไง ทำไม อ่านไม่ได้เหรอ”

“ชอบอ่านหนังสือเหรอ” ผมขยับเข้าไปหาแล้วกอดเอว

“รู้อะไรเกี่ยวกับผมบ้าง”

“ก็อยากรู้ต่อจากนี้ ให้เซรู้ทุกเรื่องของไปป์นะ” อยากเรียกพี่ไปป์ด้วยชื่อมานานแล้ว ลองฝึกพูดหน้ากระจกอยู่หลายทีแต่พอเอาเข้าจริงก็แอบเขินอยู่ไม่น้อยเลย

“เมื่อกี้เรียกผมว่าไงนะ”

“ไปป์ไง เป็นแฟนกันแล้วยังต้องเรียกพี่อีกเหรอ”

“ปีนเกลียวนะเรา ผมอายุมากกว่าคุณตั้ง 3-4 ปีเชียวนะ”

“ไม่เห็นเกี่ยวเลย เรียกไปป์ไม่ได้เหรอ”

“ก็ได้แหละแต่มันแปลกๆ อะ ไม่ค่อยชิน”

“หรือเรียกที่รัก แบบนั้นก็ได้นะเซชอบ”

“อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะ เสี่ยวมากอะรับไม่ได้”

เสี่ยวจริงๆ แหละ ถ้าเรียกกันต่อหน้าเพื่อนมีหวังโดนล้อแน่ๆ โดยเฉพาะพี่กริชรายนั้นยิ่งไม่ค่อยปลื้มผมอยู่ด้วย

“พี่ไปป์ผอมนะออกกำลังกายบ้างรึเปล่า” ผมสอดมือเข้าไปในเสื้อเขาแล้วลูบหน้าท้องที่มีกล้ามเนื้ออยู่หน่อย เอวพี่ไปป์บางมาก บางกว่าตอนที่เห็นเขาถอดเสื้อในวันถ่ายแบบซะอีก

“ไม่ค่อยมีเวลา”

“ข้ออ้างชัดๆ” หนังสือในมือพี่ไปป์ถูกผมแย่งเอามาวางไว้ข้างตัวก่อนขยับขึ้นไปเกยคางไว้ที่อกเขา มือหนายังทำหน้าที่ลูบไล้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง “ไปฟิตเนสกับเซมั้ย เดี๋ยวเซเทรนให้”

“คุณน่ะเหรอจะเทรนให้ผม ชวนไปเตะบอลยังน่าเชื่อกว่าเลย”

“พูดถึงเตะบอล เย็นนี้เซนัดไอ้ยอดไว้ที่สนามบอล พี่ไปป์ไปด้วยกันนะ”

“ไปทำไม ผมไม่ชอบเตะบอล”

“ไม่ได้ชวนไปเตะแต่ชวนไปเชียร์แฟนไง เตะบอลเสร็จก็ไปกินหมูกระทะกัน นะ เซอยากแกะกุ้งให้พี่ไปป์อะ”

“เหตุผลคุณนี่” พี่ไปป์ยิ้มบางก่อนวางมือลงบนเส้นผมยุ่งๆ แล้วลูบเบาๆ

พี่ไปป์เวอร์ชั่นแฟนโคตรอ่อนโยน

“เซเลี้ยงนะ”

“ได้อยู่แล้ว เลี้ยงทั้งชีวิตยังได้เลย”

“ทั้งชีวิตเลยเหรอ”

“อือ ทั้งชีวิตเลย”

พี่ไปป์หัวเราะคิกคักเมื่อผมลูบสีข้างของเขาแผ่วเบา “จั๊กจี้อะ” ว่าแล้วก็จับมือซุกซนของผมเอาไว้

คิดเหรอว่าผมจะหยุด ในเมื่อพี่ไปป์เผยด้านอ่อนแอออกมาแบบนี้ก็ต้องขออนุญาตแกล้งซักหน่อยแล้ว และยิ่งเขาดิ้นผมก็ยิ่งกอดแน่น เล่นกันจนเตียงสั่นรู้ตัวอีกทีผมก็คร่อมเขาเอาไว้ทั้งตัวแล้ว

ท่าทางหล่อแหลมจมผมอยากจะสานต่อให้มันจบๆ

ผมตรึงแขนพี่ไปป์เอาไว้ข้างศีรษะ จ้องลึกเขาไปในดวงตาของเขา พยายามหาสิ่งที่เรียกว่าการห้ามปรามแต่ก็ไม่มีเลย คิดว่าพี่ไปป์เองก็คงไม่อยากจะห้ามอะไรแล้วล่ะมั้ง คิดอย่างนั้นแล้วผมก็โน้มใบหน้าเข้าไปหา บดเบียดริมฝีปากกับปากอิ่มอย่างที่เจ้าของมันก็เผยอรับสัมผัสจากผมอย่างยินยอมพร้อมใจ

รสจูบของพี่ไปป์หวานละมุน ดวงตาฉ่ำๆ ของเขาที่สบกันตลอดเวลาที่เรียวปากเบียดชิดก็ดูเย้ายวนจนยากจะห้ามใจ

ผมอยากถอดเสื้อเขาออก อยากสัมผัสร่างกายเขาด้วยริมฝีปากแทนมือที่กำลังลูบไล้

“เดี๋ยวก็ไม่มีแรงเตะบอล”

“ไม่เตะบอลก็ได้” ผมซุกใบหน้าลงที่ลำคอระหง ให้ผิดนัดไอ้ยอดก็ยอมเลยนาทีนี้

“นิสัยไม่ดีอะ ลุกไปอาบน้ำแล้วไปหาข้าวกินกัน ไม่หิวเหรอ”

“อยากกินพี่ไปป์มากกว่าอีก” ก็หิวแหละ หิวทั้งข้าวทั้งพี่ไปป์ ว่าแล้วก็งับที่คอเขาเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว นาทีนี้ไม่สนใจแล้วว่าจะทิ้งรอยเอาไว้หรือเปล่า ใช้อารมณ์นำทางล้วนๆ

เรานอนเล่นอีกซักพักใหญ่กว่าจะลุกจากเตียง อาบน้ำและสั่งอาหารง่ายๆ มากินกัน

การที่มีพี่ไปป์นั่งข้างๆ กันบนโซฟากลางห้องเป็นภาพที่เหมือนกับผมกำลังฝันไป ลองหยิกแก้มตัวเองก็พบว่าเป็นเรื่องจริง คิดได้แบบนั้นก็ยิ้มกว้างออกมา

มีความสุขจัง

“พี่ไปป์ใส่เสื้อผ้าเซได้พอดีเลยอะ นี่มันเนื้อคู่ชัดๆ” ผมแซ็ว ยื่นมือไปตรงหน้าแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยริมฝีปากที่มีเศษอาหารติด

พอเป็นแฟนกันก็ใช้เวลาด้วยกันแบบสบายๆ สั่งอาหารญี่ปุ่นมานั่งกินที่โซฟา เปิดหนังแอคชั่นที่ผมชอบดู

“ก็ตัวเท่ากัน”

“เซสูงกว่า”

“สูงกว่าไม่ถึง 5 เซนอย่ามาทำเป็นพูดดี”

“ก็สูงกว่าแหละ” ไม่ยอมหรอก สูงกว่าแค่เซ็นเดียวก็นับ คงเพราะขี้เกียจจะเถียงกับผม อีกฝ่ายจึงได้ก้มหน้าจัดการอาหารตรงหน้าเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

พี่ไปป์เป็นแฟนคนแรกของผมที่อายุมากกว่า ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจว่าควรทำตัวเป็นแฟนแบบไหน ถ้าขี้อ้อนเกินไปเขาจะหาว่าผมเด็กหรือเปล่า ที่ทำไปเมื่อครู่ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไม่พอใจ

“พี่ไปป์”

“ครับ” ขานรับเสียงหวานมาก ไอ้เซจะละลายแล้ว

“ถ้าไม่ชอบอะไรบอกเซได้เลยนะ ที่ผ่านมาเซคบแต่คนที่อายุเท่ากันหรือไม่ก็เด็กกว่า พี่ไปป์เป็นแฟนคนแรกที่อายุมากกว่าเซหลายปี เซไม่รู้ว่า...”

“หาว่าแก่งี้”

“ไม่ใช่ เซไม่อยากให้พี่ไปป์เกลียดเซ”

“คนเกลียดกันเค้าไม่เป็นแฟนกันหรอก”

“ตอนนี้อาจจะไม่ไงแต่ในอนาคตก็ไม่แน่ป่ะ เซจริงจังกับพี่ไปป์นะ”

“รู้แล้วครับ ถ้าไม่พอใจอะไรจะรีบบอกเลย โอเคมั้ย” ยิ้มขนาดนี้ก็ต้องโอเคอยู่แล้ว คบกับผู้ใหญ่ดีอย่างนี้นี่เอง ไม่งี่เง่า ไม่อาร์ต แต่ก็ไม่แน่ว่ะ คบกันยังไม่ถึงวันเลยนี่นา

ผมช่วยพี่ไปป์เอาจานไปเก็บ ทำตัวเป็นแฟนและเจ้าบ้านที่ดี จัดการกับครัวอย่างที่ปกติไม่ทำแล้วก็กลับมานั่งข้างเขา มองเสี้ยวหน้าคนที่ก้มหน้าอ่านหนังสือของผมราวกับมันน่าสนใจนักหนาแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่า สนใจหนังสือจริงๆ หรือทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ใกล้ๆ ผมกันแน่

“หนังสือนั่นน้องรหัสเซให้มา พี่ไปป์จะเอาไปเลยก็ได้นะ เซไม่อ่านอยู่แล้ว”

“ไม่เคยอ่านเลยเหรอ”

“ไม่เคย”

“นิดนึงก็ไม่เคย”

ทำไมต้องถามย้ำขนาดนี้อะ หนังสือนั่นมีอะไรพิเศษหรือไง

“ผมก็ไม่อยากได้หรอก ไม่ค่อยชอบอ่านนิยายอีโรติกอะ”

“นิยายอีโรติกเหรอครับ” พี่ไปป์แทนคำตอบด้วยการยื่นหนังสือที่เปิดค้างเอาไว้มาตรงหน้า ผมขยับเข้าไปจนชิดกันแล้วกวาดสายตาอ่านผ่านๆ

เออว่ะ นิยายอีโรติกจริงๆ หน้าที่พี่ไปป์เปิดไว้เป็นฉากเลิฟซีนโคตรร้อนแรง ว่าแต่...

ผมเหล่มองพี่ไปป์พลางยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้เขา

“นิยายเนี่ยถ้านอนอ่านกับพี่ไปป์บนเตียงเซก็โอเคนะ”

“ทะลึ่งว่ะ” หนังสือเล่มหนาถูกวางลงบนโต๊ะ พร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจของผมที่ยังคงดังก้องอยู่ในห้อง แกล้งพี่ไปป์แล้วมีความสุขชะมัด

“พี่ไปป์” ผมหยุดหัวเราะ ขยับนั่งขัดสมาธิบนโซฟาหันหน้ามองคนข้างๆ เต็มตา

“ครับ” และพี่ไปป์ก็ขานรับเสียงหวาน ตายแล้ว ไอ้เซระทวย

“อย่าขานรับแบบนี้ได้มั้ยอะ หัวใจเซจะพังแล้ว” กุมหัวใจโชว์โอเวอร์ๆ ให้เขาดู พี่ไปป์ก็ได้แต่ส่ายหน้าแล้วก็หัวเราะ

“ว่าไง เรียกทำไม”

“ได้ยินจากพี่โซ่ว่าพี่ไปป์ไม่ยอมเลื่อนตำแหน่ง” ได้ยินเรื่องนี้จากพี่โซ่มาซักพักแล้วแต่เพราะช่วงนี้วุ่นๆ ก็เลยไม่มีโอกาสถาม และตอนนี้ก็น่าจะเหมาะ

จริงๆ แล้วผมค่อนข้างลุ้นกับคำตอบที่จะได้รับ กลัวว่าตัวเองจะเป็นต้นเหตุให้พี่ไปป์หยุดเติบโตในหน้าที่การงานที่เขารัก

“อือ ทำไมเหรอ”

“เพราะเซรึเปล่า”

“เกี่ยวอะไรกับเซ”

“ก็เรื่องที่เราคบกัน”

“ตอนนั้นเรายังไม่ได้คบกันนี่ อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้อยากจะเลื่อนตำแหน่งเพื่อไปทำงานอื่นซักหน่อย”

“ถ้าเลื่อนตำแหน่งเงินเดือนก็เพิ่มขึ้นด้วยไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่ ผมไม่เอาตำแหน่งแต่เอาเงินนะ”

“แบบนี้ก็ได้เหรอ”

“ก็เขาเสนอมา เงินเยอะขึ้นใครจะไม่อยากได้”

“พี่ไปป์ไม่เหมือนคนเห็นแก่เงินอะ แบบดูเป็นคนที่อยากจะทำอะไรหลายๆ อย่าง ดูทะเยอทะยานเซก็เลยไม่คิดพี่ไปป์จะไม่รับการเลื่อนตำแหน่ง”

“คนทำงานทุกคนล้วนแล้วแต่อยากเลื่อนไปอยู่ในที่ที่สูงขึ้นเพื่อหน้าตาทางสังคมทั้งนั้นแหละ ผมเองก็เหมือนกัน แต่ตำแหน่งที่เขาเสนอไม่ใช่ตำแหน่งที่ผมอยากได้ และอีกอย่างผมยังสนุกกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้ด้วย”

“พี่ไปป์ชอบดูรายการต่างประเทศเนอะ รู้ว่าตัวเองชอบตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ประถมมั้ง 8-9 ขวบอะ คุณน้าของผมมีสามีเป็นชาวต่างชาติ พอช่วงปิดเทอมแม่ก็เลยถือโอกาสส่งผมไปเรียนภาษาที่โน่น ได้ดูทีวีบ้านเค้า พวกสารคดี วาไรตี้อะไรพวกนี้ มันต่างจากที่เราเคยดู มันตื่นตาตื่นใจ หลังจากนั้นผมก็กลายเป็นคนที่ชอบดูรายการต่างประเทศมากๆ คิดเอาไว้ซักวันต้องทำให้คนในประเทศได้ดูรายงานพวกนั้นบ้าง และวันนี้ผมก็ได้ทำแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว”

“ดีจัง เซแม่งไม่มีความฝันเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังคงเดินตามสิ่งที่พ่ออยากให้ทำ อิจฉาพี่ไปป์ว่ะ” ทั้งอิจฉาปนๆ กับรู้สึกดีที่พี่ไปป์เล่าเรื่องของเขาให้ผมฟัง

“อย่าอิจฉาคนที่มีความฝันเลย ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเถอะ เซโชคดีกว่าหลายๆ คนที่อย่างน้อยก็รู้ว่าในอนาคตตัวเองจะเป็นยังไง แต่สำหรับบางคนน่ะเค้าไม่มีทั้งความฝัน ไม่มีทั้งเป้าหมาย ทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด”

ผมโชคดีจริงๆ แหละ โชคดีตั้งแต่เกิด พอโตเป็นผู้ใหญ่ก็โชคดีที่ได้เจอคนดีๆ อย่างพี่ไปป์ ได้มีเขาอยู่ข้างๆ อิจฉาผมล่ะสิ ก็ช่วยไม่ได้อะนะ คนมันวาสนาดี







ปกติเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน ตอนที่ยังไม่เป็นแฟน พี่ไปป์จะเป็นฝ่ายเดินนำหน้าผมเสมอ แต่วันนี้ในตอนที่เดินเข้ามาในสนามบอลหญ้าเทียมที่ประจำเขากลับเดินตามผมต้อยๆ

ไม่เคยคิดว่าพี่ไปป์จะน่าเอ็นดูขนาดนี้

ไอ้ยอดร้องทักทันทีเมื่อเราปรากฏตัว รอยยิ้มกระลิ้มกระเหลี่ยทำให้หน้ามันที่ไม่ค่อยจะเหมือนคนดียิ่งเหมือนตัวร้ายในละครเข้าไปใหญ่

“พี่ไปป์ดูคลิปของพวกเรารึยังครับ” หลังจบครึ่งแรกไอ้เพื่อนตัวดีก็วิ่งเข้ามานั่งข้างแฟนผมแล้วถาม

“ดูแล้ว”

“มีตรงไหนที่ไม่ชอบมั้ยครับ”

“ตรงที่ผมไม่หล่ออะ”

“พี่ไปป์หล่อทุกช็อตแหละ หล่อแบบในคอมเมนต์มีแต่คนขอไอจีพี่อะ” น้ำเสียงไอ้ยอดติดหมั่นไส้หน่อยๆ

“ถึงว่าช่วงนี้คนขอฟอลโล่เพิ่มขึ้นเยอะมาก เพราะคุณนี่เอง คราวหลังไม่ไปด้วยแล้วดีกว่า” ถึงคนขอฟอลโลจะเยอะมากแต่พี่ไปป์ก็ยอมรับให้ผมเป็นฟอลโลเวอร์ของเขาล่ะ

“โหพี่ไปป์ ไม่ดิ ช่วยผมหน่อย คลิปพี่ไปป์ยอดวิวขึ้นเร็วมากเลยนะ ยอดตอนนี้ก็เกือบๆ จะ 2 แสนแล้ว”

“ขนาดนั้นเลยเหรอ ได้ตังค์ป่ะ เอามาแบ่งกันบ้างนะ”

“พี่ไปป์นี่ก็มีอารมณ์ขันเหมือนกันเนอะ”

“ผมจริงจังยอด ถ้าได้เงินก็ควรเอามาแบ่งกันสิ ค่าตัวจ่ายด้วย” คนถูกทวงค่าตัวหน้าถอดสีเมื่อพี่ไปป์แบมือทวงตังค์ด้วยหน้าตาจริงจังแบบคุณปกรณ์ เห็นอย่างนั้นแล้วก็อดสงสารไอ้ยอดไม่ได้ พี่ไปป์นี่ก็ช่างแกล้ง

“เอ่อ เกมส์ครึ่งหลังจะเริ่มแล้วขอตัวนะครับ”

ไอ้ยอดวิ่งจู้ดไปโน่นผมจึงนั่งลงข้างๆ คนขี้แกล้งแทนที่มัน

“พี่ไปป์นิสัยไม่ดี”

“ยอดตลกดีเนอะ” มองตามไอ้คนที่หลบอยู่หลังเสาอีกฝั่งของสนามแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีและน่ารักดี

“ยิ้มอย่างนี้บ่อยๆ สิ พี่ไปป์ยิ้มแล้วดูดี”

“คร้าบ จะยิ้มบ่อยๆ ครับ” เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วฉีกยิ้มกว้าง

“ครึ่งหลังจะเริ่มแล้วขอกำลังใจหน่อยสิ”

“กำลังใจอะไร” ผมเอียงแก้มให้แทนคำตอบ แต่แทนที่จะหอมแก้มพี่ไปป์กลับตบกะโหลกผมแรงๆ จนมึน เจ็บโคตร “อยากได้อีกมั้ยกำลังใจ”

“ใจร้าย” แสร้งทำเป็นปาดน้ำตาแล้วค่อยวิ่งลงสนามมา อาการตึ๊บๆ ที่หัวนี่ต้องทำให้ผมแพ้แน่ๆ เลยว่ะ

พอลงมาที่สนามไอ้ยอดเพื่อนรักก็กระโดดเข้ามากอดคอ

“พี่ไปป์ใส่เสื้อมึง บอกกูมาว่าไปถึงเตียงกันแล้วใช่มั้ย” ขี้เสือกแบบนี้ไง สมควรให้พี่ไปป์เก็บค่าตัวซะให้กระเป๋าแห้ง

“ไม่ยุ่งซักเรื่องมั้ยล่ะยอด”

“ไม่ได้ดิ กูอยู่ทีมมึงมาตั้งแต่ต้น เกิดอะไรขึ้นมึงก็ควรเล่าให้กูฟัง นี่มึงไม่เห็นเหรอว่าต่อมเสือกกูสั่นริกๆ อยู่เนี่ย” อยากตบกะโหลกมันให้แรงกว่าที่พี่ไปป์ตบผมเมื่อครู่ แต่ก็ได้แต่คว้าคอให้เข้ามาใกล้ๆ แล้วขู่ด้วยเสียงลอดไรฟัน

“ถ้ามึงไม่อยากเสียเงินค่าตัวพี่ไปป์ก็อย่าถามมาก รู้แค่ว่าเป็นแฟนกันแล้ว จบนะ” ตบหัวมันไปทีอย่างอดใจไม่ได้

นั่นแหละครับ เพราะต่อมเสือกไอ้ยอดมันสั่นริกๆ ตลอดการแข่งขันทั้งที่อยู่ทีมเดียวกันแต่มันก็เอาแต่วิ่งตามถามผมอยู่อย่างนั้น พอไม่ตอบก็สะกัดลูกแล้วเตะให้ทีมฝั่งตรงข้าม ผมกำมือแน่นห้ามใจไม่ให้กระโดดถีบมันในสนามอยู่หลายต่อหลายหน แน่นอนว่าเมื่อคนในทีมไม่สามัคคีกันไม่ต้องเดาเลยว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร แพ้ไงครับ แพ้ราบคาบ แพ้แบบไม่เหลือชิ้นดีเลยล่ะ

ที่จริงจะชนะหรือแพ้ผมไม่ค่อยซีเรียสหรอก เล่นขำๆ เรียกเหงื่อ แต่ครั้งนี้ต่างออกไป มันไม่เท่เลยนะ ทั้งที่แฟนผมมานั่งเชียร์ที่ข้างสนามแต่กลับแพ้แบบนี้ ไม่เท่แถมยังน่าอายมากๆ เลยด้วย

ผมวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหาพี่ไปป์ รับขวดน้ำที่เปิดแล้วจากมือเขามาดื่มนิดนึงก่อนจะเทราดหัวไล่ความร้อน

ไม่กล้ามองหน้าพี่ไปป์เลยอะ อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี

“ไม่เท่เลยเนอะ” ผมว่าเสียงอ่อนเมื่อนั่งลงข้างเขาแล้วรับผ้าขนหนูผืนเล็กมาซับเหงื่อที่ใบหน้า

“ไม่เท่เลยแต่ไม่ต้องคิดมากนะ เพราะผมไม่เคยคิดว่าคุณเท่อยู่แล้วอะ” โห โคตรใจร้าย พูดอะไรไม่รักษาน้ำใจกันเลย ไอ้เซจะร้องไห้แล้วจริงๆ นะ

พอผมเบ้หน้าทำท่าเหมือนจะร้องไห้ พี่ไปป์ก็ขำออกมาแล้วดึงผ้าขนหนูไปถือเอาไว้ก่อนเจ้าตัวจะขยับมายืนตรงหน้า ค่อยๆ ใช้ผ้าผืนนั้นเช็ดเส้นผมชื้นเหงื่อของผมอย่างเบามือ

โคตรอ่อนโยนเลยอะ สัมผัสของพี่ไปป์ทำเอาผมเคลิ้มไป อยากเอาหน้าซบที่หน้าท้องของเขาแต่ขณะที่กำลังขยับเข้าใกล้ก็ถูกรั้งเอาไว้ด้วยไอ้คนที่ทำให้ผมไม่เท่ในสนามนั่นแหละ

“เซเพื่อนรักเตะบอลแล้วไปไหนต่อวะ กูไปด้วยสิ เหงาอะแฟนไม่อยู่”

“ไปไหนก็ได้โตแล้ว” ไม่ใช่ว่ามีแฟนแล้วลืมเพื่อนหรอกนะครับ แต่ดูมันทำตัวเข้าเถอะ ทำให้ผมไม่เท่ต่อหน้าพี่ไปป์แล้วยังมีหน้าจะมีก้างขวางคออีก ไปเหงาคนเดียวตรงโน้นไป๊

“พี่ไปป์ดูไอ้เซสิ นิสัยไม่ดีเลยอะ” หันไปฟ้องแฟนผมอีก แต่โชคดีครับที่พี่ไปป์ไม่ใช่คนใจดีพร่ำเพื่อ เขาตีหน้านิ่งมองไอ้ยอด ถูกมองแบบนี้ถ้าเป็นผมนะคงเผ่นแนบไปแล้ว

“เราจะไปกินบุพเฟ่ต์กัน”

“ไปด้วยได้มั้ยครับ”

“ยอดจะไปด้วยก็ได้นะ จ่ายค่าตัวผมเป็นค่าอาหารมื้อนี้สิ” คนอยากตามไปด้วยถึงกับหน้าจ๋อยก้มหน้าก้มตาว่าไม่เต็มเสียง

“ใจร้ายว่ะ ไม่ไปด้วยก็ได้ โป้งมึงแล้วไอ้เซ วันหลังถ้าหนีออกจากบ้านอีกไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากกูเลยนะ” ยอดโป้งผมเหมือนเด็กๆ ก่อนจะผละออกไป

ผมให้พี่ไปป์รอที่ร้านกาแฟนข้างหน้าสนามขณะเข้าไปจัดการตัวเองให้สะอาดสดชื่นพร้อมออกเดทในเย็นวันนี้

เจอไอ้ยอดในห้องอาบน้ำ มันก็ยังตัดพ้อผมไม่หยุดหย่อนกระทั่งแฟนมันโทรมานั่นแหละจึงเลิกวอแวแล้วบอกลากัน







ในร้านกาแฟวันอาทิตย์ ถึงแม้จะมีผู้คนมากมายทว่าสายตาของผมกลับจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มเพียงคนเดียว คนที่วันนี้สวมเสื้อของผมอย่างไม่เขินอาย กลับเป็นผมเสียอีกที่รู้สึกเขินเมื่อเห็นเสื้อตัวเองบนตัวพี่ไปป์

“รอนานมั้ยครับ”

“นานมาก” ถึงจะบอกเหมือนตำหนิกันทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้มส่งมาให้

“ไอ้ยอดน่ะสิวอแวเซไม่หยุดเลย”

“ยอดตลกดี”

“แล้วเซล่ะตลกมั้ย”

“ไม่รู้สิ ไม่ค่อยมั้ง”

“ต่อไปนี้เซจะทำให้พี่ไปป์หัวเราะเยอะๆ เลย”  ผมอาจจะไม่ใช่คนตลกมากแต่รับรองว่าถ้าได้อยู่ด้วยกันจะทำให้มีความสุขจนลืมไปเลยว่าความทุกข์เป็นยังไง

ผมเดินนำพี่ไปป์ออกมาข้างนอกเพราะนี่ก็ใกล้เย็นแล้ว อีกซักแป้บนึงท้องต้องร้องเพราะความหิวโหยแน่ๆ

เราเดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อยระหว่างทางจากโต๊ะไปยังประตู เป็นบทสนทนาเกี่ยวกับฝีเท้าของผมในสนามบอล

“ถ้าไอ้ยอดไม่...”

โป๊ก!!!

ไอ้สัส เห็นดาวกลางวันแสกๆ

พี่ไปป์หัวเราะลั่นขณะที่ผมซึ่งชนประตูกระจกเข้าเต็มๆ ทรุดลงไปกองกับพื้น จนผมค่อยๆ เกาะประตูแล้วลุกขึ้นกุมหน้าผากมองหน้าเขานั่นแหละเจ้าตัวถึงยอมกลั้นขำแล้วหันมาสนใจกัน

“พี่ไปป์โคตรใจร้ายอะ”

“ก็มันตลก ไม่คิดว่าคุณจะเด๋อขนาดนี้ว่ะเซ”

“ก็มัวแต่มองหน้าพี่ไปป์อะ คนอะไรก็ไม่รู้น่ารักชิบเป๋งเลย”

“ไปได้แล้วอายคนอื่นเค้า เดินไหวมั้ย” โอ๊ยคนเรา ยืนอยู่ตั้งนานเพิ่งมาถามว่าไหวมั้ย ถ้าไม่ไหวก็คงล้มลงไปกองอีกรอบแล้วมั้งครับ แต่นาทีที่พี่ไปป์ยื่นมือมาจับต้นแขนเพื่อพยุงผมก็พูดไม่ออก คนมองก็ช่างเถอะไอ้เซไม่สนใจแล้ว นานทีปีหนจะได้มีโอกาสทำตัวอ่อนปวกเปียกอ้อนให้เขา ก็ให้ช่วยพยุงมาจนที่รถ รวมถึงควักกุญแจให้เขาช่วยขับด้วยเลย

มื้อค่ำแรกของสถานะแฟนถูกฝากเอาไว้ที่ร้านหมูกระทะร้านเดียวกับที่เคยมากินด้วยกันเมื่อครั้งเป็นพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงาน อาจเพราะเป็นวันหยุดและยังหัวค่ำอยู่คนในร้านจึงคึกคักเป็นพิเศษ

“ท้องยังอืดอยู่เหรอ กินน้อยจัง” เห็นว่าเขาไม่ค่อยกินก็อดสงสัยไม่ได้

“อาหารไม่ค่อยย่อยอะ”

“พี่ไปป์ควรหาหมอบ้างนะ”

“ก็เจอแอมป์บ่อยอยู่นะ”

“นั่นหมอหมาป่ะล่ะ” แม้อยากจะดุแต่พอเห็นว่านานๆ พี่ป์จะเล่นมุกทีก็ดุไม่ลงได้แต่หัวเราะไปมุกฝืดๆ นั่น “เอาไว้พรุ่งนี้เลิกงานเซไปรับที่ออฟฟิศแล้วไปหาหมอกัน”

“ไม่อยากไป”

“กลัวหมอเหรอครับ”

“เปล่า” ปฏิเสธเสียงสูงจนถึงยอดตึกโน่น เชื่อก็บ้าแล้วครับ

“ไปกับเซไม่ต้องกลัวหรอกน่า”

“ผมมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะไม่ต้องห่วงหรอก กินยาก็หายไม่ต้องหาหมอก็ได้”

“รู้สึกดีนะที่พี่ไปป์บอกเรื่องของตัวเองให้เซฟังแต่คงดีกว่าถ้าได้พาไปหาหมอ”

“ยังไงก็จะไปให้ได้ว่างั้น”

“ใช่แล้ว” ผมลากเสียงยาว เช็ดมือที่แกะกุ้งไปแค่ไม่กี่ตัวด้วยทิชชู่ที่คนตรงข้ามส่งมาให้ “ไปกันนะ เซเป็นห่วงจริงๆ นะครับ” อ้อนเข้าให้ ดวงตาพี่ไปป์วูบไหวก่อนเจ้าตัวจะพยักหน้าอย่างยอมจำนน

พี่ไปป์คนที่เป็นแฟนผมนี่น่ารักเป็นบ้าเลยล่ะ







[T B C]

พอเป็นแฟนกันแล้วพี่ไปป์ก็จะน่ารักประมาณนี้แหละค่ะ
จะบอกว่าตอนหน้าก็จบแล้วเด้อ แต่ยังไม่ใช่ตอนสุดท้ายหรอก
มีบทส่งท้ายอีก 1 ตอนด้วย
ฝากด้วยๆ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 16 UP 25.8.17
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 26-08-2017 15:06:59
 :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 16 UP 25.8.17
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 04-09-2017 00:21:42
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 17 UP 5.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 05-09-2017 20:02:18
พี่ครับ 17



“รีบนอนล่ะ พรุ่งนี้ให้ผมโทรปลุกมั้ย”

“ตี 5 เลยนะ พี่ไปป์ตื่นแล้วเหรอ”

“ถ้าให้โทรปลุกก็ตื่นได้นะ”

“งั้นโทรปลุกเซหน่อย กลัวนอนเพลินอะ ไอ้ยอดด่าแน่”

“นอนเถอะ”

“พี่ไปป์ก็นอนนะ ฝันดีครับ”

“อือ ฝันดี” กลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำไปซะแล้ว ถ้าคืนไหนไม่ได้คุยกันก่อนนอนคืนนั้นผมแทบจะข่มตาหลับไม่ลง ต้องได้ยินเสียงสักนิดก็ยังดี

ผมวางมือถือลง หยิบกำหนดการสำหรับการบินไปเรียนต่อปริญญาโทขึ้นมาดูแล้วถอนหายใจหนักๆ อย่างคิดไม่ตก

ยิ่งชีวิตนักศึกษาใกล้จะจบลงแค่ไหนผมก็ยิ่งวุ่นวายใจมากขึ้นเท่านั้น

ที่จริงแล้ว เรื่องเรียนต่อ เป็นแผนการที่วางไว้ตั้งแต่ต้น

เพราะเป็นลูกชายเจ้าของช่องโทรทัศน์สิ่งที่ควรทำก็คือเรียนเพื่อกลับมาสานต่อกิจการของครอบครัวอย่างพี่ชายทั้งสอง ผมเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถามว่าเต็มใจไหม ไม่รู้สิ ถ้าผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรก็คงไม่เต็มใจมาทำงานบริหารช่องหรอก แต่ในเมื่อไม่มีความฝันก็ควรเดินตามเส้นทางของชีวิตที่มันควรจะเป็น เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่

กำหนดการเดินทางคือต้นเดือนหน้า

มีเวลาเหลืออีกประมาณ 3 สัปดาห์ ผมอยากจะดื้อดึงไม่ไป เหตุผลข้อเดียวคือไม่อยากห่างพี่ไปป์ แต่ถ้าทำอย่างนั้นคนเอาจริงเอาจังอย่างคนรักผมต้องโกรธมากแน่ เผลอๆ อาจจะขอเลิกด้วยซ้ำ

ไม่มีทางเลี่ยงได้เลยสักทาง

และคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมหลับไปพร้อมกับความคิดเรื่องเรียนต่ออย่างคืนก่อนๆ







ผมตื่นเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือในตอนเช้า ถึงกระนั้นเสียงคนต้นสายก็ยังคงสดใสเหมือนได้นอนเต็มอิ่ม ต่างจากผมที่งัวเงียอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นจากเตียงได้

วันนี้มีนัดไปเที่ยวกันครั้งสุดท้ายกับเพื่อนๆ ก่อนแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตัวเองต่อจากนี้

ยอดยังไม่มีแพลนเรื่องงาน มีแต่แพลนนอนและตะลอนถ่ายคลิปรายการของมัน ผมเคยถามมันว่าฝันอยากเป็นอะไร มันก็ตอบง่ายๆ ว่าอยากหาเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาครอบครัวอีก เขาให้มันมามากพอแล้ว และถ้ามันหาได้มากพอมันก็จะได้ตอบแทนที่บ้านบ้าง

เห็นมันบ้าบอไม่ค่อยได้เรื่องแบบนั้นใครจะเชื่อว่าจะมีสำนึกที่ดีเหมือนกัน

“ไงมึง มาทันด้วย” เรานัดกันที่หน้าตึกคณะตอน 6 โมงเช้า เอารถส่วนตัวไป 3-4 คัน หนึ่งในนั้นคือรถของผม ปลายทางคือทะเล

“แฟนกูโทรปลุก”

“จ้าพ่อคนขี้อวด”

“ก็แฟนกูน่าอวด” เรื่องของผมกับพี่ไปป์อาจจะไม่ใช่ประเด็นทอล์คออฟเดอะทาวน์แต่เพื่อนๆ และคนใกล้ชิดต่างก็รู้กันว่าเรากำลังคบกันอยู่

“หมั่นไส้มึงว่ะ” ผมค่อนข้างคุ้นชินกับการจิกกัดของไอ้ยอดแล้วจึงไม่ได้ตอบโต้ ทำเพียงยักไหล่เท่ห์ๆ เอาแว่นตาของพี่ไปป์ที่แอบหยิบมาจากห้องเขาเมื่อคืนวันก่อนมาใส่

เรามาถึงบ้านพักริมทะเลกันตอนบ่ายๆ

กิจกรรมก็ไม่มีอะไรมาก เน้นกินและดื่ม พูดคุยสนทนาทั่วไป ทิ้งความเหนื่อยล้าจากโปรเจ็คเอาไว้ที่กรุงเทพแล้วสนุกกันสุดเหวี่ยงที่ริมทะเล

ลมทะเลตอนกลางคืนเย็นจนขนลุก หากแต่ไม่มีใครยอมลุกไปไหน คงมีเพียงผมที่ลุกขึ้นในตอนที่มองนาฬิกาข้อมือแล้วพบว่าตอนนี้เกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว

พี่ไปป์นอนดึกอยู่แล้วผมจึงไม่ลังเลที่จะโทรหาเขา

รอสายไม่นานเจ้าตัวก็รับ

“นอนรึยังครับ”

“ยัง”

“รอสายเซอยู่รึเปล่า”

“เปล่า เคลียร์งานอยู่ แล้วนี่โทรมาทำไม”

“เป็นแฟนกันโทรหากันไม่ได้เหรอ”

“ตอนนี้คุณควรจะสนุกอยู่กับเพื่อนสิ”

“เมาแล้วครับ คิดถึงพี่ไปป์แล้วด้วย”

“อ้อนแบบนี้อยากได้อะไร”

“อยากให้มาหา”

“ตอนนี้เหรอ”

“วันเสาร์ตอนสายๆ ก็จะกลับกันแล้ว พี่ไปป์มาหาเซวันนั้นแล้วอยู่เที่ยวกันต่อได้มั้ย”

“เอางั้นเหรอ”

“อือ นะครับ” ผมอ้อน อีกฝ่ายเงียบไปครู่นึงก่อนจะตอบ

“ขอคิดดูก่อนแล้วเดี๋ยวจะให้คำตอบนะ”

“จะรอฟังข่าวดีนะครับ แล้วนี่จะนอนรึยัง”

“คืนนี้คงดึก คุณเองก็ไปสนุกกับเพื่อนเถอะ ดูแลตัวเองด้วย”

“เป็นห่วงเหรอครับ”

“ถ้าไม่ห่วงแฟนแล้วจะให้ห่วงใครครับ” ฟินไปสิไอ้เซ ผมวางมือบนอกซ้าย สัมผัสได้ว่าหัวใจเต้นแรงมาก แม่งมันจะระเบิดรึเปล่าวะ







ผมตื่นขึ้นมาในช่วงสายกับเพื่อนที่นอนกองกันเหมือนผักปลาพร้อมข่าวดี

พี่ไปป์ส่งข้อความพร้อมแนบโลเคชั่นโรงแรมมาตอนเกือบตี 3 อ่านแล้วก็นึกสงสัยว่าเขาอยู่ทำอะไรจนดึกดื่น ทั้งที่วันนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้าแท้ๆ

แฟนผมน่ะเป็นประเภทที่ถ้างานไม่เสร็จก็จะไม่ยอมหลับยอมนอน ไม่ห่วงสุขภาพตัวเองแบบนี้จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไง

ผมเดินออกมาจากบ้านพัก นั่งลงบนเก้าอี้ริมสระว่ายน้ำก่อนกดโทรออกหาคนที่ตอนนี้กำลังทำงานอยู่

ไม่นานพี่ไปป์ก็รับสาย

“เพิ่งตื่นเหรอ” ถามเหมือนอยู่ข้างๆ กัน

“รู้ได้ไงอะครับ”

“ก็เมื่อคืนดื่มหนักขนาดนั้น”

“คนอื่นยังไม่ตื่นเลย นี่เซตื่นคนแรกเลยนะ เก่งป่ะ”

“ต้องชมด้วยเหรอ”

“แล้วแต่พี่ไปป์เลยครับ จะชมตอนนี้หรือเก็บไว้ชมตอนเจอกันวันเสาร์ก็ได้ อ่อ จะบอกว่าเซได้รับข้อความแล้วนะ จะให้ไปรอที่โรงแรมเลยป่าว”

“แล้วรถคุณล่ะ นี่ขับรถไปไม่ใช่เหรอ”

“เดี๋ยวให้ไอ้ยอดขับกลับกรุงเทพครับ”

“เอางั้นก็ได้ ถ้าคุณไปถึงก่อนก็เช็คอินได้เลยนะ”

“อยากเจอพี่ไปป์แล้วอะ”

“ผมก็อยากเจอคุณ” ประโยคสั้นๆ ของพี่ไปป์ทำให้โลกของผมกลายเป็นสีชมพูได้ในพริบตาอย่างน่ามหัศจรรย์ เราคุยกันเรื่อยเปื่อยหลังจากนั้น หากให้ตั้งชื่อบทสนทนาในวันนี้คงจะเป็นบทสนทนาที่อยากให้ยาวไปเรื่อยๆ จนกว่าความคิดถึงจะจางหายไปล่ะมั้ง







ห้องพักที่พี่ไปป์จองไว้เป็นห้องสูท มีเตียงนอนกว้างตั้งอยู่กลางห้อง ข้างนอกระเบียงมีสระว่ายน้ำส่วนตัว โอ่อ่ามากอย่างที่ไม่นึกไม่ฝันว่าเขาจะจองที่แบบนี้เพื่อเรา

คุยกับเจ้าตัวก่อนผมจะเช็คอิน พี่ไปป์บอกว่าใกล้จะถึงแล้ว มองนาฬิกาที่กำลังบอกเวลาเที่ยงกว่าๆ ก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมท้องถึงร้องครวญครางขนาดนี้

ผมทิ้งตัวลงบนเตียงกว้าง ข่มตาให้หลับ รอคอยพี่ไปป์เพื่อจะได้ไปหาอะไรทานด้วยกัน

แต่คนมันหิวไง ข่มตายังไงก็หลับไม่ลงซักที ดูทีวีก็แล้ว เล่มเกมส์มือถือก็แล้ว เอาเท้าจุ่มน้ำในสระ ทอดสายตามองทะเลตัดกับขอบฟ้าสีคราม ฮัมเพลงจนคอแหบแห้งคนที่ผมรอคอยก็ยังไม่มาซักที

Rrrr~

กำลังจะกดโทรออกพอดีแต่สายเรียกเข้าจากพี่ไปป์ก็ดังขึ้นซะก่อน คนเป็นแฟนกันก็ใจตรงกันประมาณนี้แหละ

“พี่ไปป์เซหิวข้าวอะ” ผมกรอกเสียงโหยหาผ่านสายไป

“ถึงแล้ว ติดไปแดงอยู่ อีกไม่เกิน 5 นาทีก็จะถึงโรงแรม เซลงมารอข้างล่างสิ เดี๋ยวไปหาอาหารทะเลกินกัน”

อาหารทะเล? ผมคนที่อยู่ทะเลมา 2 วันกว่าๆ แอบเบ้ปาก ตอนนี้ถ้าเรอออกมาก็เป็นกลิ่นอาหารทะเลอะครับ แต่ผมมันพวกตามใจแฟนไง แฟนอยากกินก็ต้องไปกินด้วยแหละ ขัดใจเขาได้ยังไงกัน

พี่ไปป์รีบวางสายไปหลังจากเสียงร้อนรนบอกว่าไฟเขียวแล้วจบลง

ไม่นานหลังจากลงมายืนรอที่หน้าโรงแรมรถยนต์ของพี่ไปป์ที่ผมคุ้นเคยดีก็เข้ามาจอดตรงหน้า ผมเดินอ้อมไปฝั่งเขา เปิดประตูให้แล้วขอเป็นฝ่ายขับรถเอง และเจ้าของรถก็ยอมง่ายๆ ไม่ใช่ว่าง่ายอะไรหรอก ขับรถมาตั้งไกลก็คงเหนื่อยนั่นแหละ

“หน้าพี่ไปป์เหนื่อยมากอะ ขับรถมาถึงหัวหินได้ไง”

“มาได้เพราะพลังความคิดถึงมั้ง”

“เซก็คิดถึง”

“คิดถึงทะเล” พี่ไปป์ก็แบบนี้ ชอบดับฝันกันประจำแหละ

“คิดถึงเซก็บอกดีๆ ปากแข็งอยู่นั่นแหละ”

“คิดถึงนิดนึงก็ได้ ช่วยพาไปหาอะไรกินหน่อยสิ ง่วงอะ ขอนอนแป้บ”

“พี่ไปป์อยากกินไร”

“คุณเบื่ออาหารทะเลรึยัง”

“นิดนึง”

“เอ็มเคมั้ย”

“โห ขับรถมาตั้งไกลเพื่อมากินเอ็มเคเนี่ยนะ”

“ก็คุณเบื่ออาหารทะเลแล้วอะ”

“ก็เบื่อนิดเดียวแต่ไม่เบื่อพี่ไปป์หรอก นอนเหอะเดี๋ยวถึงร้านแล้วเซปลุก” ผมเอี้ยวตัวกลับไปหยิบหมอนตรงเบาะหลังมาวางไว้บนตักคนข้างๆ ก่อนจะช่วยคาดเข็มขัดเมื่อเห็นว่าคนรักความปลอดภัยไม่ยอมคาดมันซักที

“ขอบคุณครับ” พอผมจะผละออกเขาก็ว่าอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงโคตรหวาน จนห้ามใจไม่ไหวกดจูบลงบนเรียวปากเขาไปที

พี่ไปป์ร่างแฟนโคตรน่ารักอะ ไม่รู้ว่าต้องพูดคำว่าน่ารักอีกกี่ครั้งถึงจะเพียงพอ สงสัยคงต้องพูดไปตลอดชีวิตแล้วมั้ง

ผมพาพี่ไปป์มากินอาหารทะเลร้านประจำของครอบครัวผม เป็นร้านเล็กๆ ริมชายหาด ลมพัดแรงจนผมเสียทรงหมด แต่รสชาติอาหารเป็นที่เลื่องลือมากๆ เลยล่ะครับ พ่อผมน่ะชอบที่นี่มาก เคยขอแม่แต่งงานที่นี่ โคตรจะไม่โรแมนติกแต่ดูเหมือนแม่จะปลาบปลื้มใจมาก เล่าให้ฟังบ่อยจนรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์ด้วยแล้ว

“พี่ไปป์นี่ชอบกินกุ้งจังเลยนะ” คนที่เพิ่งตักกุ้งไปจากจานของผมหยุดชะงักไปชั่วอึดใจหนึ่ง หรี่ตามองกันเหมือนไม่พอใจก่อนจะงับกุ้งตัวนั้นเข้าปากไป

“ปกติก็ไม่ค่อยกินหรอก แต่นี่มีคนแกะให้ไงก็เลยชอบ”

“ชอบกุ้งหรือชอบคนแกะครับ”

“ทั้งสองอย่าง” ผมชอบเวลาพี่ไปป์บอกว่าชอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและสีหน้าไร้ความรู้สึก อาจจะดูเหมือนผมแปลก ไม่หรอก ผมว่าบุคลิกแบบนี้มันใช่พี่ไปป์ที่สุดแล้ว

เป็นคนนิ่งๆ ไม่ค่อยแสดงออก แต่บทจะหวานก็เล่นเอาตั้งตัวไม่ทันทุกครั้งไป

“กลับห้องเลยมั้ย”

“ไปเดินเล่นที่ชายหาดกัน”

“ตอนนี้เนี่ยนะ” คงไม่ต้องอธิบายถึงความร้อนแรงของแสงจากพระอาทิตย์ตอนบ่ายโมงเกือบบ่ายสองใช่มั้ย ร้อนมาก แสบผิวมาก ถ้าขืนเดินเล่นตอนนี้มีหวังผิวไหม้หมดแน่ๆ แต่เรื่องผิวก็ไม่เท่ากับกลัวคนที่เหมือนจะนอนไม่พอเพลียแดดแล้วเป็นลมไปหรอก

“ทำไมล่ะ ไม่อยากเดินเล่นด้วยกันเหรอ”

“เอาไว้ตอนเย็นดีมั้ยครับ ตอนนี้เรากลับไปนอนดีกว่า สภาพพี่ไปป์เหมือนจะไม่ไหวแล้วนะ”

“ง่วงแหละ แต่คิดว่าคุณอยากจะเดินเล่นด้วยกัน”

“เอาไว้ตอนเย็นดีกว่ามั้ยครับ เดินเล่นเสร็จแล้วไปโต้รุ่งกัน”

ช่วงหลังมานี้พี่ไปป์รับฟังความเห็นของผมมากขึ้น ตามใจมากขึ้น อ้อนมากขึ้น ยิ้มให้กันมากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องหินผาที่ทำร้ายจิตใจผมมากๆ หรือเพราะเขารักผมมากขึ้นกันแน่ อย่างไรก็ตามแค่เขาอยู่ข้างๆ ผมเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับความรักครั้งนี้

“ช่วงนี้พี่ไปป์ไม่ค่อยได้นอนเหรอ ถ้างานเยอะไปก็น่าจะหาผู้ช่วยเพิ่มนะ” พี่ไปป์ทิ้งตัวลงบนเตียงทันทีเมื่อกลับมาถึงห้อง ไม่สนใจกระทั่งผมที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าเขาตามเข้ามา

ผมนอนลงข้างๆ เอ่ยถามเขาทั้งที่เจ้าตัวหลับตาไปแล้ว แต่เชื่อเถอะว่ายังนอนไม่หลับหรอก

“งานอื่นน่ะ แต่เคลียร์เสร็จแล้ว”

“รับงานนอกเหรอครับ”

“เปล่า งานอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงาน แล้วถ้าผมรับงานนอกคุณจะทำไม จะฟ้องพ่อคุณเหรอ”

“ไม่หรอก เซเคารพการตัดสินใจของพี่ไปป์”

“ขอบคุณนะ” พี่ไปป์ขยับตัวนอนตะแคง ลืมตาขึ้นมามองกันแล้วยิ้มสวย ยิ้มที่ผมเผลอก้มลงไปกดจูบลงบนเรียวปากเขาเบาๆ แล้วผละออก

“นอนเถอะ เดี๋ยวคืนนี้จะไม่ได้นอนนะ”

“ทำไมถึงจะไม่ได้นอน”

“ที่นี่บรรยากาศดี”

“บรรยากาศน่านอน”

“บรรยากาศน่านอนแต่จะไม่ได้นอนน่ะสิครับ เพราะงั้นตอนนี้พี่ไปป์รีบนอนเอาแรงเถอะนะ” ผมขยับเข้าไปหนุนหมอนใบเดียวกัน กดจูบลงบนเส้นผมนุ่ม ตะกรองกอดคนข้างกายเอาไว้ พอได้สัมผัสกับความอบอุ่นที่โหยหาก็รู้สึกสบายใจเหมือนกับได้วางทุกความทุกข์ใจเอาไว้

ไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน







ชายหาดด้านหลังโรงแรมเงียบสงบดี ตอนเย็นแดดร่มแล้ว สายลมพัดเอื่อยๆ พอให้เส้นผมที่ไม่ได้จัดทรงและเสื้อเชิ้ตสีสดใสของเราปลิวสะบัดแผ่วเบา

พี่ไปป์เสยผมด้านหน้าที่ยาวลงมาปรกตาขึ้นก่อนนั่งลงบนผืนทรายสีขาวสะอาด

“บอกให้มัดผมเหมือนเซก็ไม่เชื่อ” ผมข้างหน้าของผมก็ยาวแล้วเหมือนกัน ก่อนออกมาก็เลยมัดจุกเอาไว้ให้อีกฝ่ายแซวว่าเหมือนหมาพันธุ์ชิสุ เป็นหมาก็ได้แหละถ้าพี่ไปป์รับเลี้ยง

“ไม่อยากเหมือนคุณ”

“กลัวจะเป็นไอเทมคู่รักงี้เหรอ”

“แค่เลือกสีสีฟ้าเหมือนกันก็มากพอแล้วอะ”

“ใจตรงกันก็งี้” วันนี้เราใส่เสื้อสีเดียวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เป็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสดใสเหมือนความรักของเราทั้งคู่

พอถูกแซ็วพี่ไปป์ก็หัวเราะ ก้มมองเสื้อตัวเองแล้วก็ไหวไหล่อย่างน่าหมั่นไส้ แต่จะหมั่นไส้ลงได้อย่างไรในเมื่อรักซะขนาดนี้

เรานั่งมองทะเล ฟังเสียงคลื่นและลม ซึมซับช่วงเวลาที่มีกันและกันโดยปราศจากทสนทนา ผมวางมือลงบนมือพี่ไปป์บนผืนทราย หันมองเขา ยิ้มให้กันก่อนทอดสายตามองทะเลเบื้องหน้าอีกครั้ง

“ก่อนบินเซว่าจะไปเยี่ยมหินผาซักหน่อย”

“อือ ไปกัน แต่อย่าร้องไห้อีกล่ะ” ตอนบอกลากันผมร้องไห้เพราะรู้สึกเหงา การจากลาทำให้หัวใจของผมเจ็บปวด ทว่าการร้องไห้เมื่อได้พบอีกครั้งนั้นมันคนละความรู้สึกกัน ผมร้องเพราะมีความสุขที่ได้เห็นว่าหินผามีชีวิตที่ดี มีเจ้าของที่รักและมอบความอบอุ่นให้มัน หินผาที่ผมเจอที่บ้านเจ้าของมันดูร่าเริงกว่าครั้งไหนๆ มันกระโดดกอดผมส่งมอบความคิดถึงแบบเดียวกับที่ผมมี

บางครั้งความรักก็อาจไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการเห็นคนที่เรารักมีความสุข เรื่องราวของหินผาบอกผมอย่างนั้น แต่สำหรับพี่ไปป์ ถ้าความรักของผมไม่ได้ครอบครองเขาผมคงเป็นทุกข์มากอย่างเช่นตอนนี้

“ถ้าเซไม่อยู่พี่ไปป์จะเหงามั้ย”

“ดราม่าเหรอ”

“อือ เซคงคิดถึงพี่ไปป์มาก พี่ไปป์จะไม่คิดถึงเซเหรอ”

“คิดถึงแหละ”

“มาหาบ่อยๆ ได้มั้ย”

“ให้ผมไปหาคุณน่ะเหรอ ไม่มีตังค์ขนาดนั้นหรอก”

“เรียนโทนี่หนักมั้ยอะ มีเวลาพักรึเปล่า”

“หนักแต่ก็สนุก เผลอๆ คุณอาจจะหลงแสงสีที่นั่นจนลืมผมไปเลยก็ได้”

“ไม่มีทาง”

“ให้มันจริงเถอะ”

“เซพูดจริง”

“เอาไว้ไปอยู่ที่โน่นซักพักก่อนแล้วค่อยบอกดีกว่าว่ายังคิดถึงกันรึเปล่า”

คิดถึงสิ ผมต้องคิดถึงพี่ไปป์มากแน่ๆ  คิดถึงสีหน้าเฉยชาเวลาบอกรักกัน อ้อมกอดอุ่นๆ ฝ่ามือที่โบกหัวผมเวลาไม่พอใจ แต่ในยามที่ผมเหนื่อยล้ามือข้างนั้นก็ทำหน้าที่เยียวยาผมด้วยเช่นกัน ถ้าผมไม่คิดถึงคนๆ นี้แล้วจะให้คิดถึงใคร







“พี่ไปป์กินเก่งอะแต่ไม่เห็นจะอ้วนเลย”
 
พอท้องฟ้าปราศจากแสงจากพระอาทิตย์ เราก็จูงมือกันเดินออกจากชายหาด ขับรถมุ่งหน้ามาที่ตลาดโต้รุ่ง ที่จริงทั้งผมและพี่ไปป์ต่างก็คุ้นเคยกับหัวหินดี เอาเข้าจริงเด็กคณะเราทุกคนคุ้นเคยกับที่นี่เพราะถูกใช้เป็นสถานที่รับน้องและอื่นๆ อีกมากมายในทุกๆ ปี

“ขอกินของคุณบ้างสิ” ยังไม่ทันอนุญาต คนชอบกินก็ยื่นหน้าเข้ามางับไอศกรีมในมือของผมไปเต็มคำ

“อร่อยอะ แลกกันมั้ย”

“พี่ไปป์เอาไปทั้งหมดเลยก็ได้เซไม่ชอบกินของหวาน”

“ไม่ชอบแล้วซื้อมาทำไม”

“เห็นพี่ไปป์ตัดสินใจไม่ได้ซักที”

“ใส่ใจนะเนี่ย”

“เป็นแฟนที่ดีใช่มั้ยล่ะ”

“น่ารักมาก” ชมผมแล้วก็เลียไอศกรีมไปด้วย เห็นแบบนั้นแล้วเรื่องลามกก็ผุดขึ้นในหัวเป็นฉากๆ

“น่ารักแล้วมีรางวัลมั้ยอะครับ”

“รางวัลอะไร”

“ก็...”







พี่ไปป์รู้ดีว่ารางวัลที่ผมพูดถึงคืออะไรแต่ก็ชอบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทุกที

“พอแล้ว” เจ้าของร่างกายเปลือยเปล่าที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงยกมือห้ามเมื่อมือของผมเริ่มลูบไล้ร่างกายของเขาอีกครั้ง แต่เชื่อเถอะว่าห้ามไปงั้นแหละเพราะอีกซักพักก็ตามใจผมแล้ว

สำหรับความรักที่ผมมีให้พี่ไปป์น่ะกอดแน่นแค่ไหนครั้งเดียวก็ไม่เคยพอ

“ไม่ได้จริงเหรอครับ” ผมไล้ปลายจมูกที่ลาดไหล่เปลือย มือยังคงลูบไล้สีข้างอย่างหยอกเย้า

“พรุ่งนี้อยากไปสวนน้ำ”

“มีชุดว่ายน้ำเหรอ”

“เตรียมมาเผื่อเซชุดนึงด้วยนะ”

“เตรียมชุดว่ายน้ำมาเก้อแล้วล่ะ”

“หืม ทำไมล่ะ” พี่ไปป์เอียงใบหน้าที่ซุกบนหมอนมามองกัน

“พรุ่งนี้พี่ไปป์ลุกไปเที่ยวไม่ไหวหรอก”

“เซ”

“ครับ” ผมขานรับทั้งที่ริมฝีปากกำลังสัมผัสไปทั่วลาดไหล่และแผ่นหลังเนียน

“ไม่ไหวแล้วอะ”

“ไม่จริงหรอก ร่างกายพี่ไปป์ไม่เคยโกหกเซนะ” พี่ไปป์เป็นพวกไวต่อสัมผัส แค่ลูบไล้นิดๆ หน่อยๆ ก็ตื่นขึ้นมาแล้วและนี่ผมลูบอยู่ตั้งนานถ้าทนไหวก็ให้มันรู้ไป

“รู้มาก”

“เซรู้จักพี่ไปป์ดีกว่าพี่ไปป์อีก”

“ขี้โม้”

“อือ เซโม้ แต่จริงๆ แล้วเซอยากรู้จักพี่ไปป์มากกว่านี้นะ”

“งั้นก็รู้ไว้เลยว่าพรุ่งนี้ผมอยากไปสวนน้ำ อยากไปเล่นเครื่องเล่นหวาดเสียวๆ อะ”

“อยู่กับเซเสียวกว่าอีก”

“มันไม่เหมือนกันมั้ยล่ะ”

“แต่อยู่กับเซดีกว่านะ”

“เซ...” ผมพิสูจน์ให้พี่ไปป์เห็นด้วยการรุกเร้าเขาด้วยร่างกายของผม สัมผัสของผม หัวใจของผม

เครื่องเล่นหวาดเสียวในสวนน้ำเอาไว้เล่นคราวหน้าก็ยังไม่สาย แต่ตอนนี้มาเล่นอะไรหวาดเสียวๆ กับเซดีกว่านะครับพี่ไปป์

“พี่ไปป์ รักนะครับ” ผมกระซิบข้างหูในตอนที่ร่างกายของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ส่งผ่านความรักทั้งหมดด้วยร่างกายและความรู้สึกในหัวใจ อย่างที่พี่ไปป์เองก็ตอบรับเป็นอย่างดี

เขาจ้องมองผมด้วยสายตาที่บ่งบอกว่ารักใคร่แม้ไม่ต้องเอ่ยคำใด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อยากได้ยิน

“อือ รัก รักเหมือนกัน”

อนาคตของผมสำคัญมากแค่ไหน คำว่ารักจากปากพี่ไปป์ก็สำคัญเท่านั้นแหละ





  [The enD]

จบแล้ว แต่ยังไม่จบซะทีเดียว
ยังเหลือบทส่งท้าย ฝากติดตามความหวานแบบอันลิมิเต็ดของพี่ไปป์กับเจ้าเซจนถึงตอนสุดท้ายด้วยนะ

 :mew1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 17 UP 5.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: silverrain ที่ 10-09-2017 23:55:31
ละมุนมาก เคมีเข้ากันมากเลยสองคนนี้
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 17 UP 5.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-09-2017 09:56:04
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 17 UP 5.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 11-09-2017 21:30:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 17 UP 5.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 11-09-2017 22:50:52
แรกๆนี่คิดว่าเซจะอกหักแล้ว 555
แต่พออ่านมาๆ เอ... พี่ไปป์แอบมีใจนี่นาา
ชอบๆ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที ตอนที่ 17 UP 5.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: Panizzz3838 ที่ 13-09-2017 15:57:05
 :mew1: ดีงาม :mew3:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: แจซอล ที่ 14-09-2017 20:02:17

 บทส่งท้าย


‘พี่ไปป์จะไม่มาจริงเหรอ อีกนานเลยนะกว่าจะได้เจอกัน’

‘พอดีงานเข้าอะเซ’

‘เดี๋ยวเซโทรหา’ อย่างน้อยถ้าไม่มาส่งก็ควรโทรคุยกันก่อนสิ ทว่าพอโทรออกกลับพบว่าไม่สามารถติดต่ออีกฝ่ายได้

“พี่ไปป์แม่ง!!!” ผมกำโทรศัพท์แน่น ไม่เคยหงุดหงินพี่ไปป์เท่านี้เลยให้ตายเถอะ ถ้าโทรติดผมคงอดไม่ได้ที่จะพูดจาไม่ดีใส่เขา ก็ช่วยไม่ได้นี่นาคนมันกำลังหงุดหงิดและน้อยใจอะ

‘ขอโทษนะ’ กดเข้าไปในไลน์อีกครั้งก็เจอคำว่าขอโทษ สั้นๆ แต่โคตรจะทำร้ายจิตใจกัน

ผมน่ะ ชอบคำว่า ‘รัก’ จากปากพี่ไปป์มากแค่ไหนก็เกลียดคำ ‘ขอโทษ’ จากเขามากเท่านั้น

เสียงประชาสัมพันธ์เรียกขึ้นเครื่องยิ่งทำให้ผมเดือดดาลมากเท่านั้น ผมกดวางสายพร้อมความกรุ่นโกรธที่กำลังประทุในอก ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องยิ้มบอกลาครอบครัวที่มาส่งกันอย่างพร้อมหน้า

ถ้าแม่พาหมาน้อยที่รับมาเลี้ยงอีก 5 ตัวมาได้ล่ะก็ แน่นอนว่าคุณนายต้องพามาแน่

“เซมองกล้องหน่อยลูก” คุณนายแม่กำลังไลฟ์ไอจี แม้ไม่มีอารมณ์ยิ้มแต่ก็ต้องทำเป็นร่าเริงเข้าไว้พร้อมกับโบกมือทักทายเหล่าบรรดาเพื่อนๆ ของคุณนายแม่ที่กำลังรับชมกันอยู่ “ทักทายเพื่อนๆ แม่หน่อยสิลูก”

“สวัสดีครับ”

“นี่ๆ มีคอมเมนท์บอกว่าลูกชายแม่หล่อมากๆ ด้วยแหละ”

“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มแหยยกมือไหว้อย่างรู้ดีว่าต้องทำยังไงแม่ถึงจะพอใจ ไม่กล้าขัดใจเขาหรอกครับเดี๋ยวถูกยึดบัตรเครดิต ซึ่งการใช้ชีวิตในต่างแดนโดยไม่มีเงินนี่มันคงลำบากเกินจะคาดเดา

แค่คิดก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ แล้วอะ

“ไปขึ้นเครื่องได้แล้ว” พ่อตบไหล่ผมบอกลาอีกครั้ง “ตั้งใจเรียนด้วย”

“เซจะพยายามครับ”

“ฉันหวังอะไรจากแกได้บ้างเนี่ย”

“เอาน่าพ่อ เซอาจจะเรียนไม่เก่งเหมือนพี่โซ่ แต่เชื่อเถอะว่าเซเอาถ่านกว่าพี่สองแน่ๆ” คนถูกผมข่มหันมาแยกเขี้ยวใส่แล้วดึงผมเข้าไปกอด

“ที่นั่นหนาวมาก อย่าแข็งตายก่อนเรียนจบก็พอ” โหย คำพูดคำจา นี่ขู่น้องใช่มั้ย

“ไม่ตายหรอก เซจะกลับมาแบ่งมรดกกับสองแน่นอน”

“ถึงที่พักแล้วติดต่อกลับมาด้วย”

“ครับ” ผมหันไปรับคำพี่โซ่ สวมกอดคนที่สูงที่สุดในบ้านแล้วหันไปกอดแม่ซึ่งตอนนี้เก็บมือถือใส่กระเป๋าแบรนด์เนมคอลเลคชั่นใหม่ไปแล้ว

“อย่าลืมดูไลฟ์ไอจีแม่ด้วยนะ”

“คร้าบ” ช่วงนี้แม่ติดโซเชียลหนักมากเลย ดูข่าวที่สามีฆ่าภรรยาเพราะติดโซเชียลแล้วก็แอบหวั่นๆ กลัวสักวันพ่อจะทนไม่ไหว

ตอนแรกผมไม่อยากไปเรียนต่อต่างประเทศเพราะไม่อยากห่างพี่ไปป์ แต่เอาเข้าจริง เมื่อต้องบอกลาครอบครัว ผมก็ได้รู้ว่าการห่างพวกเขาทำให้ผมรู้สึกเหงามาก ไล่สายตามองหน้าทุกคนแล้วอยู่ๆ น้ำตาก็เอ่อขึ้นมาให้ต้องมองไปบนเพดานเพื่อเลี้ยงน้ำใสๆ นั้นเอาไว้

“ขี้แยจริงลูกชายคนเล็กชั้น” แม่ก้าวเข้ามาหาผมอีกครั้ง ฝ่ามือบอบบางวางลงบนแก้มของผม ก่อนดึงผมเข้าไปสวมกอดแน่น ก่อนที่ทุกคนจะเข้ามารุมกอด เหมือนครั้งก่อนๆ ที่มาส่งพี่โซ่และพี่สองไปเรียน

การจากลาทำให้ทุกข์ใจและเหงาเสมอ

แต่เชื่อเถอะว่าการจากลาจะทำให้หัวใจเข้มแข็งขึ้น






ลอนดอนช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นฤดูที่ดอกไม้กำลังผลิบาน ถึงแม้ว่าอากาศโดยรวมจะทำให้รู้สึกดีแต่เวลาในการบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาก็ไม่ได้ช่วยเยียวยาความหงุดหงิดและน้อยใจของผมที่มีต่อพี่ไปป์ได้เลย
 
ผมส่งข้อความหาคนที่บ้านบอกว่ามาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพแล้ว ตลอดเวลาบนรถที่กำลังแล่นไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่บ้านพักผมพยายามติดต่อพี่ไปป์ แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อเบอร์โทรของเขาไม่สามารถติดต่อได้เลย ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน

ทำงานยุ่งจนลืมแฟนไปแล้วหรือไง

ไม่อยากจะคิดเลยว่าระยะทางที่ห่างไกลจะทำให้ความสัมพันธ์ของเราห่างกันด้วยหรือเปล่า

แค่วันแรกก็ห่างกันแล้วอะ ผมไม่อยากจะคิดถึงอนาคตเลย

แท็กซี่จอดที่หน้าบ้านของครอบครัวผมซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน ไม่ได้หลังใหญ่มากแต่ในอดีตที่นี่ถูกใช้เป็นที่พักของเหล่านักเรียนทุนของบริษัทมาหลายต่อหลายรุ่น แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือพี่ไปป์ด้วย

เพราะพ่อเลิกใช้ที่นี่เป็นหอพัก บ้านทั้งหลังจึงเงียบสงัด แค่เปิดประตูเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความว้าเหว่แล้ว

กระเป๋าลากถูกวางไว้ในห้องรับแขก ผมเดินสำรวจบ้านที่สะอาดทุกซอกทุกมุมเพราะบริษัททำความสะอาดเข้ามาดูแลอยู่ทุกๆ เดือน บ้านจึงพร้อมอยู่อาศัยเสมอ แต่ผมไม่คิดว่าบริษัททำความสะอาดจะมาทำอาหารไว้รอผมนะ ไม่มีทางเลย อีกอย่างอาหารบนโต๊ะก็มีแต่ของโปรดทั้งนั้น

ที่จริงก็หิว แต่ผมก็ละความสนใจจากอาหารบนโต๊ะ ขาทั้งสองข้างพาตัวเองก้าวขึ้นไปที่ชั้นบนซึ่งมีทั้งหมด 3 ห้องนอน

กระเป๋าเดินทางถูกวางไว้บนพื้นในห้องแรกที่ผมเปิดประตูเข้าไปดู

เอ ไหนพ่อบอกว่าไม่มีใครพักอยู่ในบ้านไง หรือว่าจะเป็นนักเรียนทุนของพ่อที่ถูกส่งมาอยู่บ้านหลังนี้อีกครั้งเพื่อจะได้เป็นเพื่อนกัน

อาหารบนโต๊ะในห้องครัวก็เป็นฝีมือเขาด้วยสินะ

ผมสำรวจชั้นบนจนครบทั้ง 3 ห้อง เลือกห้องเสร็จก็เดินลงบันไดเพื่อขนกระเป๋าขึ้นไปข้างบน

ประตูหน้าบ้านถูกเปิดออกในตอนที่ผมก้าวพ้นบันได้พอดี

แสงสว่างที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เห็นแผ่นหลังของผู้มาใหม่อย่างชัดเจน แม้จะเป็นช่วงฤดูใบไม่ผลิแต่เข้าก็ใส่เสื้อโค้ทให้รู้ว่ายังไม่ชินกับอากาศของที่นี่ซักเท่าไหร่ แปลกแฮะ ตอนที่มองแผ่นหลังของเขาอยู่ๆ หัวใจของผมก็เต้นแรงขึ้นมาเหมือนตอนเจอพี่ไปป์

“พี่ไปป์มาหาเซเหรอ” ผมเรียกคนที่หันมามองหน้ากันราวกับละเมอ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองให้รู้ว่าตรงหน้านี้ไม่ใช่ความฝัน พี่ไปป์อยู่กับผมที่นี่จริงๆ

ผมกอดเขาแน่นกว่าครั้งไหนๆ ไม่สนใจช่อดอกไม้ที่อีกฝ่ายกอดเอาไว้แนบอก

“มาหาลูกหนี้”

“หืม ใครลูกหนี้”

“คุณไง ถึงสัญญายืมเงิน 500 จะหายไปกับมือถือเครื่องเก่าแล้วแต่ผมไม่ลืมหรอกนะ” อ๋อ ผมจำได้แล้ว ตั้งแต่ช่วงแรกที่เรารู้จักกันในฐานะพี่เลี้ยงกับน้องฝึกงาน เวลาก็ผ่านมานานพอสมควรแล้วยังจำได้อีกนะคนเรา

“ไม่คืน”

“อะไร จะเบี้ยวกันรึไง”

“เซไม่คืนเงินต้นนะ แต่จะให้พี่ไปป์เก็บดอกเบี้ยจากตัวเซได้ทุกวันเลย” ผมกอดเขาแน่นอีกจนอีกฝ่ายจมไปกับอก ไม่คิดเลยว่าเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่ห่างกัน ไม่ได้คุยกันจะทำให้ผมคิดถึงเขามากขนาดนี้

“ดอกไม้แบนหมดแล้ว” มือเรียวจับที่เสื้อของผมพยายามบอกผ่านการกระทำให้ผ่อนแรงกอดลงหน่อย แต่ก็ช่วยไม่ได้อะ ก็คนมันคิดึง

“คิดถึงอะ แล้วนี่พี่ไปป์มาได้ไง ไม่บอกเซเลย”

“แจวเรือข้ามทะเลมามั้งครับ”

“กวนอีกละ ที่โทรไม่ติดเพราะมารอเซที่นี่เหรอครับ”

“อือ”

“คิดถึงพี่ไปป์นะ” ผมกดปลายจมูกลงบนหน้าผากของคนที่หลับตารับความคิดถึงที่ผมส่งไปให้ “อยู่ด้วยกันที่นี่จนกว่าเซจะเรียนจบไม่ได้เหรอ”

“งอแงอีกแล้ว”

“งอแงกับพี่ไปป์คนเดียวแหละ”

“หิวข้าวยัง”

“อาหารบนโต๊ะนั่นฝีมือพี่ไปป์หมดเลยเหรอ”

“ใช่แล้ว” มองไปยังอาหารบนโต๊ะแล้วก็ยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น

“โห นี่มันซุเปอร์เชฟ”

“ลองกินดูก่อนแล้วค่อยชม”

“ที่จริงเซก็หิวนะแต่ยังไม่อยากกินอาหารฝีมือเชฟอะ” ผมมองเข้าไปในดวงตาเขาอย่างมีเลศนัยก่อนก้มลงไปกระซิบเสียงพร่าข้างหู “ตอนนี้อยากกินเชฟมากกว่า”

“เซ!!!”

ดอกไม้ที่พี่ไปป์ซื้อเข้ามาร่วงลงบนพื้นเมื่อผมแบกเขาขึ้นบ่า ก้าวขึ้นบันไดไปยังห้องนอนที่ชั้นสอง พี่ไปป์ดิ้นขลุกขลักกระทั่งผมขึ้นคร่อมเขาบนเตียงและตรึงร่างกายเขาเอาไว้ในพันธนาการ

ไล้ปลายจมูกไปทั่วทั้งกรอบหน้าและลำคอก่อนขยับขึ้นมาจูบที่ริมฝีปาก ความโหยหาทำให้รสจุมพิตครั้งนี้ร้อนแรงและเร่งเร้าความครั้งไหนๆ

เสื้อผ้าไม่จำเป็นสำหรับการแสดงความรักอีกต่อไป

ไม่นานร่างกายของเราก็เปลือยเปล่าเหมือนตอนแรกเกิด เสียงครางพร่าและเสียงความเคลื่อนไหวบนเตียงดังประสานกันเป็นท่วงทำนองความรัก โหยหาและคิดถึง

ผมโคตรคิดถึงพี่ไปป์เลยว่ะ การแสดงออกของพี่ไปป์เองก็ให้ความหมายว่าเขาเองก็คิดถึงผมมากเช่นกัน




[จบจริงๆ แล้ว]


ขอบคุณที่แวะมาอ่านนะคะ
หวังว่าจะได้เจอกันอีกครั้งใน #หมามิล เพื่อนที่รัก 5555
ตามมานะ
:mew1:

หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 15-09-2017 08:19:52
หว่าว... ลูกหนี้ ใยเปฌนคนเก็บดอกเบี้ยจากเจ้าหนี้แทนละคะเนี่ย 55555
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: ShadeoftheMoon ที่ 15-09-2017 08:49:32
เรื่องราวที่น่ารักมาก อ่านไปยิ้มไปเรื่องเรื่อยๆ แต่ฟิน
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: จิรัตฐิติกาล ที่ 15-09-2017 08:53:25
 o13 สนุกอ่ะ ชอบ สู้ๆนะค่ะจะติดตามเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 16-09-2017 12:31:05
น่ารักมากเลย น่ารักสุดๆ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-09-2017 12:03:44
ชอบค่ะ เรื่องน่ารักดี ไม่หนัก ไม่หน่วงมาก มีน้ำตาซึมบางเวลา

ชอบเซนะ เป็นคนชิล อารมณ์ดี ความคิดดี ยอมรับตัวเอง ไม่ทำตัวเหนือคนอื่น เหมือนเด็กน้อยอะ
ไปป์ก็ทำเข้มไปเหอะ ปลื้มน้องมาตั้งนาน ทำเนียนเหมือนไม่แคร์ ที่ไหนได้ ใจสั่นระรัวแล้ว

โลกเหวี่ยงให้มาเจอกัน เพราะคุ้นเคยน่ะ ไม่แปลกหรอก แต่เหวี่ยงมาให้เจอตอนไปตามหาคนขายน่ะ ยากนะ

แล้วสุดท้ายก็ได้เจอกัน แบบที่เซก็ยังไม่รู้ตัวว่าไปป์สนใจมาตั้งนานแล้ว เจอกันมาก่อนนานแล้ว
ต้องขอบคุณกรณ์ไหม ที่ไปทักเซได้ถูกคน มาได้ถูกจังหวะ เซถึงรู้ตัวตนของไปป์

แอมป์ก็เชียร์หนักมากอะ รู้ทันไปหมด กรณ์ก็ทำเป็นกีดกันนะ
ตลกยอด มีความร้าย และมีความสตรอเบาๆ 5555

ไปป์ตามไปเซอร์ไพรส์ถึงโน่นเลย มีความปลื้มมากค่ะ ไม่ผิดจากที่คิดไว้   :mew3:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: Natsuki-ChaN ที่ 17-09-2017 13:26:21
เพิ่งมาตามอ่านจนจบค่ะ พลาดมาก เรื่องนารักมากกกกก เจ้าเซน่าหมั่นใส้ ตอนแรกก้สงสารบ้าง ตอนนี้หลังจบแล้วเหม็นความรักค่ะ  o18
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: Legpptk ที่ 20-11-2017 12:43:57
ชอบอะ เรื่องน่ารักดี พระเอกเหมือนหมาน้อยขี้อ้อน นายเอกเหมือนแมวเหมียว หยิ่งๆแต่รักเจ้าของ งื้อออ อยากให้มีตอนเรียนจบแล้วจัง
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: TaemyG ที่ 25-11-2017 22:44:28
 :-[ :กอด1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 30-11-2017 18:52:25
พี่ไปป์เป็นคนนิ่งๆ ที่กร๊าวใจมากอ่ะพูดเลอออ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 07-01-2018 10:11:06
 :mc4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 11-01-2018 18:37:26
 o13 o13 ชอบเนื้อเรื่องมากค่ะ
อ่านแล้วตัวละครดูอบอุ่น  เนื้อเรื่องไม่หวือหวา แต่ก็พอมีให้คนอ่านได้ลุ้นค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 31-01-2018 13:50:06
พี่ไปป์โหมดแฟนกะพี่ปกรณ์หยั่งกะคนละคนกันเลย  :hao6:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: adoralula ที่ 16-04-2018 09:30:40
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ภาษาลื่นไหลมาก ชอบมากๆๆๆๆๆๆ
อ่านแล้วยิ้มตามได้ทุกตอน
บทจะเศร้าก็น้ำตาคลอจริงๆ
พี่ไปป์ร่างแฟนน่ารักมากกก ก.ไก่ล้านตัว
เดี๋ยวไปเรียกเพื่อนมามุงแป๊บ อิอิ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 16-11-2018 16:31:06
นุ้งเซนี่วอแวไม่ยอมแพ้เลย
พี่ไปป์เวอร์ชั่นแฟนนี้ดี๊ดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-11-2018 14:10:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 29-11-2018 22:25:51
พี่ไปป์ใจแข็งมากๆเลยอ่ะ เซก็มีความอดทนเก่งมากเหมือนกัน 5555
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 29-11-2018 23:46:26
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 20-04-2019 02:30:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: dekfad ที่ 30-05-2019 23:45:17
ชอบมากค่ะ ชอบความสัมพันธ์ที่พัฒนาไปอย่างช้าๆ ของคู่นี้ แล้วชอบความเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ของพี่ไปป์ด้วย เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 07-06-2019 07:22:13
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: JUST SAY YES! || พี่ครับ...รับรักผมที - บทส่งท้าย UP 14.9.17 [The enD]
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 21-03-2020 03:01:07
โอ้ยเรื่องนี้น่ารักมากกกก แบบมากกกก พี่ไปป์ไทป์มาก นายเอกใจแข็ง ฉลาด ไม่ยอมคน ชอบมากกก ยัยเซก็เป็นยัยน้อนนนน ไอต้าวขี้อ้อนนนน น่ารักมาก เขินมากเลยครับ  :o8: