ตอนที่ 12
ถ้าอยากจะรุกทำไมต้องปิด
ตุบ!
ร่างของผมถูกผลักจนก้นจ้ำเบ้า และคนที่ลงมืออุกฉกรรจ์ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะมันคือคนเดียวกันกับที่ผมบี้ปากจนพอใจตรงหน้านี่แหละ สังเกตจากสีหน้ามันตอนนี้แม่งคงโกรธจนอยากเผาผมให้ตายทั้งเป็น
“ทำเหี้ยไรวะ!” ยังไม่ทันได้หยัดกายขึ้น ไอ้เติร์ดก็ตั้งท่าถลาเข้ามาซ้ำผมอีกรอบ ดีที่ได้สต๊าฟที่อยู่โดยรอบมาช่วยชีวิตเอาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่อยากคิดสภาพตัวเลยว่าจะเละด้วยตีนมันแค่ไหน
พี่ใบบัวเข้ามาช่วยผมคนแรก ก่อนพี่เชนทร์จะเข้าไปแยกไอ้เติร์ดออกบ้าง
“มึงนอกบททำไมวะไอ้ค่าย” หลังถูกพยุงให้ลุกขึ้นยืนด้วยสองขา คนที่โพล่งประเด็นนี้ขึ้นมาก็คือพี่อั้น เห็นแม่งจ้องกูมานานแล้วบวกกับความขุ่นข้องหมองใจที่มีตั้งแต่แรก ส่งผลให้ผมตอกกลับไปแบบไม่ถนอมน้ำใจคนฟังเท่าไหร่ หรือจะเรียกง่ายๆ ว่ากวนตีนนั่นเอง
“ผมไม่ได้นอกบทนะ ก็เห็นคุ้นๆ ว่ามันมี”
“คุ้นมาจากไหนไม่ทราบ กูไม่เคยเขียน” ไอ้เติร์ดเถียงกลับปากสั่นคอสั่น เห็นแล้วสงสารมากครับ อยากเดินเข้าไปหาแล้วขยี้ปากอีกรอบให้ระบม เกลียดการเบะปากของแม่งฉิบหาย น่ารักไม่บันยะบันยังสายตากูเลย
“คุ้นมาจากบทพระเอกที่เคยท่องเมื่อนานมาแล้วไง อะไรว้า พลาดนิดพลาดหน่อยจะซ้ำกันเลยเหรอ” ผมตีหน้าตอแหลใส่ไปทีนึง ทุกคนก็พร้อมให้อภัยและแยกย้ายไปทำหน้าที่ของใครของมัน จะมีก็แต่ไอ้โบนเนี่ยแหละที่ยึดผมเอาไว้พร้อมกับกระซิบประโยคหนึ่งอย่างรู้ทัน
“ทำดีว่ะ”
“กูใครครับ กูเพื่อนมึง”
“แต่ระวังไอ้ทูด้วย แม่งจ้องเหมือนจะแดกหัวมึงได้อยู่ละ” ผมหันขวับไปยังบุคคลที่สาม อูย...แม่งจ้องจะเอากูหนักจริงๆ ไม่รู้เป็นห่าอะไร ช่วงหลังมานี้แม้ไอ้ทูจะบอกว่าอยากช่วยผมจริงๆ แต่ใจมันกลับเป็นปรปักษ์เพราะสุดท้ายมันก็เข้าข้างไอ้เติร์ดมากกว่า
“มันไม่อยู่ทีมกูแล้วเหรอวะ”
“มันก็ช่วยมึงเนี่ยแหละ แต่มึงก็อย่าโง่สิ ไอ้เติร์ดเป็นเพื่อนรักมันนะ” จึ่ก! คำว่าโง่เสียดแทงเข้ามาในหัวใจ เอาจริง ตั้งแต่รู้หัวใจตัวเอง มีใครไม่ด่ากูว่าโง่รัวๆ บ้างวะ
“แล้วกูไม่ใช่เพื่อนรักเหรอ”
“คนเหี้ยๆ อย่างมึงยังกล้าเอาตัวเองไปเทียบกับไอ้เติร์ดอีกนะ” จึ่กที่สอง
“ก็คนมันผิดไปแล้ว กำลังแก้ไขตัวเองอยู่นี่ไง”
“งั้นรีบเลย แม่งเดินงอนไปโน่นละ” ไอ้โบนตบบ่าให้กำลังใจ ผมเลยรีบก้าวเท้าตามเพื่อนสนิทที่กำลังทำหน้าบูดบึ้งออกจากห้องซ้อมอย่างรีบเร่ง ไอ้เติร์ดหนีมาที่ห้องน้ำ ผมเห็นมันเอาแต่วักน้ำลูบหน้าไปมาหากแต่สายตาที่เงยมองกระจกเต็มไปด้วยความขุ่นข้องหมองใจ
“ล้างหน้าแรงขนาดนั้นเดี๋ยวผิวก็แดงหมดหรอก” ไม่รู้หรอกว่าระดับความโกรธของไอ้เติร์ดอยู่ในจุดไหน แต่ก็คิดว่าคงมากพอจะต่อยปากผมแรงๆ ได้
แต่กูไม่กลัวหรอก นอกจากเดินเข้าใกล้กับอีกฝ่ายพร้อมกับกระโดดขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือ พลางมองคนที่อยู่ข้างๆ ไม่คลาดสายตา
ผมชอบมันจริงๆ นะ ชอบจนอดใจไม่ไหว ผู้ชายต่างรู้กันดีว่าเสือหิววัยกลัดมันถ้าไม่ได้ปลดปล่อยอาการมันจะเป็นยังไง และผมก็คือไอ้เสือตัวนั้น
“โกรธกูเหรอ” ผมพูดเสียงอ้อน ถ้ามีแจกรางวัลให้เด็กสาขาภาพยนตร์ก็ต้องยกให้กูเนี่ยแหละเพราะผมคงคว้ารางวัลตอแหลแห่งปีไปแบบไม่มีเงื่อนไข
“ไปไกลๆ ตีนไป”
“โกรธจริงว่ะ ง้อ~” พูดไปก็สะกิดไหล่ไอ้เติร์ดยิกๆ
“มึงทำเหี้ยอะไรลงไปวะ” อารมณ์มาเต็ม สิ่งที่ทำได้คือการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ดีที่ตัวเองมีทักษะแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่น ไม่งั้นคงเกี้ยวสาวไม่ได้เป็นกอบเป็นกำเหมือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้มันยากกว่าตรงที่คนข้างๆ ไม่ใช่ใครอื่น มันคือเพื่อนสนิทแถมยังรู้สึกจริงจังจนไม่อยากเสียมันไปอีกต่างหาก
“กูขอโทษที่ทำให้มึงรู้สึกอาย”
“มันไม่ใช่เรื่องนั้น ไอ้ค่ายกูจะถามย้ำมึงอีกสักครั้ง เราเป็นเพื่อนกันมานานเท่าไหร่แล้ววะ” นัยน์ตานั้นแฝงความจริงจัง ผมเลยไม่กล้าเล่นอีก
“สองปีกว่า”
“นั่นดิ กูเป็นเพื่อนมึงมานานขนาดนี้ มึงยังทำร้ายกูไม่พออีกเหรอวะ”
“เดี๋ยวเติร์ด มึงหมายถึงอะไร”
“ก็เรื่องเหี้ยๆ ที่มึงทำกับกู เล่นกับความรู้สึกของกูอยู่นี่ไง เพื่ออะไรวะ ต้องการให้กูรู้สึกหวั่นไหว ต้องการปั่นหัวกูเล่นนี่คือสิ่งที่มึงต้องการใช่มั้ย”
“มันไม่ใช่แบบนั้น” ผมกระโดดลงจากเคาน์เตอร์แล้วหันไปเผชิญหน้ากับไอ้เติร์ดตรงๆ
“กูรู้แล้วว่ามึงกับแพรวไม่ได้คบกัน มึงตั้งใจจะปั่นหัวกู”
“กูก็รู้แล้วว่ามึงไม่ได้ชอบกูแค่เพื่อน” “…!”
การโต้เถียงหยุดชะงัก เราต่างเงียบใส่กันแต่ผมก็ยังสังเกตเห็นดวงตาที่ไหวระริกของคนตรงหน้าอยู่ ผมไม่อยากหลอกไอ้เติร์ดอีกแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยากให้มันเชื่อใจ อยากให้มันเป็นคนสำคัญที่สุด
ผมเอะใจมาพักใหญ่แล้วว่าพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของมันอาจเกิดมาจากความลับเรื่องแพรว ซึ่งแม่งก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ วันนี้เมื่อได้โอกาสก็ไม่อยากยื้อเอาไว้อีก ถึงพูดไป...ต่อให้ไอ้เติร์ดเหมือนเดิมหรือเกลียดผมมากขึ้น มันก็คงถึงจุดที่ควรยอมรับความจริงได้แล้ว
“ไอ้เติร์ด เราหันหน้ามาคุยกันดีๆ เหอะว่ะ” ดวงตาที่มองกลับมาฉายแววแดงก่ำราวกับจะร้องไห้ ผมสงสารเลยดึงมันมากอดแต่เจ้าตัวก็ผลักอกผมอย่างแรงไม่ให้เข้าใกล้
ความเป็นเพื่อนของเรามันหมดไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่กูรู้ใจตัวเองว่าไม่ได้รักมึงแค่เพื่อน
แต่มันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผมได้สูญเสียไอ้เติร์ดไปเพราะความเหี้ยของตัวเอง ผมแค่อยากแก้ไข เพื่อที่สุดท้ายเราจะกลับมารักกันได้
“กูรู้แล้วว่ามึงชอบกู รู้ตั้งแต่วันที่ได้ดูวิดีโอบอกรักของมึงในยูทูบ รู้ทุกอย่าง...”
“แล้วมึง...ก็รังเกียจกูใช่มั้ย” ใบหน้ากับรอยยิ้มเย็นของไอ้เติร์ดกำลังบอกกับผมว่ารู้สึกสมเพชตัวเองมากแค่ไหน
“ใช่”
“...!”
“ใช่กูเคยคิดอย่างนั้น กูรู้สึกแย่มากที่มึงคิดกับกูเกินเลย รู้สึกแย่ที่เพื่อนในกลุ่มปกปิดความจริงจนกูเหมือนคนโง่ มึงรู้อะไรมั้ยว่ากูผ่านอะไรมาบ้างในการตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆ อยู่คนเดียว กูขอให้แพรวช่วยมาเป็นแฟนปลอมๆ กูแกล้งจูบมึงแล้วเรียกชื่อเขา ทุกอย่างที่ทำไปกูตั้งใจ”
“เพื่ออะไรวะ” คนฟังถามกลับ ดวงตาที่แดงก่ำในคราแรกมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ แต่เจ้าตัวก็พยายามกะพริบตาถี่เพื่อไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
“เพื่อให้มึงตัดใจไง ทุกอย่างที่ทำไปเพราะความโง่ของกูล้วนๆ แล้วมึงรู้อะไรมั้ย...กูหนีตัวตนของตัวเอง กูพยายามกลับไปทำตัวเหี้ยๆ เหมือนเดิม มั่วผู้หญิงเหมือนเดิมเพื่อปลอบใจตัวเองว่ากูไม่ได้เปลี่ยนไป แต่สุดท้ายกูก็คิดถึงมึง”
“...”
“เพราะขาดมึงไม่ได้กูเลยต้องกลับมา เพราะความสัมพันธ์บ้าๆ ของเรามันเปลี่ยนเป็นรักไปแล้วกูถึงกลับมาแก้ตัว มาขอโอกาสจากมึงแม้มันจะสายไปแล้ว”
“ทั้งที่รู้ว่ากูชอบมึงก็ยังปกปิด มีความสุขใช่มั้ยที่เห็นกูโง่ขนาดนี้”
“นั่นเพราะกูไม่อยากเสียมึงไปต่างหาก เพราะมึงเปลี่ยนไปกูถึงไม่พูด ไอ้ทูแม่งบอกว่ามึงตัดใจแล้วกูเลยทำอะไรไม่ได้นอกจากทำเรื่องโง่ๆ เหมือนที่เป็นอยู่นี่ไง”
“ใช่ กูตัดใจจากมึงแล้ว งั้นเลิกทำเรื่องโง่ๆ นี่สักทีเหอะว่ะ” น้ำเสียงขึ้นจมูกตอบกลับมา ผมอยากกอดมันอีกครั้งแต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ฟังความคิดเห็นของคนตรงหน้าต่อไป “ไอ้ค่ายกูรู้จักมึงดี ความจริงแล้วมึงไม่ได้ชอบกูหรอก”
“รู้จักกูดีแค่ไหนถึงพูดแบบนี้ออกมาวะ” บางทีผมก็อยากจับไอ้เติร์ดมาตีก้นแรงๆ ขนาดกูกว่าจะรู้ใจตัวเองยังแทบตายเลย แต่ไอ้บ้านี่เสือกบอกว่ารู้ดีไปกว่ากูอีก
“มึงมันพวกโลเลเปลี่ยนใจไปตามสถานการณ์ ถ้าไม่บังเอิญรู้ว่ากูแอบชอบ มึงไม่มีทางชอบกูกลับหรอก”
“อาจเป็นอย่างนั้น แต่สักวันกูก็คงรู้ด้วยตัวเองอยู่ดี ความสัมพันธ์เราเป็นแบบไหนวะ ผูกพันแบบเพื่อนสนิทในกลุ่มแค่นั้นเหรอ มึงพิเศษกว่านั้นแต่เมื่อก่อนกูแค่ไม่รู้ว่ามันพิเศษยังไง”
“...”
“กูไม่เคยคิดถึงอนาคตที่ไม่มีมึง เรียนจบไปแล้วก็คิดว่าต้องทำงานกับมึง เจอกันทุกวัน ในหัวกูคิดแบบนั้นและก็ได้แต่ถามว่าถ้าไม่มีมึงกูจะอยู่ได้มั้ย คำตอบที่ได้คือช่วงเวลาหลายวันที่กูหายไป...กูอยู่ไม่ได้หรอก” ผมพูดประโยคยืดยาวเท่าที่สมองไร้รอยหยักนี้จะกลั่นออกมาได้ อย่างน้อยก็เพื่อยื้อให้ไอ้เติร์ดทนฟังประโยคบ้าบอของผมต่ออีกสักหน่อย
“ตั้งแต่เรารู้จักกันมาไม่มีวันไหนที่มึงบอกชอบหรือตัดสินใจคบกับใคร รู้มั้ยว่ากูรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่มึงยังอยู่ข้างๆ กูคิดว่ายังไงก็ไม่มีทางเสียมึงไป แต่พอวันหนึ่งที่มึงตัดสินใจจะออกจากชีวิตของกูแล้วมีใครคนหนึ่งเข้ามาแทนที่ กูแม่งก็ทนไม่ได้และเอาแต่ดิ้นพล่านอย่างที่เห็น เติร์ด...”
ผมอยากขอโอกาส แม้ความหวังแทบไม่เหลือแล้วก็ตาม...
อย่างน้อยก็ขอให้คนที่เหี้ยมาตลอดชีวิตอย่างผมได้พยายามทำอะไรดีๆ อย่างที่ควรจะทำบ้าง
“เรามาเริ่มกันใหม่ได้มั้ยวะ”
“แต่กูไม่อยากเจ็บอีกแล้วว่ะ” คำตอบนั้นไม่ได้แย่เท่าไหร่ถ้าเทียบกับสิ่งที่ผมทำกับมัน ซึ่งคนหน้าด้านอย่างผมคงไม่ยอมแพ้กับคำตอบแค่นี้แน่
“งั้นไม่เป็นไร แต่กูก็อยากปรับปรุงตัว”
“...”
“มึงว่าถ้ากูเลิกเจ้าชู้ เลิกหม้อไปทั่ว เลิกคบซ้อนแล้วเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้นมันจะโอเคมั้ยวะ”
“อืม” คนตรงหน้าตอบสั้นๆ
“ถ้ากูทำขนาดนี้มึงว่าใครสักคนจะชอบกูป่ะ”
“ชอบดิ”
“งั้นมึงก็ชอบกูเหรอ”
“...”
“กูจะรอนะ วันที่มึงกลับมาชอบกูอีกครั้ง” วันที่กูเป็นคนที่ดีพอสำหรับมึง...
ไอ้เติร์ดไม่ได้ตอบตรงๆ นอกจากกะพริบตาช้าๆ เป็นเชิงตอบรับ แค่นั้นแม่งก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้แล้ว บรรยากาศในห้องน้ำมันอาจไม่โรแมนติกเท่าไหร่
แต่ผมกลับค้นพบว่า ที่ไหนมีไอ้เติร์ด ที่นั่นมักเรียกว่าความสุขเสมอ...
ปฏิบัติการจีบเพื่อนสนิทยังคงเป็นไปเรื่อยๆ แม้ไม่มีความคืบหน้ามากนักแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองขนาดหมดหนทาง โชคดีที่มีไอ้ทูกับไอ้โบนคอยช่วยผมเลยพอทำคะแนนได้บ้างเมื่อเทียบกับพี่อั้นที่มีพี่เชนทร์เป็นพ่อสื่อ
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ความเป็นเพื่อนระหว่างผมกับสมาชิกโหดสองคนแน่นแฟ้นขึ้นเพราะเราผนึกกำลังทำภารกิจเดียวกันอยู่ ส่วนอีกหนึ่งโหดที่โคตรใจแข็งก็ทำเอาผมเลือดตาแทบกระเด็น สถานะของเรายังคงเป็นเพื่อนเพื่อนสนิท แต่มันก็แค่ชื่อเท่านั้นแหละ ส่วนความสัมพันธ์แท้จริงแล้วมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ระหว่างความไว้วางใจกับความกลัว
ช่วงนี้งานละครเวทีต้องหยุดชะงัก เพราะเป็นเวลาที่เราต้องอ่านหนังสือสอบมิดเทอมจนหัวยุ่ง ประธานเมเจอร์ฟิล์มเลยนัดรวมกลุ่มติวสำหรับคนโง่ๆ ซึ่งแน่นอนมีกูอยู่ในนั้น...
เกลียดความโง่ที่ทำให้เราต้องเสียใจ ร้องเพลงต่อไปเผื่อสักวันจะฉลาดขึ้น
เราใช้ห้องไพรเวทในหอสมุดเป็นสถานที่ติว หลังจากอาบน้ำกินข้าวเสร็จสรรพ สองทุ่มเป๊ะๆ ทุกคนต้องมาเจอกันหน้าห้อง รวมแล้วก็สิบสองชีวิต ซึ่งหนึ่งในนั้นมีไอ้โหดที่ผมตามจีบมาเป็นคนติวให้ด้วย
ไอ้เติร์ดใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นเสมอเข่า สวมรองเท้าแตะสบายๆ ให้ความรู้สึกเป็นเมียที่ทำงานบ้านรอผัวอย่างกูสุดๆ และสิ่งแรกที่คนหน้าด้านอย่างผมจะทำคือเดินเข้าไปนั่งแทรกกลางเพื่อนในกลุ่มเพื่อให้ได้นั่งติดกับไอ้เติร์ดอย่างเนียนๆ
“แหมมมมม ที่นั่งก็มีเป็นสิบนะ ยังจะมานั่งตรงนี้อีก” ประธานเอกพูดเสียงดัง ผมเลยหันไปถลึงตาใส่ให้
“กูคาดว่าเบาะมันน่าจะนุ่ม ทำไม นั่งไม่ได้เหรอ”
“ตามสบายมึงเลยครับไอ้ค่าย กูไม่อยากยุ่งอะไรกับคนขาหัก”
“รอกูถอดเฝือกก่อนแม่งจะเอามาแกว่งตบปากมึงเล่น”
“กลัวจังเลยครับขุนพล ลำพังจะพาตัวเองวิ่งยังทำไม่ได้เลย”
“ไอ้สัด!” ตัวเอ้ของเอกฟิล์มก็รวมผีทั้งนั้นแหละครับ อย่าคิดว่าฟิล์มจะมีแต่แก๊งโหด ไอ้พี่เชนทร์ หรือเชี่ยอั้น มนุษย์ผู้ชายคนอื่นก็บ้าบอสติไม่ปกติเหมือนกัน เรียกได้ว่ารวมติสต์ที่ทุกคนไม่อยากยุ่งเลยก็ว่าได้
“พอๆ ติวกันเถอะ” เสียงเมียในอนาคตเบรกเราได้ชะงัก ก่อนผมจะเห็นร่างขาวโปร่งลุกจากเก้าอี้ แล้วหยิบปากกาไวท์บอร์ดเดินไปที่กระดานด้วยสายตามุ่งมั่น
แม่งเก่งที่สุดในเอกแล้วครับ ใครหน้าไหนก็เอามันไม่อยู่
“วันนี้กูติวภาษาอังกฤษบวกเก็งข้อสอบ essay สั้นๆ วิชาที่เหลือไอ้โมจะเป็นคนติวให้นะ” ทุกคนพยักหน้าพลางหยิบสมุดกับปากกาขึ้นมาจดอย่างตั้งใจ
มีสลับถามตอบกันไปมาเรื่อยๆ ก็ผลัดกันตอบถูกบ้างผิดบ้างตามความรู้ที่หลงเหลืออยู่ในหัว แต่กูนี่ดิ...
“ค่าย ข้อนี้ตอบไร” ไอ้เติร์ดถามผม ขณะติวกันไปได้เกือบครึ่งทาง
“ดีด็อกมั้ย”
“ผิด กูถามทีไรมึงก็ผิดทุกรอบเลย ตั้งใจหน่อยดิ” กูโง่ไม่พอยังเสือกไม่มีสมาธิด้วยไงเพราะมองแต่หน้ามึง น่ารักขนาดนี้ใจพี่เริ่มสั่นไหว
“ก็ตั้งใจไง”
“กูสอนไม่รู้เรื่องเหรอ”
“เปล่า มึงสอนโคตรดีแต่กูโง่เอง”
“กาก”
“แต่ถึงแม้กูจะทำข้อสอบไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีอยู่นะ”
“มึงค้นพบไสยศาสตร์ของการมั่วหรือไง”
“ใช่ที่ไหน วันนี้กูได้มองหน้ามึงนานๆ ต่างหาก”
“ฮิ่ววววววววววว อะไรยังไง” เสียงที่แทรกเข้ามาทำให้ห้องที่เคยเงียบสงบเต็มไปด้วยความครึกครื้น คนในเอกมันก็พอระแคะระคายอยู่บ้างเพราะช่วงหลังมานี้ผมตามหยอดไอ้เติร์ดไม่เว้นวัน หลายคนรู้ หลายคนพอเดาออก แต่ก็ไม่เคยบอกกับใครว่ากูจะจีบนะ เดี๋ยวไอ้เติร์ดแม่งโมโหใส่อีก
“เอาเวลาที่พูดไร้สาระของมึงมาทำข้อสอบให้ถูกก่อนมั้ย” สุดท้ายคนที่ทำลายความฝันของผมก็คือเพื่อนสนิทคนนี้อีกตามเคย
“ถ้ากูตอบถูกจะได้อะไร” ผมเริ่มต่อรอง
“ก็ได้คะแนนเก็บไง”
“ไม่อยากได้คะแนนเก็บ แต่อยากได้ใจใครบางคนนี่มีโอกาสป่ะ”
“หนึ่งดอก!” ไอ้โบนคอยพากย์เสียงอยู่ใกล้ๆ
“ใจคงให้ยาก แต่ตีนนี่ได้เร็วเลยจะเอามั้ย” เงียบกริบไปถึงสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ต่างคนต่างรูดซิบจากอย่างรวดเร็วแล้วตั้งหน้าตั้งตาติวแบบลืมตาย
ในเอกไม่มีใครกล้าหือกลับมัน เวลาฮาไอ้เติร์ดฮาสุด เวลาตั้งใจหรืออยู่ในอารมณ์เคร่งเครียดบอกเลยมันมาเต็มเหมือนกัน ดังนั้นแม้แต่ประธานเอกผู้เก่งกาจอย่างไอ้โมยังไม่กล้าไฝว้
เราใช้เวลาไปเกือบชั่วโมงครึ่งในการจดๆ เขียนๆ ก่อนจะได้เวลาอิสระยี่สิบนาทีในการพักเบรก เพื่อนในห้องเลยแยกตัวออกไปหาน้ำและของกินด้านล่างประทังชีวิต ส่วนผมที่กำลังลุกออกจากโต๊ะน่ะเหรอ...
“จะไปไหน” นั่นไง ความรักเรียกหา
“ลงไปหาอะไรกิน จะแอบซื้อกลับมาให้มึงด้วย”
“นั่งลง เดี๋ยวกูติวให้ มึงสองคนจะลงไปหรือจะอยู่ด้วยกันที่นี่” เจ้าของเสียงหันไปหาสองสมาชิกของแก๊งโหด แต่ดูจากสีหน้าเหมือนมันไม่ได้ถามครับ แม่งกำลังบังคับพวกกูมากกว่า
“ทำหน้าแบบนี้กูก็ต้องอยู่มั้ย” ไอ้ทูนั่งลงกับที่ ตามด้วยไอ้โบนที่ตอนแรกเหมือนจะหนีออกไปแชตกับสาว
“งั้นดูชีทนี้ใหม่ โดยเฉพาะมึงไอ้ค่าย ตอบเหี้ยไรไม่ได้เลย” ผมยอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ไอ้เติร์ดกลับมานั่งข้างผม อธิบายแต่ละเรื่องใหม่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น สมองของผมเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ส่วนใหญ่ก็เสียเวลาไปกับมองเสี้ยวหน้าตั้งอกตั้งใจของมันซะมากกว่า
“น่ารักว่ะ” สัด! ปากพาซวย
“มึงว่าอะไรนะ” เจ้าตัวส่งตาขวางมาให้ ผมจึงรีบบ่ายเบี่ยงไปเรื่อย
“เปล่า กูพูดถึงเรื่องหนัง”
“ตั้งใจฟัง ถ้าสอบตกขึ้นมากูจะตบกะโหลกพวกมึงสามตัวให้สลบเลย” กลัวตายแหละ แต่ที่ไม่ปริปากพูดแค่ไม่อยากเถียงเท่านั้น โด่...
ไอ้เติร์ดเป็นสมาชิกแก๊งโหดมาสองปีกว่า คอยช่วยเหลือทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนตอนสังสรรค์ เป็นครูตอนใกล้สอบ เป็นเจ้ามือในวันเกิด เป็นขี้ข้าในงานกิจกรรม เป็นคนคอยรับฟังความทุกข์ของเพื่อนทุกคน แต่มันไม่เคย...เล่าเรื่องทุกข์ใจให้ใครฟังเลย
ผมไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเป็นเพื่อนเหี้ยๆ สำหรับมันแค่ไหน ผู้หญิงของผมวุ่นวายกับมัน ตอนลำบากเราช่วยเหลือกันก็จริง แต่ถ้ามันไม่บอกเราก็ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ไม่ได้สนใจมันมากนัก ผมเลยรู้สึกแย่ทุกครั้งเวลาคิดถึงอดีตที่ผ่านมา และอยากสร้างความทรงจำที่ดีในวันนี้แทน
“อันนี้ทำไมถึงตอบเอวะ ชอยส์บีก็เหมือนจะถูกไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ถูก ประโยคนี้เป็นอดีตใช้คำนี้ไม่ได้ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง...” แล้วไอ้เติร์ดก็ร่ายยาวเป็นมหากาพย์ กว่าจะจบไอ้โบนก็แทบเลื้อยตัวไปบนเก้าอี้ แล้วยกตีนขึ้นมาก่ายหน้าผาก
“อ่านหนังสือมันเครียดว่ะ คืนนี้พากูไปอ่างหน่อยซิ”
“ไปด้วย เสี้ยนอยู่พอดี”
“อ่างคืออะไร ใช่ร้านนมหรือเปล่า” กูตอแหลถามไปงั้น ทันทีที่ไอ้ทูกับเชี่ยโบนจุดประเด็น ไอ้เติร์ดก็หันขวับมามองเราสามคนด้วยสายตาอ่านไม่ออกทันที ซึ่งคิดว่าสายตานี้ไม่ได้น่ายินดีเท่าที่ควร
“ใช่ นมเต็มไปหมดเลย สนใจมั้ยไอ้ค่าย”
“ให้กูไปมั้ย” ผมหันไปถามติวเตอร์เฉพาะกิจ
“เรื่องของมึงสิ”
“ทำหน้าเหมือนไม่พอใจ มึงสองคนไปกันเถอะ เติร์ดไม่ให้ไป”
“กูยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลย”
“ปากไม่ได้พูดแต่สายตามึงฟ้อง เอาเถอะ กูเลิกทำตัวเหี้ยๆ แบบนี้ละ” พูดไปก็กะพาดพิงถึงเพื่อนอีกสองคนด้วย แต่เหมือนไอ้โบนกับไอ้ทูจะไม่สะเทือนจิตใจเท่าไหร่ แถมตั้งท่าโดดติวพาร์ทหลังไปเที่ยวอ่างอีกต่างหาก
“ถึงมึงจะพูดแบบนั้นกูก็ไม่แคร์หรอก เบื่อติวฉิบหาย เจอกันพรุ่งนี้”
“แล้วเจอกันเพื่อนยาก”
ไอ้เติร์ดทำท่าจะทักท้วงแต่ก็ไม่ทันความเร็วของมันสองตัวอยู่ดี
“เพราะมึงเลย”
“เกี่ยวอะไรกับกูเนี่ย มันเที่ยวก็ปล่อยมันไปดิ อีกอย่างกูรู้หรอกว่าแม่งฉลาดพอจะเอาตัวรอด เห็นสอบทีไรมันก็ผ่านตลอด” ไม่งั้นคงโดนไอ้เติร์ดกักตัวไว้เหมือนกับผมแหง
“ใช่! มีแต่มึงเนี่ยที่เอาตัวไม่รอด ได้ข่าวไอ้โบนบอกมึงเคยเป็นสังคังด้วยหนิ”
“โหยนานแล้วมั้ย สมัยกูยังไม่หย่านมแม่”
“กูเป็นเพื่อนก็ได้แค่เตือน”
“ต่อไปด่าเลยเถอะ ไม่ได้อยากเป็นเพื่อน มึงรู้ดีว่ากูหมายถึงอะไร”
“...”
“อยากได้เป็นเมียจัง”
“ไปตายป่ะ”
“งงจุงเบย”
“ไอ้กวนตีน”
“ชอบๆ คนรักกันเวลาด่าแปลว่ารัก”
“ที่กูให้โอกาสมึงไม่ได้หมายความว่ากูจะเปิดใจคบกับมึงนะ” น้ำเสียงนั้นดูไม่จริงจังเท่าไหร่ ออกจะติดรำคาญหน่อยๆ ซึ่งก็เป็นนิสัยของไอ้เติร์ดอยู่แล้ว ผมเลยไม่กลัวหยอกต่ออย่างมีความสุข
“โอเคมึงยังไม่ต้องใจอ่อนก็ได้ ไม่เป็นไรเนาะๆ” ปากว่าหากตัวกลับโน้มลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายเลยถือโอกาสนอนตักแม่งเลย ไอ้เติร์ดทั้งบิดหูทั้งตบหน้า บางทีก็จิกผมแรงๆ ให้ลุกขึ้นนั่ง แต่กูก็ยังคงสตรองกอดเอวนั้นไว้แล้วลุยต่อหน้าตาเฉย
เสียงประตูถูกเปิดออกพร้อมกับฝีเท้าของใครหลายๆ คนที่เดินเข้ามา และเสียงที่ผมได้ยินชัดเจนที่สุดคงเป็นไอ้โมประธานเอก
“ไอ้ค่ายหลับเหรอ เมื่อกี้เห็นไอ้ทูกับไอ้โบนข้างล่าง หนีเที่ยวอ่างซะละ”
“ความเหี้ยของพวกมันอ่ะดิ”
“ว่าแต่ไอ้ค่ายเถอะ เก้าอี้เหลือตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไปซุกนอนตักมึงได้วะ”
“สำออยไง”
“เห็นมันวอแวกับมึงก็ตลกดี นี่ถ้าเป็นแฟนกันจริงกูเชื่อเลยนะเนี่ย”
“มึงอย่าพูดมั่ว!” เสียงของไอ้เติร์ดดังแทรกเข้ามาในหู ผมเลยกอดกระชับเอวบางเข้ามามากขึ้น
“กูพูดตามที่เห็นไง”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น”
“เออ”
“ไอ้ค่ายเป็นแค่เพื่อน นี่มันนอนเฉยๆ กูเลยไม่ว่าอะไร”
“อ่า”
“แต่ตอนที่มาช่วยติวเสริมเพราะเห็นมันโง่แค่นั้น”
“เข้าใจ”
“เชื่อกูดิไม่มีอะไร มันยังทำข้อสอบข้อง่ายๆ ผิดอยู่เลย กูถึงมาช่วยติว”
“...”
“อย่างข้อนี้ควรตอบเอมันก็ตอบซี กูเลยงงว่าทำไมมันถึงคิดแบบนั้น มึงรู้ใช่มั้ย”
“ไอ้เติร์ด...กูรู้แล้ว มึงจะร้อนตัวทำไมเนี่ย เอ้ออออ” เท่านั้นแหละครับ มือขาวที่เคยจิกหัวเล่นในคราแรกก็หันมาลงแรงกับใบหูของผมย่างเกรี้ยวกราด จนกูต้องกัดฟันร้องโอดโอยอยู่ในใจ ไอ้เหี้ย! ร้อนตัวเองแล้วผิดอะไรที่กูวะเนี่ย โอ๊ยยยยยยย
บ้าจริง
พรหมลิขิตบันดาลให้เรามาเจอกัน หลังจากนั้นเวรกรรมกูล้วนๆ เลย แม่มเอ๊ย!
อ่านต่อด้านล่างค่ะ